Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 34 ตอนที่ 45-49

 ภาคที่ 34 เทพจักรวาล...

 

ตอนที่ 45 คุ้มกัน

 

ตงป๋อเสวี่ยอิงก้าวเท้าเข้าไปในสวนพลางยิ้มน้อยๆ แล้วกล่าวอย่างถ่อมตนว่า “มหาเคารพผู่ซู่ จอมเคารพกระบี่ปีศาจ จ้าวกู่เซียว จวินอ๋องดำและพรานผู้ล่า คิดไม่ถึงว่าจะมาพบพวกท่านทั้งห้าที่นี่ได้ ช่างเป็นเกียรติของข้าหิมะเหินจริงๆ”


“เฮอะๆ”


นี่คือ ชายชรานัยน์ตาสีแดงรูปร่างผอมซูบคนหนึ่งซึ่งสวมอาภรณ์สีแดงตัวหลวม จากส่วนที่โผล่พ้นอาภรณ์สีแดงออกมา จะเห็นได้ว่าร่างกายของเขานั้นราวกับก่อตัวขึ้นจากกระดูกหยกสีแดงเข้ม ไม่มีกล้ามเนื้อหรือผิวหนังเลยแม้แต่น้อย เหนือกระดูกมีหมอกสีแดงเข้มรายล้อม ทั้งร่างของเขามีเพียงศีรษะเท่านั้นที่พอจะนับได้ว่าปกติ ยามนี้เขายิ้มเยียบเย็นอย่างมีเลศนัย “เจ้าหนุ่มหิมะเหิน สถานที่นี้สามารถดึงดูดให้พวกเราทั้งห้าคนมารอคอยได้ เจ้าคงจะพอเดาได้ว่าที่นี่มีผลประโยชน์มหาศาลอยู่! แต่ยิ่งเป็นผลประโยชน์มหาศาลเท่าใด ก็ยิ่งอันตรายมากขึ้นเท่านั้น ข้าว่าเจ้ารีบจากไปเสียเถอะ มิเช่นนั้นแล้วอีกไม่นานเจ้าก็คงต้องถูกสังหารจนตายและถูกเคลื่อนย้ายออกไป”


“จ้าวกู่เซียว ในวังเทพจิตโลกาแห่งนี้มีที่ใดบ้างที่ไม่อันตรายน่ะ ข้าโชคดีสามารถอยู่ในวังเทพจิตโลกามาจนถึงบัดนี้ได้ก็พึงพอใจมากแล้ว ในเมื่อที่นี่มีโอกาสอยู่ ก็ย่อมต้องสู้สุดชีวิตเสียหน่อย ไม่ได้อะไรมาก็ไม่เป็นไร หากสามารถได้อะไรมาบ้าง นั่นก็คือโชคดีได้กำไรมหาศาล” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ เมื่ออยู่ต่อหน้าระดับจอมเคารพกลุ่มหนึ่ง อีกทั้งตนเองก็ยังไม่ค่อยคุ้นเคยกับที่นี่สักเท่าใดนัก ก็ย่อมถ่อมเนื้อถ่อมตัวไว้หน่อยจะดีกว่า


“พูดได้ดี” จอมเคารพกระบี่ปีศาจพยักหน้า “วังเทพจิตโลกาเต็มไปด้วยอันตรายทุกหนแห่ง บุกฝ่าที่นี่อาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้ จ้าวหิมะเหิน เจ้ามาอยู่ข้างกายข้า และสำแดงกระบวนท่าเขตลวงโลกเทียมให้ข้าและพี่ผู่ซู่เสียหน่อย คอยช่วยข้าทั้งสองรับมือศัตรู! ข้าก็จะคุ้มกันเจ้าอย่างเต็มที่เช่นเดียวกัน”


มหาเคารพผู่ซู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางมองจอมเคารพกระบี่ปีศาจแวบหนึ่งแล้วถ่ายเสียงพูดว่า “จอมเคารพกระบี่ปีศาจ ด่านสิบแปดกัลป์นี้มีอันตรายหนักหนา เจ้าให้เขามาช่วยพวกเราสองคนอย่างนั้นหรือ พวกเราสองคนยังต้องแบ่งสมาธิไปคุ้มกันเขาอีกด้วยหรือ”


“ผู่ซู่ เขาเชี่ยวชาญกระบวนท่าทางด้านวิญญาณ ก็ยังพอมีประโยชน์อยู่บ้าง” จอมเคารพกระบี่ปีศาจถ่ายเสียงตอบ


“เฮอะ ข้าว่า เจ้ากับข้าร่วมมือกันก็เพียงพอแล้ว ยังต้องแบ่งสมาธิไปคุ้มกันเขาอีก…หากไม่ระวังขึ้นมา เจ้ากับข้าอาจจะต้องเสียเปรียบก็เป็นได้” ผู่ซู่ถ่ายเสียงพูด เขาไม่ค่อยห่วงตนเองสักเท่าใดนัก เพราะเขาเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญทางด้านกาลมิติ หากพูดถึงวิธีการรักษาชีวิตแล้ว ในที่นี้เขาก็จัดเป็นอันดับหนึ่งได้ พรานผู้ล่าแห่งรัฐโบราณสหโลกาด้อยกว่าเขาอยู่บ้าง


ที่เขากังวลก็คือจอมเคารพกระบี่ปีศาจต่างหาก! จอมเคารพกระบี่ปีศาจเป็นมหาเคารพที่เยาว์วัยที่สุดของสกุลชางซึ่งมีพรสวรรค์และการรับรู้สูงส่งอย่างยิ่ง แต่ถึงอย่างไรวิถีกระบี่ที่เขาเชี่ยวชาญก็บกพร่องเรื่องการรักษาชีวิตอยู่บ้าง


เดิมทีวังเทพจิตโลกาก็อันตรายอยู่แล้ว ยังต้องแบ่งสมาธิมาคุ้มกันผู้อื่นอีกหรือ


“วางใจเถิด ข้าย่อมปกป้องตนเองให้ดีก่อนอยู่แล้วค่อยไปช่วยเขา นอกจากนี้ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนของทางฝ่ายรัฐโบราณคิมหันตวายุของพวกเราด้วย” จอมเคารพกระบี่ปีศาจถ่ายเสียงพูด。


“ก็ได้” ผู่ซู่ไม่พูดอะไรให้มากความอีก


ผู่ซู่เหลือบมองตงป๋อเสวี่ยอิงแวบหนึ่งพลางพูดเสียงเรียบว่า “อีกประเดี๋ยวเจ้าสำแดงกระบวนท่าทางด้านวิญญาณ ช่วยข้าและน้องกระบี่ปีศาจก็ใช้ได้แล้ว! ส่วนรัฐโบราณอื่นๆ เจ้าก็ไม่ต้องไปสนใจพวกเขาแล้ว”


“มาเถอะ” จอมเคารพกระบี่ปีศาจพูดยิ้มๆ


ตงป๋อเสวี่ยอิงสัมผัสได้ถึงความเมตตาของจอมเคารพกระบี่ปีศาจจึงมิได้ปฏิเสธ เขาเอ่ยขึ้นว่า “ขอบคุณจอมเคารพกระบี่ปีศาจขอรับ” แล้วก็เดินไปข้างกายจอมเคารพกระบี่ปีศาจ


แม้จะมั่นใจในตนเองมาก แต่การที่จะได้ร่วมมือกับจอมเคารพทั้งสองอย่างผู่ซู่และกระบี่ปีศาจ แน่นอนว่าเขาย่อมไม่ปฏิเสธ ยิ่งสามารถ ‘เดินไปได้ไกลขึ้น’ ก็ยิ่งมีหวังว่าจะได้ผลประโยชน์มากขึ้น แม้ครั้งนี้จะได้อะไรมากมายจากในเจดีย์คละถิ่น แต่เขาก็ไม่รังเกียจว่าจะได้ผลประโยชน์มากขึ้นไปอีก!


……


ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่ข้างกายจอมเคารพกระบี่ปีศาจและมหาเคารพผู่ซู่พลางสำรวจอย่างเงียบๆ


ระดับจอมเคารพ อาศัยสมบัติลับระดับยอดสุดก็จะมีพลังรบระดับเทพจักรวาลขั้นสุดยอด! แต่ในความเป็นจริงแล้วเนื่องจากระดับขั้นมีความแตกต่างกัน และ ‘สมบัติลับระดับยอดสุด’ ไม่เหมือนกัน ผู้แกร่งกล้าระดับจอมเคารพจึงมีความเชี่ยวชาญที่แตกต่างกันไป หากพูดถึงแรงคุกคามของคนในที่นั้น ผู้ที่มีแรงคุกคามสูงที่สุดก็คือมหาเคารพผู่ซู่และ ‘พรานผู้ล่า’ แห่งรัฐโบราณสหโลกา ทั้งสองท่านนี้ล้วนแต่เป็นผู้แกร่งกล้าระดับจอมเคารพที่เก่าแก่มาก


“จ้าวหิมะเหิน” จอมเคารพกระบี่ปีศาจถ่ายเสียงพูด “บัดนี้ข้าและคนอื่นๆ ตกอยู่ในด่านสิบแปดกัลป์ซึ่งมีชื่อเสียงมากของวังเทพจิตโลกา”


“ด่านสิบแปดกัลป์หรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงอึดอัดใจ


อาจารย์ประมุขรัฐเมฆทักษิณาของเขาก็เคยเข้ามาเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น ‘ด่านสิบแปดกัลป์’ มีชื่อเสียง นั่นก็มีชื่อเสียงภายในหมู่คนสำคัญของหกรัฐโบราณ ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับไม่เคยได้ยินมาก่อน


“ด่านสิบแปดกัลป์จะต้องเผชิญกับอันตรายต่างๆ ของด่านกัลป์ชั้นแล้วชั้นเล่า ทุกครั้งที่ผ่านได้สามด่านก็จะได้รับผลประโยชน์บางอย่าง ยิ่งไปได้ไกล ผลประโยชน์ก็จะยิ่งมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังผ่านด่านสุดท้ายของด่านสิบแปดกัลป์แล้ว ก็จะมีสมบัติลับอันสูงส่งมอบให้ด้วย” จอมเคารพกระบี่ปีศาจถ่ายเสียง


ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้ง


สมบัติลับอันสูงส่งหรือ


แม้สิ่งที่ด่านสิบแปดกัลป์มอบให้ในตอนสุดท้ายจะไม่ได้น่าตกใจเท่าเจดีย์คละถิ่นก็ตามที


แต่เจดีย์คละถิ่นเป็นสถานที่ที่ผู้ครอบครองป้ายคำสั่งจิตโลกาต้องเข้าไปเป็นครั้งแรกเท่านั้น จึงจะมีโอกาสเข้าได้ เป็นโอกาสเพียงครั้งเดียวในชีวิต อย่างด่านสิบแปดกัลป์นั้นมีชื่อเสียงโด่งดัง คงจะถูกพบเป็นประจำ


“ขอบคุณจอมเคารพกระบี่ปีศาจ มิเช่นนั้นแล้วข้าคงจะมึนงงไปหมด” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงพูด


“เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ในเมื่อเจ้าเข้ามาในด่านสิบแปดกัลป์แล้ว อีกไม่นานก็จะได้รู้เรื่องราวระดับนี้ อีกประเดี๋ยวพวกเราจะได้เผชิญกับด่านที่แปด” จอมเคารพกระบี่ปีศาจถ่ายเสียงพูด “น่าเสียดายที่เจ้าเข้ามาช้าไปหน่อย อันที่จริงด่านสิบแปดกัลป์นี้…ยิ่งเป็นด่านต้นๆ ก็ยิ่งง่าย หากเจ้ามาในช่วงแรก อาจจะได้ผลประโยชน์มากหน่อย มาถึงด่านที่แปดก็ถือว่าอันตรายมากแล้ว อีกเดี๋ยวต้องระวังตัวด้วยล่ะ”


“ขอรับ” ในใจของตงป๋อเสวี่ยอิงซาบซึ้งนัก


เขามองออกว่ามหาเคารพผู่ซู่นั้นออกจะไม่ยินยอมอยู่บ้างกับการที่รับปากว่าจะคุ้มกันตน


ต้องรู้ไว้ว่า ‘สกุลเซี่ย’ และ ‘สกุลชาง’ ซึ่งเป็นหนึ่งในสามตระกูลใหญ่แห่งรัฐโบราณคิมหันตวายุนั้นไม่เห็นผู้แกร่งกล้าจากรัฐภายนอกอยู่ในสายตาสักเท่าใดนัก มหาเคารพผู่ซู่เป็นคนของสกุลเซี่ย จอมเคารพกระบี่ปีศาจเป็นคนของสกุลชาง ส่วนตนเป็นเค่อชิงของสกุลฝาน! ตามหลักทั่วไปแล้ว พวกเขาก็ต้องคร้านที่จะช่วยเหลือตน! แต่เห็นได้ชัดว่าจอมเคารพกระบี่ปีศาจกำลังช่วยตนอยู่


ในสายตาของโลกภายนอก เมื่อเทียบกับจอมเคารพซึ่งมีชื่อเสียงเลื่องลือเหล่านี้แล้ว พลังของตนก็ยังห่างชั้นอยู่มากโข


นอกจากนี้ยังบอกความลับของด่านสิบแปดกัลป์กับตนอีกด้วย! แม้แต่เรื่องอย่างการบุกฝ่าด่านสุดท้ายได้ก็จะได้รับสมบัติลับอันสูงส่งก็ยังแจ้งให้ตนทราบ เรื่องนี้ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่า…จอมเคารพกระบี่ปีศาจใจดีกับตนมากเกินไปหน่อยหรือไม่ ทำให้ขณะเดียวกับที่ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกซาบซึ้งก็ลอบรำพึงในใจไปด้วยว่าจะมีแผนร้ายซ่อนอยู่หรือไม่ ระหว่างกำลังบุกฝ่าด่านสิบแปดกัลป์นั้น จะหลอกใช้ตนในยามคับขันหรือไม่


“ระวังหน่อยก็พอแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ ขณะที่ยังไม่พบ ‘แผนร้าย’ เขาก็ยังซาบซึ้งใจจอมเคารพกระบี่ปีศาจเป็นอย่างมาก


เวลาล่วงเลยไปชั่วขณะแล้วชั่วขณะเล่า


“ไม่ต้องรีบร้อนไป ตามปกติแล้วแต่ละด่านจะห่างกันนานนับพันปี ก่อนที่เจ้าจะเข้ามาในสวน เพิ่งจะผ่านที่เจ็ดไปหยกๆ เอง” จอมเคารพกระบี่ปีศาจถ่ายเสียงบอก “เกรงว่าคงจะห่างกับอันตรายครั้งหน้านานเกือบพันปี”


“อ้อ”


ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไม่รีบร้อน


ทั้งหกคนในสวนแบ่งออกเป็นสี่ฝ่ายด้วยกัน ทางพวกตงป๋อเสวี่ยอิงสามคนเป็นฝ่ายหนึ่ง ส่วนแต่ละคนที่อีกฟากหนึ่งต่างก็รักษาระยะห่างระหว่างกัน เช่นจ้าวกู่เซียวก็ไปนั่งขัดสมาธิลงที่มุมหนึ่งก่อนชั่วคราว


ตงป๋อเสวี่ยอิงก็นั่งขัดสมาธินิ่งราวกับหินอยู่บนพื้นข้างมหาเคารพผู่ซู่และจอมเคารพกระบี่ปีศาจแล้วบำเพ็ญอย่างเงียบเชียบ สิ่งที่ผุดขึ้นมาในใจก็คือเจ็ดกระบวนคละถิ่น


เจ็ดกระบวนคละถิ่นมาอยู่ตรงหน้าเขาแล้วเปิดประตูสู่ระดับขั้นที่สูงยิ่งขึ้นอย่างแท้จริง


ทำให้เขาสามารถปรับเปลี่ยนพลังคละถิ่นได้ด้วยพลังในปัจจุบันนี้ เคล็ดวิชานี้แฝงไว้ด้วยกลยุทธ์การปรับใช้พลังคละถิ่นผ่านวิถีอากาศที่สูงส่งอย่างยิ่ง สูงส่งกว่าศาสตร์ร่างแยก ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาและปุจฉวิถีคละถิ่นและอื่นๆ มากมายนัก กระบวนท่าอย่างยุทธวิธีเมฆาแดง ทลายเวหาและงามดั่งภาพวาด เมื่อเทียบกับเขาแล้วก็หยาบกว่ามากทีเดียว


ดังนั้น


ตงป๋อเสวี่ยอิงตัดสินใจว่าจะซึมซับประสบการณ์จากการปรับเปลี่ยนพลังคละถิ่นด้วยวิถีอากาศของเจ็ดกระบวนคละถิ่น เพื่อนำมาใช้ปรับปรุงยุทธวิธีเมฆาแดง ทลายเวหา งามดั่งภาพวาดและกระบวนท่าอื่นๆ!


อย่าง ‘บริเวณเมฆาแดง’ เนื่องจากดัดแปลงจากบริเวณมิติ ตนก็จะยิ่งปรับปรุงได้อย่างรวดเร็วหลังจากศึกษาคละถิ่นกระบวนที่หนึ่งแล้ว


ทว่าเนื่องจากกระบวนท่าบางอย่างเช่นงามดั่งภาพวาดแตกต่างกับคละถิ่นกระบวนที่หนึ่งมากเกินไป จึงทำได้เพียงซึมซับกลเม็ดบางส่วนเท่านั้น!


“ถ้ามีเวลามากพอ ข้าจะปรับปรุงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาและปุจฉวิถีคละถิ่นเสียหน่อย” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบร่ำร้องในใจ


ปุจฉวิถีคละถิ่นซับซ้อนเกินไป


เขาฝึกฝนฝึกกายคละถิ่นชั้นที่หนึ่งจนสำเร็จแล้ว ฝึกกายคละถิ่นชั้นที่สองที่หลงเหลืออยู่นั้นเป็นระดับสูงที่สุดของเคล็ดวิชานี้ที่จักรพรรดิเซี่ยคิดค้นขึ้นมาแล้ว เมื่อฝึกสำเร็จ ทางด้านการฝึกกายก็จะพอนับได้ว่าเป็นเทพจักรวาลชั้นที่สามอย่างพอถูไถแล้ว เคล็ดวิชาระดับนี้ ต่อให้ตงป๋อเสวี่ยอิงจะปรับปรุงก็คาดว่าต้องใช้เวลานานแสนนาน! ทางวังเทพจิตโลกาจะต้องไม่ให้เวลาตนบำเพ็ญนานสักเท่าใดนัก


เมื่อเทียบกันแล้วกระบวนท่าอย่างยุทธวิธีเมฆาแดง ทลายเวหาและเคล็ดผนึกห้าภาพก็เรียบง่ายกว่าอยู่บ้าง การปรับปรุงก็ง่ายดายกว่า


เรียกได้ว่าเทียบกันแล้วง่ายดายกว่าจริงๆ


บัดนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงหกสายหลอมรวมกันแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งห้าสายของเคล็ดผนึกห้าภาพก็หลอมรวมกันจนสำเร็จหมดแล้ว ต่อให้ไม่ได้อาศัยลูกแก้วห้าภาพ เขาก็สามารถสำแดงเคล็ดผนึกห้าภาพไปจนถึงขั้นครบสมบูรณ์ได้แล้ว เมื่อปรับปรุงก็ย่อมง่ายดายกว่ามากทีเดียว


……


เวลาล่วงเลยไปอย่างเงียบเชียบ เพียงพริบตาเดียวก็ผ่านไปพันปีแล้ว มหาเคารพผู่ซู่ จอมเคารพกระบี่ปีศาจและพวกตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยืดกายขึ้นพร้อมความระแวดระวัง



 

 

 


ภาคที่ 34 เทพจักรวาล...

 

ตอนที่ 46 สุดยอดตัวประหลาด

 

ภายใต้ความระมัดระวังของตงป๋อเสวี่ยอิง ก็สำแดงเขตลวงโลกเทียมออกไปแผ่ปกคลุมบริเวณโดยรอบ แน่นอนว่าหลีกเลี่ยงพวกเขา จวินอ๋องดำ จ้าวกู่เซียว และพรานผู้ล่าทั้งสามคน


 


“หึๆ” จ้าวกู่เซียวมองตงป๋อเสวี่ยอิงปราดหนึ่งแล้วแค่นยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าเด็กหิมะเหิน อย่าได้รีบร้อนนักเลยน่า ยังมิได้เริ่มต้นเลยด้วยซ้ำ”


 


“ภัยมาถึงตัวแล้ว ข้าก็ต้องถูกเคลื่อนย้ายตัวไปยังมิติแห่งใหม่” จอมเคารพกระบี่ปีศาจถ่ายเสียงพูด “ดังนั้นเมื่อใดที่เข้าไปสู่มิติแห่งใหม่ เจ้าก็ค่อยสำแดงเขตลวงโลกเทียมอีกครั้ง”


 


“ก็ได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงได้เข้าใจว่าเขาพูดหยอกล้อ


 


หมดหนทาง ไม่มีประสบการณ์


 


อีกทั้งยังผ่านไปเป็นเวลาสองวันแล้วด้วย


 


“หืม”


 


เดิมทีบริเวณโดยรอบคือสวนธรรมดาๆ แห่งหนึ่ง แต่ทัศนียภาพพลันบิดเบี้ยวเปลี่ยนแปรกลายเป็นท้องฟ้าอันมืดมิดกว้างใหญ่ไพศาล จ้าวระดับยอดฝีมืออย่างพวกตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งหกคน ทุกคนต่างก็ยืนอยู่กลางท้องฟ้า


 


“พรึ่บ” ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงเขตลวงโลกเทียมผ่านอาภรณ์ราชันย์มารโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย สำแดงแล้วก็ห่อหุ้มท้องฟ้าผืนใหญ่รอบๆ ตนเอง มหาเคารพผู่ซู่ และจอมเคารพกระบี่ปีศาจเอาไว้


 


“ศัตรูมาแล้ว”


 


เทพจักรวาลทั้งหกคนในที่นั้นต่างก็มองเห็นเรือรบอันน่าอัศจรรย์กว่าร้อยลำที่ปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศไกลออกไป ภายในเรือรบทุกลำต่างก็มีมนุษย์อยู่เป็นจำนวนมาก ภายในเรือรบลำหนึ่งในนั้นมียอดฝีมือกว่าพันคนรวมตัวกันอยู่ภายในโถงตำหนักของเรือรบ แต่ละคนนั่งขัดสมาธิอยู่ ที่บริเวณใจกลางของห้องโถงมีชายชราผมขาวคนหนึ่งนั่งอยู่


 


“ทุกท่าน นี่ก็คือสุดยอดตัวประหลาดของ ‘การแสดงจักรวาลมายา’ แล้ว พวกเราก็แค่สังหารเป้าหมายตัวนั้นที่เป็นของพวกเราให้สำเร็จเท่านั้น ของกำนัลของเจ้าจักรวาลมายา พวกเราต่างก็สามารถก้าวหน้าได้เป็นอย่างมาก เมื่อถึงเวลานั้นอาณาเขตที่จักรวรรดิปกครองต่างก็สามารถขยายกว้างขึ้นได้เป็นอย่างมาก อย่างน้อยก็ปกครองจักรวาลมิติมากขึ้นเป็นสิบเท่า”


 


“อืม”


 


“ลุยเลย”


 


“สุดยอดตัวประหลาด”


 


ดูเหมือนว่าเหล่ายอดฝีมือระดับสุดยอดของทั้งจักรวรรดิรัศมีนิรันดร์แต่ละคนนัยน์ตาลุกโชน พวกเขาประสบกับความยากลำบากมากมายเพียงใด เผชิญการต่อสู้แข่งขันกับจักรวรรดิอื่นๆ อย่างหนักหน่วงครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุดพวกเขาก็มีคุณสมบัติพอจะได้เป็นหนึ่งในสมาชิกที่ห้อมล้อมสุดยอดตัวประหลาด


 


“เรือรบกว่าร้อยลำ เชื่อว่าขุมอำนาจทุกแห่งที่เรือรบเป็นตัวแทนต่างก็ต้องปกครองจักรวาลมิติกันเป็นจำนวนไม่น้อย จะต้องมิได้อ่อนแอไปกว่าพวกเราสักเท่าใดเลย”


 


“เตรียมตัว! การคุ้มกันของเจ้าจักรวาลมายาจะถูกถอนออกไปเดี๋ยวนี้แล้ว”


 


เดิมทีรอบนอกเรือรบมีการคุ้มกันอันไร้รูปร่างอยู่ คุ้มกันเรือรบทุกลำเอาไว้ ผู้ที่มีคุณสมบัติจะเข้ามาสู่ ‘การแสดงจักรวาลมายา’ นั้น มีความเชี่ยวชาญอย่างยิ่งในการเริ่มต้นสำแดงพลังยุทธ์ของแต่ละคน เห็นเพียงว่ายอดฝีมือทุกคนที่นั่งขัดสมาธิอยู่เปล่งรัศมีออกมา รัศมีมีทั้งที่แข็งแกร่งและอ่อนแอ หลังจากชายชราผมขาวที่จุดศูนย์กลางระเบิดรัศมีอันระยับจับตาน่าหวาดหวั่นออกมาแล้ว


 


ทั่วทั้งด้านในโถงตำหนักเรือรบมีค่ายกลอันไร้รูปร่างปรากฏขึ้น เงาร่างและรัศมีที่มีอยู่ทั้งหมดผสานรวมกันเป็นหนึ่งเดียวแล้วทั้งหมดก็แทรกซึมเข้าสู่ภายในร่างกายของชายชราผมขาว


 


กลิ่นอายของชายชราผมขาวยกระดับสูงขึ้นอย่างฉับพลัน


 


“ครืน”


 


การคุ้มกันอันไร้รูปร่างเริ่มสั่นสะเทือนขึ้นมา


 


“มาแล้ว” พละกำลังของชายชราผมขาวในขณะนี้ยิ่งใหญ่มหาศาล เขารอคอยอย่างตื่นเต้น


 


ในที่สุดการคุ้มกันอันไร้รูปร่างด้านนอกเรือรบก็กระจัดกระจายหายไป


 


“ลงมือ!”


 


เรือรบกว่าร้อยลำกลางท้องฟ้าดูคล้ายว่าจะลงมือโดยพร้อมเพรียงกันเสียแล้ว


 


……


 


พวกตงป๋อเสวี่ยอิงเทพจักรวาลหกคนอยู่กลางเวหา มองดูเรือรบอันน่ามหัศจรรย์กว่าร้อยลำที่อยู่ไกลออกไป ที่พื้นผิวของเรือรบต่างก็มีเกราะป้องกันอันไร้รูปร่างอยู่ พลานุภาพที่เกราะป้องกันอันไร้รูปร่างนี้แผ่ออกมาสูงส่งเหนือผู้ใด ทำให้พวกตงป๋อเสวี่ยอิงคิดวิธีลงมือใดๆ ไม่ออกเลย พวกเขาเข้าใจว่าการลงมือนั้นเป็นการเสียเวลา ย่อมไม่มีทางสะเทือนอยู่แล้ว


 


“วังเทพจิตโลกาคงจะมีวิญญาณค่ายกลอยู่ คงจะเป็นวิญญาณค่ายกลที่ควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง” จอมเคารพกระบี่ปีศาจถ่ายเสียงพูดให้กับตงป๋อเสวี่ยอิง


 


ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า


 


วังเทพจิตโลกาคงจะมีปณิธานอันไร้รูปร่างควบคุมอยู่จริงๆ มิฉะนั้นการทดสอบของเจดีย์คละถิ่นจะเฉลียวฉลาดถึงเพียงนั้นได้อย่างไร ต่อต้านตนได้พอดิบพอดีเลยหรือ ‘ปณิธาน’ นี้คงจะเป็นวิญญาณค่ายกลหรือหุ่นเชิด ‘หยวน’ ผู้แกร่งกล้าคละถิ่นที่หนีออกไปจากกรงขังแล้วผู้นั้นไม่สามารถทุ่มเทแรงกายแรงใจทำการขัดเกลาเหล่านี้เป็นเพื่อนพวกเขาได้ทุกครั้งอยู่แล้ว


 


ในที่สุดเกราะป้องกันอันไร้รูปร่างของเรือรบกว่าร้อยลำก็มลายหายไป


 


“หึ มิติมากมาย จักรวรรดิดาราสวรรค์ของข้าก็ไร้เทียมทาน ข้าอยากจะลองดูสักหน่อยว่าเจ้าตัวประหลาดพวกนี้จะร้ายกาจสักเพียงใดกันเชียว” บนเรือรบสีเงินลำหนึ่ง บุรุษร่างสูงใหญ่ที่ถือไม้เท้าเอาไว้ในมือคนหนึ่งมองดูอย่างเคร่งขรีม บนเรือรบมีค่ายกลกะพริบอยู่รางๆ จากนั้นห้วงมิติรอบๆ พวกตงป๋อเสวี่ยอิงหกคนก็กดดันลงมาในทันใด กดดันจนกลายเป็นภาพวาดภาพหนึ่ง! พลังคุกคามอันกดดันเช่นนี้มีพลังคุกคามดุจดังภาพวาดที่สมบูรณ์เลยทีเดียว


 


ทว่าที่อยู่ที่นี่ในตอนนี้นอกจากตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว คนอื่นๆ อีกห้าคนล้วนเป็นจอมเคารพกันทั้งสิ้น เคล็ดวิชาเช่นนี้สำหรับพวกเขาแล้วก็เป็นเรื่องน่าขัน


 


“ฟิ้วๆๆ!” จอมเคารพกระบี่ปีศาจสะพายกระบี่เทพ เพียงแค่ประกายกระบี่อันน่าหวาดหวั่นที่ร่างกายแผ่ออกมา ก็ทำให้ห้วงมิติที่หมายจะกดดันรอบๆ แหลกกระจุยกระจายไปในทันที


 


ตงป๋อเสวี่ยอิง จอมเคารพกระบี่ปีศาจ และมหาเคารพผู่ซู่ พวกเขาสามคนอยู่ด้วยกัน ห้วงมิติบริเวณรอบตัวพวกเขาก็แหลกสลายเป็นจุณจนหมดสิ้น ถึงแม้ว่าห้วงมิติที่อยู่ไกลออกไปจะกดดันเป็นภาพวาดภาพหนึ่งได้สำเร็จ แต่ก็มิอาจส่งผลกระทบต่อบริเวณรอบๆ ตัวพวกเขาได้เลย


 


“ทุกท่านร่วมมือกัน สุดยอดตัวประหลาดหกตนนี้แข็งแกร่งอย่างที่สุด พวกเราร่วมมือกันจัดการตนหนึ่งเถิด” เรือรบกว่าร้อยลำติดต่อสื่อสารระหว่างกันผ่านการแสดงจักรวาลมายา


 


“ร่วมมือกันจัดการใครก่อนดีเล่า พวกเราแต่ละคนต่างก็มีเป้าหมายของตนเองอยู่นี่นา”


 


พวกเขาต่างก็มีเป้าหมายภารกิจของตนเอง


 


อย่างเช่นภารกิจของจักรวรรดิดาราสวรรค์ก็คือ…


 


ภารกิจบังคับ สังหารสุดยอดตัวประหลาด ‘จ้าวหิมะเหิน’ หากมิอาจสังหารได้ ภารกิจล้มเหลว ภารกิจต่อเนื่องก็จะสิ้นสุดลงในทันที!


 


ภารกิจทางเลือก สังหาร ‘จอมเคารพกระบี่ปีศาจ’ ‘จ้าวกู่เซียว’ ‘จวินอ๋องดำ’ ‘พรานผู้ล่า’ และ ‘มหาเคารพผู่ซู่’ สังหารคนหนึ่งได้ รางวัลก็จะเพิ่มขึ้นเท่าตัว หากสังหารได้สองคน รางวัลจากภารกิจก็จะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวหนึ่ง


 


……


 


ภารกิจบังคับนั้นจำเป็นจะต้องสำเร็จเสร็จสิ้น


 


อย่างเช่นจักรวรรดิดาราสวรรค์ ต่อให้สังหารตัวประหลาดอื่นใดสักตนหนึ่ง ถ้าหากมิได้สังหารจ้าวหิมะเหินให้ตายไปก็ถือว่าภารกิจล้มเหลวอยู่ดี ภารกิจต่อเนื่องทั้งหมดก็จะสิ้นสุดลงไปด้วย ต้องรู้ไว้ว่าภารกิจต่อเนื่องของโลกจักรวาลมายาแห่งนี้ เพื่อให้สำเร็จไปจนถึงวงท้ายที่สุด พวกเขาทั้งจักรวรรดินั้นทุ่มเทค่าใช้จ่ายและทรัพยากรไปมากมายเพียงใด วงท้ายที่สุดจะสำเร็จหรือไม่ ความแตกต่างของรางวัลก็ช่างยิ่งใหญ่เหลือเกิน


 


แต่ละฝ่ายต่างก็หวังจะให้ช่วยจัดการเป้าหมายของตนเองก่อน


 


“ปัง…”


 


ห้วงมิติโดยรอบมหาเคารพทั้งห้าและตงป๋อเสวี่ยอิงแหลกสลายไปก่อนแล้ว การโจมตีนานาชนิดตรงเข้ามาเพียงความนึกคิดเดียวของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ทำให้เขตลวงโลกเทียมล้อมรอบเรือรบทั้งหมดที่โจมตีสามคนทางฝ่ายตนเอาไว้แล้ว! แม้กระทั่งโจมตีพวกจ้าวกู่เซียวสามคน เขาจึงมิอาจมายุ่งด้วยได้ เขาไม่สำแดงเขตลวงโลกเทียมกับลูกน้องของจอมเคารพสามคนนั้นก็นับได้ว่าดีมากแล้ว


 


“หืม”


 


“สุดยอดตัวประหลาด ‘จ้าวหิมะเหิน’ สำแดงเขตลวง”


 


ทันใดนั้นหัวหน้าของเรือรบกว่าครึ่งต่างก็รู้สึกได้ว่าเขตลวงวิญญาณอันน่าหวาดหวั่นคืบคลานเข้ามา ระบบ ‘การแสดงจักรวาลมายา’ ของพวกเขาก็กระตุ้นเตือนพวกเขา ถึงขนาดที่พวกเขาหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันกับยอดฝีมือใต้บังคับบัญชามากมาย อีกทั้งยังมีเรือรบคุ้มกัน แต่ละคนก็ยังต้องแบ่งพลังจิตส่วนใหญ่ไปต้านทานเขตลวงโลกเทียมอยู่ดี ชั่วขณะนั้นมีบางเคล็ดวิชาที่ไม่สามารถสำแดงออกมาได้เสียแล้ว


 


เคล็ดวิชาอันน่าหวาดหวั่นนานาชนิดคืบคลานเข้ามาโจมตีตน


 


ส่วนมหาเคารพผู่ซู่ที่อยู่อีกด้านยืนอยู่ที่นั่น ผิวกายเปล่งรัศมีอันขมุกขมัว รัศมีโคจรรอบๆ ตงป๋อเสวี่ยอิงรอบหนึ่งแล้วเคล็ดวิชาเหล่านั้นก็หายวับไปกลางอากาศจนสิ้น มิอาจสัมผัสถูกตงป๋อเสวี่ยอิงได้เลย


 


“พรึ่บ”


 


ทันใดนั้นก็มีอักขระอันแปลกประหลาดเคลื่อนเข้ามา ไม่ได้รับผลกระทบจากรัศมีที่มหาเคารพผู่ซู่เปล่งออกมาเลย แล้วโจมตีมาทางตงป๋อเสวี่ยอิง


 


“ฟิ้ว”


 


จอมเคารพกระบี่ปีศาจมือกุมกระบี่เทพแล้วแทงออกไปสุ่มๆ กระบี่หนึ่ง ประกายกระบี่วับวาบแล้วฟาดฟันลงบนอักขระอันแปลกประหลาดนั้น อักขระทลายลงแล้วสลายตัวไป ถึงอย่างไรกระบี่หนึ่งของเขาก็มีพลังระดับเทพจักรวาลขั้นสุดยอด เรือรบเหล่านี้ถึงแม้ว่าการโจมตีแต่ละอย่างจะพิเศษน่าอัศจรรย์ แต่ที่แข็งแกร่งที่สุดก็เป็นเพียงแค่เทพจักรวาลชั้นที่สองขั้นสุดยอดเท่านั้นเอง พวกเขาเพียงแค่มีความหลากหลายเท่านั้น การจะผสานรวมกันขึ้นมาก็เป็นเรื่องยากลำบาก ถ้าหากยับยั้งจอมเคารพสักคนเข้าพอดี ยอดฝีมือระดับจอมเคารพก็อาจจะประสบเคราะห์หนักได้


 


“ทำลายล้าง” ประกายกระบี่ของจอมเคารพกระบี่ปีศาจแผ่ไปล้านล้านลี้ ฟาดฟันลงบนเรือรบกระบี่หนึ่ง เรือรบก็สั่นสะท้านแล้วเริ่มแตกร้าว


 


พรานผู้ล่าที่ยืนอยู่ห่างๆ ทันใดนั้นก็หยิบเอาคันธนูอันหนึ่งออกมา เหนี่ยวสายธนูอย่างเต็มที่แล้วยิงลูกธนูอันหนึ่งออกมา


 


ขวับ


 


ยามที่ลูกธนูถูกยิงออกมา ทั่วทั้งผืนฟ้ามีเงารางของลูกธนูขนาดมหึมาที่แผ่เงาบดบังไปทั่วทั้งผืนฟ้าปรากฏขึ้นจางๆ จากนั้นเงารางก็ปักเข้าไปบนเรือรบลำหนึ่งในนั้น ครืน!!! เรือรบลำนั้นพลันสั่นสะท้านแล้วมีรอยแยกจำนวนมหาศาลปรากฏขึ้น ดูท่าทางว่าหากมีลูกธนูมาอีกดอกเดียวก็คงพังทลายเสียแล้ว


 


“พวกเราแยกกันก็คงจะไร้ความหวัง เร็วเข้า ตัวประหลาดพรานผู้ล่าช่างน่ากลัวเหลือเกิน มาร่วมมือกันสังหารเขาก่อนเถิด”


 


“ได้ จัดการพรานผู้ล่าก่อนเลย”


 


……


 


พร้อมกันกับการโจมตีด้วยวิธีการต่างๆ นานากว่าร้อยสาย พรานผู้ล่ากลับยืนอยู่ที่นั่น เงาร่างราวกับภาพมายา การโจมตีจำนวนนับไม่ถ้วนเคลื่อนผ่านร่างของเขา มีเพียงจำนวนน้อยเท่านั้นที่เหนี่ยวนำระลอกคลื่นบางส่วน


 


พรานผู้ล่ายิ้มเย็น


 


เคล็ดการรักษาชีวิตของเขาห่างชั้นกับจอมเคารพคนอื่นๆ อีกสามคน ก็มีแค่มหาเคารพผู่ซู่ผู้เชี่ยวชาญด้านกาลเวลาเท่านั้นที่นับได้ว่าร้ายกาจกว่าเขาเล็กน้อยเท่านั้น เคล็ดวิชาของเทพจักรวาลชั้นที่สองขั้นสุดยอดเหล่านี้ อีกทั้งยังไม่มีค่ายกลรบผสานด้วย รวมกันขึ้นมา สำหรับพรานผู้ล่าแล้วก็เป็นเรื่องน่าขันอย่างสิ้นเชิง


 


ปึง ปึง ปึง


 


ในระหว่างการประมือก็มีเรือรบสามลำแหลกสลายไปอย่างรวดเร็ว


 


“ไม่มีประโยชน์ ไม่มีประโยชน์อะไรกับเขาเลย”


 


“เปลี่ยนเป้าหมาย ไปจัดการจ้าวหิมะเหินผู้นั้นแทน เขตลวงวิญญาณของเขาส่งผลกระทบต่อพลังยุทธ์ของข้า”


 


“แต่ตัวประหลาดมหาเคารพผู่ซู่และจอมเคารพกระบี่ปีศาจที่อยู่ข้างๆ นั้นดูเหมือนว่าจะช่วยเหลือเขาอยู่ โดยเฉพาะมหาเคารพผู่ซู่ การโจมตีส่วนใหญ่ของพวกเราล้วนไร้ผล”


 


……


 


ผู้ที่อยู่บนเรือรบเหล่านี้ก็นับได้ว่าเป็นยอดฝีมือ การส่งสารติดต่อระหว่างวิญญาณก็รวดเร็วเป็นที่สุด


 


แต่อาศัยเคล็ดวิชาที่พวกเขาสำแดง สุดท้ายแล้วก็ได้แค่เป็นภัยเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น!


 


พวกเขาเพ่งความสนใจจัดการคนใดคนหนึ่งในพวกตงป๋อเสวี่ยอิง คนอื่นๆ แต่ละคนล้วนเป็นระดับจอมเคารพ พลังโจมตีแต่ละครั้งล้วนสะเทือนฟ้าดิน เมื่อประจันหน้าต่างก็สามารถทำลายพลังคุกคามส่วนใหญ่ได้ ถึงแม้ว่าจ้าวกู่เซียวที่การรักษาชีวิตอ่อนแอสักหน่อยจะได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย แต่ก็ทำลายเรือรบต่อไปด้วยความโกรธแค้น


 


สำหรับการจัดการมหาเคารพผู่ซู่ จอมเคารพกระบี่ปีศาจ และตงป๋อเสวี่ยอิงน่ะหรือ


 


พวกเขาสามคนนั้นร่วมมือกัน


 


ภายใต้เขตพลังของมหาเคารพผู่ซู่ เกือบทั้งหมดของการโจมตีเหล่านี้ล้วนสิ้นฤทธิ์! หายไปอย่างไร้ร่องรอยโดยสิ้นเชิงเสียแล้ว เหลือไว้เพียงการโจมตีเล็กน้อย ก็ไม่จำเป็นต้องให้มหาเคารพผู่ซู่ลงมืออีกแล้ว กระบี่เดียวของจอมเคารพกระบี่ปีศาจก็สามารถสกัดทิ้งไปได้อย่างง่ายดาย


 


ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เพียงแค่สำแดงเขตลวงโลกเทียม ส่งผลกระทบต่อศัตรูอยู่ตรงนั้นก็เพียงพอแล้ว


 


ตามการล่มสลายของเรือรบลำแล้วลำเล่า ก็ยิ่งไม่มีพลังต้านทานอีกต่อไปแล้ว ในที่สุดก็แหลกสลายไปจนสิ้น


 


“ล้มเหลวเสียแล้ว”


 


“ภารกิจต่อเนื่องก็เหลืออยู่เพียงแค่ส่วนสุดท้ายเท่านั้น คราวนี้รางวัลของเจ้าจักรวาลมายาก็น้อยนิดจนน่าอนาถเสียแล้วสิ”


 


“สมควรตาย ยากเย็นเกินไปแล้ว!”


 


“ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นสุดยอดภารกิจในตำนาน จะยากก็เป็นเรื่องธรรมดา เพียงแต่ว่ายากลำบากถึงเพียงนี้ก็เหนือจินตนาการเกินไปแล้ว สุดยอดตัวประหลาดเหล่านี้มาจากไหนกัน เป็นของจักรวาลไหนกันแน่”


 


พวกเขาต่างก็รู้ดี


 


ทุกสิ่งทุกอย่างในการแสดงจักรวาลมายา ต่างก็เป็นผู้แกร่งกล้าที่แท้จริงเข้าไปอยู่ในนั้น มีตัวประหลาดอันน่าหวั่นเกรงเช่นนั้นอยู่… แสดงถึงสถานที่ที่ไม่รู้จัก ก็คือผู้แกร่งกล้าที่น่าหวาดหวั่นเช่นนี้นี่เอง


 


……


 


ผืนฟ้าโดยรอบบิดเบี้ยวแปรเป็นมายา


 


พวกตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งหกคนก็กลับมายังสวนในตอนแรกอีกครั้ง



 

 

 


ภาคที่ 34 เทพจักรวาล...

 

ตอนที่ 47 คุ้นเคย

 

บรรยากาศภายในสวนกลับมีความแปลกประหลาดอยู่บ้าง


ตงป๋อเสวี่ยอิงกับมหาเคารพผู่ซู่และจอมเคารพกระบี่ปีศาจต่างก็ยังดีอยู่ ยังคงนั่งขัดสมาธิลงอย่างเงียบเชียบรอคอยด่านกัลป์ที่เก้าที่สำคัญยิ่งกว่าอยู่ที่ด้านหนึ่ง ส่วนพรานผู้ล่าและจวินอ๋องดำที่อีกด้านหนึ่งต่างก็มองดูตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วก็มองจ้าวกู่เซียวผู้สวมอาภรณ์แดงตลอดร่างอย่างคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม


“เฮอะ” บนใบหน้าผอมแห้งของจ้าวกู่เซียวมีสีหน้าอึมครึม เขาสูญเสียแขนซ้ายไป ตอนนี้กระดูกที่ตัดทิ้งไปกำลังอยู่ในระหว่างการเจริญเติบโต


ด่านกัลป์ที่แปดเมื่อครู่ จ้าวกู่เซียวเป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับบาดเจ็บ


ช่วยไม่ได้


ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นยอดฝีมือระดับจอมเคารพ แต่ก็เพียงแค่อาศัยสุดยอดสมบัติลับล้ำค่าทำให้ด้านใดด้านหนึ่งไปถึงระดับเทพจักรวาลขั้นสุดยอด แต่ด้านส่วนใหญ่ก็ยังคงเป็นเพียงแค่ระดับเทพจักรวาลชั้นที่สองเท่านั้น เช่น ‘จ้าวกู่เซียว’ ที่อยู่ภายใต้การล้อมจับของเรือรบจำนวนมากมายเมื่อครู่ ร่างกายก็เผชิญกับการโจมตีอย่างหนักหน่วง


“เจ้าเด็กรัฐเมฆทักษิณา ตอนนี้ผู่ซู่และกระบี่ปีศาจสามารถปกป้องเจ้าได้ แต่ยิ่งไปในภายหน้า ด่านกัลป์ก็ยิ่งยาก พอถึงเวลานั้นพวกเขาก็อาจจะปกป้องเจ้ามิได้แล้ว” จ้าวกู่เซียวยิ้มเย็น


“ขอบคุณจ้าวท่านที่เป็นห่วง แต่น่าเสียดายที่จ้าวกู่เซียวอาจจะไม่มีโอกาสได้เห็นฉากที่ข้าถูกโจมตีเสียแล้วล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดตอบโต้ด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ในเมื่อจ้าวกู่เซียวผู้นี้ประชดประชันตนเช่นนี้ ตนก็ไม่จำเป็นจะต้องไว้หน้าอีกฝ่ายแล้ว


จ้าวกู่เซียวสีหน้าแปรเปลี่ยน


“ฮ่าฮ่า จ้าวหิมะเหินพูดมีเหตุผล กู่เซียว เกรงว่าเจ้าคงจะมิได้เห็นฉากนั้นแล้วล่ะ” จวินอ๋องดำก็เอ่ยขึ้น “ในบรรดาพวกเรา เจ้ามีความเป็นไปได้อย่างยิ่งที่จะถูกขับไล่ออกไปเป็นคนแรก”


พรานผู้ล่าเหลือบมองปราดหนึ่ง คร้านที่จะพูดอะไรมากมาย


มหาเคารพผู่ซู่และจอมเคารพกระบี่ปีศาจก็เพียงแค่มองกู่เซียวปราดหนึ่งแล้วก็หลับตาบำเพ็ญอย่างเงียบๆ ต่อไป


“อย่างนั้นหรือ คอยดูเอาเถิด” จ้าวกู่เซียวยิ่งทวีความโกรธเคือง ตัวเขาเองก็เข้าใจกระจ่างดีว่าเขาคือผู้ที่ความสามารถในการรักษาชีวิตอ่อนแอที่สุดในที่นี้ ส่วนอิงซานเสวี่ยอิงผู้นั้นถึงแม้ว่าจะอ่อนแอ แต่ก็มีผู่ซู่และกระบี่ปีศาจสองคนคอยช่วยเหลืออยู่ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะเป็นคนแรกที่ถูกขับไล่ออกไปจริงๆ ก็ได้


นี่ทำให้กู่เซียวรู้สึกขายหน้า


เพราะว่า…


ที่ดินแดนจิตโลกาอันไพศาล เทพจักรวาลก็ย่อมมีการแบ่งระดับชั้นอยู่แล้ว


ระดับชั้นสูงสุด แน่นอนว่าต้องเป็นบรรดาบุคคลผู้ไร้เทียมทาน! พวกเขาสูงส่งเหนือผู้ใด พลังยุทธ์กล้าแกร่งเทพจักรวาลที่สามารถรักษาชีวิตรอดต่อหน้าพวกเขาได้นั้นมีน้อยนิดยิ่งนัก แน่นอนว่าในประวัติศาสตร์ พวกเขาก็มีการตกอับไปบ้าง! บ้างเป็นเพราะไปตกต่ำที่หุบเขาเขี้ยวหัก บ้างก็เป็นเพราะเหล่าบุคคลผู้ไร้เทียมทานห้ำหั่นซึ่งกันและกันจนนำไปสู่การตกอับ


ระดับชั้นถัดมาก็คือเทพจักรวาลขั้นสุดยอดที่ไม่มีสมบัติลับล้ำค่า และมหาเคารพฝูอี่ ประมุขรัฐเมฆทักษิณากับคนจำนวนน้อยนิด กับผู้แกร่งกล้าระดับจอมเคารพที่สามารถรักษาชีวิตรอดจากบุคคลผู้ไร้เทียมทานได้


ถัดมาอีกก็คือระดับจอมเคารพโดยทั่วไปแล้ว! มีสุดยอดสมบัติลับล้ำค่าชิ้นหนึ่งแต่สามารถมีเคล็ดวิชาที่มี ‘พลังคุกคามระดับเทพจักรวาลขั้นสุดยอด’ สองสามเคล็ด แต่การรักษาชีวิตรอด การหลบหนึ เขตพลัง และทางด้านอื่นๆ อีกมากมายยังเป็นเพียงแค่ระดับเทพจักรวาลชั้นที่สองเท่านั้น นี่ทำให้ข้อบกพร่องของพวกเขาชัดเจน บุคคลผู้ไร้เทียมทานสามารถสังหารหมู่พวกเขาได้อย่างง่ายดาย


แต่ไม่ว่าอย่างไร เมื่อเปรียบเทียบพวกเขากับประมุขรัฐเมฆทักษิณาและระดับจอมเคารพบางคน มีบ้างที่พลังรบมิได้อ่อนแอกว่า หรือแม้กระทั่งบางคนแกร่งกว่าอยู่ขั้นหนึ่งด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่อ่อนแอก็มีเพียงแค่ความสามารถในการรักษาชีวิตรอดเท่านั้นเอง!


พวกเขามีคุณสมบัติพอที่จะเชิดใส่ระดับเทพจักรวาลชั้นที่สองที่ไม่มีสุดยอดสมบัติลับล้ำค่าเหล่านั้นได้


“ข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะโชคดีไปได้นานสักเท่าไหร่กันเชียว” จ้าวกู่เซียวมองตงป๋อเสวี่ยอิงปราดหนึ่งแล้วนั่งขัดสมาธิลงในทันใด เขาไม่เชื่อว่ามหาเคารพผู้ยิ่งใหญ่อย่างเขาจะเอาชนะเค่อชิงของรัฐโบราณคิมหันตวายุที่โชคดีคนหนึ่งมิได้


แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ย่อมมิได้สนใจอยู่แล้ว เขาหยั่งรู้เจ็ดกระบวนคละถิ่นต่อไป


อยากจะทำให้ทักษะเคลื่อนที่โคจรพลังคละวิถีจำนวนหนึ่งของคละถิ่นกระบวนที่หนึ่งหลอมรวมเข้ากับเคล็ดการโจมตีดั้งเดิม ทำให้เคล็ดการโจมตีดั้งเดิมแข็งแกร่งยิ่งขึ้น! นี่มิใช่สิ่งที่จะพูดได้อย่างง่ายดายเช่นนั้น ยังต้องดูว่าเคล็ดวิชานั้นเหมาะสมกันหรือไม่ อย่างเช่น  ‘งดงามดุจภาพวาด’ ตงป๋อเสวี่ยอิงค้นพบว่าการปรับปรุงนั้นทำได้ยากมาก แต่พบว่าเคล็ดวิชายุทธวิธีเมฆาแดงนั้นปรับปรุงได้ง่ายกว่า


เพราะคละถิ่นกระบวนที่หนึ่ง ‘ปุยเมฆสะท้าน’ กับตัวยุทธวิธีเมฆาแดงแต่เดิมนั้นก็มีส่วนที่คล้ายกันมากมายอยู่แล้ว


……


เพียงพริบตาเดียวก็ผ่านไปพันปีแล้ว


ด่านกัลป์ที่เก้าเคลื่อนเข้ามา


ภายใต้ความช่วยเหลือของมหาเคารพผู่ซู่และจอมเคารพกระบี่ปีศาจ คราวนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงเพียงแค่สำแดงเขตลวงโลกเทียมช่วยเหลือเท่านั้นก็ผ่านด่านกัลป์นี้ไปได้อย่างสบายๆ แล้ว


“ฮ่าฮ่าฮ่า จ้าวหิมะเหิน ด่านกัลป์นี้สบายกว่าด่านกัลป์ก่อนหน้าเสียอีกนะ” จวินอ๋องดำหัวเราะเสียงดัง


“หึ ด่านสิบแปดกัลป์ เก้าด่านแรกกับเก้าด่านสุดท้ายก็มีความแตกต่างกันในเชิงคุณภาพ ด้านหลังเขาก็มิได้สบายเช่นนี้อีกแล้วล่ะ” จ้าวกู่เซียวเอ่ยเสียงเย็น


ตงป๋อเสวี่ยอิงเหลือบตามองสองคนนี้คราหนึ่งแล้วก็คร้านที่จะใส่ใจ


ตอนนี้เขาจำเป็นต้องอาศัยความช่วยเหลือจากมหาเคารพผู่ซู่และจอมเคารพกระบี่ปีศาจให้เดินไปได้ไกลขึ้นใน ‘ด่านสิบแปดกัลป์’ เช่นนี้ตนก็มีเวลาเพียงพอสำหรับทำให้เคล็ดวิชาของตนสมบูรณ์ ถึงอย่างไรเพียงแค่ ‘คละถิ่นกระบวนที่หนึ่ง’ กระบวนเดียวก็ไม่มีทางชดเชยความห่างชั้นระหว่างตนกับบรรดาจอมเคารพเหล่านี้ได้เลย! บรรดาจอมเคารพมีสุดยอดสมบัติลับล้ำค่า อีกทั้งยังศึกษามาเป็นเวลานานจนขุดค้นพบศักยภาพของสุดยอดสมบัติลับล้ำค่าแล้ว…


ตนเองต้องการเวลาสำหรับปรับปรุงเคล็ดวิชาของตนอย่างต่อเนื่อง ทำให้ตนเองสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้นและแข็งแกร่งยิ่งขึ้น!


“ใกล้แล้ว ยุทธวิธีเมฆาแดงอยู่ห่างจากการปรับปรุงให้สำเร็จอีกไม่ไกลแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงรอคอย


“ปัง ปัง ปัง…”


บนพื้นดินที่ปูด้วยแผ่นหินภายในสวนมีเสาศิลาต้นเตี้ยหกต้นพุ่งขึ้นมาในทันใด บนเสาศิลาทุกต้นต่างก็มีกล่องศิลาอยู่ใบหนึ่ง


“สมบัติล้ำค่ามาแล้ว” บรรดามหาเคารพคนอื่นๆ ห้าคนในที่นั้นต่างก็เดินผ่านไปอย่างคุ้นเคยยิ่งนัก เดินตามการรับสัมผัสไปยังเบื้องหน้าเสาศิลา


เสาศิลาแต่ละต้นสอดคล้องกับผู้บำเพ็ญหนึ่งคน


มีเพียงตนเองเท่านั้นที่จะสามารถเปิดออกได้


“ด่านสิบแปดกัลป์ ทุกสามด่านกัลป์ก็จะมีโอกาสครั้งหนึ่ง” ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินผ่านไป มือลูบไล้อยู่บนกล่องศิลาแล้วเปิดฝากล่องออกเบาๆ เผยให้เห็นหินแร่ที่เปล่งประกายสีทองสองก้อนซึ่งวางอยู่ในกล่อง มองปราดเดียวตงป๋อเสวี่ยอิงก็แยกแยะออกได้แล้ว “ศิลาม่านตาทองเปลวฟ้าสองก้อนอย่างนั้นหรือ ดูจากน้ำหนักนี่แล้วก็คงจะมีมูลค่ากว่าหมื่นล้านแก้วผลึกจักรวาลเลยทีเดียว”


ก้อนหินสองก้อนนี้ต่างก็เหมาะสมกับการหลอมสมบัติลับล้ำค่า สูงค่าเป็นอย่างยิ่ง มูลค่าก็เทียบเคียงได้กับหอกเทพเมฆาแดงเล่มหนึ่งเลยทีเดียว


ในขณะที่หยิบศิลาม่านตาทองเปลวฟ้าทั้งสองก้อนเก็บขึ้นมานั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็สัมผัสได้ถึงข้อมูลมากมายที่กล่องศิลาส่งมา ในนั้นมีคำอธิบายโดยละเอียดเกี่ยวกับศิลาม่านตาทองเปลวเพลิงฟ้าอยู่ด้วย ทั้งยังมีคำอธิบายของ ‘ด่านสิบแปดกัลป์’ อีกทั้งยังบอกเกี่ยวกับที่ตั้งของสามด่านกัลป์ด้านล่างอีกด้วย


ทุกๆ สามด่านกัลป์ ก็จะต้องไปยังสถานที่แห่งใหม่


“หึหึ”


การรับสัมผัสของบรรดามหาเคารพคนอื่นๆ ในที่นั้นเฉียบคมเพียงใด ต่างก็ค้นพบว่าสมบัติล้ำค่าที่คนอื่นๆ ได้รับนั้นก็มีมูลค่าใกล้เคียงกัน


“หืม เขามิได้ลงมือลงแรงอะไรเลย แม้กระทั่งด่านกัลป์ที่เจ็ดก็ยังมิได้บุกเข้ามาเลยด้วยซ้ำ ผ่านเข้ามากลางทางก็ได้รับของกำนัลเหมือนกับพวกเราด้วยหรือ” จ้าวกู่เซียว พรานผู้ล่า และจวินอ๋องดำ รวมถึงมหาเคารพผู่ซู่และจอมเคารพกระบี่ปีศาจได้เห็นเหตุการณ์แล้วต่างก็คิดไตร่ตรอง


อ้างอิงจากประสบการณ์จำนวนหนึ่งที่สั่งสมมาในหกรัฐโบราณ


สิ่งที่แสดงตอนบุกผ่านด่านกัลป์ก็อาจส่งผลต่อรางวัลของสมบัติล้ำค่าได้! อย่างเช่นรับการคุ้มครองจากผู้อื่น ลงมือเพียงน้อยนิด โดยทั่วไปแล้วของกำนัลก็อาจจะย่ำแย่กว่าอยู๋พอสมควร อิงซานเสวี่ยอิงเข้ามากลางทาง ลงมือน้อยนิดอย่างที่สุด แต่ของรางวัลกลับเทียบเคียงได้กับพวกเขา เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ธรรมดาเอาเสียเลย“ ในตำนานเล่าขานว่ามีเทพจักรวาลบางคนพรสวรรค์ร้ายกาจ การหยั่งรู้ชวนให้คนหวาดหวั่น ได้รับความรักจาก ‘วังเทพจิตโลกา’ ของกำนัลที่พวกเขาได้รับก็จะยิ่งใหญ่ขึ้น!” พวกมหาเคารพผู่ซู่และพรานผู้ล่าต่างก็นึกขึ้นมาได้แล้ว


“ครืน…”


กำแพงสวนบิดเบี้ยวเคลื่อนที่ในทันที เดิมทีเป็นกำแพงสวนที่ปิดสนิท แต่ในตอนนี้กลับมีทางเดินใต้ดินอันมืดมิดเส้นหนึ่งปรากฏขึ้นมา


“ไป”


มหาเคารพผู่ซู่และจอมเคารพกระบี่ปีศาจออกเดินทางนำไปก่อน ตามด้วยตงป๋อเสวี่ยอิงและคนอื่นๆ อีกสามคนเดินไปพร้อมกันอยู่ด้านหลัง


เหยียบย่างเข้าสู่ทางเดินใต้ดิน


ตลอดทางในทางเดินอันมืดมิด หลังจากที่พวกเขาเข้าไปแล้วทางเดินด้านหลังก็บิดเบี้ยวปิดผนึก


มุ่งหน้าเข้าไปตลอดทาง


ระหว่างทางต่างก็มีทางเดินบิดเบี้ยวเปลี่ยนแปรไม่หยุดหย่อน


“หืม”


ภายในโถงตำหนักขนาดใหญ่อันกว้างขวางเป็นที่สุดแห่งหนึ่ง ทางเดินใต้ดินที่พวกตงป๋อเสวี่ยอิงเดินตรงมาสู่ห้องโถงใหญ่ของโถงตำหนักแห่งนี้ หลังจากที่พวกเขาหกคนเดินออกมาแล้วพื้นของโถงตำหนักก็เคลื่อนไหวในทันทีแล้วปากถ้ำก็ปิดสนิท


พวกตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งหกคนต่างก็นั่งขัดสมาธิลง ก่อนหน้านี้ตอนที่พวกเขาได้รับสมบัติล้ำค่ามาก็รู้ที่ตั้งของด่านกัลป์อีกสามครั้งต่อมาแล้ว ก็อยู่ภายในโถงตำหนักแห่งนี้ แต่ละคนต่างก็นั่งลงอย่างเงียบๆ รอจนพันปีให้หลังค่อยเริ่มต้นด่านกัลป์ที่สิบ


“จ้าวหิมะเหิน” จอมเคารพกระบี่ปีศาจถ่ายเสียงมา


“จอมเคารพกระบี่ปีศาจ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปทางเขา


“เก้าด่านกัลป์ข้างหลังไม่เหมือนกันกับเก้าด่านกัลป์ข้างหน้า ต่อไปก็จะยิ่งทวีความอันตราย เกรงว่าในภายหน้าความช่วยเหลือที่ข้ากับผู่ซู่มีต่อเจ้าอาจจะน้อยลงเรื่อยๆ แล้วล่ะ” จอมเคารพกระบี่ปีศาจถ่ายเสียงพูด


“ข้าเข้าใจดี คราวนี้ก็ต้องขอบคุณมหาเคารพทั้งสองท่านเป็นอย่างมากแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ เขารู้สึกขอบคุณจอมเคารพกระบี่ปีศาจเป็นอย่างยิ่ง เพียงแต่ภายในใจกลับรู้สึกอยู่เสมอว่า…มหาเคารพกระบี่ปีศาจดูเหมือนจะเมตตาเขาเกินไปแล้ว นอกจากนี้ยังมีความรู้สึกคุ้นเคยอยู่รางๆ ด้วย


จอมเคารพกระบี่ปีศาจพยักหน้าน้อยๆ แล้วหลับตาบำเพ็ญ


ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เข้าใจดี


ต้องรู้ไว้ว่าด่านสิบแปดกัลป์ บรรดาจอมเคารพเหล่านี้ก็ไม่สามารถเดินมาถึงปลายทางได้ เดินมาถึงปลายทางนั้นก็สามารถได้รับสมบัติลับล้ำค่าที่สูงขึ้นได้! ก็คือบรรดาบุคคลผู้ไร้เทียมทาน นึกอยากจะได้รับสมบัติลับล้ำค่าระดับสูงอีกอย่างนั้นหรือ ยากยิ่งกว่ายากเสียอีก!


การบุกผ่านด่านสิบห้ากัลป์…นั้นเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมาย! บุกผ่านแล้วของกำนัลที่แย่ที่สุดก็ยังเป็นสุดยอดสมบัติลับล้ำค่า หากโชคดีก็อาจถึงขนาดที่ได้รับสิ่งที่ล้ำเลิศยิ่งขึ้นอีก อย่างเช่นสมบัติลับล้ำค่าประเภทรักษาชีวิตรอด ทำให้บุคคลผู้ไร้เทียมทานก็ยังฆ่าไม่ตายอย่างนั้นหรือ ด่านสิบห้ากัลป์นี้ยากเย็นเป็นอย่างยิ่งบรรดาเทพจักรวาลเหล่านี้ในที่นี้ เกรงว่าก็ยังมิอาจวาดฝันเลย


ในความเป็นจริงแล้วเป้าหมายส่วนใหญ่ของพวกเขาก็คือด่านสิบสองกัลป์!


บุกผ่านด่านสิบสองกัลป์ ของรางวัลโดยทั่วไปก็มีมูลค่าราวๆ แสนล้านแก้วผลึกจักรวาลโดยประมาณ ถ้าหากโชคดี สำแดงพลังยุทธ์ที่บุกผ่านด่านกัลป์ได้ล้ำเลิศพอ ก็อาจมีความเป็นไปได้ที่จะได้รับของกำนัลเป็นสุดยอดสมบัติลับล้ำค่าชิ้นหนึ่ง! ต่อให้ไม่ได้รับสุดยอดสมบัติลับล้ำค่า วัตถุวิเศษที่ใช้สร้างวิญญาณขึ้นมาใหม่มูลค่าแสนล้านแก้วผลึกจักรวาลก็เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาพึงพอใจแล้ว


ดังนั้น


ด่านสิบแปดกัลป์ ระดับความยากของเก้าด่านกัลป์ข้างหน้านั้นต่ำเตี้ยเป็นอย่างยิ่ง ของกำนัลก็ต่ำต้อยอย่างยิ่งเช่นเดียวกัน แม้กระทั่งไปถึงเก้าด่านกัลป์แล้ว ของกำนัลก็เพียงแค่หมื่นแก้วผลึกจักรวาลเท่านั้น แต่ของกำนัลด้านหลังก็ไม่เหมือนกันเสียแล้ว ด่านสิบสองกัลป์ ด่านสิบห้ากัลป์ ด่านสิบแปดกัลป์นั้นของกำนัลต่างก็ยกระดับขึ้นอย่างฉับพลัน


“สามด่านกัลป์ต่อมา ด่านที่สิบ ด่านที่สิบเอ็ด และด่านที่สิบสอง สามด่านกัลป์นี้คงจะน่าหวาดหวั่นขึ้นเรื่อยๆ  เป็นไปได้ว่าพวกจอมเคารพกระบี่ปีศาจและมหาเคารพผู่ซู่ก็ยังยากที่จะป้องกันตนเอง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการปกป้องข้าเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจในจุดนี้ดี



 

 

 


ภาคที่ 34 เทพจักรวาล...

 

ตอนที่ 48 ข้าจัดการเอง

 

ถึงแม้ว่ายุทธวิธีเมฆาแดงจะเป็นสิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงคิดว่าปรับปรุงได้ง่ายที่สุด ‘เขตพลังเมฆาแดง’ ในนั้นก็เพิ่งจะบำเพ็ญคละถิ่นกระบวนที่หนึ่งได้สำเร็จก็ปรับปรุงได้สำเร็จอย่างรวดเร็วแล้ว แต่เคล็ดวิชาทั้งหมดมีอยู่ทั้งสิ้นห้ากระบวน มีบางส่วนที่ปรับปรุงได้อย่างยากเย็นยิ่ง โดยเฉพาะ ‘เคล็ดการร่วมโจมตี’ ก็เป็นส่วนที่ยากที่สุดในห้ากระบวน แน่นอนว่าเมื่อเปรียบเทียบกับพวก ‘งดงามดุจภาพวาด’ และ ‘ปุจฉวิถีคละถิ่น’ ก็ง่ายดายกว่ามากแล้ว


 


ตอนนี้อยู่ห่างจากการประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูงอีกไม่ไกลแล้ว


 


……


 


กำหนดการของด่านกัลป์ที่สิบมาถึง


 


ถึงแม้ว่าด่านกัลป์นี้จะยากลำบากเป็นอย่างมาก แต่พลังยุทธ์ของจอมเคารพกระบี่ปีศาจก็น่าหวาดหวั่นอย่างแท้จริง ผสานรวมกับเขตพลังของมหาเคารพผู่ซู่ขึ้นมาแล้วก็เป็นการรวมที่สมบูรณ์แบบโดยแท้! ถึงแม้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงจะประสบกับการโจมตีหลายครั้ง แต่หอกยาวก็สามารถต้านทานเอาไว้ได้ นับได้ว่าผ่านด่านกัลป์นี้ไปได้อย่างค่อนข้างผ่อนคลาย


 


พรานผู้ล่า จวินอ๋องดำ และจ้าวกู่เซียวต่างก็สูญเสียพละกำลังไปไม่น้อย อาการบาดเจ็บของจ้าวกู่เซียวก็ยิ่งสาหัสขึ้น


 


“สมควรตาย สมควรตาย”


 


จ้าวกู่เซียวเหลือเอาไว้เพียงแค่กระดูกที่ยังแขวนห้อยอยู่ ด้านล่างของกระดูกคือไอหมอกสีแดงเข้มที่ค่อยๆ สร้างท่อนกระดูกที่ราวกับหยกออกมา


 


นัยน์ตาสีแดงเข้มคู่นั้นของเขามองตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างเยียบเย็นปราดหนึ่ง คราวนี้อาการบาดเจ็บของเขายิ่งสาหัสขึ้น เขาถึงกับมีนิมิตอย่างหนึ่งว่า… มีความเป็นไปได้อย่างมากที่เขาจะต้านทานด่านกัลป์ที่สิบเอ็ดเอาไว้มิได้! ทว่าจ้าวหิมะเหินที่ไม่มีสุดยอดสมบัติลับล้ำค่าผู้นี้กลับมาจนถึงตอนนี้ได้อย่างสบายๆ


 


“เหลืออีกนิดเดียว อีกนิดเดียวเท่านั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับนั่งขัดสมาธิอย่างเงียบๆ สงบใจหยั่งรู้ เขาคว้าเวลาทุกเสี้ยววินาทีเอาไว้


 


ในที่สุด


 


ก็มาอยู่ตรงหน้าด่านกัลป์ใหม่


 


“สำเร็จแล้ว”


 


ตงป๋อเสวี่ยอิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่ที่มุมห้องโถงลืมตา นัยน์ตามีความยินดีสายหนึ่งพาดผ่าน แม้กระทั่งร่างแยกที่อยู่ที่อากาศอันสับสนอลหม่านบ้านเกิดไกลออกไปก็เริ่มต้นบำเพ็ญด้วยเช่นกัน


 


สังเคราะห์ทักษะความเร้นลับที่เคลื่อนพลังคละวิถีของคละถิ่นกระบวนที่หนึ่งจำนวนมาก ทำให้ยุทธวิธีเมฆาแดงกลับมาเกิดใหม่อย่างสมบูรณ์แบบ!


 


ผู้แกร่งกล้าที่แท้จริงคนหนึ่งก็ต้องรู้จักสังเคราะห์ประสบการณ์ของคนก่อนหน้า เช่นประมุขรัฐเมฆทักษิณาที่หลังจากได้รับสุดยอดสมบัติลับล้ำค่า ‘ดาบทวิภพ’ แล้วศึกษาอย่างละเอียดแล้ว ก็คิดค้นเคล็ดวิชาสำหรับตนเองออกมา หรือแม้กระทั่งวิวัฒน์เอา ‘งดงามดุจภาพวาด’ และ ‘ทลายเวหา’ ออกมาจากท่าไม้ตายของตนเอง ถึงขนาดที่หลอม ‘ร่างเมฆทักษิณาทิพย์’ ขึ้นมาด้วยตนเอง อาศัยร่างเมฆทักษิณาทิพย์ก็สามารถสำแดงงดงามดุจภาพวาดและทลายเวหาออกมาได้


 


เช่น ‘มหาเคารพฝูอี่’ ผู้แกร่งกล้าระดับจอมเคารพคนหนึ่งอย่างเขา แต่พลังรบสามารถเชิดหน้าใส่เทพจักรวาลขั้นสุดยอดจำนวนหนึ่งได้ ใกล้เคียงกับบุคคลผู้ไร้เทียมทานเลยทีเดียว นี่ก็คือการคิดใคร่ครวญและสั่งสมบนพื้นฐานของคนก่อนหน้าอย่างไม่หยุดหย่อนแล้วคิดค้นท่าไม้ตายที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นออกมาอย่างต่อเนื่องเจ็ดกระบวนคละถิ่นเพียงแค่เปิดประตูบานพับออกต่อหน้าตงป๋อเสวี่ยอิงเท่านั้น


 


ตงป๋อเสวี่ยอิงจะดูดซับเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งนี้ได้มากน้อยเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับการหยั่งรู้ของตัวเขาเองแล้ว


 


“ต่อไป” ตงป๋อเสวี่ยอิงศึกษาเคล็ดวิชาที่แข็งแกร่งขึ้นต่อไป


 


******


 


ผ่านไปครบหนึ่งพันปีอีกครั้ง


 


ด่านกัลป์ที่สิบเอ็ดมาถึง! มหาเคารพผู่ซู่ จอมเคารพกระบี่ปีศาจ ตงป๋อเสวี่ยอิง จ้าวกู่เซียว จวินอ๋องดำ และพรานผู้ล่า พวกเขาแต่ละคนต่างก็เข้าใจได้โดยสัญชาตญาณว่ามาถึงเวลานี้แล้ว เมื่อใดที่พวกเขาไม่ระวังก็มีความเป็นไปได้เป็นอย่างยิ่งที่จะถูกสังหารขับไล่ออกไป บอกว่า ‘สังหาร’ การสังหารภายในวังเทพจิตโลกา ในที่สุดก็จะส่งตัวพวกเขาขับไล่ออกไปในนาทีสุดท้าย


 


ทัศนียภาพตรงหน้าบิดเบี้ยว


 


ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกเพียงแค่ว่าร่างกายหดลง แต่กลับปรากฏตัวขึ้นที่ท้องฟ้าเหนือมหาสมุทรอันมืดมิดแห่งหนึ่ง


 


“ช่างเป็นพลังพันธนาการที่แน่นหนานัก”


 


พวกตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งหกคนแต่ละคนยืนอยู่กลางอากาศ มองลงมายังมหาสมุทรอันกว้างใหญ่เบื้องล่าง พลังกดดันพันธนาการของห้วงมิติแห่งนี้ยิ่งใหญ่จนถึงระดับที่มิอาจจะจินตนาการได้ เหนือกว่าดินแดนจิตโลกามากมายนัก เกรงว่าเทพจักรวาลกำเนิดใหม่คงได้แต่ฝืนต้านทานอยู่ภายใต้สิ่งแวดล้อมเช่นนี้อย่างทุลักทุเลเท่านั้น


 


พรึ่บ


 


เคล็ดวิชาสำแดงการกลายเป็นอากาศธาตุแต่เดิมของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ทำได้แค่ลดพลังพันธนาการนี้ลงไปครึ่งหนึ่งเท่านั้น


 


“สถานที่แห่งนี้ดูแล้วช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก” สีหน้าของมหาเคารพผู่ซู่ที่ปล่อยเขตพลังกาลเวลาออกมาแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาถ่ายเสียงให้กับตงป๋อเสวี่ยอิงและจอมเคารพกระบี่ปีศาจ “เขตพลังของข้าก็ยังได้รับผลกระทบเลย”


 


“หืม”


 


ตงป๋อเสวี่ยอิงม่านตาหดเล็กลง เห็นเพียงว่าที่ส่วนลึกของมหาสมุทรอันกว้างใหญ่เบื้องล่างมีเงาดำพุ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็วในทันใด


 


พรึ่บ


 


สิ่งมีชีวิตขนาดมหึมาตนหนึ่งพุ่งออกมาจากกลางน้ำทะเลย  สัตว์ประหลาดกลางน้ำที่พิเศษตนนี้มีชายชราถือไม้เท้าคนหนึ่งยืนอยู่บนหลัง เส้นผมของชายชรายาวมาก มองดูเส้นผมจำนวนนับไม่ถ้วนโดยละเอียด ในความเป็นจริงแล้วเป็นงูที่ตัวเล็กบางเป็นอย่างยิ่ง


 


“เทพจักรวาลหลายคนถึงกับกล้ามาถึงทะเลกุยซวี ช่างรนหาที่ตายโดยแท้” ชายชราถือไม้เท้ายิ้มเย็น “พวกเด็กๆ มาฆ่าพวกมันให้ข้าที”


 


สวบๆๆ…


 


ปลาใหญ่สีแดงสดตัวแล้วตัวเล่าบินออกมา แผ่กลิ่นอายที่ทำให้พวกตงป๋อเสวี่ยอิงต่างพากันอกสั่นขวัญแขวน กลิ่นอายชนิดนี้คล้ายกับเป็นตัวแทนของจุดสิ้นสุด สิ่งมีชีวิตและกาลเวลาที่จุดสิ้นสุดนี้ ทั้งหมดทั้งมวลล้วนสิ้นสุดลงที่นี่! ปลาใหญ่สีแดงสดเหล่านี้มีนับพันนับหมื่น พุ่งออกมาจากกลางน้ำทะเลอย่างฉับพลันแล้วเหินบินตรงมาทางพวกตงป๋อเสวี่ยอิงจนหมด


 


“ฆ่าๆๆ ฆ่าๆๆ” ชายชราถือไม้เท้าตื่นเต้นลำพองใจ “เทพจักรวาลแล้วอย่างไร ที่ทะเลกุยซวี ล้วนต้องตายกันหมดนั่นแหละ”


 


บรรดาปลาใหญ่สีแดงสดเหล่านี้รวดเร็วเหลือเกิน เคลื่อนที่อยู่กลางอากาศแล้วกระโจนเข้าใส่พวกตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งหกคนราวกับสายฟ้า


 


“ฟิ้ว…”


 


ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงเคล็ดวิชาเขตลวงโลกเทียม แต่มีผลกระทบต่อปลาใหญ่สีแดงสดเหล่านี้อย่างต่ำต้อยยิ่งนัก มหาเคารพผู่ซู่ปลดปล่อยเขตพลังกาลเวลา ทำให้หลังจากที่ปลาใหญ่สีแดงสดเหล่านี้บุกเข้ามาแล้วเกิดความงุนงงไปบ้าง แต่เห็นได้ว่าทั้งเขตพลังกาลเวลาต่างก็กำลังสั่นสะเทือน ปลาใหญ่สีแดงสดตัวแล้วตัวเล่าภายใต้การรบกวนของเขตพลังกาลเวลาก็ยังหาร่างจริงของพวกเขาสามคน ทั้งมหาเคารพผู่ซู่ จอมเคารพกระบี่ปีศาจ และตงป๋อเสวี่ยอิงพบอยู่ดี


 


“อดีต ปัจจุบัน อนาคต กาลเวลาหมุนเปลี่ยน ผลกระทบต่อพวกมันก็ยังต่ำเป็นอย่างยิ่งเลยหรือ” มหาเคารพผู่ซู่สีหน้าแปรเปลี่ยนเสียแล้ว


 


ปลาใหญ่สีแดงสดเหล่านี้มิได้มีเคล็ดลับการโจมตีอะไรมากมาย เพียงแต่ดูเหมือนว่าร่างกายของพวกมันจะเป็นตัวแทนของกฎเกณฑ์บางชนิด


 


“ปัง…”


 


ประกายกระบี่อันระยับจับตาสว่างวาบขึ้น


 


ภายใต้เส้นผมอันยุ่งเหยิงของจอมเคารพกระบี่ปีศาจ นัยน์ตาทั้งคู่กลับสงบนิ่งหาใดเปรียบ มือกุมกระบี่เทพ ประกายกระบี่แผ่ไปทั้งสี่ทิศ ปลาใหญ่สีแดงสดเหล่านั้นมีบางส่วนที่ถูกแทงทะลุ มีบางส่วนที่ถูกระลอกคลื่นซัดสาดออกไป ในชั่วพริบตากระบี่เล่มหนึ่งของเขากลับสามารถปกป้องสถานการณ์ของตนเองเอาไว้ได้ อีกทั้งยังคุ้มกันมหาเคารพผู่ซู่และตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้ได้อีกด้วย วิถีกระบี่อันน่าหวาดหวั่นเช่นนี้ทำให้ทุกคนในที่นั้นลอบตกตะลึง


 


“จอมเคารพกระบี่ปีศาจผู้นี้เป็นมหาเคารพที่เยาว์วัยที่สุดคนหนึ่งของสกุลชางแห่งรัฐโบราณคิมหันตวายุ! โผล่ขึ้นมาอย่างรวดเร็วยิ่ง ลึกลับเป็นที่สุด คิดไม่ถึงว่าวิถีกระบี่จะน่าหวั่นเกรงเช่นนี้ สมบูรณ์แบบถึงเพียงนี้” จวินอ๋องดำม่านตาหดเล็กลง


 


“เป็นเคล็ดกระบี่ที่ร้ายกาจเหลือเกิน” ร่างกายของพรานผู้ล่ากระจายไม่เสถียร แต่ก็สังเกตเห็นเหตุการณ์นี้เช่นเดียวกัน


 


สำหรับจ้าวกู่เซียวกำลังต้านทานปลาใหญ่สีแดงสดที่น่าหวั่นเกรงเหล่านั้นอย่างตื่นตระหนกจนเสียศูนย์ มีปลาใหญ่สีแดงสดสิบกว่าตัวที่ขบกัดเขาเข้าคำหนึ่งบนร่างแล้ว ร่างของเขาเริ่มมีความไม่สมบูรณ์ขึ้นมาเสียแล้ว


 


“มิน่าเล่ากระบี่ปีศาจจึงได้รับความสำคัญจากจักรพรรดิชางและจักรพรรดิเซี่ย” มหาเคารพผู่ซู่ได้เห็นเหตุการณ์แล้วก็ลอบอุทาน เขตพลังกาลเวลาที่คุกคามเขาก่อนหน้านี้ก็สามารถต้านทานเอาไว้ได้เกินครึ่งแล้ว จนถึงบัดนี้ จอมเคารพกระบี่ปีศาจจึงค่อยๆ ออกแรง


 


แต่ว่า…


 


ปลาใหญ่สีแดงสดมีนับพันนับหมื่นแน่นขนัด ท่วมฟ้าบดบังดวงตะวันเสียแล้ว


 


ร่างกายของปลาใหญ่สีแดงสดเหล่านี้ทุกตัวต่างก็ทนทานหาใดเปรียบ พลังชีวิตแข็งแกร่งเป็นที่สุด แทงทะลุร่างกายของพวกมัน พวกมันก็สามารถฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็วเช่นเดิม ตามจำนวนที่ล้อมโจมตีพวกตงป๋อเสวี่ยอิง มหาเคารพผู่ซู่ และจอมเคารพกระบี่ปีศาจที่มากขึ้นเรื่อยๆ มหาเคารพผู่ซู่ก็ได้แต่ลงมือ


 


“โอ๊ย สมควรตาย สมควรตาย” ท่อนกระดูกจำนวนหนึ่งของจ้าวกู่เซียวเริ่มต้นลุกไหม้ พอเริ่มลุกไหม้ก็ก่อให้เกิดพลังที่แกร่งยิ่งขึ้นมาใช้ห้ำหั่น เขาน่าอนาถเหลือทนเสียแล้ว


 


“ดูท่าทางข้าคงจะผ่านมันไปไม่ได้แล้วล่ะ” จ้าวกู่เซียวก็ตระหนักได้แล้วปลาใหญ่สีแดงสดที่ล้อมโจมตีอย่างแน่นขนัดโดยรอบ ไม่เพียงแต่แฝงไว้ด้วยพลัง ‘สิ้นสุด’ ชนิดนั้นเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าจะต้านทานเคล็ดวิชาของพวกเขาทุกคนได้ อีกทั้งพลังชีวิตก็ยังแข็งแกร่งเหนือธรรมดา การจะฆ่าให้ตายสักตัวเป็นเรื่องที่ยากเย็นอย่างยิ่ง ตอนนี้เพิ่งเริ่มต้นได้ไม่นานเท่าใด เขาก็สูญสิ้นพลังชีวิตไปหนึ่งในสามส่วนแล้ว ไม่มีความหวังในการรอดไปถึงท้ายที่สุดแล้ว


 


“คราวนี้ผู่ซู่กับกระบี่ปีศาจก็ช่วยอิงซานเสวี่ยอิงผู้นั้นไม่ไหวแล้ว” ตัวจ้าวกู่เซียวล้มเหลว ก็นึกอยากเห็นผู้อื่นล้มเหลวด้วยเช่นเดียวกัน


 


อันที่จริงแล้ว


 


มหาเคารพกระบี่ปีศาจสำแดงพลังยุทธ์อันน่าหวั่นเกรงที่ทำให้คนต้องอุทานออกมาตามจำนวนการล้อมโจมตีที่มากขึ้น ในด้านการห้ำหั่น วิถีกระบี่ของเขาก็มิได้ด้อยไปกว่ามหาเคารพซือเทียนและมหาเคารพลู่เทียนสองคนนี้เลย แม้กระทั่งการต้านทานของกระบี่ก็สมบูรณ์แบบพอ ช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งอย่างแท้จริง พลังยุทธ์ของมหาเคารพผู่ซู่แกร่งกล้าดังเช่นที่เคยเป็นมาโดยตลอด แต่ภายใต้การล้อมโจมตีมากมายเช่นนี้กลับเริ่มน่าอนาถอยู่บ้างแล้ว


 


พวกเขาสองคนต่างก็ค่อยๆ หมดหนทางช่วยเหลือตงป๋อเสวี่ยอิงเสียแล้ว


 


“ชิ้ง” ประกายกระบี่กะพริบวาบหราหนึ่ง ปลาใหญ่สีแดงสดสิบกว่าตัวก็ถูกผลกระทบจนกระเด็นลอยออกไป


 


“จ้าวหิมะเหิน ข้าช่วยเจ้าไม่ไหวแล้ว เจ้าต้องระวังตัวด้วยนะ” จอมเคารพกระบี่ปีศาจพูด


 


“ไม่เป็นไร ข้าจัดการเองได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด


 


ร่างสวมอาภรณ์ราชันย์มาร มือกุมหอกเทพเมฆาแดงเล่มหนึ่ง ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่กลางอากาศแต่กลับเผชิญหน้ากับปลาใหญ่สีแดงสดตัวหนึ่งที่ว่ายน้ำเข้ามาอย่างสงบ


 


ขวับ…


 


หอกยาวกวาดออกไปคราหนึ่ง ปลาใหญ่สีแดงสดถูกฟาดจนลอยกระเด็นออกไป


 


“อะไรกัน เขาสามารถต่อตีจนมันถอยร่นไปได้ด้วยหรือ”


 


“ผ่อนคลายถึงเพียงนี้เชียวหรือ”


 


บรรดาจอมเคารพคนอื่นๆ อีกห้าคนในที่นั้นต่างก็ตกตะลึง รวมถึงจอมเคารพกระบี่ปีศาจก็ยังประหลาดใจเป็นอย่างมาก


 


เพราะพวกเขารู้กระจ่างดียิ่งว่าปลาใหญ่สีแดงสดที่เป็นตัวแทนของกฎเกณฑ์ที่ ‘สิ้นสุด’ บางอย่างเหล่านี้มีความน่าหวาดหวั่นเพียงใด อย่าได้เห็นว่าจอมเคารพกระบี่ปีศาจดูเหมือนจะผ่อนคลาย แต่กระบี่หนึ่งของจอมเคารพกระบี่ปีศาจนั้นมีพลังระดับเทพจักรวาลขั้นสุดยอด อานุภาพยิ่งใหญ่พอ วิถีกระบี่เข่นฆ่า เดิมทีก็เชี่ยวชาญในการต่อสู้ประชิดตัวอยู่แล้ว กระบี่หนึ่งสามารถทำให้ปลาสิบกว่าตัวกระเด็นลอยออกไปได้ แต่เขาเพียงแค่กระเด็นลอยออกไปหรือไม่ก็บาดเจ็บสาหัส จะสังหารก็ต้องใช้กำลังไม่น้อยเลยทีเดียว


 


“อานุภาพแข็งแกร่งนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าแรงโจมตีอันหนักหน่วงส่งมายังร่างกายผ่านหอกยาว “รับมือได้ยากจริงๆ เคราะห์ดีที่เวลาหลายพันปีก่อนหน้านี้ ทำให้ข้าผ่านไปได้สบายๆ และมีเวลาเพียงพอที่จะปรับปรุงยุทธวิธีเมฆาแดงให้สำเร็จจนสิ้นได้”


 


หากไม่มีคนช่วยเหลือ เกรงว่าคงมิทันได้แก้ไขยุทธวิธีเมฆาแดงจนสำเร็จ ตนก็คงจะถูกโจมตีจนพ่ายแพ้และขับไล่ออกไปแล้ว


 


ส่วนตอนนี้น่ะหรือ


 


“สวบๆๆ…”


 


หอกยาวพลิกหมุน


 


ปลาใหญ่สีแดงสดตัวแล้วตัวเล่าที่โจมตีตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นพากันกระเด็นลอยไป บางตัวถูกแทงทะลุจนเกิดเป็นบาดแผลขนาดมหึมา แต่ปลาใหญ่สีแดงสดก็ล้อมโจมตีเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ!


 


“ฆ่า ฆ่าให้ข้าเสีย” ชายชราถือไม้เท้าซึ่งยืนอยู่บนหลังสัตว์ประหลาดกลางน้ำร้องคำราม ปลาใหญ่สีแดงสดทั้งหลายลอยออกไปอย่างต่อเนื่อง แล้วค่อยๆ ล้อมเทพจักรวาลทั้งหกเอาไว้ ก่อให้เกิดเป็น ‘ฝูงปลา’ ขนาดมหึมาหกฝูงล้อมโจมตีอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นเมื่อการโจมตีมาถึงตอนที่บ้าคลั่งที่สุดนั้น มหาเคารพผู่ซู่ก็ทำได้เพียงป้องกันตนเองเท่านั้น จะมีก็แต่จอมเคารพกระบี่ปีศาจที่สามารถแบ่งพลังมาช่วยได้บ้างเล็กน้อย


 


อาการบาดเจ็บของจ้าวกู่เซียว ก็ยิ่งรุนแรงขึ้นไปใหญ่


 


“ไม่ได้แล้วๆ” จ้าวกู่เซียว เหลือแต่ศีรษะที่ลอยคว้างอยู่กลางฟากฟ้า เงาแส้สายแล้วสายเล่ากลางไอหมอกสีแดงเข้มรอบด้านวาดข้ามขอบฟ้าไป แต่ก็ยังคงมิอาจสกัดกั้นปลาใหญ่สีแดงสดที่เข้ามาอย่างมืดฟ้ามัวดินได้ เหล่าปลาใหญ่สีแดงสดทะลุผ่านการสกัดกั้นของแส้ แล้วกัดเข้าที่ศีรษะของจ้าวกู่เซียว


 


ศีรษะของเขายังคงทอดมองออกไปยังคนอื่นๆ อีกห้าคน


 


คนอื่นๆ อีกห้าคนล้วนกำลังต้านรับอยู่ หนุ่มน้อยอาภรณ์ขาว ‘จ้าวหิมะเหิน’ ซึ่งกุมหอกยาวเอาไว้ในมือผู้นั้นสำแดงหอกยาวออกมาและกำลังต้านทานเอาไว้เช่นกัน เขาถึงขั้น…โลหิตไม่หยดสักหยดเดียว!


 


“เขา เขามีสุดยอดสมบัติลับล้ำค่าหรือ เขาก็เป็นมหาเคารพหรือ” จากนั้นจ้าวกู่เซียวก็สัมผัสได้ว่าระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างปกคลุมตนเองเข้ามา


 


ฟิ้ว


 


ตอนที่ความตายใกล้เขามานั้น เขาก็ถูกวังเทพจิตโลกาผลักไสและเคลื่อนย้ายออกไป เส้นทางในวังเทพจิตโลกาของเขายุติลงแต่เพียงเท่านี้! และเป็นคนแรกในกลุ่มนี้ที่ถูกผลักไสออกไป



 

 

 


ภาคที่ 34 เทพจักรวาล...

 

ตอนที่ 49 ด่านสิบสองกัลป์

 

วิชาหอกของตงป๋อเสวี่ยอิงก้าวหน้าไปนานแล้ว แต่ละหอกล้วนสามารถปรับเปลี่ยนพลังคละวิถีได้ อานุภาพล้วนสามารถบรรลุถึงขีดจำกัดเทพจักรวาลชั้นที่สาม แต่ต่อให้ร้ายกาจกว่านี้ เมื่อเทียบกับพวกจอมเคารพกระบี่ปีศาจและจวินอ๋องดำที่มีสุดยอดสมบัติลับล้ำค่าแล้ว ก็ยังคงห่างชั้นอยู่ขุมใหญ่ บวกกับปลาใหญ่สีแดงสดเหล่านี้มีจำนวนมากมายเสียจนเกินจริงโดยแท้ การสกัดกั้นปลาใหญ่แต่ละตัวล้วนทำให้วิชาหอกของตงป๋อเสวี่ยอิงได้รับผลกระทบ


“ฟึ่บๆ”


ปลาใหญ่สีแดงสดมีจำนวนมากนัก หอกยาวสกัดกั้นไม่ทันเอาเสียเลย พวกมันกัดตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าอย่างต่อเนื่อง


แต่ผิวกายของตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีปุยเมฆก่อตัวขึ้นเป็นกระแสอากาศสามสายรายล้อมเอาไว้ ซึ่งก็คือเคล็ดวิชาคุ้มร่างของยุทธวิธีเมฆาแดง ปลาใหญ่สีแดงสดเหล่านี้ฝืนทะลุการสกัดกั้นของ ‘ปุยเมฆคุ้มกาย’ ไปได้อย่างพอถูไถก่อนจะกัดเข้าที่ร่างของตงป๋อเสวี่ยอิง หลังผ่านการทำให้อ่อนกำลังลงด้วยเคล็ดวิชาการกลายเป็นอากาศธาตุ ท้ายที่สุดก็ยังเหลือกลิ่นอายซึ่งเป็นตัวแทนของจุดจบสายหนึ่งที่ส่งผลต่อกายหยาบของตงป๋อเสวี่ยอิง


ส่วนการฝึกกายคละถิ่นทำให้กายหยาบของตงป๋อเสวี่ยอิงแข็งแกร่งเป็นอันมาก กลิ่นอายเล็กน้อยเท่านี้ กายหยาบไม่เสียหายเลยแม้แต่น้อย


“อ่อนแอเกินไปแล้ว ข้ายืนอยู่ที่นี่ ปลาใหญ่เหล่านี้ก็ยังทำร้ายข้ามิได้อยู่ดี” ตงป๋อเสวี่ยอิงพลันคลายใจลงไป


ช่วยไม่ได้


กายหยาบของฝึกกายคละถิ่นชั้นที่หนึ่งและเคล็ดวิชาการกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอด ทั้งสองหลอมรวมกัน ก็ไม่แพ้พวกยอดฝีมือระดับเทพจักรวาลชั้นที่สองทางสายฝึกกายเลย ตอนนั้นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในโลกทิพย์โบราณต้องการสังหารตงป๋อเสวี่ยอิง ก็เพราะเมื่อไม่มีร่างแปรทิพย์โบราณก็มิอาจสำเร็จได้!


 หากพูดถึงการรักษาชีวิต ก่อนหน้าที่จะมายังวังเทพจิตโลกา ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังคงมองดูระดับจอมเคารพส่วนใหญ่ด้วยความภาคภูมิ หากระดับจอมเคารพส่วนใหญ่มีแค่สุดยอดสมบัติลับล้ำค่าเพียงชิ้นเดียว ความสามารถในการรักษาชีวิตกลับมิได้เยี่ยมยอดถึงเพียงนั้น


แต่บัดนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังค้นคว้าเคล็ดวิชาคุ้มกายสุดท้ายออกมาจนได้ อานุภาพของปุยเมฆคุ้มกายก็บรรลุถึงขีดจำกัดระดับเทพจักรวาลชั้นที่สามแล้ว เมื่อมีเคล็ดวิชาคุ้มกาย ความสามารถในการรักษาชีวิตของเขาก็ยิ่งน่าหวาดหวั่น! เหนือกว่าพวกมหาเคารพผู่ซู่และพรานผู้ล่าเป็นแน่


“หืม”


“กายหยาบนี้ก็แข็งแกร่งเกินไปแล้ว” มหาเคารพผู่ซู่ จอมเคารพกระบี่ปีศาจ พรานผู้ล่า และจวินอ๋องดำ พวกเขาสี่คนต่างก็สังเกตเห็นฉากนี้


ปลาใหญ่สีแดงสดนั้นทะลุผ่านปุยเมฆคุ้มกาย แล้วกัดกินร่างของอิงซานเสวี่ยอิง แต่ผิวหนังก็ยังกัดไม่แตก ไม่มีเลือดแม้แต่หยดเดียว!


เรื่องนี้ทำให้พวกเขาอับจนคำพูดกันถ้วนหน้า


“หากพูดถึงความสามารถในการรักษาชีวิตแล้วยังแข็งแกร่งกว่าข้าเสียอีก ในรายงานบันทึกเอาไว้ว่าเขาได้ปุจฉวิถีคละถิ่นไปจากสกุลเซี่ยของเรา กายหยาบแข็งแกร่งก็แล้วไปเถิด แต่เคล็ดวิชาคุ้มกายของเขามาจากไหนกันเล่า ปลาใหญ่สีแดงสดเหล่านี้ทะลุผ่านปุยเมฆคุ้มกายของเขา อานุภาพก็ลดลงมากอย่างเห็นได้ชัด” มหาเคารพผู่ซู่ลอบร่ำร้องในใจ เขารู้ตั้งนานแล้วว่าการรักษาชีวิตของตงป๋อเสวี่ยอิงแข็งแกร่ง แต่เคล็ดวิชาคุ้มกายก็ยอดเยี่ยมเช่นนี้ เกินกว่าที่คาดเดาเอาไว้


“เหมือนยุทธเคล็ดวิชาคุ้มกายของวิธีเมฆาแดง ทว่าอานุภาพกลับแข็งแกร่งกว่า เสวี่ยอิงเขาไปศึกษาเคล็ดวิชาคุ้มกายที่เยี่ยมยอดพรรค์นี้มาจากที่ใดกัน” จอมเคารพกระบี่ปีศาจได้เห็นเหตุการณ์แล้วก็ตกใจระคนสงสัย


……


ปลาประหลาดสีแดงเข้มเหล่านี้ทำร้ายตนมิได้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็โจมตีอย่างบ้าคลั่งสุดแรง ยอดฝีมือทั้งห้าที่อยู่ในที่นั้นก็มีตงป๋อเสวี่ยอิงเพียงคนเดียวเท่านั้นที่กล้าต้านทานการกัดกินของปลาประหลาดสีแดงเข้มตามอำเภอใจ


“ฟิ้ว”


หอกหนึ่งแทงออกไป


ตรงปลายหอก ม่านหมอกโหมซัดและสลายไปอย่างรวดเร็ว เกล็ดเหนือผิวปลาประหลาดสีแดงเข้มแข็งแกร่งทนทาน จึงได้รับความเสียหายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น


“คละถิ่นกระบวนที่หนึ่ง แม้จะมีอานุภาพยิ่งใหญ่ แต่ก็ทำให้ปลาประหลาดสีแดงเข้มเหล่านี้บาดเจ็บได้อย่างพอถูไถเท่านั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงยังคงสับเปลี่ยนวิชาหอกต่อไป


หอกหนึ่งแทงออกไป


หอกแทงลงบนแผ่นเกล็ดของปลาใหญ่สีแดงสด เหนือผิวของปลาใหญ่ไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย แต่ภายในกลับถูกโจมตีดังปัง จนเกิดบาดแผลฉีกขาดมหึมาจากภายใน จากนั้นก็ระเบิดออกจากส่วนหลังของปลาใหญ่สีแดงสดทันที เกล็ดปลาปลิวว่อน บาดแผลอันโหดเหี้ยมสายหนึ่งปรากฏขึ้น


“มีเพียงกระบวนท่าทะลุอากาศนี่เท่านั้นที่พอใช้ได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงคิด


ในบรรดาห้ากระบวนท่าของยุทธวิธีเมฆาแดง


แต่ละท่าล้วนมีลักษณะพิเศษของตนเอง อย่างกระบวนท่าที่ตนตั้งชื่อให้ว่า ‘ทะลุอากาศ’ นั้น เคล็ดวิชาคุ้มกาย ค่ายกลคุ้มกันและอาภรณ์เกราะเกล็ดที่ภายนอกนั้นก็ไร้ประโยชน์ด้านการป้องกัน มันแทรกเข้าไปในสุดของร่าง! แน่นอนว่าอย่างกายหยาบบางร่างนั้นแข็งแกร่ง ไปจนถึงภายนอกและภายในยิ่งใหญ่เช่นเดียวกัน  ประโยชน์ของกระบวนท่านี้ก็จะไม่เกินเหตุถึงเพียงนั้นแล้ว


แต่ปลาประหลาดสีแดงเข้มพรรค์นี้มิได้เป็นสิ่งที่ตนฝึกฝนขึ้นมา หากแต่เป็นกฎเกณฑ์ที่ให้กำเนิดขึ้นมา เกล็ดเหนือผิวกายมีการป้องกันอันแข็งแกร่ง พลังชีวิตแข็งแกร่ง แต่เมื่อภายในร่างกายเทียบกับเกราะเกล็ดแล้วก็ยังคงอ่อนแอไม่น้อย


******


เวลาเคลื่อนคล้อยผ่านไป


ตงป๋อเสวี่ยอิงสังหารปลาประหลาดสีแดงเข้มด้วยความเร็วที่ค่อนข้างช้า ส่วนมหาเคารพผู่ซู่ จอมเคารพกระบี่ปีศาจและจวินอ๋องดำนั้นสังหารได้รวดเร็วกว่ามาก พวกเขาล้วนแต่สามารถปะทุพลังระดับเทพจักรวาลขั้นสุดยอดออกมาได้ อย่างจอมเคารพกระบี่ปีศาจบางครั้งก็สามารถปะทุเอาพลังรบที่แข็งแกร่งกว่านี้ขึ้นมาได้ ภายใต้พลังรบอันสมบูรณ์ เมื่อเวลาผ่านไป ปลาประหลาดสีแดงเข้มตัวแล้วตัวเล่าก็ยังคงทยอยกันตายไปอย่างไม่ขาดสาย


เหล่าเทพจักรวาลมีทรัพยากรอย่างต่อเนื่อง ปลาประหลาดสีแดงเข้มกลับน้อยลงเรื่อยๆ พวกเขาทั้งห้าก็สบายขึ้นเรื่อยๆ


ใช้เวลาหนึ่งชั่วยามกว่าๆ ปลาประหลาดสีแดงเข้มก็ถูกกวาดล้างไปจนเกลี้ยงเกลา


ส่วนชายชราถือไม้เท้าที่ยืนอยู่กลางหลังสัตว์ประหลาดกลางน้ำตัวนั้นเห็นท่าไม่ดีก็แทรกตัวเข้าไปในส่วนลึกของท้องทะเลอย่างรวดเร็วเสียแล้ว


“ฟิ้ว”


ภาพตรงหน้าพวกตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งห้าคนเปลี่ยนแปรไป พวกเขาถูกเคลื่อนย้ายกลับมาภายในโถงตำหนักอีกครั้ง


ทุกคนก็เข้าใจดีว่า ด่านกัลป์ที่สิบเอ็ดนี้ก็ผ่านไปได้แล้วในที่สุด


“ด่านกัลป์ที่สิบเอ็ดนี้ก็มีแค่จ้าวหิมะเหินเท่านั้นกระมังที่มิได้รับบาดเจ็บ” นัยน์ตาเยียบเย็นของจวินอ๋องดำมองมาทางตงป๋อเสวี่ยอิง มุมปากกระดกขึ้นเล็กน้อย


“พวกเราได้รับบาดเจ็บกันหมดแล้วจริงๆ กระบี่ปีศาจก็ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย” มหาเคารพผู่ซู่ก็พูดพลางยิ้มน้อยๆ ภายใต้ปลาใหญ่สีแดงสดอันแน่นขนัด ก็มิอาจป้องกันอย่างสมบูรณ์แบบได้เลย พวกเขาล้วนเสียเปรียบอยู่บ้างเล็กน้อย จะมีก็แต่เคล็ดวิชาคุ้มกายและการกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอดของตงป๋อเสวี่ยอิงเท่านั้น เขาเป็นผู้ที่สงวนท่าทีที่สุดในบรรดาทั้งห้าคน แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับเป็นผู้ที่มีด้านการรักษาชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุด


จอมเคารพกระบี่ปีศาจก็มองดูตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มๆ


“ต้องขอบคุณจักรพรรดิเซี่ยเป็นอย่างมากขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ


“ในภายหน้าก็จะเป็นด่านสิบสองกัลป์แล้ว การบุกเข้ามายังวังเทพจิตโลกาในครั้งนี้มิได้มาโดยเปล่าประโยชน์แล้ว” มหาเคารพผู่ซู่กล่าว “หากบุกฝ่าผ่านไปได้ ก็จะได้รับมอบรางวัลอันใหญ่หลวง ดังนั้นด่านสิบสองกัลป์จะต้องยากเย็นมากอย่างแน่นอน”


“ถึงคราวคับขันแล้ว” พรานผู้ล่าพูดเสียงเบาพลางแย้มยิ้ม “เป้าหมายของข้าก็คือบุกฝ่าด่านสิบสองกัลป์ให้ได้ก็พอใจแล้ว”


“หวังว่าจะสามารถบุกฝ่าผ่านไปได้” จอมเคารพกระบี่ปีศาจก็พยักหน้าเช่นกัน


จวินอ๋องดำเงียบงัน เพียงแต่ว่าสายตาสาดประกายเย็นชาออกมา


ด่านสิบสองกัลป์…


หากบุกฝ่าผ่านไปได้ก็จะได้ผลประโยชน์ไป พวกเขาถึงขั้นจะถอดใจเสียกลางทาง ไม่พยายามสู้อีกต่อไปแล้ว


เนื่องจากพวกเขาเข้าใจดีมากว่า สำหรับพวกเขาแล้ว ‘ด่านสิบห้ากัลป์’ ก็คงยากเกินไปสำหรับเขาแล้วจริงๆ ถึงจะสู้สุดชีวิตก็เสียดาย ไม่สู้ไปยังบริเวณอื่นของวังเทพจิตโลกาแล้วบุกฝ่าต่อไปจะดีกว่า ไม่แน่ว่าอาจจะมีผลประโยชน์อยู่ก็เป็นได้


“ด่านสิบสองกัลป์” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เอ่ยพึมพำ


เขาได้เจ็ดกระบวนคละถิ่นมาในครั้งนี้ ยังทำให้เขายินดีกว่าสมบัติลับล้ำค่าอันสูงส่งเสียอีก


แต่คงไม่รังเกียจว่าสมบัติล้ำค่ามีเยอะเกินไปหรอกกระมัง


นอกจากนี้ เจ็ดกระบวนคละถิ่นก็เป็นเพียงเคล็ดวิชาเท่านั้น ตนมิอาจเผยแพร่สู่สู่ภายนอกได้ นอกจากนี้ตนยังขาดอาวุธที่เหมาะสม เช่นจะหลอมอาวุธที่ใช้สำหรับสำแดงเจ็ดกระบวนคละถิ่นโดยเฉพาะ ลำพังแค่วัสดุก็คงแพงเสียจนทำให้คนตกใจได้แล้ว…ต่อให้ขายสมบัติล้ำค่ามากมายของตนไปจนหมด ก็มิอาจรวบรวมให้เพียงพอได้ ดังนั้นก็ควรจะเข้าไปบุกฝ่าในวังเทพจิตโลกาสักตั้ง เพื่อสะสมสมบัติล้ำค่าให้มากหน่อย


หากบุกฝ่าด่านสิบสองกัลป์ได้ อย่างน้อยที่สุดสมบัติล้ำค่าก็มีราคาถึงแสนล้านแก้วผลึกจักรวาล หากเคราะห์ดี สิ่งที่ได้รับมอบก็จะล้ำค่าเสียจนเกินเหตุ


“สู้เต็มที่”


ตงป๋อเสวี่ยอิงหลับตาลงแล้วทำใจให้สงบแล้วค่อยๆ วิวัฒน์เพื่อปรับปรุงให้เคล็ดวิชาสมบูรณ์ขึ้นต่อไป


……


ทั้งห้าคนเฝ้ารอคอยด่านสิบสองกัลป์ด้วยความกระหาย


สามารถบุกฝ่าผ่านไปได้และได้ผลประโยชน์ ต่อให้ถูกขับไล่ออกจากวังเทพจิตโลกาทันทีก็นับว่าคุ้มค่าแล้ว ที่ทุ่มสุดตัวอยู่ในด่านสิบเอ็ดกัลป์ก่อนหน้านี้ ก็เพียงเพื่อรอคอยจนถึงขณะนี้ก็เท่านั้นเอง


“มาแล้ว


“ด่านสิบสองกัลป์”


มหาเคารพผู่ซู่ จอมเคารพกระบี่ปีศาจ จวินอ๋องดำ พรานผู้ล่าและตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งห้าคนยืนอยู่อย่างสงบ เมื่อผ่านการฟื้นฟูมาพันปี ท่าทีของหลายคนก็ฟื้นคืนมา


วิ้ง


ภาพตรงหน้าบิดเบี้ยวและเลือนรางไป


“นี่มันอะไรน่ะ”


ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่บนทางเมฆสีเหลืองเข้มสายหนึ่ง รอบกายเต็มไปด้วยความสับสนอลหม่าน บริเวณไกลออกไปก็สามารถมองเห็นทางเมฆสายอื่นๆ ได้


ทางเมฆทั้งหมดห้าสายรวมกันเป็นรูปพัด มุ่งหน้าตรงไปยังบริเวณอันมืดมิดไกลออกไปแห่งหนึ่งพร้อมกัน


บริเวณอันมืดมิด


มีเงาร่างสูงตระหง่านนั่งอยู่บนบัลลังก์


สายตาของเงาร่างสูงตระหง่านนั้นกวาดผ่านผู้แกร่งกล้าแต่ละคนที่ยืนอยู่บนทางเมฆทั้งห้าสายพลางพูดเสียงเรียบว่า “ฆ่าพวกเขาเสีย”


“ขอรับ”


เบื้องล่างบัลลังก์แห่งนั้นมียามรักษาการณ์อยู่


สวบๆๆ…


มีกองกำลังยามรักษาการณ์ถึงห้ากองอย่างรวดเร็ว พวกเขาต่างคนต่างทะยานไปยังทางเมฆสายหนึ่ง


“หืม” ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่ารอบๆ ทางเมฆมีอุปสรรคอันไร้รูปร่างอยู่ “ต้องรับมือศัตรูตามลำพังหรือนี่ มิอาจร่วมมือกันได้แล้วหรือ”


ก็ถูกต้องแล้ว


ยิ่งนานไป สิ่งที่มอบให้ก็จะยิ่งน่าตกใจ ผู้ที่จะได้รับมอบก็ย่อมต้องเป็นผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งพอ


สวบๆๆ…


ตงป๋อเสวี่ยอิงพลันอันตรธานไปในพริบตา รอบด้านมีเมฆหมอกแผ่กำจายออกไปรางๆ เงาร่างของเขาปรากฏขึ้นกลางมิติเล็กจิ๋วหลายๆ แห่งในเมฆหมอกอย่างน่าประหลาด เขาเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ อย่างไม่หยุดหย่อน เพียงแต่ว่าบางครั้งก็จะลอบโจมตีเพื่อตรวจดูพลังของศัตรูบ้าง! ขณะเดียวกันเขาก็แบ่งสมาธิไปสังเกตการห้ำหั่นที่เกิดขึ้นบนทางเมฆอีกสี่สายด้วย หมายจะเข้าใจความเป็นไปของศัตรูผ่านการชมการต่อสู้ ด่านสิบสองกัลป์นี้ ยังไม่ต้องลงมือเขาก็รู้ว่าจะต้องยากลำบากมากอย่างแน่นอน แม้แต่พวกมหาเคารพผู่ซู่ก็ยังไม่มั่นใจ เขา ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยิ่งต้องระมัดระวังเข้าไปใหญ่


“ร้ายกาจถึงเพียงนี้เชียวหรือ”


ตงป๋อเสวี่ยอิงตกใจ


ตัวเขาเองมีการรักษาชีวิตอันแข็งแกร่ง ทั้งยังอาศัยเขตพลังเมฆาแดงที่ปรับปรุงแล้ว จึงย่อมถ่วงเวลาออกไปได้ชั่วคราว


แต่มหาเคารพผู่ซู่ จอมเคารพกระบี่ปีศาจและจวินอ๋องดำกลับปะทุการห้ำหั่นอย่างดุเดือดออกมาทันที จะมีก็แต่พรานผู้ล่าเท่านั้นที่พยายามหลบหนีอย่างสุดกำลัง คิดจะเฝ้าดูให้รู้จักศัตรูเสียก่อน


“ปังๆๆ…”


ห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด


กองกำลังยามรักษาการณ์แต่ละกองนั้นมีสิบหกคนด้วยกัน พวกเขาร่วมมือกันอย่างสมบูรณ์แบบ กระบวนท่าพิสดาร เชี่ยวชาญทางด้านอากาศ วิถีดาบและอื่นๆ มากมาย และถึงขั้นเชี่ยวชาญกระบวนท่าทางด้านวิญญาณอีกด้วย


ปังๆๆ…


มหาเคารพผู่ซู่และจวินอ๋องดำได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างต่อเนื่อง พรานผู้ล่าที่รีบหนีไปนั้นก็เริ่มได้รับบาดเจ็บสาหัสบ้าง จะมีก็แต่จอมเคารพกระบี่ปีศาจเท่านั้นที่สถานการณ์ยังดีอยู่


“ฟิ้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างกวาดผ่านเขาไป ร่างกายของเขาสั่นสะท้านเล็กน้อยคราหนึ่ง จากนั้นค้อนใหญ่อันน่าหวาดหวั่นอันหนึ่งก็เคลื่อนเข้ามา เขาก็ถูกศัตรูกระแทกออกจากมิติเล็กจิ๋วเสียงดังปัง จากนั้นก็มีประกายดาบ เงาหอกและค่ายกลที่ปกคลุมเข้ามาต่อเนื่องกัน


ณ อีกด้านหนึ่ง…


“แย่แล้ว”


สถานการณ์ของมหาเคารพผู่ซู่เลวร้ายถึงขีดสุด แม้พยายามสกัดกั้นสุดชีวิต แต่แทบจะในชั่วพริบตา ก็ประสบกับท่าไม้ตายเก้าระลอกต่อเนื่องกัน เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสเจียนตายทันที


วิ้ง!


พละกำลังอันไร้รูปร่างปกคลุมเข้ามาแล้วเคลื่อนย้ายมหาเคารพผู่ซู่ออกไป เพราะหากยังไม่เคลื่อนย้ายออกไปอีกเขาก็คงจะต้องตายแล้ว!


มหาเคารพผู่ซู่ถูกเคลื่อนย้ายและขับออกจากวังเทพจิตโลกา! เส้นทางวังเทพจิตโลกาของเขาก็สิ้นสุดลงแต่เพียงเท่านี้


“น่ากลัวเกินไปแล้ว” ในขณะนี้ทั้งจวินอ๋องดำ พรานผู้ล่าและตงป๋อเสวี่ยอิงล้วนถูกบีบบังคับให้ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก


“ยามรักษาการณ์เหล่านี้ก็ร่วมมือกันได้อย่างสมบูรณ์แบบเกินไปแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่สนใจสิ่งอื่นใดอีกต่อไป เขาต้องพยายามสุดชีวิตแล้ว เมื่อครู่ยังคิดว่าอาศัยวิธีการทางด้านบริเวณหรือวิธีด้านรักษาชีวิตก็จะสามารถตรวจสอบให้รู้ดำรู้แดงมากหน่อย แต่ตอนนี้เห็นทีคงจะน่าขันเกินไปเสียแล้ว

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)