Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 35 ตอนที่ 17-22
ภาคที่ 35 มหาเคารพหิมะเหิ...
ตอนที่ 17 ฟองอนันต์มลายสูญ
ณ คุกมืดในรัฐเฉินฟ่าน
“ท่านอาจารย์ ประชากรระดับล่างอีกชุดหนึ่งถูกส่งตัวมาแล้วขอรับ” ชายชราผู้หนึ่งทักทายด้วยความเคารพพลางมองชายวัยกลางคนอาภรณ์ขาวที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงหินอุ่นตรงหน้าด้วยความนับถือ
ดูเหมือนว่าระดับสูงทั่วทั้งรัฐเฉินฟ่านต่างก็หวั่นเกรงประมุขรัฐผู้นี้กันเป็นอย่างยิ่ง
ช่วยไม่ได้ ประมุขรัฐก็คือผู้แกร่งกล้าระดับเทพจักรวาลชั้นที่สอง! ภายในรัฐเฉินฟ่าน ไม่มีผู้ใดสามารถต้านทานได้ แต่ละคนก็ได้แต่ทำตามวาจาอย่างเชื่อฟังเท่านั้น
“โอ้” ประมุขรัฐเฉินฟ่านลืมตาแล้วเอ่ยอย่างเรียบเฉย “คราวนี้ได้มาขวดหนึ่งแล้วกระมัง”
“ได้มาแล้ว” ชายชราตัวสั่นเทาด้วยความกลัวอยู่บ้าง
“เช่นนั้นก็ไปจัดการเสียสิ!” ประมุขรัฐเฉินฟ่านเอ่ยอย่างเรียบเฉย
“ขอรับ”
ชายชราจากไปอย่างเชื่อฟัง
ประมุขรัฐเฉินฟ่านแย้มยิ้มอย่างเยียบเย็น เขาไม่เห็นมารโง่เง่าเหล่านั้นอยู่ในสายตาเลย เหล่ามารต้องการสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนไปเป็นทรัพยากรการบำเพ็ญเพื่อเส้นทางการบำเพ็ญของแต่ละคน แต่การสังหารหมู่ประชากรมากจนเกินไป ในที่สุดแล้วอาจดึงดูดความสนใจของบรรดาเทพจักรวาลที่แกร่งกล้าจำนวนน้อยบางส่วนขึ้นมาได้
“ผู้บัญชาการรัฐประเทศแห่งหนึ่งอย่างข้า ด้วยกฎเกณฑ์ของรัฐประเทศ เก็บเกี่ยวสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนตามอำเภอใจ ลดผลกระทบให้ต่ำที่สุด แล้วไล่ตามจักรพรรดิเทพผลาญโลกาอีกครั้ง… ทำได้อย่างสบายเหลือเกิน สบายกว่ามารเหล่านั้นไม่รู้ตั้งเท่าไหร่” ประมุขรัฐเฉินฟ่านค่อนข้างมั่นใจในตัวเอง
……
ทว่าชายชราผู้นั้นกลับมาถึงยังชั้นหนึ่งในคุกมืด ทั่วทั้งคุกมืดคือสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ขนาดมหึมาแห่งหนึ่ง ทุกชั้นต่างก็กว้างใหญ่ไพศาลหาใดเปรียบ ด้านในคุมขังประชากรผู้อ่อนแอจำนวนนับไม่ถ้วนเอาไว้
ชายชรามองไปปราดหนึ่ง ประชากรจำนวนนับไม่ถ้วนที่ชั้นนี้ต่างก็เป็นผู้ที่มิได้สำเร็จเป็นวิญญาณเทพภายในยี่สิบปี พวกเขาต่างก็ยังเยาว์วัยกันเป็นอย่างยิ่ง เพิ่งจะเกิดมาเกินยี่สิบปีได้ไม่นานเท่าไหร่ อายุอานามเช่นนี้… สำหรับประชากรดินแดนจิตโลกาแล้ว ชีวิตก็เพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้นเอง
“แกร่งกล้าเหลือเกิน”
“เป็นผู้แกร่งกล้าที่ประมุขรัฐส่งมาใช่หรือไม่”
“เขาจะมาสั่งสอนพวกเรา ขัดเกลาพวกเรา และเลือกผู้ที่ล้ำเลิศที่สุดจากในบรรดาพวกเราอย่างนั้นหรือ” บรรดาเด็กวัยเยาว์เหล่านี้ได้เห็นชายชราที่มาเยือน ชายชราเป็นถึงผู้แกร่งกล้าขั้นอลวน กลิ่นอายที่แผ่ออกมาแผ่ไพศาลราวกับทะเลเมฆอันไร้ซึ่งขอบเขต…สำหรับเหล่าชีวิตเหนือธรรมดาที่มิได้เป็นแม้กระทั่งวิญญาณเทพ ต่างก็อกสั่นขวัญแขวนกันเป็นอย่างยิ่ง พร้อมกันนั้นก็มีความคาดหวัง
พวกเขาคาดหวังว่าจะสามารถเป็นผู้ที่ล้ำเลิศที่สุดแล้วสามารถมีชีวิตรอดต่อไปได้
“น่าสงสารเสียจริง พวกเขาย่อมไม่รู้อยู่แล้วว่าพวกเขาจะต้องถูกสังหารหมู่กันหมดนั่นแหละ” ชายชราลอบส่ายศีรษะ นานๆ ทีประมุขรัฐจึงจะเหลือเอาไว้สักชุดหนึ่ง ให้พวกเขาขัดเกลาบ่มเพาะผู้แกร่งกล้าอยู่ระหว่างความเป็นความตาย เพื่อให้โลกภายนอกคิดว่าแต่ละชุดล้วนเป็นเช่นนี้ทั้งสิ้น
เกือบทั้งหมด แม้กระทั่งโอกาสดิ้นรนก็ยังไม่มีเลยเสียด้วยซ้ำ สังหารหมู่เสียจนหมดสิ้น!
“ใครใช้ให้พวกเจ้าอ่อนแอกันเองเล่า” เป็นถึงศิษย์ที่ท่านประมุขรัฐมอบความไว้วางใจให้ ชายชราก็เคยชินกับเรื่องนองเลือดเช่นนี้ไปเสียแล้ว เขาทำเรื่องโหดเหี้ยมอำมหิตได้อย่างงดงาม ท่านประมุขรัฐจึงได้ให้ความสำคัญกับเขา จึงได้ให้ผลประโยชน์ต่างๆ นานากับเขา
ชายชราหยิบเอาขวดสีแดงเข้มใบหนึ่งออกมา
“ผู้อาวุโสท่านนี้กำลังทำอะไรน่ะ”
“ขวดใบนี้คือสิ่งใดกัน”
เด็กวัยเยาว์จำนวนนับไม่ถ้วนต่างก็มองดูขวดสีแดงเข้มซึ่งดูไม่ธรรมดาเช่นกันขวดหนึ่งที่ผู้แกร่งกล้าที่แผ่กลิ่นอายอันไพศาลไร้ที่สิ้นสุดผู้นั้นหยิบออกมาอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่อยู่บ้าง
ในขณะนี้พวกเขามิได้ล่วงรู้เลยว่านั่นมีความหมายเช่นไร!
“ใต้บังคับบัญชาของประมุขรัฐเฉินฟ่านมีเพชฌฆาตอยู่สามคนที่ได้รับความสำคัญจากเขาเป็นอย่างยิ่ง ท่านเป็นหนึ่งในนั้นกระมัง” เสียงหนึ่งดังขึ้นกลางห้วงสมองของชายชราในทันใด ชายชราถลึงตามองปราดหนึ่ง เงารางของนิ้วมือสายหนึ่งจากความว่างเปล่าขยับบนร่างเขา ร่างกายของชายชราก็สลายกระจายไปราวกับเถ้าธุลี สิ้นชีพไปในทันที แม้กระทั่งขวดสีแดงเข้มก็ร่วงหล่นลงบนพื้นดิน
……
ณ สถานที่อีกแห่งหนึ่ง
ตงป๋อเสวี่ยอิงมาถึงยังคุกมืด แล้วก็มาถึงตรงหน้าประมุขรัฐเฉินฟ่าน
“เจ้าเป็นใครกัน” ประมุขรัฐเฉินฟ่านสีหน้าแปรเปลี่ยน มองดูชายหนุ่มอาภรณ์ขาวผู้ไม่คุ้นเคยที่อยู่ตรงหน้า
ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวผู้นี้เพิ่งจะสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาก็ตรงมาถึงยังที่แห่งนี้แล้ว! เพียงแต่กลิ่นอายไม่คุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง เป็นเพียงแค่กลิ่นอายขั้นอลวนเท่านั้นเอง
“บังอาจยิ่งนัก กล้าบุกรุกเข้ามายังที่ของข้าเชียวหรือ” ประมุขรัฐเฉินฟ่านสีหน้าเคร่งขรึม บริเวณโดยรอบเริ่มมีเสียงทำนองเพลงดังขึ้นรางๆ เสียงทำนองเพลงก็ลอยเข้าสู่โสตประสาทของตงป๋อเสวี่ยอิง แต่ตัวเองเดิมทีก็เป็นยอดฝีมือที่วิถีเขตลวงโลกเทียมไปถึงระดับเทพจักรวาลชั้นที่สองแล้ว วิญญาณก็แข็งแกร่งยิ่งกว่าขั้นสุดยอดอยู่มากพอสมควร ตงป๋อเสวี่ยอิงจะไปสนใจเคล็ดเล่ห์กลเล็กๆ น้อยๆ นี้เสียที่ไหนกัน
“หืม” ประมุขรัฐเฉินฟ่านตกตะลึง ขั้นอลวนคนหนึ่งถึงกับต้านทานเอาไว้ได้อย่างนั้นหรือ
“ประมุขรัฐเฉินฟ่าน ท่านปกครองรัฐประเทศแห่งนี้ แต่กลับสังหารหมู่ประชากรเกิดใหม่กว่าครึ่งกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าจนหมดสิ้น สังหารหมู่มากมายเช่นนี้ก็ไร้ซึ่งขอบเขตราวกับภูเขา ราวกับมหาสมุทร ตรงจุดนี้ท่านก็มิได้สนใจเลยหรือไร” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม
ต่อให้เป็นการสังหารมดปลวกมากมายเช่นนี้ก็ต้องหัวใจสั่นไหวบ้างกระมัง
ประมุขรัฐเฉินฟ่านแย้มยิ้มเล็กน้อย “แน่นอนว่าข้าต้องสนใจอยู่แล้ว สหายผู้นี้เอ๋ย บนเส้นทางการบำเพ็ญ มดปลวกพวกนั้นก็เป็นหินกรวดที่ขัดแข้งขัดขาข้า สามารถทำให้การเดินบนเส้นทางการบำเพ็ญไกลขึ้นได้ พวกเขาตายได้อย่างคุ้มค่ายิ่งนัก ข้าใส่ใจพวกเขาเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังซาบซึ้งในตัวพวกเขาด้วยเช่นกัน หากไม่มีพวกเขา…แล้วข้าจะสามารถเดินบนเส้นทางการบำเพ็ญมาได้ไกลเช่นนี้ได้อย่างไรกัน วิถีมีความแตกต่าง สหายก็ควรจะเข้าใจด้วย”
“ในวิถีของข้า ทำเช่นเจ้านี้ก็คือมารแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
พร้อมกันนั้นเขาก็เกิดความคิดขึ้นมาอย่างหนึ่ง
ผลาญสังหารสามเพชฌฆาตแห่งคุกมืดในทันที! ข้อมูลของสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ได้บันทึกเกี่ยวกับสามเพชฌฆาตนี้เอาไว้อยู่ก่อนแล้ว นอกจากนี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงมองปราดเดียวก็เห็นผลกรรมบาปมหันต์บนร่างของพวกเขาสามคนแล้ว
“และมาร ก็สมควรตาย” ตงป๋อเสวี่ยอิงลงมือแล้ว
พรึ่บๆๆ…
ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวเก้าคนปรากฏตัวขึ้นพร้อมกัน แต่ละคนยื่นนิ้วมือออกมาแล้วขยับไปทางด้านหน้าเล็กน้อย
ประมุขรัฐเฉินฟ่านค้นพบด้วยความตื่นตระหนกว่าห้วงมิติบริเวณรอบๆ อลหม่าน ฟองอากาศจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นภายในโถงตำหนักขนาดเล็กแห่งนี้ ฟองอากาศทุกฟองต่างก็อยู่ที่ห้วงมิติที่แตกต่างกัน จากนั้นฟองอากาศก็เริ่มแตกสลายตามการชี้นิ้วของตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งเก้าคน ฟองอากาศแต่ละฟองแตกสลายอย่างต่อเนื่องกัน… ตอบสนองต่อกันราวกับลูกโซ่ แตกสลายมากขึ้นเรื่อยๆ พลานุภาพของการแตกสลายก็ยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน ในที่สุดก็รวมตัวกันมาถึงบนร่างของ ‘ประมุขรัฐเฉินฟ่าน’ ไปสู่มหาวินาศในท้ายที่สุด
โพละ!
ฟองอากาศขนาดใหญ่ฟองสุดท้ายล้อมรอบห้วงมิติของประมุขรัฐเฉินฟ่านเอาไว้ พลังแหลกสลายจำนวนนับไม่ถ้วนรวมตัวกันมาถึงฟองอากาศขนาดใหญ่ฟองสุดท้ายแล้วแหลกสลายไปในทันที
พูดไปก็มากความ ความจริงแล้วเพียงแค่ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น!
ประมุขรัฐเฉินฟ่านทำได้ทันเพียงแค่สะบัดฝ่ามือหนึ่งเท่านั้น แต่มิอาจทลายเปิดฟองอากาศขนาดใหญ่ที่สุดที่ห่อหุ้มตัวเขาเอาไว้ได้ ในที่สุดก็เกิดการแตกสลายกระจัดกระจายของฟองอากาศ
ฟองอากาศแตกสลายกระจัดกระจาย ประมุขรัฐเฉินฟ่านก็แตกสลายกระจัดกระจายไปพร้อมกัน
ร่างกายก็แหลกสลายกระจุยกระจาย เถ้าธุลีปลิวว่อน
ประมุขรัฐเฉินฟ่านตายแล้ว!
‘ฟองอนันต์มลายสูญ’ หนึ่งในสามท่าไม้ตายของยุทธวิธีหิมะเหิน
กระบวนท่าที่ดูเหมือนแววสังหารจะเบาบางอย่างยิ่ง แต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นการป้องกันที่ไม่ขึ้นกับอาภรณ์หรือวัตถุภายนอก เป็นท่าไม้ตายที่น่าหวาดหวั่นที่สุดของตงป๋อเสวี่ยอิงที่แทรกผ่านเข้าไปภายในร่างกายโดยตรง แต่เพราะว่าเพียงแค่จัดการยอดฝีมือระดับเทพจักรวาลชั้นที่สองคนหนึ่งเท่านั้น อีกฝ่ายมิได้มีสุดยอดสมบัติลับล้ำค่าแต่อย่างใด ดังนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงจึงมิได้ใช้ ‘ดอกบัวเพลิงห้วงอากาศ’ ร่างแยกทั้งเก้าของเขาทุกร่างแยกต่างก็มีพลังรบขั้นสุดยอด เก้าร่างร่วมมือกันสำแดงท่าไม้ตายก็เพียงพอสำหรับการสังหารเทพจักรวาลชั้นที่สองคนหนึ่งแล้ว ถ้าหากใช้ดอกบัวเพลิงห้วงอากาศ ผู้แกร่งกล้าระดับจอมเคารพโดยทั่วไปต่างก็ต้องต้านทานไม่ไหวจนสิ้นชีวิตไป
“เหตุต้นผลกรรม มิใช่ไม่รายงาน เพียงแต่ยังไม่ถึงเวลาเท่านั้น เมื่อใดที่ถึงเวลาก็คือเวลาตายของท่านแล้วล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองอย่างเย็นชาปราดหนึ่ง เมื่อใดที่พลังยุทธ์ของเขาเพียงพอก็นับว่าถึงเวลาแล้ว
……
ประมุขรัฐเฉินฟ่านสิ้นชีพแล้ว
ผู้ใดสังหารนั้นก็ยังคงเป็นปริศนา! เหล่าเทพจักรวาลกลุ่มใหญ่ที่ยืนอยู่ที่จุดสูงสุดของดินแดนจิตโลกามีความสงสัยไม่เข้าใจในสิ่งนี้ ดีร้ายอย่างไรนี่ก็เป็นยอดฝีมือระดับเทพจักรวาลชั้นที่สอง ก็หมดไปง่ายๆ เช่นนี้น่ะหรือ
ถึงแม้ว่าขุมอำนาจแต่ละฝ่ายก็นึกอยากจะสะกดรอย และย้อนเวลาตรวจสอบ แต่ก็ตรวจหาไม่พบกันทั้งสิ้น! เมื่อใดที่สัมผัสแตะต้องไปถึงภาพเหตุการณ์ในตอนนั้น ต่างก็ถูกรบกวน มิอาจตรวจสอบดูได้ทั้งสิ้น
ทว่าพร้อมกันกับที่ ‘ประมุขรัฐเฉินฟ่าน’ และสามเพชฌฆาตใต้บังคับบัญชาผู้มีประสิทธิภาพมากที่สุดของเขาตายไป คุกมืดก็หายลับไปในทันทีนับแต่บัดนั้น ประชากรจำนวนนับไม่ถ้วนภายในนั้นก็ได้รับการปล่อยตัวออกมา เพราะว่าภายในรัฐเฉินฟ่านนั้นถึงแม้ว่าจะมีคนอื่นๆ จำนวนหนึ่งที่ค่อนข้างร้ายกาจ แต่ก็มิกล้าทำดังเช่นประมุขรัฐเฉินฟ่าน! กล้าทำตามอำเภอใจเช่นนี้ ก็ต้องมีพลังยุทธ์ให้พึ่งได้
ถึงแม้ว่าประมุขรัฐเฉินฟ่านจะมีพลังยุทธ์แข็งแกร่ง ตอนนี้ก็มิใช่ว่าเอาชีวิตไปทิ้งแล้วเช่นกันหรือไร
นับแต่นั้นมารัฐเฉินฟ่านก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่! เหนี่ยวนำความกระหายที่จะครอบครองของเทพจักรวาลบางส่วนมา ถึงอย่างไรก็เป็นรัฐประเทศชั้นรอง ผู้แกร่งกล้าที่มีอยู่เดิมในรัฐเฉินฟ่านก็ไม่มีสิทธิ์บัญชาการรัฐประเทศแห่งนี้
……
ข่าวสารก็ถูกส่งไปถึง ‘จักรพรรดิเทพผลาญโลกา’ หนึ่งในห้าบรรพชนรัฐโบราณสหโลกานั้นแล้ว
“ฝ่าบาทจักรพรรดิเทพพ่ะย่ะค่ะ ประมุขรัฐเฉินฟ่านสิ้นชีพแล้ว มิอาจหาตัวฆาตกรได้พบ ภาพเหตุการณ์การต่อสู้ในตอนนั้นก็ไม่มีผู้ใดได้เห็นเลยขอรับ” มีผู้ใต้บังคับบัญชาเอ่ยอย่างเคารพนบนอบ
จักรพรรดิเทพผลาญโลกาก็นั่งอยู่บนบัลลังก์สูง
เขาสวมชุดเกราะสีดำสนิทตลอดร่าง ร่างกายแข็งแกร่งดุจหินผา นั่งอยู่บนบัลลังก์สูง มองต่ำลงมายังเบื้องล่าง พูดถึงความทระนง… จักรพรรดิเทพผลาญโลกาก็ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ที่โอหังที่สุดคนหนึ่งในทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา! ทั้งยังเป็นผู้ที่มีพลานุภาพแข็งแกร่งที่สุดคนหนึ่งด้วย! เส้นทางการบำเพ็ญของเขาทำให้เขามีคุณสมบัติของความทระนงและแข็งแกร่ง
“โอ้ น่าสนใจทีเดียว ตรวจสอบหน่อยเถิด ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงแค่เค่อชิงใต้บังคับบัญชาคนหนึ่งของข้า แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าใครเป็นคนทำ” จักรพรรดิเทพผลาญโลกาเอ่ยอย่างสบายใจ
“ขอรับ” ผู้ใต้บังคับบัญชาเอ่ยอย่างเคารพ
ทันใดนั้น…
เงาร่างสายหนึ่งรวมตัวกันเกิดขึ้นมาที่ด้านข้าง ก็คือชายชราอาภรณ์เงินท่าทีอ่อนโยนคนหนึ่ง
“ผู้พเนจรหรือ” ผู้ใต้บังคับบัญชาที่อยู่ข้างๆ ได้เห็นเหตุการณ์แล้วก็ตกใจ ชายชราอาภรณ์เงินผู้นี้ก็คือ ‘ผู้พเนจร’ หนึ่งในห้าบรรพชน
จักรพรรดิเทพผลาญโลกาโบกมือ ผู้ใต้บังคับบัญชาก็ร่นถอยไปในทันที
จักรพรรดิเทพผลาญโลกาอมยิ้มมองชายชราอาภรณ์เงินที่อยู่เบื้องล่าง “เหตุใดท่านจึงมาหาข้าที่นี่เล่า”
“ผลาญโลกา ข้าต้องการเม็ดทรายอลวนสักหน่อย” ผู้พเนจรพูด “เจ้าขายให้ข้าเถิด”
“ฮ่าฮ่า…เม็ดทรายอลวนหรือ พูดถึงเม็ดทรายอลวน เจ้าก็มีอยู่มากที่สุดในบรรดาพวกเราห้าคนแล้วกระมัง ต่อให้ขาดแคลนเม็ดทรายอลวนไปสักเล็กน้อย ตัวเจ้าเองใช้เวลาสักหน่อย สะสมให้มากหน่อยก็ใช้ได้แล้ว จะมาหาซื้อเม็ดทรายอลวนกับข้าทำไมกัน” จักรพรรดิเทพผลาญโลกาถามอย่างตกใจ
ผู้พเนจรส่ายศีรษะเบาๆ “มีประโยชน์อยู่บ้าง เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องถามแล้ว”
“เอาล่ะ เจ้าต้องการก็ยกให้เจ้าแล้วกัน” จักรพรรดิเทพผลาญโลกาพยักหน้า
ภาคที่ 35 มหาเคารพหิมะเหิ...
ตอนที่ 18 รวบรวมเม็ดทรายอลวนได้ครบ
จักรพรรดิเทพผลาญโลกาและสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูคนอื่นๆ ก็มิอาจสืบหาร่องรอยของ ‘มือสังหาร’ ได้ แต่ประมุขรัฐเมฆทักษิณากลับได้ข่าวมา
ภายในวังหลวงแห่งรัฐเมฆทักษิณา
“นายท่านขอรับ” บ่าวรับใช้ชราเอ่ยด้วยความเคารพ “บ่าวมีเรื่องจะเรียนให้ทราบขอรับ”
“มีเรื่องอันใดก็พูดมาให้เต็มที่เถิด” ประมุขรัฐเมฆทักษิณานั่งขัดสมาธิพลางมองดูบ่าวรับใช้ตรงหน้า บ่าวตรงหน้าคนนี้คือมารรับใช้ ‘เพ่ยอวิ๋น’ ผู้จงรักภักดีต่อเขาอย่างสิ้นเชิงซึ่งเขาตั้งใจจัดให้ควบคุมระบบข่าวสารของสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์! ข้อมูลระดับพื้นฐานของสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ก็แล้วไปเถิด แต่ข้อมูลที่สำคัญยิ่งต่างๆ รวมไปถึงการเก็บรวบรวมข้อมูลข่าวสาร ล้วนแต่เป็นมารรับใช้และวิญญาณอาวุธที่ทำหน้าที่รับผิดชอบ
เนื่องจากพวกเขาจงรักภักดี จึงไม่มีทางปล่อยข่าวให้เล็ดรอดออกไปภายนอกแน่นอน
มารรับใช้เพ่ยอวิ๋นพูดด้วยความเคารพว่า “นายท่าน ข้าสงสัยว่าการตายของประมุขรัฐเฉินฟ่านจะเป็นฝีมือของมือสังหารเร้นลับผู้นั้น ซึ่งก็คือจ้าวหิมะเหินนั่นเอง”
“อะไรนะ” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาสะดุ้ง
นี่คือเรื่องที่ทำให้ผู้แกร่งกล้าทั้งดินแดนจิตโลกาทั้งหลายไล่ตามหา ก็ไม่พบร่องรอยอันใด แม้เครือข่ายข้อมูลสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ภายใต้บังคับบัญชาของเขาจะนับว่าร้ายกาจ แต่ในบรรดาเครือข่ายข้อมูลมากมายของดินแดนจิตโลกา เกรงว่าคงจะมิได้จัดอยู่ในสิบอันดับแรกเสียด้วยซ้ำ แต่กลับตรวจพบได้อย่างนั้นหรือ
“รีบพูดมาเร็วเข้า เจ้ามีหลักฐานอันใดถึงบอกว่าเสวี่ยอิงเป็นคนทำ” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาถาม “เสวี่ยอิงคงจะไม่มีความแค้นอันใดกับประมุขรัฐเฉินฟ่านผู้นั้นหรอกกระมัง”
“เรียนนายท่าน วันก่อนจ้าวหิมะเหินออกคำสั่งผ่านเครือข่ายข้อมูลของสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ของเราให้เก็บรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวโยงกับการเข่นฆ่าและการกวาดล้างขนานใหญ่ทั้งหมด หากพบแล้วให้รายงานเขา ข้าได้รายงานข้อมูลให้เขา…เมื่อวานนี้ข้าได้ส่งรายงานโดยละเอียดเกี่ยวกับ ‘คุกลับ’ ของประมุขรัฐเฉินฟ่านให้แก่จ้าวหิมะเหิน” มารรับใช้เพ่ยอวิ๋นกล่าว
ประมุขรัฐเมฆทักษิณาตั้งใจฟังอย่างดี ในใจกลับยิ่งวิตกมากขึ้นเรื่อยๆ
“จ้าวหิมะเหินแทบจะออกคำสั่งทันทีหลังจากได้ยินข้อมูลนี้ ว่าต้องการข้อมูลเกี่ยวกับคุกลับของประมุขรัฐเฉินฟ่านทั้งหมด ข้าก็ได้เก็บรวมรวมข้อมูลแล้วส่งไปให้อย่างรวดเร็ว แต่เมื่อส่งไปยังไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ประมุขรัฐเฉินฟ่านก็สิ้นใจไปแล้ว สิ้นใจในคุกลับนั่นเอง! แม้แต่เพชฌฆาตทั้งสามในคุกลับก็สิ้นใจกันหมด” มารรับใช้เพ่ยอวิ๋นกล่าว “บังเอิญเกินไปแล้ว ดังนั้นข้าจึงสงสัยว่าผู้ที่สังหารประมุขรัฐเฉินฟ่านก็คือจ้าวหิมะเหิน แน่นอนว่าเพียงแค่สงสัยเท่านั้นนะขอรับ”
ประมุขรัฐเมฆทักษิณาพยักหน้าน้อยๆ พลางกำชับว่า “มอบข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับเสวี่ยอิงที่ทางเจ้ารู้ทั้งหมดมาให้ข้าที”
“ขอรับ” มารรับใช้เพ่ยอวิ๋นกล่าวด้วยความเคารพ
เครือข่ายข้อมูลของสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์…
เนื่องจากมีมารรับใช้และวิญญาณอาวุธทั้งหลายเป็นผู้รับผิดชอบหลัก ดังนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงจึงออกคำสั่งโดยไม่กังวลว่าตนจะถูกเปิดเผย
แต่มารรับใช้และวิญญาณอาวุธเหล่านี้จงรักภักดีต่อประมุขรัฐเมฆทักษิณาอย่างสิ้นเชิง!
“เสวี่ยอิงเป็นคนทำหรือนี่” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาไม่อยากจะเชื่อ
สังหารได้เฉียบขาดนัก
ไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้เลยแม้แต่น้อย สิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูก็มิอาจตรวจสอบได้
ประมุขรัฐเฉินฟ่านที่สิ้นใจไปผู้นั้นยังมิทันได้ขอความช่วยเหลือเลยด้วยซ้ำ! จึงมิทันได้บอกตัวตนของมือสังหารให้โลกภายนอกได้รู้ ทั้งหมดนี้พิสูจน์แล้วว่า…ผู้ที่สังหารประมุขรัฐเฉินฟ่านจะต้องเป็นสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งแน่นอน
“เสวี่ยอิงสะดุดล้มก้าวใหญ่ในวังเทพจิตโลกา บัดนี้สามารถทำได้ถึงขั้นนี้แล้วหรือ” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาครุ่นคิด
ไม่นานนัก
ข้อมูลจำนวนมากเกี่ยวกับตงป๋อเสวี่ยอิงก็มาถึงมือประมุขรัฐเมฆทักษิณ
“เอ๊ะ” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาอ่านดูโดยละเอียดข้อมูลเหล่านี้ค่อนข้างยิบย่อย เป็นขีดจำกัดที่ทางเครือข่ายข้อมูลของสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์จะเก็บรวบรวมได้แล้ว
“เก็บรวบรวมเรื่องชั่วร้ายและหายนะพวกนี้ไปทำไมกัน” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาสงสัย
******
ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังดื่มสุราซึ่งมีรสชาติเฉพาะตัวอยู่ ณ โรงสุราข้างทางในเมืองเล็กๆ อันห่างไกลแห่งหนึ่งในรัฐฝูฉง สุรานี้สามารถทำให้ผู้บำเพ็ญอาศัย ‘การขายสุรา’ เป็นชีวิตจิตใจได้ ก็ย่อมต้องมีความพิเศษเป็นธรรมดา! ชื่อเสียงสามารถเลื่องลือไปได้ไกลพอตัว ก็ยิ่งไม่ธรรมดาเข้าไปใหญ่
“สุขสราญนักๆ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงดื่มลงไปคำใหญ่เสียงดังอึ้กๆๆ สุรานี้เป็นสีเขียวอ่อน ทั้งร่างโปร่งโล่งสบาย ทำให้คนอดดื่มไม่หยุดมิได้
สุรานี้ควรค่าแก่การดื่มคำโต
“สุราดีๆ ไม่ได้ดื่มสุราระดับนี้มาหลายวันแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกสุขสราญนัก “เอาสุรามาให้ข้าอีก”
สาวใช้รีบเข้ามาทันที “ใต้เท้า ยังต้องการอีกเท่าไหร่เจ้าคะ”
“โรงสุราของเจ้ามีสักเท่าไหร่เล่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม
“นี่คือ ‘สุราสกุลฉวี’ ที่มีเฉพาะในตระกูลของเจ้าของโรงสุราของพวกเราเจ้าค่ะ จะทำขึ้นมานั้นไม่ยาก แต่ต้องใช้เวลานานมาก แม้ภายในโรงสุราของพวกเราจะเก็บไว้จำนวนไม่มากนัก แต่ในตระกูลเก็บเอาไว้มากทีเดียวเจ้าค่ะ” สาวใช้พูดยิ้มๆ
ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าวว่า “ข้าต้องการหนึ่งส่วนของจำนวนที่ตระกูลพวกเจ้าเก็บเอาไว้”
“หนึ่งส่วนหรือเจ้าคะ” สาวใช้สะดุ้งโหยง
ด้านข้างก็มีแขกเหรื่อคนอื่นได้ยินเข้าก็พูดยิ้มๆ ว่า “พี่น้องท่านนี้ สุราสกุลฉวีมีชื่อเสียงมากในรัฐฝูฉงของพวกเรา พวกเขาสกุลฉวีขายสุราเป็นหลัก จึงเก็บสุราเอาไว้เป็นจำนวนมากมายนัก”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเหลือบมองสาวใช้แวบหนึ่งแล้วกล่าวว่า “รีบไปเร็วเข้า”
ก็ไม่น่าแปลกใจที่ตงป๋อเสวี่ยอิงต้องการมากมายถึงเพียงนี้ ผู้บำเพ็ญมีอายุขัยยืนยาว สุรานี้ก็ยังถูกปากตงป๋อเสวี่ยอิง ต่อให้มีมากกว่านี้ก็ยังไม่พอให้เขาดื่ม สำหรับผู้บำเพ็ญทั่วไปแล้ว สุราที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากนั้น…อาจจะเป็นเรื่องฟุ่มเฟือยมาก ตงป๋อเสวี่ยอิงซื้อสุราชั้นเลิศเหล่านี้ แต่กลับไม่สนใจราคาเลยแม้แต่น้อย เขาสังหารจวินอ๋องดำและประมุขรัฐเฉินฟ่าน ก็ได้ชดเชยความเสียหายในวังเทพจิตโลกาในตอนนั้นแล้ว ทั้งยังได้กำไรมหาศาลอีกด้วย
เจ้าของโรงสุราก็ตกใจมาก เขาเจรจาเรื่องราคากับตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างงุนงง สิ่งที่ทำให้เจ้าของโรงสุราตะลึงจนปากอ้าตาค้างก็คือ…การซื้อขายมูลค่ามหาศาลครั้งหนึ่งสำเร็จอย่างรวดเร็ว
สุราสกุลฉวีที่สำรองเอาไว้หนึ่งส่วนถูกตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไป ที่เขาต้องเสียไปก็แค่หกแสนแก้วผลึกจักรวาลเท่านั้น! สำหรับตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว ช่างไม่ควรค่าแก่การพูดถึงเลยจริงๆ
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งอยู่บนยอดเขาสูงที่เต็มไปด้วยพงไพรพลางชมดูกลีบเมฆ เขาได้สุราที่ชอบมาแล้ว ก็ฉวยน้ำเต้าบรรจุสุราขึ้นมาแหงนหน้าดื่มอึ้กๆๆ
“สุขสราญนักๆ ตลอดคืนวันอันยาวนานมาจนวันนี้ นี่เป็นสุราที่เหมาะแก่การดื่มอย่างสุขสราญที่สุดที่ข้าเคยพบมาเลย” วิญญาณอันสุขสราญของตงป๋อเสวี่ยอิงสั่นสะท้านน้อยๆ เขาเองก็นับว่าเคยดื่มสุราชั้นเลิศมามากมาย บ้างก็ต้องค่อยๆ ละเลียดลิ้มรส บ้างก็ราคาสูงเสียจนเกินเหตุ เกรงว่าไหหนึ่งคงต้องมีราคาเกินกว่าหกแสนแก้วผลึกจักรวาลไปไกลโข เมื่อเทียบกันแล้ว ก็นับว่าสุราสกุลฉวีราคางามแล้ว
สำหรับผู้บำเพ็ญทั่วไปแล้ว อาจจะเป็นการฟุ่มเฟือยอยู่บ้าง แต่สำหรับเทพจักรวาลก็ถือว่าราคาดียิ่งนัก
แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ชอบใจ
เขาดื่มสุราไปพลาง ห้วงสมองก็มีการปะทะของความเร้นลับวิถีอากาศต่างๆ ผุดขึ้นมา เมื่อมีความสุขถึงขีดสุดก็รับรู้ขึ้นมา แสงทิพย์ก็ปรากฏเร็วขึ้นมากทีเดียว
เขานั่งดื่มอยู่บนยอดเขาสิบกว่าวัน และเหม่อลอยมาสิบกว่าวัน จากนั้นก็เดินท่องไปตามผืนดินต่อไป
หลังได้รับสุราที่โปรดปรานมาแล้ว ไม่นานนักก็มีข่าวดีข่าวหนึ่งถูกส่งมา
“อิงซานเสวี่ยอิง เม็ดทรายอลวนที่เจ้าต้องการถูกเก็บรวบรวมจนครบแล้ว” เสียงหนึ่งดังก้องขึ้นข้างหูตงป๋อเสวี่ยอิง
ตงป๋อเสวี่ยอิงที่ถือน้ำเต้าสุราขึ้นมาพลางเดินโซซัดโซเซไปบนถนนของตัวเมืองแห่งหนึ่งพลันสะท้านวิญญาณ์ขึ้นมา จากนั้นเขาก็หายวับไปเสียงดังสวบ ทำเอาเหล่าผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนบนถนนสะดุ้งโหยง ปีศาจสุราตนหนึ่งจู่ๆ ก็หายวับไปอย่างนั้นหรือ
******
ในวังหลวงแห่งรัฐโบราณคิมหันตวายุ
ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าพบจักรพรรดิเซี่ย จักรพรรดิเซี่ยนั่งอยู่ตรงนั้น สายตาที่มองตงป๋อเสวี่ยอิงเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย
เขาสามารถสังหาร ‘จวินอ๋องดำ’ ได้สำเร็จในพริบตา พลังระดับนี้ ต่อให้เป็นเหล่าสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูก็ต้องให้ความสำคัญ
“คารวะฝ่าบาทจักรพรรดิเซี่ย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ
“เม็ดทรายอลวนแสนชั่งที่เจ้าต้องการ” จักรพรรดิเซี่ยโยนกำไลเก็บวัตถุวงหนึ่งออกมา
ตงป๋อเสวี่ยอิงรับเอาไว้
เมื่อตรวจดู
ภายในมีเม็ดทรายสีดำซึ่งเปล่งแสงแปลกประหลาดออกมามากมาย เม็ดทรายแต่ละเม็ดเล็กละเอียดมาก ราวกับเม็ดทรายบนหาดริมทะเลอย่างไรอย่างนั้น ทว่ายิ่งพินิจดูเม็ดทรายแต่ละเม็ด ก็ยิ่งรู้สึกว่ามีเสน่ห์ไร้ที่สิ้นสุด งดงามกว่าอัญมณีไหนๆ อย่างตอนที่บรรดาสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูเก็บรวบรวมแก่นแท้อลวนแล้วได้พบเม็ดทรายอลวนจำนวนเล็กน้อย…แม้พวกเขาจะมิอาจใช้ประโยชน์ให้ดีได้ แต่ก็เข้าใจดีว่านี่คือของล้ำค่า
เพื่อเก็บรวบรวมให้ได้แสนชั่ง จักรพรรดิเซี่ยก็ทุ่มเทไปไม่น้อย
ตลอดคืนวันอันยาวนาน ทั้งรัฐโบราณคิมหันตวายุมีเม็ดทรายอลวนทั้งหมดห้าหมื่นกว่าชั่งเท่านั้น ดังนั้นจักรพรรดิเซี่ยจึงได้ตามหา ‘ผู้พเนจร’ สิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูทางด้านวิถีอากาศอีกท่านหนึ่งทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา เม็ดทรายอลวนที่ผู้พเนจรมีอยู่เป็นรองเพียงจักรพรรดิเซี่ยเท่านั้น เขามีมากถึงสามหมื่นชั่งด้วยกัน! ความสัมพันธ์ระหว่างจักรพรรดิเซี่ยและ ‘ผู้พเนจร’ นับว่าไม่เลวนัก ผู้พเนจรจึงออกหน้าให้ ผู้พเนจรซื้อเม็ดทรายอลวนจากสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูคนอื่นๆ ในรัฐโบราณสหโลกา ท้ายที่สุดจึงรวบรวมมาได้จนครบ
หากจักรพรรดิเซี่ยออกหน้า เกรงว่าคงต้องถูกโก่งราคารุนแรงกว่านี้เสียอีก
“ประเสริฐ ไม่เสียที่ที่เป็นจักรพรรดิเซี่ย จึงรวบรวมได้รวดเร็วถึงเพียงนี้” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ สีหน้าดูเหมือนจะผ่อนคลายมาก แต่อันที่จริงหัวใจกลับเต้นรัวแรง
อาวุธที่เขากระหายเป็นที่สุดเล่มนั้น!
เคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งเจ็ดกระบวนคละถิ่นเหมาะกับอาวุธชิ้นนั้นเป็นที่สุด วัสดุหลักที่ต้องใช้ได้มาอยู่ในมือแล้ว แม้วัสดุเสริมที่เหลือจะล้ำค่ามากเช่นกัน แต่ก็ได้มาง่ายกว่ามากทีเดียว ทว่า ‘เม็ดทรายอลวน’ นั้นไม่เหมือนกัน บรรดาสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูเก็บรวบรวมก็ต้องค่อยๆ เก็บรวบรวมเป็นเวลานานแสนนาน ครั้งนี้ตนเก็บรวบรวมมาแสนชั่ง เกรงว่าที่เหลืออยู่ทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาก็คงไม่ถึงแสนชั่งแล้ว คิดจะเก็บรวบรวมให้ได้อีกแสนชั่ง…ไม่รู้จริงๆ ว่าจะต้องใช้เวลาถึงเมื่อใด!
วังเทพจิตโลกามอบเคล็ดวิชาหลอมอาวุธชิ้นนี้มาให้ ก็คงจะรู้ว่าในดินแดนจิตโลกาสามารถเก็บรวบรวมได้ครบกระมัง
“เจ้ารับรู้ปุจฉวิถีคละถิ่นของข้า ที่แท้แล้วเคี่ยวกรำเอาวิธีใช้งานเม็ดทรายอลวนอันใดออกมาได้ จึงร้อนรนอยากได้เม็ดทรายอลวนมากมายถึงเพียงนี้” จักรพรรดิเซี่ยเอ่ยถาม
“เม็ดทรายอลวนมีส่วนช่วยในการใช้พลังคละถิ่นอยู่บ้าง ข้าอยากจะทดลองดู” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มเล็กน้อย
“หากเจ้าค้นคว้าเคล็ดวิชาใช้งานเม็ดทรายอลวนออกมาได้ ก็สามารถขายให้ข้าได้นะ” จักรพรรดิเซี่ยรอคอยเป็นอันมาก
สำหรับจ้าวหิมะเหินตรงหน้าผู้นี้ ก็มิอาจดูแคลนได้เลยแม้แต่น้อย
เพราะถึงอย่างไรหากพูดถึงระดับขั้นกันจริงๆ แล้ว
บรรดาสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูก็เป็นเพียงขั้นสุดยอดเท่านั้น แต่จอมเคารพทั้งหลายเช่นตงป๋อเสวี่ยอิงและมหาเคารพฝูอี่ มีหลายคนที่มาถึงขีดจำกัดสุดท้ายแล้ว ระดับขั้นแตกต่างกันน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย ในด้านการใช้งานความเร้นลับ มหาเคารพบางท่านยังถึงขั้นคิดค้นเคล็ดวิชาพิเศษออกมา ทำให้มีพลังรบที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง! จักรพรรดิเซี่ยเองก็อยากได้ ‘เคล็ดวิชา’ พิเศษเหล่านี้เช่นเดียวกัน
เนื่องจากไม่แน่ว่าอาจจะสามารถกระตุ้นเขาได้ ทำให้ระดับขั้นของเขายกระดับขึ้นได้บ้าง และยิ่งมีหวังสามารถทะยานออกจากกรงขังนี้ได้
“หากข้าค้นคว้าออกมาได้ และจะขายแล้วล่ะก็ จะบอกจักรพรรดิเซี่ยให้ทราบเป็นคนแรกอย่างแน่นอน” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มสดใส
……
วันนั้น
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ออกจากรัฐโบราณคิมหันตวายุไป ไม่ว่าจะเป็นการสังหารจวินอ๋องดำและประมุขรัฐเฉินฟ่าน ก็ล้วนแต่เป็นการพิสูจน์เรื่องหนึ่งว่า…เหล่าสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูนั้นมิอาจสสะกดรอยตนได้จริงๆ!
ก่อนหน้านี้จักรพรรดิเซี่ย บรรพชนฝานและจักรพรรดิชางได้ยอมรับแล้ว
จวินอ๋องดำตายไปแล้ว ปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์จะต้องตรวจสอบอย่างเต็มที่แน่นอน แต่กลับมิอาจตรวจสอบจนพบตนได้
ประมุขรัฐเฉินฟ่านตายไปแล้ว จักรพรรดิเทพผลาญโลกาก็น่าจะพยายามตรวจสอบดูเช่นกัน
“มิอาจตามหาข้าได้พบ ก็แปลว่าปลอดภัยแล้ว” ร่างแยกของตงป๋อเสวี่ยอิงที่พกเม็ดทรายอลวนเอาไว้ปลอมแปลงกลิ่นอายก่อนชั่วคราว เขาแปลงโฉมแล้วกลับมายังนครหลวงคิมหันตวายุและซ่อนตัวอยู่ที่นี่
กบดานก่อนชั่วคราว
รอให้ได้วัสดุทั้งหมดจนครบ ก็จะเป็นเวลาของการหลอมอาวุธแล้ว
……
ณ วังหลวงของนครหลวงรัฐเมฆทักษิณา
ตงป๋อเสวี่ยอิงมาถึงที่พำนักของประมุขรัฐเมฆทักษิณาผู้เป็นอาจารย์
“ท่านอาจารย์ขอรับ ข้ามีเรื่องหนึ่งหวังว่าท่านอาจารย์จะช่วยเหลือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว
“อ้อ เรื่องอันใดรึ” ประมุขรัฐเมฆทักษิณามองดูตงป๋อเสวี่ยอิง ในใจมีความคิดมากมายผุดขึ้นมา เพราะถึงอย่างไรเครือข่ายข้อมูลก็เชื่อว่าเป็นไปได้มากว่าจ้าวหิมะเหินจะเป็นผู้สังหารประมุขรัฐเฉินฟ่าน
ตงป๋อเสวี่ยอิงโบกมือคราหนึ่ง ม้วนสาส์นม้วนหนึ่งก็ลอยออกมา
“ข้าต้องการสมบัติและวัสดุล้ำค่าทั้งหมดที่บันทึกเอาไว้บนนั้นขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว
หลังจากประมุขรัฐเมฆทักษิณารับมาแล้วก็มองดูแวบหนึ่ง ด้านบนมีสมบัติและวัสดุล้ำค่าเขียนอยู่แน่นขนัดไปหมด ประมุขรัฐเมฆทักษิณาพลันขมวดคิ้วขึ้นมา สมบัติและวัสดุล้ำค่าเหล่านี้นับว่าได้มาค่อนข้างง่าย แต่เมื่อรวมๆ กันราคาก็แพงแล้ว ทั้งหมดต้องใช้ราวหนึ่งแสนล้านแก้วผลึกจักรวาล! ต่อให้เป็นประมุขรัฐเมฆทักษิณา ก็นับว่าเป็นค่าใช้จ่ายมหาศาลอยู่ดี
ศิษย์ของตนคนนี้คงจะไม่อยากได้ไปโต้งๆ หรอกกระมัง
“นี่คือสมบัติลับระดับยอดชิ้นหนึ่ง เพียงพอจะซื้อสมบัติและวัสดุล้ำค่าเหล่านี้ได้แล้วกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงยื่นมือออกไป กลางฝ่ามือมีดาบโค้งที่อยู่ในฝักเล่มหนึ่งปรากฏขึ้น ดาบโค้งแผ่กลิ่นอายดำมืดออกมา
ประมุขรัฐเมฆทักษิณามองดูสมบัติลับระดับยอดสุดชิ้นนี้
เขาตกใจเพราะการทุ่มเทด้วยสมบัติลับระดับยอด และยิ่งตกใจเพราะความเป็นมาของสมบัติลับชิ้นนี้
เพราะดาบโค้งเล่มนี้…
เป็นอาวุธของจวินอ๋องดำ!
“จวินอ๋องดำก็เป็นฝีมือเจ้าสังหารหรือ” ประมุขรัฐเมฆทักษิณามองตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยความตกตะลึงเหลือแสน
……………………………………….
ภาคที่ 35 มหาเคารพหิมะเหิ...
ตอนที่ 19 สิ่งที่ข้าควรทำ
แม้ประมุขรัฐเมฆทักษิณาจะได้รับรายงานและสงสัยว่าอิงซานเสวี่ยอิงสังหารประมุขรัฐเฉินฟ่านผู้นั้นทิ้งไป แต่ความคิดที่ว่า ‘ผู้ที่สังหารจวินอ๋องดำก็คืออิงซานเสวี่ยอิง’ นี้ กลับแค่แวบเข้ามาในห้วงสมองเท่านั้น เพียงครู่เดียวก็ทิ้งออกไปจากสมองแล้ว เนื่องจากเขาเข้าใจดีมากว่า จะสังหารภายในชั่วระยะเวลาสั้นๆ จนแม้แต่ปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์ก็มิอาจช่วยไว้ได้ทันนั้นยากเย็นเพียงใด!
จวินอ๋องดำมิใช่ผู้ที่ประมุขรัฐเฉินฟ่านจะสามารถเทียบได้
เมื่อทอดสายตาไปทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา นอกจากสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูแล้ว ผู้ที่สามารถทำถึงขั้นนี้ได้ก็มีจำนวนไม่เกินสองมือนับได้เท่านั้น ต่อให้เป็นตัวเขา ประมุขรัฐเมฆทักษิณาก็ต้องอยู่ในนครหลวงรัฐเมฆทักษิณาเท่านั้นจึงจะสามารถทำได้ หากอยู่ภายนอกเขาก็ทำมิได้เช่นกัน
“เป็นข้าสังหารเองขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้ายอมรับพลางยิ้มน้อยๆ แล้วหยิบอาวุธของจวินอ๋องดำออกมา เขามิได้วางแผนปิดบัง
“เจ้า เจ้าทำได้อย่างไรกัน เป็นไปได้อย่างไรกัน” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาไม่อยากจะเชื่อ
“วิถีเขตลวงโลกเทียมของข้าบรรลุถึงเทพจักรวาลชั้นที่สองแล้ว ท่านอาจารย์คงจะทราบว่า คัมภีร์โลกเทียมที่บรรลุถึงเทพจักรวาลชั้นที่สองนั้นล้ำค่าเพียงใด” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย
อย่างก่อนหน้านี้ พวกจักรพรรดิเซี่ยก็ได้ขอเอาไว้ว่าก่อนจะรวบรวมเม็ดทรายอลวนได้ครบนั้น ห้ามแพร่งพรายไปภายนอกว่าโลกเทียมบรรลุเทพจักรวาลชั้นที่สองแล้ว เพื่อป้องกันมิให้เกิดสิ่งไม่คาดคิดต่างๆ ขึ้น
“เจ้าบรรลุเขตลวงโลกเทียมแล้วหรือ” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาทั้งแตกตื่นและกระจ่างแจ้งขึ้นมา “ขายให้รัฐโบราณคิมหันตวายุไปแล้วหรือ”
“ขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
“อย่าขายราคาต่ำเกินไปล่ะ” ประมุขรัฐเมฆทักษิณากล่าว “คัมภีร์ระดับนี้ บรรพชนฝานและประมุขรัฐเสียดฟ้าล้วนยินดีทุ่มเทราคามหาศาลเพื่อให้ได้มา เพราะนี่เกี่ยวโยงถึงเส้นทางการบำเพ็ญของพวกเขา! ต่อให้เป็นรัฐโบราณใหญ่ทั้งหลาย ก็ล้วนให้ความสำคัญกับคัมภีร์จำพวกวิญญาณต่างๆ เป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากจวบจนบัดนี้ทั้งดินแดนจิตโลกาก็ยังไม่มีคัมภีร์ขั้นสุดยอดจำพวกวิญญาณเลย”
“ขอรับ ราคาขายยังพอใช้ได้ ในจำนวนนั้นข้ายังได้สมบัติลับ ‘ดอกบัวเพลิงห้วงอากาศ’ มาชิ้นหนึ่งด้วย สมบัติลับระดับยอดนี้เหมาะกับข้าเป็นอย่างมาก ข้าค้นคว้ามานานแสนนาน และได้คิดค้นท่าไม้ตายต่างๆ ขึ้นมา ด้วยการผสานกับสมบัติลับระดับยอดสุดชิ้นนี้ อาศัยท่าไม้ตายกระบวนหนึ่ง ก็สามารถสังหารจวินอ๋องดำได้สำเร็จขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว
ประมุขรัฐเมฆทักษิณาฟังแล้วก็ทั้งอิจฉาทั้งแตกตื่น
ดอกบัวเพลิงห้วงอากาศ…
เขาเองก็ยังต้องมองตาเป็นมันเลย!
ทว่าเขาก็เข้าใจดีว่า ในดินแดนจิตโลกา มีสมบัติลับระดับยอดสุดที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งอยู่หลายชิ้นด้วยกัน แต่ที่สามารถสังหารจวินอ๋องดำได้อย่างง่ายดายกลับมีน้อยเสียจนน่าสงสาร
“คิดไม่ถึงว่าเสวี่ยอิงจะเติบโตมาถึงขั้นนี้ได้อย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้ เกรงว่าพลังของเจ้าคงจะเหนือกว่าข้าไปแล้ว” ประมุขรัฐเมฆทักษิณามองดูดาบโค้งในมือที่แผ่กลิ่นอายดำมืดออกมา “สมบัติลับชิ้นนี้มีชื่อเสียงโด่งดังมาก แทบจะไม่มีผู้ใดยอมนำสมบัติลับระดับยอดสุดแลกเปลี่ยนเป็นแก้วผลึกจักรวาลหรอก! หากจะคำนวณราคากันจริงๆ แล้ว สมบัติลับของจวินอ๋องดำชิ้นนี้ก็สามารถคำนวณได้สักสามแสนล้านแก้วผลึกจักรวาลเลยทีเดียว! วัสดุที่เจ้าต้องการพวกนั้น ราวหนึ่งแสนเจ็ดหมื่นล้านแก้วผลึกจักรวาลก็เพียงพอแล้ว ยังเหลืออีกตั้งมากมาย! เจ้ายังต้องการอะไรอีกหรือไม่ หากไม่ต้องการ ข้าก็จะมอบแก้วผลึกจักรวาลให้เพื่อชดเชยให้เจ้า”
ประมุขรัฐเมฆทักษิณาย่อมไม่มีทางเอาเปรียบมากขนาดนี้
“ท่านอาจารย์ ตอนนั้นท่านมอบอาภรณ์ราชันย์มารให้ข้า ข้าก็รับมาเฉยๆ เช่นกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว
“นั่นคือการแลกเปลี่ยนอย่างยุติธรรมที่เจ้ารักษาสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ให้ข้า” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาพูดยิ้มๆ “เอาล่ะ ผู้ใดไม่รู้บ้างเล่าว่าผู้ที่มั่งคั่งที่สุดในระดับจอมเคารพของทั้งดินแดนจิตโลกาก็คือข้า อาจารย์ของเจ้าคนนี้ ข้าไม่มีทางละโมบเอาของน้อยนิดเช่นนี้จากเจ้าหรอก สำหรับข้าแล้ว สามแสนล้านแก้วผลึกจักรวาลก็สามารถซื้อสมบัติลับเช่นนี้ได้ทุกที่นั่นแหละ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงครุ่นคิดอยู่สักครู่ก่อนจะพลิกมือคราหนึ่งแล้วหยิบม้วนสาส์นชิ้นหนึ่งออกมา บนม้วนสาส์นเริ่มมีร่องรอยตัวอักษรปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพียงชั่วครู่ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็บันทึกสมบัติล้ำค่าและวัสดุเอาไว้จำนวนมาก
“วัสดุเหล่านี้ต้องใช้ราวหนึ่งแสนล้านแก้วผลึกจักรวาล” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่งม้วนสาส์นใหม่ให้อาจารย์อีกครั้ง “อาจารย์ช่วยข้าเก็บรวบรวมหน่อยนะขอรับ เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว นอกจากนี้สมบัติลับของจวินอ๋องดำผู้นั้น…เกรงว่าในระยะเวลาอันสั้นคงยังมิอาจเปิดเผยออกไปได้ มิเช่นนั้นแล้ว เกรงว่าทั่วหล้าคงจะสงสัยว่าท่านอาจารย์หรือไม่ก็ข้าเป็นมือสังหาร”
ประมุขรัฐเมฆทักษิณากล้านำดาบโค้งเล่มนี้ออกมาอย่างเปิดเผยเช่นนี้
จะต้องมีหลายคนที่สงสัยอย่างแน่นอน เนื่องจากเขา ประมุขรัฐเมฆทักษิณาหรืออิงซานเสวี่ยอิงก็ล้วนแต่เป็นยอดฝีมือด้านวิถีอากาศระดับเทพจักรวาลชั้นที่สอง
“เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะเอาเปรียบเจ้าเล็กๆ น้อยๆ ก็แล้วกัน ส่วนดาบโค้งนี้ ฮ่าฮ่า ข้าไม่รีบร้อนหรอก คืนวันยาวนานนัก ในภายหน้าก็มีโอกาสใช้มันแลกเอาผลประโยชน์ที่ข้าต้องการได้ ส่วนเสวี่ยอิง พลังแข็งแกร่งพอ มิอาจปกปิดเอาไว้ได้ ถึงอย่างไรในภายหน้าก็ต้องเผยพลังออกมาอยู่ดี” ประมุขรัฐเมฆทักษิณามองดูตงป๋อเสวี่ยอิง “ถึงตอนนั้นหากปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์รู้เข้า เจ้าควรทำเช่นไรเล่า เจ้าควรจะเข้าใจนิสัยของปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์ นับว่าครั้งนี้เจ้าตบหน้าเขาอย่างแรง เขาไม่มีทางละเว้นเจ้าง่ายๆ แน่นอน”
“ช่างเขาเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดเสียงเรียบ
ประมุขรัฐเมฆทักษิณาเห็นเข้าก็พูดต่อว่า “มีหวังพอจะรับมือได้หรือไม่”
สามารถสังหารจวินอ๋องดำได้อย่างง่ายดาย…เมื่อเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูก็ต้องมีหวังรักษาชีวิตเอาไว้ได้จึงจะถูกต้อง
“รักษาชีวิตเอาไว้ก็ยังพอมีหวังขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว
“อื้ม”
ประมุขรัฐเมฆทักษิณาพยักหน้าน้อยๆ จากนั้นก็ขมวดคิ้วถามว่า “เจ้าสังหารจวินอ๋องดำ ข้ายังพอเข้าใจได้ เพราะถึงอย่างไรเขากับเจ้าก็มีความแค้นใหญ่หลวงต่อกันอยู่ก่อนแล้ว เขาตัดเส้นทางการบำเพ็ญในวังเทพจิตโลกาของเจ้า ความแค้นใหญ่หลวงนี้ต้องชำระ! แต่ว่า…เหตุใดเจ้าจึงไปสังหารประมุขรัฐเฉินฟ่านเสียเล่า เขากับเจ้าคงไม่มีความแค้นอันใดหรอกกระมัง นอกจากนี้ เจ้ารู้ทั้งรู้ว่าปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์อาจจะลอบเฝ้าดูอยู่ แต่ก็ยังคงไปช่วยกอบกู้ตัวเมืองทั้งสิบเก้าแห่งอย่างนั้นหรือ หรือว่าเจ้าเกลียดชังความชั่วร้ายดั่งศัตรูคู่แค้นจริงๆ”
ศิษย์ของตนนั้นต้องการข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวโยงถึงการเข่นฆ่าและหายนะครั้งใหญ่จากสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์
เรื่องนี้ทำให้ประมุขรัฐเมฆทักษิณารู้สึกว่า…ศิษย์ของตนคนนี้เกลียดชังความชั่วร้ายดั่งศัตรูคู่แค้นเกินไปหน่อย
“นั่นเป็นสิ่งที่ข้าสมควรทำอยู่แล้วขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม
“สมควรทำหรือ” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาสะดุ้ง “อะไรกันที่เรียกว่าสมควรทำ ก่อนหน้านี้เจ้ามิได้เป็นอย่างนี้เสียหน่อย”
“ก่อนหน้านี้ข้ามิได้เป็นเช่นนี้ ก็เพราะพลังไม่เพียงพอ หากฆ่าๆๆ อย่างโง่งม เกรงว่าคงจะตายไปนานแล้ว คงเติบโตมาไม่ถึงระดับขั้นเช่นทุกวันนี้แล้วล่ะขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “มีพละกำลังยิ่งใหญ่เท่าไหร่ จึงจะสามารถรับผิดชอบได้ใหญ่หลวงเท่านั้น บัดนี้พลังของข้ามาถึงขั้นนี้แล้ว ข้าจึงย่อมมิอาจมองดูทั้งหมดนี้เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาได้อย่างแน่นอน ดังนั้นข้าจึงสมควรทำขอรับ”
ประมุขรัฐเมฆทักษิณาเงียบงันไปครู่หนึ่ง
เขาเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว
สมควรทำหรือ
นี่คือความคิดที่ออกมาจากก้นบึ้งหัวใจตามธรรมชาติ นี่ก็คือการรู้จักตนเอง เป็น ‘จิตแห่งวิถี’
“เจ้าทำเช่นนี้จะเหนื่อยมากนะ” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาเอ่ยปากพูด
“เหนื่อย เหตุใดจึงเหนื่อยขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้าด้วยความสงสัย “สำหรับข้าแล้วนั้นเป็นเรื่องที่สบายมาก เดิมทีการบำเพ็ญก็ต้องต่อสู้และเคี่ยวกรำอยู่แล้ว ข้าเพียงแค่พบว่ามีมารร้าย จึงลงมือสังหารก็เท่านั้นเอง! นอกจากนี้เมื่อมองเห็นท่าทางยินดีปรีดาของสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนที่กระโดดออกมาจากหายนะได้ ข้าก็รู้สึกดีใจจากก้นบึ้งหัวใจเช่นกัน นี่เป็นเรื่องเบิกบานใจและพึงพอใจมากอย่างหนึ่ง”
จิตแห่งวิถี
จะต้องยืนหยัดและปฏิบัติจริง!
“เอาล่ะ เป็นความผิดของข้าเอง ข้ารู้สึกว่าเหนื่อยและยุ่งยาก แต่สำหรับเจ้าแล้ว กลับเป็นเรื่องเบิกบานใจและพึงพอใจมาก” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาส่ายหน้า “แต่ว่าเสวี่ยอิง การบำเพ็ญเป็นการยกระดับอย่างต่อเนื่องของสิ่งมีชีวิต สิ่งมีชีวิตที่แตกต่างกันมากเสียยิ่งกว่ามาก ก็จะเห็นผู้ที่อ่อนแอราวกับมดปลวกจริงๆ! สำหรับบรรดา ‘สิ่งมีชีวิตคละถิ่น’ สิ่งมีชีวิตระดับสูงยิ่งกว่าที่สามารถกระโดดออกจากกรงขังของโลกกำเนิดได้ ก็เห็นผู้บำเพ็ญภายในกรงขังอย่างพวกเราเป็นเหมือนดั่งมดปลวกจริงๆ สำหรับพวกเรา เทพโลกาเทพแท้ที่อ่อนแอเหล่านั้นก็เป็นเพียงมดปลวกเท่านั้น เจ้าไม่จำเป็นต้องลงมือ แค่พ่นลมหายใจออกมาระลอกหนึ่งก็สามารถสังหารได้เป็นจำนวนนับไม่ถ้วนแล้ว หากมิใช่มดปลวกแล้วจะเป็นอะไรเล่า”
ตงป๋อเสวี่ยอิงได้ฟังแล้วก็เข้าใจทันทีว่าอาจารย์ประมุขรัฐเมฆทักษิณาเหมือนจะเข้าใจ ‘สิ่งมีชีวิตคละถิ่น’ ดีไม่น้อยเลยทีเดียว
“มดปลวกหรือขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม “แม้พวกเราจะเป็นเทพจักรวาล แต่ก็เป็นเด็กน้อยอ่อนแอที่ค่อยๆ เติบโตขึ้นมาทีละก้าวๆ เช่นกัน ประสบกับภยันตรายจำนวนนับไม่ถ้วนแล้วเติบโตมาจนถึงทุกวันนี้! เติบโตจากผู้ที่อ่อนแอมาถึงขั้นเทพจักรวาล แล้วมองกลับไปยังผู้ที่อ่อนแอ ก็เห็นผู้ที่อ่อนแอเป็นดั่งมดปลวกไปแล้วหรือ ผู้บำเพ็ญก็มิอาจลืมรากเหง้าของตนได้!”
“นี่มิใช่การลืมรากเหง้า นี่คือการยกระดับการบำเพ็ญต่างหากเล่า” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาโต้กลับ “เดิมทีเส้นทางการบำเพ็ญก็ยากลำบากมากอยู่แล้ว เมื่อเผชิญกับหายนะอันหนักหน่วง ผู้บำเพ็ญจำนวนไม่น้อยก็ล้มลง! พวกเราสามารถเดินมาจนถึงทุกวันนี้ได้นั้นไม่ง่ายเลย มีพรสวรรค์ มีโอกาส มีการบำเพ็ญจิต และมีโชคบ้าง …สามารถเดินมาจนถึงระดับนี้ได้ก็ยากเกินไปแล้ว ไยจึงต้องเพิ่มอันตรายและตัวแปรตั้งมากมายให้ตนเองเพื่อผู้ที่อ่อนแอด้วยเล่า พวกเขาล้วนมีเส้นทางของตนเอง ก็ให้พวกเขาสู้ให้เต็มที่เถิด”
“หากข้าไม่ไปทำ ผู้ที่อ่อนแอจำนวนนับไม่ถ้วนก็คงไม่มีแม้แต่โอกาสสู้สุดชีวิตด้วยซ้ำ” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า “เส้นทางการบำเพ็ญมีภยันตรายหนักหน่วงอยู่แล้ว แต่การเข่นฆ่าขนานใหญ่นั้นมิใช่ภยันตราย หากแต่เป็นการทำลายระเบียบของโลกการบำเพ็ญทั้งหมด! หากแต่ละคนล้วนมัวแต่เอาตัวรอด เช่นนั้นผู้ที่อ่อนแอก็จะตายไปกันหมด ผู้ที่มีกำลัง ย่อมต้องแบกรับภาระ นี่จัดเป็นความรับผิดชอบของตนอยู่แล้ว!”
“ตอนที่ข้าอ่อนแอก็สามารถถอยหนีได้”
“ตอนที่ข้าแข็งแกร่ง ก็ต้องออกหน้าให้ได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว
“แต่เช่นนี้เจ้า…ก็จะไปยั่วยุศัตรูที่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาพูดขึ้นอย่างอดมิได้ “เจ้ารู้ไหมว่า ก่อนสงครามรัฐโบราณครั้งที่หนึ่ง ผู้ที่ได้รับการยอมรับทั่วไปว่ามีพลังเป็นอันดับหนึ่งของทั้งดินแดนจิตโลกามิใช่จักรพรรดิเซี่ย หากแต่เป็นสิ่งมีชีวิตอีกท่านหนึ่ง”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า “ข้าทราบขอรับ ว่าเป็นราชันย์อนธการอมตะ ว่ากันว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดหวั่นผู้นำมาซึ่งความสิ้นหวังและความตาย”
“ถูกต้อง ในบรรดาสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรู เขาเป็นคนที่ชั่วร้ายที่สุดคนหนึ่ง” ประมุขรัฐเมฆทักษิณากล่าว
ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มออกมา “ข้าต้องรู้แน่นอนอยู่แล้วขอรับ เพราะถึงอย่างไรก็มีตำนานเกี่ยวกับเขาตั้งมากมาย ทว่าเขามิได้หายสาบสูญไร้ร่องรอยไปแล้วหรือขอรับ นับตั้งแต่สงครามรัฐโบราณครั้งที่หนึ่งจวบจนบัดนี้ก็ไม่มีข้าวของเขาเลย วันคืนยาวนานถึงเพียงนี้ เกรงว่าคงจะสิ้นใจไปนานแล้วล่ะขอรับ” สิ่งมีชีวิตที่แทบจะเท่ากับสิ้นใจไปแล้ว สามารถจินตนาการได้ว่าตอนนั้นลูกไม้ของเขาชั่วร้ายและอำมหิตเพียงใด
ประมุขรัฐเมฆทักษิณามองดูตงป๋อเสวี่ยอิง
แม้จะไม่เห็นด้วยกับ ‘การรับรู้จิตแห่งวิถี’ ของศิษย์ แต่ก็มิได้ปิดบังว่าเขานับถือคนเช่นนี้
“เขายังไม่ตาย” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาเอ่ย “เขากลับมาแล้ว”
“กลับมาแล้วหรือขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงงุนงง “กลับมาแล้วแปลว่าอะไรกัน”
ภาคที่ 35 มหาเคารพหิมะเหิ...
ตอนที่ 20 ชีวิตการบำเพ็ญ
ประมุขรัฐเมฆทักษิณากล่าวว่า “ในตำนานบอกว่าตอนนั้นมีโอกาสอยู่ครั้งหนึ่งซึ่งมีหวังจะได้สำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่น! ดังนั้นก่อนหน้าสงครามรัฐโบราณครั้งที่หนึ่งก็เคยมีสงครามครั้งใหญ่ ครั้งนั้นราชันย์อนธการอมตะแย่งชิงโอกาสมาไว้ในมือได้ จากนั้นก็จากดินแดนจิตโลกาไป แล้วก้าวไปบนเส้นทางการโจมตีเพื่อเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่น เพียงแต่คืนวันอันยาวนานผ่านพ้นไป บัดนี้เขาก็กลับมาแล้ว เห็นได้ชัดว่าการโจมตีล้มเหลว”
“เขาไปโจมตีที่ไหนเพื่อให้สำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นหรือขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงแปลกใจ
“เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้แล้ว หยวนอาจจะรู้ก็ได้กระมัง” ประมุขรัฐเมฆทักษิณากล่าว
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าเบาๆ “ใช่แล้ว ท่านอาจารย์ เหมือนข้าจะไม่เห็นข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตคละถิ่นบันทึกเอาไว้ในคัมภีร์เลยขอรับ”
“ฮ่าฮ่า ข้อมูลเหล่านี้ล้วนแต่ล้ำค่ามาก อาจารย์ของเจ้าอย่างข้าก็ค่อยๆ รู้เรื่องพวกนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาล่วงเลยไป” ประมุขรัฐเมฆทักษิณายิ้ม “ทั้งดินแดนจิตโลกา วังเทพจิตโลกามีการชี้แนะบางคนจนสำเร็จเป็น ‘สิ่งมีชีวิตคละถิ่น’ ได้ว่ากันว่าพวกเขาล้วนมีเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งทั้งสิ้น เคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งซึ่งเหมาะสมกับตนเองสักวิชาหนึ่งนั้นเพียงพอจะทำให้สิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูสักคนคลุ้มคลั่งได้ มันยาหาได้ยากกว่าสมบัติลับอันสูงส่งเสียอีก! นอกจากนี้แล้ว…ก็มีแต่สถานที่อันตรายอันดับหนึ่งของดินแดนจิตโลกาอย่าง ‘หุบเขาเขี้ยวหัก’ เท่านั้นจึงจะเป็นสถานที่ที่มีโอกาสระดับยอดซ่อนอยู่มากมายอย่างแท้จริง!
“ยอดเขาที่สูงที่สุดของหุบเขาเขี้ยวหักเหมือนกับฟันที่หักไปครึ่งหนึ่งถูกต้องหรือไม่” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาพูดยิ้มๆ
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
เรื่องนี้เขารู้ดี!
ก็เพราะยอดเขาขนาดมหึมาที่เหมือนกับฟันที่หักไปนั่นเอง จึงถูกตั้งชื่อว่าหุบเขาเขี้ยวหัก ความกว้างขวางของหุบเขาเขี้ยวหักนั้นเท่ากับรัฐโบราณคิมหันตวายุสามแห่งเลยทีเดียว ที่รู้กันทั่วไปนั้น สิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูที่สิ้นใจไปในนั้นมีอยู่สองท่านด้วยกัน
“โครงกระดูกและซากของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นมิใช่เพียงร่างเดียวที่ถูกโยนทิ้งไว้ในหุบเขาเขี้ยวหัก”
“ด้วยเหตุนี้ ทั้งหุบเขาเขี้ยวหักจึงมีเรื่องน่าพิศวงเกิดขึ้นมากมาย! ทั้งให้กำเนิดโลกขึ้นมาเป็นจำนวนมาก ให้กำเนิดสิ่งพิสดารต่างๆ ขึ้นมา ทั้งยังมีอันตรายอีกด้วย สิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูอาจจะสิ้นใจด้วยเหตุนี้ก็เป็นได้ ร่างแยกเหล่านี้ของพวกเรายังดีหน่อย หากตายไป ก็แค่เสียร่างแยกไปก็เท่านั้นเอง” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาอธิบาย “ในภายหน้าเมื่อเจ้าเข้าไปบุกฝ่าก็จะเข้าใจเอง วังเทพจิตโลกานั้นไม่มีอันตรายอันใด แต่หุบเขาเขี้ยวหักกลับเต็มไปด้วยอันตราย! แต่ก็มีโอกาสเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตคละถิ่นเป็นจำนวนมาก”
ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังแล้วก็นัยน์ตาเป็นประกาย
‘หยวน’ ได้ทำให้ดินแดนจิตโลกากลายเป็นดินแดนของตนไปอย่างสมบูรณ์แล้ว จึงได้โยนสิ่งที่ได้จากการชนะศึกที่เขาไม่ได้ใช้ทิ้งไปอย่างนั้นหรือ
โครงกระดูกของสิ่งมีชีวิตคละถิ่น มิใช่เพียงร่างเดียวอย่างนั้นหรือ
“อย่างราชันย์อนธการอมตะ ช่วงเวลาก่อนหน้านี้ก็เคยไปยังหุบเขาเขี้ยวหักมาก่อน” ประมุขรัฐเมฆทักษิณามองดูตงป๋อเสวี่ยอิง “เขาแตกต่างกับพวกเรา ราชันย์อนธการอมตะสู้สุดชีวิตมาตลอด หมายจะกระโดดออกจากกรงขังและสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตอีกระดับชั้นหนึ่ง วิธีการของเขามีชื่อเสียงเรื่องความชั่วร้ายและอำมหิต หากเจ้าทำเช่นนี้ต่อไป และทำให้เรื่องของเขาเสียหาย เช่นนั้นก็จะเป็นการขัดขวางเส้นทางการบำเพ็ญของเขา เกรงว่าเขาคงจะไม่ปล่อยเจ้าเอาไว้แน่”
“ครั้งนี้เจ้าล่วงเกินปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์ ในภายหน้าหากทำเช่นนี้ต่อไป ก็ยังอาจล่วงเกินราชันย์อนธการอมตะซึ่งน่ากลัวกว่านี้เข้าด้วย ไม่แน่ว่า เจ้าอาจจะล่วงเกินสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูที่มีลูกไม้โหดร้ายกว่านี้เข้าอีกสักคนสองคนก็เป็นได้” ประมุขรัฐเมฆทักษิณามองดูตงป๋อเสวี่ยอิง “ต่อให้เจ้าสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรู เจ้าก็ขัดขวางพวกเขาไม่ได้อยู่ดี”
“หากสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นก็สามารถขัดขวางได้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม “เดิมทีการขัดขวางสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูก็เหนือกว่าขอบเขตที่พลังของข้าในตอนนี้จะสามารถทำได้อยู่แล้ว”
“ระวังหน่อยล่ะ” ประมุขรัฐเมฆทักษิณามิได้พูดให้มากความอีกต่อไป
******
เวลาล่วงเลยไป
หลังจากไปเยี่ยมคารวะอาจารย์ประมุขรัฐเมฆทักษิณาแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิได้ออกไปท่องภายนอกอีก หลังจากผ่านศึกใหญ่มาสองครั้ง สังหารจอมเคารพคนหนึ่งและมารร้ายระดับเทพจักรวาลชั้นที่สองคนหนึ่ง ภายในใจของตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีอารมณ์พลุ่งพล่านมาตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้สุราสกุลฉวีมาแล้วดื่มอย่างบ้าคลั่งเป็นเวลาสิบกว่าวัน เขาก็เข้าใจวิถีอากาศในรูปแบบใหม่ๆ ท่าไม้ตายใหม่กระบวนหนึ่งกำลังบ่มเพาะขึ้นภายในใจของเขา
เขาต้องการสงบสติอารมณ์ เพื่อที่จะได้ไตร่ตรองและรับรู้
คิดจะบรรลุถึงขั้นสุดยอดมิได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น ส่วนการอาศัยความเข้าใจที่แตกต่างกันไปคิดค้นกระบวนท่าที่แตกต่างกันขึ้นมาก็เป็นการสั่งสมอย่างหนึ่ง ซึ่งการสั่งสมนั้นจะยิ่งลึกล้ำขึ้นเรื่อยๆ ในภายหน้าก็มีหวังมากที่จะบรรลุ
……
หลังจากเยี่ยมคารวะประมุขรัฐเมฆทักษิณาเพียงไม่กี่เดือน ระบบข่าวสารของสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ก็ส่งรายงานมาอีกฉบับหนึ่ง
“การบูชาโลหิต เมืองอันหยากู่รึ”
เมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิบำเพ็ญเพียรอยู่ในห้องเงียบได้รับรายงาน แววอาฆาตก็ผุดขึ้นมาในดวงตา
ตอนนั้นเขากลับชาติมาจุติยังดินแดนจิตโลกา และร่อนลงมายัง ‘เมืองอัคคีโชติ’ ก็เคยประสบกับการบูชาโลหิตมาก่อน ครั้งนั้นเขากระโดดออกมา และใช้กำลังต่อสู้กับประมุขมารเมฆาขาว! ท้ายที่สุดเมืองอัคคีโชติก็พ้นจากหายนะทั้งปวงได้
บัดนี้…
มีการบูชาโลหิตอีกแล้วหรือ
“เฮอะ” อากาศตรงหน้าตงป๋อเสวี่ยอิงปริออกเป็นรอยแยกสีดำทะมึนสายแล้วสายเล่า จากนั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงกะพริบวาบคราหนึ่งก็ทะลุผ่านรอยแยกมุ่งหน้าไปอีกฝั่งหนึ่ง
*******
เดิมทีการบูชาโลหิตในเมืองแห่งหนึ่งก็พบเห็นได้บ่อยทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาอยู่แล้ว เมื่อผ่านการบูชาโลหิต ในภายหลังเมื่อเผชฺญกับลูกไม้อื่นๆ ก็สามารถสกัดเอา ‘แก่นวิญญาณโลหิต’ ออกมาได้ นี่คือสิ่งที่สามารถเทียบได้กับ ‘แก่นแท้อลวน’ ซึ่งมีประโยชน์ต่อวิญญาณเป็นอย่างมาก ส่วนผู้ที่สามารถสกัดแก่นวิญญาณโลหิตออกมาได้นั้น…แต่ละคนล้วนแต่เป็นมารร้ายที่มีชื่อเสียงดังก้องไปทั่วดินแดนจิตโลกาซึ่งผ่านการทดลองมาตั้งไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง
เช่นเจ้าลัทธิเหยียนโม๋ ก็รู้จักสกัดและหลอมแปรแก่นวิญญาณโลหิตขึ้นมา
แม้จะพบเห็นได้บ่อย…แต่ถึงอย่างไรก็เป็นเมืองแห่งหนึ่ง อายุขัยของผู้บำเพ็ญก็ยาวนานมาก ดังนั้นการบูชาโลหิตในดินแดนจิตโลกาก็ต้องห่างไประยะหนึ่งจึงจะเกิดขึ้นสักครั้ง ต่อให้เป็นระดับอย่าง ‘รัฐประกายเพลิง’ ซึ่งมีการบูชาโลหิตในตัวเมืองมากมายอย่างยิ่ง ก็ต้องนานแสนนานจึงจะมีสักครั้ง เพราะต้องให้เวลาพวกเขาวิวัฒน์และเติบโตด้วย
“ไม่”
“สู้สุดชีวิตกับพวกเขาก็แล้วกัน”
เมืองอันหยากู่ตกอยู่ท่ามกลางความสิ้นหวังกันหมด
บรรดาชาวเมืองนี้ต่างพากันเงยหน้าขึ้น มองดูกองกำลังมารร้ายกองแล้วกองเล่าที่รวมตัวกันขึ้นมา ในบรรดาชาวเมืองจำนวนนับไม่ถ้วนมีเด็กน้อยที่หวาดผวาเสียจนปล่อยโฮออกมา มีผู้บำเพ็ญที่หมายจะสู้สุดชีวิตอย่างสิ้นหวังเพื่อคนในครอบครัว บ้างก็คิดเอาชีวิตรอด บ้างก็มีผู้ที่คลุ้มคลั่งไป…ความวุ่นวายต่างๆ ‘เมืองอันหยากู่’ แห่งนี้เป็นตัวเมืองที่ใหญ่กว่าเมืองอัคคีโชติอยู่บ้าง แต่ก็มิอาจสกัดกั้นเอาไว้ได้เช่นเดียวกัน
มิใช่ตัวเมืองทั้งหมดที่จะโชคดีถึงเพียงนั้น ที่ผู้บำเพ็ญในเมืองจะมียอดฝีมือผู้มีพรสวรรค์เหมือน ‘อิงซานเสวี่ยอิง’ ในตอนนั้น
ส่วนจะบังเอิญมีผู้แกร่งกล้าระดับยอดอยู่ในเมืองพอดีน่ะหรือ เรื่องบังเอิญเช่นนี้ก็พบเห็นได้ยากนัก
“ฟิ้ว”
ณ จวนแห่งหนึ่งภายในเมืองอันหยากู่ รอยแยกสีดำกะพริบวาบ บุรุษชุดขาวผู้หนึ่งเดินออกมาจากในนั้น รูปโฉมเปลี่ยนแปลงไป ดูเฉียบคมมากขึ้น กลิ่นอายก็เยียบเย็นขึ้น
มิได้บังเอิญมีผู้แกร่งกล้าระดับยอดอยู่ในเมือง แต่กลับมีคนผู้หนึ่งชื่อตงป๋อเสวี่ยอิงมาที่นี่เอง
“ถึงกับกล้าเข่นฆ่าชาวบ้านนับล้านล้านคนในตัวเมืองแห่งหนึ่ง เจ้าและคนอื่นๆ ล้วนสมควรตาย!” ตงป๋อเสวี่ยอิงแค่นเสียงดังก้อง
เสียงนั้นดังก้องไปทั่วฟ้าดิน
ดังก้องไปทั่วทุกตารางนิ้วของเมืองอันหยากู่ ชาวบ้านจำนวนนับไม่ถ้วนภายในเมืองอันหยากู่ซึ่งเดิมทีตกอยู่ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายและสิ้นหวังต่างก็ได้ยินกันทั่ว มารร้ายเหล่านั้นก็ได้ยินเช่นกัน แต่ละตนพากันสะดุ้งโหยง
ในใจของบรรดาชาวบ้านภายในเมืองต่างก็เกิดความหวังขึ้นมา!
“ผู้ขัดขวางการบูชาโลหิตในตัวเมืองเกาะจันปาก็ถือเป็นศัตรูของเกาะจันปาของข้า” ยอดฝีมือระดับขั้นอลวนชั้นที่สิบซึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิพลางควบคุมขวดวิญญาณอยู่กลางอากาศเหลือบมองลงไปยังต้นเสียงดังก้องเบื้องล่าง
เกาะจันปา…
ประมุขเกาะจันปาก็รู้จักการเก็บรวบรวมแก่นวิญญาณโลหิต เขาเป็นยอดฝีมือระดับเทพจักรวาลขั้นสุดยอด เพียงแต่ว่าไม่มีสมบัติลับอันสูงส่งเท่านั้นเอง
“เป็นศัตรูหรือ เฮอะ!”
แค่นเสียงคราหนึ่ง
ฟิ้ว!
เหนือฟากฟ้าทั่วทั้งเมืองอันหยากู่ราวกับกระจกที่แตกร้าว มีรอยแยกหลายสายปรากฏขึ้น รอยแยกแต่ละสายพาดผ่านท้องฟ้ากว่าครึ่งของเมืองอันหยากู่ บ้างก็ทะลุผ่านกองกำลังมารร้ายทั้งกอง บ้างก็ทะลุผ่านมารร้ายขั้นอลวนตนหนึ่ง แม้แต่มารร้ายขั้นอลวนชั้นที่สิบซึ่งอยู่กลางอากาศตนนั้นก็ถูกรอยแยกสายหนึ่งทะลุผ่านไป…
รอยแยกบิดเบี้ยวอันอัปลักษณ์ ปกคลุมแทบจะทั่วฟากฟ้าเหนือเมืองอันหยากู่
เพียงแต่ว่ามารร้ายทั้งหมดกลับตายไปจนสิ้นในพริบตาเดียว!
เทพจักรวาลแห่งเกาะจันปาคนหนึ่งซึ่งถือสมบัติลับสำแดงการปิดผนึกเพื่อตัดขาดอยู่ภายนอก เขาหวาดผวาเสียจนหน้าซีดขาว “กฎเกณฑ์อันสูงส่งกดดันดินแดนจิตโลกาหนักหน่วงเพียงใด กระบวนท่าที่สำแดงออกมากลับมีขอบเขตสามารถปกคลุมเมืองแห่งหนึ่งได้ นี่เป็นพลังขั้นสุดยอดอย่างแท้จริง! นอกจากนี้ยังเป็นกระบวนท่าที่เชี่ยวชาญทางด้านบริเวณอีกด้วย เป็นผู้ใดกัน ที่แท้แล้วเป็นผู้ใดกัน”
“ปัง”
ทันใดนั้นการปิดผนึกตัดขาดที่เขาสำแดงออกมาก็พลันสั่นสะท้านคราหนึ่งอย่างน่าประหลาด การปิดผนึกตัดขาดพลันมีหลุมใหญ่หลุมหนึ่งปรากฏขึ้นมา จากนั้นร่างกายของเทพจักรวาลคนนี้ก็สั่นเครือ ดวงตาของเขาเบิกโพลงจนแทบกลอกกลิ้ง จากนั้นก็มลายหายไปราวกับเถ้าธุลีอย่างไรอย่างนั้น
มารร้ายของเกาะจันปาที่เข้าร่วมการเคลื่อนไหวในครั้งนี้ล้วนถูกทำลายไปจนสิ้น!
“ข้าทำอะไรประมุขเกาะจันปามิได้ แต่ขอเพียงเป็นผู้ที่ทำการบูชาโลหิต ข้าก็จะสังหารมัน สังหารสักแปดครั้งสิบครั้ง ดูสิว่าผู้ใดจะกล้าทำการบูชาโลหิตอีก” ตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏกายขึ้นเหนือบริเวณที่เทพจักรวาลผู้นั้นสิ้นใจไปพลางมองดูด้วยสายตาเยียบเย็น จากนั้นรอยแยกสีดำด้านข้างก็กะพริบวาบ แล้วเขาก็อันตรธานไป
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับไปยังห้องเงียบของตนในเมืองหิมะเหิน
ภายในห้องเงียบ ธูปยังคงแผดเผาไป กลิ่นหอมอ่อนๆ แผ่กำจายไปทั่วทั้งห้องเงียบ ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิลงไป แววอาฆาตอันคุกรุ่นค่อยๆ สงบลง เขาก็ค่อยๆ บำเพ็ญต่อไป
สำหรับเขาแล้ว เพียงแค่ทำไปตามเรื่องตามราวเท่านั้น เป็นเพียงส่วนหนึ่งของชีวิตเขาก็เท่านั้นเอง
ภาคที่ 35 มหาเคารพหิมะเหิ...
ตอนที่ 21 บรรพชนแมลง
ตงป๋อเสวี่ยอิงสังหารมารร้ายเหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย แน่นอนว่าเขาไม่ใส่ใจ
แต่มีคนใส่ใจ!
“บุรุษชุดขาวผู้นี้เป็นใครกัน ถึงกับกล้าทำลายการบูชาโลหิตของเกาะจันปาเรา ทั้งยังสังหารยอดฝีมือของเกาะจันปาเราอีกด้วย!”
“ท่านประมุขเกาะ จะต้องตรวจหาตัวตนของเขาให้พบให้จงได้! ถึงกับสังหารยอดฝีมือที่เกาะจันปาเราส่งไปจนเกลี้ยง เกินไปแล้ว ไม่ไว้หน้าเกาะจันปาของพวกเราเลยแม้แต่น้อย”
ภายในโถงตำหนักอึกทึกไปหมด
โถงตำหนักแห่งนี้ คือตำหนักหลักแห่ง ‘เกาะจันปา’ ซึ่งเป็นสถานที่รวมตัวกันที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของมารร้ายทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา ‘ประมุขเกาะจันปา’ ผู้นำของเกาะจันปาเป็นยอดฝีมือระดับเทพจักรวาลขั้นสุดยอดคนหนึ่ง แม้จะไม่มีสมบัติลับอันสูงส่ง แต่หากพูดถึงผลกระทบของพลังแล้ว ยังแข็งแกร่งกว่าจอมเคารพที่มีการรักษาชีวิตแข็งแกร่งอย่างยิ่งเช่นเจ้าลัทธิเหยียนโม๋หรือบรรพชนเหินประจิมอยู่ขุมใหญ่
ผู้ที่สามารถสำเร็จเป็นขั้นสุดยอดได้ โดยทั่วไปล้วนสามารถเอาชีวิตรอดเมื่ออยู่ต่อหน้าสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูได้
เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็ล้วนแต่บำเพ็ญวิถีสักสายหนึ่งจนถึงระดับเทพจักรวาลขั้นสุดยอดแล้ว จิตวิญญาณและการรับรู้เชื่อมต่อกันอย่างน่าเหลือเชื่อ แม้สิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูอาจจะเอาชนะพวกเขาได้ง่ายๆ แต่จะสังหารน่ะหรือ กลับแทบเป็นไปไม่ได้เลย
เหมือนกับ ‘เจ้าศิลา’ ที่ห้ำหั่นกับ ‘จอมเทพศักดิ์สิทธิ์’ สู้สุดชีวิตจนต่างคนต่างบาดเจ็บสาหัสก็เพราะพวกเขาทั้งสองล้วนแต่ไม่ยอมถอยหนี เนื่องจากจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ต้องรักษา ‘โลกทิพย์โบราณ’ เอาไว้ให้ได้ ส่วนเจ้าศิลาก็ไม่ยอมถอยเพราะโทสะล้วนๆ! หากคิดจะหนีจริงๆ…สิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูก็มิอาจขัดขวางได้
ดังนั้นในฐานะที่ ‘ประมุขเกาะจันปา’ เป็นเทพจักรวาลขั้นสุดยอด ในฐานะจอมมารร้ายผู้หนึ่ง หลังจากครอบครองฝั่งหนึ่งแล้ว ก็ย่อมมีมารร้ายมากมายมาสวามิภักดิ์เป็นธรรมดา เพื่อมาอยู่ใต้ความคุ้มครองของเขา
ตามปกติแล้ว มีแต่พวกเขาที่รังแกผู้อื่น เคยถูกผู้อื่นรังแกเช่นนี้เสียเมื่อไหร่กัน
นอกจากหกรัฐโบราณ พวกเขาเกาะจันปาก็ไม่กลัวใครหน้าไหนทั้งนั้น!
“หุบปากให้หมด”
ประมุขเกาะจันปาแค่นเสียงอย่างเย็นชาคราหนึ่ง เบื้องล่างพากันเงียบสนิท
ประมุขเกาะจันปาอ้วนท้วนสมบูรณ์อย่างยิ่ง ประหนึ่งก้อนเนื้อที่กองอยู่บนบัลลังก์อย่างไรอย่างนั้น ดวงตาคู่เล็กของเขามองดูภาพที่ปรากฏขึ้นใน ‘กระจกยลฟ้า’ กลางฟากฟ้า แม้เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาจะมุ่งหน้าไปยัง ‘เมืองอันหยากู่’ เพื่อทำการบูชาโลหิต แต่พวกเขากลับมองดูอยู่ห่างๆ ผ่านกระจกยลฟ้า เพียงแต่ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงลงมือรวดเร็วเกินไปแล้ว พวกเขายังมิทันได้ลงมือ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็จากไปเรียบร้อยแล้ว
“บรรพชนแมลง ให้ท่านได้เห็นเรื่องน่าขันเสียแล้ว” ประมุขเกาะจันปามองไปทางผู้แกร่งกล้าอีกท่านหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ เขา นั่นเป็นสิ่งมีชีวิตรูปร่างมนุษย์ซึ่งทั้งร่างเต็มไปด้วยแผ่นเกล็ดสีดำขลับ มีปีกใสบางราวกับปีกจักจั่น บนหน้าผากยังมีเขานิ่มๆ อยู่สองข้าง ราวกับแมลงรูปร่างมนุษย์อย่างไรอย่างนั้น! เขามีดวงตาอันเยียบเย็น เพียงจ้องตาเขาแวบหนึ่งก็ทำให้หนาวเหน็บไปถึงขั้วหัวใจได้แล้ว
“คิดไม่ถึงจริงๆ ว่า ครั้งนี้ผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านประมุขเกาะไปทำการบูชาโลหิต แต่กลับเกิดเรื่องระดับนี้ขึ้นมาได้เสียนี่” เสียงของบรรพชนแมลงผู้นั้นแหบพร่า มุมปากกลับมีรอยยิ้มผุดขึ้นมา “เห็นทีโชคจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก”
“โชคไม่ดีเลยจริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะบังเอิญถึงเพียงนี้ ที่ในเมืองอันหยากู่แห่งนี้บังเอิญมีเทพจักรวาลที่แกร่งกล้าผู้หนึ่งซ่อนตัวอยู่พอดี เทพจักรวาลผู้นี้เชี่ยวชาญทางด้านวิถีอากาศ ดูจากกระบวนท่าที่เขาสำแดงออกมาเหมือนกับว่าเป็นขั้นสุดยอดแล้ว” ประมุขเกาะจันปากล่าว “ทั่วทั้งดินแดนจิตโลกามียอดฝีมือขั้นสุดยอดน้อยเสียจนน่าสงสาร คิดไม่ถึงว่าผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าจะพบเข้าคนหนึ่งได้ ทั้งยังเป็นผู้ที่ไม้ไว้หน้าข้าแม้แต่น้อยอีกด้วย”
ยอดฝีมือขั้นสุดยอดมีน้อยมากจริงๆ
นอกจากสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูแล้ว ที่เหลือก็มีจำนวนแค่ราวฝ่ามือหนึ่งเท่านั้น ส่วนจำนวนที่แน่นอน บรรดาผู้แกร่งกล้าในดินแดนจิตโลกาก็ยังยากที่จะมั่นใจได้
เนื่องจากเมื่อถึงขั้นสุดยอดแล้ว ผู้ที่ไม่มีสมบัติลับอันสูงส่ง หากมิได้ครองอำนาจทางฝ่ายหนึ่งเพียงลำพัง ก็จะเก็บซ่อนตัวแล้วตั้งใจใฝ่หาทางให้สำเร็จเป็น ‘ผู้แกร่งกล้าคละถิ่น’! บรรดาพวกที่เก็บตัวนั้น หากไม่เปิดเผยออกมา ก็คงมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้จริงๆ
“คิดไม่ถึงว่านอกจากท่าน บรรพชนแมลงแล้ว ในดินแดนจิตโลกาจะยังมีขั้นสุดยอดที่เร้นลับเช่นนี้อยู่อีก” ประมุขเกาะจันปากล่าว
“เคราะห์ดีที่ข้าบังเอิญบรรลุในสถานที่ของท่านประมุขเกาะพอดี” บรรพชนแมลงยิ้มน้อยๆ
“ฮ่าฮ่า บรรพชนแมลงสามารถอยู่ในพื้นที่ของข้าและบรรลุเป็นขั้นสุดยอดได้ นี่นับเป็นเกียรติของข้า บัดนี้บรรพชนแมลงบรรลุแล้ว นับจากนี้ไป เกรงว่าชื่อเสียงคงโด่งดังไปทั่วปฐพีแล้ว” ประมุขเกาะจันปาทอดถอนใจ
ผู้แกร่งกล้าขั้นสุดยอดบ้างก็ไม่เปิดเผยออกมา
ทันทีที่เปิดเผยก็จะสะท้านสะเทือนไปทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา
เนื่องจากขั้นสุดยอดสักคนหนึ่งล้วนมีศักยภาพที่จะสำเร็จเป็น ‘สิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรู’ ได้! ต่อให้ไม่มีสมบัติลับอันสูงส่งก็มีคุณสมบัติพอจะสร้างความปั่นป่วนไปทั่วทั้งปฐพีได้แล้ว
“เฮอะๆๆ” บรรพชนแมลงกลับหัวเราะเสียงเย็นชาหลายครั้ง นัยน์ตากลับมีแววอาฆาตวาบขึ้นมา “ใช่สิ ก็ควรจะชื่อเสียงคงโด่งดังไปทั่วปฐพีอยู่แล้ว”
ประมุขเกาะจันปาเห็นเข้าก็พลันหัวเราะออกมา “เห็นทีคงจะมีบางคนต้องโชคร้ายเสียแล้ว”
“ข้าอดทนมานานมากแล้ว” บรรพชนแมลงพูดเสียงเรียบ จากนั้นเขาก็เปลี่ยนเรื่องพูด “ยอดฝีมือเร้นลับที่ทำลายผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านมากมาย ท่านก็จะปล่อยให้แล้วกันไปเช่นนี้หรือ”
“เขาเป็นยอดฝีมือทางด้านวิถีอากาศ นอกจากนี้ยังไม่เคยพบมาก่อนด้วย ข้าจะลงมือกับเขา ก็ไม่มีที่หาให้พบได้” ประมุขเกาะจันปาส่ายหน้า ร่างกายอันอ้วนท้วนโคลงเคลงไปมา “เอาล่ะๆ ครั้งนี้ก็ถือว่าโชคไม่ดีแล้วก็แล้วกัน”
บรรดาผู้แกร่งกล้าคนอื่นๆ ในเกาะจันปาฟังแล้วก็มิอาจข่มเพลิงโทสะเอาไว้ได้
“ไม่รู้จักตัวตนของเขา หาจนไม่มีที่จะหาแล้ว นับว่าเขาโชคดี”
“เขาคงกลัวว่าจะทำให้ประมุขเกาะโมโห ดังนั้นจึงมิกล้าเปิดเผยตัวตนออกมา”
แต่ละคนเอ่ยปากพูด
ประมุขเกาะจันปาหัวเราะเฮอะๆ เพียงแต่ในดวงตาเล็กๆ ที่หรี่ลงนั้นกลับแฝงแววหนาวเหน็บเอาไว้ เมื่อครู่เขามองผ่านกระจกยลฟ้า…ก็มองเห็นตงป๋อเสวี่ยอิงออกกระบวนท่า กระบวนท่าหนึ่งทำให้รอยแยกมิติหลายร้อยสายแผ่คลุมไปทั่วทั้งฟากฟ้าของเมืองอันหยากู่และสังหารผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งหมดในพริบตาเดียว ขอบเขตใหญ่โตถึงเพียงนี้ อานุภาพก็รุนแรงถึงเพียงนี้ ทำให้ประมุขเกาะจันปาเข้าใจว่า…เป็นศัตรูตัวฉกาจ!
“ทำได้เพียงมองว่าโชคไม่ดีเท่านั้นเองกระมัง” ประมุขเกาะจันปาลอบคิด
เขามีผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นโขยง ที่ส่งออกไปในครั้งนี้ก็เป็นเพียงแค่หนึ่งในกองกำลังเท่านั้นเอง
“ท่านประมุขเกาะ ข้าก็อยู่ที่นี่มาตั้งนานแล้ว บัดนี้ก็ถึงเวลาจากไปเสียที” บรรพชนแมลงยืดกายขึ้น
******
ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังบำเพ็ญอย่างสงบอยู่ในเมืองหิมะเหิน เพียงหนึ่งปีให้หลัง ท่านอาจารย์ประมุขรัฐเมฆทักษิณาก็เก็บรวบรวม วัสดุทั้งหมดที่บันทึกเอาไว้บนม้วนสาส์นฉบับที่สองได้จนครบแล้ว
ม้วนสาส์นสองฉบับนั้น
ม้วนสาส์นฉบับแรกบันทึกวัตถุล้ำค่าที่ต้องใช้สำหรับหลอมอาวุธอลวนนอกเหนือจาก ‘เม็ดทรายอลวน’ เอาไว้ แม้จะได้มาค่อนข้างง่าย แต่เมื่อเทียบกับเม็ดทรายอลวนแล้ว ด้วยเครือข่ายข้อมูลของประมุขรัฐเมฆทักษิณา ก็เกรงว่าสิ่งเหล่านั้นคงต้องใช้เวลาเก็บรวบรวมยาวนานกว่า
วัสดุซึ่งรวบรวมเอาไว้ในม้วนสาส์นฉบับที่สอง เมื่อเทียบกันแล้วก็มีระดับต่ำกว่ามาก แม้จะมีมูลค่าหนึ่งแสนล้านแก้วผลึกจักรวาล แต่กลับเป็นเพราะ ‘จำนวนมาก’ ต่างหาก! หากพูดถึงความล้ำค่าเพียงอย่างเดียว ก็ด้อยกว่าวัตถุล้ำค่าบนม้วนสาส์นฉบับที่หนึ่งอยู่ขุมใหญ่
“รวดเร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ” ร่างแยกที่ตงป๋อเสวี่ยอิงทิ้งเอาไว้ในนครหลวงรัฐเมฆทักษิณารับกำไลเก็บวัตถุ ที่อาจารย์มอบให้เอาไว้ ก่อนจะตรวจสอบดูวัสดุจำนวนมหาศาลซึ่งอยู่ภายใน แม้เมื่อเทียบกันแล้วจะมีระดับต่ำกว่ามาก แต่จำนวนมหาศาลนัก เวลาหนึ่งปีก็สามารถเก็บรวบรวมได้ครบแล้วอย่างนั้นหรือ นี่ก็เหนือกว่าที่ตงป๋อเสวี่ยอิงคาดเอาไว้เสียอีก
ประมุขรัฐเมฆทักษิณาพูดยิ้มๆ ว่า “เสวี่ยอิง เจ้าหวังว่าจะทำให้ทั้งเมืองหิมะเหินแข็งแกร่งมั่นคงขึ้นใช่หรือไม่”
“ขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า “อาจารย์ทราบได้อย่างไรขอรับ”
“ฮ่าฮ่า…เจ้าคงจะรู้ว่า ภายในนครหลวงรัฐเมฆทักษิณา พลังของข้าเพียงพอที่จะเทียบกับสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูได้” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาพูดยิ้มๆ “ทำไมน่ะรึ ก็เพราะอาศัยค่ายกลทั้งหลายภายในรัฐน่ะสิ เมื่อแบ่งพลังออกไป ก็สามารถสำแดงพลังรบออกมาได้เป็นร้อยเป็นพันส่วน เช่นนี้จึงจะสามารถเทียบได้ว่าไร้ศัตรู! ส่วนวัสดุที่เจ้าต้องการเหล่านี้ เป็นวัสดุบางอย่างที่ข้าต้องใช้ซ่อมแซมให้นครหลวงแข็งแกร่งในครั้งนั้น ตอนนั้นข้ารวบรวมมามากเกินไป ยังมีสำรองเอาไว้อีกมากมาย หากขาดตกบกพร่องก็รู้ว่าจะไปหามาจากไหน ครั้งนี้จึงเก็บรวบรวมมาได้อย่างรวดเร็ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มออกมา
“ใช่แล้ว ท่านอาจารย์ขอรับ ตอนนั้นที่ท่านซ่อมแซมวังในนครหลวง ค่าใช้จ่ายมากกว่าข้ามากมายทีเดียวกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยถาม
“ราวสิบเท่าของเจ้าได้กระมัง” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาทอดถอนใจ “ข้าเจ็บปวดใจนัก ทุ่มเทสมบัติล้ำค่าแทบจะทั้งหมดในตอนนั้นเลยทีเดียว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงอ้าปากค้าง
สิบเท่าหรือ
วัสดุของตนเหล่านี้มีมูลค่าราวหนึ่งแสนล้านแก้วผลึกจักรวาล ที่ตนทำใจเช่นนี้ได้ ก็เพราะนำเอาสมบัติลับระดับยอดสุดของจวินอ๋องดำแลกมา! อาจารย์ซ่อมแซมเสริมความแข็งแกร่งของนครหลวงด้วยราคาเท่ากับสมบัติลับระดับยอดสุดตั้งหลายชิ้นเลยทีเดียว! ไม่เสียทีที่ถูกเรียกว่าเป็นระดับจอมเคารพที่มั่งคั่งที่สุด หากพูดถึงความร่ำรวยแล้ว แม้แต่มหาเคารพฝูอี่และมหาเคารพซือเทียนก็ยังอยู่ในลำดับหลังกว่า
“เจ้าซ่อมแซมตัวเมืองให้แข็งแกร่งขึ้นเพราะเหตุใดหรือ” ประมุขรัฐเมฆทักษิณามองดูตงป๋อเสวี่ยอิง
“เพื่อป้องกันสิ่งที่ไม่คาดคิดน่ะขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “แม้ข้าจะกระทำการอย่างระมัดระวัง ไม่เปิดเผยตัวตนออกไป แต่ก็เป็นศัตรูกับผู้อื่น การสังหารมารร้ายจะเป็นการยุแหย่จอมมารร้ายหลายตน! ไม่แน่ว่าอาจจะมีสักวันที่ตัวตนถูกเปิดเผย แล้วส่งผลกระทบต่อตระกูลอิงซานไปด้วย ดังนั้นข้าจึงต้องเตรียมการก่อนล่วงหน้า”
ประมุขรัฐเมฆทักษิณาพยักหน้าน้อยๆ
ในเมื่อศิษย์ของตนจะยืนหยัดขึ้นมา ก็ย่อมต้องมีพายุคลั่งโหมกระหน่ำเข้ามาเป็นธรรมดา
“หากต้องการความช่วยเหลือจากข้า ก็บอกมาได้เต็มที่” ประมุขรัฐเมฆทักษิณากล่าว
“อาจารย์ช่วยเหลือข้ามากมายแล้วขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม
……
วันนั้น เขาก็เริ่มทำให้ทั้งเมืองหิมะเหินและจวนจ้าวซึ่งเป็นศูนย์กลางแข็งแกร่งขึ้นมา เขามีร่างแยกนับหมื่น แม้ร่างแยกอื่นๆ ส่วนใหญ่จะอ่อนแอมาก แต่ใช้ทำเรื่องยิบย่อยเช่นนี้ก็สบายมากทีเดียว
เขาทำให้เมืองหิมะเหินแข็งแกร่งมั่นคง จึงไม่มีเรื่องข้างหลังให้ต้องกังวลอีกต่อไป
ภาคที่ 35 มหาเคารพหิมะเหิ...
ตอนที่ 22 ค่ายกลใหญ่แห่งเมืองหิมะเหิน
เขาส่งร่างแยกออกไปกว่าร้อยร่างแล้วเริ่มกระทำการค่ายกลด้วยความยากลำบาก วัสดุมูลค่ากว่าแสนล้านแก้วผลึกจักรวาลก็คือวัสดุสำหรับวางค่ายกลนั่นเอง!
เมื่อผู้บำเพ็ญสำแดงท่าไม้ตายอันแข็งแกร่งต่างๆ ออกมา ก็ต้องใช้พลังจิตเป็นอย่างมาก แต่หากวางค่ายกลตามความเร้นลับของท่าไม้ตายให้ดี เช่นนั้นแค่ใช้พลังจิตเล็กน้อยอย่างยิ่งก็สามารถกระตุ้นขึ้นมาได้แล้ว! อย่าง ‘ห้วงอากาศทวีคูณล่มสลาย’ หนึ่งในท่าไม้ตายทั้งสามของยุทธวิธีหิมะเหินของตงป๋อเสวี่ยอิง ก็ต้องเสียพลังจิตของร่างแยกทั้งเก้าไปกว่าครึ่งจึงสามารถสำแดงออกมาได้สำเร็จ
แต่หากวางค่ายกลสำเร็จ ค่ายกลหนึ่งแห่ง ค่ายกลสองแห่ง…ค่ายกลสิบแห่ง! ค่ายกลร้อยแห่ง!
ขอเพียงผสานกันให้ดี เพียงชั่วความคิดเดียว ก็สามารถทำให้ค่ายกลนับร้อยระเบิดออกมาพร้อมกัน เท่ากับสำแดง ‘ห้วงอากาศทวีคูณล่มสลาย’ นับร้อยกระบวนท่าออกมาพร้อมกัน
แม้แต่ละกระบวนท่าจะไม่มีดอกบัวเพลิงห้วงอากาศคอยส่งเสริม แต่การเปลี่ยนแปลงด้านจำนวนก็เพียงพอจะเหนี่ยวนำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านคุณภาพได้แล้ว!
แน่นอนว่า…
จะลงมือกับสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูทั้งที ค่ายกลที่วางเอาไว้ก็ไม่สามารถเป็นกระบวนท่าเดียวกันทั้งหมดได้ มิเช่นนั้นแล้วก็จะมีข้อบกพร่องชัดเจนเกินไป ต้องวางกระบวนท่าที่แตกต่างกันเอาไว้ให้หมด
ตงป๋อเสวี่ยอิงมีข้อได้เปรียบประมุขรัฐเมฆทักษิณา อย่างใหญ่หลวงอยู่ข้อหนึ่ง! ก็คือถึงไม่อาศัยค่ายกล ร่างแยกของเขาก็สามารถปะทุพลังรบขั้นสุดยอดออกมาได้ กระบวนท่าต่างๆ ของยุทธวิธีหิมะเหินที่เขาวางเอาไว้ เดิมทีก็มีอานุภาพใหญ่หลวงอย่างยิ่งอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อค่ายกลค่อนข้างน้อยทับซ้อนกัน…ก็สามารถเทียบกับผู้ไร้ศัตรูได้แล้ว! อย่างประมุขรัฐเมฆทักษิณา ในสถานการณ์ที่ไม่อาศัยแรงภายนอก ก็อ่อนแอกว่าตงป๋อเสวี่ยอิงไม่น้อยเลยทีเดียว ดังนั้นเขาจึงได้สิ้นเปลืองวัสดุในการซ่อมแซมและเสริมความแข็งแกร่งให้นครหลวงรัฐเมฆทักษิณามากกว่านับสิบเท่า เมื่ออยู่ในนครหลวงจึงสามารถเทียบกับ ‘สิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรู’ ได้
ตงป๋อเสวี่ยอิงมีพื้นฐานแน่นหนา กระบวนท่าแข็งแกร่ง ตงป๋อเสวี่ยอิงเชื่อว่าเสียหนึ่งแสนล้านแก้วผลึกจักรวาลไปเพื่อซื้อวัสดุก็คงเพียงพอแล้ว!
แข็งแกร่งกว่านี้น่ะหรือ
ภายในเมือง ต่อให้แข็งแกร่งกว่าสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูอยู่ขุมหนึ่งแล้วจะมีความหมายอันใดกันเล่า อย่างมากก็แค่กดดันสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูเท่านั้น สิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูก็จากไปได้อย่างง่ายดายแล้ว เมื่อตนออกจากเมืองไป พลังก็สามารถคืนสภาพเดิมได้ทันที!
******
ค่ายกลแผ่คลุมไปทั่วทั้งตัวเมือง
เนื่องจากมีขนาดใหญ่พอจึงสามารถวางค่ายกลได้ค่อนข้างง่าย หากจะวางค่ายกลจำนวนนับไม่ถ้วนนี้ ลงบนอาวุธซึ่งสามารถพกติดตัวได้น่ะหรือ ความยากก็จะพุ่งทะยานขึ้นไปเป็นร้อยเป็นพันเท่าแล้ว
เคราะห์ดีที่มีขอบเขตใหญ่พอทั้งยังเป็นค่ายกลคงที่ มูลค่าหนึ่งแสนล้านแก้วผลึกจักรวาลจึงเพียงพอ
“วิ้ง”
ร่างแยกนับร้อยร่างลำบากยากเย็นเป็นเวลากว่าหมื่นปี
ทั้งเมืองหิมะเหินค่ายกลแผ่คลุมอยู่มากมาย ‘จวนจ้าว’ ก็มีค่ายกลหลักอยู่ด้วยเช่นกัน ตงป๋อเสวี่ยอิงยังพกจานค่ายกลหลักที่สำคัญที่สุดติดตัวเอาไว้อีกด้วย ซึ่งจานค่ายกลหลักนี้เป็นทั้ง ‘จุดเริ่มต้น’ และ ‘ศูนย์กลางการควบคุม’ มีเพียงเขาเท่านั้นที่สามารถควบคุมค่ายกลที่ยิ่งใหญ่อันน่าหวาดหวั่นทั่วทั้งเมืองหิมะเหินได้
“เอาล่ะ ค่ายกลจำนวนมากสามารถประสานกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่กลางฟากฟ้าเหนือเมืองหิมะเหินพลางเหลือบมองลงไปทั่วทั้งตัวเมือง การรับรู้สายหนึ่งกลับแทรกซึมผ่านค่ายกลจำนวนนับไม่ถ้วนที่หลอมแปรและควบคุมทั้งตัวเมืองก่อนแล้ว และแทรกซึมไปทั่วทุกหนแห่งอย่างรวดเร็ว
ค่ายกลเก็บสะสมอยู้ในตัวเมือง มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
แต่กลับแทรกซึมอยู่ทุกที่ ราวกับเส้นชีพจรอย่างไรอย่างนั้น
ในเมืองหิมะเหิน…
เขาคือผู้ไร้ศัตรู! ทุกการกระทำล้วนสามารถเหนี่ยวนำพละกำลังอันไร้ที่สิ้นสุดได้
“คิดไม่ถึงว่าข้าจะสำเร็จได้ในเวลาหมื่นปี” ตงป๋อเสวี่ยอิงดีใจมาก ค่ายกลนี้จะผสานกันได้อย่างสมบูรณ์แบบโดยไม่ขัดแย้งกันก็มีเงื่อนไขของระดับขั้นที่สูงมาก ขั้นตอนการวางค่ายกลก็เป็นการทบทวนวิถีอากาศอีกครั้ง
“วิ้ง”
ตงป๋อเสวี่ยอิงกำหนดจิตคราหนึ่ง
ภายในเมืองหิมะเหินมีค่ายกลถึงสามสิบแห่งที่ถูกกระตุ้นขึ้นมาพร้อมกัน ค่ายกลบ้างก็เหมือนกัน บ้างก็ส่งเสริมซึ่งกันและกัน สอดคล้องกัน ทำให้ค่ายกลเหล่านี้เหมือนกับฟันเฟืองที่ทำงานร่วมกันอย่างสมบูรณ์แบบ และขณะเดียวกับที่ค่ายกลถูกกระตุ้นขึ้นมานั้น ณ ส่วนลึกของชั้นเมฆกลางท้องฟ้าเหนือเมืองหิมะเหินก็มีน้ำวนดำทะมึนปรากฏขึ้น น้ำวนฉีกทึ้งทุกสิ่งจนกลายเป็นผุยผง ทำให้ผนังของโลกกำเนิดแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ได้อย่างง่ายดายและเชื่อมเข้ากับมิติในระดับชั้นที่สูงยิ่งขึ้น พลังคละถิ่นแผ่กำจายเข้ามา
ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าน้ำวนอันดำมืดนี้ เกรงว่าหากปกคลุมคนระดับอย่าง ‘จวินอ๋องดำ’ เกรงว่าเพียงพริบตาเดียว จวินอ๋องดำก็คงต้องบิดเบี้ยวและแหลกเป็นผุยผงไป
หากพูดถึงอานุภาพแล้ว ก็ยังแข็งแกร่งกว่า ‘ห้วงอากาศทวีคูณล่มสลาย’ ที่ตนอาศัยดอกบัวเพลิงห้วงอากาศสำแดงออกมาอยู่ขุมใหญ่
ล้วนแต่สามารถข่มขวัญสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูซึ่งหน้าได้
“เพียงชั่วความคิดเดียวก็มีอานุภาพถึงเพียงนี้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าน้อยๆ
“บรรพชนดั้งเดิม” ตงป๋อเสวี่ยอิงสาวเท้าออกไปก้าวหนึ่งก็มาถึงยังยอดเขาซึ่งสูงที่สุดในเมืองหิมะเหิน แม่เฒ่าอิงซานกำลังนั่งขัดสมาธิบำเพ็ญอยู่บนยอดเขา นิ่งราวกับหินก็มิปาน นางใฝ่ฝันที่จะได้ก้าวเข้าสู่ขั้นเทพจักรวาลมาโดยตลอด แต่ก็จนใจที่ก้าวนี้มิได้ก้าวออกไปได้ง่ายๆ
หากกล่าวว่า…
การบรรลุถึงเทพจักรวาลขั้นสุดยอด คือการที่วิถีทั้งสายบรรลุถึงขั้นครบสมบูรณ์ในที่สุด ถือเป็นขีดสุดของวิถีสายหนึ่ง
ส่วนการสำเร็จเป็นเทพจักรวาลนั้น ก็คือกาทำให้แขนงหนึ่งในวิถีสายหนึ่งบรรลุถึงขีดสุด! ก้าวนี้ก็ยากลำบากอย่างยิ่งเช่นเดียวกัน
“อ้อ เสวี่ยอิง มีเรื่องอันใดรึ” แม่เฒ่าอิงซานเปิดเปลือกตาขึ้น มองดูตงป๋อเสวี่ยอิงพลางหัวเราะคิกคัก สำหรับลูกหลานรุ่นหลังของตระกูลอิงซานคนนี้แล้ว นางพึงพอใจมาก ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ได้ให้ความช่วยเหลือด้านการบำเพ็ญแก่นางมากมาย คัมภีร์และทรัพยากรภายนอก…หากสามารถช่วยได้เขาก็ช่วยไปตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว เพียงแต่การก้าวเข้าสู่ขั้นเทพจักรวาลนี้นั้น จะต้องพึ่งพาตนเองเป็นหลัก!
“บรรพชนดั้งเดิม ขอท่านได้โปรดเรียกรวมตัวลูกหลานตระกูลอิงซาน ผู้ที่สามารถมายังเมืองหิมะเหินได้ ให้พวกเขามายังเมืองหิมะเหินจะดีที่สุดขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว
“ตอนนี้ลูกหลานกว่าครึ่งก็อยู่ในเมืองหิมะเหินแล้ว เหตุใดจึงต้องเรียกรวมตัวอีกเล่า” แม่เฒ่าอิงซานสงสัย
บัดนี้เมืองหิมะเหินเป็นเมืองใหญ่อันดับสองของรัฐเมฆทักษิณาแล้ว มีสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วน ตระกูลอิงซานก็ได้ตั้งรกรากอยู่ที่นี่ ลูกหลานกว่าครึ่งจึงรวมตัวกันอยู่ที่นี่! แม้แต่แม่เฒ่าอิงซานก็ยังอยู่ที่นี่แล้ว ทว่าตัวเมืองทั้งหลายในอดีตก็ยังคงรักษาเอาไว้ อย่างบรรดาอ๋องโหวขั้นอลวนบางคนก็ชมชอบที่จะผู้บัญชาการเมืองแห่งหนึ่งเพียงลำพังมากกว่า ดังนั้นจึงยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่ยังคงอยู่ด้านนอก
“เกรงว่าในภายหน้าข้าคงจะมีศัตรูตัวฉกาจ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “หากอยู่ที่อื่น ข้าไม่แน่ใจว่าจะสามารถปกป้องพวกเขาได้ หากอยู่ในเมืองหิมะเหิน ข้ามั่นใจว่าจะสามารถปกป้องพวกเขาได้”
“ศัตรูตัวฉกาจหรือ” แม่เฒ่าอิงซานตกใจ แต่กลับมิได้ตระหนักเลยว่าวาจาของตงป๋อเสวี่ยอิงเมื่อครู่หมายความว่าอย่างไร
แม่เฒ่าอิงซานแค่มองว่าที่เมืองหิมะเหินนี้ มีร่างแยกของตงป๋อเสวี่ยอิงที่สามารถป้องกันได้ทันท่วงที
“ขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าพลางพูดยิ้มๆ “เพื่อป้องกันสิ่งที่ไม่คาดคิดก็แล้วกัน ให้ลูกหลานตระกูลอิงซานอยู่ในเมืองหิมะเหินให้หมด อย่างน้อยสักสิบล้านล้านปีเถิดขอรับ”
“ได้ ข้าจะเตรียมการให้เอง แต่แล้ถึงอย่างไรหากตัวเมืองเตรียมคนเอง แล้วไม่ยอมมาจริงๆ ก็คงไม่ต้องฝืนใจอะไรกันมากเกินไปหรอกนะ” แม่เฒ่าอิงซานถาม
“เรื่องนั้นก็ตามใจเถิดขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
ที่กล่าวว่าสิบล้านล้านปี
เพราะตงป๋อเสวี่ยอิงคิดว่า สิบล้านล้านปี…ให้อย่างไรตนก็ควรจะสำเร็จเป็นขั้นสุดยอดแล้ว! อากาศอันสับสนอลหม่านบ้านเกิดในโลกกำเนิดกำลังขยายตัวออกไปอย่างไม่หยุดหย่อน จวนจะถึงการแตกสลายครั้งใหญ่เข้าไปทุกทีๆ เวลาที่เหลือให้ตนก็ไม่นานนักแล้ว! ทว่าตนก็แปดสายหลอมรวมกัน สายที่เก้าซึ่งเป็นสายสุดท้ายก็กำลังอยู่ระหว่างการบำเพ็ญ ตนสั่งสมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง และตนยังมีบุปผาโลกาสองดอกที่ยังมิได้รับรู้ ให้อย่างไร สิบล้านล้านปีก็ควรจะบรรลุได้แล้ว
ทั้งยังต้องบรรลุให้ได้ด้วย! หากไม่บรรลุ แล้วภรรยาจะทำเช่นไรเล่า
******
เมื่อแม่เฒ่าอิงซานออกปาก ขั้นอลวนตระกูลอิงซานแต่ละคนที่ทราบเข้าก็พากันตกอกตกใจ เมื่อถูกเชื่อมโยง ระดับอย่างพวกเขาจะต้องถูก ‘ร่างแห’ เข้า ถึงอย่างไรก็แค่สิบล้านล้านปีเท่านั้น แต่ละคนรีบส่งร่างจริงมายังเมืองหิมะเหิน เหลือเพียงร่างแปรที่ทิ้งเอาไว้เพื่อรักษาตัวเมืองเดิมเท่านั้น ตัวเมืองแต่ละแห่งที่ตระกูลอิงซานเป็นผู้ควบคุม ลูกหลานกลุ่มใหญ่มาถึงเมืองหิมะเหิน ที่เหลืออยู่เพื่อรักษาเมืองก็เจียมเนื้อเจียมตัวเป็นอันมาก
หลังจากตงป๋อเสวี่ยอิงเตรียมการทุกสิ่งพร้อมสรรพแล้ว ก็สงบจิตบำเพ็ญต่อไป
ในยามนี้เอง
ภายในดินแดนจิตโลกายังเกิดอุปสรรคใหญ่ขึ้นมา
สัตว์ประหลาดเฒ่าตนหนึ่งซึ่งมีนามว่า ‘บรรพชนแมลง’ รุ่งโรจน์ขึ้นมา เหมือนเขาจะมีความแค้นกับรัฐโบราณคิมหันตวายุ จึงได้สังหารขั้นอลวนของ ‘สกุลฝาน’ และ ‘สกุลเซี่ย’ ไปหลายคน ท้ายที่สุดแม้แต่สกุลเซี่ยและสกุลฝานก็ยังสูญเสียเทพจักรวาลไปตระกูลละคน ต่อมา ‘บรรพชนฝาน’ ก็ออกหน้าด้วยตนเอง บรรพชนแมลงสู้ไม่ได้แต่กลับหลบหนีไปทันที นี่คือผู้แกร่งกล้าขั้นสุดยอดที่รับมือได้ยากยิ่งคนหนึ่ง
สิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูจะสังหารขั้นสุดยอดก็ยากมาก
หลังจากบรรพชนแมลงรุดหนีไป ก็กลับหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย เพียงแต่ว่ารัฐโบราณคิมหันตวายุก็ตรวจสอบ…ว่าที่แท้แล้วพวกเขาไปผูกความแค้นกับบรรพชนแมลงตั้งแต่เมื่อใดกันแน่ แต่กลับตรวจสอบไม่พบ สัตว์ประหลาดเฒ่าบรรพชนแมลงตนนี้เร้นลับและเก็บเนื่อเก็บตัวเกินไป ครั้งก่อนที่เขาก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวใหญ่ขึ้นมา นั่นยังเป็นสมัย ‘จักรพรรดิกลืนโลกา’ ตอนนั้นเขาเป็นแม่ทัพใหญ่คนหนึ่งใต้บังคับบัญชาของจักรพรรดิกลืนโลกา
……
ณ เกาะจันปา
“ฮ่าฮ่า บรรพชนแมลงสัตว์ประหลาดเฒ่าตนนี้บรรลุถึงขั้นสุดยอดแล้ว จะออกไปแก้แค้นก็เป็นเรื่องปกตินัก เพียงแต่ว่าเจ้าสัตว์ประหลาดเฒ่านี่…ไปผูกความแค้นกับขั้นอลวนระดับรากฐานของสกุลเซี่ยสกุลฝานตั้งแต่เมื่อใดกัน” ประมุขเกาะจันปานั่งอยู่บนบัลลังก์พลางหรี่ตาลงอย่างครุ่นคิด “ถึงอย่างไรเขาก็มีชื่อเสียงมานมนานยิ่งนัก ต่อให้ผูกความแค้น ก็ควรจะผูกความแค้นกับพวกเทพจักรวาลของรัฐโบราณคิมหันตวายุมากกว่ากระมัง ผูกความแค้นกับขั้นอลวนหรือ น่าแปลกๆ”
ประมุขเกาะจันปาพลันกำหนดจิตคราหนึ่ง “น้องรอง”
ทันใดนั้นก็มีบุรุษร่างผอมสูงผู้หนึ่งเร่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว
“พี่ใหญ่” บุรุษร่างผอมสูงเรียก
“ครั้งก่อนที่พวกเราเกาะจันปาบูชาโลหิตในเมืองอันหยากู่นั้น โชคไม่ดีพบกับยอดฝีมือที่น่าสงสัยว่าจะเป็นขั้นสุดยอดซึ่งซ่อนตัวอยู่ที่นั่นคนหนึ่ง” ประมุขเกาะจันปาพูดยิ้มๆ จนถึงตอนนี้เขาก็ยังคิดว่าโชคไม่ดี เนื่องจาก ‘กระจกยลฟ้า’ ทำได้เพียงส่องดูพื้นที่บางส่วนอยู่ห่างๆ เท่านั้นตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาเข้ามายังเมืองอันหยากู่ พวกเขากลับมิทันได้สังเกต ยังคิดว่าตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ในเมืองอันหยากู่มาตั้งนานแล้ว
“ข้าจะหลอมแปรแก่นวิญญาณโลหิต จัดเตรียมการบูชาโลหิตอีกครั้งเถอะ” ประมุขเกาะจันปาพูดพลางยิ้มตาหยี “ดินแดนจิตโลกากว้างใหญ่ไพศาล บังเอิญครั้งหนึ่งก็แล้วไปเถิด ไม่มีทางบังเอิญอีกเป็นครั้งที่สองได้”
ทั้งดินแดนจิตโลกามีขั้นสุดยอดทั้งหมดสักกี่คนกันเชียว
ไหนเลยจะมีเรื่องบังเอิญถึงเพียงนั้น
“พี่ใหญ่วางใจเถิด ข้าจะต้องเตรียมการให้ดีแน่นอน” บุรุษร่างผอมสูงเอ่ยขึ้น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น