Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 34 ตอนที่ 52-53
ภาคที่ 34 เทพจักรวาล...
ตอนที่ 52 ตงป๋อเสวี่ยอิงและปฐมบรรพชนร...
“คารวะปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์” จอมเคารพกระบี่ปีศาจและตงป๋อเสวี่ยอิงต่างก็โค้งคำนับ เพื่อแสดงความเคารพต่อสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรู
ปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์เหลือบมองลงไปเบื้องล่าง สายตาตกต้องลงบนร่างของตงป๋อเสวี่ยอิง เขาพูดด้วยเสียงเยียบเย็นดุจน้ำแข็งว่า “จ้าวหิมะเหิน ส่งแหล่งกำเนิดห้วงสมุทรมา ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”
ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้งเฮือก
มาแย่งชิงสมบัติจริงๆ น่ะหรือ
“ไม่ยินยอม เช่นนั้นก็ตายเสียเถิด” ปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์พูดเสียงเย็นชา เขาเอ่ยปากว่าต้องการแหล่งกำเนิดห้วงสมุทร หากตงป๋อเสวี่ยอิงมอบให้แต่โดยดีทันทีด้วยความเคารพ ปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์ก็อาจจะไว้ชีวิตเขาทันที เนื่องจากนั่นแสดงว่าตงป๋อเสวี่ยอิงรู้ว่าพลังแตกต่างกัน จึงไม่กล้ามีจิตคิดเป็นปฏิปักษ์แม้แต่น้อย
เมื่อเผชิญหน้ากับคำขอของสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรู หากชักช้าลังเล ก็จะเห็นได้ชัดว่าคร้ามเกรง ‘สิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรู’ ไม่เพียงพอ!
หากไม่คร้ามเกรงพอ เกรงว่าในภายหน้าอาจจะเกิดการแตกหักกันขึ้นมาก็เป็นได้
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ต้องฆ่าทันที ใช้พลังกำราบผู้น้อยเสียเลย!
“อะไรนะ!”
ตงป๋อเสวี่ยอิงไหนเลยจะไปคิดว่าอีกฝ่ายจะเหิมเกริมถึงเพียงนี้ เพิ่งจะอ้าปากขอ หากตนลังเลแม้แต่ครู่เดียว อีกฝ่ายก็จะปลิดชีพทันที!
“ปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์” จอมเคารพกระบี่ปีศาจตะโกนเสียงดัง “จ้าวหิมะเหินเป็นเค่อชิงของรัฐโบราณคิมหันตวายุเรา ท่านปฐมบรรพชนมิอาจ…”
จวินอ๋องดำด้านข้างกลับปรายตามองจอมเคารพกระบี่ปีศาจแวบหนึ่งแล้วลอบร่ำร้องในใจว่า “จอมเคารพกระบี่ปีศาจผู้นี้เป็นคนของสกุลชางแห่งรัฐโบราณคิมหันตวายุแท้ๆ แต่กลับคอยช่วยจ้าวหิมะเหินเช่นนี้น่ะหรือ คนของสามตระกูลใหญ่แห่งรัฐโบราณคิมหันตวายุมีความสัมพันธ์อันดีกับเค่อชิงเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน”
“นำรัฐโบราณคิมหันตวายุมากดดันข้ารึ” มุมปากของปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์กระดกขึ้นเล็กน้อย แฝงไว้ด้วยแววยิ้มหยัน
เขาและปฐมบรรพชนนิจรัตติกาลร่วมมือกัน จำนวนครั้งที่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐโบราณคิมหันตวายุมิใช่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น
ฉีกหน้าเอย ห้ำหั่นเอย
ระหว่างสงครามรัฐโบราณ พวกเขาโจมตีจนตัวเมืองหลายต่อหลายแห่งถูกทำลายไปก็เป็นเรื่องที่พบเห็นได้บ่อยนัก
“ไสหัวไป!”
ปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์โบกมือคราหนึ่ง พละกำลังของรัศมีสีทองอันยิ่งใหญ่ระลอกหนึ่งกวาดผ่านจอมเคารพกระบี่ปีศาจไป จอมเคารพกระบี่ปีศาจชักกระบี่เทพออกมาแล้วพยายามสกัดกั้นอย่างแข็งขัน แต่ก็ยังคงถูกรัศมีอันยิ่งใหญ่กวาดเสียจนกระเด็นลอยไป ก่อนจะกระแทกเข้ากับผนังทางเดินไกลออกไป ในหูถึงขั้นมีเสียงร้องอื้ออึงระลอกแล้วระลอกเล่า แทรกตัวเข้าไปในวิญญาณอย่างไม่หยุดหย่อน
“ปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์ ข้ายอมมอบแหล่งกำเนิดห้วงสมุทรให้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปากเสียงดัง เขาก็มิได้โง่งม หากถูกล้างสังหารไป สมบัติล้ำค่าทั้งหมดของตนก็คงไม่มีแล้ว โอกาสที่จะบุกฝ่าภายในวังเทพจิตโลกาต่อไปก็ไม่มีแล้วเช่นกัน ยอมก้มหัวชั่วคราวก่อนจะดีกว่า
“ให้โอกาสแล้วเจ้าไม่ยอมคว้าเอาไว้ จะมาให้เอาตอนนี้ ช้าเกินไปแล้ว!” ปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์พลิกมือคราหนึ่งแล้วปกคลุมเข้ามา
ตงป๋อเสวี่ยอิงสีหน้าเปลี่ยนแปรไปทันใด
ฟิ้วว
รอบด้านพลันมีเมฆหมอกปกคลุมเข้ามา ภายในมีมิติเล็กจิ๋วจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็รีบเข้าไปซ่อนตัวในมิติเล็กจิ๋วมิติเล็กจิ๋วเก้าแห่งในจำนวนนั้นทันที ภายในมิติแต่ละแห่งล้วนมีร่างแยกอยู่ร่างหนึ่ง เมื่อเผชิญหน้ากับรัศมีอันไร้ที่สิ้นสุดของปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์ซึ่งกวัดแกว่งมือเข้ามา ตงป๋อเสวี่ยอิงก็สำแดงยุทธวิธีเมฆาแดงใหม่ ‘ทะลุอากาศ’ ออกมาโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
กระบวนท่านี้สามารถไม่รับผลกระทบจากค่ายกล สมบัติลับและอาภรณ์ต่างๆ ได้ แล้วฝืนแทรกซึมเข้าไปในร่างกายของศัตรู คงจะเป็นเพียงสิ่งเดียวที่มีหวังทำให้ปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์บาดเจ็บได้
ปฐมบรรพชนราตรีนิรันดรแข็งแกร่งแล้วอย่างไรเล่า
ลำพังแค่พูดถึงระดับขั้นก็แค่บรรลุถึงเทพจักรวาลขั้นสุดยอดเท่านั้น สูงกว่าเขาที่เป็นเทพจักรวาลชั้นที่สองซึ่งหกสายหลอมรวมกันไม่มากสักเท่าใดนัก! เพียงแต่เมื่อมีสมบัติลับอันสูงส่ง จึงยอดเยี่ยมเช่นนี้ได้ก็เท่านั้นเอง ในเมื่อทั้งซ้ายทั้งขวาก็มีแต่ต้องตาย ไม่สู้พยายามให้สุดชีวิตเสียจะดีกว่า
“ตู้มๆๆ…”
กำปั้นเก้าอันยื่นออกมาจากมิติเล็กจิ๋ว ระลอกคลื่นทั้งเก้าสายหมุนคว้างจนก่อให้เกิดน้ำวนขึ้นมาแล้วรับมือรัศมีสีทองอันไร้ที่สิ้นสุดที่กวาดล้างเข้ามาอย่างยิ่งใหญ่นั้น
ทะลุอากาศ!
เก้าร่างแยก ร่วมโจมตี!
“อ๊าก”
รัศมีสีทองอันไร้ขีดจำกัดซึ่งแสนจะโดดเด่นนั้นกดดันน้ำวนเอาไว้แล้วแทรกซึมเข้ามาภายในเก้ามิติเล็กจิ๋วและแผ่รัศมีมายังร่างแยกทั้งเก้า เมฆหมอกที่ปกคลุมอยู่เหนือผิวกายของแต่ละร่างแยกถูกทำลายลงไปอย่างง่ายดาย แล้วโจมตีลงบนกายหยาบของร่างแยกซึ่งคงสภาพการกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอดเอาไว้ ‘การกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอด’ เพียงแค่ทำให้อานุภาพอ่อนกำลังลงไปหนึ่งหรือสองส่วนเท่านั้น เมื่อเผชิญหน้ากับกระบวนท่าที่มีอานุภาพอันสูงส่งเช่นนี้ ประโยชน์ของการกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอดก็กลายเป็นน้อยนิดเสียแล้ว
เคราะห์ดีที่นี่เป็นการโจมตีโดยไม่ได้ตั้งใจของปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์ ทั้งยังได้รับผลกระทบจากเก้าร่างแยกร่วมโจมตี หนึ่งแบ่งเป็นเก้าเพื่อโจมตีร่างแยกแต่ละร่าง เมื่อผ่านการสกัดกั้นของปุยเมฆคุ้มกาย ร่างแยกแต่ละร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงจึงแค่ถูกกัดกินจนทำลายกายหยาบไปเพียงบางส่วนและเพียงแค่บาดเจ็บสาหัสเท่านั้น
“นี่คือความแตกต่างหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจขึ้นมาทันที
ต่อให้เทพจักรวาลชั้นที่สองซึ่งเป็น ยอดฝีมือสายฝึกกาย เมื่อเผชิญหน้ากับอานุภาพอันสูงส่ง ก็สามารถปลิดชีพได้ในกระบวนท่าเดียว
ตนสามารถต้านทานการโจมตีของฝ่ามือหนึ่งเอาไว้ได้ ก็ถือว่าเก่งมากแล้ว
“ยังไม่ตายหรือ เคล็ดวิชาคุ้มกายน่าสนใจดีนี่ ร่างแยกเก้าร่างรึ” ปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์ขมวดคิ้วเล็กน้อย ราวกับรู้สึกว่าการมิอาจสังหารให้ตายได้ภายในกระบวนท่าเดียวนั้นเป็นเรื่องที่น่าขายหน้าเป็นอย่างมาก
“ฟิ้ว”
ปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์กวัดแกว่งฝ่ามือเข้ามาเบาๆ อีกครั้งหนึ่ง ฝ่ามือนี่ยิ่งใหญ่ ประหนึ่งบดบังฟ้าดิน บดบังกฎเกณฑ์อันสูงส่ง! อันที่จริงแล้ว อาศัยสมบัติลับอันสูงส่งที่พกติดตัวมา การโจมตีตามอำเภอใจเพียงครั้งเดียวของเขาก็มีอานุภาพอันสูงส่งแล้วจริงๆ
ครั้งนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่กล้าเกิดความคิดที่จะต่อสู้ด้วยเลย มิติเล็กจิ๋วทั้งเก้าแห่งต่างก็มีมือข้างหนึ่งยื่นออกมาและสำแดงกระบวนท่าการป้องกันของยุทธวิธีเมฆาแดงออกมา ตอนนั้นจอมเคารพเมฆาแดงไม่กลัวการโจมตีเป็นกลุ่ม กระบวนท่าการป้องกันนี้ก็ร้ายกาจอย่างแท้จริง น่าเสียดายที่เมื่ออยู่ต่อหน้า ‘สิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรู’ ก็ยังคงน่าขันนัก
ราวกับดีดสายพิณแห่งฟ้าดินนี้…
นิ้วมือทั้งห้าของมหึมาเคลื่อนไหวอย่างแผ่วเบา ก็ทำให้มือทั้งเก้าของตงป๋อเสวี่ยอิงที่หมายจะป้องกันสับสนไปหมดแล้ว
“ปังๆๆๆ…” เมื่อมือขาวผ่องขนาดมหึมาของปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์ขยับเล็กน้อย และกวาดผ่านมิติเล็กจิ๋วทั้งเก้าไป
มิติเล็กจิ๋วทั้งเก้าสลายไปจนสิ้น
ร่างแยกทั้งเก้าแต่ละร่างถูกกวาดไป เคล็ดวิชาคุ้มกายของแต่ละร่างแตกสลาย ถูกกวาดจนกระเด็นลอยไป แล้วโจมตีลงบนผนังของโถงตำหนักด้านข้างอย่างรุนแรง
แต่ละร่างล้วนแหลกสลายกลายเป็นผุยผง แต่กลับมีพลังชีวิตอันแข็งแกร่งทำให้พวกมันประสานกันได้จนหมด มาถึงระดับอย่างตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว ร่างกายแหลกละเอียดนั้นไม่นับเป็นอะไรได้ ขอเพียงพลังชีวิตมิได้ถูกเผาผลาญไปจนสิ้นก็สามารถทนต่อไปได้ กระบวนท่าเมื่อครู่นี้ ทำให้พลังชีวิตของเขาถูกเผาผลาญไปเกือบส่วนหนึ่ง ส่วนกระบวนท่านี้เผาผลาญไปมากเกือบสองส่วนแล้ว
“ความสามารถในการรักษาชีวิตของข้า ในบรรดาจอมเคารพก็จัดเป็นอันดับต้นๆ แล้ว แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูก็ยังคงดูอ่อนแออยู่ดี น่าเสียดายที่ระดับขั้นของข้าไม่เพียงพอ หากข้าสามารถสำแดงเจ็ดกระบวนคละถิ่นได้ในระดับขั้นที่ลึกล้ำกว่านี้ ไหนเลยจะถูกบดขยี้ได้อย่างง่ายดายตามอำเภอใจเช่นนีี้เล่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่ยอมจำนนเป็นอย่างมาก
อันที่จริงแล้วสามารถต้านทานกระบวนท่าเมื่ออยู่ต่อหน้าสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูก็นับว่าเก่งมากแล้ว
“เอ๊ะ”
ทันใดนั้นปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์ก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง เขารับรู้ได้ว่ามีสิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดหวั่นอีกท่านหนึ่งกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ และถึงขั้นทำให้เขารู้สึกกดดันได้ ปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์เข้าใจดีมากว่า เมื่อทอดสายตามองไปทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา ทำให้เขารู้สึกกดดันได้อย่างรุนแรงเช่นนี้มีเพียงคนเดียวเท่านั้น…จักรพรรดิเซี่ยนั่นเอง! เชื่อกันว่าเขาคือสิ่งมีชีวิตที่เป็นผู้แกร่งกล้าอันดับหนึ่งองทั้งดินแดนจิตโลกา
“ยุ่งยากแล้ว” ปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์ดึงคทาสีทองเล่มหนึ่งออกมาจากตรงหว่างเอว
คทาสีทองพลันขยายใหญ่ขึ้น
“ตู้ม”
มือเขากุมคทาเอาไว้ คทาจิ้มลงไปเบื้องล่าง!
ฟิ้ว!
เพียงพริบตาเดียว ฟ้าดินรอบด้านก็มีรัศมีสีทองอันโดดเด่นสะดุดตาอย่างไร้ที่สิ้นสุดปรากฏขึ้น รัศมีสีทองทั่วทุกหนแห่ง ไม่เหลือที่ให้หลบซ่อนได้ รัศมีสีทองแต่ละระลอกยังถึงขั้นกลายเป็นคทาสีทองไป
“ปังๆๆๆๆๆ…” ร่างแยกทั้งเก้าของตงป๋อเสวี่ยอิงล้วนประสบกับการส่องสะท้อนของรัศมีสีทอง คทาแต่ละเล่มกระแทกเข้าสู่ร่างกายของเขาอย่างต่อเนื่อง
ทั้งร่างร้อนรุ่มนัก
วิญญาณร้อนรุ่มนัก!
ฟิ้ว!
ภายใต้การส่องสะท้อนอันไร้ที่สิ้นสุดของรัศมีสีทองและการกระแทกของคทาสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนอย่างไร้ที่สิ้นสุด กายหยาบของร่างแยกทั้งเก้าก็ถูกทำลายไปจนสิ้น ส่วนที่เก็บวัตถุ อาวุธและสมบัติล้ำค่าต่างๆ ที่ตงป๋อเสวี่ยอิงทิ้งเอาไว้ล้วนมิได้รับความเสียหายเลยแม้แต่น้อย
แม้ตัววังเทพจิตโลกาเองจะอันตราย แต่ก็มิได้นำมาซึ่งอันตรายแก่ชีวิต
แต่ก็ยังคงมีผู้ที่สิ้นใจไปในวังเทพจิตโลก เนื่องจากในหมู่ผู้บำเพ็ญที่เข้าไปในวังเทพจิตโลกาก็จะมีการเข่นฆ่าซึ่งกันและกัน! เพียงแต่การที่สิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูคนหนึ่งลงมือกับผู้น้อยคนหนึ่ง กลับเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ยากมาก
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม
เส้นทางการท่องไปในวังเทพจิตโลกาของจ้าวหิมะเหินแห่งเมฆทักษิณก็ยุติลงแต่เพียงเท่านี้
“สมควรตาย” จอมเคารพกระบี่ปีศาจที่อยู่ไกลออกไปมิอาจช่วยเหลือได้เลย เมื่อเห็นร่างแยกทั้งเก้าของตงป๋อเสวี่ยอิงสลายไปจนสิ้น เขาก็อดโกรธจนขบกรามกรอดมิได้
“ราตรีนิรันดร์ ลงมือกับผู้น้อยโดยไม่ไว้หน้าตนเองเลยหรือ” เสียงอันก้องกังวานสายหนึ่งเติมเต็มไปทั่วฟ้าดินนี้
ภาคที่ 34 เทพจักรวาล...
ตอนที่ 53 วันคืนอันเงียบสงัด
ตรงประตูหน้าของวังเทพจิตโลกา ไม่นานนักบรรดาผู้บำเพ็ญซึ่งถูกผลักไสและเคลื่อนย้ายออกมาก่อนหน้านี้ได้รับข่าวที่ทำให้พวกเขาต้องอ้าปากค้าง
จักรพรรดิเซี่ยและปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์ทำศึกครั้งใหญ่อยู่ภายในวังเทพจิตโลกา ศึกนั้นมีความเคลื่อนไหวยิ่งใหญ่นัก ปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์สู้ไปพลางหนีไปพลาง ตลอดทางที่ห้ำหั่นกันนั้น ก็ทำให้กับดักต้องห้ามต่างๆ ของวังเทพจิตโลการะเบิดออกมา ท้ายที่สุดปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์อาศัยสภาพแวดล้อมพิเศษของวังเทพจิตโลกาหลบหนีไปได้พ้น ทว่าก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสไม่น้อย
ศึกใหญ่ครั้งนี้มีผู้แกร่งกล้าหลายคนภายในวังเทพจิตโลกาเป็นประจักษ์พยาน
และต้นเหตุของศึกครั้งนี้…ก็เพราะจ้าวหิมะเหินแห่งรัฐเมฆทักษิณาที่น่าสงสารถูกปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์สังหารและชิงเอาสมบัติล้ำค่าไป ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม จ้าวหิมะเหินก็เป็นผู้แกร่งกล้าของทางฝ่ายรัฐโบราณคิมหันตวายุ ปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์กลั่นแกล้งผู้น้อยคนหนึ่ง จักรพรรดิเซี่ยก็ย่อมต้องออกหน้าเป็นธรรมดา! มิเช่นนั้นแล้วจะทำให้บรรดาเค่อชิงทั้งหลายสบายใจได้อย่างไรกันเล่า
“เป็นศึกครั้งใหญ่ที่สิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูต่อกรกัน พบเห็นได้ยากนัก”
“จ้าวหิมะเหินที่น่าสงสาร ต้องทุ่มเทอะไรไปมหาศาลจึงเข้าไปในวังเทพจิตโลกาได้ เมื่อเข้าไปในวังเทพจิตโลกาแล้วก็ยังโชคดีอีก ใช้เวลาไปกว่าร้อนล้านปีก็น่าจะได้สมบัติลับระดับยอดสุดมาและมีพลังระดับจอมเคารพแล้ว! หลังจากด่านสิบสองกัลป์ยังได้รับสมบัติล้ำค่าอย่าง ‘แหล่งกำเนิดห้วงสมุทร’ มาอีกด้วย น่าเสียดายที่เมื่ออยู่ต่อหน้าปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์ ไม่ใช่แค่สูญเสียสมบัติล้ำค่าเหล่านี้ไปเท่านั้น แม้แต่พวกอาวุธและสมบัติลับเขตลวงโลกเทียมต่างๆ ที่เขาพกติดตัวมาก็คงหมดสิ้นไปแล้วกระมัง เขาเสียหายใหญ่หลวงแล้ว!”
“นั่นสิ สูญเสียทรัพย์สมบัติไปตั้งมากมายถึงเพียงนี้ หากเป็นข้า ข้าคงเจ็บปวดใจจนตาย”
“ไม่เลวแล้วล่ะ เขามีร่างแยกตั้งมากมาย อย่างน้อยก็ยังมีชีวิตอยู่!”
“มีชีวิตอยู่แล้วอย่างไรเล่า ก่อนหน้านี้เขาเป็นยอดฝีมือระดับจอมเคารพแล้ว ตอนนี้เมื่อไร้ซึ่งสมบัติลับระดับยอดสุด ก็กลายเป็นยอดฝีมือระดับเทพจักรวาลชั้นที่สองทั่วไปคนหนึ่งเท่านั้น นอกจากนี้แม้แต่สมบัติลับเขตลวงโลกเทียมก็ไม่มีแล้ว พลังสู้ก่อนหน้านี้ไม่ได้เสียด้วยซ้ำไป”
เหล่าเทพจักรวาลกลุ่มใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าประตู
ส่วนใหญ่พวกเขาได้ผลประโยชน์จากวังเทพจิตโลกาน้อยอย่างยิ่ง เมื่อเห็นอิงซานเสวี่ยอิงเป็นเช่นนี้ บางคนก็รู้สึกดีใจกับความโชคร้ายนั้น! เพราะถึงอย่างไรในดินแดนจิตโลกา ความสัมพันธ์ระหว่างหกรัฐโบราณก็ไม่นับว่าดีสักเท่าใดนัก การช่วงชิงห้ำหั่นกันก็มีให้เห็นบ่อยนัก เมื่อได้เห็นคนของขุมอำนาจอีกฝ่ายเคราะห์ร้าย ก็ยินดีปรีดานัก
“น่าเสียดายๆ” จอมเคารพมารอัคคีก็ทอดถอนใจอยู่ตรงนั้น ในฐานะสมาชิกคนหนึ่งของรัฐโบราณคิมหันตวายุ เขาก็ยังคงยืนอยู่ทางฝ่ายตงป๋อเสวี่ยอิง ตอนนี้เขาไม่มีความอิจฉาริษยาตงป๋อเสวี่ยอิงอีกต่อไป แต่กลับรู้สึกสงสารตงป๋อเสวี่ยอิงขึ้นมาแล้ว “เฮอะ ปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์เป็นถึงสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูผู้ยิ่งใหญ่ แต่กลับลงมือกับชนรุ่นหลังโดยไม่ไว้หน้าตนเองเช่นนี้ได้”
“จ้าวหิมะเหินเสียเปรียบมากมายขนาดนี้ คิดจะพลิกกายก็ไม่รู้ว่าต้องรอถึงเมื่อใดแล้ว!”
******
แม้ในประวัติศาสตร์วังเทพจิตโลกา จะมีผู้บำเพ็ญที่เข่นฆ่าซึ่งกันและกันจนสิ้นใจอยู่ในนั้น
แต่อันที่จริงแล้วเนื่องจากวังเทพจิตโลกานั้นใหญ่มาก ผู้ที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันจึงเดินทางไปด้วยกันได้ จะบังเอิญเข้าไปในบริเวณเดียวกันแล้วยังเข่นฆ่ากันเองทั้งยังเข่นฆ่ากันได้สำเร็จอีก เดิมทีก็เป็นเรื่องหาได้ยากอยู่แล้ว! ครั้งนี้วังเทพจิตโลกาเปิดออกมาจนถึงบัดนี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ถูกสังหาร อีกทั้งก่อนหน้านี้เพิ่งจะเล่าลือกันว่าเขาเป็นผู้แกร่งกล้าระดับจอมเคารพ หลังจากนั้นติดๆ ก็มีข่าวแพร่สะพัดว่าเขาถูกปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์สังหารแล้วชิงเอาสมบัติล้ำค่าทั้งหมดไป แต่กลับทำให้เหล่าเทพจักรวาลทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาได้ยินขาวแล้วก็ทอดถอนใจกันยกใหญ่
“เพิ่งรุ่งโรจน์ขึ้นมาก็จมดิ่งลงไปเสียแล้ว โชชคชะตาช่างยากทำนายจริงๆ”
“จ้าวหิมะเหินผู้น่าสงสาร”
บรรดาเทพจักรวาลตามที่ต่างๆ ในดินแดนจิตโลกา เมื่ออยู่ด้วยกัน โดยทั่วไปก็ต้องพูดถึงตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วรำพึงออกมาสักหลายประโยค
ส่วนใหญ่ล้วนเห็นอกเห็นใจ
เพราะถึงอย่างไรก็มิใช่คนของหกรัฐโบราณ คิดจะได้สมบัติลับระดับยอดสุดและสำเร็จเป็นระดับจอมเคารพนั้นยากเย็นเพียงใด จ้าวหิมะเหินเพิ่งรุ่งโรจน์ขึ้นมา ภายในวันเดียวกันก็ถูกปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์ทำลายเสียแล้ว เคราะห์ดีที่โลกภายนอกยังมีร่างแยก มิเช่นนั้นแล้วหากสิ้นใจไปจริงๆ จึงจะน่าเศร้า
……
ณ เมืองหิมะเหินแห่งรัฐเมฆทักษิณา
ในจวนจ้าว
ในศาลาข้างทะเลสาบ ตงป๋อเสวี่ยอิงต้มสุราพลางครุ่นคิดอยู่เงียบๆ เพียงลำพัง กระบวนท่าสุดท้ายที่ปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์กุมคทาแล้วลงมือเต็มแรง ภายใต้รัศมีอันไร้ขอบเขตที่ลอบโจมตีเข้ามานั้น ราวกับไร้ที่สิ้นสุด ไม่มีที่ให้หลบซ่อน อานุภาพอันน่าหวาดหวั่นเช่นนั้นทำให้หัวใจของตงป๋อเสวี่ยอิงสั่นสะท้านไปหมด นั่นคือการปะทุอย่างแท้จริงของผู้ที่เหนือชั้นกว่าเทพจักรวาลอีกระดับหนึ่ง!
ปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์ก็อาศัยสมบัติลับอันสูงส่ง ปะทุการโจมตีนี้ออกมาอย่างสุดกำลัง ร่างแยกทั้งเก้าของเขาสลายไปจนสิ้น ทั้งยังสูญเสียสมบัติล้ำค่าไปจนหมด
“แม้จะเสียหายใหญ่หลวง แต่ครั้งนี้ข้าก็ได้เจ็ดกระบวนคละถิ่นมา ก็ถือว่าคุ้มค่ามากแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงสงบนิ่งนัก
แม้เขาจะเดือดแค้นอยู่บ้าง
แต่เมื่อเผชิญหน้ากับปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์ เขาก็ทำได้เพียงทิ้งความคิดไปก่อนชั่วคราว แล้วสงบจิตบำเพ็ญ ต้องยกระดับพลังของตนจึงจะเป็นแก่นแท้! นอกจากนี้วันที่อากาศอันสับสนอลหม่านบ้านเกิดจะแตกสลายก็คอยเฆี่ยนตีเขา ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงต้องพยายามสำเร็จเป็นเทพจักรวาลขั้นสุดยอดให้ได้โดยเร็วที่สุด
“เสวี่ยอิง” เงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้นกลางฟากฟ้า ซึ่งก็คือประมุขรัฐเมฆทักษิณาร่างผอมซูบในอาภรณ์สีดำ
“ท่านอาจารย์” ตงป๋อเสวี่ยอิงยืดกายขึ้น
ประมุขรัฐเมฆทักษิณาร่อนลงมาแล้วเดินมานั่งขัดสมาธิลงตรงข้ามตงป๋อเสวี่ยอิง ก่อนจะรินสุราให้ตนเองจอกหนึ่งแล้วพูดยิ้มๆ ว่า “ข้ายังกังวลว่าเรื่องนี้จะส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อเจ้า ตอนนี้เมื่อได้เห็นเจ้า ข้าก็เบาใจแล้ว จิตใจเจ้านี่ไม่เลวเลย เผชิญกับเรื่องที่ทิ่มแทงเจ้าขนาดนี้ยังสามารถสงบนิ่งเช่นนี้ได้”
ตงป๋อเสวี่ยอิงรออยู่ครู่หนึ่ง
หากเป็นเหมือนที่โลกภายนอกคาดเดากันล่ะก็…
เขาได้รับสมบัติลับระดับยอดสุดและแหล่งกำเนิดห้วงสมุทรมา จากนั้นก็ถูกทำลาย สมบัติล้ำค่าสูญสิ้น บวกกับที่เสียสมบัติล้ำค่าต่างๆ ของตนเช่นอาภรณ์ราชันย์มาร หอกเทพเมฆาแดงและลูกแก้วห้าภาพไปด้วย การทิ่มแทงเช่นนี้ช่างใหญ่หลวงยิ่งนัก เพียงพอจะทำให้เทพจักรวาลชั้นที่สองคนหนึ่งโกรธเสียจนแทบคลั่งได้ ยากนักที่จะสงบจิตสงบใจได้
แต่อันที่จริงแล้ว
ตนมิได้ได้รับสมบัติลับระดับยอดสุดมา หากแต่อาศัยเจ็ดกระบวนคละถิ่นและการปรับปรุงยุทธวิธีเมฆาแดงและร่างแยกทั้งเก้าจึงมีพลังรบเช่นนั้นได้ ส่วนสมบัติล้ำค่าที่สูญเสียไปน่ะหรือ สมบัติล้ำค่าเหล่านั้นมีส่วนช่วยเรื่องพลังของตนไม่มากเท่าไหร่แล้ว สำหรับตนนั้น ก็แค่สูญเสียสมบัติล้ำค่าบางส่วนไปเท่านั้น สิ่งที่ตนได้รับล้ำค่ากว่านั้นมาก ก็คือเจ็ดกระบวนคละถิ่นที่ทำให้บรรดาสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูต้องอิจฉาตาร้อน
“เรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว จะคิดมากไปก็ไร้ประโยชน์ ข้าก็ยังมีพลังไม่พออยู่ดีขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว
“คงมีผู้ที่ส่งสารมาให้เจ้าไม่น้อยกระมัง” ประมุขรัฐเมฆทักษิณายิ้ม
“ขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า “มีคนไม่น้อยที่ปลอบใจข้า และมีผู้ที่เชิญข้าไปร่วมงานเลี้ยง แม้แต่ละคนจะเห็นใจข้า บางคนถึงกับสงสารข้า ทว่าข้าเดาว่าก็คงมีบางคนดีใจกับความโชคร้ายของข้า”
ประมุขรัฐเมฆทักษิณายิ่งตกใจเข้าไปใหญ่ ศิษย์คนนี้พูดเรื่องเหล่านี้ได้อย่างสงบนิ่งนัก เขาปล่อยวางเช่นนี้ได้จริงๆ หรือ
“จากนี้ไปจะทำเช่นไรต่อเล่า” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาถาม
“จะทำเช่นใดได้อีกขอรับ บำเพ็ญให้ดีๆ ต่อไปก็แล้วกัน หรือว่าจะวิ่งไปหาปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์แล้วสู้อย่างสุดชีวิตเล่า นั่นก็เป็นการรนหาที่ตายเอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มอย่างสบายๆ
……
วันคืนต่อจากนั้นก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไม่พบแขกเลย แล้วบำเพ็ญด้วยความเก็บเนื้อเก็บตัวเป็นอย่างมาก เขาส่งร่างแยกมายังสกุลฝาน
“น้องหิมะเหิน” มหาเคารพซือเทียนต้อนรับ “ข้าได้ยินเรื่องราวของเจ้าแล้ว ปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์ผู้นั้นเป็นถึงสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรู แต่กลับลงมือชิงสมบัติจากเจ้าในวังเทพจิตโลกา ช่างเกินไปจริงๆ น่าเสียดายที่รัฐโบราณคิมหันตวายุของเราก็อับจนหนทาง”
“ข้าเข้าใจขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
รัฐโบราณทั้งสองมีความแค้นต่อกันมากมายถมไป เรื่องของตนก็นับได้ว่าเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยที่ไม่สะดุดตาเท่านั้น
“มหาเคารพซือเทียน ข้ามาในครั้งนี้ก็เพราะอยากจะบำเพ็ญใต้ต้นไม้เทพผลาญจิตน่ะขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิกล่าวว่า “ข้าน่าจะสามารถใช้คุณูปการแลกมาได้กระมัง”
“อ้อ” มหาเคารพซือเทียนเผยรอยยิ้มออกมา “ได้สิๆ หนึ่งหมื่นมหาคุณูปการสามารถบำเพ็ญได้ร้อยล้านปี”
ต้นไม้เทพผลาญจิตก็อยู่ตรงนั้น
สองพันล้านปีก็ต้องใช้ถึงสองแสนมหาคุณูปการ! เพียงพอจะแลกเปลี่ยนสมบัติลับระดับยอดสุดชิ้นหนึ่งมาได้แล้ว ช่างใจดำอำมหิตโดยแท้
“ข้าจะไปบำเพ็ญ” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิได้พูดให้มากความ เขายืดกายขึ้นทันที
“ไปๆๆ” มหาเคารพซือเทียนส่งตงป๋อเสวี่ยอิงไปด้วยตนเองอย่างกระตือรือร้น บัดนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงยังมีอีกสี่หมื่นมหาคุณูปการ หากจะแลกเปลี่ยนวัตถุต่างๆ เช่นสมบัติล้ำค่า สกุลฝานก็ยังต้องทุ่มเทบ้าง ส่วนต้นไม้เทพผลาญจิตน่ะหรือ การบำเพ็ญใต้ต้นไม้เทพผลาญจิตนั้นมิได้ส่งผลกระทบใดต่อต้นไม้เทพผลาญจิตแม้แต่น้อย เพียงแต่ต้องใช้ ‘เวลา’ บ้างสักหลายร้อยล้านปีเท่านั้นเอง
ดังนั้น…
ภายใต้ต้นไม้เทพผลาญจิตต้นเตี้ยแข็งแกร่งบึกบึนซึ่งประหนึ่งสลักขึ้นจากหยกสีม่วงเข้มที่แผ่กิ่งก้านสาขาออกมาปกคลุม หนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวผู้หนึ่งนั่งขัดสมาธิบำเพ็ญอยู่ตรงนั้น
……
เวลาเคลื่อนคล้อยไปอย่างไร้สุ้มเสียง
ณ อากาศอันสับสนอลหม่านบ้านเกิด ในดินแดนจิตโลกา ร่างแยกทั้งหมดของตงป๋อเสวี่ยอิงก็กำลังบำเพ็ญอย่างสงบ พลังก็ค่อยๆ ยกระดับขึ้นตามเวลาที่ล่วงเลยไป
………………………………………….
(จบบทที่ 34)
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น