Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 35 ตอนที่ 1-3
ภาคที่ 35 มหาเคารพหิมะเหิ...
ตอนที่ 1 โลกเทียมชั้นที่สอง
ใต้ต้นไม้เทพผลาญจิต มีใบไม้สีม่วงเข้มร่วงหล่นเต็มพื้น
หนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวผู้หนึ่งนั่งขัดสมาธิบำเพ็ญอย่างเงียบๆ อยู่ที่นี่
“สี่ร้อยล้านปีเต็มแล้ว จ้าวหิมะเหินผู้นี้คงไม่ยืดเวลาออกไปหรอกกระมัง” มีสาวใช้นางหนึ่งคอยปรนนิบัติอยู่ไกลออกไป “รออีกสักประเดี๋ยว หากครบหนึ่งปีสุดท้ายแล้วเขายังไม่ไป ก็คงได้แต่เชิญให้เขาไปเท่านั้น”
ใต้ร่มไม้ หนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวพลันยืนขึ้นมาทันที
“เอ๊ะ” สาวใช้สะดุ้งเฮือกแล้วรีบเข้าไปต้อนรับทันที ขณะเดียวกันก็ถ่ายเสียงให้บุคคลระดับสูงของสกุลฝาน “จ้าวขุยเฉิน เค่อชิงระดับบนหิมะเหินผุดกายขึ้นยืน หยุดบำเพ็ญแล้วเจ้าค่ะ”
เขาก็รีบมาถึงข้างกายตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วพูดด้วยความเคารพว่า “เค่อชิงระดับบนหิมะเหิน”
“การบำเพ็ญของข้าสิ้นสุดลงแล้ว ควรไปได้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว จากนั้นเขาก็เงยหน้ามอง ไกลออกไปมีบุรุษร่างกำยำผู้หนึ่งทะยานเข้ามา ซึ่งก็คือจ้าวขุยเฉินที่ตงป๋อเสวี่ยอิงคุ้นเคยดีนัก จ้าวขุยเฉินเอ่ยขึ้นด้วยความกระตือรือร้นว่า “น้องหิมะเหิน บัดนี้ท่านมหาเคารพกำลังเก็บตัวอยู่ ก่อนจะเก็บตัวได้กำชับข้าว่าให้ข้าต้อนรับน้องหิมะเหิน น้องหิมะเหินมีเรื่องอันใดก็บอกข้ามาได้เลย”
“ไม่มีอะไรหรอกขอรับ คุณูปการก็แลกเปลี่ยนจนหมดแล้ว ควรจะไปได้แล้วขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มน้อยๆ
“ฮ่าฮ่า สำหรับน้องหิมะเหินแล้ว คุณูปการก็มิใช่เรื่องยากอันใดเลย” จ้าวขุยเฉินพูดยิ้มๆ พวกเขาต่างก็รู้ดีว่า คาดว่าเคล็ดไร้ทลายเก้ากัณฑ์ของอิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้คงจะแลกเป็นเคล็ดวิชาและสมบัติล้ำค่าต่างๆ กับรัฐโบราณอื่น อาศัยสมบัติล้ำค่าเหล่านั้นก็สามารถแลกเป็นคุณูปการในสกุลฝานได้อีกอย่างสบายๆ! ถึงตอนนั้นก็สามารถใช้คุณูปการแลกเป็นเวลาบำเพ็ญใต้ ‘ต้นไม้เทพผลาญจิต’ ได้อีก
“หากภายหลังข้าอยากจะมา ก็ต้องมาอีกแน่นอน” ตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้พูดให้มากความอีก
“ได้สิๆๆ” จ้าวขุยเฉินพยักหน้า “ข้าจะไปส่งน้องหิมะเหินเอง”
ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกสะท้อนใจอยู่บ้าง
คุณูปการแลกไปจนหมดแล้ว หลังจากเคล็ดไร้ทลายเก้ากัณฑ์ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิได้นำเคล็ดวิชาอันล้ำค่าวิชาใหม่ออกมาอีก! ความกระตือรือร้นของสกุลฝานในการต้อนรับเขาก็ลดลงไปไม่น้อย ต่อให้มหาเคารพซือเทียนเก็บตัวอยู่จึงมิอาจออกมาต้อนรับเขาได้ ก็ควรส่งยอดฝีมือระดับเทพจักรวาลชั้นที่สองสักคนมาต้อนรับเขา ส่วน ‘จ้าวขุยเฉิน’ นั้นเป็นเพียงเทพจักรวาลชั้นที่หนึ่งเท่านั้น
หรือพวกมหาเคารพซือเทียนจะคิดว่าตงป๋อเสวี่ยอิงเสียหายในวังเทพจิตโลกามากเกินไป! ต่อให้เคล็ดไร้ทลายเก้ากัณฑ์สามารถแลกผลประโยชน์ในรัฐโบราณอื่นมาได้ เกรงว่าก็คงพยายามอยากจะได้สมบัติลับระดับยอดสุดมาเท่านั้น
หากไม่มีผลประโยชน์…
บัดนี้สำหรับสกุลฝาน พลังของตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีส่วนช่วยน้อยนิดจนสามารถมองข้ามไปได้ ระดับความกระตือรือร้นที่สกุลฝานต้อนรับตนจะลดลงก็เป็นเรื่องปกตินัก
“อันที่จริงแล้วข้ามีเคล็ดวิชาที่ดียิ่งกว่า เพียงแต่ว่ามิได้รีบร้อนต้องไปแลกเปลี่ยนมาเสียหน่อย!” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ
ใช่แล้ว
เขาบำเพ็ญใต้ต้นไม้เทพผลาญจิตมาสี่ร้อยล้านปี บวกกับโลหิตหัวใจของ ‘มารดามังกรหมื่นสัมผัส’ จากวังเทพจิตโลกาหยดนั้นทำให้วิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงแข็งแกร่งขึ้นเป็นอันมาก การฝึกฝนครั้งนี้ ก็เป็นการพิสูจน์อย่างแท้จริงว่าพรสวรรค์ทางด้านโลกเทียมของตงป๋อเสวี่ยอิงน่าหวาดหวั่นเพียงใด! เขาเคยลองหลอมรวม ทางสาย ‘เขตลวงโลกเทียม’ ดู แต่กลับพบอุปสรรคอยู่บ้าง…
เขามิได้ก้มหน้าก้มตาบำเพ็ญเต็มที่ หากแต่หันกลับมาศึกษาวิธีการบำเพ็ญวิถีอากาศในตอนนั้น แล้วยกระดับสองสายสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่จาก ‘โลกเทียมห้าสาย’ ให้ไปถึงขั้นเทพจักรวาล ซึ่งใช้เวลาไปสองร้อยกว่าล้านปี
หลังการบรรลุนี้
ห้าสายล้วนสำเร็จจนสิ้น! ห้าสายของเขตลวงโลกเทียม แฝงไว้ด้วยห้าทิศทางที่แตกต่างกัน ภายใต้การประทับรอยซึ่งกันและกัน ทำให้การลองหลอมรวมของตงป๋อเสวี่ยอิงสบายขึ้นเป็นอย่างมาก
เขาลองหลอมรวม ‘โลกาและภาพลวง’ สองสายที่สั่งสมได้ลึกล้ำที่สุดและเข้าถึงได้มากที่สุดเพียงร้อยกว่าล้านปีก็หลอมรวมได้สำเร็จ และทำให้ ‘เขตลวงโลกเทียม’ บรรลุถึงเทพจักรวาลชั้นที่สองได้!
หากเผยแพร่ออกไป…
เพียงพอให้สั่นสะท้านไปทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา
เนื่องจากการบำเพ็ญทางสายวิญญาณนั้นได้ชื่อว่ายากลำบาก อย่างวิถีเขตลวงโลกเทียม ทั้งดินแดนจิตโลกาก็มีเพียงสามคนเท่านั้นที่บรรลุถึงระดับเทพจักรวาลชั้นที่สอง ได้แก่บรรพชนฝาน ประมุขรัฐเสียดฟ้าและ ‘อ๋องมารจิต’ ยอดฝีมือระดับจอมเคารพของรัฐโบราณสหโลกา พวกเขาทั้งสามต่างก็กระหายที่จะได้เห็นคัมภีร์โลกเทียมชั้นที่สองอื่นๆ เป็นอันมาก! โดยเฉพาะอย่างยิ่งอันที่แตกต่างกับของตนเอง
อย่างบรรพชนฝานนั้นมีโลกา ปรารถนาและวิญญาณ สามสายหลอมรวมกัน! ส่วนการหลอมรวมกับ ‘ล้างสังหาร’ และ ‘ภาพลวง’ นั้นล้มเหลวมาโดยตลอด
ประมุขรัฐเสียดฟ้านั้นเป็นการรวมกันของโลกาและวิญญาณ
‘อ๋องมารจิต’ แห่งรัฐโบราณสหโลกาผู้นั้นเป็นภาพลวงและวิญญาณ สองสายหลอมรวมกัน
ที่ผ่านมา…
บรรพชนฝานนั้นไม่สนใจประมุขรัฐเสียดฟ้า แต่กลับอยากได้คัมภีร์ที่ ‘อ๋องมารจิต’ คิดค้นขึ้นเองเป็นอย่างมาก เนื่องจากนี่ก็เพียงพอจะช่วยเหลือเขาได้แล้ว
ในดินแดนจิตโลกาอันกว้างใหญ่ไพศาล บรรดาเทพจักรวาลขั้นสุดยอดก็ค่อยๆ รับรู้ร่วมกันแล้วว่า คิดจะหนีออกจากกรงขังนี้ และบรรลุถึงระดับที่สูงขึ้นอีกชั้นหนึ่ง เกรงว่าทางสายวิญญาณก็คงต้องบรรลุถึงระดับเทพจักรวาลขั้นสุดยอดจึงจะใช้ได้! น่าเสียดาย ทั้งดินแดนจิตโลกามีสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูจำนวนไม่น้อย เทพจักรวาลขั้นสุดยอดก็มีมากกว่าอยู่บ้าง แต่กลับไม่มียอดฝีมือขั้นสุดยอดทางสายวิญญาณแม้แต่คนเดียว
“บัดนี้ข้าทำให้โลกาและภาพลวงหลอมรวมกัน ขอเพียงข้าบันทึกสิ่งที่ได้รับรู้จากการบำเพ็ญและการชี้แนะต่างๆ คัมภีร์ฉบับนี้ก็เพียงพอให้ขายราคาสูงลิ่วเทียมฟ้าได้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจในข้อนี้เป็นอย่างดี
จะขายสมบัติล้ำค่าก็ต้องดูว่าขายให้ใคร
หากขายให้ขั้นอลวนคนหนึ่ง ราคาก็มีจำกัด!
หากขายให้สิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรู ราคาก็ย่อมสูงเสียจนเกินจริง! โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกี่ยวข้องกับว่าจะสามารถก้าวออกไปจากก้าวที่สำคัญที่สุดนั้นได้หรือไม่
บรรพชนฝานและประมุขรัฐเสียดฟ้าล้วนยินดีที่จะทุ่มเทราคามหาศาล เนื่องจากพวกเขาล้วนปรารถนาว่าจะมีสักวันหนึ่งที่ทางสายโลกเทียมบรรลุถึงเทพจักรวาลขั้นสุดยอด วิญญาณในตอนนั้นก็จะเหนือกว่าเทพจักรวาลทั้งหมด มีวิญญาณที่แข็งแกร่งที่สุด บวกกับที่วิถีสองสายล้วนบรรลุถึงขั้นสุดยอด บางทีอาจมีหวังจะกระโดดออกจากกรงขังก็เป็นได้!
“ข้าไม่รีบร้อนขายคัมภีร์หรอก” ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจในข้อนี้ดี
อาศัยคัมภีร์โลกเทียมที่คิดค้นขึ้นเอง ‘อ๋องมารจิต’ จึงได้รับความโปรดปรานจาก ‘จักรพรรดิเทพผลาญโลกา’ หนึ่งในห้าบรรพชนแห่งรัฐโบราณสหโลกาทันที และได้รับมอบสมบัติลับระดับยอดสุดมา ทั้งยังสร้าง ‘วังมารจิต’ พิเศษแห่งหนึ่งให้เขา มีจักรพรรดิเทพผลาญโลกาคุ้มครอง แม้แต่สิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูของรัฐโบราณสหโลกาอย่าง ‘เจ้าเมืองอนันต์’ และ ‘อ๋องสัตว์โลกา’ ก็ยังลอบช่วยเหลือ ผู้ใดก็มิอาจบังคับจับกุมอ๋องมารจิตไปได้
คิดจะศึกษาคัมภีร์โลกเทียมน่ะหรือ ทางรัฐโบราณสหโลกานั้นต้องบอกราคาสูงเทียมฟ้าเป็นแน่! บรรพชนฝานก็ยังทำใจไปศึกษามิได้
ยอดฝีมือระดับเทพจักรวาลชั้นที่หนึ่ง จะศึกษาคัมภีร์จำพวกวิญญาณและทุ่มเทราคามหาศาลก็ยังพอมีหวัง (อย่างตงป๋อเสวี่ยอิงก็ต้องทุ่มเทไปแปดหมื่นมหาคุณูปการ! บรรดาสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรู (และเทพจักรวาลขั้นสุดยอดไม่ว่าคนไหน) คิดจะศึกษา ราคาก็ต้องสูงเสียจนเกินเหตุ!
……
คัมภีร์ทางสายวิญญาณนั้นไม่มีขั้นสุดยอด วังเทพจิตโลกาก็ยังไม่มี!
ระดับสูงสุดก็คือเทพจักรวาลชั้นที่สอง
ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงก็บรรลุถึงระดับขั้นนี้แล้ว ขอเพียงอยู่ภายในขอบเขตที่บรรพชนฝานและประมุขรัฐเสียดฟ้าสามารถรับได้ ต่อให้พวกเขาต้องทุ่มเทอะไรไปมากมายก็ยินดีศึกษา! อาศัยคัมภีร์ฉบับนี้ก็เพียงพอให้ร่างกายเปลี่ยนแปลงไปเป็นอาคันตุกะของสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูได้แล้ว
“หากไม่มีพลังพอ แล้วนำคัมภีร์พรรค์นี้ออกมา เกรงว่าข้าคงจะถูกรัฐโบราณคิมหันตวายุจองจำทันทีกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจในข้อนี้ดี อ๋องมารจิตผู้นั้นอาศัยอยู่ในวังมารจิตมาอย่างยาวนาน ร่างจริงจึงไม่กล้าออกมาเลย เช่นนั้นก็มิใช่การคุมขังชนิดหนึ่งหรอกหรือ
******
ณ เมืองหิมะเหินแห่งรัฐเมฆทักษิณา
เพียงพริบตาเดียววังเทพจิตโลกาก็เปิดออกมาสามแสนล้านกว่าปีแล้ว สำหรับเทพจักรวาลซึ่งยืนอยู่แทบจะในระดับยอดสุดของเส้นทางบำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วน ครั้งหนึ่งเก็บตัวหมื่นล้านปีก็เป็นเรื่องปกตินัก นี่เพียงแค่สามแสนล้านกว่าปีเท่านั้น สำหรับสิ่งมีชีวิตระดับเทพจักรวาลแล้ว ก็นับว่าสั้นนัก! เพราะถึงอย่างไรตอนนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงไล่ล่าฝูงมารผลาญทำลายก็ใช้เวลาไปนับล้านล้านปีเลยทีเดียว
ณ ข้างทะเลสาบในจวนจ้าว ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์สีขาวทั้งร่างกำลังนั่งตกปลาอยู่
ในบรรดาเทพจักรวาล หากพูดถึง ‘จ้าวหิมะเหิน’ แห่งรัฐเมฆทักษิณาแล้วก็ล้วนแต่ต้องทอดถอนใจหลายครั้ง ด้วยความรู้สึกว่าจ้าวหิมะเหินผู้นี้น่าสงสารนัก แต่ใน ‘เมืองหิมะเหิน’ ในสายตาคนของตระกูลอิงซานจำนวนนับไม่ถ้วน ‘จ้าวหิมะเหิน’ ก็คือความภาคภูมิใจอันยิ่งใหญ่ที่สุดของตระกูลอิงซาน!
บัดนี้เมืองหิมะเหินเป็นตัวเมืองใหญ่อันดับสองของรัฐเมฆทักษิณา คนตระกูลอิงซานส่วนใหญ่ล้วนอพยพย้ายถิ่นมาอยู่ที่นี่ จนกลายเป็นจุดศูนย์กลางของตระกูลอิงซาน แม้แต่ ‘แม่เฒ่าอิงซาน’ ก็ยังพำนักอยู่ที่นี่ด้วย
“ฮึบ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงสาวเบ็ดตกปลาขึ้นมาเบาๆ ปลาใหญ่ตัวหนึ่งถูกตกขึ้นมา มันยังคงงับเหยื่อล่อปลาอย่างเอาเป็นเอาตายด้วยความละโมบ
“ช่างละโมบเสียจริง” ตงป๋อเสวี่ยอิงสะบัดเบาๆ คราหนึ่ง ปลาก็ถูกสะบัดจนจมลงไปกลางทะเลสาบ ตงป๋อเสวี่ยอิงโบกมือคราหนึ่งเพื่อเก็บเบ็ดตกปลาขึ้นมาก่อนจะยืดกายขึ้น “น่าเสียดาย เสียบุปผาโลกาไปตั้งดอกหนึ่งยังมิอาจก้าวข้ามขั้นสุดท้ายและบรรลุเป็นเทพจักรวาลขั้นสุดยอดได้ เห็นทีการบรรลุในขั้นสุดท้ายคงจะไม่ง่ายดายถึงเพียงนั้น อื้น ตอนนี้ก็เป็นเวลาที่ควรเคลื่อนไหวแล้ว”
ฟิ้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงสาวท้าวเดินออกไปจากเมืองหิมะเหินอย่างสบายๆ เขากบดานมาจวบจนบัดนี้ ตอนนี้ถึงเวลาที่จะเหินทะยานแล้ว!
……
ส่วนในอากาศอันสับสนอลหม่านบ้านเกิด
ตงป๋อเสวี่ยอิงที่บำเพ็ญอย่างหนักมาตลอดคืนวันอันยาวนาน ยามนี้กลับมีร่างแยกร่างหนึ่งเคลื่อนไหวแล้วเช่นกัน
“สวบ”
เมื่อสาวเท้าออกไป ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ทะลุผ่านอุปสรรคของมิติจำนวนนับไม่ถ้วน และมาถึงฟากฟ้าเหนือดินแดนเก้าเมฆา
“ที่แท้แล้วเตาสามขาเพลิงโลกันตร์ สมบัติล้ำค่าของจักรพรรดิเก้าเมฆาที่ทำให้จอมเทพศักดิ์สิทธิ์อยากได้มาตลอดคือสิ่งใดกันแน่” ตงป๋อเสวี่ยอิงอยากรู้อยากเห็นนัก แม้จักรพรรดิเก้าเมฆาจะเก็บไว้อย่างเคร่งครัดมาก แต่ในฐานะที่ด้านวิถีอากาศลึกล้ำกว่าจักรพรรดิเก้าเมฆาอยู่บ้าง เป็นยอดฝีมือที่ห่างจากระดับขั้นของวิถีอากาศขั้นสุดยอดเพียงก้าวเดียวเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งเจ็ดกระบวนคละถิ่นอยู่ในมือ วิธีการที่จักรพรรดิเก้าเมฆาแอบซ่อนเอาไว้ สำหรับเขาในทุกวันนี้นั้นก็ไม่ควรค่าแก่การพูดถึงเลย
ภาคที่ 35 มหาเคารพหิมะเหิ...
ตอนที่ 2 เตาสามขาเพลิงโลกันตร์
ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่กลางท้องฟ้าเหนือดินแดนเก้าเมฆาพลางเหลือบมองลงไปยังฟ้าดินอันกว้างใหญ่ไพศาลเบื้องล่าง แล้วกำหนดจิตคราหนึ่ง
รอบกายเขากลายเป็นมืดมนไป น้ำวนอันไร้รูปร่างมีเขาเป็นศูนย์กลาง แล้วแผ่ออกไปทั่วทุกทิศทุกทางในทันใด อันที่จริงแล้ว ‘น้ำวน’ นี้ก็คืออณูทรงกลมของหมอกดำซึ่งเป็นแก่นแท้ที่สุดของอากาศซึ่งกำลังเคลื่อนไหวอยู่ แทบจะในชั่วพริบตาเดียว อณูทรงกลมของหมอกดำทั้งหมดของดินแดนเก้าเมฆาก็ถูกตงป๋อเสวี่ยอิงกวาดไปรอบหนึ่ง
“อยู่นั่น!” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็พบวังที่จักรพรรดิเก้าเมฆาเก็บซ่อนสมบัติล้ำค่าไว้เข้าจนได้
“ฟิ้ว”
ตรงหน้าพลันแยกตัวออกเป็นรอยแยกสีดำขนาดราวหนึ่งจั้ง ณ อีกปลายหนึ่งของรอยแยกสีดำปรากฏเป็นภาพวังขึ้นมารางๆ ตงป๋อเสวี่ยอิงสาวเท้าเข้าไปก้าวหนึ่ง ก็ทะลุรอยแยกสีดำนั้นไปถึงที่อีกแห่งหนึ่ง
ดูเหมือนจะง่ายดาย
อันที่จริงแล้ว ‘รอยแยกสีดำ’ นี้ก็คือศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกานั่นเอง! นอกจากนี้จากการที่เจ็ดกระบวนคละถิ่นของตงป๋อเสวี่ยอิงปรับเปลี่ยนพลังคละถิ่นด้วยกลเม็ดต่างๆ ทำให้ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาที่อาจารย์ประมุขรัฐเมฆทักษิณาคิดค้นขึ้นถูกเขาแก้ไขอย่างใหญ่หลวงไปตั้งนานแล้ว หากประมุขรัฐเมฆทักษิณาสำแดงออกมาก็ต้องมีการเคลื่อนไหวใหญ่โตนัก แต่เพียงชั่วความคิดเดียวของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ทั้งรวดเร็วและมั่นคงกว่า!
อย่างวิธีผนึกค่ายกลในวังเก็บสมบัติล้ำค่าของจักรพรรดิเก้าเมฆา ด้วยพลังของตงป๋อเสวี่ยอิง การทำลายก็มีอยู่สองวิธีด้วยกัน หนึ่งคือใช้พลังทำลายกฎเหมือนกับการโจมตีห้าภาพผนึกมิติของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ เพียงแต่จักรพรรดิเก้าเมฆาผนึกมิติด้วยการวางค่ายกล จึงย่อมมั่นคงกว่า หากจะฝืนทำลาย ด้วยพลังของตงป๋อเสวี่ยอิงในตอนนี้ที่แข็งแกร่งขึ้นเป็นอย่างมาก เกรงว่าก็คงต้องใช้หลายกระบวนท่า ส่วนอีกวิธีหนึ่งก็คือศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา ศาสตร์การส่งถ่ายระดับนี้ล้วนสามารถมุ่งหน้าไปยังโลกกำเนิดอื่นๆ ได้ สถานที่ที่สามารถขัดขวาง ‘ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา’ ให้มิอาจไปถึงได้นั้น ก็ช่างหาได้ยากจริงๆ อย่างน้อยวังของจักรพรรดิเก้าเมฆาก็ยังขัดขวางเอาไว้ไม่ได้
ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ของผู้แกร่งกล้า หรือว่าซ่อนอยู่ในสถานที่ปิดผนึกพิเศษสักแห่ง ‘ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา’ ก็สามารถตรงเข้าไปได้อยู่ดี
โดยทั่วไปผู้แกร่งกล้าจะวางสมบัติล้ำค่าต่างๆ เอาไว้ในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ที่พกติดตัวเอาไว้ ระดับขั้นอย่างตงป๋อเสวี่ยอิง ก็สามารถอาศัยศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาตรงเข้าไปในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ของผู้อื่นแล้วหอบสมบัติล้ำค่าออกมาจนว่างเปล่าได้! แน่นอนว่านี่ก็เท่ากับเป็นการเปิดศึกแล้ว!
……
ภายในวังอันเก่าแก่ที่เงียบงัน ไม่มีสิ่งมีชีวิตมาเยี่ยมเยือนที่นี่นานแสนนานแล้ว
รอยแยกสีดำสายหนึ่งปรากฏขึ้นกลางวัง จากนั้นชายหนุ่มอาภรณ์ขาวผู้หนึ่งสาวเท้าเข้ามาจากกลางรอยแยกสีดำแล้วหันมองรอบด้าน จากนั้นก็สาวเท้าเดินตรงแน่วไปเพียงสองสามก้าวก็มาถึงนอกระเบียงและมาถึงหน้าลานแห่งหนึ่ง
กลางลานแห่งหนึ่งในวังของจักรพรรดิเก้าเมฆา มีเตาสามขาสีแดงเพลิงอันหนึ่งวางอยู่ กลิ่นอายของเตาสามขาโหมซัดออกมา กลิ่นอายนั้นกลายเป็นสัตว์ปีกให้เห็นรางๆ อานุภาพกดดันแผ่ออกมา
ตอนนั้นที่เขามาที่นี่เป็นครั้งแรก ยังรู้สึกว่าอานุภาพกดดันนี้น่ากลัว บัดนี้กลับไม่ใส่ใจแม้แต่น้อยเสียแล้ว
“เตาสามขาเพลิงโลกันตร์”
“จอมเทพศักดิ์สิทธิ์อยากได้ถึงเพียงนั้นเชียวหรือ จักรพรรดิเก้าเมฆาไม่สามารถรับรู้ความลับของเตาสามขาเพลิงโลกันตร์นี้จนกระจ่างแจ้งได้ แม้แต่ชื่อก็ยังรู้มาจากจอมเทพศักดิ์สิทธิ์นั่น” ตงป๋อเสวี่ยอิงแปลกใจนัก ดีร้ายอย่างไรจักรพรรดิเก้าเมฆาก็เป็นยอดฝีมือระดับเทพจักรวาลชั้นที่สอง การหลอมแปรสมบัติลับก็ควรจะมิใช่เรื่องยาก จะไม่เข้าใจสมบัติลับที่แข็งแกร่งชิ้นหนึ่งได้อย่างไรกัน
“เจ้า!”
ด้านข้างมีบุรุษอาภรณ์ดำร่างกายง่อนแง่นผู้หนึ่งปรากฏกายขึ้น เขามองตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “เจ้าเข้ามารึ เข้ามาได้อย่างไรกัน เจ้าสามารถทำลายค่ายกลปิดผนึกของนายท่านได้ รอยแยกสีดำเมื่อครู่นั่นมันอะไรกัน”
เขาพูดรวดเดียวเป็นชุด เห็นได้ชัดว่าตื่นตระหนกเหลือแสน
เนื่องจากค่ายกลปิดผนึกเช่นนี้เป็นผลสำเร็จอันใหญ่หลวงทางด้านอากาศของเจ้านาย ซึ่งเป็นค่ายกลที่แม้แต่ตัวของจักรพรรดิเก้าเมฆาเจ้านายของเขาเองก็ยังมิอาจทำลายได้
“ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาน่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย
บุรุษอาภรณ์ดำยังคงมึนงงไปหมด ถึงอย่างไรเขาก็เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตหุ่นเชิดเท่านั้น แม้จะติดตามจักรพรรดิเก้าเมฆา แต่กลับรู้สิ่งที่เจ้านายเคยพูดมาเพียงครึ่งๆ กลางๆ เท่านั้น หากจักรพรรดิเก้าเมฆายังมีชีวิตอยู่ เมื่อได้ยินว่าเป็น ‘ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา’ ก็จะสามารถเดาได้ว่านี่เป็นเคล็ดลับจำพวกใดแล้ว
“จะว่าไปแล้ว…” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูบุรุษอาภรณ์ดำผู้นี้แล้วก็อดนึกสนุกขึ้นมามิได้ “นี่คือการพบหน้ากันครั้งที่สองของข้ากับเจ้าแล้ว”
“ครั้งที่สองรึ เจ้าเป็นใครกัน” บุรุษอาภรณ์ดำสะดุ้งเฮือก
“อ้อ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกระจ่างแจ้งขึ้นมา เมื่อกลับชาติมาจุติ กลิ่นอายวิญญาณก็เกิดความเปลี่ยนแปลงไป มีแต่ตอนที่พบหน้าบุตรภรรยาเท่านั้นจึงจงใจใช้การกลายเป็นอากาศธาตุเก็บงำกลิ่นอายจนหมด แล้วแสร้งเผยกลิ่นอายที่ผ่านมาออกมา หากเก็บตัวและเคลื่อนไหวเพียงลำพัง เขาก็คงไม่ว่างถึงขั้นคงการกลายเป็นอากาศธาตุเอาไว้ตลอดเวลา เพราะยุ่งยากยิ่งนัก
“ไม่มีอะไรหรอก” ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่พูดให้มากความอีกต่อไป “เจ้ารู้ความลับของเตาสามขาเพลิงโลกันตร์หรือไม่”
“เจ้ามาเพื่อเตาสามขาเพลิงโลกันตร์หรอกหรือ” บุรุษอาภรณ์ดำร่างกายง่อนแง่นสีหน้าเปลี่ยนแปรไป เขาโบกมือคราหนึ่ง ค่ายกลก็พลันเคลื่อนไหว รอบเตาสามขาเพลิงโลกันตร์พลันมีอากาศอันบิดเบี้ยวขึ้นมาทันที แล้วเตาสามขาขนาดใหญ่นั้นก็อันตรธานไป บุรุษอาภรณ์ดำผู้นี้พูดเสียงต่ำว่า “นี่คือสมบัติล้ำค่าของเจ้านายข้า เจ้ามิอาจชิงเอาไปได้ หากคิดจะเอาไป ก็ต้องทำตามเงื่อนไขที่เจ้านายข้าตั้งเอาไว้ให้สำเร็จ เจ้าจะต้องสังหารจอมเทพศักดิ์สิทธิ์แห่งลัทธิทิพย์โบราณผู้นั้นหรือไม่ก็เทพจักรวาลผู้นั้น…”
“เดิมทีข้าและจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นคู่อริกันอยู่แล้ว ทว่าตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาลงมือ ส่วนเจ้า…เจ้าไม่มีสิทธิ์มาข่มขู่ข้า” ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้วเล็กน้อย
วิ้ง!
ทั้งวังพลันยุบลงไป กลายเป็นภาพแผ่นหนึ่ง ซึ่งเป็นแผ่นภาพที่แสนจะบาง ในภาพนั้น บุรุษอาภรณ์ดำผู้นั้นยังอยู่ในนั้น ทว่าบุรุษอาภรณ์ดำในภาพนี้ก็ยังคงวิ่งพล่านไปทั่วทิศด้วยความตื่นตระหนกและร้อนใจ แต่กลับออกมามิได้! เขามิได้คิดร้าย ภาพนี้กลับเป็นโลกใบหนึ่ง ซึ่งต้นไม้ใบหญ้าและมวลสรรพสิ่งภายในล้วนแต่มิได้รับความเสียหายอันใดทั้งสิ้น
มีเพียงเตาสามขาสีแดงเพลิงอันหนึ่งเท่านั้นที่ล่องลอยอยู่เหนือภาพแผ่นนี้
“เดิมทีข้าคิดว่าจะเก็บทั้งวันขึ้นมาก่อน แล้วค่อยนำเอาเตาสามขาเพลิงโลกันตร์มาจากในนั้น คิดไม่ถึงว่า สมบัติล้ำค่าไปจนถึงสมบัติลับอื่นๆ ในวังของจักรพรรดิเก้าเมฆาล้วนถูกข้ากดดันเสียจนอยู่ในภาพแผ่นหนึ่ง เตาสามขาใหญ่นี้ข้ากลับมิอาจกดดันได้เลยอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึงอยู่บ้าง จากนั้นก็โบกมือคราหนึ่งเพื่อเก็บภาพแผ่นนี้ลงไป
จากนั้นเขาก็คว้าเตาสามขานี้ติดมือเอาไว้
ตัวเตาสามขาขนาดใหญ่นี้ร้อนระอุ ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย สาวเท้าออกไปก้าวหนึ่ง เขาก็จากดินแดนเก้าเมฆาและกลับไปภายในคูหาสำหรับเก็บตัวของตนทันที
คูหาของเขา หากพูดถึงการปิดผนึกและการแอบซ่อนก็ยังเหนือกว่าจักรพรรดิเก้าเมฆาเสียอีก
เพราะถึงอย่างไรเขาก็บรรลุถึงแปดสายผสานกันแล้ว ห่างจากขั้นสุดยอดเพียงแค่เส้นบางๆ เท่านั้น ทั้งยังมีการรับรู้เคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งด้วย วิธีการจึงย่อมสูงส่งกว่าเป็นอันมาก
……
ภายในคูหา
เตาสามขาอันหนึ่งวางอยู่ภายในโถงตำหนัก ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิลงไปแล้วเริ่มส่งสติรับรู้ระลอกหนึ่งเข้าไปในเตาสามขาใหญ่นั้น แล้วเริ่มรับรู้เตาสามขาเพลิงโลกันตร์อันเร้นลับนี้
“เอ๊ะ”
เมื่อแทรกซึมเข้าไป เขาก็เผยสีหน้าตกตะลึงออกมา
“นี่มันอะไรน่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงจ้องมองโดยละเอียด ภายใต้การแทรกซึมของสัมผัสรับรู้เตาสามขาเพลิงโลกันตร์ของเขา ผิวของเตาสามขาขนาดใหญ่นี้ก็เริ่มมีอักขระลับสีทองตัวแล้วตัวเล่าปรากฏขึ้นมา ดูพิสดารไม่เป็นสองรองใคร “สิ่งนี้เกี่ยวโยงกับความเร้นลับของพลังคละถิ่น หากมิได้รับรู้พลังคละถิ่นจนถึงระดับหนึ่งก็มิอาจทำลายได้เลย”
ภายใต้สถานการณ์ปกติ หากบรรลุถึงเทพจักรวาลขั้นสุดยอดก็จะพยายามรับรู้กฎเกณฑ์อันสูงส่งทันที ระหว่างขั้นตอนนี้ โดยทั่วไปก็จะรับรู้โลกในระดับที่สูงกว่าบ้าง และรู้จักพลังคละถิ่นขึ้นมาบ้าง
ภายในดินแดนจิตโลกา…ก็มีสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูที่เก็บเกี่ยวบางสิ่งจากพลังคละถิ่นจนได้ ‘แก่นแท้อลวน’ ออกมา
แม้ในฐานะยอดฝีมือวิถีอากาศ ตงป๋อเสวี่ยอิงจะได้สัมผัสพลังคละถิ่นมาตั้งแต่เนิ่นๆ แล้วก็ตามที ทว่าหากพูดถึงระดับการปะทุของการเข้าถึงแล้ว ก็ยังคงเป็นหลังจากได้รับเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งมา เกรงว่าการควบคุมและใช้งานพลังคละถิ่นของเขาคงจะสูงส่งกว่าจักรพรรดิเซี่ยเสียอีก! ปุจฉวิถีคละถิ่นที่จักรพรรดิเซี่ยคิดค้นขึ้นนั้น บัดนี้เขาก็ได้ปรับปรุงแก้ไขไปบ้างแล้ว
“ไม่ยากเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงรับรู้ดูเล็กน้อย เวลาเพียงแค่ชั่วจอกชาหนึ่งก็รู้แจ้งความเร้นลับของอักขระลับบนเตาสามขาเพลิงโลกันตร์เหล่านี้แล้ว
เตาสามขาเพลิงโลกันตร์ที่ตามรบกวนจักรพรรดิเก้าเมฆามาตลอดคืนวันอันยาวนาน เตาสามขาเพลิงโลกันตร์ที่ทำให้จอมเทพศักดิ์สิทธิ์อยากได้ บัดนี้กลับถูกตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจจนทะลุปรุโปร่งแล้ว
“โลกที่บรรจุอยู่ภายในหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพบแล้วว่าช่างสมชื่อจริงๆ ภายในเตาสามขาเพลิงโลกันตร์นี้มีโลกบรรจุอยู่ภายในจริงๆ “เป็นสมบัติลับที่พิเศษนัก สมบัติลับกระตุ้นขึ้นมาได้ยากถึงเพียงนี้ นอกจากนี้อาศัยศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาก็ยังมิอาจบุกฝ่าเข้าไปได้ด้วย” เรื่องนี้ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงพอจะคาดเดาได้รางๆ ตั้งแต่การกระตุ้นพลังที่แฝงอยู่ในอักขระลับ และเมื่อดูจากความเร้นลับคละถิ่นแล้ว สมบัติลับนี้ก็อาจจะเป็นสิ่งที่ผู้แกร่งกล้าคละถิ่นหลอมแปรขึ้นมาก็เป็นได้
สวบ
เพียงชั่วความคิดเดียว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เข้าไปในเตาสามขาเพลิงโลกันตร์แล้ว
ร่างแยกของเขามีตั้งมากมาย จะเสียร่างแยกไปสักร่างก็เป็นเรื่องเล็ก จึงย่อมไม่กลัวว่าภายในเตาสามขาเพลิงโลกันตร์นี้จะมีภัยคุกคามใดอยู่หรือไม่
ภาคที่ 35 มหาเคารพหิมะเหิ...
ตอนที่ 3 สิ่งมีชีวิตที่ถูกคุมขัง
ผืนดินอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งหนึ่งเตียนโล่ง ไร้ซึ่งพืชพรรณใดๆ
ตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏกายขึ้นบนผืนดินแห่งนี้
“ภายในเตาสามขาเพลิงโลกันตร์แบ่งเป็นโลกสามชั้นจริงๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงสัมผัสอากาศได้ว่องไวเพียงใด โลกอันกว้างใหญ่ภายในเตาสามขาเพลิงโลกันตร์ราวกับทรงกลมมหึมาลูกหนึ่ง โลกชั้นหนึ่งห่อหุ้มอีกชั้นหนึ่งเอาไว้รวมสามชั้นด้วยกัน ที่ตนอยู่ในตอนนี้ก็คือโลกชั้นนอกสุด ในบรรดาโลกทั้งสามชั้นนั้น โลกชั้นนอกและโลกชั้นในเหมือนจะไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ มีเพียงโลกตรงใจกลางเท่านั้นที่มีกลิ่นอายอันน่าหวาดหวั่นอย่างยิ่งอยู่
“น่าหวาดหวั่นนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย
กลิ่นอายอันน่าหวาดหวั่นแฝงกายอยู่ในโลกใจกลางเตาสามขาเพลิงโลกันตร์ ตงป๋อเสวี่ยอิงรับรู้อยู่ห่างๆ ก็ยังทำให้เขาประหวั่นใจอย่างมิอาจควบคุมได้
“ด้วยพลังของข้าในทุกวันนี้ ยังรู้สึกกดดันอีกหรือนี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงสาวเท้าเดินไป
“เฮอะ”
ทันใดนั้นเสียงเฮอะอย่างเย็นชาก็ลอยมาจากที่ไกลๆ จากโลกชั้นใจกลางสุด เสียงนั้นทุ้มต่ำราวกับลอยออกมาจากหุบเหวลึกแล้วทะลุผ่านโลกชั้นแล้วชั้นเล่ามาถึงโลกชั้นนอก หากเป็นเทพจักรวาลทั่วไปก็เกรงว่าคงจะถูกกระทบกระเทือนจนร่างกายแหลกสลายเป็นผุยผงและสิ้นชีวิตไปแล้ว
“น่าสนใจดีนี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไม่หวั่นเกรง บัดนี้สิ่งที่สามารถทำให้เขาคร้ามเกรงได้ก็มีไม่มากแล้วจริงๆ
เขาสาวเท้าก้าวเดินไป
“ตู้ม…”
ระลอกคลื่นอันน่าหวาดหวั่นระลอกหนึ่งแพร่ออกมาจากโลกชั้นใจกลางสุดแล้วกวาดผ่านโลกชั้นในไปจนถึงโลกชั้นนอก
มืดฟ้ามัวดินราวกับพายุทำลายล้างโลก เพียงพริบตาเดียวก็หอบม้วนทั้งโลกชั้นนอกเอาไว้ และกวาดลงบนร่างของตงป๋อเสวี่ยอิง! ผิวกายของตงป๋อเสวี่ยอิงมีกระแสอากาศสีดำวงแล้ววงเล่ารายล้อมเอาไว้ พายุอันน่าหวาดหวั่นนี้แม้จะมีอานุภาพแข็งแกร่ง แต่เมื่อกวาดลงบนกระแสอากาศสีดำนี้กลับทำให้กระแสอากาศสีดำบิดเบี้ยวและเปลี่ยนแปลงไป แต่กลับมิอาจทำลายให้แตกสลายไปได้เลย
“พายุนี้ก็มีอานุภาพระดับเทพจักรวาลชั้นที่สามแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ่งสนใจใคร่รู้ยิ่งขึ้น “มิน่าเล่าจอมเทพศักดิ์สิทธิ์จึงอยากได้มัน เขาคงจะรู้ความลับบางอย่างของเตาสามขาเพลิงโลกันตร์”
ตนไม่รู้ก็จริง ทว่าก็สามารถค่อยๆ สืบค้นไปได้
ฟิ้ว
ระหว่างที่สาวเท้าไปนั้น ไม่นานก็ทะลุผนังโลกเข้าสู่โลกชั้นใน
อานุภาพของโลกชั้นในยิ่งน่าหวาดหวั่นขึ้นไปอีก สามารถมองเห็นกระแสอากาศสีแดงเพลิงที่โหมซัดสาดระลอกแล้วระลอกเล่าได้ด้วยตาเปล่า พันพาดเข้ามาราวกับมังกรก็มิปาน กระแสอากาศสีแดงเพลิงบางส่วนพลันรวมตัวกันขึ้นมา กลายเป็นสิ่งมีชีวิตรูปร่างคล้ายมนุษย์ที่หุ้มเกราะสีแดงชาดเอาไว้ บนใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยเกล็ดสีแดง นัยน์ตาอันเยียบเย็นคู่หนึ่งเหลือบมองลงไปยังชายหนุ่มอาภรณ์ขาวที่ปรากฏกายขึ้นมาแล้วเอ่ยปากพูดว่า “หยวนปล่อยเจ้าเข้ามาหรือ สิ่งมีชีวิตชั้นต่ำตัวหนึ่ง มาสิ เหมาะจะเป็นอาหารของข้าเท่านั้นแหละ”
เสียงของเขาต่ำลึกและก้องกังวาน สะท้อนไปทั่วทุกหนแห่งในโลก
“สิ่งมีชีวิตชั้นต่ำรึ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเขา
“เฮอะๆๆ”
สิ่งมีชีวิตชุดเกราะแดงพลันกะพริบวาบขึ้นมา เพียงพริบตาเดียวก็รุกขึ้นไปถึงตรงหน้าตงป๋อเสวี่ยอิง
“ฮ่าฮ่า…” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มออกมา “เจ้าเป็นใครกัน มีความสัมพันธ์อันใดกับหยวน”
เสียงของเขายังสะท้อนกลับไปกลับมาอยู่ อากาศรอบด้านกลับมีภาพนับพันนับหมื่นภาพปรากฏขึ้นมาทันใด บางครั้งในภาพนี้ก็มีตงป๋อเสวี่ยอิงผุดขึ้นมา บางครั้งภาพอีกภาพหนึ่งก็มีตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏขึ้น คนอื่นๆ ที่อยู่ในภาพก็ยังคงหัวร่อต่อกระซิกกัน
“เจ้าคู่ควรมาถามข้าด้วยอย่างนั้นหรือ” สิ่งมีชีวิตชุดเกราะแดงกวัดแกว่งกรงเล็บ แคว่กๆๆ…แม้แต่ละภาพจะทนทานเป็นอย่างมาก แต่ก็ยังคงถูกฉีกทึ้งออกทีละภาพๆ เพียงแต่ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่นไม่ใส่ใจเลย เขายังคงสับเปลี่ยนตำแหน่งไปเรื่อยๆ สิ่งมีชีวิตชุดเกราะแดงตนนั้นมิอาจสัมผัสถูกเขาได้เลย
“เหตุใดเจ้าจึงมาปรากฏกายอยู่ในเตาสามขาอันหนึ่งได้เล่า ถูกจับมาหรือ ถูกหยวนจับตัวมาหรือไร” เสียงของตงป๋อเสวี่ยอิงสะท้อนก้องไปทั่วฟ้าดินต่อไป
“สมควรตาย”
สิ่งมีชีวิตชุดเกราะแดงโมโหขึ้นมาบ้างแล้ว
ฟิ้วๆๆ…
กระแสอากาศสีแดงเพลิงซึ่งเดิมทีโหมซัดอยู่กลางฟากฟ้ารวมตัวกันขึ้นมาเป็นสิ่งมีชีวิตชุดเกราะแดงตนแล้วตนเล่าอย่างต่อเนื่อง แต่ละตนล้วนโกรธเกรี้ยวหาใดเปรียบ เพียงพริบตาเดียวก็รวมตัวขึ้นเป็นสิ่งมีชีวิตชุดเกราะแดงหลายร้อยตน ทำให้สีหน้าของตงป๋อเสวี่ยอิงเปลี่ยนแปรไปเล็กน้อย “เป็นไปได้อย่างไรกัน” เขาค้นพบแล้วว่า สิ่งมีชีวิตชุดเกราะแดงนี้นี้เหิมเกริมหาใดเปรียบ พลังเมื่อเทียบกับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์แล้วก็ยังแข็งแกร่งกว่าอยู่บ้าง เพียงแต่กระบวนท่าเหมือนจะหยาบกร้านมาก ตนจึงสามารถอาศัยยุทธวิธีหิมะเหินที่คิดค้นขึ้นเองปั่นหัวเขาได้อย่างง่ายดาย
บัดนี้ ไม่ส่าจะเป็นยุทธวิธีเมฆาแดงหรือว่ายุทธวิธีภายในปุจฉวิถีคละถิ่นหรือว่าเคล็ดผนึกห้าภาพและอื่นๆ ภายใต้ระดับขั้นเช่นนี้ก็ดูหยาบนัก เขาอาศัยวิธีการใช้ยุทธวิธีต่างๆ อย่างประณีต หลอมรวมเข้ากับเคล็ดลับการใช้งานพลังคละวิถีของเจ็ดกระบวนคละถิ่น และปรับปรุงแก้ไขด้วยระดับขั้นของตนในตอนนี้ ก่อให้เกิดเป็นยุทธวิธีอันสมบูรณ์ชุดหนึ่ง
แน่นอนว่ายุทธวิธีชุดนี้ยังกำลังก้าวหน้าอยู่ เมื่อระดับขั้นของเขายกระดับขึ้น ยุทธวิธีชุดนี้ก็สามารถยกระดับต่อไปได้
“ตายเสียเถอะ”
“สิ่งมีชีวิตชั้นต่ำที่สมควรตาย”
“สมแล้วที่เจ้าจะเยาะเย้ยข้า”
สีหน้าของสิ่งมีชีวิตชุดเกราะแดงหลายร้อยตนนั้นต่างก็เหี้ยมเกรียมและโกรธเกรี้ยวเหมือนกันหมด ล้อมโจมตีอย่างบ้าคลั่ง ฟาดฟันตามอำเภอใจ เพียงชั่วครู่ก็แหลกสลายเป็นผุยผงไปอย่างต่อเนื่อง ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงวิธีการมากมายออกมา ก็ถูกพวกเขาทำลายไปด้วยพละกำลังอันเหิมเกริม
“ฟิ้วๆๆ…” ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่ตรงใจกลางของน้ำวนดำทะมึนอันน่าหวาดหวั่น ไม่มีทางหลบพ้นได้ เช่นนั้นก็ต้องรับศึกซึ่งหน้าแล้ว
สวบๆๆๆๆๆ…สิ่งมีชีวิตชุดเกราะแดงแน่นขนัดหลายร้อยร่างล้อมโจมตีเข้าไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างบ้าคลั่ง แทบจะในพริบตาเดียว กระแสอากาศสีดำคุ้มกายของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ถูกฉีกทึ้งออกไป แม้เขาจะสำแดงเคล็ดลับการต่อสู้ต่างๆ ออกมา ฝ่ามือหนึ่งตะปบลงไปบนร่างของสิ่งมีชีวิตชุดเกราะแดงนั้นจนกลายเป็นกระแสอากาศไปเป็นครั้งคราว แต่จากนั้นติดๆ กระแสอากาศเหล่านั้นก็ยังคงรวมตัวกันขึ้นมาได้อีก ช่างไม่ตายไม่สลายไปจริงๆ
ภายใต้การล้อมโจมตี ทางด้านตงป๋อเสวี่ยอิงก็ถูกโจมตีเสียจนกระเด็นลอยไป!
เพียงครู่เดียวก็ถูกโจมตีเข้าไปในส่วนลึกของผืนดิน เพียงครู่เดียวก็ลอยเข้าไปกลางท้องฟ้า! ถูกโจมตีเสียจนปรากฏเป็นเงารางจำนวนมาก
ช่วยไม่ได้
หลายร้อยคน แต่ละคนพลังแข็งแกร่งกว่าจอมเทพศักดิ์สิทธิ์เสียอีก ต่อให้กระบวนท่าหยาบกร้าน แต่ก็สามารถกดดันตงป๋อเสวี่ยอิงได้อย่างสิ้นเชิง
แม้ตงป๋อเสวี่ยอิงจะถูกโจมตีอย่างน่าสงสารมาก แต่ร่างกายกลับไม่เสียหายแม้แต่ผิวหนังด้วยซ้ำ
เขาฝึกฝนฝึกกายคละถิ่นชั้นที่สองสำเร็จตั้งนานแล้ว! ทุกวันนี้ก็ยังปรับปรุงไปมากมาย ยังสมบูรณ์แบบกว่าปุจฉวิถีคละถิ่นก่อนหน้านี้เสียอีก ความแข็งแกร่งของร่างกายเพียงพอจะเทียบได้กับผู้แกร่งกล้าระดับเทพจักรวาลขั้นสุดยอดหน้าใหม่ทางสายฝึกกายแล้ว…ต้องรู้ไว้ว่า ผู้แกร่งกล้าเทพจักรวาลขั้นสุดยอดทางสายฝึกกายนั้นมิอาจฆ่าให้ตายได้! บุคคลผู้ไร้เทียมทานก็ฆ่าไม่ตาย! หากต้องลงมือสักหลายกระบวนท่าอาจจะสามารถทำให้ผู้แกร่งกล้าขั้นสุดยอดทางสายฝึกกายบาดเจ็บสาหัสได้ แต่เพียงชั่วความคิดเดียวของผู้แกร่งกล้าขั้นสุดยอดทางสายฝึกกายก็สามารถหลบหนีไปได้แล้ว! เจ้าศิลาก็คือผู้ที่บรรลุถึงขั้นสุดยอดทางสายฝึกกาย มาถึงระดับนี้แล้ว ร่างกายก็รวมตัวและสลายไปได้อย่างไม่ธรรมดา สามารถปรากฏกายในที่แห่งใดของโลกกำเนิดก็ได้ หากซ่อนเหตุปัจจัยเอาไว้ ศัตรูก็มิอาจหาร่องรอยได้พบ
ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่มีลูกไม้พิเศษ ‘ทางสายฝึกกาย’ เช่น รวมตัวและสลายไปอย่างไม่ธรรมดาหรือซ่อนเร้นเหตุปัจจัยอย่างสิ้นเชิง เป็นต้น
แต่เขาเป็นยอดฝีมือทางด้านวิถีอากาศซึ่งมีเคล็ดวิชารักษาชีวิตอย่าง ‘การกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอด’ และ ‘ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา เป็นต้น พลังคละวิถีฝึกกายและวิญญาณ จะตามหาเหตุปัจจัยของเขาก็ยากนัก ร่างแยกทางด้านดินแดนจิตโลกาถึงขั้นหลอมรวมเอาโลหิตหัวใจหยดหนึ่งของ ‘มารดามังกรหมื่นสัมผัส’ เข้าไปในวิญญาณ คิดจะตามรอยตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้เข้าไปใหญ่
แน่นอนว่า…
สิ่งมีชีวิตเกราะแดงตรงหน้านี้ยังทำให้เขาบาดเจ็บมิได้
“น่าสนใจดี สิ่งมีชีวิตเกราะสีแดงเหล่านี้เหมือนจะเป็นชีวิตเดียวกัน เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีกลิ่นอายใหญ่โตในโลกชั้นใจกลางนั่นหรือ” หัวใจของตงป๋อเสวี่ยอิงสั่นสะท้านขึ้นมา “ไปดูเสียหน่อยดีกว่า”
วิชาสูงส่งคนก็ฮึกเหิม
ฟิ้ว
รอยแยกสีดำด้านข้างกะพริบวาบคราหนึ่งแล้วหายไป ตงป๋อเสวี่ยอิงก็อันตรธานไปแล้ว เขาอาศัยศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาตรงเข้าไปภายในโลกชั้นใจกลาง
……
ณ โลกชั้นใจกลางของโลกทั้งสามชั้นในเตาสามขาเพลิงโลกันตร์
ตงป๋อเสวี่ยอิงเพิ่งปรากฏกายก็รู้สึกว่ารอบด้านร้อนระอุหาใดเปรียบ ร้อนระอุกว่าดวงอาทิตย์ดั้งเดิมตั้งมากมาย
กระแสอากาศสีดำล้อมรอบกายเขา เมื่อปรากฏขึ้นที่นี่ ก็อดมองไปทางสิ่งมีชีวิตเพียงหนึ่งเดียวในโลกชั้นใจกลางมิได้…
สัตว์ประหลาดสีแดงเพลิงขนาดมหึมาพังพาบอยู่ตรงนั้น มันมีแขนขนาดมหึมาแน่นขนัดไปหมด เมื่อปราดมองคราหนึ่ง ก็เห็นว่าน่าจะมีนับหมื่นเลยทีเดียว แขนขนาดมหึมาเหล่านี้ปกคลุมอากาศเอาไว้ ศีรษะของสัตว์ประหลาดอยู่ตรงกลาง ดวงตามหึมาจับจ้องตงป๋อเสวี่ยอิง
“นี่มันสิ่งมีชีวิตอะไรกันน่ะ” ชั่วขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเห็นก็งงงันไป
เหนือผิวของแขนขนาดมหึมาแต่ละข้างมีแสงจำนวนนับไม่ถ้วนไหลเวียนอยู่ แฝงไว้ด้วยความเร้นลับนานาชนิด หากให้เวลาตนมากพอ ตนก็คงจะสามารถค่อยๆ วิเคราะห์วิธีการใช้ความเร้นลับพิเศษในนั้นได้! ส่วนดวงตาขนาดมหึมาตรงกลางศีรษะนั้น ดวงตาเปล่งแสงสีทองออกมา กลางแสงสีทองมีอักขระลับซึ่งราวกับของจริงหมุนเวียนอยู่ แล้วส่องสะท้อนลงบนร่างของตน
สายตาแฝงไว้ด้วยความกดดันอันน่าหวาดหวั่น แต่ร่างกายของตงป๋อเสวี่ยอิงก็นับว่าแข็งแกร่งพอจึงไม่สนใจอะไรนัก
“มีสิ่งมีชีวิตประเภทนี้อยู่ด้วยหรือ เป็นร่างแปรของกฎเกณฑ์จริงๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงซาบซึ้งใจขึ้นมา
“สิ่งมีชีวิตชั้นต่ำที่อยู่ในกรง” แขนข้างหนึ่งของสัตว์ประหลาดขนาดมหึมาพลันกวัดแกว่ง
ฟิ้ว
ขณะเดียวกับที่กวัดแกว่งนั้น แสงจำนวนนับไม่ถ้วนบนมือเปลี่ยนแปลงไปอย่างต่อเนื่อง ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงเกิดความรู้สึกกระหายที่จะค่อยๆ ค้นคว้าขึ้นมา แต่ก็ไม่มีเวลาให้เขา มือทะลุผ่านอุปสรรคของมิติไปแล้วมาถึงตรงหน้า ตงป๋อเสวี่ยอิงก็แค่กวัดแกว่งฝ่ามือออกไป ฝ่ามือมีแสงอันสะดุดตาปรากฏขึ้น ภายในมีมิติหลายชั้นปรากฏขึ้นมา
“พลั่ก!”
ฝ่ามือหนึ่งซัดโจมตี พยายามอย่างสุดกำลัง ทำให้พลังโจมตีเคลื่อนผ่านห้วงมิติไปถึงยังกลางห้วงมิติระดับที่สูงขึ้น ห้วงมิติชั้นแล้วชั้นเล่าในอุ้งมือของตงป๋อเสวี่ยอิงลุกไหม้อย่างต่อเนื่อง พลานุภาพนั้นน่าหวาดหวั่นเหลือเกิน เพียงพริบตาเดียวก็เพิ่งจะฝืนเดินไปได้เพียงห้าชั้นเท่านั้นเอง
หมื่นเคล็ดวิชาของยุทธวิธีหิมะเหินไม่ติดขัด!
“พลานุภาพนี้ไม่ด้อยไปกว่าบรรพชนราตรีนิรันดร์โจมตีอย่างสุดกำลังเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกใจ
บรรพชนราตรีนิรันดร์นั้นใช้การโจมตีอย่างสุดกำลังของสมบัติลับล้ำค่าระดับสูง แต่นี่เป็นเพียงแค่การโจมตีตามอำเภอใจของสัตว์ประหลาดตนหนึ่งเท่านั้นเอง
“ฟิ้ว”
ร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงถูกกระแทกลอยออกไป เคล็ดวิชาคุ้มกายและการกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอดยังคงทำให้ร่างกายตงป๋อเสวี่ยอิงเกิดบาดแผลขนาดใหญ่รอยหนึ่ง แต่บาดแผลก็สมานติดกันอย่างรวดเร็ว
“หืม ไม่ตายอีกหรือ” สัตว์ประหลาดขนาดยักษ์ประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง สิ่งมีชีวิตที่มิได้หนีออกจากกรงขังคนหนึ่ง การโจมตีหนึ่งของเขาก็มิอาจฆ่าให้ตายได้
“เจ้าถูกหยวนคุมขังเอาไว้ที่นี่ใช่หรือไม่” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยอย่างกระตือรือร้น เสียงสนั่นก้องฟ้าดิน เขาอยากจะถ่วงเวลาออกไปให้ได้มากที่สุด มิฉะนั้นตนคงจะต้านทานการห้ำหั่นเช่นนี้เอาไว้ได้ไม่นานสักเท่าใดนัก
……………………………………………………..
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น