Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 34 ตอนที่ 8-9
ตอนที่ 8 กลับบ้าน
Ink Stone_Fantasy
“ผู้อาวุโส ข้ายั่วยุศัตรู ไปจากรัฐโบราณคิมหันตวายุเสียจะเป็นการดีกว่า” ปาถัวเฉินพูด
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าน้อยๆ แล้วโบกมือคราหนึ่ง
ครืน
เขาสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาเปิดทางเชื่อมมิติเส้นหนึ่ง ปาถัวเฉินมองตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างซาบซึ้งปราดหนึ่งแล้วเอ่ยอย่างเคร่งขรึมว่า “บุญคุณใหญ่หลวงของผู้อาวุโส ข้าน้อยไม่รู้ว่าเมื่อใดจะได้ตอบแทน” พูดจบแล้วก็หันหน้าเดินไป เข้าไปในทางเดินนั้นแล้วก็หายลับไปไม่เห็นอีก
ตงป๋อเสวี่ยอิงได้เห็นเหตุการณ์แล้วก็แย้มยิ้ม
จิตข้าคือจิตฟ้า กับผู้อ่อนแอจำนวนนับไม่ถ้วน ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิได้ให้ความสำคัญราวกับมดปลวก หากแต่มีจิตใจเมตตาสงสาร ในสายตาของเขา ปาถัวเฉินก็คือเด็กน้อยที่น่าสงสารคนหนึ่ง ตอนแรกทั้งตระกูลก็ถูกล้างผลาญ ถูกตนส่งมายังรัฐโบราณคิมหันตวายุก็ไปยั่วยุศัตรูเข้า ถูกคุมขังเอาไว้ในคุกของสกุลฝาน ถ้าหากตนไม่ช่วยเหลือก็เกรงว่าเขาคงจะมิได้มีชีวิตรอดอยู่มาจนถึงวันนี้แล้ว
“น้องเฟยเสวี่ย พวกเราไปกันเถิด” มหาเคารพซือเทียนเอ่ย
“รบกวนท่านมหาเคารพแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกได้ว่ามหาเคารพไว้หน้าตนอย่างแท้จริง
“เจ้ากับข้าไม่จำเป็นต้องเกรงใจกันหรอก” มหาเคารพซือเทียนยิ้มแล้วก็นำทางตงป๋อเสวี่ยอิงจากไปพร้อมกัน
เมื่อระดับสูงคนอื่นๆ และเหล่ายามรักษาการณ์ภายในคุกแต่ละคนได้เห็นเหตุการณ์แล้วก็ลอบตระหนกตกใจ
“เค่อชิงระดับบนเฟยเสวี่ยผู้นี้สามารถทำให้มหาเคารพให้ความสำคัญได้มากถึงเพียงนี้เชียวหรือ” ระดับสูงจำนวนไม่น้อยลอบตระหนกตกใจ
“รีบไปรายงานคุณชายไห่เร็วเข้า” จนกระทั่งบัดนี้ บุรุษร่างกำยำอาภรณ์ดำก็ยังคงหัวใจสั่นสะท้าน เขาถึงกับจะใช้แส้ฟาดผู้แกร่งกล้าผู้น่าหวั่นเกรงที่แม้แต่มหาเคารพซือเทียนก็ยังรักษามารยาทเช่นนี้เลยหรือ
……
ตอนนี้คุณชายไห่ ‘ฝู่หยาไห่’ กำลังฟังคำสอนของท่านอาจารย์อยู่ที่เบื้องล่างที่นั่งของท่านอาจารย์จ้าวอสรพิษเขียวหยกพร้อมกันกับเพื่อนร่วมสำนักคนอื่นๆ
“หืม”
นัยน์ตาเรียวยาวของจ้าวอสรพิษเขียวหยกมีแววประหลาดใจสายหนึ่งแวบผ่าน เขาตะโกนขึ้นในทันใด
“ผู้อื่นถอยออกไปให้หมด ให้เหลือแค่ฝู่หยาไห่อยู่ที่นี่”
บรรดาศิษย์ทั้งหลายต่างพากันร่นถอยไปในทันใด
คุณชายไห่นั่งอยู่ที่เบื้องล่างตามลำพังพลางมองท่านอาจารย์ที่อยู่ด้านบน แต่หลังจากนั้นเขาก็ได้รับสารที่ส่งมา
“จะก่อเรื่องก็ไม่ทำให้สะอาดหมดจดเช่นนี้” จ้าวอสรพิษเขียวหยกขมวดคิ้วมองลูกศิษย์ปราดหนึ่ง
“ท่านอาจารย์ ข้าเองก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะมีความเกี่ยวข้องกับอิงซานเสวี่ยอิงผู้นั้น อิงซานเสวี่ยอิงก็เป็นเพียงแค่ผู้บำเพ็ญจากรัฐประเทศภายนอกคนหนึ่งเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องใส่ใจเขาให้มากไปนักหรอกขอรับ”
คุณชายไห่เอ่ยอย่างทนไม่ไหว
จ้าวอสรพิษเขียวหยกเอ่ยอย่างเย็นชาหยามเหยียด “โง่เง่านัก เค่อชิงระดับบนเฟยเสวี่ยเป็นผู้ที่กลับชาติมาเกิด สามารถสำแดงเคล็ดวิชาขั้นอลวนกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอดได้ เกรงว่าความเป็นมาคงจะยิ่งใหญ่จนชวนให้คนตกใจเลยทีเดียว! นอกจากนี้ ลำพังแค่พลังยุทธ์ของเขาในตอนนี้ ข้าเองก็เกรงว่าคงจะมิใช่คู่ต่อสู้ของเขาเสียแล้ว”เขากระจ่างแจ้งเป็นอย่างยิ่งว่าเทพจักรวาลของวิถีโลกเทียม วิถีอากาศก็สูงส่งลึกล้ำเกินกว่าจะจินตนาการได้ พลังยุทธ์ของอิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้คงยากคาดเดาเลยทีเดียว!
อย่างน้อยๆ พลังยุทธ์ที่สามารถมองออกได้ก็แข็งแกร่งกว่าเขาแล้ว
“โอ้” คุณชายไห่ตกตะลึง
“ข้าสั่งให้คนไปตรวจสอบปาถัวเฉินผู้นั้นแล้ว เขาเป็นเด็กผู้รอดชีวิตคนหนึ่งของสกุลปาถัวแห่งรัฐถูฮวา ตอนนั้นอิงซานเสวี่ยอิงก็แค่ผ่านทางรัฐถูฮวาแล้วช่วยเหลือส่งๆ ไปอย่างนั้นเอง มิได้มีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งแต่อย่างใด อิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้ช่างมีเมตตาเสียเหลือเกิน” จ้าวอสรพิษเขียวหยกพูด “ถ้าหากเจ้าอยากจะจัดการปาถัวเฉิน ก็ต้องทำอย่างสะอาดหมดจด อย่าให้เหลือร่องรอยเอาไว้แม้แต่น้อย!”
“ข้าเข้าใจขอรับ” คุณชายไห่พยักหน้า เป็นถึงศิษย์ของสกุลฝาน ก็ย่อมมีวิธีการบางอย่างที่ทำให้ ‘การสะกดรอย’ ด้วยวิธีการต่างๆ มากมายต่างก็ไม่สามารถตรวจสอบพบได้
“ให้เจ้าหนีออกไปอย่างนั้นหรือ ถึงกับโชคดีสามารถสร้างสัมพันธ์กับอิงซานเสวี่ยอิงได้ ข้ามิอาจยั่วยุอิงซานเสวี่ยอิงได้ ข้าก็มิอาจจัดการเจ้าเด็กผู้นี้ได้อย่างนั้นหรือ” คุณชายไห่รู้ว่าความแค้นของตนกับปาถัวเฉินใหญ่โตเหลือเกินแล้ว ก่อนหน้านี้ยังคิดจะใช้ประโยชน์จากเขาอยู่ แต่ตอนนี้ในเมื่อหนีไปแล้วก็ต้องหาโอกาสถอนรากถอนโคน!
……
ณ ‘เมืองอนันต์’ แห่งรัฐโบราณสหโลกา
เมืองอนันต์ เป็นสถานที่ของ ‘เจ้าเมืองอนันต์’ หนึ่งในห้าบรรพชนรัฐโบราณสหโลกา ทั้งยังเป็นหนึ่งในห้าเมืองใหญ่ของรัฐโบราณสหโลกาอีกด้วย เพราะอุปนิสัยของเจ้าเมืองอนันต์ ก็ได้กำหนดกฎเกณฑ์เอาไว้…จนทำให้เมืองอนันต์เป็นเมืองที่เป็นระบบระเบียบที่สุดในบรรดาทั้งห้าเมืองใหญ่ของรัฐโบราณสหโลกา
“หืม”
บริเวณรกร้างว่างเปล่านอกเมืองอนันต์ กลางทางเชื่อมมิติอันบิดเบี้ยวมีชายหนุ่มที่ดูอัตคัดผู้หนึ่งเดินออกมา ซึ่งก็คือปาถัวเฉินที่ถูกตงป๋อเสวี่ยอิงส่งมาที่นี่
ปาถัวเฉินมองดูปราการเมืองอันกว้างใหญ่ไพศาลตรงหน้าแล้วเอ่ยเสียงต่ำว่า “เมืองอนันต์แห่งรัฐโบราณสหโลกาหรือ มีระเบียบยอดเยี่ยมเป็นที่สุด อีกทั้งยังห่างไกลจากรัฐโบราณคิมหันตวายุด้วย ผู้อาวุโสอิงซานเสวี่ยอิงช่างตั้งใจทำเพื่อข้าจริงๆ”
ในใจของปาถัวเฉินซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง
ถึงแม้ว่าคุกของสกุลฝานจะน่าหวาดหวั่น แต่ตามแผนที่เขาวางเอาไว้ตั้งแต่แรก หลังจากที่สิ้นเปลืองเวลายาวนานพอแล้ว ในท้ายที่สุดก็มีความหวังที่จะหนีออกไปได้ แต่อิงซานเสวี่ยอิงช่วยเหลือเขา กลับทำให้เขาหนีออกมาจากคุกได้เร็วขึ้น ‘ท้องฟ้าสูงปักษาโผบิน’ โดยแท้ พลังยุทธ์ของเขาก็สามารถเริ่มต้นยกระดับขึ้นอย่างมหาศาลได้อย่างแท้จริง
“ผู้อาวุโสอิงซานเสวี่ยอิง พลังยุทธ์ของข้าในตอนนี้อ่อนแออยู่ ในภายหน้าข้าปาถัวเฉินจะต้องตอบแทนท่านอย่างแน่นอน” ปาถัวเฉินเอ่ยพึมพำ
“เจ้านาย สถานที่ที่มีระเบียบดีเกินไป ไม่เหมาะกับการพัฒนาของท่านหรอก พวกเราจะต้องไปยังสถานที่ที่ชุลมุนวุ่นวายสิ!” เสียงหนึ่งดังขึ้นในวิญญาณของปาถัวเฉิน
“อืม”
“เจ้านายไม่ต้องรีบร้อนหรอก เจ้านายสามารถผ่านการทดสอบหลอมวิญญาณของนายท่านผู้เฒ่าได้ พรสวรรค์สูงส่งเป็นที่สุด เป็นผู้สืบทอดที่เหมาะสมที่สุดที่นายท่านผู้เฒ่าหาพบในระยะเวลาอันยาวนาน ขอเพียงแค่เจ้านายตั้งใจบำเพ็ญ ในอนาคตก็จะสามารถมีความหวังที่จะเทียบเคียงได้ในระดับเดียวกันกับอิงซานเสวี่ยอิงนั้น หรือแม้กระทั่งเหนือกว่าเขา ยืนอยู่เหนือระดับสุดยอดของทั้งดินแดนจิตโลกาเลยทีเดียว”
“ถึงแม้ว่าที่นี่จะเป็นระเบียบเรียบร้อยดี แต่กลับมิใช่สถานที่ที่ข้าควรรั้งอยู่ ไปกันเถิด ส่งตัวข้าไปจากที่นี่ที” ปาถัวเฉินมองเมืองอนันต์ปราดหนึ่ง
“ขอรับ เจ้านาย”
ทันใดนั้นระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างขุมหนึ่งก็ห่อหุ้มปาถัวเฉินเอาไว้ จากนั้นก็หายลับไปไม่เห็นอีก
******
ตงป๋อเสวี่ยอิงย่อมไม่รู้อยู่แล้วว่าที่ตนช่วยเหลือเจ้าเด็กปาถัวเฉินในครั้งนี้ ในอนาคตจะก่อให้เกิดคลื่นลมมากมายเพียงใด ขณะนี้เขากำลังได้พบกับตำราโลกจิต ตำราที่แข็งแกร่งที่สุดทางด้าน ‘โลกเทียม’ ของสกุลฝาน ภายใต้การนำทางของมหาเคารพซือเทียน
ในระหว่างที่มือลูบคลำตำราสีดำเล่มหนา ข้อมูลจำนวนมหาศาลก็พุ่งเข้าสู่ห้วงสมอง
“ร้ายกาจนัก”
“ล้ำเลิศเหลือเกิน”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นถึงบุคคลที่วิถีโลกเทียมสำเร็จเป็นเทพจักรวาล สายตาก็ย่อมสูงส่งเป็นอย่างยิ่ง ค้นพบความน่าหวาดหวั่นของตำราโลกจิตนี้ได้ในทันที! ถึงอย่างไรก็เป็นวิถีโลกเทียมที่ ‘บรรพชนฝาน’ บุคคลผู้ไร้เทียมทานบำเพ็ญไปควบคู่กัน วิวัฒน์เอาเคล็ดวิชาโลกเทียมออกมา ก็เป็นตำราโลกเทียมที่แกร่งที่สุดในรัฐโบราณคิมหันตวายุแล้ว
“มหาเคารพซือเทียน ข้าศึกษาเคล็ดวิชานี้แล้ว ก็ขอไปที่พระราชวังก่อนล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
“ได้สิ ฮ่าฮ่า ถ้าหากมีเคล็ดสืบทอดลับที่เหมาะสม เจ้าก็สามารถขายต่อให้กับสกุลฝานของข้าได้นะ” มหาเคารพซือเทียนพูดพลางยิ้มน้อยๆ เหตุผลที่เขาเกรงอกเกรงใจเช่นนี้ พลังยุทธ์นั้นเป็นเรื่องรอง สิ่งที่สำคัญก็คืออิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้สามารถเผยแพร่ ‘เคล็ดไร้ทลายเก้ากัณฑ์’ ออกสู่ภายนอกได้ นี่คือเคล็ดวิชาอันน่าหวาดหวั่นที่มหาเคารพซือเทียนคิดว่าไปถึง ‘ระดับขั้นเทพจักรวาลที่สาม’ จึงจะสามารถคิดค้นออกมาได้ อิงซานเสวี่ยอิงสามารถเผยแพร่สู่ภายนอกได้ สถานะภายในสำนักวิชาเมื่อชาติก่อนจะต้องสูงส่งมากอย่างแน่นอน คาดว่าน่าจะยังมีเคล็ดวิชาที่เหมาะสมอยู่
“แน่นอน แน่นอน”
ตงป๋อเสวี่ยอิงรับปาก ทันใดนั้นก็ออกจากคีรีมารสกุลฝาน มาถึงยังพระราชวังแห่งนครหลวงคิมหันตวายุ
……
ในส่วนลึกของพระราชวัง
“การถ่ายทอดของปุจฉวิถีคละถิ่นก็มีความซับซ้อนอยู่บ้าง เค่อชิงระดับบนเฟยเสวี่ยเข้าไปข้างในก่อนเถิด” ชายชราอาภรณ์เหลืองผู้หนึ่งนำทางตงป๋อเสวี่ยอิงมาถึงยังห้องโถงอันลึกลับที่อยู่ลึกลงไปใต้ดินแห่งหนึ่ง ที่กลางห้องโถงมีเสาศิลาอันพิสดารแปลกตาแขวนลอยอยู่ แต่ในขณะนี้เสาศิลากลับเปิดประตูออกมา “เข้าไปภายในเสาศิลาแล้วต้องจำเอาไว้ว่าต้องรักษาการกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอดเอาไว้ มิฉะนั้นก็จะเจ็บปวดทรมานแสนสาหัส”
“ได้”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
ก้าวย่างเข้าสู่ภายในเสาศิลา นี่คือข้อตกลงที่จักรพรรดิเซี่ยตกลงเอาไว้กับตน หากจักรพรรดิเซี่ยอยากจะสังหารตนเองก็ย่อมสามารถผลาญสังหารได้ตลอดเวลา คงจะไม่ใช้วิธีการที่น่าขันเช่นนี้มาลอบสังหารตนอยู่แล้ว
“ปึง” เข้ามาสู่ด้านในของเสาศิลา มิติด้านในกว้างเพียงแค่ไม่กี่จั้ง สูงสามจั้ง ประตูศิลาปิดผนึกลงในทันที
จากนั้นทั่วทั้งด้านในของเสาศิลาก็มีลำแสงสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น
เสาศิลานี้คล้ายกับจะกลายเป็นตะแกรงอันหนึ่ง ด้านในมีเส้นสายจำนวนนับไม่ถ้วน ลำแสงสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น
“แคว่ก…” แก่นห้วงอากาศบริเวณรอบๆ ถูกฉีกทำลายออกเป็นโพรงขนาดใหญ่ โพรงดำขลับมีพลังคละถิ่นพรั่งพรูออกมา สิ่งนี้ใหญ่กว่าโพรงที่ตนสำแดงเคล็ดทลายเวหาทลายเปิดออกมามากมายเหลือเกิน
“นี่…”
ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกได้แล้ว
ยามที่พลังคละถิ่นอันเข้มข้นหาใดเปรียบนั้นพุ่งออกมา เพราะว่าเข้มข้นและยิ่งใหญ่เหลือเกิน ถึงขนาดที่แทรกทะลุเข้าไปภายในร่างกายของตน ทำให้ร่างกายเกิดความเจ็บปวดจางๆ นี่ก็คือเงื่อนไขที่ตนสำแดง ‘การกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอด’ ถ้าหากไม่สำแดงก็เกรงว่าจะ ‘เจ็บปวดทรมานแสนสาหัส’ อย่างที่วิญญาณค่ายกลนั่นพูดเอาไว้จริงๆ
พลังคละถิ่นหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของตน แล้วก็หลั่งไหลเข้าสู่เสาศิลาเช่นเดียวกัน
หลังจากเสาศิลาที่แผ่ลำแสงสีทองถูกพลังคละถิ่นหลั่งไหลเข้าไปแล้ว จึงก่อให้เกิดเป็นอักษรสัญลักษณ์สีดำที่มีความพิเศษขึ้นมาแล้วเข้าไปในร่างกายและดวงวิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างต่อเนื่อง ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงศึกษาเคล็ดวิชานี้ได้สำเร็จ
เคล็ดวิชานี้ถูก ‘กฎเกณฑ์สูงสุด’ จำกัดโดยกำเนิด! ตามปกติแล้วล้วนมิอาจศึกษาได้ มีเพียงการอาศัยพลังคละถิ่นปริมาณมหาศาล จึงมีความหวังที่จะถ่ายทอดได้
“ฉีกทำลายโพรงโลกกำเนิดอย่างใหญ่โตเช่นนี้ คาดว่าท่านอาจารย์ของข้าก็ยังทำมิได้เลยกระมัง แต่ค่ายกลนี้กลับทำได้อย่างนั้นหรือ จักรพรรดิเซี่ยจะต้องทุ่มเทความคิดจิตใจไปเป็นอันมากอย่างแน่นอน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ จักรพรรดิเซี่ยตั้งใจเป็นอย่างยิ่งเพื่อคิดค้นเคล็ดวิชานี้ เพียงแต่จนกระทั่งบัดนี้ก็ยังคิดค้นได้เพียงแค่สองขั้นเท่านั้นเอง
อย่างเช่นโลกจิต
ตำราทางด้านเขตลวงโลกเทียมอื่นๆ โดยทั่วไปแล้วต่างก็มีราคาแพง โลกจิตยิ่งเป็นสุดยอดในบรรดานั้น แปดหมื่นมหาคุณูปการนั้นช่างธรรมดายิ่งนัก
แต่ตำราวิถีอากาศศาสตร์หนึ่ง ระดับสูงที่สุดจึงจะเหมาะสมกับระดับขั้นเทพจักรวาลที่สอง แต่ต้องใช้หนึ่งแสนมหาคุณูปการ นี่ก็คือราคาที่เทียบเคียงกับเคล็ดสืบทอดลับที่มุ่งตรงสู่ความเป็นสุดยอดแล้ว กระทั่งการถ่ายทอดก็ยังได้รับผลกระทบจากกฎเกณฑ์สูงสุด สามารถเห็นได้ถึงความพิเศษมหัศจรรย์
ทั้งหมดกลับคืนสู่ความเงียบสงบ โพรงโลกกำเนิดที่ทลายเปิดออกมานั้นก็ฟื้นคืนเช่นเดียวกัน
“ปึงๆๆ”
ประตูศิลาเปิดออก
ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินออกมาจากข้างในนั้น บนใบหน้าเผยสีหน้าตื่นเต้น ล้ำเลิศ ล้ำเลิศ ปุจฉวิถีคละถิ่นนี้ช่างคุ้มค่าเหลือเกินจริงๆ!
“ศึกษาสำเร็จหมดแล้วหรือ” ชายชราอาภรณ์เหลืองพูดยิ้มๆ
“ศึกษาสำเร็จทั้งหมดแล้วล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
“เช่นนั้นข้อตกลงของเค่อชิงระดับบนเฟยเสวี่ยกับสกุลเซี่ยเราก็นับได้ว่าสำเร็จเสร็จสิ้นแล้ว ข้าจะส่งเค่อชิงระดับบนเฟยเสวี่ยออกไป” ชายชราอาภรณ์เหลืองพูดพลางยิ้มน้อยๆ
******
‘เมืองหิมะเหิน’ เมืองใหญ่ของรัฐเมฆทักษิณา
ภายในเจดีย์เทพอากาศ
ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ทองมาถึงที่นี่อย่างเงียบเชียบ ถึงขนาดที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าเขาเข้ามาภายในเจดีย์เทพอากาศแล้ว
“ควรกลับไปได้แล้วล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ทองนั่งขัดสมาธิพลางเอ่ยพึมพำ
ตำราที่จำเป็นต้องใช้ก็ได้มาแล้ว
นี่คือหนึ่งในที่พึ่งของตนที่อากาศอันสับสนอลหม่าน
ตนเองก็สำเร็จเป็นเทพจักรวาลแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมสรรพแล้ว
“ไม่รู้เลยว่าจิ้งชิว อวี้เอ๋อร์ และชิงเหยาเป็นอย่างไรกันบ้างแล้ว ตอนนี้อากาศอันสับสนอลหม่านบ้านเกิดยังอยู่ดีหรือไม่” ในใจของตงป๋อเสวี่ยอิงตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง
“ไป กลับบ้าน!”
เพียงความนึกคิดเดียว
ทันใดนั้นพลังที่ป้ายคำสั่งจิตโลกาเหลือเอาไว้ครึ่งที่แฝงอยู่ในวิญญาณมาโดยตลอด พลังสีแดงชาดนั้นก็ถูกกระตุ้นในทันใด ห่อหุ้มวิญญาณแท้ของส่วนที่ละเอียดอ่อนที่สุดของแก่นวิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้!
“ปัง”
พลังสีแดงชาดนั้นพุ่งขึ้นในทันใด
วิญญาณแผ่กระจายออกไปจนหมดสิ้นราวกับกรวดทรายในทันใด พลังสีแดงชาดก็ห่อหุ้มวิญญาณแท้สายหนึ่งเอาไว้แล้วก็สูญหายไปในทันที
ร่างกายของตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ทองยังอยู่ที่นั่นอย่างสมบูรณ์ดีเช่นเดิม
“พรึ่บ”
ร่างแยกตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์เขียวเหินลอยออกมาจากสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ ถึงอย่างไรตงป๋อเสวี่ยอิงในตอนนี้ก็มีร่างแยกอยู่ถึงเก้าร่าง
ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์เขียวโบกมือคราหนึ่ง ร่างกายอาภรณ์ทองนี้ก็แยกสลายกลายเป็นพลังอันเป็นพื้นฐานที่สุด
ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์เขียวมองออกไปไกลยังทิศทางหนึ่ง เขารู้สึกได้ถึงทิศทางของ ‘วิญญาณแท้สายนั้น’ “หวังว่าแผนของข้าจะสำเร็จโดยสมบูรณ์แบบนะ”
มีร่างแยกเหลือเอาไว้สำหรับการต่อสู้ที่ดินแดนจิตโลกา
แล้วก็มีร่างแยกที่กลับบ้านเกิด
……
“ปัง”
ภายใต้การห่อหุ้มของป้ายคำสั่งจิตโลกา วิญญาณแท้สายหนึ่งก็ไปจากดินแดนจิตโลกาในทันใด มุ่งหน้าไปยังมิติลึกลับระดับสูงกว่า
วิญญาณแท้ของตงป๋อเสวี่ยอิงในคราวนี้ก็คือวิญญาณแท้ของเทพจักรวาล การรับสัมผัสต่อโลกภายนอกก็กระจ่างชัดกว่าเป็นอย่างมาก แต่ก็รู้สึกได้ถึง ‘ความน่าหวาดหวั่นอันยิ่งใหญ่’ ส่วนมิติลึกลับระดับสูงกว่านั้นย่อมมิใช่สิ่งที่ตนเองในยามนี้สามารถเหยียบย่างไปถึงได้อยู่แล้ว
“ยังสามารถสัมผัสถึงได้”
ตงป๋อเสวี่ยอิงสัมผัสได้ถึงการเชื่อมโยงความทรงจำกับร่างแยกที่ดินแดนจิตโลกา
เวลาที่นี่บางทีก็ไร้ซึ่งความหมายเสียแล้ว มิอาจแยกแยะความเร็วในการไหลของเวลาได้เลย รู้เพียงแค่ความรู้สึกเนิ่นนาน ยาวนานมากเหลือเกิน
หลังจากที่มุ่งหน้าไปยัง ‘อากาศอันสับสนอลหม่าน’ โลกกำเนิดอีกแห่งหนึ่งอย่างไม่หยุดหย่อน ตงป๋อเสวี่ยอิงก็รู้สึกว่าการรับสัมผัสต่อร่างแยกที่ดินแดนจิตโลกานั้นอ่อนแอลงเรื่อยๆ การเชื่อมโยงความทรงจำก็ยิ่งกินแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเช่นกัน
“ถึงอย่างไรข้าก็เป็นเพียงแค่วิญญาณแท้ดวงหนึ่งของแก่นวิญญาณเท่านั้นเอง! เป็นเพียงแค่หนึ่งในล้านล้านส่วนของวิญญาณเท่านั้น…” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ “อ่อนแอเกินไป ดังนั้นพอระยะทางไกล การรับสัมผัสก็จะกินแรงแล้ว เชื่อว่าพอกลับไปถึงบ้านเกิด วิญญาณของข้าแกร่งกล้าขึ้นมา ก็คงจะสามารถรับสัมผัสได้แล้วล่ะ”
อย่างช้าๆ
ความทรงจำมิอาจเชื่อมโยงได้อีกแล้ว เพียงแค่สามารถรับสัมผัสถึงการมีอยู่ของร่างแยกทางฝั่งดินแดนจิตโลกานั้นได้อย่างรางๆ
พลังของป้ายคำสั่งจิตโลกาลดต่ำลงอย่างต่อเนื่อง
น้อยลงไปเรื่อยๆ
“มาแล้ว” ทันใดนั้นสติของตงป๋อเสวี่ยอิงก็สั่นสะท้าน ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นเพียงแค่วิญญาณแท้สายหนึ่ง แต่ถึงอย่างไรก็เป็นวิญญาณแท้เทพจักรวาล แกร่งกล้ากว่าวิญญาณเทพอากาศโดยทั่วไป! สามารถรู้สึกได้อย่างกระจ่างชัดว่าตนเองกำลังเข้าใกล้ระลอกคลื่นที่กว้างใหญ่ไพศาลน่าหวาดหวั่นหาใดเปรียบอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ นั่นยังเป็นระลอกคลื่นที่ตนคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่งอีกด้วย… ระลอกคลื่นของโลกกำเนิด ‘อากาศอันสับสนอลหม่าน’
พรึ่บ!
ทันใดนั้น ภายใต้การปกป้องของพลังของป้ายคำสั่งจิตโลกาที่เหลือรอดอยู่เพียงน้อยนิด วิญญาณแท้สายหนึ่งของตงป๋อเสวี่ยอิงก็พุ่งตรงเข้าไปท่ามกลางโลกกำเนิด ‘อากาศอันสับสนอลหม่าน’
“กลับมาแล้ว ในที่สุดข้า ตงป๋อเสวี่ยอิงก็กลับมาแล้ว! จิ้งชิว ข้ากลับมาแล้ว!” ขณะนี้ความตื่นเต้นยินดีของตงป๋อเสวี่ยอิงก็พรั่งพรู
ตอนที่ 9 กลับชาติมาเกิดยังโลกดาราระยับ
Ink Stone_Fantasy
“ปัง”
ภายใต้การปกป้องของพลังป้ายคำสั่งจิตโลกา วิญญาณแท้สายหนึ่งของตงป๋อเสวี่ยอิง ถูกส่งตรงเข้าไปในตัวอ่อน มีประสบการณ์การกลับชาติมาเกิดในครั้งก่อน เกิดมาก็เป็นเทพอากาศแล้ว พลังชีวิตที่แฝงอยู่ใน ‘ตัวอ่อน’ ในคราวนี้อ่อนแอกว่ามากอย่างเห็นได้ชัด “ถึงแม้ว่าจะค่อนข้างอ่อนแอ แต่คาดว่าพอเกิดมาแล้วก็จะเป็นชีวิตเหนือธรรมดา บิดามารดาของร่างที่กลับชาติมาเกิดในครั้งนี้คงจะเป็นระดับเทพโลกาเทพแท้กระมัง”
ตงป๋อเสวี่ยอิงได้ข้อสรุปอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้น
หลังจากที่วิญญาณแท้สายหนึ่งและตัวอ่อนผสานรวมเข้าด้วยกัน ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกเพียงว่าวิญญาณแท้ส่งเสียงคำราม แล้วก็สูญสิ้นสติรับรู้ไปเสียแล้ว
นี่ก็เป็นไปตามการโคจร ‘กฎเกณฑ์สูงสุด’ เป็นการกลับชาติมาเกิดตามปกติ
นี่คือสิ่งที่บรรพชนฝาน ประมุขรัฐเมฆทักษิณาและคนอื่นๆ จำนวนหนึ่งที่สามารถสำแดง ‘ศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกา’ เข้าสู่โลกกำเนิดอื่นๆ ต่างก็ใฝ่ฝันหา! เพราะว่าเป็นผู้มาจากภายนอกคนหนึ่ง ก็เผชิญกับการกดดันขจัดขับไล่ของกฎเกณฑ์สูงสุดของทั้งโลกกำเนิดไปทุกหนแห่ง แม้กระทั่งพลังยุทธ์ก็ยังถูกกดดันเอาไว้อย่างมหาศาล ส่วนการ ‘กลับชาติมาเกิด’ ก็จำเป็นต้องได้รับการอนุญาตจากกฎเกณฑ์สูงสุด
เห็นได้ชัดว่า…
ท่านอาจารย์ชองพวกประมุขหอหมื่นโลกาและจ้าวภูเขาฉื้อเหมยท่านนั้น ยังมีประมุขรัฐเมฆทักษิณา และบรรพชนฝานอีก ต่างก็ไม่สามารถกลับชาติมาเกิดภายในโลกกำเนิดแห่งหนึ่งได้ด้วยตนเอง
ตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็อาศัยพลังของ ‘ป้ายคำสั่งจิตโลกา’
มาหนึ่ง กลับอีกหนึ่ง
พลังของป้ายคำสั่งจิตโลกาก็ลดน้อยถอยลง โอกาสอันดีเช่นนี้ไม่มีอีกเป็นครั้งที่สองแล้ว!
******
อากาศอันสับสนอลหม่านอันกว้างใหญ่ไพศาล ใหญ่โตกว่าดินแดนจิตโลกาเสียอีก ทั้งยังขยายใหญ่ขึ้นตลอดเวลาอีกด้วย
นอกจากมหาโลกทิพย์ทั้งห้ากับจักรวาลต่างๆ ที่มิอาจนับได้แล้ว ภายในห้วงอากาศอันกว้างใหญ่ไพศาลก็ยังมีดินแดนอีกหลายแห่ง ดินแดนเหล่านี้มีบางส่วนที่มีผู้มีพลานุภาพยิ่งใหญ่รวบรวมพลังฟ้าดินสร้างขึ้นมา มีบางส่วนที่เป็นชิ้นส่วนที่หลงเหลืออยู่จากตอนที่ ‘โลกทิพย์โบราณดั้งเดิม’ แหลกสลาย ตอนที่โลกทิพย์โบราณดั้งเดิมแหลกสลาย มีชิ้นส่วนที่ค่อนข้างเล็กชิ้นหนึ่งถูกรวมเข้าไปในส่วนลึกของน้ำวนห้วงอากาศแห่งหนึ่งของอากาศอันสับสนอลหม่าน มีการติดต่อกับโลกภายนอกน้อยนิดยิ่งนัก
โลกชิ้นส่วนที่ค่อนข้างเล็กนี้ถูกเหล่าผู้บำเพ็ญที่อยู่อาศัยและสืบทอดเผ่าพันธุ์อยู่ภายในนั้นเรียกกันว่า ‘โลกดาราระยับ’
“สวบ”
บนเรือบินลำหนึ่งมีชายหญิงคู่หนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่
เรือบินมีความยาวเพียงแค่ไม่กี่จั้งเท่านั้น เคลื่อนที่อยู่ท่ามกลางเมฆหมอกด้วยความรวดเร็วราวกับสายฟ้าก็มิปาน
“ฉินเอ๋อร์ ยังอยู่ห่างจาก ‘สำนักนภาทมิฬ’ เป็นระยะทางหนึ่งวัน พวกเราจึงจะสามารถกลับไปได้” ชายหนุ่มพูด เขาสวมอาภรณ์ยาวสีดำตลอดทั้งร่าง สะพายหอกยาวเล่มหนึ่งไว้บนหลัง เพียงแต่แววตาของเขามีความกระวนกระวายอยู่
“อืม” แววตาของหญิงสาวอาภรณ์ขาวมีความคาดหวังรอคอย นางก้มศีรษะลงลูบคลำครรภ์ที่ยื่นนูนออกมา
ชายหนุ่มก็มองไปยังครรภ์ของภรรยาเช่นกัน ในใจยิ่งทวีความกระวนกระวายและความนึกเสียใจ เขาเอ่ยพึมพำว่า “ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็จะต้องปกป้องภรรยาให้ดีอย่างแน่นอน”
“เจ้าตัวเล็กผู้นี้อยู่ในท้องข้า ก็เติบใหญ่ขึ้นทุกวี่วันแล้ว” หญิงสาวอาภรณ์ขาวลูบครรภ์พลางพูดยิ้มๆ เสียงเบาว่า “เป็นเด็กผู้ชายคนหนึ่ง ในภายหน้าเมื่อถือกำเนิดออกมาและเจริญเติบใหญ่แล้ว จะต้องล้ำเลิศร้ายกาจเช่นเดียวกันกับพี่อวี่อย่างแน่นอน”
ชายหนุ่มก็แย้มยิ้มน้อยๆ เช่นกัน
ใช่แล้ว
เขามิอาจลืมเลือนภาพเหตุการณ์ที่ตรวจดูทารกในครรภ์ของภรรยาผ่านพลังเทพแท้เป็นครั้งแรกได้เลย การตรวจดูอย่างง่ายๆ ครั้งหนึ่ง หัวใจของเขาก็สั่นไหว นี่คือบุตรคนแรกของเขาและเป็นบุตรเพียงคนเดียวของภรรยาที่เขารักอย่างลึกซึ้ง
“วันเดียว เหลืออีกเพียงวันเดียวเท่านั้น” ชายหนุ่มมองไปไกลยังเบื้องหน้า เรือบินกำลังเคลื่อนที่เข้ามาอย่างรวดเร็ว
“ฮ่าฮ่าฮ่า…”
ทันใดนั้นเมฆดำกลุ่มหนึ่งก็เคลื่อนลอยเข้ามาจากที่ไกลๆ เสียงหัวเราะทำให้ฟ้าดินสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น “เซี่ยอีอวี่ ชุยฉิน กว่าจะตามหาพวกเจ้าสองคนได้มิใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ”
บุรุษอาภรณ์ดำและหญิงสาวอาภรณ์ขาวลุกขึ้นยืนทันควัน มองดูเมฆดำที่เคลื่อนลอยเข้ามาจากท้องฟ้าไกลอยู่บนเรือบินแล้วก็อดที่จะหัวใจสั่นสะท้านและสีหน้าเปลี่ยนแปรมิได้
“มารเฒ่าเขาทองมาแล้ว” สองสามีภรรยาบนเรือบินต่างก็กระวนกระวายในทันใด
“พี่อวี่ ทำอย่างไรกันดีเล่า” หญิงสาวอาภรณ์ขาวชุยฉินเอ่ยอย่างกระวนกกระวาย “ถึงเวลานี้แล้ว เพื่อลูกของพวกเรา…”
“เพื่อลูก ก็ทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะ” บุรุษอาภรณ์ดำขบกราม “หวังว่าเจ้ามารนี่จะสามารถออมมือได้นะ”
“ผู้อาวุโสเขาทอง” บุรุษอาภรณ์ดำมองดูเมฆสีดำที่เคลื่อนตัวเข้ามาจากที่ไกลๆ อยู่ห่างๆ พลางตะเบ็งเสียงดังเอ่ยว่า “พวกเราปรารถนาจะเสนออาวุธเทพอากาศชิ้นนี้ขึ้นไป แต่ผู้อาวุโสจะต้องให้สัตย์สาบานว่า จะไม่…”
ด้วยอุปนิสัยของพวกเขาสองสามีภรรยา ถึงแม้จะต้องเอาชีวิตไปทิ้ง ก็ไม่มีทางให้อาวุธเทพอากาศกับมารตนหนึ่งโดยง่ายแน่
แต่ตอนนี้เพื่อบุตรของพวกเขา พวกเขาก็เต็มใจที่จะมอบสมบัติล้ำค่าออกมา
สัมผัสถึงการเต้นของหัวใจของเด็กที่ยังมิได้ถือกำเนิดออกมาผู้นั้น พวกเขาสองสามีภรรยาก็สาบานเอาไว้แล้วว่าไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ต้องให้บุตรถือกำเนิดออกมาและเติบใหญ่อย่างสงบราบรื่นให้จงได้
“ถ้าหากมอบออกมาเสียตั้งแต่เนิ่นๆ ข้าก็ยังสามารถให้หนทางรอดชีวิตกับพวกเจ้าได้ แต่เพิ่งมามอบให้ตอนนี้น่ะหรือ สายไปเสียแล้วล่ะ!” เมฆดำม้วนตัวจากที่ไกลๆ ห่อหุ้มบริเวณรอบๆ เข้ามา “เพื่อตามล่าสังหารพวกเจ้า บรรพชนเช่นข้าก็ใช้วัตถุวิเศษล้ำค่าเคลื่อนที่ในพริบตา อีกทั้งแต่ละคนยังไปค้นวิญญาณสืบหาร่องรอยอย่างยากลำบากเหลือแสน…ตอนนี้พวกเจ้ายังคิดอยากหาหนทางรอดอีกหรือ ฮ่าฮ่า เข้ามาอยู่ในท้องของบรรพชนเช่นข้ากันเสียเถิด”
เมฆดำมีความเร็วสูงเป็นที่สุด รวดเร็วกว่าเรือบินกว่าครึ่ง ห่อหุ้มบริเวณรอบๆ เข้ามาอย่างรวดเร็ว
ในใจของสองสามีภรรยาบนเรือบินกลับหนาวเหน็บอยู่บ้าง
“ฉินเอ๋อร์”
เซี่ยอีอวี่มองไปทางภรรยาที่อยู่ข้างๆ แล้วเอ่ยเสียงต่ำว่า “ข้าจะโรมรันกับมารเฒ่าผู้นั้นเอง เจ้าก็หนีเอาชีวิตรอดไปเสียเถิดนะ”
“พี่อวี่…” ชุยฉิน หญิงสาวอาภรณ์ขาวสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวง
“ท่านอาจารย์ของข้ารักใคร่เมตตาต่อข้าราวบิดากับบุตร ถึงแม้ว่าข้าจะก่อความผิด แต่ท่านอาจารย์ไม่มีทางหยาบกระด้างกับเจ้าเกินไปแน่ เจ้าจะต้องดูแลบุตรชายข้าให้ดีล่ะ” เซี่ยอีอวี่พูด
“อืม” ชุยฉินก็มีระยะเวลาในการบำเพ็ญค่อนข้างยาวนาน ถึงแม้ว่าจะเจ็บช้ำใจเหลือคณา แต่ก็รู้ว่าไม่มีหนทางอื่นให้เลือกเดินอีกแล้ว
เซี่ยอีอวี่ยื่นมือมาลูบคลำครรภ์ที่ยื่นนูนของภรรยา รับสัมผัสความอบอุ่นแล้วเอ่ยเสียงต่ำว่า “อยากเห็นหน้าเจ้า โอบอุ้มเจ้าเสียเหลือเกิน น่าเสียดายที่ไร้โอกาส”
พรึ่บ
ทันใดนั้น เซี่ยอีอวี่ก็แปลงร่างกายเป็นประกายกระบี่ระยับจับตาสายหนึ่งแหวกผ่านกลางเวหาในทันใด แล้วพุ่งตรงไปทางร่างจริงของมารเฒ่าเขาทองที่อยู่ท่ามกลางเมฆดำม้วนตัว
เสียงกรีดร้องเสียงหนึ่งสะท้อนก้องฟ้าดิน
“มารเฒ่า รับความตายเสีย!”
บนเรือบิน หญิงสาวอาภรณ์ขาวน้ำตานองหน้า มองดูสามีแล้วก็เข้าไปขัดขวางโดยไม่สนใจสิ่งใด แล้วนางก็ควบคุมเรือบินอย่างสุดกำลัง “เร็ว เร็วเข้า ไป!”
ขอเพียงแค่หนีห่างมาได้เป็นระยะทางช่วงหนึ่ง เพียงแค่เรือบิมุ่งหน้าไปยังเส้นทางที่เบี่ยงไปเล็กน้อย การคิดจะหาให้พบนั้นก็เป็นเรื่องยากยิ่ง ระยะเวลาเพียงวันเดียวก็เพียงพอให้กลับไปยังสำนักวิชา เพียงแค่สามีถ่วงเวลามารเฒ่าเขาทองผู้นั้นเอาไว้ได้สักระยะหนึ่ง นางก็มีความหวังเป็นอย่างยิ่งในการหนีกลับไปยังสำนักได้
“พี่อวี่” ในใจของหญิงสาวอาภรณ์ขาวกลับเจ็บปวดขมขื่นเหลือคณา
……
ภายในท้องของหญิงสาวอาภรณ์ขาว
สิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งจนน่าหวาดหวั่นกำลังอยู่ในครรภ์
“โอ้”
สติรับรู้ของตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังตื่นขึ้น วิญญาณแท้สายหนึ่งของเขาแข็งแกร่งเกินไป แม้กระทั่งหลังจากที่กลับชาติมาเกิดโดยอาศัยวิญญาณแท้เป็นพื้นฐานในการสร้างวิญญาณแล้ว ตัวอ่อนระดับชีวิตเหนือธรรมดานี้พัฒนามาจนถึงตอนนี้ก็อยู่ไม่ห่างจากวันครบกำหนดคลอดแล้ว สติรับรู้ของตงป๋อเสวี่ยอิงจึงค่อยตื่นขึ้น
“ยังดีนะ” ในชั่วขณะแรกที่สติตื่นตัว
ตงป๋อเสวี่ยอิงมั่นใจว่าเขารับสัมผัสได้ถึงร่างแยกอื่นของตนใน ‘ดินแดนจิตโลกา’ โลกกำเนิดอีกแห่งหนึ่งอันห่างไกลหาใดเปรียบอย่างรางๆ
“วิญญาณนี้ของข้ายังอ่อนแอเกินไป ความทรงจำไม่มีทางเชื่อมประสานกันได้ แต่อย่างน้อยก็สามารถฝืนรับสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของร่างแยก นี่ก็เป็นเรื่องดีแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบยินดี
กลับชาติมาเกิด จะเกิดเหตุการณ์อันใดขึ้นกันหนอ
เขาไม่กล้าที่จะแน่ใจไปก่อนล่วงหน้า
สิ่งที่เขากลัวที่สุดก็คือสถานการณ์อย่างหนึ่ง…ก็คือวิญญาณหลังกลับชาติมาเกิดกับร่างแยกที่ดินแดนจิตโลกา ไม่มีการรับสัมผัส! นี่ก็เป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้ในการคาดการณ์ของตงป๋อเสวี่ยอิง ถึงอย่างไรก็เป็นวิญญาณของสองโลกกำเนิด ถ้าหากเกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้นจริงๆ เช่นนั้นก็มีวิธีการเพียงอย่างเดียวเท่านั้น… ก็คือให้ร่างแยกซึ่งอยู่ไกลที่ดินแดนจิตโลกาบำเพ็ญโดยเร็วที่สุด ทำให้วิถีอากาศไปถึงระดับเทพจักรวาลชั้นที่สอง สามารถสำแดง ‘ศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกา’ ได้
ถึงเวลานั้นค่อยส่งร่างแยกร่างหนึ่งมาด้วยศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกา
การส่งมานั้นถึงแม้ว่าอาจจะถูกขัดขวาง แต่อย่างน้อยก็สามารถใช้ร่างแยกที่ส่งมาเป็น ‘สะพาน’ ทำให้ร่างที่อากาศอันสับสนอลหม่านและร่างที่ดินแดนจิตโลกาสามารถถ่ายทอดความทรงจำซึ่งกันและกันได้อยู่เสมอ
“ยังดี”
“ดูเหมือนวิญญาณของดินแดนจิตโลกาก็จะอาศัยวิญญาณแท้สายหนึ่งของข้าเป็นพื้นฐาน วิญญาณที่ถือกำเนิดขึ้น การกลับชาติมาเกิดที่อากาศอันสับสนอลหม่านในครั้งนี้ก็ยังคงอาศัยวิญญาณแท้ของข้าเป็นพื้นฐานเช่นเดิม วิญญาณที่ถือกำเนิดขึ้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบถอนหายใจคราหนึ่ง
วิญญาณแท้สายหนึ่งของตน ยามที่ถูกส่งออกจากดินแดนจิตโลกานั้นต่างก็สามารถเชื่อมประสานความทรงจำกับร่างแยกได้
หลังจากกลับชาติมาเกิด…วิญญาณที่อาศัยวิญญาณแท้สายหนึ่งนี้เป็นพื้นฐานก่อเป็นรูปร่างขึ้น ยังคงเกิดการรับสัมผัสกับทางโลกกำเนิดนั้นอยู่ ก็เป็นเรื่องปกติ
“โลกภายนอกเป็นอย่างไรบ้าง”
ในขณะนี้วิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงยังคงอ่อนแออยู่
แต่ทว่า
เขาก็คือสิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดหวั่นที่ทั้งวิถีโลกเทียมและวิถีอากาศสองวิถีใหญ่ ล้วนไปถึงระดับขั้นเทพจักรวาล ไปถึงระดับเทพจักรวาล ความเร้นลับของกฎเกณฑ์ที่ตระหนักรู้ก็คือระบบจักรวาลที่สร้างขึ้นเอง ไม่ว่าจะอยู่ที่โลกกำเนิดใดๆ ต่างก็ไปถึงระดับขั้นเทพจักรวาลได้ในทันที
“ฟิ้ว”
สติรับรู้อาศัยห้วงอากาศกวาดไปทั่วทุกทิศทุกทางในทันใด
“ปัง!”
สติรับรู้ของบุคคลผู้สูงส่งปกคลุมไปทั่วทั้ง ‘โลกดาราระยับ’ ในขณะนี้
ยอดฝีมือภายในโลกดาราระยับมีมากมาย แต่กลับไม่มีแม้แต่คนเดียวที่สามารถตรวจสอบล่วงรู้ได้ ถึงอย่างไรระดับขั้นเทพจักรวาล มองดูทั่วทั้งอากาศอันสับสนอลหม่านก็ยืนอยู่ที่ระดับยอดสุดแล้ว
“บิดามารดาของข้าในชาตินี้เผชิญกับความยุ่งยากอย่างนั้นหรือ” ทันใดนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็ค้นพบเข้าเสียแล้ว
……………………………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น