Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 35 ตอนที่ 13-16
ภาคที่ 35 มหาเคารพหิมะเหิ...
ตอนที่ 13 การตายของจวินอ๋องดำ
จวินอ๋องดำพูดพลางลงมืออย่างโหดเหี้ยม มิได้ไว้ไมตรีเลยแม้แต่น้อย!
เขาแปลงร่างเป็นมายาท่ามกลางเงาร่างแปรอย่างต่อเนื่อง ประกายมีดดำทะมึนอันน่าหวาดหวั่
ปะทะร่างแยกของตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างหนักหน่วงครั้งแล้วครั้งเล่า! ฉีกทึ้งจนเกิดบาดแผลขึ้นมา หยาดโลหิตสาดกระเซ็น ดูจากรูปการณ์แล้ว…ร่างแยกทั้งเก้าของตงป๋อเสวี่ยอิงดูเหมือนจะน่าอนาถอย่างยิ่งทั้งสิ้น
อาการบาดเจ็บต่างก็ก็ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่นี่ก็เป็นเพียงแค่สิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงแกล้งทำขึ้นมาเท่านั้น
ในความเป็นจริงแล้วพลังชีวิตของเขามิได้ลดน้อยลงเลย
ทว่าจวินอ๋องดำกลับมิได้สงสัยเลยแม้แต่น้อย! เพราะว่าเขามีความมั่นใจในพลังยุทธ์ของตนในตอนนี้เป็นอย่างมาก อีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บสาหัสจึงจะเป็นเรื่องปกติ เพียงแต่ไม่สามารถปฏิบัติต่อตงป๋อเสวี่ยอิงเหมือนจอมเคารพทั่วไปได้ เพราะหลังจากที่ ‘ฝึกกายคละถิ่น’ ถูกตงป๋อเสวี่ยอิงปรับปรุงแล้ว ฝึกกายคละถิ่นชั้นที่สองก็มีระดับขั้นร่างกายที่ไปถึงระดับเทพจักรวาลขั้นสุดยอด ร่างกายอันน่าหวั่นเกรงนี้ บุคคลผู้ไร้เทียมทานอยากจะสังหารก็มิใช่เรื่องง่าย
“บนดินแดนจิตโลกา ผู้ที่มีพลังยุทธ์เช่นเจ้าก็มีอยู่เพียงไม่กี่คนหรอก แต่ก็มิได้เหมือนเจ้าสักเท่าใดนัก” จวินอ๋องดำออกกระบวนท่าอย่างโหดเหี้ยมหาใดเปรียบ เขาอยากรู้ความเป็นมาของยอดฝีมือผู้ลึกลับตรงหน้าผู้นี้
กล้าสอดมือเข้ามาทำลายเรื่องสำคัญเช่นนี้ได้
ที่แท้แล้วเป็นเพียงแค่ยอดฝีมือผู้ลึกลับคนหนึ่งเท่านั้นเอง หรือว่ามีรัฐโบราณร่วมวงอยู่ด้วยกันแน่
“ตายให้ข้าเสียเถิด”
จวินอ๋องดำมีแววสังหารหนาวเหน็บ ประกายมีดแฝงไว้ด้วยความมืดหม่นอันไร้ที่สิ้นสุดห่อหุ้มเข้ามา
“พรึ่บ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงประสานสองมือเข้าด้วยกันในทันใด แสงสว่างจุดหนึ่งปะทุมาจากฝ่ามือที่มือทั้งสองประสานเข้าด้วยกัน กลายเป็นที่ครอบแสงอันหนึ่ง แต่ที่ครอบแสงนี้กลับขยายใหญ่ขึ้นห่อหุ้มร่างแปรทั้งหมดที่มีอยู่ของจวินอ๋องดำเอาไว้! จวินอ๋องดำมีความประทับใจต่อกระบวนท่านี้ เมื่อครู่ชายหนุ่มเสื้อดำผู้ลึกลับตรงหน้าก็อาศัยกระบวนท่านี้ต้านทานการโจมตีของเขาเอาไว้ได้ถึงครึ่งอึดใจเลยทีเดียว
แน่นอนว่านั่นก็คือเหตุผลที่เขามิได้ทุ่มเทอย่างสุดแรง
“ไม่เพียงแต่สามารถปกป้องตัวเองได้เท่านั้น แต่ยังสามารถใช้กักตัวข้าเอาไว้ได้อีกด้วยอย่างนั้นหรือ” จวินอ๋องดำดูแคลน ทุ่มเทอย่างสุดกำลังออกกระบวนท่า ที่ครอบแสงอันหม่นมัวห่อหุ้มเขาเอาไว้ แต่กลับแยกจากโลกภายนอกอย่างสมบูรณ์แบบเสียแล้ว! ที่ครอบแสงนี้ดูเหมือนจะง่ายดาย แต่ในความเป็นจริงแล้วคือเคล็ดวิชาหลังการปรับปรุงของ ‘เคล็ดผนึกห้าภาพ’ ภายใต้การปิดผนึกก็แยกขาดจากโลกภายนอก ทั้งยังมองไม่เห็นโลกภายนอกด้วย
จวินอ๋องดำก็มิได้ค้นพบว่าร่างแยกอื่นๆ อีกแปดร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ประสานสองมือเข้าด้วยกันตรงด้านหน้าทรวงอกเช่นเดียวกัน
“พรึ่บ” “พรึ่บ” “พรึ่บ” “พรึ่บ” “พรึ่บ” “พรึ่บ” “พรึ่บ” “พรึ่บ” “พรึ่บ”
ร่างแยกเก้าร่างสำแดงพร้อมกัน
ร่างแยกทุกร่างต่างก็สำแดงที่ครอบแสงขนาดยักษ์อันหนึ่งออกมา ที่ครอบแสงเก้าอันสอดประสานเข้าด้วยกัน แต่กลับมีพื้นที่บรรจบกันอันหนึ่งที่ต่อเนื่องกัน! พื้นที่บรรจบกันนี้ก็คือสถานที่ที่จวินอ๋องดำถูกกักขังเอาไว้ ห้วงมิติปิดผนึกเก้าอันกำลังโคจรอยู่ราวกับเทหวัตถุ พวกมันโคจรหมุนเวียนอย่างไม่หยุดหย่อน ทำให้พื้นที่ตรงกลางกลายเป็นจักรวาล
นี่ก็คือ‘ผนึกไร้ขอบเขต’ ของเคล็ดการร่วมโจมตี ยุทธวิธีหิมะเหินที่ตงป๋อเสวี่ยอิงคิดค้นขึ้นเอง!
ผนึกไร้ขอบเขต!
แน่นอนว่าหากผสานรวมกับสุดยอดสมบัติลับล้ำค่า ‘ดอกบัวเพลิงห้วงอากาศ’ พลังรบที่สำแดงก็ต้องยิ่งใหญ่ขึ้น เพียงแต่ว่า ข้อหนึ่ง เขาไม่อยากจะเปิดเผยดอกบัวเพลิงห้วงอากาศทำให้จวินอ๋องดำตกใจ ด้วยวิสัยทัศน์ของจวินอ๋องดำ มองเพียงปราดเดียวก็ต้องสามารถจำ ‘ดอกบัวเพลิงห้วงอากาศ’ สุดยอดสมบัติลับล้ำค่าในตำนานนี้ได้แล้ว ข้อสอง เขายังต้องการให้ดอกบัวเพลิงห้วงอากาศสำแดงท่าไม้ตายที่แท้จริง
“พรึ่บ”
เบื้องล่างของร่างแยกทั้งเก้ามีดอกบัวสีแดงเพลิงขนาดมหึมาปรากฏขึ้น
ในขณะนี้เอง
ห้วงมิติรอบๆ บิดเบี้ยว เหล่าผู้บำเพ็ญที่คอยเฝ้าดูเมืองแห่งนี้อยู่ห่างๆ ก็มองไม่เห็นฉากการต่อสู้ที่นี่อีกต่อไปแล้ว ‘ดอกบัวเพลิงห้วงอากาศ’ เป็นสิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่อยากให้รั่วไหลออกไป
เคล็ดผนึกต้องห้ามมิได้เป็นภาระอันใหญ่หลวงต่อร่างแยกทุกร่าง ต้องการพลังจิตเพียงสองสามส่วนก็สามารถรักษาเอาไว้ได้แล้ว
ในขณะที่รักษา ‘ผนึกไร้ขอบเขต’ เอาไว้ ร่างแยกทั้งเก้าต่างก็นั่งขัดสมาธิลง เงาร่างก็เลือนรางขึ้นมา หนึ่งกลายเป็นสอง สองกลายเป็นสาม สามกลายเป็นหมื่น ทั่วทั้งด้านบนของดอกบัวเพลิงมีห้วงมิติแน่นขนัดอันมิอาจนับจำนวนได้ปรากฏขึ้น อีกทั้งภายในห้วงมิติทุกแห่งต่างก็มีตงป๋อเสวี่ยอิงคนหนึ่งอยู่! แน่นอนว่า…ในความเป็นจริงแล้วมีร่างแยกอยู่เพียงเก้าร่างเท่านั้น นี่ก็เป็นเพียงแค่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นของ ‘ห้วงอากาศทวีคูณ’ เท่านั้นเอง
ภายในห้วงมิติจำนวนนับไม่ถ้วน ตงป๋อเสวี่ยอิงทุกร่างสำแดงเคล็ดวิชาที่แตกต่างกัน ดอกบัวเพลิงขนาดมหึมาก็หุบเข้ามาในทันใด!
กลีบดอกไม้ทั้งหมดหุบเข้ามา!
เกิดเป็นดอกตูม!
พลังอลวนที่น่าหวาดหวั่นอันไร้ที่สิ้นสุดระเบิดอยู่ภายในดอกตูม!
……
เพราะเคยเห็นที่ครอบแสงมาก่อน ดังนั้นชั่วขณะที่ถูกที่ครอบแสงคุมขังเอาไว้ จวินอ๋องดำจึงมิได้ตื่นตระหนก!มาถึงระดับขั้นเช่นเขาจะมีสิ่งใดให้หวั่นกลัวอีกเล่า ต่อให้ถูกคุมขังเอาไว้ในทันทีทันใดแล้วอย่างไรเล่า เขาก็สามารถขอความช่วยเหลือได้ในทันที ให้บรรพชนราตรีนิรันดร์มาช่วยเหลือเขา
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเขาไม่คิดว่าที่ครอบแสงนี้จะสามารถกักขังเขาได้
“พลั่ก” จวินอ๋องดำระเบิดมีดหนึ่งออกมาอย่างสุดกำลัง ที่ครอบแสงบิดเบี้ยวแทบจะสลายไปในทันที จวินอ๋องดำเผยรอยยิ้มออกมา ตามด้วยการแทงมีดคราหนึ่ง
แต่ในขณะที่ ‘ผนึกไร้ขอบเขต’ ก่อร่างขึ้นมานั้นเอง ผนึกไร้ขอบเขตภายใต้การควบคุมของตงป๋อเสวี่ยอิงก็สั่นสะท้านและบิดเบี้ยวด้วยความตั้งใจ แต่ก็มิได้แตกสลายไป
“หรือว่าร่างแยกทั้งเก้าต่างก็กำลังสำแดงการผนึกกันหมด” จวินอ๋องดำคาดเดา สีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย “ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเคล็ดผนึกต้องห้ามนี้ของเจ้าจะสามารถต้านทานเอาไว้ได้ แตกสลายไปให้ข้าเสียเถิด”
จวินอ๋องดำแทงมีดอย่างบ้าคลั่ง
ประกายมีดแฝงไว้ด้วยความมืดหม่นอันไร้ที่สิ้นสุด ประกายมีดฟาดฟันอย่างต่อเนื่อง
ปัง ปัง ปัง…
ผนึกไร้ขอบเขตอ่อนแรงลงอย่างต่อเนื่อง บิดเบี้ยวจนในที่สุดก็ระเบิดแหลกสลายพังทลายไป จวินอ๋องดำเผยรอยยิ้มเย็นออกมา เพียงแต่การแหลกสลายในครั้งนี้เป็นสิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงตั้งใจทำขึ้น ถ้าหากควบคุมเอาไว้ต่อไป จวินอ๋องดำก็จะถูกขังเอาไว้นานขึ้น! จงใจแตกสลายก็เพราะท่าไม้ตายของเขามาถึงเรียบร้อยแล้ว! หากผนึกไม่แตกสลายก็จะกลับกลายเป็นสิ่งกีดขวางท่าไม้ตายของเขาแทน
“นี่มันอะไรกัน”
ในขณะที่จวินอ๋องดำกำลังบดขยี้ผนึกไร้ขอบเขตนั้นก็มองรอบด้านอย่างตื่นตระหนก ห้วงมิติบิดเบี้ยวที่อยู่บริเวณรอบๆ จำนวนนับไม่ถ้วนก็แตกสลายจนหมดสิ้นราวกับฟอง พังทลายอย่างฉับพลันจนหมดสิ้น
แต่ละส่วนล้วนพังทลายลงมาทางจวินอ๋องดำ
“ไม่! ท่านบรรพชนช่วยข้าด้วย!” จวินอ๋องดำได้เห็นภาพเหตุการณ์ที่ทุกสิ่งทุกอย่างพังทลายลงมาอย่างฉับพลันแล้วก็เกิดความหวาดหวั่นจากดวงวิญญาณขึ้นมา เขามีความรู้สึกได้รับอันตรายชนิดหนึ่ง ความรู้สึกอันตรายจากความตาย!
ปัง ปัง ปัง!!!
คล้ายกับว่าเพียงชั่วครู่
บริเวณที่จวินอ๋องดำอยู่เปลี่ยนเป็นดำทะมึนไปหมด ที่นี่เชื่อมต่อกับห้วงมิติระดับที่สูงกว่าของโลกภายนอกแล้ว ทั้งหมดดูเหมือนว่าต่างก็สูญสลายไปจนสิ้น
‘ห้วงอากาศทวีคูณล่มสลาย’ หนึ่งในสามท่าไม้ตายของยุทธวิธีหิมะเหิน
“ตายให้ข้าเสียเถิด ตายไปเสีย!” ร่างแยกทั้งเก้าปรากฏขึ้นบนดอกบัวเพลิงขนาดมหึมา แต่ละคนจ้องมองความมืดมิดผืนนี้
นี่คือกระบวนท่าที่โหดร้ายทารุณที่สุดในสามท่าไม้ตาย เมื่อพบว่าร่างกายของจวินอ๋องดำไม่มีจุดอ่อนใดๆ ให้หาพบได้นั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ได้เลือกท่าไม้ตายที่โหดร้ายที่สุดแล้ว ทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง! แต่เขาก็กลัว กลัวว่าถ้าหากกระบวนท่านี้ก็ยังฆ่าไม่ตายแล้วล่ะก็ เกรงว่าตนคงจะไม่มีเวลาได้สำแดงอีกครั้งแล้ว
“เขาตายแล้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงรับสัมผัสได้แล้ว
รับสัมผัสได้ว่าท่ามกลางความดำทะมึนก็ไม่มีกลิ่นอายของสิ่งมีชีวิตอยู่อีกแล้ว แม้กระทั่งวัตถุมากมายต่างก็แหลกสลาย มีเพียงแค่วัตถุสองชิ้นที่สะดุดตาที่สุดเท่านั้น
“เก็บมา”
ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่สามารถตรวจดูได้ เขาโบกมือคราหนึ่ง ก็คือการคว้าจับห้วงอากาศ เก็บทุกสิ่งทุกอย่างเข้าไปไว้ภายในคลังสมบัติล้ำค่าในทันที
“ไป”
เขาเคลื่อนที่ในพริบตาหลบหนีไปไกลในทันที
……
พูดมาเสียยืดยาว ในความเป็นจริงแล้วชั่วขณะที่ท่าไม้ตายเคลื่อนเข้ามาผลาญสังหารจวินอ๋องดำได้สำเร็จนั้นเอง ตงป๋อเสวี่ยอิงก็นำสมบัติล้ำค่าหนีไปอย่างรวดเร็วในทันที
เขาออกมาจากอาณาเขตรัฐวายุโหมอย่างเงียบงันไร้สุ้มเสียง
กลางพื้นที่รกชัฏแห่งหนึ่ง
เขาสอดแนมบริเวณที่เกิดสงครามขึ้นก่อนหน้านี้โดยอาศัยศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา จนกระทั่งถึงตอนนี้จังหวะการเต้นของหัวใจเขาก็รวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง
“สำเร็จจริงๆ แล้ว ข้าสังหารจวินอ๋องดำได้จริงๆ แล้ว” ในใจตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งตื่นเต้นทั้งยินดี เขายิ่งเพิ่มความกระจ่างแจ้งในพลังยุทธ์ของตนเองแล้ว
อันที่จริงก็ปกติเป็นอย่างยิ่ง
ถึงแม้จะไม่อาศัยดอกบัวเพลิงห้วงอากาศ ร่างแยกทุกร่างของเขาอาศัยเจ็ดกระบวนคละถิ่น ตอนนี้ต่างก็มีพลังรบระดับสุดยอด ภายใต้การร่วมโจมตีของร่างแยกทั้งเก้า แม้ในบรรดาผู้แกร่งกล้าระดับจอมเคารพก็ยังจัดอยู่ในระดับสุดยอด ยิ่งอาศัย ‘ดอกบัวเพลิงห้วงอากาศ’ ทำให้พลังยุทธ์ยิ่งเพิ่มพูนขึ้นหลายเท่า พลังยุทธ์ของตงป๋อเสวี่ยอิง…นั้นก็อยู่ในระดับเดียวกันกับพวกมหาเคารพฝูอี่นี้แล้ว
ในบรรดาระดับจอมเคารพที่มีอยู่ทั้งหมด ก็เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่น่าหวาดหวั่นเป็นที่สุดแล้ว
ส่วนร่างกายของจวินอ๋องดำถึงแม้ว่าจะไม่มีข้อบกพร่องที่เห็นได้ชัดเจน แต่ถึงอย่างไรเขาก็มิได้เป็นสายฝึกกาย ก็มิได้ล้ำเลิศทางด้านเคล็ดวิชาฝึกกายสักเท่าใดนัก ร่างกายมิอาจนับได้ว่าแข็งแกร่ง ต่อให้รักษาชีวิตอย่างไร ภายใต้ท่าไม้ตายที่น่าหวาดหวั่นที่สุดของตงป๋อเสวี่ยอิง ก็ยังคงต้องร่างกายและวิญญาณสูญสลายจนสิ้น ไม่หลงเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย
จากนั้น…
ระดับจอมเคารพผู้แกร่งกล้าที่มีชื่อเสียงเลื่องลือคนหนึ่งบนดินแดนจิตโลกาที่อยู่ที่รัฐวายุโหม ถูกสังหารเสียแล้ว!
“หืม” ตงป๋อเสวี่ยอิงม่านตาหดเล็กลง อาศัยศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาสอดแนม เขาก็ได้เห็นแล้ว
ที่บริเวณสมรภูมิรบเมื่อครู่
มีชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นด้านบนซากปรักหักพังผืนนั้น เขามีชุดคลุมสีดำที่บริเวณขอบเดินลวดลายดอกไม้สีทอง ใบหน้าขาวผ่อง นัยน์ตาทั้งคู่กวาดมองบริเวณรอบๆ อย่างเยือกเย็น นัยน์ตาของบรรพชนราตรีนิรันดร์มีความเย็นชาและความโกรธเคืองอันน่าหวาดหวั่น เขารู้แล้วว่า ‘จวินอ๋องดำ’
ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาตายไปแล้ว แม้กระทั่งผู้ใดฆ่าก็ยังไม่รู้เล
“บรรพชนราตรีนิรันดร์” ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ที่ด้านนอกรัฐวายุโหม มองดูอยู่ห่างๆ ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
เป็นเขา!
บรรพชนราตรีนิรันดร์!
ผู้ที่เคยผลาญสังหารร่างแยกที่มีอยู่ทั้งหมดของเขาตอนอยู่ที่วังเทพจิตโลกา แล้วช่วงชิงสมบัติล้ำค่าของเขาไปนั่นเอง
ภาคที่ 35 มหาเคารพหิมะเหิ...
ตอนที่ 14 บรรพชนราตรีนิรันดร์ผู้โกรธแค้น
ลมหนาวอันเวิ้งว้างพัดหวีดหวิว ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่ที่นั่น พินิจดูบุคคลผู้น่าหวาดหวั่นที่อยู่ห่างออกไปล้านล้านลี้ผู้นั้นอย่างเยือกเย็น! ถึงแม้ว่าภายในใจจะมีจิตต่อสู้เดือดพล่าน แต่เขาก็เข้าใจกระจ่างดีว่า… ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะมีคุณสมบัติพอที่จะต่อสู้เผชิญหน้ากับบรรพชนราตรีนิรันดร์ แต่ถึงอย่างไรในท้ายที่สุดสองฝ่ายก็มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน! ตนเองก็ได้ทำได้แค่ ‘ป้องกันตัวเอง’ อย่างสบายๆ เท่านั้น ไปทำการบุกสังหารก็เป็นการรนหาที่เปล่าๆ
“รอให้หลอมอาวุธเทพอลวนของข้าสำเร็จก่อน ความห่างชั้นก็จะน้อยลงแล้ว ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา”ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ พลังยุทธ์ของเขาในตอนนี้สามารถนับได้เพียงว่าเทียบเคียงกับมหาเคารพฝูอี่เท่านั้น พลังยุทธ์เช่นนี้เมื่อเผชิญกับบุคคลผู้ไร้เทียมทานก็ต้องถูกกดดันอยู่ดี
“ปราการเมืองสิบเก้าแห่ง ข้าเพิ่งช่วยไปแค่สามแห่งเท่านั้น เหลืออีกสิบหกแห่งที่มีความยุ่งยากอยู่บ้าง ต้องรอหลังจากที่บรรพชนราตรีนิรันดร์จากไปแล้ว”
ตอนนี้มิใช่เวลาเหมาะที่จะช่วยเหลือ
เวลาที่บรรพชนราตรีนิรันดร์กำลังโกรธแค้น กำลังเสาะหาตัวเขา
……
“สมควรตาย ที่แท้แล้วเป็นผู้ใดกันแน่” ชุดคลุมสีดำส่งเสียงพึ่บพั่บ นัยน์ตาอันเยียบเย็นของบรรพชนราตรีนิรันดร์ผู้มีใบหน้าหล่อเหลามองลงไปยังเบื้องล่าง ทุกตารางนิ้วของห้วงอากาศเบื้องล่างล้วนถูกแช่แข็งไปเสียแล้ว เหล่าผู้บำเพ็ญที่อยู่ห่างออกไปค่อนข้างใกล้เหล่านั้นต่างก็รู้สึกได้ว่าร่างกายแข็งเกร็ง ห้วงสมองขาวโพลนไปหมด ถึงขนาดที่ต่างพากันสูญเสียความสามารถในการคิดใคร่ครวญไป เมื่ออยู่ต่อหน้าบรรพชนราตรีนิรันดร์ พวกเขาแต่ละคนก็ไม่มีเรี่ยวแรงต้านทานเลยแม้แต่น้อย
บรรพชนราตรีนิรันดร์กำลังเสาะหาอยู่
เคล็ดลับสะกดรอย…ร่องรอยวิญญาณ…ย้อนรอยกาลเวลา…
“นี่มันเรื่องอันใดกัน” สีหน้าของบรรพชนราตรีนิรันดร์ทวีความเคร่งขรึมยิ่งขึ้น ไม่ว่าเขาจะค้นหาอย่างไร เมื่อถึงตอนที่กำลังจะสอดแนมไปถึงตัวมือสังหาร ต่างก็ถูกรบกวนนจนมิอาจตรวจหาต่อไปได้อีก
“แม้กระทั่งข้ายังมิอาจตรวจพบได้ หรือว่าจะเป็นฝีมือเทพจักรวาลขั้นสุดยอดสักคนหนึ่ง ต่อให้เป็นเทพจักรวาลขั้นสุดยอดธรรมดาทั่วไปก็ไม่สามารถผลาญสังหารจวินอ๋องดำได้ภายในชั่วพริบตาเดียวหรอก” บรรพชนราตรีนิรันดร์เอ่ยพึมพำ พอจวินอ๋องดำขอความช่วยเหลือ เขาก็มาในทันทีทันใด แต่ก็ยังมาช้าเกินไปอยู่ดี! การส่งสารในตอนแรกของจวินอ๋องดำก็ยังค่อนข้างมั่นใจในตนเอง รอจนถึงเวลาที่ขอความช่วยเหลือก็คือเวลาที่ชะตาถึงฆาตแล้ว
เห็นได้ชัดว่าฆาตกรซ่อนเร้นพลังยุทธ์เอาไว้ในตอนแรก รอจนเผยเขี้ยวเล็บ ก็ผลาญสังหารภายในกระบวนท่าเดียว!
“สามารถผลาญสังหารได้ภายในชั่วพริบตา เป็นใครกัน เป็นบุคคลผู้ไร้เทียมทานคนอื่นหรือไร” บรรพชนราตรีนิรันดร์เกิดความคิดมากมายขึ้นภายในชั่วครู่เดียว ผู้ที่สามารถทำการผลาญสังหารจวินอ๋องดำได้ภายในชั่วพริบตาทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาก็มีอยู่น้อยนิดเหลือเกิน แม้แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เพียงแค่ลองเสี่ยงดูสักตั้ง มิได้มีความมั่นใจสักเท่าใดนัก อย่างเช่นมหาเคารพฝูอี่และคนอื่นๆ พลังยุทธ์พอๆ กันกับเขา บางทีก็อาจจะสามารถผลาญสังหารจวินอ๋องดำได้สำเร็จ แต่การจะผลาญสังหารได้ภายในชั่วพริบตานั้นเกรงว่ายังไม่แน่ว่าจะสามารถทำได้
ผู้ที่กล้าพูดว่าสามารถทำได้อย่างแน่นอน
ก็มีแต่บุคคลผู้ไร้เทียมทานเท่านั้น!
“อาศัยผู้ยิ่งใหญ่รังแกผู้น้อย สังหารจอมเคารพคนหนึ่งจนตายก็แล้วไปเถิด แต่ยังต้องซ่อนหัวเร้นหาง แม้กระทั่งโฉมหน้าที่แท้จริงก็ยังมิกล้าเปิดเผยออกมาเลย” บรรพชนราตรีนิรันดร์หรี่ตา ทันใดนั้นก็มองไปทางผู้บำเพ็ญจำนวนหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปเบื้องล่างอย่างละเอียด โดยเฉพาะบรรดาผู้แกร่งกล้าขั้นรวมเป็นหนึ่งในกลุ่มคนเหล่านั้น บรรพชนราตรีนิรันดร์ส่งระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างแทรกผ่านเข้าสู่ห้วงสมองของพวกเขาในทันทีแล้วเริ่มต้นพลิกดูความทรงจำ
เป็นถึงบุคคลผู้หลอมมารรับใช้ได้แข็งแกร่งที่สุดในทั้งดินแดนจิตโลกา การสำรวจทางด้านวิญญาณของบรรพชนราตรีนิรันดร์ก็ล้ำลึกเป็นที่สุด ต่อให้เป็นวิญญาณขั้นอลวนก็สามารถตรวจดูได้อย่างสบายๆ
ตรวจดูความทรงจำ…
บรรพชนราตรีนิรันดร์มองเห็นชายหนุ่มเสื้อดำคนหนึ่งห้ำหั่นกับจวินอ๋องดำ จนกระทั่งปรากฏร่างแยกทั้งเก้าออกมา สำหรับภาพเหตุการณ์ที่ใช้ ‘ดอกบัวเพลิงห้วงอากาศ’ ในช่วงเวลาวิกฤติที่สุด ก็เป็นเพราะตงป๋อเสวี่ยอิงเจตนาบิดหมุนห้วงอากาศ บรรดาขั้นรวมเป็นหนึ่งเหล่านั้นต่างก็ไม่ได้เห็น
“ชายหนุ่มเสื้อดำ ร่างแยกเก้าร่างอย่างนั้นหรือ ดูเคล็ดวิชาการต่อสู้ ไม่สงสัยเลยแม้แต่น้อยว่าเป็นยอดฝีมือทางด้านวิถีอากาศ ที่แท้แล้วเป็นผู้ใดกันแน่ บุคคลผู้ไร้เทียมทานทางด้านวิถีอากาศก็มีอยู่สองท่าน จักรพรรดิเซี่ยหรือว่าผู้พเนจรอย่างนั้นหรือ ไม่ถูกสิ ก่อนหน้าที่ราชันย์อนธการอมตะจะกลับมา
จักรพรรดิเซี่ยก็คือผู้แกร่งกล้าอันดับหนึ่งแห่งดินแดนจิตโลกา เขาหยิ่งยโสเพียงใด ไม่มีทางซ่อนเร้นตัวตนเพียงเพื่อจะลอบสังหารจวินอ๋องดำหรอก ผู้พเนจรหรือ ผู้พเนจรสงบนิ่งกว่ามาก นี่ก็ไม่เข้ากับอุปนิสัยของเขาเอาเสียเลย!” บรรพชนราตรีนิรันดร์นึกค้าน “มหาเคารพฝูอี่ก็มีความเป็นไปได้อยู่บ้าง บางครั้งเขาก็ทำอะไรโดยไม่เลือกวิธีการอยู่บ้าง! ‘อ๋องสัตว์โลกา’ แห่งรัฐโบราณสหโลกาเล่า วิถีอากาศของอ๋องสัตว์โลกาก็ไปถึงระดับเทพจักรวาลชั้นที่สองแล้วเช่นกัน ด้วยอุปนิสัยโหดเหี้ยมทารุณของอ๋องสัตว์โลกา ก็มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นฝีมือเขา”
“เป็นใครกันหนอ” บรรพชนราตรีนิรันดร์ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด
เพราะเจ็บปวดใจ!
ผู้แกร่งกล้าระดับจอมเคารพมีน้อยนิดเหลือเกิน
ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขามีอยู่ทั้งสิ้นห้าคนเท่านั้นเอง! ในบรรดานั้นมีอยู่สามคนที่เป็นสามคนที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่ ‘เก้าผู้ท่องราตรีนิรันดร์’ ที่เขาหล่อหลอมขึ้นมา! ส่วนคนอื่นๆ ก็คือผู้แกร่งกล้าที่เต็มใจสวามิภักดิ์ต่อเขา ระดับจอมเคารพสองคนที่เป็นผู้นำของบรรดาคนเหล่านั้นก็คือจวินอ๋องดำและจวินอ๋องเหยียน! บรรพชนราตรีนิรันดร์ก็คาดหวังว่าจะมีเทพจักรวาลที่แกร่งกล้ามาสวามิภักดิ์ต่อเขามากยิ่งขึ้น
ตามปกติแล้วเขาก็ตั้งใจปฏิบัติต่อจวินอ๋องดำและจวินอ๋องเหยียนอย่างตั้งใจเป็นอย่างยิ่ง
ตอนนี้จวินอ๋องดำตายแล้ว!
……
กาลเวลาเคลื่อนผ่าน
บรรพชนราตรีนิรันดร์ยืนอยู่กลางท้องฟ้าเหนือซากปรักหักพังเป็นเวลาชั่วจิบชาจอกหนึ่งเต็มๆ แล้ว ในที่สุดก็ยังก้าวยาวๆ อย่างจนใจก้าวหนึ่งแล้วทลายอากาศจากไป หายลับไปไม่เห็นอีก
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ที่ด้านนอกรัฐวายุโหม มองดูภาพเหตุการณ์นี้อยู่ห่างๆ แล้วก็มิได้กระวนกระวาย หากแต่รอคอยอย่างเงียบๆ
ฟ้าสว่างแล้วก็มืดลง
หนึ่งวันผ่านไป ตงป๋อเสวี่ยอิงที่ยืนอยู่บนความรกร้างราวกับรูปปั้นดวงตาเปล่งประกายน้อยๆ “ถึงเวลาแล้วสินะ”
พรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ!
ที่พื้นที่ต่างๆ กันบนดินแดนจิตโลกาอันกว้างใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นกลางบ้านธรรมดาทั่วไปภายในปราการเมืองของนครหลวงเกาะสักแห่ง หรือว่าจะเป็นในกระท่อมไม้กลางภูเขาลึก หรือว่าหุบเขากลางภูเขาใหญ่ หรือจะเป็นภายในวังใต้ดิน…สถานที่ทุกหนทุกแห่งต่างก็มีชายหนุ่มเสื้อดำคนแล้วคนเล่าปรากฏตัวขึ้น ตงป๋อเสวี่ยอิงมีร่างแยกอยู่ทั้งสิ้นกว่าหมื่นร่าง นอกจากร่างแยกเก้าร่างที่สำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาเข้าสู่โลกกำเนิดอื่นๆ แล้ว ร่างแยกอื่นๆ อีกจำนวนมากก็ได้กระจายตัวไปตามที่ต่างๆ ในดินแดนจิตโลกา ตามปกติแล้วพวกเขาต่างก็ซ่อนเร้นพลังยุทธ์ สงบเสงี่ยมเจียมตัวเป็นอย่างยิ่ง หรือบำเพ็ญอย่างเงียบๆ ตามลำพัง มีบางส่วนที่เริ่มเปิดสำนักวิชาเล็กๆ ชี้แนะศิษย์จำนวนหนึ่ง มีบางส่วนที่เปิดโรงหลอมเพื่อช่วยทำการหลอมอาวุธ
ตอนนี้มีร่างแยกสิบหกร่างที่เคลื่อนไหวแล้ว
พวกเขาต่างก็สำแดงการเคลื่อนที่ในพริบตาก่อน ซ่อนตัวรักษาระยะห่างแล้วสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาพร้อมกันในทันใด แยกกันมุ่งหน้าไปยังปราการเมืองที่ซ่อนเร้นต้นไม้ประหลาดอัปลักษณ์เอาไว้
กระแสอากาศหมุนวนปรากฏขึ้น
ร่างแยกก้าวยาวๆ เข้าไป หลังจากผ่านเข้าไปแล้วก็ไปถึงยังใจกลางโถงตำหนักลับแห่งหนึ่งในทันใด มองเห็นต้นไม้ประหลาดอัปลักษณ์ต้นนั้นแล้ว
“บังอาจบุกรุกพื้นที่หวงห้าม”
“ฆ่ามัน”
ผู้แกร่งกล้าขั้นอลวนสองคนที่รับผิดชอบเฝ้ายามทั้งตกใจทั้งโมโห ทางหนึ่งก็ควบคุมค่ายกลหมายจะจัดการตงป๋อเสวี่ยอิงที่บุกรุกเข้ามา อีกทางหนึ่งก็ส่งสารติดต่อ ‘จวินอ๋องดำ’ หัวหน้าของพวกเขา แต่ตอนนี้จวินอ๋องดำตายไปแล้ว พวกเขาจะสามารถติดต่อได้อย่างไรกันเล่า
ปัง…
ร่างแยกของตงป๋อเสวี่ยอิงโบกมือคราหนึ่ง ร่างแยกทั้งสิบหกร่างที่ส่งออกมานี้ต่างก็เป็นร่างแยกที่ค่อนข้างอ่อนแอ วิญญาณก็ค่อนข้างอ่อนแอ มีพลังยุทธ์เพียงแค่หนึ่งในสิบส่วนของปกติเท่านั้น แต่เพียงแค่โบกมือคราหนึ่ง ขั้นอลวนสองคนก็กลายเป็นผุยผงกระจัดกระจายไปเสียแล้ว ร่างแยกของตงป๋อเสวี่ยอิงถอนต้นไม้ประหลาดอัปลักษณ์ต้นนั้นขึ้นมาในทันที มองดูพลอยสีดำสามเม็ดบนต้นไม้ประหลาดแล้วก็หัวเราะ จากนั้นก็สำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาจากไปในทันที!
……
ร่างแยกแต่ละร่างต่างก็สำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกามาถึงที่นี่กันหมด รับหน้าที่เฝ้ายามบรรดาขั้นอลวนเหล่านั้น มีเพียงสองคนที่ถูกตงป๋อเสวี่ยอิงแยกเอาไปไว้ที่อีกด้านหนึ่ง ยังมิได้สังหาร สองคนนี้ถึงแม้ว่าจะผิดแผกอยู่บ้าง อุปนิสัยแปลกประหลาด แต่ก็มิอาจนับได้ว่าเป็นมาร
แต่ทว่าก็ยังมีร่างแยกร่างหนึ่งที่เผชิญกับความยุ่งยากเข้า
“พรึ่บ”
ในขณะที่ร่างแยกร่างนี้ก้าวออกมาจากกระแสวนอันบิดเบี้ยว ห้วงอากาศด้านข้างกลับมีเงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้นมาในทันใด เขามีชุดคลุมสีดำที่เดินริมด้วยลวดลายดอกไม้สีทอง ใบหน้าหล่อเหลา นัยน์ตาเย็นเยียบดุจน้ำแข็งมองตงป๋อเสวี่ยอิง พร้อมกันนั้นก็ยื่นมือมา! ฝ่ามือปล่อยแสงทองอันยิ่งใหญ่มหาศาลไร้ที่สิ้นสุดออกมา นิ้วมือทุกนิ้วล้วนมีแสงทองปรากฏขึ้น ตรงมาหมายจะจับตัวร่างแยกนี้ของตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้
“ข้ารอเจ้าอยู่ที่นี่มานานแล้ว!” นัยน์ตาของบรรพชนราตรีนิรันดร์เต็มไปด้วยความเยียบเย็น
ภาคที่ 35 มหาเคารพหิมะเหิ...
ตอนที่ 15 อำมหิต!
“เฮอะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองบรรพชนราตรีนิรันดร์แต่กลับแย้มยิ้มอย่างเยียบเย็น พรึ่บ ร่างกายของเขาสลายกระจัดกระจายไปอย่างเงียบงันไร้สุ้มเสียง
“อะไรกัน” ตอนที่บรรพชนราตรีนิรันดร์ลงมือก็ได้คิดหาวิธีที่จะส่งผลกระทบต่อวิญญาณของร่างแยกตรงหน้านี้แล้ว คิดจะผนึกร่างแยกนี้เอาไว้โดยเร็วที่สุด! แต่ร่างเดิมของตงป๋อเสวี่ยอิงก็เป็นยอดฝีมือทางด้านเขตลวงโลกเทียมอยู่แล้ว อีกทั้งวิญญาณยังเคยผสานรวมโลหิตจากหัวใจของ ‘มารดามังกรหมื่นสัมผัส’ หยดหนึ่งเข้าไปด้วย ถึงแม้ว่าบรรพชนราตรีนิรันดร์ก็นับได้ว่าเชี่ยวชาญทางด้านวิญญาณเช่นกัน แต่ก็เป็นเพียงแค่ระดับเทพจักรวาลชั้นที่สองเท่านั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงอยากเลือกที่จะสลายร่าง เขาก็ไม่มีทางขัดขวางเอาไว้ได้อยู่แล้ว!
เหตุผลที่ไม่ระเบิดตนเองแต่เพียงแค่สลายร่างไปเท่านั้น เป็นเพราะตงป๋อเสวี่ยอิงก็กังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อชีวิตผู้บริสุทธิ์จำนวนมากมายของเมืองแห่งนี้
“อีกเพียงนิดเดียวเท่านั้น”
บรรพชนราตรีนิรันดร์ยื่นมือออกไป เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มเสื้อดำตรงหน้าผู้นั้นหายตัวไปแล้วก็อดที่จะทวีความโกรธเคืองยิ่งขึ้นมิได้
ถ้าหากผนึกเอาไว้ เช่นนั้นก็สามารถตรวจสอบอย่างละเอียดได้ ทำให้รู้ว่าที่แท้แล้วศัตรูผู้นี้เป็นใครกันแน่ ช่างโชคร้ายอะไรเช่นนี้ กระทั่งศัตรูอยู่ต่อหน้าต่อตาก็ยังไม่สามารถทำให้กระจ่างได้เลย!
“สมควรตาย สมควรตายนัก!”
บรรพชนราตรีนิรันดร์คำรามเสียงต่ำ
ปัง…
แสงสีทองอันน่าหวาดหวั่นมีเขาเป็นจุดศูนย์กลาง สาดกระจายออกไปทุกทิศทุกทางอย่างบ้าคลั่ง ขั้นอลวนสองคนที่ทำหน้าที่รับผิดชอบเฝ้ายามอยู่ข้างๆ ก็เบิกตากว้างอย่างสิ้นหวัง กระจัดกระจายไ
ภายใต้แสงสีทองอร่ามตา ห้องโถงแห่งนี้ เคหาสน์แห่งนี้ และต้นไม้ประหลาดอัปลักษณ์ต้นนั้นต่างก็กระจัดกระจายสลายไปภายใต้แสงสีทองจนหมดสิ้น ภายใต้ระลอกคลื่นแสงสีทอง ดูเหมือนว่าเพียงพริบตาเดียวก็แผ่กระจายไปทั่วทั้งปราการเมือง และยังแผ่กระจายออกไปนอกเมืองอีกด้วย
“ไม่นะ” มีผู้บำเพ็ญภายในเมืองมองแสงสีทองกวาดผ่านไปอย่างสิ้นหวัง
“ในที่สุดก็ปลดปล่อยออกมาจนได้” แล้วก็มีผู้บำเพ็ญที่เฉยเมย
ที่มีมากยิ่งกว่าก็คือยังมิทันได้มีปฎิกริยาตอบสนองก็ถูกแสงสีทองกวาดผ่านไปเสียแล้ว และกระจัดกระจายสลายไป
ส่งผลกระทบต่อพื้นดิน ส่งผลกระทบต่อผืนฟ้า
แสงทองขนาดมหึมา ระยิบระยับจับตาหาใดเปรียบ!
ในขณะนี้ เหล่าเทพจักรวาลแทบทุกคนบนดินแดนจิตโลกาต่างก็สัมผัสได้ถึงระลอกคลื่นอันน่าหวาดหวั่นที่นี่อย่างรางๆ
“นี่มันเรื่องอันใดกัน บรรพชนราตรีนิรันดร์วิปลาสเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ทำลายสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนทั่วทั้งเมืองแห่งหนึ่งเช่นนี้น่ะหรือ”
“เขากำลังทำอะไรน่ะ”
“มีเขาอยู่ที่นั่นเพียงคนเดียว ไม่เห็นจะมีคู่ต่อสู้ห้ำหั่นอยู่กับเขาเสียหน่อยนี่”
อีกทั้งยังมีผู้แกร่งกล้าจำนวนไม่น้อย รวมถึงเหล่าบุคคลผู้ไร้เทียมทาน แต่ละคนต่างก็ค้นพบทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่นี่ แต่พวกเขาก็เพียงแค่สงสัยไม่เข้าใจเท่านั้น แม้กระทั่ง ‘เจ้าเมืองอนันต์’ ที่ทอดถอนใจกับการตายของสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนก็ยังได้แต่ขมวดคิ้วมุ่นเท่านั้น ช่วยไม่ได้ พลังยุทธ์ของเขาแข็งแกร่งกว่าบรรพชนราตรีนิรันดร์แบบมีขีดจำกัด ก็ได้แค่เป็นต่อเท่านั้น ต่อให้ลงมือห้ำหั่นกันก็เสียเวลาเปล่า เกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อผู้บริสุทธิ์มากยิ่งขึ้นไปอีก!
“เดือดดาลก็ให้สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนถูกฝังไปเป็นเพื่อนอย่างนั้นหรือ” เจ้าเมืองอนันต์ส่ายศีรษะน้อยๆ “เฮ้อ ตอนนี้บุคคลผู้ไร้เทียมทานทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาก็มีเพียงแค่จักรพรรดิเซี่ยและราชันย์อนธการอมตะเท่านั้นที่สามารถกดดันบรรพชนราตรีนิรันดร์ได้กระมัง ราชันย์อนธการอมตะอุปนิสัยโหดเหี้ยม การสังหารรุนแรงเป็นที่สุด เขาจึงคร้านที่จะยุ่งวุ่นวายกับเรื่องพรรค์นี้ จักรพรรดิเซี่ยก็ตั้งหน้าตั้งตาบำเพ็ญเพียงอย่างเดียว เห็นผู้อ่อนแอจำนวนนับไม่ถ้วนราวกับมดปลวกก็มิปาน”
ราชันย์อนธการอมตะ
ก่อนหน้าสงครามประเทศโบราณครั้งที่หนึ่ง ก็จัดได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งของดินแดนจิตโลกาในตอนนั้นแล้ว และในท้ายที่สุดก็กดดันทุกฝ่าย ได้รับผลประโยชน์มหาศาล ไปจากดินแดนจิตโลกาเหยียบย่างบนวิถี ‘ผู้แกร่งกล้าคละถิ่น’ หลังจากผ่านวันเวลาอันยาวนาน ตอนนี้กลับมา ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถกลายเป็นผู้แกร่งกล้าคละถิ่นได้สำเร็จ แต่พลังยุทธ์ของเขาถึงแม้ว่าจะไม่ก้าวหน้า ก็ยังแข็งแกร่งกว่าบรรพชนราตรีนิรันดร์อยู่ขั้นหนึ่ง
จักรพรรดิเซี่ย เมื่อ ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ ยังไม่กลับมา ก็จัดเป็นผู้มีพลังยุทธ์อันดับหนึ่งในดินแดนจิตโลกา ประมือเป็นระยะเวลาสั้นๆ ที่วังเทพจิตโลกาก็ต่อตีเสียจนบรรพชนราตรีนิรันดร์ได้รับบาดเจ็บจนหลบหนีไป
ก็มีเพียงแค่สองคนนี้เท่านั้นที่มีคุณสมบัติพอจะสั่งสอนบรรพชนราตรีนิรันดร์ได้!
……
ที่ด้านนอกรัฐวายุโหม ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาสอดแนมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไกลออกไป เมื่อเห็นบรรพชนราตรีนิรันดร์ระเบิดแสงสีทองอันไร้ที่สิ้นสุดออกมาทำลายล้างทั่วทั้งปราการเมืองภายใต้ความวิปลาสและเดือดดาล จนสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนกระจัดพลัดพรายแล้วก็อดที่จะหัวใจสั่นสะท้านมิได้
“บรรพชนราตรีนิรันดร์ จนใจที่มิได้ตัวข้า ก็ดึงผู้บริสุทธิ์มาพัวพันด้วยอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
พรึ่บ
แสงสีทองสลายตัวไป
บรรพชนราตรีนิรันดร์ยืนลอยตัวอยู่ตรงจุดศูนย์กลางของหลุมขนาดมหึมาที่ใหญ่โตกว่าปราการเมืองในตอนแรกกว่าสิบเท่า ชุดคลุมสีดำพลิ้วไหว นัยน์ตาทั้งคู่ของเขากวาดมองรอบด้านด้วยความโกรธแค้นลุกโชน
บรรพชนราตรีนิรันดร์ขบกรามเอ่ยช้าๆ ทีละคำว่า “ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร กล้ารังแกมาถึงบนหัวของข้า ราตรีนิรันดร์ ข้าจะต้องทำให้เจ้าได้รู้ถึงราคาของมัน! รอข้าก่อนเถิด เจ้าซ่อนตัวได้ไม่นานสักเท่าใดนักหรอก!”
เสียงของเขาสะท้อนก้องทั่วฟ้าดิน
ใครก็สามารถรู้สึกได้ถึงความอาฆาตและแค้นเคืองในน้ำเสียงของบรรพชนราตรีนิรันดร์
จากนั้นบรรพชนราตรีนิรันดร์ก็หายตัวไปกลางอากาศไปจากที่แห่งนี้ เหลือเอาไว้เพียงแค่หลุมบ่อขนาดใหญ่มหึมาอันหนาวเหน็บไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิต
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถสัมผัสได้ถึงความอาฆาตในน้ำเสียงคำรามอย่างโกรธแค้นของบรรพชนราตรีนิรันดร์ แต่เขาก็มิได้เห็นอยู่ในสายตา เดิมทีเขานึกอยากจะช่วยคน แต่ผลลัพธ์กลับกลายเป็นเช่นนี้ไปเสียได้
เขาได้เห็นมามากมายเกินไปแล้ว
เพียงแต่ว่าถึงแม้พลังยุทธ์จะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เขาก็ยังคงรู้สึกไร้ซึ่งเรี่ยวแรงอยู่ดี เพราะว่าถึงแม้จะเป็นบุคคลผู้ไร้เทียมทาน เมื่อเผชิญหน้ากับการก่อหายนะของบุคคลผู้ไร้เทียมทานคนอื่นๆ ก็สิ้นไร้เรี่ยวแรงอยู่ดี
“หากมีสักวันหนึ่งที่ข้าสามารถจัดแจงกฎเกณฑ์สูงสุดได้ ข้าก็จะต้องบัญญัติ ‘สวรรค์ลงทัณฑ์’ ผู้ที่ทำบาปมหันต์ก็ต้องถูกสวรรค์ลงทัณฑ์” ในขณะนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงเกิดความคิดเช่นนี้ขึ้นมา
สรรพชีวิตทั้งหมดทั้งมวลทั่วฟ้าดินล้วนมีความสมดุล
ก็ไม่สามารถปล่อยให้ผู้แกร่งกล้าก่อหายนะตามอำเภอใจได้ จำเป็นจะต้องบวกกับขีดจำกัดของกฎเกณฑ์ด้วย
“คิดไกลเกินไปแล้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะเบาๆ
บางทีไปถึงระดับขั้นอย่างหยวนและเจ้าเมืองหลัวนั้น ก็สามารถควบคุมโลกกำเนิด กำหนดกฎเกณฑ์ได้แล้วกระมัง
“พรึ่บ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงแปลงร่างกลายเป็นชายหนุ่มอาภรณ์ขาวผู้หนึ่งในทันใด
คราวนี้ค้นพบปราการเมืองสิบเก้าแห่ง ผู้รับผิดชอบโดยตรงก็คือจวินอ๋องดำและประมุขสมาพันธ์สวรรค์โบราณ เกี่ยวโยงกับบรรพชนราตรีนิรันดร์มากยิ่งกว่าเสียอีก! ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกถึงความเคลื่อนไหวที่ใหญ่โตถึงเพียงนี้…เป็นไปได้ว่าจะมิใช่เพียงแค่ปราการเมืองสิบเก้าแห่งเสียแล้ว
เขาจำเป็นต้องตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง!
แน่นอนว่าการตรวจสอบกระบวนการการต่อสู้ ความรู้สึกอันตรายก็มีส่วนช่วยในการบำเพ็ญเช่นเดียวกัน ตอนนี้เขาแปดสายผสานรวมกัน ห่างจากเก้าสายผสานรวมกันไปถึงระดับขั้นสุดยอดอีกเพียงแค่ก้าวสุดท้ายก้าวเดียวเท่านั้น ยิ่งเดินเตร็ดเตร่ภายนอกมาก มีประสบการณ์การต่อสู้มากก็ยิ่งมีความเป็นไปได้ที่จะมีส่วนช่วยในการบำเพ็ญมากยิ่งขึ้น และร่างแยกหลักร่างอื่นๆ ของเขาต่างก็อยู่ระหว่างการปลีกวิเวกบำเพ็ญ มุ่งหน้าสู่ขั้นสุดยอดอย่างสุดกำลัง
******
ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินเตร็ดเตร่อยู่บนดินแดนจิตโลกาอย่างเงียบเชียบ ในขณะที่เสาะหาความลับเบื้องหลังอย่างต่อเนื่องอยู่นั้นเอง
ความวิปลาสของบรรพชนราตรีนิรันดร์ในครั้งนี้…เหนี่ยวนำให้เกิดความสนใจของเทพจักรวาลจำนวนมากทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา นอกจากนี้พวกเขาก็ยังได้รับข่าวคราวอย่างรวดเร็วอีกด้วย
จวินอ๋องดำตายแล้ว!
พอจวินอ๋องดำตานไป ร่างแปรที่รับผิดชอบดูแลจัดการอยู่ตามที่ต่างๆ ก็มลายหายไปจนสิ้น เรื่องนี้ก็ย่อมไม่สามารถปิดบังเอาไว้ได้อยู่แล้ว
นอกจากนี้เรื่องที่จวินอ๋องดำห้ำหั่นกับชายหนุ่มเสื้อดำคนหนึ่งก็ถูกตรวจพบอย่างรวดเร็ว เพราะว่าผู้บำเพ็ญที่ได้เห็นการต่อสู้ในครั้งนั้นก็มีอยู่มากมาย
“จวินอ๋องดำตายแล้วหรือ ถูกยอดฝีมือวิถีอากาศผู้ลึกลับคนหนึ่งสังหาร ดังนั้นบรรพชนราตรีนิรันดร์จึงได้คลั่งขึ้นมาอย่างนั้นหรือ”
อ้างอิงจากร่องรอยหลักฐานจำนวนมาก เหล่าผู้แกร่งกล้ามากมายบนดินแดนจิตโลกาก็อนุมานกันได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้บรรพชนราตรีนิรันดร์ก็มิได้โต้ตอบข่าวลือที่แพร่สะพัดของโลกภายนอกแต่อย่างใดเลย หรือว่าบรรพชนราตรีนิรันดร์ก็อยากจะอาศัยสิ่งนี้เสาะหาตัวตนของศัตรูเช่นเดียวกัน
“ถูกผู้ใดสังหารกันเล่า”
“จวินอ๋องดำ ยอดฝีมือระดับจอมเคารพก็ถูกสังหารเช่นนี้เองน่ะหรือ แม้กระทั่งบรรพชนราตรีนิรันดร์ก็ไปช่วยไม่ทันเชียวหรือ”
ดินแดนจิตโลกาสั่นสะเทือน
แต่ละฝ่ายพากันวิพากษ์วิจารณ์ แม้กระทั่ง‘ทะเลสาบมารทมิฬ’ ที่เป็นแหล่งรวมตัวของพญามารจำนวนหนึ่งก็อุทานอย่างตกใจกับสิ่งนี้ ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาพญามารจำนวนมากก็เป็นเพียงแค่ระดับจอมเคารพเท่านั้น กล้ายั่วยุบรรพชนราตรีนิรันดร์ กล้าสังหาร ‘จวินอ๋องดำ’ ยอดฝีมือที่น่าหวั่นเกรงผู้นี้สามารถทำให้พวกเขามองอย่างตกตะลึงได้เลยทีเดียว
“เป็นผู้ใดกัน”
“เป็นใครกันที่ลงมือสังหาร”
การคาดเดาจำนวนนับไม่ถ้วน
ส่วนใหญ่ล้วนคาดเดาว่าเป็นไปได้ที่จะเป็นบุคคลผู้ไร้เทียมทานสักคนหนึ่งลงมือ
……
มีเพียงบุคคลผู้ไร้เทียมทานของรัฐโบราณคิมหันตวายุสามท่านและมหาเคารพซือเทียนที่มีการคาดการณ์บางอย่าง
“เจ้าเด็กผู้นี้มีพลังยุทธ์เช่นนี้ ได้รับดอกบัวเพลิงห้วงอากาศไปแล้วก็ถึงกับสามารถสังหารจวินอ๋องดำได้สำเร็จเลยเชียวหรือ” จักรพรรดิเซี่ยตกใจอยู่บ้าง นี่ออกจะเหนือกว่าจินตนาการของเขาอยู่เล็กน้อย เขาคิดว่าตงป๋อเสวี่ยอิงอาศัยดอกบัวเพลิงห้วงอากาศ คาดว่าจะนับได้ว่ามีระดับที่ค่อนข้างแข็งแกร่งในบรรดาจอมเคารพ ย่อมมิได้คิดอยู่แล้วว่า…ตงป๋อเสวี่ยอิงจะสามารถเทียบเคียงได้กับมหาเคารพฝูอี่เลยทีเดียว
ระดับอย่างมหาเคารพฝูอี่นี้ก็มิใช่สิ่งที่สุดยอดสมบัติลับล้ำค่าที่ร้ายกาจยิ่งสักชิ้นหนึ่งจะสามารถทำได้สำเร็จ ร่างกายมีความสำคัญยิ่งกว่า
เขาจะรู้เสียที่ไหนกันว่าตงป๋อเสวี่ยอิงตระหนักรู้เจ็ดกระบวนคละถิ่น แม้ไม่มีสุดยอดสมบัติลับล้ำค่า ร่างแยกทุกร่างต่างก็สามารถแสดงพลังรบระดับสุดยอดออกมาได้แล้ว
“เขาได้รับดอกบัวเพลิงห้วงอากาศแล้วยังให้ซือเทียนเก็บเป็นความลับ คิดไม่ถึงว่าจะลงมืออย่างรวดเร็วเช่นนี้” บรรพชนฝานได้รับข่าวแล้วก็ทอดถอนใจ
และที่คีรีมารสกุลฝาน
มหาเคารพซือเทียนตรงไปตรงมายิ่งกว่า เขาเหยียบย่างห้วงอากาศมาถึงใต้ต้นไม้เทพผลาญจิตขนาดมหึมา
ภายใต้ต้นไม้เทพผลาญจิต หนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่ที่นี่ ซึ่งก็คือร่างแยกร่างหนึ่งของตงป๋อเสวี่ยอิง
“น้องเฟยเสวี่ย” มหาเคารพซือเทียนรำพึงในทันใด “นับถือ นับถือ คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะสังหารจวินอ๋องดำผู้นั้นได้สำเร็จจริงๆ เสียด้วย”
หนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวที่นั่งขัดสมาธิอยู่ค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ บนใบหน้าเผยรอยยิ้มหนึ่งออกมา
“ก็เขามันสมควรตายอยู่แล้วนี่!”
ภาคที่ 35 มหาเคารพหิมะเหิ...
ตอนที่ 16 กำจัดมาร
มหาเคารพซือเทียนพยักหน้าเบาๆ พลางพูดยิ้มๆ ว่า “เจ้าสังหารจวินอ๋องดำข้าก็เข้าใจได้ แต่เจ้าจำเป็นจะต้องเสี่ยงชีวิตไปช่วยประชากรของเมืองสิบกว่าแห่งนั้นด้วยหรือไร ถึงแม้ว่าประชากรเหล่านั้นจะมีอยู่นับล้านล้านคน แต่เมื่อเทียบกับวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาแล้วกลับน้อยเสียจนน่าสงสาร ขอเพียงแค่ไม่ส่งผลกระทบต่อการเพิ่มทวีของวิญญาณทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา ก็ไม่จำเป็นต้องทุ่มเทจนเกินไป อย่างเช่นเจ้าในครั้งนี้… หลังจากที่สังหารจวินอ๋องดำแล้วก็ยังคงเสี่ยงชีวิตไปช่วย แต่กลับถูกบรรพชนราตรีนิรันดร์สกัดเอาไว้ โชคดีที่ร่างแยกสลายตัวได้อย่างรวดเร็ว ถ้าหากถูกเขาจับเป็นแล้วคุมขังเอาไว้ ตัวตนของเจ้าก็จะเปิดเผยแล้ว ห้ำหั่นซึ่งๆ หน้ากับบรรพชนราตรีนิรันดร์ เจ้ายังมีความมั่นใจว่าจะรักษา ‘ดอกบัวเพลิงห้วงอากาศ’ เอาไว้ได้อีกหรือ”
รักษาชีวิตและอาวุธเอาไว้ให้ได้คือสองแนวคิดพื้นฐาน
มาถึงระดับขั้นอย่างตงป๋อเสวี่ยอิง ส่งร่างแยกเก้าร่างออกไปซ่อนตัวอยู่ตามโลกกำเนิดต่างๆ กัน บุคคลผู้ไร้เทียมทานก็ไม่สามารถสังหารเขาให้ตายได้อย่างแท้จริง
แต่ร่างแยกที่ถือครองอาวุธนั้นมีความสำคัญมากที่สุด เมื่อใดที่ถูกสังหาร อาวุธถูกช่วงชิงไป เช่นนั้นพลังยุทธ์ก็จะลดลงอย่างมหาศาลแล้ว!
ดังนั้น…
เช่น ‘ประมุขรัฐเมฆทักษิณา’ ถึงแม้ว่าจะกล้าแกร่งเช่นกัน แต่ก็แข็งแกร่งที่สุดเฉพาะตอนที่อยู่ในนครรัฐเท่านั้น! ถ้าหากไปจากนครรัฐ ไม่มีนครรัฐช่วยส่งเสริม พลังยุทธ์ของเขาก็จะลดต่ำลงเป็นอย่างมากเช่นกัน
“ก็มีความมั่นใจอยู่บ้าง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดพลางยิ้มน้อยๆ เขาก็ยังมีความถ่อมตนอยู่เล็กน้อย
“อ้อหรือ” มหาเคารพซือเทียนมองตงป๋อเสวี่ยอิง แต่ในใจกลับทอดถอนใจอย่างเต็มไปด้วยอารมณ์ เขามองดู ‘อิงซานเสวี่ยอิง’ ผู้นี้เติบโตขึ้นมา! จากขั้นอลวนคนหนึ่งที่อาศัยสถานะเค่อชิงเข้าร่วมสงครามสามตระกูลของรัฐโบราณคิมหันตวายุของพวกเขา ตอนนี้ยังสามารถสังหาร ‘จวินอ๋องดำ’ ผู้แกร่งกล้าระดับจอมเคารพได้ภายในระยะเวลาอันแสนสั้นอีกด้วย ตอนนี้เกรงว่าเผชิญหน้ากับบุคคลผู้ไร้เทียมทานก็ยังมีความมั่นใจที่จะรักษาชีวิตเอาไว้ได้ ความแข็งแกร่งของพลังยุทธ์นั้นเกรงว่าจะอยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ซือเทียน และฝูอี่เลยเสียด้วยซ้ำ
ระดับขั้นนี้ บนดินแดนจิตโลกามีอยู่เพียงน้อยนิดยิ่งนัก
“อย่าได้มั่นใจในตัวเองให้มากเกินไปนักเลย” มหาเคารพซือเทียนเอ่ยเตือน “บุคคลผู้ไร้เทียมทาน อาศัยสมบัติลับล้ำค่าระดับสูง สิ่งที่สำแดงออกมาก็คือพลานุภาพระดับสุดยอดแล้ว ต่อให้ตอนนี้เจ้ามีพลังยุทธ์แข็งแกร่งกว่านี้ ถ้าหากถูกสกัดกั้นเข้าพอดี หรือว่าร่างแยกอาจถูกสังหาร สมบัติล้ำค่าถูกช่วงชิง ก็ระวังเอาไว้ก่อนดีกว่า! เพื่อประชากรของเมืองเล็กๆ จำนวนหนึ่ง ก็ไม่คุ้มค่ากับการเสี่ยงหรอก”
“สำหรับทั้งดินแดนจิตโลกาแล้ว เมืองเหล่านั้นก็ไม่ควรค่าแก่การพูดถึงเลยจริงๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “แต่สำหรับบรรดาประชากรในเมืองเหล่านั้น พอพวกเขาตายไปแล้ว ชีวิตของพวกเขาก็สิ้นสุดลงแล้ว ต่อให้โลกใหญ่กว่านี้ก็ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขาอีกต่อไปแล้ว”
“เหยียบย่างบำเพ็ญบนวิถีนี้” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยต่อ “เดิมทีก็เป็นการขัดเกลาระหว่างความเป็นความตายอยู่แล้ว ตัวตายตกต่ำไปก็ไม่เป็นไร อีกทั้งดินแดนจิตโลกายังกว้างใหญ่ไพศาลไร้ขอบเขต มีผู้ตกต่ำจำนวนนับไม่ถ้วนอยู่ตลอดเวลาจนข้าสนใจไม่ไหว แต่ก็เหมือนกับปราการเมืองสิบเก้าแห่งนั้น…สังหารหมู่ครั้งยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งก็ทำให้สิ่งมีชีวิตนับล้านล้านชีวิตตายไปแล้ว นั่นมิใช่การขัดเกลาบนเส้นทางการบำเพ็ญธรรมดาๆ อีกต่อไป หากแต่เป็นบาปกรรม ร้ายกาจยิ่งนัก! ผู้แกร่งกล้า… ก็มีเวลาที่อ่อนแอ ถ้าหากเผชิญกับการสังหารหมู่ของผู้แกร่งกล้าก็ต้องจบชีวิตเช่นเดียวกัน ตอนนี้แข็งแกร่งแล้วก็เห็นผู้อ่อนแอจำนวนนับไม่ถ้วนเป็นดังมดปลวก สังหารหมู่นับล้านล้านชีวิตก็ยังไม่กะพริบตาเลย นี่มิใช่ผู้บำเพ็ญธรรมดาๆ อีกต่อไปแล้ว หากแต่เป็นมาร”
“หากเป็นมารก็สมควรฆ่าทิ้งเสีย” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยอย่างเย็นชา
มหาเคารพซือเทียนสะดุ้งเล็กน้อย
เขารู้สึกได้ถึงปณิธานอันแน่วแน่ไม่สั่นคลอนราวกับมีดดาบของตงป๋อเสวี่ยอิง! กำจัดสังหารมารทั้งหมดทั้งมวล!
ผู้แกร่งกล้ามากมายอย่างพวกมหาเคารพซือเทียนก็มิใคร่จะใส่ใจผู้อ่อนแอสักเท่าใดนัก แต่ก็มิอาจทำเรื่องอย่างการสังหารหมู่ตามอำเภอใจออกมาได้ แต่เมื่อได้ยินสิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดออกมาในขณะนี้ก็ยังอกสั่นขวัญแขวนอยู่บ้าง
“เจ้าทำเช่นนี้ก็คงจะไปยั่วยุผู้แกร่งกล้ามากมายเลยทีเดียว” มหาเคารพซือเทียนพูด
“ข้าเพียงแต่ไม่อยากเห็นการสังหารหมู่ครั้งยิ่งใหญ่เท่านั้นเอง เช่นนี้ก็ยั่วยุเพียงแค่มารจำนวนหนึ่งเท่านั้นเอง แน่นอนว่าพลังยุทธ์ของข้าในตอนนี้ไม่เพียงพอ ถ้าหากข้ามีระดับขั้นอย่าง ‘หยวน’ ก็คงจะบัญญัติกฎเกณฑ์ของทั้งดินแดนจิตโลกาใหม่ไปแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด มีพลังยุทธ์ยิ่งใหญ่ก็มีภาระหน้าที่บนบ่ามากมาย
ตอนที่ยังอ่อนแอเขาก็สามารถอดทนมองดูทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นได้ แต่เขาก็ย่อมค่อยๆ เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างนี้ตามพลังยุทธ์ที่แข็งแกร่งขึ้น ทว่าแม้กระทั่งถึงตอนนี้ ผู้ที่แข็งแกร่งกว่าเขา ตงป๋อเสวี่ยอิง บนดินแดนจิตโลกาก็ยังมีอยู่ไม่น้อย เขาพูดได้เพียงว่า…มีความมั่นใจในการรักษาชีวิตเมื่ออยู่ต่อหน้าบุคคลผู้ไร้เทียมทานคนใดๆ สักคนหนึ่ง!
มาถึงระดับขั้นที่สามารถป้องกันตนเองได้อย่างแน่นอน ก็ย่อมสามารถทำอะไรบางอย่างได้แล้ว
จิตข้าคือจิตฟ้า จิตแห่งวิถึแน่วแน่ ผู้ใดก็มิอาจสั่นคลอนได้!
“เช่นนั้นเจ้าก็ต้องระวังด้วยล่ะ” มหาเคารพซือเทียนยับยั้งชั่งใจ
“วางใจเถิด ข้ามิได้โง่เสียหน่อย” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มน้อยๆ
มหาเคารพซือเทียนพยักหน้าน้อยๆ เขามองหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวตรงหน้าแล้วก็เข้าใจได้อย่างรางๆ… เกรงว่าในอนาคตภายหน้าอีกไม่นาน หนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวผู้นี้คงจะก่อให้เกิดลมพายุของการ ‘สังหารหมู่มาร’ บนดินแดนจิตโลกาขึ้นมาสักยกหนึ่งกระมัง ไม่รู้ว่าผู้มีพรสวรรค์ล้ำเลิศแห่งรัฐเมฆทักษิณาผู้นี้จะก้าวไปได้ถึงขั้นไหน!
……
หลังจากสังหารจวินอ๋องดำ ช่วยเหลือเมืองเหล่านั้นแล้ว
ร่างแยกหลักของตงป๋อเสวี่ยอิงที่พกดอกบัวเพลิงห้วงอากาศก็เดินทางไปทั่วสารทิศอย่างต่อเนื่อง นี่เกรงว่าขุมอำนาจสามารถชี้นำประมุขสมาพันธ์สวรรค์โบราณและจวินอ๋องดำได้ นี่คือความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงของผู้แกร่งกล้าของสองระบบ ตงป๋อเสวี่ยอิงคิดว่าความเกี่ยวพันเบื้องหลังยิ่งใหญ่นัก เพียงแต่ไม่ว่าเขาจะเสาะหาอย่างไรก็มิอาจหาร่องรอยอันใดได้พบอีก จากนั้นเขาก็ทำให้ระบบข้อมูลข่าวสารของสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ติดตามข้อมูลที่คล้ายกัน
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวพันไปถึงการสังหารหมู่ครั้งยิ่งใหญ่และภัยพิบัติจากน้ำมือมนุษย์…ให้สำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์คอยเฝ้าดู หากค้นพบแล้วก็ให้แจ้งให้เขาทราบโดยทันที
สำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ ขึ้นชื่อว่าเป็นสิบสำนักใหญ่แห่งดินแดนจิตโลกา ก็แทรกซึมไปทั่วทุกหนแห่งในดินแดนจิตโลกา รวบรวมข้อมูลกันขึ้นมาแล้วก็แข็งแกร่งกว่าเขาเพียงคนเดียวมากมายนัก
เขาเพิ่งออกคำสั่งลงไป
วันที่สอง สำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ก็ส่งข่าวอย่างหนึ่งมา
“ประมุขรัฐเฉินฟ่านขึ้นปกครองรัฐประเทศแล้วก็กำหนดกฎเกณฑ์ขึ้นมาอย่างหนึ่งว่าประชากรรัฐเฉินฟ่านผู้ที่ถือกำเนิดขึ้นมาภายในยี่สิบปีแล้วยังไม่สำเร็จเป็นวิญญาณเทพ ก็จับเป็นส่งไปยัง ‘คุกมืด’ จนหมด ประชากรรัฐเฉินฟ่านที่หมื่นปียังไม่สำเร็จเป็นเทพโลกา ก็จับเป็นส่งไปยังคุกมืดเช่นกัน! ที่คุกมืดมีเพียงแค่ผู้ที่มีพรสวรรค์ล้ำเลิศเพียงพอเท่านั้นจึงจะได้รับการปล่อยตัวออกมาจากคุกมืด น้อยยิ่งกว่าน้อย… และอ้างอิงจากสิ่งที่สำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ของข้ารู้ แทบทุกคนที่ส่งตัวไปยังคุกมืดต่างก็ถูกสังหารหมู่กันทั้งสิ้น
ผู้โชคดีจำนวนน้อยนิดที่ประมุขรัฐเฉินฟ่านจงใจเหลือเอาไว้ ผ่านการขัดเกลาและบีบบังคับให้พวกเขาต่อสู้ฆ่าฟันกันเอง เพื่อหาคนที่โดดเด่นจำนวนน้อยนิดจึงได้รับการปล่อยตัวออกมา! ปล่อยส่วนเล็กๆ นี้ออกมาให้ประชากรรัฐคิดว่าผู้ที่ล้ำเลิศก็มีความหวังที่จะมีชีวิตรอดออกมาได้”
ข้อมูลบันทึกเอาไว้โดยละเอียดอย่างยิ่ง
ตงป๋อเสวี่ยอิงดูต่อไป ยิ่งดูสีหน้าก็ยิ่งทวีความเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง
สิ่งมีชีวิตของดินแดนจิตโลกา เกิดมาก็เป็นเหนือธรรมดาแล้ว! ผู้ที่สำเร็จเป็นวิญญาณเทพภายใน ‘ยี่สิบปี’ก็มีอยู่มากมาย แต่ผู้ที่มิได้สำเร็จเป็นวิญญาณเทพก็มีอยู่เป็นส่วนน้อย!
‘หมื่นปียังไม่สำเร็จเป็นเทพโลกา’ สายนี้ก็จับตัวประชากรจำนวนมากมายไปอีกครั้ง
สองสายนี้…
ทำให้ประชากรเกิดใหม่ประมาณครึ่งหนึ่งต่างก็ถูกจับส่งไปยังคุกมืดในท้ายที่สุด!
ประชากรครึ่งหนึ่งของรัฐประเทศแห่งหนึ่งถูกส่งไปยังคุกมืดแล้วถูกสังหารหมู่จนเกือบหมดอย่างนั้นหรือ
“เพราะว่าตระกูลที่แข็งแกร่ง สายโลหิตที่แข็งแกร่ง ดังนั้นศิษย์ของตระกูลที่แข็งแกร่งต่างก็สามารถไปถึง ‘หมื่นปีสำเร็จเป็นเทพโลกา’ ได้อย่างง่ายดาย กฎเกณฑ์อันโหดร้ายนี้ย่อมมิอาจคุกคามไปถึงตระกูลใหญ่ได้อยู่แล้ว ส่วนผู้ที่อ่อนแอก็ไร้หนทางต่อต้าน ได้แต่โอบกอดความหวังอันเล็กน้อยที่จะได้ออกมาจากคุกมืดนั้นเอาไว้…” แววอาฆาตในอกตงป๋อเสวี่ยอิงเดือดพล่าน
เรื่องพรรค์นี้สามารถซ่อนเอาไว้ที่ก้นบึ้งได้
แต่เหล่าเทพจักรวาลระดับสุดยอดของดินแดนจิตโลกาก็ยังล่วงรู้อยู่ดี
“ประมุขรัฐเฉินฟ่านเป็นเค่อชิงใต้บังคับบัญชาของ ‘จักรพรรดิเทพผลาญโลกา’ หนึ่งในห้าบรรพชนรัฐโบราณสหโลกา รัฐเฉินฟ่านก็แทบจะฟังคำสั่งของจักรพรรดิเทพผลาญโลกากันทั้งหมด” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเห็นตรงจุดนี้แล้วก็เข้าใจว่าเหตุใดจึงไม่มีผู้แกร่งกล้าไปวุ่นวาย
อันที่จริงเรื่องพรรค์นี้ก็มีให้เห็นอยู่มากมาย
เช่น ‘รัฐประกายเพลิง’ ในสี่รัฐมารทมิฬ ก็คือสวนดอกไม้หลังบ้านของทะเลสาบมารทมิฬ เมื่อถึงเวลาก็ทำการบูชาโลหิต! ทะเลสาบมารทมิฬควบคุมจำนวนครั้งของการบูชาโลหิตไม่ให้วิดน้ำจนปลาหมดบ่อ!
แต่เพราะว่าอย่างเช่น ‘เจ้าสำนักเหยียนโม๋’ แห่งทะเลสาบมารทมิฬ นั้นเป็นผู้ที่บุคคลผู้ไร้เทียมทานก็ยังฆ่าไม่ตาย ทุกคนก็หมดหนทาง
ดังนั้น…
ถ้ามิใช่ผู้ที่บุคคลผู้ไร้เทียมทานก็ยังฆ่าไม่ตาย เช่นนั้นผู้ที่สนับสนุนอยู่เบื้องหลังก็ต้องแกร่งและเก็บเนื้อเก็บตัวมากพอ
“ประมุขรัฐเฉินฟ่าน” แววอาฆาตในอกตงป๋อเสวี่ยอิงเดือดพล่าน แววตาก็เยียบเย็นดุจน้ำแข็ง
แก้วในมือวางกระแทกลงบนโต๊ะ น่าตกใจเสียจนผู้ดูแลที่อยู่ไกลออกไปสะดุ้งตัวลอย
“ข้าต้องการข้อมูลโดยละเอียดที่สุดของประมุขรัฐเฉินฟ่าน แล้วก็ต้องการรู้ข้อมูลโดยละเอียดที่สุดของคุกมืดด้วยเช่นกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงออกคำสั่งลงไป เขามีความเข้าใจในตัวประมุขรัฐเฉินฟ่านอยู่บ้าง แต่ก่อนที่จะลงมือก็ยังพยายามเข้าใจให้ละเอียดที่สุดสักหน่อยก่อน
เครือข่ายข้อมูลของสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ส่งข้อมูลที่ละเอียดที่สุดมาให้อย่างรวดเร็ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงอ่านดูอย่างรวดเร็ว ยิ่งอ่านก็ยิ่งโมโห!
เขาถึงกับเงยหน้าสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาสอดแนมรัฐเฉินฟ่านอยู่ห่างๆ พินิจดู ‘คุกมืด’ ภายในรัฐเฉินฟ่านแห่งนั้น เครือข่ายข้อมูลของสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์มิได้โกหก ถึงแม้ว่าสิ่งที่บอกนั้นยังอ่อนโยนเกินไปเสียด้วยซ้ำ ภายในคุกมืดนี้โหดร้ายกระหายเลือดยิ่งกว่าเสียอีก
“ประมุขรัฐเฉินฟ่าน” ตงป๋อเสวี่ยอิงยืดกายลุกขึ้น
ผู้ดูแลก็เข้ามาต้อนรับ
ตงป๋อเสวี่ยอิงวางเงินค่าสุราอาหารลงอย่างสุ่มๆ แล้วหมุนกายเดินมุ่งหน้าออกไปด้านนอก
ผู้ดูแลส่งชายหนุ่มอาภรณ์ขาวที่แผ่กลิ่นอายของขั้นรวมเป็นหนึ่งผู้นั้นจากไปอย่างสับสนงงงวยอยู่บ้าง แต่เขากลับไม่รู้ว่าอีกไม่นานเทพจักรวาลคนหนึ่งก็จะตายตกไปแล้ว!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น