Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 35 ตอนที่ 11-12

ภาคที่ 35 มหาเคารพหิมะเหิ...

 

ตอนที่ 11 ความยินดีในใจ

 

“สหายตัวน้อย กล้าทำให้ธุระของบรรพชนอย่างข้าเสียหายรึ” จวินอ๋องดำเอ่ยปาก แต่กลับยังคงไม่อยากเปิดเผยตัวตนออกไป “ขั้นอลวนตัวเล็กๆ อย่างเจ้าคนหนึ่งคงจะไม่บังอาจถึงเพียงนี้ บอกข้ามาสิ ว่าใครใช้ให้เจ้ามากันแน่”


“ไม่มีใครให้ข้ามาทั้งนั้นแหละ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพลางมองดูต้นไม้ประหลาดอันอัปลักษณ์ด้านข้างและหินผลึกสีดำสามก้อนที่ประดับอยู่บนลำต้นแล้วพูดยิ้มๆ ว่า “บรรพชนท่านนี้ ท่านสามารถบอกข้าได้หรือไม่ว่าต้นไม้ประหลาดต้นนี้คือสิ่งใดกัน”


จวินอ๋องดำกลับรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา


สงบนิ่งถึงเพียงนี้เชียวหรือ


ทั้งยังบอกว่าไม่มีผู้บงการอยู่เบื้องหลังอีก


“ขั้นอลวนอย่างเจ้าคนหนึ่งคงไม่โง่หรอกกระมัง หากไม่มีผู้บงการเจ้า เจ้าจะมารนหาที่ตายอย่างโง่งมเช่นนี้หรือ” น้ำเสียงของจวินอ๋องดำแฝงแววอาฆาตเอาไว้ “บอกเจตนาที่แท้จริงของเจ้ามา”


“ข้าบอกไปแล้วว่าไม่มีผู้บงการข้า ข้าอยากถามท่านมากกว่าว่า ตัวเมืองสิบเก้าแห่งโดยรอบเผชิญกับหายนะมาจนทุกวันนี้เกือบสิบล้านปีแล้ว ทั้งสมาพันธ์สวรรค์โบราณกลับทำเหมือนมองไม่เห็น ตั้งสิบเก้าเมืองเชียวนะ สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนต้องสิ้นชีวิตไปชุดแล้วชุดเล่าภายใต้ฝันร้ายนี้ ที่แท้แล้วเป็นผู้ใดกันแน่ที่สามารถทำให้สมาพันธ์สวรรค์โบราณทำเป็นมองไม่เห็นได้ ข้าเดาว่าบุคคลที่ใหญ่โตเพียงนั้นคงจะไม่สังหารขั้นอลวนสองคนแล้วโผล่ออกมาลงมือกับข้าหรอกกระมัง”


จวินอ๋องดำยิ้มเย็น “มาจนถึงตอนนั้นยังไม่ตื่นตระหนกแม้แต่น้อย เจ้ามาจากตระกูลใหญ่ของรัฐโบราณสักแห่งอย่างนั้นหรือ ก็ดี ให้ข้าได้เห็นพลังของเจ้าสักหน่อย ดูสิว่าที่แท้แล้วเจ้าเป็นลูกหลานบ้านไหนกันแน่!”


พูดยังไม่ทันขาดคำ


จวินอ๋องดำก็ลงมือทันที ร่างกายของเขาพลันเปล่งรัศมีสีดำออกมาแผ่คลุมไปทั่วทั้งโถงตำหนักและปกคลุมตงป๋อเสวี่ยอิงด้วย


“รับกระบวนท่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ต่อยออกไปหมัดหนึ่ง


อากาศทั้งมวลตรงหน้ากำปั้นของเขามีรอยแยกจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น รอยแยกเหล่านี้ปกคลุม ‘จวินอ๋องดำ’ ซึ่งซ่อนตัวอยู่ในหมอกดำนั้นในพริบตา เงาร่างของจวินอ๋องดำถูกกระแทกเสียจนระเบิดออกในทันใด


“อะไรกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงตื่นตะลึงเหลือแสน


ข้ายังไม่ทันได้ออกแรงเลย!


เขาเพิ่งจะเริ่มใช้กระบวนท่าล่อลวงซึ่งส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของอีกฝ่าย เพื่อจะได้ลอบเตรียมท่าไม้ตายที่จะสังหารผู้แกร่งกล้าระดับจอมเคารพได้อย่างง่ายดายเท่านั้น! ไหนเลยจะไปคิดว่ากระบวนท่าโจมตีด้วยการล่อลวงที่พลั้งมือออกไปคราหนึ่งจะโจมตีจนร่างกายของอีกฝ่ายแตกออกไปได้อย่างง่ายดายเช่นนี้


“จวินอ๋องดำอ่อนแอถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน ร่างกายของเขาเปราะบางถึงเพียงนี้เชียวหรือ หรือจะเป็นร่างแปรเงา” ตงป๋อเสวี่ยอิงพอจะคาดเดาได้รางๆ ขณะที่บุกฝ่าด่านสิบสองกัลป์นั้น เขาเคยเห็นจวินอ๋องดำสำแดงร่างแปรเงามาก่อน! ร่างแปรเงามีกลิ่นอายเช่นเดียวกับร่างจริงทุกประการจนมองไม่เห็นความแตกต่างอันใด  มีแต่ต้องทำเช่นนี้เท่านั้นจึงสามารถหลอกล่อศัตรูได้


พลังของร่างแปรเงาก็แข็งแกร่งมากเช่นกัน นับเป็นหลายส่วนของร่างจริง! ทว่าเนื่องจากไม่มีสมบัติลับระดับยอดสุด จึงนับได้ว่าเป็นเพียงเพลังรบระดับเทพจักรวาลชั้นที่สองเท่านั้น บวกกับที่ร่างแปรเงามิได้มีกายหยาบที่แข็งแกร่งสักเท่าใดนัก การป้องกันของกายหยาบจึงค่อนข้างอ่อนแอ แม้ตงป๋อเสวี่ยอิงจะจงใจล่อลวงศัตรู ใช้พลังเพียงแค่ส่วนเดียวเท่านั้น แต่บัดนี้ทั้งสองฝ่ายต่างก็มิได้ใช้สมบัติลับ ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงเหนือกว่าจวินอ๋องดำอยู่มากโข! ต่อให้ใช้กระบวนท่าล่อลวงด้วยพลังเพียงส่วนเดียว ก็ยังคงทำให้ร่างแปรเงาสลายไปได้อยู่ดี


“เฮอะๆ นี่ยังเรียกได้ว่าบรรพชนอีกรึ ทั้งยังมีผู้บงการเบื้องหลังด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดพลางหัวเราะเย็นเยียบ จากนั้นก็ตะปบฝ่ามือลงไปทางต้นไม้ประหลาดอันอัปลักษณ์เบื้องหน้าแล้วคว้าเอาต้นไม้ประหลาดเอาไว้ เมื่ออกแรงถอนทั้งต้นขึ้นมา หินผลึกสีดำสามก้อนบนต้นไม้ประหลาดซึ่งเดิมทีกำลังแผ่ระลอกคลื่นออกมาก็พลันหม่นแสงลงทันใด จากนั้นเขาก็เก็บลงไปในที่เก็บสมบัติล้ำค่า


“เฮ้อ ข้าถอนต้นไม้ประหลาดทิ้งไปต่อหน้าต่อตายังไม่ขัดขวางข้าอีกอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ “ก็ดี เช่นนั้นข้าก็จะทำลายใจกลางเมืองแต่ละแห่งต่อไปได้สะดวก ข้าจะดูสิว่าจวินอ๋องดำจะสามารถทนได้สักกี่น้ำกัน”


การสังหารจวินอ๋องดำก็เป็นหนึ่ฝในจุดมุ่งหมายของเขา


แน่นอนว่าบัดนี้เขาก็อยากรู้ว่า ผู้ใดบังอาจกล้าทำเรื่องเหล่านี้โดยไม่คร้ามเกรงเลยแม้แต่น้อย


……


“สลายแล้ว สลายแล้ว”


“หมอกดำสลายแล้ว หมอกดำสลายแล้ว”


เหล่ายอดฝีมือเฝ้าดูความเคลื่อนไหวภายในจวนอยู่ห่างๆ แสงของค่ายกลที่หมุนเวียนอยู่ในวังใต้ดินไกลออกไปสลายไป นอกจากนี้หมอกดำอ่อนจางที่แผ่กำจายไปทั่วทุกหนแห่งก็กำลังสลายตัวไปอย่างรวดเร็ว มันจางลงเรื่อยๆ เพียงไม่กี่ชั่วลมหายใจ ทั้งตัวเมืองก็มองไม่เห็นหมอกดำเหล่านั้นแล้ว


ตัวเมืองคืนสู่สภาพปกติ


สิ่งมีชีวิตในเมืองที่ยังรอดชีวิตอยู่ต่างก็รู้สึกว่าพละกำลังที่ส่งผลกระทบต่อพวกเขาอยู่ทุกขณะจิตนั้นได้อันตรธานไปแล้ว อารมณ์อันพลุ่งพล่านต่างๆ ทั้งความบ้าคลั่ง ความมืดหม่นและความโกรธเกรี้ยวต่างๆ ล้วนมลายไป ในฐานะสิ่งมีชีวิตในดินแดนจิตโลกา ผู้ที่อ่อนแอที่สุดที่เกิดมาก็ยังเป็นเหนือธรรมดา นอกจากนี้ผู้ที่สามารถฝืนต้านทานอยู่ในตัวเมืองได้จนถึงทุกวันนี้ ก็ล้วนแต่เป็นผู้ที่การบำเพ็ญจิตใจเยี่ยมยอดมาก


เมื่อผ่านความยากลำบากมานับสิบล้านปี ทำให้จิตใจของผู้บำเพ็ญหลายคนในจำนวนนั้นยกระดับขึ้น


บัดนี้หมอกดำสลายไปแล้ว แต่ละคนคืนสู่สภาพปกติ


“สลายไปแล้ว”


บรรดาผู้บำเพ็ญที่เก็บตัวอดกลั้นเอาไว้ก็พากันออกมาแล้ว พวกเขาบินออกจากเรือนของตน พลางมองดูท้องฟ้าอันแจ่มใส ผู้บำเพ็ญจำนวนมากถึงกับน้ำตาหลั่งรินออกมาอย่างมิอาจห้ามใจ


เดิมทีพวกเขาสิ้นหวังไปแล้ว บัดนี้กลับมองเห็นความหวังในที่สุด


“ออกไปได้แล้ว พวกเราออกไปได้แล้ว” ผู้บำเพ็ญจำนวนมากลองดู


บางคนถลาขึ้นสู่ฟ้า


ในที่สุดก็บินได้สูงลิ่วเสียที


บางคนสำแดงการเคลื่อนที่ในพริบตาออกจากขอบเขตของตัวเมืองไปสู่โลกภายนอก บางคนหัวเราะดังลั่นด้วยความตื่นเต้น บ้างก็หลั่งน้ำตา บ้างก็คุกเข่าลงบนพื้นร้องห่มร้องไห้เสียงดัง…ถึงอย่างไรผู้บำเพ็ญก็เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตเท่านั้น เมื่อออกมาจากหุบเหวลึกอันสิ้นหวังได้ ต่อให้มีจิตใจแข็งแกร่งกว่านี้ก็ยังต้องถูกกระทบกระเทือนอย่างยิ่งอยู่ดี


ท่ามกลางเงาร่างของผู้บำเพ็ญจำนวนมากที่บินสะเปะสะปะอยู่กลางฟากฟ้า ตงป๋อเสวี่ยอิงก็อยู่ในจำนวนนั้นด้วย เขาหัวเราะพลางมองดูฉากนี้


เมื่อสัมผัสได้ถึงความตื่นเต้นยินดีจนแทบคลั่งที่ออกมาจากก้นบึ้งหัวใจของผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วน ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ดีใจนัก “ผู้บำเพ็ญจำนวนมากเห็นผู้ที่อ่อนแอจำนวนนับไม่ถ้วนเป็นมดปลวก เพื่อเส้นทางการบำเพ็ญของตน จะทำลายโลกทั้งใบก็ไม่สนใจ! หรือว่าในชีวิตมีแต่การบำเพ็ญกัน หากทั้งโลกสูญพันธุ์ไปหมด เหลือตนเพียงคนเดียวท่ามกลางความว่างเปล่า การไร้ศัตรูเช่นนั้นจะมีความหมายอันใดกันเล่า”


“ผู้แกร่งกล้าก็รุ่งโรจน์ขึ้นมาจากผู้ที่อ่อนแอเช่นกัน พวกเขาล้วนแต่เป็นสิ่งมีชีวิตทรงปัญญาเช่นเดียวกันกับพวกเรา ผู้ที่เข่นฆ่าสิ่งมีชีวิตทรงปัญญาจำนวนนับไม่ถ้วนเพียงเพื่อตนเองพรรค์นั้น ก็คือผู้ที่คลั่งมารไปแล้ว! มาร สมควรถูกฆ่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูยิ้มๆ


อย่างบรรพชนฝาน


บรรพชนฝานบำเพ็ญเขตลวงโลกเทียมเช่นเดียวกัน แต่เขาชมชอบการควบคุมความหวังของผู้อื่นและฉุดรั้งผู้อื่นเข้าสู่โลกเทพลวงแล้วควบคุมวิญญาณผู้อื่น ให้ผู้อื่นบูชาเขาเป็นเจ้านาย


ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับมองดูด้วยความเห็นอกเห็นใจ แม้แต่สิ่งมีชีวิตในโลกลวง เขาก็เชื่อว่าตระหนักถึงความเป็นตัวตน มีความรู้สึก มีเส้นทางของชีวิต กล่าวคือเป็นสิ่งมีชีวิตที่แท้จริง! ดังนั้นเขาจึงมองโลกลวงเป็นโลกที่แท้จริง เนื่องจากใจเขาเชื่อเช่นนี้ เขาจึงได้ลองหลอมรวมเอาความปรารถนา ภาพลวง ล้างสังหารและวิญญาณเข้าไปในโลกทั้งหมด แล้วอาศัยโลกเป็นรากฐานหลอมรวมทุกสิ่งเข้าไป


……


ตงป๋อเสวี่ยอิงจากไปท่ามกลางความยินดีปรีดา สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนที่โชคดีรอดชีวิตมาได้ภายในตัวเมืองแห่งนี้ตื่นเต้นหาใดเปรียบ พวกเขาหลายคนยังไถ่ถามกันว่าผู้ใดกันที่ช่วยชีวิตพวกเขาเอาไว้!


ข่าวหนึ่งค่อยๆ แพร่ออกไปทั่วทั้งตัวเมือง…ผู้ที่กอบกู้เมืองแห่งนี้เอาไว้ ก็คือชายหนุ่มชุดดำผู้หนึ่งที่เชี่ยวชาญทางด้านวิถีอากาศ!


ลักษณะของชายหนุ่มชุดดำก็ถูกบันทึกเอาไว้ สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนในตัวเมืองแห่งนี้ล้วนอยากจะรู้ว่า ‘ผู้มีพระคุณ’ เป็นใคร น่าเสียดายที่มิอาจตรวจสอบได้ จนกระทั่งศึกใหญ่ครั้งหนึ่งหลังจากนั้น จึงทำให้พวกเขาได้รู้จักตัวตนของผู้มีพระคุณ! แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องในภายหลังแล้ว


ตอนนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงมาถึงเมืองอีกแห่งหนึ่งแล้ว เพราะถึงอย่างไรฝันร้ายทำนองเดียวกันก็เกิดขึ้นกับตัวเมืองในรัฐวายุโหมถึงสิบเก้าแห่ง เขาเพิ่งจะช่วยได้เพียงเมืองเดียวเท่านั้น


……


“ตู้ม!”


เขาอาศัยอณูแก่นห้วงอากาศสัมผัสรับรู้และตรวจสอบ จนแน่ใจในแหล่งกำเนิดหายนะของตัวเมืองออีกแห่งหนึ่ง


เขาสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาไปปรากฏกลางฟากฟ้า ก่อนจะส่งหมัดหนึ่งพุ่งตรงไปยังจวนเบื้องล่าง! เมื่อหมัดชกออกไป ระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างก็แทรกซึมลงไป ระลอกคลื่นก็พลันกวาดผ่านไป ทุกบริเวณที่ถูกกวาดผ่านพลันมีรอยแยกจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น โครมมม…ในเมื่อขณะประมือกับจวินอ๋องดำก็ได้จงใจเผยพลังน้อยนิดอย่างยิ่งออกไป ยามนี้พลังน้อยนิดเท่านี้ก็ไม่จำเป็นต้องปกปิดอีกต่อไปแล้ว เขาต่อยออกไปหมัดหนึ่ง ทั้งจวนเบื้องล่างรวมไปถึงสิ่งก่อสร้างใต้ดินที่ซ่อนเร้นอยู่ก็ถูกชกจนถล่มลงไป


หมัดหนึ่งซึ่งมีอานุภาพของเทพจักรวาลชั้นที่สอง ทั้งยังเชี่ยวชาญในการทะลุผ่านทำลายสิ่งก่อสร้างใต้ดินที่อยู่ภายในทันที ทำให้สิ่งก่อสร้างทั้งหลังแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ทันควัน


หลังจากสลายไปแล้ว


ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ร่อนลงไปแล้วคว้าต้นไม้ประหลาดอันอัปลักษณ์ซึ่งประดับหินผลึกสีดำสามก้อนเหมือนกันเอาไว้! ส่วนผู้แกร่งกล้าขั้นอลวนสองคนซึ่งทำหน้าที่รักษาการณ์นั้น…ได้สิ้นชีวิตด้วยหมัดเมื่อครู่ไปเรียบร้อยแล้ว!


ช่วยไม่ได้ หากเป็นขั้นอลวนชั้นที่สิบก็ยังอาจจะสามารถต้านรับได้ แต่เทพจักรวาลชั้นที่สองจะสังหารขั้นอลวนคนหนึ่งก็สบายเกินไปแล้ว ระดับชั้นห่างกันมากยิ่งนัก


……


ภายในคูหาอันไกลโพ้นกลางป่าร้างแห่งหนึ่ง


จวินอ๋องดำนั่งขัดสมาธิอยู่บนห้องเงียบภายในคูหาแห่งนี้ เขามองดูภาพที่ปรากฏขึ้นกลางอากาศตรงหน้าด้วยสีหน้าหมองหม่น ภาพทั้งสิบเก้าภาพ ก็คือใจกลางตัวเมืองทั้งสิบเก้าที่เขาทำหน้าที่ดูแลรับผิดชอบ บัดนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งกลายเป็นรูปลักษณ์ของ ‘ชายหนุ่มชุดดำ’ ได้ทำลายใจกลางของตัวเมืองไปสองแห่งแล้ว และกำลังมุ่งหน้าไปยังตัวเมืองแห่งที่สาม


จวินอ๋องดำไม่สนใจความเป็นความตายของขั้นอลวนเหล่านั้นเลย เพราะถึงอย่างไรก็เป็นคนของสมาพันธ์สวรรค์โบราณ


“ท่านปฐมบรรพชน” จวินอ๋องดำถ่ายเสียงพูด “ยอดฝีมือทางสายวิถีอากาศผู้เร้นลับคนนี้ปลอมตัวเป็นขั้นอลวน แต่บัดนี้พลังที่เขาสำแดงออกมากลับเป็นถึงเทพจักรวาลชั้นที่สองแล้ว! นอกจากนี้เขายังกำลังทำลายแหล่งภัยพิบัติของตัวเมืองต่างๆ อย่างรวดเร็วและบ้าคลั่งอีกด้วย ตอนนี้ข้าควรทำเช่นไรดีเล่า”


จวินอ๋องดำเกิดความกลัวขึ้นมา


เขาก็กลัว


กลัวว่าชายหนุ่มชุดดำผู้นี้จะเป็นผู้แกร่งกล้าที่เยี่ยมยอดของขุมอำนาจที่น่าหวาดหวั่นอย่างรัฐโบราณสหโลกาหรือรัฐโบราณคิมหันตวายุซ่อนเร้นตัวตนมา


“เจ้าลงมือสืบตื้นลึกหนาบางของเขามาให้ได้ หากมีสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูใช้ความแข็งแกร่งรังแกผู้ที่อ่อนแอ ข้าจะไปช่วยเจ้าทันที” ปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์ส่งสารบอก


“ขอรับ” เมื่อจวินอ๋องดำได้ยินคำรับรองจากท่านปฐมบรรพชนก็มั่นใจเต็มเปี่ยมขึ้นมาทันที ก่อนหน้านี้เขาเกรงว่าชายหนุ่มชุดดำผู้นี้จะมีความเป็นมาใหญ่โตเกินไปแล้วปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์จะปล่อยเขาไปเสีย! ทว่าในเมื่อปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์ออกปากพูดเองว่าจะปกป้องเขา ด้วยสถานะของท่านปฐมบรรพชนแล้ว คำพูดหนึ่งมั่นคงดั่งหินผา ไม่มีทางทำสิ่งที่ขัดกับวาจาที่ได้ลั่นออกมาอย่างแน่นอน


“ข้าจะดูสิว่า ที่แท้แล้วเจ้าเป็นใครปลอมตัวมากันแน่!” นัยน์ตาของจวินอ๋องดำมีแววหนาวเหน็บวาบผ่าน จากนั้นเขาก็หายตัวไปเสียงดังสวบ

 

 

 


ภาคที่ 35 มหาเคารพหิมะเหิ...

 

ตอนที่ 12 ตงป๋อเสวี่ยอิงปะทะจวินอ๋องดำ

 

เหนือจวนอันหรูหราซึ่งกินพื้นที่ใหญ่โตแห่งหนึ่ง ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์สีดำทั้งร่างปรากฏกายขึ้น กำปั้นหนึ่งทุบลงไปเบื้องล่างเสียงดังตู้ม


ตามทิศทางที่หมัดชกลงไปนั้น ระลอกคลื่นพลันกวาดผ่านไป ทุกบริเวณที่ผ่านล้วนแหลกสลายกลายเป็นผุยผง แม้แต่โถงตำหนักอันแข็งแกร่งก็ยังแตกร้าวจากภายใน ค่ายกลแตกออกเป็นเสี่ยงๆ โถงตำหนักถึงกับถล่มลงมา ผู้แกร่งกล้าขั้นอลวนซึ่งทำหน้าที่รักษาการณ์อยู่ภายในนั้นตื่นตระหนกเหลือแสน ฟิ้ว ฟิ้ว ร่างของพวกเขาสองคนกลายเป็นเถ้าธุลีไปอย่างไร้สุ้มเสียง! ข้อแรกเป็นเพราะจวินอ๋องดำเย็นชาเกินไป เขาจึงคร้านที่จะส่งสารให้ผู้ใต้บังคับบัญชาขั้นอลวนทราบ ข้อสอง เป็นเพราะตงป๋อเสวี่ยอิงลงมืออย่างอำมหิต! ตงป๋อเสวี่ยอิงปฏิบัติต่อสิ่งมีชีวิตผู้บริสุทธิ์จำนวนนับไม่ถ้วนอย่างโอบอ้อมอารีและเท่าเทียม แต่สำหรับวายร้ายเหล่านี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไม่ไว้น้ำใจเลยแม้แต่น้อย


“สวบ”


เงาร่างกะพริบวาบคราหนึ่ง เขาก็ร่อนจากฟากฟ้าลงมาสู่โถงตำหนักที่ถล่มลงไปแล้วคว้าต้นไม้ประหลาดอันอัปลักษณ์ที่เหมือนกันขึ้นมา


เห็นได้ชัดว่าตัวเมืองแต่ละแห่งที่เผชิญกับหายนะนั้น ล้วนมีต้นกำเนิดคือต้นไม้ประหลาดอันเร้นลับต้นนี้และหินผลึกสีดำที่ประดับอยู่ด้านบน


เมื่อเขาถอนต้นไม้ประหลาดและดึงติดมือขึ้นมานั้น หมอกดำอันอ่อนขางที่แผ่กำจายไปทั่วทุกหนแห่งในตัวเมืองแห่งนี้ก็เริ่มสลายตัวไป ทำให้บรรดายอดฝีมือที่เร่งเคลื่อนที่ในพริบตามายังบริเวณใกล้ๆ ตัวเมืองเนื่องจากความเคลื่อนไหวจากการต่อสู้พากันตื่นตระหนกเหลือแสน


“หมอกดำกำลังสลายไปแล้ว”


“นี่ นี่มัน…”


“เพราะจวนที่เป็นแหล่งกำเนิดหายนะนั่นถูกทำลายลงไปแล้วอย่างนั้นหรือ ชายหนุ่มชุดดำผู้นั้นเป็นใครกัน” ยอดฝีมือจำนวนมากมองดูอย่างระแวดระวังอยู่ห่างๆ เหมือนกับตัวเมืองอีกสองแห่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงช่วยเหลือมาก่อนหน้านี้ พวกเขาประสบความทุกข์มาเกือบสิบล้านปี จึงรู้ว่าต้นกำเนิดแห่งความทุกข์ยากก็คือจวนแห่งนี้ แต่ก็มิอาจสั่นคลอนได้เช่นกัน! แต่วันนี้ ทุกสิ่งได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว


ทันใดนั้น…


ตงป๋อเสวี่ยอิงเงยหน้ามองไปเบื้องบน เงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้น เป็นบุรุษท่าทางเย็นชาสวมอาภรณ์สีดำอันหรูหรางดงาม ตรงห่างเอวยังเหน็บดาบโค้งเล่มหนึ่งเอาไว้ด้วย ผู้มาเยือนก็คือจวินอ๋องดำนั่นเอง


ครั้งนี้จวินอ๋องดำมิได้ซ่อนเร้นรูปลักษณ์อีกต่อไป เขาเองก็รู้ดีว่า หลังจากปะทุพลังออกมาอย่างเต็มแรงและใช้อาวุธสมบัติลับระดับยอดสุดรวมทั้งวิธีการต่อสู้ที่ถนัดแล้ว ก็จะเปิดเผยตัวตนออกมาอยู่ดี ดังนั้นจึงถือโอกาสเปิดเผยเสียเลย


“นั่นมัน…”


“จวินอ๋องดำแห่งรัฐโบราณบรรพชนหรือ”


“อื้ม ดูจากลักษณะแล้วเหมือนจวินอ๋องดำในตำนานเลย” ยอดฝีมือหลายคนภายในตัวเมืองแห่งนี้ที่หูตากว้างไกลอยู่บ้างก็สามารถเก็บรวบรวมรูปโฉมของผู้แกร่งกล้าในตำนานของดินแดนจิตโลกาเอาไว้ได้เช่นกัน! ภายใต้สถานการณ์ที่จวินอ๋องดำเป็นฝ่ายเปิดเผยตัวตนออกมาเองโดยมิได้แปลงโฉม ยอดฝีมือขั้นรวมเป็นหนึ่งเหล่านี้ก็จำจวินอ๋องดำได้


จวินอ๋องดำเหลือบมองลงไปยังตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วแค่นเสียงด้วยความโกรธเกรี้ยวว่า “เจ้าเป็นใครกัน ตัวเมืองรอบด้านนี้ประสบกับหายนะเป็นเจ้าที่สร้างเรื่องอยู่เบื้องหลังหรือ” เสียงดังกังวานไปทั่วฟ้าดิน


ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้งเฮือก


โจรตะโกนให้จับโจรอย่างนั้นหรือ


“ผู้อาวุโสจวินอ๋องดำขอรับ ผู้อาวุโสชุดดำผู้นี้เป็นผู้ทำลายจวนที่เป็นแหล่งกำเนิดภัยพิบัติต่างหากขอรับ เขาช่วยกอบกู้ตัวเมืองของพวกเราเอาไว้” มียอดฝีมือขั้นรวมเป็นหนึ่งตอบเสียงดังฟังชัดทันที


“กอบกู้รึ” จวินอ๋องดำเหลือบมองลงไปยังจวนที่แหลกสลายเป็นผุยผงกระจายตัวออกไปนับหมื่นลี้ เขาพูดเสียงเย็นชาว่า “เพียงกระบวนท่าเดียวสามารถมีอานุภาพเช่นนี้ได้ อย่างน้อยก็ต้องเป็นเทพจักรวาล เทพจักรวาลในดินแดนจิตโลกาไม่มีผู้ที่ข้าไม่รู้จัก! เจ้าจงใจซ่อนเร้นตัวตน ที่แท้แล้วมีสิ่งใดที่ทำให้พบหน้าผู้อื่นมิได้กันแน่ หรือว่ามีแผนร้าย”


“มีแผนร้ายรึ” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้าพลางหัวเราะ


“หรือจะเป็นเจ้าที่ลอบสำแดงเคล็ดลับออกมาสร้างหายนะให้ทั้งตัวเมือง บัดนี้เคล็ดลับสมบูรณ์แล้ว ก็จงใจแสร้งทำเป็นกอบกู้ตัวเมืองสินะ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม รอให้ข้าจับตัวเจ้าแล้วรู้ตัวตนที่แท้จริงของเจ้าเสียก่อนเถอะ ถึงตอนนั้นข้าจะดูว่าเจ้าจะอธิบายอย่างไร!” จวินอ๋องดำพูดเพื่อหาความชอบธรรม พูดยังไม่ทันขาดคำก็พลันดึงดาบโค้งออกจากหว่างเอว


ฟิ้ว…


ประกายดาบอันดำมืดพลันร่อนลงมาจากฟากฟ้า ราวกับผ้าม่านสีดำขนาดมหึมาผืนหนึ่งที่คลี่ลงมาอย่างไม่ขาดสายและแผ่กำจายไปถึงตรงหน้าตงป๋อเสวี่ยอิง


ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่ที่เดิมอย่างสงบพลางมองดูประกายดาบที่ลอบโจมตีเข้ามา สองมือยื่นออกไป แล้วตะปบไปทางประกายดาบดำมืดอันน่าหวาดหวั่นที่โจมตีเข้ามา


วิ้ง


ด้านหน้าของมือทั้งสองข้างพลันมีมิติจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นซ้อนทับกัน ประกายดาบอันมืดมิดฉีกทึ้งทำลายมิติ หลังจากทำลายมิติทั้งหมดแล้ว อานุภาพก็ลดลงอย่างฮวบฮาบจนเหลือเพียงสองสามส่วนเท่านั้นแล้วปะทะลงบนร่างของตงป๋อเสวี่ยอิง ตงป๋อเสวี่ยอิงก็กระเด็นถอยหลังไป ครูดกับพื้นดินจนเกิดเป็นธารน้ำลึกขนาดมหึมายาวหลายพันลี้จึงหยุดลง


“เจ้ามีพลังขั้นสุดยอด ไม่รู้ว่าเป็นจอมเคารพคนไหน ผู้แกร่งกล้าระดับจอมเคารพของดินแดนจิตโลกาก็มีแค่หยิบมือหนึ่งเท่านั้น ไยจึงต้องปิดบังตัวตนด้วยเล่า” จวินอ๋องดำพูดพลางยิ้มเย็น ปากเขาพูดไปพลาง ขณะเดียวกันประกายดาบก็ปกคลุมเข้ามาต่อเนื่องกัน


ฟิ้วๆๆ!!!


ประกายดาบต่อเนื่องกัน บ้างก็เหิมเกริมหาใดเปรียบ บ้างก็ซ่อนอยู่ในเงามืดแล้วลอบโจมตีเข้ามา เพียงชั่วครู่เดียวรอบกายตงป๋อเสวี่ยอิงก็มืดดำไปหมดจนมองไม่เห็นแสงสว่างใดๆ


“ประทับ” มือทั้งสองของตงป๋อเสวี่ยอิงประสานอยู่กลางหน้าอก แสงสว่างจุดหนึ่งแผ่ออกจากกลางฝ่ามือทั้งสองแล้วแพร่ไปรอบด้าน ก่อให้เกิดเป็นที่ครอบแสงปกป้องตนเองเอาไว้


เขาปล่อยให้ประกายดาบอันดำมืดโจมตีอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นประกายดาบที่เหิมเกริม อันตราย แปลกประหลาด หรือทะลุทะลวง…ที่ครอบแสงกลับต้านทานได้ถึงครึ่งชั่วลมหายใจ


“เป็นยอดฝีมือทางสายวิถีอากาศที่ร้ายกาจนัก เหมือนจะสามารถต้านทานได้เก่งทีเดียว ทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา ยอดฝีมือระดับจอมเคารพทางสายวิถีอากาศทั้งหมดก็มีอยู่เพียงไม่กี่ท่านเท่านั้น รูปแบบการต่อสู้ของเขาคล้ายกับ ‘ผู้เคารพแห่งความว่างเปล่า’ แห่งรัฐโบราณเสียดฟ้าเป็นอย่างมาก แต่รัฐโบราณเสียดฟ้าน่าจะไม่บังอาจถึงเพียงนี้จนมาเข้าร่วมกับเรื่องนี้ได้” จวินอ๋องดำออกกระบวนท่าไปพลาง คาดเดาไปพลาง


ชั่วครึ่งลมหายใจ


ที่ครอบแสงแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ชั่วขณะที่แตกออกนั้น จวินอ๋องดำก็เคลื่อนที่ท่ามกลางความมืดมิดมาอยู่ข้างกายตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วตรงเข้ามาต่อสู้ประชิดตัว


ฟึ่บๆๆ!!!


ประกายดาบอันดำมืดและเยียบเย็นลอบโจมตีเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง


ฝ่ามือทั้งคู่ของตงป๋อเสวี่ยอิงฟาดฟันรอบด้านตามอำเภอใจ แต่ละฝ่ามือล้วนมีมิติจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น เห็นอยู่จะๆ ว่าเป็นการต่อสู้ประชิดตัว ทว่าแต่ละดาบของจวินอ๋องดำกลับเหมือนห่างจากตงป๋อเสวี่ยอิงมาก! ต้องทำลายมิติจำนวนนับไม่ถ้วนเสียก่อนจึงสามารถเข้าใกล้ได้ แต่การทำเช่นนั้นอานุภาพกลับอ่อนกำลังลงเป็นอย่างมาก


“จึ้ก” ตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งเดิมทีตั้งใจป้องกับเต็มที่นั้น จู่ๆ ก็จิ้มนิ้วลงไปกลางอากาศ


ระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างพลันทะลุผ่านอุปสรรคแล้วส่งถ่ายเข้าไปในกายของจวินอ๋องดำ


ร่างกายของจวินอ๋องดำสั่นสะท้านน้อยๆ สีหน้าก็เปลี่ยนแปรไปเขาคำรามว่า “อันตรายใช้ได้ทีเดียว”


ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับไม่ตอบคำ แล้วประมือต่อไป ในใจลอบคิดว่า “จวินอ๋องดำผู้นี้เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีที่แทรกซึมเข้าไปในกายหยาบก็เหมือนจะสามารถต้านทานเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย แผนการแรกก็คือละทิ้งไป!”


ท่าไม้ตายของเขามีโอกาสเพียงครั้งเดียวเท่านั้น!


เมื่อสัมผัสได้ถึงวิกฤตถึงชีวิต จวินอ๋องดำก็ต้องหนีไปอย่างแน่นอน หากเบื้องหลังเขายังมีผู้แกร่งกล้าอยู่อีก เกรงว่าคงจะต้องขอความช่วยเหลืออย่างแน่นอน


ดังนั้นก่อนที่จะออกท่าไม้ตายไป ก็ต้องรู้ตื้นลึกหนาบางของจวินอ๋องดำให้ชัดเจนก่อน ส่วนข้อมูลต่างๆ ของโลกภายนอกน่ะหรือ ก็ทำได้เพียงดูเป็นแนวทางเท่านั่น เพราะถึงอย่างไรสิ่งมีชีวิตระดับจอมเคารพที่แกร่งกล้าผู้หนึ่ง ผู้ใดจะไปรู้เล่าว่า เขามีวิธีรักษาชีวิตอันใดในมือบ้าง


“ช่างรับมือได้ยากเสียจริง ต้านทานได้เก่งนัก หากไม่ใช้ท่าไม้ตายก็มิอาจเค้นเอาตัวตนของเขาออกมาได้” จวินอ๋องดำหรี่ตาลง


ฟึ่บ!


ความดำมืดอันเข้มข้นหาใดเปรียบพลันทำลาย มิติหลายชั้นจำนวนนับไม่ถ้วนซึ่งเกิดจากฝ่ามือของตงป๋อเสวี่ยอิงกวัดแกว่งออกไป ก่อนจะกวาดลงไปยังช่วงท้องและเอวของตงป๋อเสวี่ยอิง สวบ ตงป๋อเสวี่ยอิงกลายเป็นลำแสงกระเด็นลอยไปกลางฟากฟ้า นอกจากนี้ส่วนท้องก็ยังปริออกเป็นบาดแผลขนาดมหึมา การโจมตีอย่างรุนแรงยังทำให้โลหิตพุ่งทะลักออกมาจากปากของตงป๋อเสวี่ยอิงอีกด้วย


“จวินอ๋องดำ เจ้าซ่อนตัวได้มิดชิดทีเดียว” เสียงแหบแห้งลอยออกมาจากปากของตงป๋อเสวี่ยอิงที่กระเด็นลอยไป


“ฮ่าฮ่า เผยตัวออกมาเสีย ให้ข้าได้เห็นหน่อยสิว่าที่แท้แล้วเจ้าเป็นใครกันแน่!” จวินอ๋องดำกลับ เขาบ้าคลั่งไปแล้ว


ตงป๋อเสวี่ยอิงตกใจมาก


ตอนที่อยู่ในด่านสิบสองกัลป์นั้น เขาได้พบเห็นพลังของจวินอ๋องดำด้วยตนเอง แต่ยามนี้จวินอ๋องดำสำแดงดาบที่น่าหวาดหวั่นออกมาดาบหนึ่งซึ่งเหนือความคาดหมายของเขา


แน่นอนว่าบาดแผลมหึมาที่หน้าท้องและโลหิตที่กระอักออกมา…ล้วนแต่เป็นการเสแสร้งของตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งสิ้น! เขาควบคุมร่างกาย จงใจฉีกทึ้งให้เกิดบาดแผลขึ้นมาก็เพื่อทำให้ศัตรูงงงัน มิเช่นนั้นแล้ว ด้วยร่างกายอันน่าหวาดหวั่นของเขาในตอนนี้ สิ่งมีชีวิตคละถิ่น ‘ลูกมังกรหมื่นสัมผัส’ ซึ่งถูกคุมขังอยู่ในเตาสามขาเพลิงโลกันตร์ตนนั้นโจมตีครั้งหนึ่งก็เพียงแค่ทำให้เขาบาดเจ็บเท่านั้น เมื่อเทียบกับสิ่งมีชีวิตคละถิ่น ‘ลูกมังกรหมื่นสัมผัส’ แล้ว จวินอ๋องดำยังห่างชั้นอยู่ไกลโข


หากตงป๋อเสวี่ยอิงไม่เสแสร้งแล้วยืนอยู่เฉยๆ ปล่อยให้จวินอ๋องดำโจมตีโดยผิวหนังไม่ปริแตกเลยแม้แต่น้อย!


แต่หากทำเช่นนั้นแล้วทำให้จวินอ๋องดำตกใจ แผนการของตนก็คงจะมิอาจดำเนินไปได้แล้ว


“สวบๆๆ…”


ทันใดนั้นรอบกายของตงป๋อเสวี่ยอิงที่บาดเจ็บสาหัสจนกระอักเลือดก็มีชายหนุ่มชุดดำอีกหลายคนปรากฏกายขึ้นมา


“ฮ่าฮ่า ยอดฝีมือทางสายวิถีอากาศล้วนมีร่างแยกกันทั้งนั้น ในที่สุดเจ้าก็สำแดงร่างแยกทั้งเก้าของเจ้าออกมาเสียที” จวินอ๋องดำไม่แปลกใจเลยแม้แต่น้อย เขาบุกเข้ามา แต่กลับแบ่งเงาร่างออกมาถึงสิบแปดสายในพริบตา


“ร่างแปรเงาสามารถคงไว้ได้ถึงสิบแปดร่างอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึงไปอีกครั้ง


พลังของจวินอ๋องดำ…


แข็งแกร่งกว่าตอนที่อยู่ในวังเทพจิตโลกาอยู่ขุมใหญ่


ด้วยอานุภาพการโจมตีของร่างแปรเงา


“ฟึ่บๆๆ…”


จวินอ๋องดำทั้งสิบแปดร่างล้อมโจมตีเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง ทว่าร่างอื่นๆ ล้วนแต่เป็นร่างแปรเงาซึ่งมีพลังธรรมดามากทั้งสิ้น มีร่างจริงเพียงร่างเดียวเท่านั้นที่แข็งแกร่งพอ! ร่างจริงสามารถเปลี่ยนแปรไปอยู่ในร่างแปรเงาที่แตกต่างกันได้ การลอบโจมตีก็ฉับพลันและแปลกประหลาดอย่างยิ่ง


แม้ตงป๋อเสวี่ยอิงจะมีร่างแยกเก้าร่าง แต่ก็ยังคงถูกกระบวนท่าเข้าตลอดเวลา แต่เขาก็พยายามตอบโต้อย่างสุดแรงด้วยท่าทางอันบ้าคลั่ง


ถึงอย่างไรก็มีร่างแยกเก้าร่าง…หากโชคดี บางทีอาจจะยังสามารถโจมตีถูกร่างจริงของจวินอ๋องดำก็เป็นได้


“แคว่ก”


ผิวกายของจวินอ๋องดำถูกฉีกออกจนเกิดบาดแผล เผยให้เห็นโครงกระดูกสีดำทะมึนภายใน โครงกระดูกมีแสงสีดำอันเข้มข้นปกคลุม


“ศาสตร์เชือดเฉือนใหญ่ก็ไม่เหมาะสม เป็นอันตกไป” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ “เห็นทีคงจะมีแต่ต้องลองแผนการที่สองแล้ว”


หลังการต่อสู้ประชิดตัว ตงป๋อเสวี่ยอิงได้ทดลองใช้กระบวนท่าที่ระดับชั้นค่อนข้างอ่อนแอ จึงพบว่าร่างกายของจวินอ๋องดำผสานกันทั้งภายในและภายนอก กายหยาบแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ยังไม่มีข้อบกพร่องที่ชัดเจน จะสังหารก็ทำได้เพียงต้องวางเดิมพันกันสักตั้งเท่านั้น เห็นทีแผนการที่สองคงจะมีหวังมากที่สุดในตอนนี้ มีโอกาสประมาณสามสี่ส่วน ซึ่งนี้ต่ำกว่าที่คาดไว้ในตอนแรกมากทีเดียว


ช่วยไม่ได้ พลังและกายหยาบของจวินอ๋องดำแข็งแกร่งกว่าที่ตนเคยล่วงรู้มาก่อนหน้านี้เสียอีก!


“ร่างแยกทั้งเก้าของเจ้ามีพลังขั้นสุดยอดหมดเลยรึ เจ้าได้สมบัติลับระดับยอดสุดอันใดมากัน จึงสามารถคงร่างแยกเอาไว้ได้ถึงเก้าร่าง” จวินอ๋องดำยิ่งตื่นเต้นมากขึ้น บัดนี้เขาเป็นฝ่ายได้เปรียบจึงผ่อนคลายเป็นอันมาก

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)