Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 34 ตอนที่ 39-44
ภาคที่ 34 เทพจักรวาล...
ตอนที่ 39 ฟ้าหลังฝนอันสดใส
เดิมทีเขาเดินอยู่บนถนนที่ปูลาดด้วยแผ่นหิน ก็ประสบกับทางแยกหลายแห่ง ทั้งหมดล้วนสงบเงียบเป็นอย่างยิ่ง แต่ทันใดนั้น ณะที่เท้าหนึ่งของเขาเหยียบลงไปบนหินแผ่นหนึ่งนั้นเอง แผ่นหินก็ยุบจมลงไปในทันใด พลังดูดกลืนขุมหนึ่งทำงานบนร่าง แล้วดูดกลืนตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าไป หลังจากนั้นแผ่นหินก็กลับคืนสู่สภาพเดิม กลับไปเป็นถนนที่ปูลาดด้วยแผ่นหินตามปกติ
และที่ส่วนลึกใต้ดิน ในห้องลับใต้ดินอันลึกล้ำแห่งหนึ่ง ตงป๋อเสวี่ยอิงร่วงหล่นลงมาถึงที่นี่ เขาลุกขึ้นยืนแล้วสังเกตรอบด้านอย่างระมัดระวัง
“ผู้แกร่งกล้า ‘หยวน’ ระดับสูงผู้นั้น ต่อให้อยากจะให้โอกาสกับผู้อ่อนแอ ก็ยังวางกับดักอันหนักหน่วงเอาไว้อยู่ดีนั่นแหละ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบบ่นพึมพำ เจ้าเมืองหลัวใจกว้างเพียงใด ถึงกับส่งมอบเมล็ดพันธุ์บุปผาโลกาให้กับตน แน่นอนว่าหนึ่งคือเดิมทีตนกับเจ้าเมืองหลัวก็รู้จักกันอยู่แล้ว สองก็คือบ้านเกิดของตนกำลังเข้าใกล้มหาวินาศอย่างรวดเร็ว เจ้าเมืองหลัวจึงได้มอบของกำนัลให้
“ถ้าหากตอนนั้นคารวะบรรพชนฝานเป็นอาจารย์ บางทีอาจจะง่ายดายกว่ามากแล้วกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มกับตนเองคราหนึ่ง
เขามิได้นึกเสียใจเลย
ถึงอย่างไรตอนนั้นที่กลับชาติมาเกิดยังดินแดนจิตโลกา เขาก็ไม่มีทางทำนายได้อยู่แล้วว่าตนเองจะสามารถคิดค้น ‘เคล็ดไร้ทลายเก้ากัณฑ์’ ออกมาได้! ถ้าหากคาดการณ์ได้ว่าตนจะร้ายกาจถึงเพียงนี้ เขาก็จะมีความมั่นใจว่าหลังจากที่เข้าสู่แก่นสำคัญของสกุลฝานแล้วจะสามารถสะสมความดีความชอบได้มากพอสำหรับการแลกเปลี่ยนเป็นเคล็ดร่างแยกแล้ว
น่าเสียดายที่แม้กระทั่งระดับขั้นเช่นเขาก็ยังมิอาจทำนายความสำเร็จในอนาคตของตนเองได้เลย
ดังนั้นเขาจึงได้เลือกท่านอาจารย์ประมุขรัฐเมฆทักษิณา! ได้เคล็ดร่างแยกมาไว้ในมือแต่เนิ่นๆ
“วังเทพจิตโลกา ผันผวนมิอาจคาดเดาได้! ต่อให้หารูปแบบบางอย่างออกมาได้ คิดจะได้รับสมบัติล้ำค่ามาก็มิได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงมั่นใจในจุดนี้ การจะได้สมบัติล้ำค่าของวังเทพจิตโลกามานั้นเป็นเรื่องยากเย็นอย่างยิ่ง ‘หยวน’ ย่อมไม่มีทางให้เด็กรุ่นหลังเหล่านี้ได้สมบัติล้ำค่าไปง่ายๆ อยู่แล้ว
“ถึงแม้ว่าข้าจะเคลื่อนไหวด้วยตัวคนเดียว สุดท้ายใครจะได้ประโยชน์มากที่สุดก็ยังพูดได้ยากเลย”
พรึ่บ
ตงป๋อเสวี่ยอิงกุมหอกเทพเมฆาแดงเอาไว้ในมือ เดินภายในห้องลับใต้ดินอย่างระมัดระวัง
อ้างอิงจากข้อมูลที่ท่านอาจารย์ให้ตนมา ห้ามเหินบินที่วังเทพจิตโลกา! ห้ามหลบหนีไปง่ายๆ! มีเส้นทางก็ต้องเดินตามเส้นทาง มีบันไดก็ต้องเดินตามบันได เช่นนี้ก็จะปลอดภัยกว่า…กล้าเหินบินเช่นพวกจักรพรรดิเซี่ย จักรพรรดิชาง และมหาเคารพฝูอี่นั้นคือผู้ที่พลังยุทธ์แข็งแกร่ง มีความมั่นใจว่าสามารถต่อกรกับภยันตรายต่างๆ นานาได้
นอกจากระดับขั้นสุดยอด แม้กระทั่งบรรดามหาเคารพ ก็ยังต้องเดินตามทางไปอย่างซื่อสัตย์
“สถานที่แห่งนี้” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยายามรับสัมผัสรอบด้าน แต่กลับสามารถสัมผัสได้เพียงแค่พลานุภาพอันยิ่งใหญ่มหาศาลแผ่ปกคลุมไปทุกทิศทุกทาง อาณาบริเวณที่ตนสามารถรับสัมผัสได้นั้นน้อยนิดยิ่งนัก แผ่วงกว้างกว่านี้ก็ถูกสกัดกั้นเสียแล้ว
เดินมาตลอดทาง
“สวบๆๆ”
เดินมาครึ่งชั่วยามก็ยังคงอยู่ในอุโมงค์ใต้ดินอันมืดหม่นเช่นเดิม เพียงแต่ด้านหน้าพลันมีเสียงดังขึ้นในทันใด
“หืม” ตงป๋อเสวี่ยอิงตื่นตัวระแวดระวัง
แมลงที่มีเปลือกแข็งสีดำเป็นมันเงาพุ่งตรงออกมาจากบนกำแพงอุโมงค์ด้านข้าง ดวงตาเล็กทั้งสองจ้องมองตงป๋อเสวี่ยอิง ระยะห่างระหว่างสองฝ่ายเพียงแค่ไม่กี่ร้อยลี้เท่านั้น สำหรับระดับเทพจักรวาล ระยะทางเช่นนี้นับว่าแสนสั้นยิ่งนัก! แต่ก่อนหน้าที่มันจะพุ่งออกมาจากกำแพงอุโมงค์ เขตพลังของตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิได้สังเกตพบเลยแม้แต่น้อย
พรึ่บ
มันหายตัวไปในทันใด แล้วพร้อมกันนั้นก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าตงป๋อเสวี่ยอิง กรงเล็บทั้งสองฉีกทึ้งทรวงอกของตงป๋อเสวี่ยอิง แต่เงาร่างนี้กลับค่อยๆ เลือนหายไป
“รวดเร็วเสียจริง” ตงป๋อเสวี่ยอิงกุมหอกยาวเอาไว้ในมือ แต่กลับปรากฏตัวขึ้นยังอีกแห่งหนึ่ง ถึงแม้ว่าแรงกดดันทั่วทั้งวังเทพจิตโลกาต่างก็ร้ายกาจจนมิอาจเคลื่อนที่ในพริบตาได้ แม้จะอาศัยหอกเทพ เขตพลังเมฆาแดงของเขาก็ยังรักษาอาณาบริเวณไว้ได้เพียงแค่ร้อยลี้เท่านั้น แต่ก็เพียงพอสำหรับหลบเลี่ยงการโจมตีของตัวด้วงอันแปลกประหลาดนี้แล้ว
“ตัวด้วงนี่ช่างรวดเร็วยิ่งนัก เหนือกว่าข้าเสียอีก! ดูเหมือนว่าพลังการโจมตีจะไปถึงเทพจักรวาลชั้นที่สองแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงทำการคาดเดาออกมาในทันที
ตัวด้วงสีดำพลันกางปีกที่มีเปลือกแข็งออกมา
เปรี้ยงๆ สายฟ้าสีม่วงแลบแปลบปลาบ
ฟิ้ว ฟิ้ว!
ความเร็วของตัวด้วงสีดำพุ่งสูงขึ้นอีกครั้งแล้วโจมตีตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างบ้าคลั่ง
“ฟึ่บ”
ต่อให้ตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถอาศัยเขตพลังเมฆาแดงหลบหลีกได้ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าอีกฝ่ายที่มีความรวดเร็วจนชวนให้คนตกใจ หนีห่างไปร้อยลี้… ก็มิได้มีประโยชน์มากมายสักเท่าใดเลย โรมรันกันเพียงแค่สามครั้ง กรงเล็บของตัวด้วงสีดำก็ปะทะเข้าด้วยกันกับหอกยาวของตงป๋อเสวี่ยอิง ตัวด้วงสีดำถูกทำให้ตกใจกลัวจนถอยหลังไป ดวงตาเล็กจ้องตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างเอาเป็นเอาตาย
“โฮก…” ทันใดนั้นมันก็ส่งเสียงคำรามอันทรงพลังอย่างยิ่งออกมา
ฉึกๆๆ… เพียงไม่นาน บริเวณรอบๆ ก็มีเสียงฉึกๆๆ ดังลอยมา
ตงป๋อเสวี่ยอิงสีหน้าแปรเปลี่ยน
ทันใดนั้นทุกบริเวณบนกำแพงอุโมงค์ใต้ดินก็มีตัวด้วงสีดำเจาะออกมา ตัวด้วงสีดำหลายร้อยตัวแน่นขนัดอยู่ที่ตำแหน่งต่างๆ กันในอุโมงค์ใต้ดินเส้นนี้
“ข้าเพิ่งจะเข้ามาที่วังเทพจิตโลกาเท่านั้นเอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้มีความผ่อนคลายสบายใจดังเช่นก่อนหน้านี้อีกแล้ว ก่อนหน้านี้เขายังมีกะจิตกะใจอยากศึกษาพลังยุทธ์ของตัวด้วงสีดำ แต่ในตอนนี้… สิ่งที่เขาคิดก็คือไม่ว่าอย่างไรก็อย่าถูกตัวด้วงสีดำเหล่านี้ขับออกไปจากวังเทพจิตโลกาเป็นอันขาด
อ้างอิงจากข้อมูล
เมื่อใดที่ต้านทานภยันตรายภายในวังเทพจิตโลกาเอาไว้ไม่อยู่ ก็ต้องถูกเคลื่อนย้ายส่งตัวออกไป การผจญภัยภายในวังเทพจิตโลกาในคราวนี้ก็นับว่าสิ้นสุดลงแล้ว
แต่เขาก็ไม่ยอมจำนนใจรับความพ่ายแพ้เช่นนี้
“พรึ่บ!”
ตงป๋อเสวี่ยอิงทุ่มเทอย่างสุดกำลังแล้วจริงๆ อาศัยอาภรณ์ราชันย์มารสำแดงเขตลวงโลกเทียมอย่างสุดแรงเขตลวงอันกว้างใหญ่ไพศาลแผ่ปกคลุมทุกทิศทุกทาง ทันใดนั้นตัวด้วงสีดำเหล่านี้แต่ละตัวก็เริ่มปวดเศียรเวียนเกล้าราวกับเมามายก็มิปาน จากนั้นแต่ละตัวก็ร่วงหล่นลงบนพื้น ไม่มีแรงต้านทานอีกต่อไป! อีกทั้งพวกมันแต่ละตัวยังติดกับลงไปในส่วนลึกใต้ดินอย่างเงียบงันไร้สุ้มเสียงแล้วหายลับไปต่อหน้าต่อตาในทันใด
“ยังดีที่เขตลวงโลกเทียมยับยั้งพวกมันเอาไว้ได้พอดี” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ
เขตลวงโลกเทียมก็คือหนึ่งในท่าไม้ตายสำคัญของเขา
ถึงอย่างไรต่อให้เป็นมหาเคารพ ก็เพียงแค่อาศัยสุดยอดสมบัติลับล้ำค่าจึงได้มีพลังยุทธ์อันแข็งแกร่งเช่นนั้น วิญญาณก็มิได้มีความแตกต่างกับเทพจักรวาลชั้นที่สองเลย เผชิญกับเขตลวงโลกเทียมของตงป๋อเสวี่ยอิง โดยทั่วไปแล้วต่างก็ต้องแบ่งพลังจิตมาบางส่วน ไม่สามารถสำแดงพลังยุทธ์ที่กล้าแกร่งที่สุดออกมาได้
……
กาลเวลาเคลื่อนผ่าน
เพียงพริบตาเดียวก็ผ่านไปสองหมื่นปีเศษแล้ว
“ข้า ข้าออกมาแล้ว”
ในที่สุดตงป๋อเสวี่ยอิงก็เห็นแสงสว่างลอยเข้ามาตรงหน้า ด้วยวิสัยทัศน์ของเขาก็สามารถมองเห็นหุบผาอันกว้างใหญ่ภายนอกผ่านจุดสิ้นสุดของอุโมงค์ทางเดินที่อยู่ไกลออกไปได้ในทันใด
ถึงแม้ว่าเขาจะตื่นเต้น แต่ก็ยังเดินเข้าไปยังส่วนสุดท้ายของอุโมงค์ใต้ดินแห่งนี้อย่างระมัดระวัง
ยามที่เดินออกมาจากปากถ้ำ จิตใจของตงป๋อเสวี่ยอิงก็อดที่จะตื่นเต้นยินดีเป็นอย่างยิ่งมิได้
“ติดอยู่ใต้ดินมาตลอดสองหมื่นกว่าปีเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูอุโมงค์ทางเดินด้านหลังปราดหนึ่ง อุโมงค์ใต้ดินแห่งนี้ราวกับไร้ซึ่งขอบเขต มีภยันตรายต่างๆ นานา ตนเองทุ่มเทสุดชีวิตคิดหาทุกวิธี ถึงขนาดที่สำแดงวิธีการที่เสี่ยงชีวิตบางอย่างออกมาเลยทีเดียว จึงได้โชคดีมีชีวิตรอดมาจนถึงบัดนี้ได้
“เคราะห์ดีที่ก่อนข้าจะมาที่วังเทพจิตโลกา ได้แลกเปลี่ยนวัสดุสองชิ้นนั้นกับท่านอาจารย์มาก่อนแล้ว และได้บำเพ็ญร่างเมฆทักษิณาทิพย์ไปจนถึงชั้นที่สิบสองอันสมบูรณ์แล้วด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ “ถ้าหากมิใช่เพราะมีกระบวนท่าที่พึ่งพาได้ เกรงว่าข้าก็คงจะถูกขับไล่ออกไปจากใต้ดินนั้นแล้ว”
ทุกครั้งที่เปิดวังเทพจิตโลกาต่างก็มีผู้เข้ามาเป็นจำนวนมาก
ถึงแม้ว่าส่วนมากต่างก็มีผู้หนุนหลังทั้งสิ้น ผู้ที่ไม่มีผู้หนุนหลังเช่นตงป๋อเสวี่ยอิงนี้มีน้อยจนสามารถนับนิ้วได้ แต่ผู้ที่มีผู้หนุนหลังและมีบุคคลผู้ไร้เทียมทานสนับสนุนข้อมูลโดยละเอียดให้แล้วได้รับประโยชน์เป็นอย่างมากโดยแท้จริงอย่างมนุษย์น้ำแข็งก็มีน้อยเป็นที่สุดอยู่ดี
“หืม”
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเห็นหุบผาขนาดใหญ่และสะพานแขวนข้ามหุบผาเส้นหนึ่งตรงหน้าแล้ว
เขาเดินไปตามทางเล็ก มุ่งหน้าไปยังปากสะพานแขวนอย่างรวดเร็ว
อ้างอิงจากข้อมูลประสบการณ์ที่ท่านอาจารย์มอบให้…ที่วังเทพจิตโลกานี้ หากพบทางก็เดินตามทาง หากพบสะพานก็เดินข้ามสะพาน หากพบบันไดก็เดินบนบันได! ในท้ายที่สุดแล้วหากทำตามความตั้งใจของบุคคลที่ก่อตั้งวังเทพจิตโลกาผู้นั้น เช่นนั้นก็น้อยนักที่จะประสบเคราะห์ แต่ถ้าหากโง่งมไม่ยอมเดินบนสะพานแขวน แต่บินตรงผ่านหุบผา เกรงว่าคงจะต้องประสบกับอันตรายใหญ่หลวงในทันที!
แน่นอนว่าการที่พวกจักรพรรดิเซี่ยกล้าฝ่าฝืนก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งแล้ว! ตนเองมีพลังยุทธ์ระดับนี้ก็เดินอย่างซื่อๆ ไปเสียเถิด
“ช่างหนาวเสียจริง”
เดินบนสะพานแขวน
สะพานแขวนหนาวเหน็บหาใดเปรียบ ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินอยู่ข้างบน ไอหนาวอันไร้รูปร่างก็แพร่ผ่านจากใต้ฝ่าเท้าไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย คล้ายว่าการกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอดก็ยังมิอาจต้านทานเอาไว้โดยสมบูรณ์ได้
มีหลายครั้งที่ ‘การกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอด’ อยู่ภายในวังเทพจิตโลกาแล้วเกิดการยับยั้ง
เห็นได้ชัดว่าสำหรับผู้แกร่งกล้าระดับสูงกว่าที่หนีออกไปจากกรงขังของโลกแห่งนี้แล้ว การกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอดก็ไม่ควรค่าแก่การพูดถึงเลย
เดินไปถึงครึ่งหนึ่งของสะพานแขวน
พรึ่บ
ไอหนาวอันไร้ที่สิ้นสุดรวมตัวกันออกมาเป็นสัตว์ประหลาดที่เป็นน้ำแข็งตลอดร่างตนหนึ่งอย่างรวดเร็วยิ่ง มันมีหางเส้นยาวและมีสามหัว
“ฆ่ามัน”
ทันใดนั้นร่างเดียวของตงป๋อเสวี่ยอิงก็แยกออกเป็นสามร่าง
พลังของตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งสามร่างพุ่งสูงเสียดฟ้า หนึ่งในนั้นสะพายหอกยาวเล่มหนึ่ง อาศัยหอกยาวสำแดง ‘เคล็ดการร่วมโจมตี’ กระแสน้ำวนใหญ่มหึมาปรากฏขึ้นระหว่างตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งสาม ร่างกายของพวกเขาทุกคนต่างก็เปล่งประกายเจิดจรัส อีกทั้งยังปล่อยหมัดออกมาพร้อมกัน พลังคุกคามอันน่าหวาดหวั่นสามสายรวมกันเป็นจุดเดียวอย่างรวดเร็ว
“ปัง…”
ทลายเวหาอันสมบูรณ์! สามร่างแยกร่วมโจมตี!
เดิมทีภายใต้เขตลวงโลกเทียม สัตว์ประหลาดน้ำแข็งตนนั้นก็ยากจะรับได้อยู่แล้ว บวกกับตรงหน้าก็เริ่มฉีกออกเป็นโพรงสีดำสนิทขนาดมหึมา ร่างกายของสัตว์ประหลาดน้ำแข็งตนนี้ก็ถูกฉีกทึ้งภายใต้โพรงสีดำสนิท ร่างกายส่วนที่เหลืออยู่ก็ถูกพลังคุกคามขุมนี้ทำให้ตื่นตระหนกจนสูญสลายไป
“จัดการ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งสามที่ยืนอยู่บนสะพานแขวนต่างก็เผยรอยยิ้ม
เขาต่อสู้อยู่ใต้ดินมาสองหมื่นปีเศษ ได้ผสานรวมเคล็ดการร่วมโจมตี ‘ทลายเวหา’ กับ ‘ยุทธวิธีเมฆาแดง’ เข้าด้วยกันจนสมบูรณ์แบบอย่างที่สุดแล้ว
เดิมทีเคล็ดทลายเวหาอันสมบูรณ์ก็เป็นเคล็ดไม้ตายที่เป็นห้าสายผสานรวมกัน อีกทั้งยังมีชื่อเสียงเลื่องลือในด้านพลานุภาพอันแกร่งกล้า!
สามเคล็ดวิชาผสานรวมกันอย่างสมบูรณ์โดยอาศัยเคล็ดการร่วมโจมตี
พลังคุกคามก็ยิ่งน่าหวาดหวั่น
คาดว่าต่างก็ไปถึงขอบกั้นระดับเทพจักรวาลชั้นที่สามแล้ว ก็เป็นเคล็ดวิชาที่แข็งแกร่งที่สุดของตงป๋อเสวี่ยอิงในตอนนี้
……
เผชิญกับภยันตรายบนสะพานแขวนเพียงแค่สามระลอกเท่านั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เดินไปถึงอีกด้านหนึ่งของสะพานแล้ว ที่บริเวณไกลออกไปก็สามารถมองเห็นโถงตำหนักแห่งหนึ่งได้แล้ว
“ในที่สุดก็เห็นโถงตำหนักเสียที” ตงป๋อเสวี่ยอิงตื่นเต้นยินดีในใจ
อ้างอิงจากประสบการณ์ของคนก่อนๆ ตามปกติแล้วโถงตำหนักจะมีสมบัติล้ำค่าอยู่ แต่ก็จะอันตรายมากยิ่งขึ้นเช่นกัน
ตงป๋อเสวี่ยอิงก้าวยาวๆ หมายจะมุ่งหน้าเข้าใกล้โถงตำหนักที่อยู่ไกลออกไป
“พรึ่บ”
ระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างขุมหนึ่งพันธนาการตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้ จากนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็รู้สึกว่าภาพตรงหน้ารางเลือน
“เผชิญกับภยันตรายอีกแล้วหรือ อย่าขังข้าไว้ใต้ดินสองหมื่นกว่าปีเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงกระวนกระวายขึ้นมาในทันใด ได้เห็นโถงตำหนักแล้ว เผชิญกับภยันตรายอีกได้อย่างไรกันเล่า
……
เคลื่อนที่ผ่านห้วงอากาศ แปรเปลี่ยนเป็นมายา
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูเบื้องหน้าอย่างตกตะลึง
นี่คือจัตุรัสอันใหญ่โตมโหฬารแห่งหนึ่ง ที่ศูนย์กลางจัตุรัสก็คือเจดีย์ที่สูงถึงสิบชั้นแห่งหนึ่ง ส่วนบริเวณโดยรอบจัตุรัสล้วนเต็มไปด้วยไอหมอกสีขาว
“ที่นี่หรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงงุนงงอยู่บ้าง
“เจ้าเด็กน้อย ตรงหน้าเจ้าก็คือเจดีย์คละถิ่น เจดีย์คละถิ่นมีสิบชั้น ชั้นที่ห้าขึ้นไปก็สามารถได้สุดยอดสมบัติลับล้ำค่ามาได้ ยิ่งขึ้นไปสูงก็ยิ่งมีข้อดีมาก ทุกคนที่มีป้ายคำสั่งจิตโลกา มาที่วังเทพจิตโลกาเป็นครั้งแรก บุกผ่านสองอาณาเขตต่างก็มีโอกาสเช่นนี้ ชั่วชีวิตหนึ่งเจ้าก็มีโอกาสเพียงครั้งเดียว คว้าโอกาสเอาไว้เถิด” เสียงหนึ่งก้องสะท้อนอยู่ในห้วงสมองของตงป๋อเสวี่ยอิง พร้อมกันกับข้อมูลจำนวนมหาศาลซึ่งเป็นข้อมูลเกี่ยวกับเจดีย์คละถิ่น
ตงป๋อเสวี่ยอิงตื่นตระหนก
เขาเข้าใจในทันที
เจดีย์คละถิ่น…
ที่วังเทพจิตโลกา สิ่งใดๆ ที่มีชื่อว่า ‘คละถิ่น’ ล้วนแล้วแต่ไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง
และผู้กลับชาติมาเกิดที่มีป้ายคำสั่งจิตโลกา มีเพียงการมาที่วังเทพจิตโลกาเป็นครั้งแรก อีกทั้งยังต้องบุกผ่านสองอาณาเขตอย่างปลอดภัย จึงจะมีคุณสมบัติเข้ามาได้ นี่ก็คือของกำนัลชนิดหนึ่งที่ ‘หยวน’ มอบให้กับผู้ที่ได้รับป้ายคำสั่งจิตโลกาทุกคน ให้โอกาสแล้ว จะคว้าโอกาสไว้ได้หรือไม่ก็ต้องขึ้นอยู่กับเจ้าเด็กรุ่นหลังแล้ว
“วังเทพจิตโลกาแห่งนี้ ถึงแม้ว่าภยันตรายจะเข้ามาอย่างฉับพลันเหลือเกิน แต่โอกาสนี้ก็มาถึงอย่างฉับพลันยิ่งเช่นเดียวกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงกลั้นหายใจ
ภาคที่ 34 เทพจักรวาล...
ตอนที่ 40 การบำเพ็ญภายในเจดีย์
ตงป๋อเสวี่ยอิงเงยหน้าขึ้นมองเจดีย์สูงสิบชั้นที่อยู่ตรงกลางจัตุรัสแห่งนั้น จิตใจที่ตื่นเต้นปั่นป่วนค่อยๆ สงบลง
ตนเองคิดหาทุกวิถีทางที่จะได้รับโอกาสเข้ามายัง ‘วังเทพจิตโลกา’ อีกทั้งยังได้วัตถุหายากสองชิ้นในการบำเพ็ญร่างเมฆทักษิณาทิพย์เพิ่มเติม เพื่ออะไรกัน ก็มิใช่เพราะอยากทำให้พลังยุทธ์ของตนแข็งแกร่งขึ้นหรอกหรือ ยิ่งสามารถรั้งอยู่ใน ‘วังเทพจิตโลกา’ ได้นานขึ้น ก็จะได้โอกาสครั้งใหญ่มาง่ายขึ้นอย่างนั้นหรือ ถึงแม้จะบอกว่าตนก้มหน้าก้มตาบำเพ็ญ ก็ได้แต่ค่อยๆ ยกระดับขึ้น
แต่เวลาไม่คอยใคร ผู้ใดก็มิอาจล่วงรู้ได้ว่าโลกกำเนิดบ้านเกิดจะเกิดมหาวินาศขึ้นเมื่อใด
มีคนก่อนหน้านี้ที่สำเร็จการชี้นำของวิถี บางทีความช่วยเหลือของผู้แกร่งกล้าแห่งโลกระดับที่สูงขึ้นผู้สามารถหนีออกจากกรงขังแห่งนี้ได้ก็อาจทำให้การบำเพ็ญเพิ่มความเร็วขึ้นเป็นอย่างมากได้!
“ทุ่มเทไปมากมายถึงเพียงนี้ ดิ้นรนมาจนถึงตอนนี้ ก็เพื่อโอกาส! แล้วตอนนี้โอกาสก็มาอยู่ตรงหน้าข้าแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ “แม้กระทั่ง ‘หยวน’ ก็พูดแล้วว่าโอกาสเช่นนี้มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นในชีวิต! หากพลาดไปก็ไม่มีอีกแล้ว”
“จะต้องคว้าโอกาสครั้งใหญ่นี้เอาไว้ให้ได้ มิฉะนั้นในภายภาคหน้าข้าจะต้องนึกเสียใจอย่างแน่นอน!”
ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่อยากให้โลกกำเนิดบ้านเกิดพังพินาศแล้วตนก็ได้แต่เศร้าโศกเสียใจอยู่ที่ดินแดนจิตโลกาอย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย…
นี่มิใช่สิ่งที่ตนต้องการเสียหน่อย!
ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินทอดน่องอยู่บนจัตุรัสอันโดดเดี่ยว มาถึงตรงหน้าเจดีย์แล้วก็เงยหน้าขึ้นมองชั้นสิบของเจดีย์อันสูงเสียดฟ้า
ก้มหน้าเข้าไปตามทางเข้าของเจดีย์
ด้านในของเจดีย์ใหญ่โตอย่างยิ่ง ตรงกลางคือเสาต้นหนึ่ง บริเวณโดยรอบเสาล้อมรอบด้วยบันไดไม้มุ่งไปยังชั้นที่สูงขึ้น!
“ฟู่” ตงป๋อเสวี่ยอิงเหยียบย่างลงบนบันไดไม้ก้าวหนึ่ง ก็รู้สึกได้ถึงพลังมหาศาลอันไร้ที่สิ้นสุดขับไล่อยู่บนร่างกายของตน แล้วก็ร่นถอยหลังไปสองก้าวโดยไม่รู้ตัว
“ดูท่าจะต้องแกะสลักผนังเจดีย์ชั้นที่หนึ่งให้เสร็จหมดก่อนจึงจะขึ้นไปยังชั้นที่สองได้สินะ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงแย้มยิ้มแล้วสายตาก็จับอยู่บนเสาตรงกลางในทันที
บนเสาทรงกลมมีภาพค่ายกลอันเร้นลับภาพแล้วภาพเล่าซึ่งต่างก็เป็นภาพค่ายกลของวิถีอากาศ มีภาพค่ายกลอยู่ทั้งสิ้นสิบภาพ
“หากข้าแกะสลักภาพค่ายกลสิบภาพลงบนกำแพงเจดีย์เสร็จหมดแล้วก็จะสามารถเข้าสู่ชั้นที่สองได้อย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกวาดสายตา มีกำแพงที่ล้อมรอบเจดีย์ชั้นที่หนึ่งอยู่สิบด้านพอดิบพอดี บนกำแพงว่างเปล่าไร้ซึ่งสิ่งใดๆ
พร้อมกันกับที่ ‘หยวน’ ถ่ายเสียงให้ตนเมื่อครู่ ก็ได้ส่งข้อมูลเกี่ยวกับเจดีย์คละถิ่นมาให้ด้วย!
‘เจดีย์คละถิ่น’ ทั้งหมดสิบชั้น
ทุกชั้น ตนเองต่างก็ต้องแกะสลักภาพสิบภาพลงบนผนังภายในเจดีย์ ภาพค่ายกลล้วนมาจากเสากลมตรงกลางทั้งสิ้น
ตนเองจะต้องศึกษาให้ได้! และแกะสลักให้สำเร็จ!
แน่นอนว่าไม่สามารถให้เวลาอันไร้ขีดจำกัดกับตนได้อยู่แล้ว…
อย่างนานที่สุด ‘หนึ่งล้านปี’ ก็ต้องแกะสลักภาพค่ายกลภาพหนึ่งได้สำเร็จ ถ้าหากถึงกำหนดเวลาหนึ่งล้านปีแล้วยังแกะสลักภาพค่ายกลออกมาไม่ได้สักภาพเดียวก็หมายถึงความล้มเหลว!
อ้างอิงจากความสำเร็จในท้ายที่สุด ก็จะต้องมีของกำนัลในระดับที่แตกต่างกัน!
เพียงแค่แกะสลักกำแพงเจดีย์เต็มสี่ชั้น เหยียบย่างเข้าสู่ชั้นที่ห้า ถึงแม้ว่าจะล้มเหลว ก็จะได้รับของกำนัลเป็นสุดยอดสมบัติลับล้ำค่าที่เหมาะสมกับตนเองชิ้นหนึ่งแล้ว!
แกะสลักเต็มห้าชั้น… หกชั้น… เจ็ดชั้น… แปดชั้น… เก้าชั้น… หรือแม้กระทั่งสิบชั้น!
ยิ่งสามารถทำสำเร็จเสร็จสิ้นได้มากขึ้น ของกำนัลก็ยิ่งอลังการมากขึ้น
“ช่างล้ำเลิศเสียจริง” ตงป๋อเสวี่ยอิงเงยหน้าขึ้นมองดูภาพค่ายกลสิบภาพบนเสากลมตรงกลาง “เป็นความเร้นลับของวิถีอากาศทั้งหมดเลย นอกจากนี้ยังเป็นความเร้นลับที่เป็นการผสานรวมกันของ ‘ภาพฟ้าและภาพดิน’ พอดี หรือว่าเจดีย์คละถิ่นแห่งนี้จะขึ้นอยู่กับระดับขั้นของผู้มา แล้วปรากฏเป็นภาพค่ายกลที่แตกต่างกันขึ้นมาเล่า”
เคยพบกับเจ้าเมืองหลัวมาก่อน
ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่อัศจรรย์ใจกับ ‘ผู้แกร่งกล้าคละถิ่น’ ที่หนีออกจากกรงขัง เข้าสู่ห้วงมิติระดับชั้นสูงกว่าแล้วสามารถล่วงรู้ระดับขั้นของตนได้อย่างง่ายดายอีกต่อไปแล้ว
สิ่งที่เขาประหลาดใจก็คือเจดีย์คละถิ่นสามารถกำหนดการทดสอบที่ไม่เหมือนกันให้กับผู้มาที่แตกต่างกันได้อย่างรวดเร็วต่างหาก
“อย่างมากที่สุดหนึ่งล้านปีต่อหนึ่งภาพ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ “เจดีย์ชั้นหนึ่ง อย่างนานที่สุดก็สามารถรอได้เพียงแค่สิบล้านปีเท่านั้น”
สิบล้านปีดูเหมือนจะยาวนาน
แต่ในความเป็นจริงแล้วสำหรับเทพจักรวาลก็นับได้ว่าเป็นเพียงแค่การบำเพ็ญระยะสั้นเท่านั้นเอง
“ข้าต้องใช้เวลาเต็มสิบล้านปีในแต่ละชั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงคำนวณอย่างรวดเร็ว “อีกทั้งเวลาในช่วงนี้ข้าต้องทุ่มเทอย่างสุดกำลังในการหยั่งรู้วิถีอากาศ! เจ้าเมืองหลัวให้ ‘บุปผาโลกา’ กับข้าเป็นของกำนัลทั้งหมดเก้าดอก ในช่วงเวลาที่บุกเจดีย์คละถิ่น ข้าเสียไปเจ็ดแปดดอกก็คุ้มค่าอยู่ดี!”
ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเหลือเอาไว้ดอกหนึ่ง
เหลือเอาไว้ใช้ในภายหน้าตอนที่เก้าสายผสานรวมกัน บรรลุ ‘เทพจักรวาลขั้นสุดยอด’ แล้ว
ความอัศจรรย์ของบุปผาโลกา ร่างแยกที่อากาศอันสับสนอลหม่านบ้านเกิดของตงป๋อเสวี่ยอิงในขณะนี้กำลังบำเพ็ญรับสัมผัส ในระหว่างที่ความเข้าใจต่อวิถีอากาศกำลังยกระดับอย่างต่อเนื่อง อันที่จริงตอนนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงเพิ่งสำเร็จเป็นเทพจักรวาลชั้นที่สองได้ไม่นานเท่าใด อีกทั้งยังมิได้ติดอยู่ที่จุดคอขวด เดิมทีตัวเองก็ก้าวหน้าขึ้นอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว เพียงแต่มี ‘บุปผาโลกา’ ทำให้ความก้าวหน้าของเขาเพิ่มความเร็วขึ้นอย่างมหาศาลเท่านั้นเอง
“เจดีย์คละถิ่นชั้นสิบหรือ” ตัวตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็สามารถคาดเดาได้
เชื่อว่ายิ่งขึ้นไปก็ต้องยิ่งยาก อีกทั้งยังมีเวลาจำกัดด้วย! เห็นได้ชัดว่า ‘หยวน’ นั้นทำการทดสอบภายในระยะเวลาที่ค่อนข้างสั้น (ภายในไม่กี่สิบล้านปี) ผู้มีพรสวรรค์ล้ำเลิศที่ได้รับป้ายคำสั่งจิตโลกากลับชาติมาเกิด สามารถก้าวหน้าไปได้ถึงระดับใดกัน! เห็นได้ชัดว่าผู้ที่ได้รับป้ายคำสั่งจิตโลกาแต่ละคนเป็นผู้มีพรสวรรค์ แต่มีเพียงแค่ผู้ที่เปล่งประกายจับตาที่สุด ร้ายกาจที่สุดเท่านั้น จึงจะคู่ควรกับการบ่มเพาะอย่างสุดกำลังของ ‘หยวน’
ตั้งแต่ตอนที่เจ้าเมืองหลัวมอบเมล็ดพันธุ์บุปผาโลกาให้กับตนก็ได้พูดเอาไว้ประโยคหนึ่งแล้วว่า ‘กับยุคนี้ของพวกเจ้า ข้าก็สามารถทำได้เพียงเท่านี้แล้วล่ะ’ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เข้าใจว่ายิ่งเป็นบุคคลผู้ล้ำเลิศ ถึงแม้ว่าจะเป็น ‘ผู้แกร่งกล้าคละถิ่น’ ก็มิใช่ว่าอยากจะหยิบก็หยิบเอาออกมาได้ เกรงว่าคงจะเป็นสิ่งที่หาได้ยากอย่างยิ่ง
เจดีย์คละถิ่น…
ก็คือการทดสอบชนิดหนึ่ง ผู้ที่เลิศล้ำพอจึงจะคู่ควรกับการบ่มเพาะของหยวน
“ไม่ว่าจะเป็นหยวนหรือว่าเจ้าเมืองหลัว หรือแม้กระทั่งผู้ที่บ่มเพาะ ‘จักรพรรดิจวิน’ ผู้นั้น ดูเหมือนว่าบุคคลโลกระดับสูงขึ้นอย่างพวกเขาก็คาดหวังอยากให้พวกเราไปถึงระดับขั้นเดียวกันกับพวกเขาด้วยเช่นกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงมีความคิดนี้ปรากฏขึ้นมาในทันใด
มีผู้แกร่งกล้าล้ำเลิศบางคน
เมื่อเห็นผู้มีพรสวรรค์ก็อยากจะทำลายทิ้งเสีย! อยากจะขัดขวาง! ไม่อยากให้ผู้มีพรสวรรค์ไปถึงระดับขั้นเดียวกันกับตน
แต่หยวน เจ้าเมืองหลัว และผู้ที่บ่มเพาะจักรพรรดิจวิน…ผู้แกร่งกล้าคละถิ่นสามคนที่ตนรู้จักในขณะนี้ ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ขัดขวาง อีกทั้งยังคอยให้ความช่วยเหลืออีกด้วย!
“คิดอะไรมากมายถึงเพียงนั้นกันเล่า สำหรับพวกเขาแล้ว เทพจักรวาลขั้นสุดยอดจึงจะนับได้ว่ามีโอกาสไปสัมผัสระดับขั้นที่สูงขึ้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบส่ายศีรษะ เขาเองก็รู้ว่าการบรรลุก้าวสุดท้ายนี้จะต้องยากเย็นเป็นอย่างมากแน่นอน อย่างเช่นเทพจักรวาลขั้นสุดยอดทั้งหมดที่ตนรู้จัก พวกจักรพรรดิเซี่ยแต่ละคน รวมถึงจอมเทพศักดิ์สิทธิ์และเจ้าศิลา ตนก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าจะมีใครบรรลุก้าวนั้นได้เลยสักคน
“รอให้ข้าสำเร็จเป็นเทพจักรวาลขั้นสุดยอดก่อนแล้วค่อยมาทำความเข้าใจกับความลับเหล่านี้ให้ละเอียดอีกทีก็แล้วกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่คิดอะไรมากอีก
จ้องมองเสากลมตรงหน้าแล้วพินิจดูภาพค่ายกลสิบภาพนั้นโดยละเอียด
“เริ่มต้นเถิด”
……
ภาพค่ายกลสิบภาพของชั้นที่หนึ่งนั้นอาศัยพื้นฐานของวิถีอากาศ ‘ภาพฟ้าภาพดิน’ สองสายผสานรวมกัน เพียงแต่ว่าแต่ละชนิดมีข้อบ่งใช้ที่แตกต่างกัน พื้นฐานเดิมของตงป๋อเสวี่ยอิงก็แน่นหนาอยู่แล้ว เพราะว่าทั้งเก้าสายของเขาล้วนไปถึงเทพจักรวาลขั้นสุดยอดหมดแล้ว ตอนนี้ทางด้านบ้านเกิดนั้นยังอยู่ใน ‘บุปผาโลกา’ ด้วย… ดังนั้นภาพค่ายกลสิบภาพ เขาพินิจดูเพียงแค่ชั่วขณะเดียวเท่านั้นก็เข้าใจได้กระจ่างหมดแล้ว
ถ้าหากต้องการ เขาก็สามารถแกะสลักภายในกำแพงสำเร็จได้อย่างรวดเร็ว
แต่ว่าเขาไม่เร่งร้อน!
จะต้องใช้เวลาสิบล้านปี! ยิ่งเวลาเนิ่นนาน ความก้าวหน้าของตนก็จะยิ่งใหญ่ขึ้น!
ตนเพิ่งสำเร็จเป็นเทพจักรวาลชั้นที่สองได้ไม่นานสักเท่าใด ทั้งยังเพิ่งได้รับ ‘บุปผาโลกา’ สิ่งที่ต้องการก็คือเวลาสำหรับการพัฒนา
******
กาลเวลาเคลื่อนผ่าน
ทุกๆ วันสุดท้ายของหนึ่งล้านปี ตงป๋อเสวี่ยอิงก็จะไปแกะสลักภาพค่ายกลภาพหนึ่งแล้วก็แกะสลักได้สำเร็จในคราวเดียวอย่างสบายๆ
บุปผาโลกาหนึ่งดอก ตั้งแต่ผลิบานจนเหี่ยวเฉาก็เพียงแค่หนึ่งแสนปีเท่านั้นเอง
ถึงแม้ว่าจะเป็นร่างแยกที่อากาศอันสับสนอลหม่านบ้านเกิด ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังทุ่มเทหยั่งรู้ร่างแยกมากมายทางด้านนี้อย่างสุดกำลัง กระบวนการผลิบานหนึ่งแสนปีของบุปผาโลกา ความก้าวหน้าก็ฉับพลันอย่างที่สุด โดยเฉพาะหลังจากที่เหี่ยวเฉาแล้วก็สะท้อนและตระหนักรู้อย่างไม่หยุดหย่อน…ก็มีสามล้านกว่าปีที่ความก้าวหน้ายังคงรวดเร็วอย่างที่สุดเช่นเดิม ยิ่งดำเนินต่อไป อัตราเร็วในการก้าวหน้าก็ย่อมค่อยๆ ช้าลงอยู่แล้ว
ถึงแม้ว่าจะยกระดับอย่างรวดเร็ว แต่เก้าสายของวิถีอากาศนั้น ทุกสายต่างก็กว้างใหญ่นัก เมื่อผสานรวมกันขึ้นมาแล้วต่างก็มีความเร้นลับอันไร้ที่สิ้นสุดรวมอยู่ด้วยกัน
“ครบสิบล้านปีแล้ว”
ตอนที่ตงป๋อเสวี่ยอิงแกะสลักภาพค่ายกลภาพที่สิบเสร็จในวันสุดท้ายของเวลาสิบล้านปี บันไดไม้ของเจดีย์ก็เปล่งแสงออกมาในทันใด ด้านบนส่งเสียงโครมคราม ชั้นสูงกว่าที่เดิมทีมีสิ่งกีดขวางอันไร้รูปร่างขัดขวางอยู่ ในตอนนี้มองปราดหนึ่งก็สามารถมองเห็นได้แล้ว
ทันใดนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็เหยียบย่างขึ้นไปบนบันไดไม้มุ่งหน้าขึ้นสู่ด้านบนก้าวแล้วก้าวเล่า คราวนี้มิได้ถูกขับไล่หรือขัดขวางแล้ว เขามาถึงเจดีย์คละถิ่นชั้นที่สองอย่างรวดเร็ว
กวาดสายตามองคราหนึ่ง
เจดีย์คละถิ่นชั้นที่สองก็มีเสากลมอยู่ตรงกลางเช่นเดียวกัน บนเสากลมก็คือภาพค่ายกลสิบภาพ! กำแพงเจดีย์ที่อยู่โดยรอบขาวโพลนทั้งหมด
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิได้มัวเสียเวลา เขาพินิจดูภาพค่ายกลสิบภาพที่ลึกซึ้งกว่าพอสมควรซึ่งอยู่บนเสากลมอย่างเงียบสงบแล้วเริ่มศึกษาหยั่งรู้
ภาคที่ 34 เทพจักรวาล...
ตอนที่ 41 วันคืน
ภาพค่ายกลของเจดีย์ชั้นที่สองลึกซึ้งกว่าอย่างแท้จริง ตงป๋อเสวี่ยอิงวิเคราะห์และทำความเข้าใจไปทีละภาพๆ แม้จะพบความยากลำบากบ้าง แต่เขาใช้เวลามากหน่อยก็สามารถรับรู้จนเข้าใจได้ หลังก้าวเข้าสู่เจดีย์ชั้นที่สองได้พันกว่าปี ตงป๋อเสวี่ยอิงก็รับรู้ภาพค่ายกลได้แปดภาพ ขณะกำลังรับรู้ภาพค่ายกลภาพที่เก้านั้น จู่ๆ เขาก็สะดุ้งเฮือก
“สามสายรวมกันอย่างนั้นหรือ” แม้ก้นบึ้งหัวใจของตงป๋อเสวี่ยอิงจะยินดี แต่การบรรลุก็ไม่แปลกอะไรนัก
ต้องรู้ไว้ว่าวิถีอากาศมีถึงเก้าสายด้วยกัน ขณะที่บรรลุถึงระดับขั้นเทพจักรวาลชั้นที่สองนั้น โดยทั่วไปก็หลอมรวมได้ค่อนข้างเร็ว สามสายสี่สายหลอมรวมกันก็ไม่นับว่ายากสักเท่าใดนัก แต่ยิ่งนานไปก็ยิ่งยากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อถึง ‘เก้าสายหลอมรวมกัน’ ในตอนสุดท้าย ก็ยิ่งสามารถสกัดกั้นยอดฝีมือผู้ไร้เทียมทานได้หลายต่อหลายท่าน
ตนมีพื้นฐานแน่นหนา ทั้งยังรับรู้ ‘บุปผาโลกา’ ดอกหนึ่งด้วย ทั้งกระบวนการตั้งแต่เบ่งบานไปจนถึงเหี่ยวเฉา จนถึงบัดนี้ก็กว่าสิบล้านปีมาแล้ว บรรลุถึงขั้นสามสายหลอมรวมกันก็นับว่ารอเวลามาถึงก็จะสำเร็จอยู่แล้ว
แต่ว่า…
“เป็นภาพค่ายกล ระหว่างที่ข้ารับรู้ภาพค่ายกลก็ได้รู้แจ้งอะไรบางอย่างแล้วบรรลุอุปสรรคเล็กน้อยในตอนสุดท้ายได้พอดี ทำให้ภาพฟ้า ภาพดินและภาพอากาศหลอมรวมกันได้อย่างสมบูรณ์” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูภาพค่ายบนเสากลมภาพแล้วภาพเล่าตรงหน้าด้วยความตื่นตะลึงเหลือแสน “ภาพค่ายกลเหล่านี้ นอกจากเป็นการทดสอบแล้ว อันที่จริงก็ยังเป็นการชี้แนะแบบหนึ่งด้วย และทำให้ข้าบกระดับขึ้นได้อย่างนั้นหรือ”
ภาพค่ายกลยิ่งลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ อย่างแท้จริง
แต่เพราะเหตุนี้นี่เอง ขณะเดียวกับที่ตนกำลังรับรู้ การรู้แจ้งวิถีอากาศก็จะลึกล้ำมากขึ้นเรื่อยๆ ระดับขั้นก็ย่อมยกระดับขึ้นเป็นธรรมดา
“เจดีย์คละถิ่น นอกจากจะเป็นการทดสอบแล้ว ตัวมันเองก็ยังดึงดูดโอกาสในการบำเพ็ญอีกด้วย” ในใจของตงป๋อเสวี่ยอิงยินดีเป็นอย่างมาก
อากาศทั้งเก้าสาย
ภาพฟ้า ภาพดิน ภาพปะทุ ภาพหมอก ภาพแก่น ภาพอากาศ ภาพสาย ภาพพหุธาตุ ภาพผลาญเอกา
อย่างทลายเวหาที่ประมุขรัฐเมฆทักษิณาถ่ายทอดให้แก่ตงป๋อเสวี่ยอิงนั้น หัวใจหลักก็คือทางสายภาพอากาศ! ด้วยรากฐานทางสายภาพอากาศ ดึงดูดอีกสี่ภาพเข้ามา จึงสามารถบรรลุถึงขั้นครบสมบูรณ์ได้ แน่นอนว่าบัดนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงอาศัยร่างเมฆทักษิณาทิพย์จึงสามารถสำแดงอานุภาพขั้นครบสมบูรณ์ออกมาได้
“ต่อไป”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเพิ่งจะสามสายหลอมรวมกัน วิญญาณสัมผัสดั่งน้ำพุ ทั้งยังทำให้ระดับขั้นของร่างแยกในอากาศอันสับสนอลหม่านบ้านเกิดแข็งแกร่งขึ้นได้ ส่วนร่างแยกทางดินแดนจิตโลกาก็รับรู้ภาพค่ายกลเหล่านี้ต่อไป
ภาพค่ายกลภาพที่เก้าและภาพค่ายกลภาพที่สิบล้วนง่ายดายเป็นอย่างมาก อันที่จริงแล้วภาพค่ายกลสองภาพนี้ก็ยังชี้ทางให้ ‘ภาพฟ้า ภาพดินและภาพอากาศ’ หลอมรวมกัน บัดนี้ก็หลอมรวมกันสำเร็จแล้ว ทั้งสองภาพนี้ย่อมรับรู้จนกระจ่างแจ้งได้อย่างรวดเร็ว
“ชี้ทางให้ข้าบำเพ็ญหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยินดีเหลือแสน ที่เขามิได้ตระหนักถึงข้อนี้ในเจดีย์ชั้นที่หนึ่งนั้น ก็เพราะตอนที่เขาบำเพ็ญอยู่ในบุปผาโลกาสั่งสมพื้นฐานมาอย่างแน่นหนา จึงสามารถรับรู้ภาพทั้งสิบในเจดีย์ชั้นที่หนึ่งจนทะลุปรุโปร่งได้อย่างรวดเร็ว และมิได้รู้สึกว่ามีส่วนช่วยตนมากสักเท่าใดนัก ส่วนในเจดีย์ชั้นที่สอง เขาจมจ่อมอยู่กับการบำเพ็ญ จึงมิได้คิดอะไรมากมายนัก
ขณะที่เขาบรรลุจึงได้ค้นพบ…ว่าภาพค่ายกลเหล่านี้มีส่วนช่วยให้ทั้งสามสายของเขาหลอมรวมกันได้!
“บุปผาโลกาเป็นโอกาสที่เจ้าเมืองหลัวมอบให้ข้า นอกจากนี้เมื่อฟังสิ่งที่เขาจะสื่อแล้ว เกรงว่าคงจะเป็นโอกาสใหญ่หลวงเพียงหนึ่งเดียวที่เขามอบให้ข้า”
“เจดีย์คละถิ่นเป็นโอกาสใหญ่หลวงที่ผู้ครอบครองป้ายคำสั่งจิตโลกาจะได้รับเมื่อเข้ามาเป็นครั้งแรกเท่านั้น ทั้งยังมีเพียงครั้งเดียวตลอดชีวิตนี้อีกด้วย”
“โอกาสใหญ่หลวงทั้งสองนี้ มีแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจดีมากว่า นี่อาจจะเป็นช่วงที่ตนยกระดับได้เร็วที่สุดในช่วงที่เป็นเทพจักรวาลแล้ว เพราะถึงอย่างไรก็มีโอกาสใหญ่หลวงทั้งสองอยู่กับตัว! แต่ทว่าการยกระดับของตนยิ่งเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี! เพราะหากพลาดครั้งนี้ไปแล้ว เกรงว่าในภายหน้าคงจะหาโอกาสก้าวหน้าอย่างพรวดพราดเช่นนี้ได้ยากแล้ว
……
เวลาล่วงเลยไป
ตงป๋อเสวี่ยอิงทุ่มเทสุดกำลังเพื่อบำเพ็ญในเจดีย์คละถิ่น รับรู้ภาพค่ายกลเหล่านั้น ร่างแยกทั้งสองร่างของเขาที่อยู่ในโลกกำเนิดสองแห่งก็มิได้ย่อหย่อนแม้แต่ชั่วขณะเดียว!
******
ส่วนในดินแดนจิตโลกา ยอดฝีมือทั้งหลายที่เข้าไปในวังเทพจิตโลกานั้นก็มีอยู่หลายคนที่ถูกขับไล่ออกมา
ดังเช่น ‘ประมุขเกาะฟู่ชุน’ หนึ่งในสี่ผู้ที่ชิงตำแหน่งของรัฐโบราณคิมหันตวายุมาไว้ในมือได้ เข้าไปในวังเทพจิตโลกาเพียงสามพันกว่าปีก็ถูกขับออกมาเสียแล้ว! และเป็นคนแรกในบรรดาผู้แกร่งกล้าทั้งสิบสองคนที่ถูกขับออกไป
คนที่สองที่ถูกขับออกมาก็เป็นสิบกว่าล้านปีหลังจากวังเทพจิตโลกาเปิดออกแล้ว เป็นยอดฝีมือระดับเทพจักรวาลชั้นที่หนึ่งของสกุลชางแห่งรัฐโบราณคิมหันตวายุนาม ‘นายท่านเหมยเฟิง’ เห็นได้ชัดว่าเมื่อมีความช่วยเหลือจากบรรดายอดฝีมือระดับจอมเคารพของสามตระกูลใหญ่ เทพจักรวาลชั้นที่หนึ่งสามารถทนมาได้ถึงตอนนี้ก็นับว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว
จากนั้นก็มีผู้ถูกขับออกมาอย่างต่อเนื่อง
ห้าสิบกว่าล้านปีให้หลัง
‘มหาเคารพลู่เทียน’ และ ‘จอมเคารพมารอัคคี’ ถูกขับออกมาพร้อมกัน
ยามนี้คนของรัฐโบราณคิมหันตวายุที่ยังคงอยู่ในวังเทพจิตโลกามีไม่มากแล้ว นอกจากจักรพรรดิเซี่ย จักรพรรดิชางและมหาเคารพฝูอี่แล้ว ผู้ที่หลงเหลืออยู่ก็คือมหาเคารพผู่ซู่ จอมเคารพกระบี่ปีศาจ จ้าวอูหัว (เซี่ยอูหัว) และเค่อชิงเพียงคนเดียวคือจ้าวหิมะเหิน ‘อิงซานเสวี่ยอิง’
“จ้าวอูหัวก็แล้วไปเถิด เพราะเขาเป็นสมาชิกคนสำคัญของสกุลเซี่ย สงสัยว่าจะเป็นผู้กลับชาติมาจุติ ไม่เพียงแต่มีรายงานโดยละเอียดเท่านั้น แต่ยังมียอดฝีมือสามตระกูลใหญ่คอยปกป้องด้วย จ้าวหิมะเหินผู้นั้นไม่มีรายงานโดยละเอียด ทำได้เพียงคลำทางไปอย่างคนตาบอดเท่านั้น แม้แต่จอมเคารพมารอัคคีก็ยังถูกขับออกมา แต่เขากลับยังคงอยู่ข้างในหรือนี่”
“‘ประมุขเกาะฟู่ชุน’ ที่เป็นเค่อชิงเหมือนกัน และไม่มีรายงานโดยละเอียดอยู่ข้างในเพียงสามพันกว่าปีเท่านั้นก็ถูกขับออกมาเสียแล้ว”
“เขาอยู่ข้างในมาตั้งห้าสิบกว่าล้านปีแล้วอย่างนั้นหรือ”
ผู้ที่เข้าไปในวังเทพจิตโลกานั้นมีผู้แกร่งกล้าหกรัฐโบราณอยู่ด้วย
บุคคลระดับสูงของหกรัฐโบราณจึงย่อมใส่ใจมากเป็นธรรมดา ส่วนรัฐโบราณอื่นๆ ก็ได้แต่อุทานด้วยความตกตะลึงเกี่ยวกับการที่ ‘จ้าวหิมะเหิน’ อยู่ข้างในได้นานถึงเพียงนี้! แต่บรรดาบุคคลระดับสูงของ ‘รัฐโบราณคิมหันตวายุ’ กลับมีความรู้สึกซับซ้อนไปหมด เนื่องจากตามหลักทั่วไปแล้ว หากมิใช่คนของสามตระกูลใหญ่ โดยทั่วไปก็จะยืนหยัดอยู่ในวังเทพจิตโลกาได้ไม่นานสักเท่าใดนัก ครั้งนี้อิงซานเสวี่ยอิงอยู่มาได้นานเกินไปแล้ว
……
“หรือศิษย์ของข้าคนนี้จะมีกลเม็ดที่ข้ายังไม่รู้อีก เขาอยากเข้าไปในวังเทพจิตโลกาขนาดนั้น มีหลักประกันอันใดหรือไม่” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาอุทานออกมาอย่างอดไม่ได้
อยู่ข้างในมาห้าสิบกว่าล้านปี
ยากเกินไปแล้ว
“หวังว่าเขายิ่งแข็งแกร่งเท่าไหร่ก็ยิ่งดีก็แล้วกัน” จากนั้นประมุขรัฐเมฆทักษิณาก็ขมวดคิ้วอย่างเคร่งเครียด เขามองดูม้วนสาส์นในมือ “เฮ้อ ท่านอาจารย์ของข้าคนนี้ก็หาเรื่องเก่งนัก กลัวแต่ว่ารัฐเมฆทักษิณาของข้าจะถูกลูกหลงเข้าน่ะสิ”
เขาและอาจารย์ไม่มีความผูกพันกันแต่อย่างใด
แต่ตอนนั้นเพื่อให้ได้มาซึ่ง ‘ดาบทวิภพ’ เขาจึงได้ตั้งสัตย์สาบานขึ้นมา! คำสัตย์นั้นเข้มงวดนัก
อย่างการรับศิษย์โดยทั่วไป อาจารย์ก็จะมิได้ตั้งเงื่อนไขให้ศิษย์สูงสักเท่าใดนัก เช่นเขารับตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นศิษย์ เงื่อนไขก็หละหลวมมาก หากตั้งเงื่อนไขให้ต้องตั้งคำสัตย์ที่เข้มงวดมาก…เกรงว่าตงป๋อเสวี่ยอิงก็คงจะหันไปคารวะบรรพชนฝานเป็นอาจารย์แทนแล้ว!
“ตอนนั้นข้าไม่มีทางเลือก”
“ดาบทวิภพเป็นหลักประกันเพียงหนึ่งเดียวสำหรับการพลิกร่างของข้าในตอนนั้น อีกทั้งตอนนั้นข้ายังคิดว่าเขาสิ้นใจไปแล้วด้วย” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาส่ายหน้า
ท่านอาจารย์จอมเจ้าเล่ห์ผู้นี้ น่ากลัวและร้ายกาจเกินไปแล้ว ชื่อของเขาก็หมายถึงความตายอยู่แล้ว
สัตย์สาบานอันเข้มงวดที่เขาตั้งเอาไว้ สอดคล้องกับวิธีทำเรื่องต่างๆ ของเขาเป็นอย่างมาก
เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะยังไม่ตาย! ทั้งยังกลับมายังดินแดนจิตโลกาแล้วด้วย
“ต้องการวัสดุพิเศษมากมายถึงเพียงนี้ จำนวนก็ยังมหาศาลอีกต่างหาก” ประมุขรัฐเมฆทักษิณามองดูรายการบนม้วนสาส์น “วัสดุหลายอย่างเกี่ยวข้องกับความตาย จำนวนมหาศาลเช่นนี้ ที่แท้แล้วจะเอาไปทำอะไรกันแน่”
ประมุขรัฐเมฆทักษิณาใจสั่นเนื้อเต้นไปหมด
ช่วยไม่ได้
ตอนนั้นที่ ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ มีอานุภาพเกริกก้องทั่วดินแดนจิตโลกา ชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่สุด! ถึงขั้นเรียกได้ว่าเป็นผู้แกร่งกล้าอันดับหนึ่งของดินแดนจิตโลกาในขณะนั้น! แน่นอนว่าตอนนั้นพลังของจักรพรรดิเซี่ยยังมิได้แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ขณะนั้นจักรพรรดิเซี่ยก็แค่ทัดเทียมกับจักรพรรดิชางและบรรพชนฝานเท่านั้น
ตอนนั้นราชันย์อนธการอมตะเป็นปฏิปักษ์กับสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูคนอื่นๆ ด้วยกำลังของตัวคนเดียว ก่อความวุ่นวายใหญ่หลวงในดินแดนจิตโลกา ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนสงครามรัฐโบราณครั้งที่หนึ่ง
“ตอนนั้นเขาเอาแต่ใจถึงเพียงนั้น เมื่อคืนวันอันยาวนานผ่านไป บัดนี้กลับมา พลังลึกล้ำเกินหยั่ง แล้วจะถ่อมเนื้อถ่อมตัวไปตลอดได้อย่างไรกัน” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาส่ายหน้า ก่อนหน้านี้เขายังหวังว่าราชันย์อนธการอมตะจะไปยังหุบเขาเขี้ยวหักและสิ้นใจไปในหุบเขาเขี้ยวหักเสียอีก! น่าเสียดาย ราชันย์อนธการอมตะกลับมาจากหุบเขาเขี้ยวหักแล้ว ทั้งยังโยนรายการฉบับหนึ่งมาให้เขาอีกต่างหาก
ให้เขาเก็บรวมรวมวัสดุเหล่านี้
ประมุขรัฐเมฆทักษิณาลำบากใจนัก! เขาถูกผูกไว้บนเรือใหญ่ลำนี้ นอกเสียจากเขาจะเตรียมการฝ่าฝืนสัตย์สาบานและทำให้ราชันย์อนธการอมตะโกรธเกรี้ยวเอาไว้เป็นอย่างดี…มิเช่นนั้นแล้วก็ทำได้แค่เชื่อฟังแต่โดยดีเท่านั้น
แต่ว่าหากราชันย์อนธการอมตะจะก่อความวุ่นวายครั้งใหญ่ขึ้นมาอีกจริงๆ แล้วล่ะก็ พลังของราชันย์อนธการอมตะน่าหวาดหวั่นจึงย่อมสามารถรับมือกับวิกฤตทั้งหลายได้เป็นธรรมดา แต่กลับเป็นไปได้ว่าทั้งรัฐเมฆทักษิณาจะต้องถูกลูกหลงเข้า
“ไม่สบายใจเลยจริงๆ”
ประมุขรัฐเมฆทักษิณารู้สึกอดสูใจ
เขาเป็นคนที่หยิ่งทระนงเพียงใดกัน
บัดนี้ทำได้เพียงข่มกลั้นเอาไว้เท่านั้น
……
ส่วนในวังเทพจิตโลกา
ณ ชั้นที่หกของเจดีย์คละถิ่น ตงป๋อเสวี่ยอิงในรูปลักษณ์หนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวกำลังนั่งขัดสมาธิหลับตาบำเพ็ญอย่างเงียบๆ
ภาคที่ 34 เทพจักรวาล...
ตอนที่ 42 เจดีย์คละถิ่นชั้นที่สิบ
“หากไม่ใช้บุปผาโลกา เห็นทีชั้นที่หกคงจะเป็นขีดสุดของข้าแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูภาพค่ายกลภาพที่หกบนเสากลม
ตอนนั้นเจ้าเมืองหลัวมอบเมล็ดพันธุ์บุปผาโลกาให้ เนื่องจากเขาอยากลองสัมผัสรับรู้ดูเสียหน่อยจึงได้เข้าไปบำเพ็ญในบุปผาโลกาดอกหนึ่ง
หลังการบำเพ็ญในบุปผาโลกาดอกนั้นสิ้นสุดลงแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิได้รีบร้อนเข้าไปในบุปผาโลกาดอกนั้นอีก
เนื่องจากเขาอยากจะเค้นเอาความสามารที่ซ่อนอยู่ของตนออกมา เพื่อดูว่าภายใต้การเหนี่ยวนำของเจดีย์คละถิ่น ที่แท้แล้วจะสามารถไปได้ถึงชั้นไหนกันแน่! นอกจากนี้ การบีบบังคับตนเองให้ถึงทางตันแล้วค่อยใช้บุปผาโลกา…การรับรู้ขั้นตอนการเบ่งบานของบุปผาโลกาในตอนนั้นจึงจะได้รับประโยชน์มากกว่า! ‘บุปผาโลกา’ ล้ำค่ามาก ตนต้องใช้ประโยชน์ให้ได้มากที่สุด
เขาไม่เข้าไปบำเพ็ญในบุปผาโลกาก่อนชั่วคราว…
เนื่องจากตอนนั้นสามสายหลอมรวมกันแล้ว จึงรับรู้ภาพค่ายกลทั้งสิบภาพของเจดีย์คละถิ่นชั้นที่สามจนทุลุปรุโปร่งได้ในเวลาเพียงหมื่นกว่าปี เขายังคงค่อยๆ บำเพ็ญอยู่ในชั้นที่สามอย่างเชื่องช้าอีกสิบล้านปี เพื่อทำให้ระดับขั้นของตนแข็งแกร่ง
ภาพค่ายกลสิบภาพของชั้นที่สี่ ใช้เวลาล้านปีจึงรับรู้ได้ทั้งหมด
ชั้นที่ห้าก็ลำบากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทว่าระหว่างทางสี่สายก็หลอมรวมกันได้สำเร็จ! ต่อจากนั้นก็สบายขึ้นมากทีเดียว ใช่เวลาทั้งหมดสามล้านกว่าปีก็รับรู้ภาพค่ายกลทั้งสิบได้อย่างสมบูรณ์
ชั้นที่หก…
ก็เป็นเวลาห้าสิบห้าล้านกว่าปีหลังจากเขาเข้ามาในวังเทพจิตโลกาแล้ว เขาติดอยู่ตรงหน้าภาพค่ายกลภาพที่หกของชั้นที่หกเสียแล้ว เวลาที่เหลืออยู่ของเขามีเพียงห้าแสนปีเท่านั้น เขาไม่กล้าบีบบังคับตนเองอีกต่อไปแล้ว
“บุปผาโลกา”
ในอากาศอันสับสนอลหม่านบ้านเกิด ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ดำกลับทะยานตรงไปเบื้องหน้า ‘ดอกตูมสีเทา’ ดอกหนึ่งซึ่งอยู่ระดับต่ำที่สุดในบรรดาดอกทั้งแปดของพืชเถาวัลย์ต้นหนึ่ง
ฟิ้ว
หลังเข้าไปในดอกไม้สีเทาแล้ว ก็เป็นโลกอลหม่านซึ่งมีเพียงความเงียบเหงา โลกค่อยๆ วิวัฒน์ไป แต่โลกดอกไม้นี้เพียงแค่ให้กำเนิดมนุษย์และสรรพสัตว์จำนวนน้อยนิดขึ้นมาเท่านั้น ทั้งโลกยังคงเงียบเหงาวังเวง สภาพแวดล้อมความเป็นอยู่เลวร้ายอย่างยิ่ง…แสนปีเต็มๆ ตั้งแต่ดอกไม้เบ่งบานจนเหี่ยวเฉา ภายในโลกดอกไม้สีเทาก็เงียบเหงาวังเวงตลอด มนุษย์ที่วิวัฒน์ขึ้นมาภายในนั้นอย่างมากก็ไม่เกินหมื่นคน และมนุษย์ก็เป็นเพียงหนึ่งในสัตว์หลายชนิด ไม่สามารถสร้างอารยธรรมที่แข็งแกร่งพอขึ้นมาได้
“อากาศ…”
ตงป๋อเสวี่ยอิงได้ชมดูการวิวัฒน์ของวิถีอากาศในระหว่างระยะเวลาสั้นๆ เพียงแสนปีนี้ แต่กลับมีแสงทิพย์แห่งความรู้แจ้งจำนวนมากผุดขึ้นมา
“พิสดารเกินไปแล้ว ดอกไม้สีชมพูก่อนหน้านี้กับดอกไม้สีเทาในตอนนี้ แม้จะวิวัฒน์วิถีอากาศที่สมบูรณ์ขึ้นมาเหมือนกัน แต่กลับโน้มเอียงไปยังทิศทางที่แตกต่างกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงตื่นตะลึงเหลือแสน
เหมือนกับการหลอมรวมกันของห้าภาพ
ในมือของผู้แกร่งกล้าบางคน อาจจะคิดค้นกระบวนท่าที่มีชื่อเสียงด้านบริเวณขึ้นมาได้
แต่ผู้แกร่งกล้าบางคนกลับสามารถคิดค้นกระบวนท่าผนึกโลกาขึ้นมาได้
นี่ก็เพราะความคิดของผู้แกร่งกล้าแต่ละคนไม่เหมือนกัน…การใช้งานวิถีก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง! ดอกไม้เหล่านี้แต่ละดอกล้วนเป็นการวิวัฒน์ของวิถีอากาศอันสมบูรณ์ แต่กลับเป็นวิธีที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง วิธีที่แตกต่างกันปะทะกันอยู่ในห้วงสมองของตงป๋อเสวี่ยอิง มีแสงทิพย์มากมายยิ่งนักผุดขึ้นมา…เรื่องนี้ก็ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงรุ้สึกซาบซึ้งต่อเจ้าเมืองหลัวนัก
เขาถึงขั้นเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา “ไม่รู้ว่าสิ่งที่เจ้าเมืองหลัวมอบให้แก่จอมกระบี่คือสิ่งใดกัน”
ถึงอย่างไรสมบัติล้ำค่าก็เป็นแค่วัตถุเท่านั้น จะสามารถใช้งานได้มากน้อยเท่าใดก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคน! หากการรับรู้ไม่เพียงพอ ใช้แล้วก็เละเทะไปหมด และนี่ก็คือสาเหตุที่เจ้าเมืองหลัวช่วยเหลือตงป๋อเสวี่ยอิงและจอมกระบี่ มิได้เลือกเทพจักรวาลคนอื่นๆ
……
บุปผาโลกาดอกหนึ่งนำมาซึ่งการรับรู้นานาชนิด ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งเดิมทีเกือบจะรับรู้ได้เชื่องช้าอย่างยิ่งพุ่งทะยานขึ้นมาอีกครั้ง
เขาต้องรับรู้และค้นคว้าแสงทิพย์จำนวนมากไปทีละอันๆ
เขาเพียงแค่แบ่งสมาธิเล็กน้อยไปค้นคว้าภาพค่ายกล ก็สามารถรับรู้ภาพค่ายกลได้ทะลุปรุโปร่งอย่างรวดเร็วแล้ว
……
เขาอยู่ในชั้นที่หกเป็นเวลาสิบล้านปีเต็มจึงเข้าสู่ชั้นที่เจ็ด เขาบีบคั้นตนเองในชั้นที่เจ็ดต่อไป ใช้เวลาหกล้านกว่าปีจึงสามารถรับรู้ภาพค่ายกลทั้งสิบภาพได้!
ภาพค่ายกลชั้นที่เจ็ดและชั้นที่แปด ในที่สุดตงป๋อเสวี่ยอิงก็ถูกบีบบังคับให้เข้าไปบำเพ็ญในบุปผาโลกาอีกเป็นครั้งที่สาม
ชั้นที่เก้า ภาพค่ายกลภาพที่เก้าเขาก็ชะงักค้างอีก และเข้าไปบำเพ็ญในบุปผาโลกาอีกเป็นครั้งที่สี่
ชั้นที่สิบ!
******
ในดินแดนจิตโลกา บุคคลระดับสูงของหกรัฐโบราณต่างก็จับตามองเทพจักรวาลแต่ละคนที่ถูกขับไล่ออกมา อย่าง ‘จ้าวอูหัว’ แห่งรัฐโบราณคิมหันตวายุผู้นั้นก็ถูกขับออกมาในที่สุด ขณะนี้ผู้ที่ยังอยู่ข้างในซึ่งมีระดับต่ำกว่าจอมเคารพเหลือเพียงสองคนเท่านั้น! และจ้าวหิมะเหิน ‘อิงซานเสวี่ยอิง’ จากรัฐเมฆทักษิณาก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย
“เก้าสิบกว่าล้านปีแล้ว เขายังอยู่ในนั้นอีกหรือนี่”
“ช่างน่ากลัวจริงๆ”
“อยู่ข้างในนานขนาดนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะได้รับอะไรมามากมายก็เป็นได้ เช่นได้รับสมบัติลับระดับยอดสุด หรือว่าวัตถุล้ำค่าหายากบางอย่าง!”
“แต่ละครั้งมีเทพจักรวาลเข้าไปมากมายถึงเพียงนั้น หากได้สมบัติลับระดับยอดสุดมาง่ายๆ ดินแดนจิตโลกาจะมีสมบัติลับระดับยอดสุดมากมายเท่าใดกัน คงไม่ง่ายดายถึงเพียงนั้นหรอกกระมัง!”
แต่ละแห่งวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา
เทพจักรวาลก็เกิดความคิดริษยาขึ้นมา เพราะถึงอย่างไรคิดจะได้รับสมบัติลับระดับยอดสุดมาสักชิ้นหนึ่งนั้นยากเย็นเพียงใด ดังเช่นประมุขรัฐเมฆทักษิณา ตอนนั้นก็ต้องถูกไล่ล่าอย่างน่าอนาถ และโชคดีได้เข้าไปยังโบราณสถานที่ ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ จงใจทิ้งเอาไว้ และถูกบังคับให้ลั่นสัตย์สาบานจึงได้ ‘ดาบทวิภพ’ มา! นอกจากพวกคนที่มีสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูคอยช่วยเหลือ อาศัยตนเองอย่างแท้จริงจะได้รับสมบัติลับระดับยอดสุดมาสักชิ้นหนึ่งน่ะหรือ ยาก ยากเกินไปแล้ว!
ต่อให้เป็นผู้ที่มีเบื้องหลังใหญ่โต จะสามารถเข้ามาในวังเทพจิตโลกาและได้รับสมบัติลับระดับยอดสุดได้ ความเป็นไปได้ก็ยังคงต่ำมากอยู่ดี
……
แน่นอนว่า ในฐานะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงครอบครองป้ายคำสั่งจิตโลกาและกลับชาติมาจุติ ‘หยวน’ ได้ทิ้งโอกาสเป็น ‘เจดีย์คละถิ่น’ เอาไว้ให้ผู้มีพรสวรรค์ไร้เทียมทานที่กลับชาติมาจุติเหล่านี้ แน่นอนว่าจะได้รับอะไรนั้นก็ขึ้นอยู่กับการรับรู้แล้ว
“ติดแหง็กอีกแล้ว”
เจดีย์คละถิ่นชั้นที่สิบ
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูภาพค่ายกลภาพที่เจ็ด เวลาที่เหลืออยู่ก็แค่ห้าแสนปีเท่านั้น เขาตั้งกฎเหล็กไว้ให้ตนเองว่า หากเหลือเพียงห้าแสนปีก็จำเป็นต้องใช้ ‘บุปผาโลกา’!
ว่ากันตามหลักแล้ว
บุปผาโลกาจะได้ผลดีที่สุดเมื่อบำเพ็ญจนติดอุปสรรค แต่ครั้งนี้บุกฝ่าเจดีย์คละถิ่น จะใช้อีกสักหลายดอกก็คุ้มค่า หากสามารถเดินไปจนถึงขีดสุดได้ จะใช้สักเจ็ดแปดดอกก็คุ้มค่า แต่เมื่อดูจากตอนนี้แล้ว…ความยากในการทดสอบก็คงจะไม่เกินจริงถึงเพียงนั้น หรือกล่าวว่าตนก็มีการรับรู้ที่สูงส่งพอโดยแท้ ใช้บุปผาโลกาไปสี่ดอกก็สามารถเดินมาจนถึงขั้นปัจจุบันนี้ได้แล้ว
“ดอกที่ห้า”
ร่างแยกของตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ไกลถึงอากาศอันสับสนอลหม่านบ้านเกิดเข้าไปในบุปผาโลกาดอกที่ห้าโดยไม่ลังเล
ครั้งนี้ เมื่อมีโอกาสแล้วก็ต้องได้มา!
ตามสารที่ ‘หยวน’ ส่งมาให้ ขอเพียงสามารถแกพสลักผนังชั้นในของเจดีย์คละถิ่นชั้นที่แปดได้สำเร็จทั้งหมดและก้าวเข้าสู่ชั้นที่เก้า ต่อให้มิอาจก้าวหน้าไปได้อีกก็จะได้รับมอบ ‘สมบัติลับอันสูงส่ง’ อยู่ดี! สมบัติลับอันสูงส่งก็เพียงพอให้ผู้แกร่งกล้าระดับเทพจักรวาลขั้นสุดยอดอิจฉาตาร้อนจนแทบคลั่งได้ ในดินแดนจิตโลกาก็มีเทพจักรวาลขั้นสุดยอดบางคนไม่ได้สมบัติลับอันสูงส่งมา
ส่วนก้าวเข้าสู่ชั้นที่สิบเล่า
หากแม้แต่ผนังชั้นในของชั้นที่สิบก็ยังแกะสลักได้สำเร็จและบรรลุถึงขีดสุดได้เล่า
ภาพค่ายกลแต่ละชั้นของเจดีย์คละถิ่นล้วนแต่ชี้นำการบำเพ็ญให้ตน และเหมาะสมกับตนอย่างเต็มที่ เชื่อว่าสิ่งที่มอบให้ในตอนท้ายสุดก็น่าจะเหมาะสมกับตนด้วยเช่นกัน
“ตู้มมม…”
การรู้แจ้งจำนวนมากจากการรับรู้บุปผาโลกา ก็ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงก้าวออกไปอีกก้าวหนึ่งได้ และบรรลุถึงขั้นหกสายหลอมรวมกัน!
เขาลืมตามองดูภาพค่ายกลอีกไม่กี่ภาพที่เหลืออยู่แล้วเคี่ยวกรำเล็กน้อย จากนั้นก็รับรู้จนเข้าใจ ทว่าเขาก็ไม่รีบร้อนไปรับสมบัติล้ำค่าแต่อย่างใด หากแต่ยังคงยืดเวลาการบำเพ็ญออกไปจนถึงตอนสุดท้าย เพราะถึงอย่างไรเมื่อจากเจดีย์คละถิ่นไป…เขายังต้องบุกฝ่าวังเทพจิตโลกาต่อไป เกรงว่าถึงตอนนั้นคงจะไม่มีสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยเช่นนี้ให้เขาค่อยๆ บำเพ็ญอีกแล้ว
รอจนถึงปีสุดท้ายของร้อยล้านปี
ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงยืดกายขึ้นแล้วโบกมือใช้คมอากาศระลอกหนึ่งตัดเฉือนลงบนผนังชั้นในและแกะสลักภาพค่ายกลชั้นที่สิบอย่างรวดเร็วจนเสร็จในรวดเดียว ภาพค่ายกลภาพที่สิบสำเร็จ!
“ขีดสุด”
“ไม่รู้ว่าขีดสุดของเจดีย์คละถิ่นจะได้รับมอบสิ่งใด” ยามนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกละอายใจขึ้นมาเล็กน้อย
ตนมีความช่วยเหลือจากบุปผาโลกา หากไร้ซึ่งบุปผาโลกา เกรงว่าชั้นที่ห้าหรือหกก็คงจะเป็นขีดสุดของตนแล้ว
แต่ทว่า…
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็คิดฟุ้งซ่านไปเอง
การทดสอบของเขานั้นเป็นวิถีอากาศ! ส่วนยอดฝีมือวิถีอากาศที่มาถึงระดับขั้นนี้ในดินแดนจิตโลกาก็ล้วนแต่มีร่างแยกทั้งสิ้น! เดิมทีการทดสอบที่ ‘หยวน’ ทิ้งเอาไว้ก็คำนึงถึงว่าอาจจะมีร่างแยกทิ้งไว้ที่โลกภายนอกอยู่แล้ว ยอดฝีมือวิถีอากาศไม่ว่าหน้าไหนก็ไม่มีทางส่งร่างแยกทั้งหมดของตนเข้ามาได้
แต่เมื่อพบเจดีย์คละถิ่น!
ยอดฝีมือวิถีอากาศไม่มีผู้ที่โง่งมสักคน จะต้องหาวัตถุที่ช่วยในการบำเพ็ญจากโลกภายนอกโดยไม่เสียดายอะไรทั้งสิ้นอย่างแน่นอน! ทำให้ระหว่างที่ตนบุกฝ่าเจดีย์คละถิ่นนั้น พยายามยกระดับพลังให้มากขึ้นอย่างเต็มที่
อย่างเช่น…
ศิษย์คนสำคัญของหกรัฐโบราณทั้งหลายก็สามารถหาซื้อสมบัติล้ำค่าต่างๆ ได้ หรือถึงขั้นขอให้สิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูช่วยเหลือ เร่งเวลาให้ร่างแยกที่โลกภายนอกบำเพ็ญภายใต้การเร่งเวลาสิบเท่า! หากเป็นจักรพรรดิเซี่ยหรือพวกเจ้าเมืองอนันต์ซึ่งให้ความสำคัญกับศิษย์รุ่นหลังทั้งหลายอย่างยิ่ง เกรงว่าคงจะให้ความช่วยเหลือที่มากกว่านี้อีก
……
วิธีการต่างๆ
อนที่จริงแล้วการรับรู้และพรสวรรค์ของตงป๋อเสวี่ยอิงก็สูงส่งอย่างยิ่งโดยแท้ เขาสามารถคิดค้นเคล็ดไร้ทลายเก้ากัณฑ์ขึ้นมาได้ก็พอจะมองออกแล้วว่า หากไม่มีบุปผาโลกา ลำพังแค่คุณูปการที่ใช้ไปในสกุลฝาน ด้วยความช่วยเหลือของวิธีการง่ายๆ ต่างๆ เช่นการเร่งเวลา ก็อาจจะมีหวังสู้สุดชีวิตและได้สมบัติลับอันสูงส่งมาสักชิ้นอยู่ดี
แต่ตอนนี้มี ‘บุปผาโลกา’ ช่วยเหลือ กลับเดินไปได้ไกลกว่านั้นอีก
“วิ้ง…”
เจดีย์คละถิ่นสูงเทียมเมฆเปล่งประกายเจิดจ้า
ตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งอยู่ภายในชั้นที่สิบแหงนหน้ามองด้านบน ที่ยอดหลังคาด้านใน มีกลุ่มแสงกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้น ภายในมีพลังคละถิ่นอันดำมืดโหมซัด และมีบางสิ่งกำลังบ่มเพาะอยู่ในนั้น
ภาคที่ 34 เทพจักรวาล...
ตอนที่ 43 สิ่งที่เจดีย์คละถิ่นขั้นสุด...
“นี่คืออะไรน่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่ามีแรงกดดันแพร่เข้ามาจากด้านบน
ภายในกลุ่มแสง ภายใต้การโอบล้อมของพลังคละถิ่นอันดำมืด ของเหลวสีเขียวอ่อนหยดหนึ่งปรากฏขึ้น พลางแผ่ชีวิตชีวาออกมา แต่กลับนำมาซึ่งอานุภาพกดดันอันน่าหวาดหวั่น
ตู้ม…
อานุภาพกดดันที่เกิดจากของเหลวสีเขียวอ่อนหยดนี้ กดดันลงบนร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างรุนแรง ทำเอาวิญญาณของเขาสั่นสะท้านขึ้นมา “หากเป็นเทพจักรวาลหน้าใหม่ที่มีวิญญาณค่อนข้างอ่อนแอก็เกรงว่าคงจะต้องถูกกดดันจนลงไปหมอบแล้วกระมัง”
อานุภาพกดดันระดับนี้ เหนือกว่าระดับจักรพรรดิเซี่ยไปไกลโข
“วิ้ง”
จากนั้นของเหลวสีเขียวอ่อนหยดนี้ก็แปรเป็นลำแสงสายหนึ่งทะยานเข้ามาโดยพลัน จู่ๆ ก็มาถึงตรงหน้า ขณะเดียวกันตงป๋อเสวี่ยอิงก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นคาวอันเข้มข้นที่เข้ามาปะทะใบหน้า! ‘กลิ่นคาวเลือด’ จากของเหลวสีเขียวอ่อนหยดนี้…ประหนึ่งทะเลโลหิตแห่งหนึ่งรวมตัวกันขึ้นมา ความเข้มข้นของกลิ่นคาวเลือดกัดกินเข้ามาในสมอง ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงมึนงงอย่างมิอาจควบคุมได้ ของเหลวสีเขียวอ่อนหยดนี้แทรกเข้ามาตรงหว่างคิ้วของเขา ก่อนจะแทรกตัวเข้าไปในวิญญาณ
“ที่แท้แล้วนี่มันอะไรกันแน่”
สติรับรู้ของเขาอื้ออึงไปหมด จากนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็อ่อนยวบลงกับพื้น
……
ณ สถานที่แห่งหนึ่งในโลกชั้นที่สูงกว่าอันไกลลิบ มีสิ่งมีชีวิตคละถิ่นอยู่สามท่าน
ชายชราคนหนึ่งในจำนวนนั้นหัวเราะพลางยื่นมือออกไป ตรงร่องนิ้วมีของเหลวสีเขียวอ่อนหยดหนึ่งปรากฏขึ้นมา จากนั้นเขาก็ดีดนิ้วออกไปคราหนึ่ง ของเหลวสีเขียวอ่อนหยดนี้ก็ทะลุผ่านระยะทางไกลโพ้นออกไปเสียงดังสวบก่อนจะเข้าไปในดินแดนจิตโลกา
“เจ้าโจรเฒ่า เจ้าโยนโลหิตหัวใจของมารดามังกรหมื่นสัมผัสหยดหนึ่งให้แก่เทพจักรวาลคนหนึ่งอย่างนั้นหรือ ตัดใจได้เช่นนี้เชียวหรือ”
“ตอนนั้นที่ฆ่ามารดามังกรหมื่นสัมผัส ข้าและคนอื่นๆ ต้องดิ้นรนกันนานเท่าไหร่ ตอนนั้นเจ้าโจรเฒ่าได้รับส่วนแบ่งโลหิตหัวใจมาอยู่ในมือทั้งหมดแค่ยี่สิบหยดเท่านั้นเองกระมัง แต่กลับทำใจให้เทพจักรวาลคนหนึ่งเอาไปใช้ได้ เทพจักรวาลใช้แล้วสิ้นเปลืองนัก สำหรับเขาแล้ว ก็ได้แค่ชำระวิญญาณนิดหน่อยเท่านั้น โถ ยังเป็นแค่หนุ่มน้อยเทพจักรวาลชั้นที่สองอีกต่างหากหรือนี่ ข้าจะดูสิว่าที่แท้แล้วพิเศษที่ตรงไหนกันแน่”
“ข้าก็จะดูเสียหน่อย! เฮ้อ กลับชาติมาจุติรึ แล้วยังเกี่ยวโยงถึงดินแดนของน้องหลัวด้วยหรือ”
อีกสองคนสำรวจด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“เจ้าหนุ่มที่ชื่อตงป๋อเสวี่ยอิงคนนี้ก็เป็นหนึ่งในคนที่มีพรสวรรค์อย่างยิ่งจากที่ข้าได้สำรวจมาในโลกกำเนิดจำนวนนับไม่ถ้วน นอกจากนี้ยังสามารถจัดอยู่ในอันดับต้นๆ ได้อีกด้วย แม้ครั้งนี้เจดีย์คละถิ่นของข้าจะเป็นการทดสอบพรสวรรค์ทางด้านวิถีอากาศของเขา แต่อันที่จริงแล้ว จากการสำรวจของข้าก่อนหน้านี้ พรสวรรค์ด้านเขตลวงโลกเทียมของเขา…ยังเหนือกว่าวิถีอากาศเสียอีก!”
“ต่อให้การรับรู้สูงส่งกว่านี้แล้วอย่างไรเล่า อย่างมากก็แค่บรรลุถึงเทพจักรวาลขั้นสุดยอดเท่านั้น อยากจะกระโดดออกจากกรงขังอย่างแท้จริง เฮอะๆ…เจ้าโจรเฒ่าเอ๋ย เจ้าสร้างดินแดนจิตโลกาขึ้นมาอย่างยากลำบาก สิ้นเปลืองทรัพยากรไปตั้งเท่าไหร่เพื่อบ่อมเพาะ แต่จวบจนบัดนี้ก็ไม่มีผู้ที่กระโดดออกจากกรงขังได้เลยสักคนเดียว!”
“น้องหลัว ก็นับว่าข้าเป็นผู้บ่มเพาะกระมัง”
“ฮ่าฮ่า สร้างดินแดนจิตโลกาขึ้นมาอย่างยากลำบาก แต่กลับมิได้ประโยชน์อันใดเลย! หากแต่เป็นโลกกำเนิดที่วิวัฒน์ไปตามธรรมชาติ ‘แผ่นดินต้นกำเนิด’ มีน้องหลัวโผล่ออกมาคนหนึ่ง ดังนั้นข้าว่าเจ้าก็อย่าได้ดิ้นรนอีกเลย! ทั้งหมดปล่อยให้เป็นไปตามวาสนาเถอะ หากมีคนที่เข้าตาจริงๆ ค่อยชี้แนะสักหน่อยก็ใช้ได้แล้ว”
“เฮ้อ…ต้องใช้เวลาน่ะ ดินแดนจิตโลกายังอยู่มาไม่นานพอ เมื่อเวลานานเข้าก็จะต้องไม่เหมือนกันอย่างแน่นอน”
“จะไม่เหมือนกันอีกหรือ ข้าว่าเจ้าดิ้นรนอย่างเปล่าประโยชน์ คนที่ชื่อตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้ เจ้าคงจะสิ้นเปลืองโลหิตหัวใจของมารดามังกรหมื่นสัมผัสไปหยดหนึ่งไปเปล่าๆ แล้วล่ะ”
******
ณ เจดีย์คละถิ่นชั้นที่สิบ
ตงป๋อเสวี่ยอิงล้มลงกับพื้น ด้านข้างกลับมีร่างแยกของตงป๋อเสวี่ยอิงอีกร่างหนึ่งปรากฏขึ้นมา ร่างแยกร่างนี้มีสติกระจ่างแจ้งนัก
“น่าแปลก”
“ของเหลวสีเขียวอ่อนหยดเมื่อครู่นี้คืออะไรกันแน่ เหตุใดจึงทำให้ร่างแยกร่างนี้ของข้าเสียสติรับรู้ไปได้ ความทรงจำก็มิอาจเชื่อมโยงกันได้ชั่วคราวอีกต่างหาก” ตงป๋อเสวี่ยอิงสงสัยอย่างยิ่ง ร่างแยกอื่นๆ ทั้งหมดล้วนไม่เป็นไร มีเพียงร่างแยกที่ถูกของเหลวสีเขียวอ่อนหยดนั้นหลอมรวมเข้าไปเท่านั้นที่เกิดปัญหา
แม้ความทรงจำจะมิอาจเชื่อมโยงกันได้
แต่เมื่อผ่านการสัมผัสรับรู้ระหว่างวิญญาณ ก็สามารถสัมผัสได้ว่าวิญญาณของร่างแยกที่ล้มลงไปนี้กำลังเกิดความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง
“สิ่งที่ขีดสุดของเจดีย์คละถิ่นมอบให้ในตอนสุดท้ายควรจะเป็นเรื่องดี สิ่งมีชีวิตระดับหยวนนั้นคงจะไม่ถึงกับทำร้ายข้าหรอกกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงได้แต่รอคอย ซึ่งการรอคอยครั้งนี้กินเวลากว่าครึ่งค่อนปีเลยทีเดียว
“อึ๊บ”
ในที่สุดร่างแยกที่นอนอยู่ตรงนั้นก็ลุกขึ้นนั่ง
เขาเอามือกุมขมับ หัวสมองอื้ออึงไปหมด แสนเจ็บปวดรวดร้าว
“วิญญาณของร่างแยกนี้ของข้า…” ตงป๋อเสวี่ยอิงค้นพบทันทีว่า ความเร็วในการวิวัฒน์ของวิญญาณของร่างแยกของตนร่างนี้ยกระดับขึ้นอย่างเห็นได้ชัด วิญญาณวิวัฒน์ไป ความเร็วในการสำแดงการรับรู้ก็ยกระดับขึ้นเป็นอย่างมากเหมือนกับขั้นอลวนบรรลุถึงระดับเทพจักรวาลอย่างไรอย่างนั้น ยามนี้ต่อให้เกิดความเช่นนี้…ความเร็วในการผลักดันร่างแยกร่างนี้ เกรงว่าก็คงจะสู้ร่างแยกร่างอื่นอีกสิบร่างรวมกันได้เลยทีเดียว (ดินแดนจิตโลกาสามารถคงวิญญาณระดับยอดสุดเอาไว้ได้เก้าร่าง อากาศอันสับสนอลหม่านบ้านเกิดสามารถคงวิญญาณระดับยอดสุดเอาไว้ได้สองร่าง)
“เอ๊ะ”
ทันใดนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็เผยสีหน้าแตกตื่นออกมา
วิญญาณของร่างแยกที่เพิ่งจะฟื้นคืนสติกลับคืนมาเมื่อครู่ย่อมสัมผัสรับรู้วิญญาณของร่างแยกอื่นในดินแดนจิตโลกาได้ ภายใต้การสัมผัสรับรู้เช่นนี้ กลับมีพละกำลังอันไร้รูปร่างแทรกซึมเข้าไปในวิญญาณของร่างแยกทั้งหมด ซึ่งนั่นเป็นพละกำลังที่เหนือธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง ทำให้วิญญาณของร่างแยกแต่ละร่างของตนค่อยๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างช้าๆ
“พิสดารเหลือเกิน” ตงป๋อเสวี่ยอิงประหลาดใจหาใดเปรียบ “ห่างไปเป็นระยะทางไกลโพ้นก็ยังสามารถทำให้วิญญาณของร่างแยกร่างอื่นของข้าวิวัฒน์ไปได้ด้วยอย่างนั้นหรือ น่าเสียดาย เหมือนว่าทางอากาศอันสับสนอลหม่านบ้านเกิดนั้น จะไม่ได้รับผลกระทบใดเลย”
เขาหวังว่าจะได้รับผลกระทบบ้าง
เนื่องจากหลังการวิวัฒน์ วิญญาณก็จะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น! และมีส่วนช่วยในการบำเพ็ญมากยิ่งขึ้น
เดิมทีเขาคิดจะแบ่งวิญญาณออกมาเป็นวิญญาณร่างแยกใหม่ ตอนนี้ในเมื่อวิญญาณของร่างแยกแต่ละร่างในดินแดนจิตโลกาล้วนค่อยๆ วิวัฒน์ไปแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากถึงเพียงนั้นอีก
“พิสดารยิ่งนัก”
“ยังมีอีก…” ในความทรงจำของตงป๋อเสวี่ยอิง ยังเก็บคัมภีร์สีดำหนาเตอะเล่มหนึ่งเอาไว้ด้วย บนนั้นมีอักขระรพิเศษเขียนเอาไว้ว่า ‘เจ็ดกระบวนคละถิ่น’
และนี่ก็คือคัมภีร์เล่มหนึ่งซึ่งส่งถ่ายเข้ามาในความทรงจำของร่างแยกของตงป๋อเสวี่ยอิงขณะเสียสติรับรู้ไป บัดนี้เมื่อฟื้นคืนสติแล้ว ความทรงจำเชื่อมต่อกัน ร่างแยกทั้งหมดล้วนได้รับคัมภีร์เล่มนี้ และเริ่มต้นค้นคว้าโดยละเอียดพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
จะว่าไปแล้ว
นี่จึงจะเป็นรางวัลที่แท้จริงที่ตนได้รับหลังจากการบุกฝ่าถึงเจดีย์คละถิ่นขั้นสุด
ของเหลวสีเขียวอ่อนหยดนั้นทำให้วิญญาณของตนเกิดการวิวัฒน์ครั้งหนึ่งซึ่งสำคัญมากอย่างแท้จริง
แต่คัมภีร์เล่มนี้สำคัญยิ่งกว่านั้น!
เจ็ดกระบวนคละถิ่นเป็นเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งวิชาหนึ่ง
ใช่แล้ว
เทพจักรวาลขั้นสุดยอดไม่ว่าหน้าไหน แม้กระหายอยากได้สมบัติลับอันสูงส่งเป็นอย่างยิ่ง แต่พวกเขาก็อยากได้เคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งมากกว่า! แม้สมบัติลับอันสูงส่งจะสามารถเฝ้าดูการใช้งานกฎเกณฑ์อันสูงส่งได้เช่นกันแต่ถึงอย่างไรก็เป็นการค้นบุปผากลางสายหมอก…ตัวพวกเขาเองก็ไม่สามารถรับรู้ได้อย่างแท้จริง ได้แต่ต้องอาศัยสมบัติลับจึงจะสามารถสำแดงอานุภาพระดับนั้นออกมาได้ก็เท่านั้นเอง
ส่วนเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่ง กลับเป็นการชี้แนะอย่างละเอียดยิบ! จึงชัดเจนแจ่มแจ้งกว่าการรับรู้สมบัติลับมากมายยิ่งนัก
นอกจากนี้…
ตอนท้ายสุดของคัมภีร์เล่มนี้ยังมีวิธีหลอมแปรสมบัติลับที่จะช่วยส่งเสริมเจ็ดกระบวนคละถิ่นแนบมาด้วย สำหรับผู้แกร่งกล้าที่บำเพ็ญเจ็ดกระบวนคละถิ่นแล้ว สมบัติลับที่หลอมแปรออกมานั้นก็ไม่แพ้สมบัติลับอันสูงส่งเลย
“เคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งอันสมบูรณ์วิชาหนึ่ง ทั้งยังแนบวิธีหลอมแปรสมบัติลับที่เหมาะสมที่สุดมาด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบยินดีในใจ
อันที่จริงแล้ว
รางวัลของเจดีย์คละถิ่น หากแกะสลักผนังชั้นในชั้นที่เก้าสำเร็จและก้าวเข้าสู่ชั้นที่สิบ ก็จะสามารถได้เคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งมาแล้ว
ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงบรรลุถึงขีดสุดจึงได้เคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งมา บวกกับเคล็ดวิชาหลอมแปรสมบัติลับโดยเฉพาะอีกวิชาหนึ่ง! ส่วนของเหลวสีเขียวอ่อนหนึ่งหยดนั้น…เป็นสิ่งที่ ‘หยวน’ มอบให้ต่างหาก
“เจ็ดกระบวนคละถิ่น” ตงป๋อเสวี่ยอิงยังคิดจะเคี่ยวกรำและค้นคว้าเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งที่แม้แต่เทพจักรวาลขั้นสุดยอดก็ยังแทบคลั่งนี้ แต่ทันใดนั้นคลื่นระลอกหนึ่งก็ร่อนลงมา
วิ้ง
มันเคลื่อนย้ายตงป๋อเสวี่ยอิงไปทันที
เห็นได้ชัดว่าหลังจากได้รับผลประโยชน์และฟื้นคืนสติกลับมาแล้ว ก็ย่อมต้องส่งเขาจากไปเป็นธรรมดา
……
“เอ๊ะ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูตรงหน้า และมองไปด้านหลังซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ด้านหลังก็คือสะพานแขวนแห่งหนึ่งซึ่งมีเมฆหมอกปกคลุมอยู่ ต่อให้ยามนี้เดินออกจากขอบเขตของสะพานแขวนไปก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายเย็นเยียบดุจน้ำแข็งของสะพานแขวน
ไกลออกไปเบื้องหน้าก็คือโถงตำหนักแห่งหนึ่ง
“ข้ากลับมาที่นี่อีกแล้วหรือนี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงจำได้อย่างชัดเจนมากว่า ก่อนหน้านี้ตนเพิ่งจะบุกฝ่าผ่านสะพานแขวน ก็ถูกเคลื่อนย้ายมายังเจดีย์คละถิ่น ตอนนี้ก็ถูกส่งมาที่นี่อีก!
ภาคที่ 34 เทพจักรวาล...
ตอนที่ 44 คละถิ่นกระบวนที่หนึ่ง
แม้จะถูกเคลื่อนย้ายกลับมาตรงเชิงสะพานแขวน แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงก็แค่ระมัดระวังเท่านั้น ความคิดจิตใจกว่าครึ่งของเขายังคงอยู่กับเจ็ดกระบวนคละถิ่น เขาถึงขั้นมิอาจข่มความรู้สึกใจเต้นเอาไว้ได้ เพราะนี่เป็นถึงเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่ง! เหล่าเทพจักรวาลขั้นสุดยอดในดินแดนจิตโลกาไปจนถึงสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุดไม่กี่คนนั้น เกรงว่าก็คงมีผู้ที่ได้รับเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งน้อยเสียจนยกนิ้วนับได้
ต่อให้ได้รับเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งมา ก็มิอาจถ่ายทอดสู่ภายนอกได้!
ไม่ว่าจะมีเบื้องหลังใหญ่โตเพียงใด ต่อให้คารวะจักรพรรดิเซี่ย บรรพชนฝานหรือเจ้าเมืองอนันต์เป็นอาจารย์…ก็ไม่แน่ว่าจะได้เคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งมา!
ตนเข้าไปยัง ‘วังเทพจิตโลกา’ เป็นครั้งแรก และได้รับโอกาสใหญ่หลวงระดับนี้ แม้การรับรู้ของตนเองจะเป็นด้านหนึ่ง แต่ก็ต้องขอบคุณ ‘บุปผาโลกา’ ที่เจ้าเมืองหลัวมอบให้ด้วย
“เคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่ง”
“เป็นการเปิดหูเปิดตาครั้งใหญ่…เปิดหูเปิดตาครั้งใหญ่จริงๆ!”
ตงป๋อเสวี่ยอิงรับรู้ข้อมูลโดยละเอียดของเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งในห้วงสมอง เมื่อเทียบกับมันแล้ว เคล็ดวิชาที่เคยได้มาก็ไม่ควรค่าแก่การพูดถึงเลย เพราะมิใช่ระดับเดียวกันเลยจริงๆ
“บัดนี้หกสายของข้าหลอมรวมกันแล้ว ในบรรดาเทพจักรวาลชั้นที่สองก็นับว่าไม่เลวเลย แต่คิดไม่ถึงว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าเจ็ดกระบวนคละถิ่น บัดนี้ข้ามีทรัพยากรน้อยนิดเท่านั้น ก็ได้แค่เริ่มฝึก และมีหวังจะฝึกคละถิ่นกระบวนที่หนึ่งสำเร็จได้อย่างพอถูไถเท่านั้น!” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบอุทานออกมา
เจ็ดกระบวนคละถิ่น เปิดบทแรกมาก็เป็นการใช้พลังคละถิ่นทำการต่อสู้แล้ว!
พลังคละถิ่นเป็นพละกำลังพื้นฐานของโลกระดับสูงขึ้นไปอีกชั้นหนึ่ง
วิถีอากาศสามารถเฝ้าดูและสัมผัสถึงชั้นที่สูงขึ้นไปได้ จึงสามารถอาศัยวิถีอากาศใช้ ‘พลังคละถิ่น’ ได้ อย่างศาสตร์ร่างแยก ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาไปจนถึงปุจฉวิถีคละถิ่น…เคล็ดวิชาเหล่านี้ล้วนแต่เป็นการอาศัยวิถีอากาศใช้งานพลังคละถิ่นทั้งสิ้น ในจำนวนนั้นที่ยอดเยี่ยมที่สุดตกเป็นของปุจฉวิถีคละถิ่นที่จักรพรรดิเซี่ยคิดค้นขึ้น
แต่ทว่า…
เมื่อเทียบกับเจ็ดกระบวนคละถิ่นที่ผู้แกร่งกล้าคละถิ่น ‘หยวน’ คิดค้นขึ้นด้วยตนเองแล้ว ปุจฉวิถีคละถิ่นก็ห่างชั้นอยู่มากโข
ถึงขั้นที่ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงผู้ฝึกฝนเจ็ดกระบวนคละถิ่นเป็นคนแรกก็ยังสามารถค้นพบได้ทันทีว่าปุจฉวิถีคละถิ่นมีหลายจุดที่สามารถปรับปรุงให้ดีขึ้นได้! เขาลองปรับปรุงแก้ไข ความยากในการบำเพ็ญปุจฉวิถีคละถิ่นก็ลดลงเป็นอย่างมาก ทว่าเขากลับเคารพนับถือจักรพรรดิเซี่ยมากยิ่งขึ้น เนื่องจากเขาศึกษาเจ็ดกระบวนคละถิ่น จึงล่วงรู้วิธีที่ละเมียดละไมและสบายกว่าในการใช้งานพลังคละถิ่นและสามารถปรับปรุงได้
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่ตรงเชิงสะพานแขวน ลำพังแค่สองชั่วยามกว่าๆ เขาก็เผยสีหน้ายินดีออกมา
เขาโบกมือเบาๆ คราหนึ่ง
ฟิ้ว!
ตรงหน้าฝ่ามือพลันมีไอหมอกกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นมา กลางไอหมอกราวกับมีร่องมิติจำนวนนับไม่ถ้วนอยู่ หากขยายขึ้นมาสักล้านล้านเท่า ร่องเหล่านี้ก็มีพลังคละถิ่นจำนวนนับไม่ถ้วนแผ่กระจายเข้ามา แต่กลับพัฒนากลายเป็นมิติขนาดเล็กจิ๋วหลายแห่งซึ่งยากที่จะเฝ้ามองได้ด้วยตาเปล่าอยู่กลางเมฆหมอก แต่ละมิติล้วนก่อตัวขึ้นจากพลังคละถิ่นอันมั่นคงหาใดเปรียบ แต่เมื่อเมฆหมอกสะท้านสะเทือน มิติแต่ละแห่งก็พังทลายลงต่อเนื่องกัน มิตินับล้านล้านแห่งพังทลาย ภายในขอบเขต ‘ไอหมอก’ เบื้องหน้านี้มีพละกำลังทำลายล้างอันน่าหวาดหวั่นอย่างยิ่งก่อตัวขึ้นมา
เมฆหมอกสะท้านสะเทือนเล็กน้อย ภายในกลับถล่มทลายและถูกทำลายจนกลายเป็นเถ้าธุลี
เพียงชั่วพริบตาสั้นๆ นั้น ก็ได้ฉีกทึ้งผนังของโลกกำเนิดออกมาก่อน ทำให้พลังคละถิ่นจำนวนมากกลายเป็นมิติ มิติเล็กจิ๋วเหล่านี้ ในพริบตาเดียวก็สำเร็จขั้นตอนการ ‘เกิดและสลาย’ ไปอย่างรวดเร็ว! มิตินับล้านล้านแห่งแตกสลายไปต่อเนื่องกันประหนึ่งปรากฏการณ์ลูกโซ่ ทำให้อานุภาพซ้อนทับกันอย่างต่อเนื่อง เมื่อมองอย่างผิวเผินแล้วก็มองอานุภาพของมันไม่ออกเลย แต่หากถูกมันสัมผัสเข้าก็จะ ‘แตกทำลาย’ ไปพร้อมกับมัน
คละถิ่นกระบวนที่หนึ่ง…ปุยเมฆสะท้าน!
“เป็นกระบวนท่าที่ร้ายกาจนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึง
“หากข้าหลอมอาวุธที่เข้ากันโดยเฉพาะขึ้นมา ดินแดนจิตโลกายิ่งใหญ่เพียงใด ข้าก็สามารถท่องไปได้ตามอำเภอใจ” นัยน์ตาทั้งคู่ของตงป๋อเสวี่ยอิงทอประกาย วิธีหลอมอาวุธที่แนบมากับเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่ง ขอเพียงตนทำตามนั้นก็จะสามารถหลอมได้สำเร็จ นอกจากวัสดุจะล้ำค่าหายากแล้ว สำหรับตนการหลอมแปรก็มิได้ยากสักเท่าใดนัก
“นี่เป็นเพียงแค่คละถิ่นกระบวนที่หนึ่งเท่านั้น สำหรับการใช้งานพลังคละถิ่น ก็ช่างพิสดารเกินไปแล้ว! กระบวนท่าต่อจากนี้ แต่ละกระบวนท่าก็จะแข็งแกร่งและน่าหวาดหวั่นขึ้นเรื่อยๆ แล้ว” ดงตาของตงป๋อเสวี่ยอิงเปล่งประกาย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสองกระบวนสุดท้ายของเจ็ดกระบวนคละถิ่นนั้นเป็นกระบวนท่าที่ผู้แกร่งกล้าคละถิ่นสำแดงออกมาแล้ว ต่อให้ตนบรรลุถึงเทพจักรวาลขั้นสุดยอดก็ต้องอาศัยอาวุธเฉพาะจึงจะสามารถสำแดงกระบวนท่าต่อเนื่องในตอนท้ายออกมาได้ มิเช่นนั้นแล้วห้ากระบวนท่าแรก…ก็คือขีดสุดของเทพจักรวาลแล้ว!
สวบ
ตงป๋อเสวี่ยอิงสาวเท้าออกไปแล้วเดินมุ่งหน้าไปยังโถงตำหนักไกลออกไป
เมื่อเดินไปตลอดทาง ครั้งนี้เขากลับเข้าไปภายในโถงตำหนักได้โดยไม่พบอันตรายใดอีก
“ในที่สุดก็เข้ามาในโถงตำหนักแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงรำพึง เมื่อมองจากโลกภายนอก วังเทพจิตโลกาเหมือนจะมีวังเล็กวังน้อยหลายแห่ง มีโถงตำหนักเรียงรายกันอยู่ แต่บัดนี้ตนก็เพิ่งจะได้เข้ามายังโถงตำหนักของวังเทพจิตโลกา
โถงตำหนักแห่งนี้เงียบเชียบยิ่งนัก ประตูตำหนักเปิดกว้าง
ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินเข้ามาอย่างระมัดระวัง เขามองไปรอบด้าน บนผนังของโถงตำหนักมีภาพเหมือนอยู่หลายภาพ แต่ละคนล้วนแต่เป็นชนต่างเผ่าซึ่งสวมเกราะเอาไว้ รูปลักษณ์ร้อยแปดพันประการ
“โครมมม…”
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปด้านหลัง ประตูตำหนักด้านหลังปิดลงแล้ว
ฟิ้วๆๆ…
ชนต่างเผ่าในรูปเหมือนบนผนังรอบโถงตำหนักล้วนพากันเดินออกจากผนังมายังโถงตำหนักจนสิ้นอย่างไร้สุ้มเสียง สายตาของแต่ละคนพากันจับจ้องมาที่ร่างของตงป๋อเสวี่ยอิง เมื่อมองไปแวบหนึ่ง ก็เห็นว่ามีชนต่างเผ่าสวมชุดเกราะถึงสามสิบกว่าคน บรรดาชนต่างเผ่าเหล่านี้ยิ้มเหี้ยมเกรียมพลางแค่นเสียงเฮอะ “ถึงกับกล้ามาบุกฝ่าวังเทพจิตโลกาเชียวหรือนี่ รับความตายเสียเถิด”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจว่าตอนนี้นับได้ว่าตนเข้าสู่ชั้นนอกสุดของโถงตำหนักอย่างเป็นทางการของวังเทพจิตโลกาแล้ว
ฟึ่บๆๆ…
ทหารคุ้มกันต่างเผ่าทั้งหมดขยับเขยื้อนขึ้นมา บางนายแปรเป็นอสนีบาตบุกเข้ามา บ้างก็สลายหายไปทันที จากนั้นก็รวมตัวกันตรงหน้าตงป๋อเสวี่ยอิง บ้างก็แปรเป็นไอหมอกปกคลุมเข้ามา บางคนก็ยืนอยู่ห่างออกไปพลางสำแดงค่ายกลออกมา
“ฟิ้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงกำหนดจิตคราหนึ่ง
ทันใดนั้นภายในโถงตำหนักก็พลันมีไอเมฆหมอกปรากฏขึ้น ไอเมฆหมอกอันยิ่งใหญ่แผ่คลุมไปทั่วทั้งโถงตำหนัก ภายในไอเมฆหมอกมีมิติจำนวนนับไม่ถ้วนถือกำเนิดขึ้นมา ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงก็อันตรธานไปอย่างน่าประหลาด
“เขาอยู่นั่น!”
บรรดาทหารคุ้มกันต่างเผ่าเหล่านี้พบตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าแล้ว
‘ตงป๋อเสวี่ยอิง’ ซึ่งเป็นรูปลักษณ์ของหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวอยู่ภายในมิติเล็กจิ๋วแห่งหนึ่งในปุยเมฆพลางยิ้มให้เหล่าทหารคุ้มกันต่างเผ่าภายนอก
สวบๆๆ…
เงาร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏขึ้นตามมิติเล็กจิ๋วแห่งแล้วแห่งเล่าอย่างแปลกประหลาด ราวกับสับเปลี่ยนตำแหน่งอย่างต่อเนื่อง
อันที่จริงแล้วอากาศกำลังเปลี่ยนแปลงไป
นี่คือวิธีการใช้งานหลังจากเปลี่ยนแปลงคละถิ่นกระบวนที่หนึ่ง ‘ปุยเมฆสะท้าน’ไปเล็กน้อย ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่า ‘ปุยเมฆสะท้าน’ ควบคุมมิติภายในได้สูงส่งกว่ายุทธวิธีเมฆาแดงมากทีเดียว ดังนั้นภายใต้การเปลี่ยนแปรของเขา มิติเหล่านั้นก็มิได้แตกสลายไป หากแต่กลายเป็นตำแหน่งต่างๆ ที่เขาสามารถเปลี่ยนแปรและเคลื่อนที่ไปได้
“ฟึ่บ”
ภายในมิติขนาดเล็กจิ๋วแห่งหนึ่ง มือขาวซีดข้างหนึ่งยื่นออกมา แล้วตะปบลงบนแผ่นหลังของทหารคุ้มกันต่างเผ่าผู้หนึ่ง ทันใดนั้นก็มีปุยเมฆอันเข้มข้นมากกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้น ปุยเมฆมากมายปรากฏขึ้นมา ภายใต้การสั่นสะเทือนและสลายไปของปุยเมฆกลุ่มนี้ ก็ทำให้ทหารคุ้มกันต่างเผ่าผู้นั้นสลายไปพร้อมกัน
“ไม่ดีแล้ว”
“เร็วเข้า เขาอยู่ตรงนั้น”
“ฆ่ามัน”
“ไม่ถูกต้อง ไม่ถูกต้อง” ทหารคุ้มกันต่างเผ่าเหล่านี้อดโกรธแค้นมิได้ ไล่ตามไม่ทัน แม้จะรุกโจมตีตามอำเภอใจ แต่พวกเขาจะสามารถทำลายมิติเล็กจิ๋วจำนวนนับไม่ถ้วนได้สักเท่าไหร่กันเชียว
ฟึ่บๆๆ…
ตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏขึ้นในมิติเล็กจิ๋วแต่ละแห่งอย่างต่อเนื่อง บางครั้งมือข้างหนึ่งก็ตะปบลงบนทหารคุ้มกันต่างเผ่า ทันทีที่ถูกตะปบ หากไม่สลายไปทันที ก็บาดเจ็บสาหัส
เพียงไม่ถึงชั่วลมหายใจ
ทหารคุ้มกันต่างเผ่าทั้งหมดก็สลายไปจนสิ้น
ปุยเมฆที่ปกคลุมไปทั่วทั้งโถงตำหนักก็สลายไปเช่นกัน ตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง เขามองดูภาพเหมือนบนผนังตำหนัก ทหารคุ้มกันต่างเผ่าในแต่ละภาพพากันจับจ้องตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยความเดือดดาล
“โครมมมม…” ประตูด้านหลังของโถงตำหนักกลับเปิดออกมาเสียแล้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มร่าแล้วเดินเลียบไปตามด้านข้างแล้วออกจากโถงตำหนักทางประตูด้านหลัง
โลกภายนอกมีระเบียงอันวิจิตร
ระเบียงคดเคี้ยว ไกลออกไปยังมีทางแยกมากมายซึ่งเชื่อมต่อโถงตำหนักแต่ละแห่งเข้าด้วยกัน
“นี่สิจึงจะเป็นลักษณะของวังแห่งหนึ่ง” ตงป๋อเสวี่ยอิงครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วเลือกมุ่งหน้าไปตามระเบียงแห่งหนึ่งตามใจ เดินไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นเขาก็หันมองไปทางทิศหนึ่งด้านซ้ายมืออย่างฉับพลัน
เขาสัมผัสได้ถึงระลอกคลื่นทางด้านนั้น
“มีการต่อสู้หรือ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงมุ่งหน้าไปทางด้านนั้นด้วยความระมัดระวัง มุ่งหน้าไปตลอดทาง ผ่านระเบียงแห่งแล้วแห่งเล่า ในที่สุดก็มาถึงสวนขนาดมหึมาแห่งหนึ่ง
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองลอดประตูสวนเข้าไป เพียงปราดเดียวก็เห็นว่าภายในมีเงาร่างอยู่ห้าสาย ในจำนวนนั้นมียอดฝีมือรัฐโบราณคิมหันตวายุอยู่สองคน ได้แก่ ‘มหาเคารพผู่ซู่’ และ ‘จอมเคารพกระบี่ปีศาจ’ ส่วนอีกสามคนกลับมาจากรัฐโบราณคนละแห่งรวมสามรัฐด้วยกัน บรรยากาศภายในสวนเหมือนว่าจวนจะแข็งค้างไปอยู่แล้ว สีหน้าของยอดฝีมือทั้งห้าไม่น่ามองเอาเสียเลย
“เอ๊ะ” ยอดฝีมือระดับจอมเคารพทั้งห้าคนในสวนก็สัมผัสรับรู้ได้ แต่ละคนหันมองมาด้านนอก
“อิงซานเสวี่ยอิงหรือ”
“เป็นเขาหรือ”
ยอดฝีมือระดับจอมเคารพทั้งห้าตกตะลึงเป็นอันมาก
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น