Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 34 ตอนที่ 31-38
ภาคที่ 34 เทพจักรวาล...
ตอนที่ 31 มหาเคารพวายุเหล็ก
ชายหนุ่มรูปงามในอาภรณ์สีทองงามหรูพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็ยืดกายขึ้นแล้วหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
แม้วิธีการจะร้ายกาจ แต่ประมุขรัฐเมฆทักษิณาควบคุมค่ายกลทั้งวังหลวง จึงยังสามารถสัมผัสรับรู้ได้ว่าท่านอาจารย์ผู้นี้ได้จากไปแล้ว
“คิดไม่ถึงว่าเขาจะกลับมาแล้ว” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาขมวดคิ้วมุ่น “โชคไม่ดีเลยจริงๆ”
เขาได้พบท่านอาจารย์ผู้นี้เป็นครั้งแรกจริงๆ
ตอนแรกเขาหลบหนีราวกับสุนัขไร้บ้านแล้วสบโอกาสได้มายังโบราณสถานแห่งหนึ่ง และได้สมบัติลับระดับยอดสุด อย่าง ‘ดาบทวิภพ’ มา และนี่ก็คือหลักประกันในการพลิกร่างของเขา! แต่อันที่จริงแล้ว ที่ ‘ดาบทวิภพ’ สมบัติลับระดับยอดสุดชิ้นนี้มาอยู่ในโบราณสถานได้ ก็เพราะท่านอาจารย์ผู้นี้จงใจทิ้งเอาไว้ให้ หากอยากจะได้สมบัติลับ ก็ต้องลั่นคำสัตย์ บูชาเขาเป็นอาจารย์เสียก่อน!
คำสัตย์พันธนาการเอาไว้
เมื่อมาถึงระดับอย่างประมุขรัฐเมฆทักษิณาแล้ว หากฝ่าฝืนก็ไม่มีอันตรายอันใด เพียงแค่ฝ่าฝืนจิตแห่งวิถีเท่านั้น ทำให้การบำเพ็ญยากที่จะก้าวหน้าไปได้อีก แต่สำหรับประมุขรัฐเมฆทักษิณาซึ่งมีจิตคิดจะบรรลุเทพจักรวาลขั้นสุดยอดให้ได้ หากไม่ถึงชั่วขณะสุดท้าย ก็ไม่อยากฝืนคำสัตย์
“ตอนนั้นคิดถึงเพียงการพลิกร่าง นอกจากนี้ตอนนั้นข้าคิดว่าเขาสิ้นใจไปนานแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะยังไม่สิ้นใจและยังกลับมาแล้วด้วย” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาส่ายหน้า ตอนนั้นเขาน่าอนาถถึงเพียงนั้น ก็แค่คารวะอาจารย์คนหนึ่งเท่านั้น นอกจากนี้ยังเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูซึ่งหายสาบสูญไปนานแสนนาน เขาจึงมิได้ลังเลอะไรนัก
บัดนี้ ท่านอาจารย์มาแล้ว
เมื่อพบหน้ากันครั้งแรก ข้อหนึ่งคือประมุขรัฐเมฆทักษิณา ไม่อยากจะฝ่าฝืนคำสัตย์สาบาน ข้อสอง ก็คือไม่อยากยั่วโมโห ท่านอาจารย์ผู้นี้! เพราะถึงอย่างไรขณะที่อีกฝ่ายเหิมเกริมไปทั่วดินแดนจิตโลกา เขาก็เพิ่งสำเร็จเป็นเทพจักรวาลเท่านั้น จึงเข้าใจความน่ากลัวของอีกฝ่าย
“หากไปยั่วโมโหเขาเข้าจริงๆ นอกจากข้าแล้ว คนทุกผู้ทั่วทั้งรัฐเมฆทักษิณาก็ล้วนต้องตายทั้งสิ้น” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาลอบทอดถอนใจ
ตอนนั้นอีกฝ่ายก็เป็นตัวแทนของความตายอยู่แล้ว!
บัดนี้พลังอาจจะก้าวหน้ายิ่งขึ้นไปอีก แต่ประมุขรัฐเมฆทักษิณายินดีที่จะอดทนเอาไว้ มากกว่าไปยั่วโมโหฝ่ายตรงข้าม
******
ณ เมืองหิมะเหิน
ตงป๋อเสวี่ยอิงดื่มสุราเป็นเพื่อนอิงซานเลี่ยฮู่ผู้เป็นบิดาตลอดทั้งคืน ก่อนจะกลับไปยังเรือนของตน เขานั่งขัดสมาธิลงกลางศาลาริมทะเลสาบ พลางมองดูลูกแก้วห้าภาพที่ปรากฏขึ้นบนข้อมือ ทันใดนั้นร่างแยกร่างหนึ่งก็โถมเข้าไปภายในลูกแก้วลูกหนึ่ง
ณ โลกภายในลูกแก้วห้าภาพ
ตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏกายขึ้นกลางอากาศ เพียงแวบเดียวก็มองเห็นจ้าวมารเพลิงพิโรธซึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนผืนดินกว้างใหญ่พลางพยายามขับพิษร้ายออกจากร่างกาย หนึ่งคืนผ่านไป พิษร้ายที่จ้าวมารเพลิงพิโรธโดนเข้าไปก็ถูกกำจัดออกไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ในใจของจ้าวมารเพลิงพิโรธกลับไม่มีความยินดีเลยแม้แต่น้อย ในใจกลับหนักอึ้งไปหมด…เขารู้ว่าวิกฤตถึงตายกำลังรอคอยอยู่ตรงหน้า
“เจ้ามาแล้ว” จ้าวมารเพลิงพิโรธมองดูตงป๋อเสวี่ยอิง
ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มน้อยๆ เขาเว้นห่างไปคืนหนึ่งจึงมาพบอีกฝ่าย ก็เพื่อให้จ้าวมารเพลิงพิโรธผู้นี้สงบลงไปบ้าง
“จ้าวมารเพลิงพิโรธ บัดนี้ท่านมีทางเลือกสองทาง” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “ทางแรกคือข้าสังหารท่าน แล้วนำสมบัติล้ำค่าของท่านไป ทางที่สอง คือท่านเป็นฝ่ายมอบสมบัติล้ำค่าให้เอง แล้วข้าจะมอบตัวท่านให้แก่รัฐโบราณคิมหันตวายุ! แม้รัฐโบราณคิมหันตวายุอาจจะมีบทลงโทษบ้าง ให้ท่านอุทิศตนให้พวกเขา แต่ถึงอย่างไรท่านก็จะสามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้”
จ้าวมารเพลิงพิโรธถูกขังอยู่ภายในลูกแก้วห้าภาพ จะสังหารเขาก็มิใช่เรื่องยากเลย
เพียงแค่ทั้งสองฝ่ายห้ำหั่นกัน! ลูกแก้วห้าภาพนั้นตัดขาดภายในและภายนอกออกจากกัน การไหลเวียนของพลังฟ้าดินก็ถูกตัดขาด เมื่อไม่มีพลังฟ้าดินคอยส่งเสริมแล้วต่อสู้กันไป พลังงานของจ้าวมารเพลิงพิโรธ ก็จะถูกเผาผลาญไปจนสิ้นและต้องตายอย่างแน่นอน!
“ถูกเจ้าจับมาทั้งเป็น ข้าก็มีแต่ต้องถวายชีวิตให้รัฐโบราณคิมหันตวายุแล้ว ยังจะทำเช่นไรได้อีกเล่า” จ้าวมารเพลิงพิโรธพูดเสียงต่ำ
เขาไร้ทางเลือก!
สำหรับหกรัฐโบราณแล้ว มารร้ายเหล่านี้ หากอ่อนแอก็จะสังหารให้ตายทันที
แต่โดยทั่วไปหากสำเร็จเป็นเทพจักรวาล ก็จะมีค่าพอให้ใช้งานได้แล้ว! รัฐโบราณแต่ละแห่งล้วนมี ‘มือดี’ ซึ่งซ่อนเร้นอยู่ในความมืดทั้งสิ้น อย่างรัฐโบราณจันทร์บุปผาหรือรัฐโบราณเสียดฟ้าซึ่งเป็นรัฐโบราณที่ค่อนข้างอ่อนแอนั้นถึงขั้นเป็นฝ่ายเรียกมารร้ายไปเอง ทั้งยังมิได้ตั้งข้อจำกัดอันใดอีกด้วย มารร้ายเหล่านั้นจึงมีอิสระเป็นอย่างมาก
“ดีมาก” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว จากนั้นก็ยื่นมือออกไป พลังเทพจักรวาลสายหนึ่งแทรกเข้าไปภายในกายของจ้าวมารเพลิงพิโรธซึ่งอยู่ไกลออกไป จ้าวมารเพลิงพิโรธก็มิได้ขัดขวางแต่อย่างใด
เขาตรวจสอบภายในกายของจ้าวมารเพลิงพิโรธรอบหนึ่งอย่างง่ายดาย
สมบัติลับทั้งหมดของจ้าวมารเพลิงพิโรธค่อยๆ ลอยออกมาทีละชิ้นๆ จ้าวมารเพลิงพิโรธไม่ขัดขวางเลยแม้แต่น้อย
เมื่อมาถึงขั้นนี้ เขาก็รู้ว่าควรจะเลือกอย่างไร
“อุทิศแรงให้รัฐโบราณคิมหันตวายุ ถึงอย่างไรในภายหน้าก็ต้องมีสักวันที่ได้คืนสู่อิสรภาพ” เมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงตรวจสอบดูก็พึงพอใจเป็นอันมาก
เนื่องจากหากส่งไปทั้งเป็น เมื่อรัฐโบราณคิมหันตวายุกำหนดข้อจำกัดต่างๆ เรียบร้อยแล้วก็จะมีมือดีเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่ง นอกจากคุณูปการภารกิจแล้ว ก็ยังมีรางวัลเป็นแก้วผลึกจักรวาลอีกจำนวนมาก! จ้าวมารเพลิงพิโรธผู้นี้…คาดว่าจะสามารถทำให้ตนได้รางวัลกว่าหมื่นล้านแก้วผลึกจักรวาล แม้เมื่อเทียบกันแล้วตัวจ้าวมารเพลิงพิโรธเองจะนับว่ามีราคาค่อนข้างต่ำก็ตามที แต่ถึงอย่างไรก็ยังพอมีผลประโยชน์เพิ่มขึ้นมาบ้าง
สำหรับรัฐโบราณคิมหันตวายุแล้ว หากจะให้พวกเค่อชิงปฏิบัติภารกิจ ก็ยังต้องมอบคุณูปการและผลประโยชน์ให้อีก! เค่อชิงที่ร้ายกาจบางคนอาจบ่นกระปอดกระแปดหรือถึงขั้นปฏิเสธเสียเลย
ส่วน ‘มือดี’ เหล่านี้กลับแตกต่างออกไป เพราะไม่จำเป็นต้องให้ผลประโยชน์! ทั้งยังมิกล้าฝ่าฝืนคำสั่งอีกด้วย!
“พเนจรอย่างอิสระมาจนถึงบัดนี้ กลับต้องมาสะดุดลงด้วยมือของจ้าวหิมะเหินผู้นี้” จ้าวมารเพลิงพิโรธนั่งขัดสมาธิอยู่ แม้ในใจจะโศกเศร้า แต่ก็รู้ดีว่าควรทำอย่างไร
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ภายในเมืองหิมะเหินโดยมิได้ไปไล่ล่าผู้ใดอีก
เนื่องจากเขารู้ดีว่า สามารถจับตัวจ้าวมารเพลิงพิโรธได้ทั้งเป็น ก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว!
จากประสบการณ์
ทุกครั้งที่วังเทพจิตโลกาเปิดออกมา ในการแย่งชิงรายนามของรัฐโบราณคิมหันตวายุ หากสามารถสังหารเป้าหมายของภารกิจสำเร็จได้สักคนก็นับว่าไม่เลวแล้ว! เนื่องจากผู้ที่สามารถมีรายชื่อถูกล่าหัวอยู่ในภารกิจได้ ก็ล้วนแต่สังหารได้ยากนัก! หากมิใช่เพราะเขาตงป๋อเสวี่ยอิงเจ้าเล่ห์พอ และการกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดสามารถมาถึงข้างกายศัตรูได้อย่างไร้สุ้มเสียง หากมิใช่เพราะมีเจ้าลัทธิเก้าพิษช่วยเหลือ หากมิใช่เพราะบรรพชนเหินประจิมช้าไปก้าวหนึ่ง เขาก็ไม่มีทางสำเร็จได้
ดังนั้นตัวเขาเองก็รู้ว่า นับว่าโชคดีแล้ว
ถึงขั้นที่ว่า ในบรรดาเป้าหมายที่มีการตั้งรางวัลเอาไว้ทั้งหมด มีเพียง ‘จ้าวมารจันทราวายุ’ เท่านั้นที่เขาจัดการได้พอดี แต่จ้าวมารจันทราวายุก็รู้ว่าจิตใจมีข้อบกพร่อง ดังนั้นเขาจึงซ่อนตัวอยู่ภายในสมบัติล้ำค่าที่บรรพชนเหินประจิมพกติดตัวเอาไว้! ดังนั้นเมื่อสะกดรอย…จึงพบตำแหน่งที่อยู่ของจ้าวมารจันทราวายุ ซึ่งก็คือตำแหน่งของบรรพชนเหินประจิมนั่นเอง บรรพชนเหินประจิมปลอมตัวเป็นจ้าวมารจันทราวายุจึงสามารถทำได้สำเร็จ!
แน่นอนว่า…
บรรดาจ้าวมารคนอื่นๆ ล้วนมิกล้าอยู่ภายในสมบัติล้ำค่าที่บรรพชนเหินประจิมพกติดตัวเอาไว้ เนื่องจากพลังของตัวบรรพชนเหินประจิมเองไม่นับว่าแข็งแกร่งสักเท่าใดนัก เพียงแต่เขาสามารถปรากฏร่างขึ้นอีกร่างหนึ่งได้อย่างรวดเร็วหลังจากร่างกายถูกทำลายไปแล้วก็เท่านั้นเอง หากจ้าวมารทั้งสี่ซ่อนตัวอยู่ด้วยกันทั้งหมด เกรงว่าหากสิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดหวั่นอย่างมหาเคารพฝูอี่ร่วมมือกันขึ้นมา ก็คงตายกันยกครัว
“การแย่งชิงตำแหน่งของรัฐโบราณคิมหันตวายุ หากสามารถสังหารเป้าหมายได้สักคนสองคนก็นับว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว โดยทั่วไปการสะสมคุณูปการภารกิจ หลักๆ แล้วก็จะเป็นภารกิจสมบัติวิเศษเสียมากกว่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ
“ภารกิจสมบัติวิเศษนั้นล้วนแต่เป็นสิ่งที่รัฐโบราณคิมหันตวายุต้องการและหาได้ยากเป็นอย่างมาก” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ
แม้แต่สามตระกูลใหญ่แห่งรัฐโบราณคิมหันตวายุก็อยากจะได้
จะเห็นได้ถึงระดับความหายาก
ไม่ว่าจะล้ำค่าน้อยหรือมาก สมบัติวิเศษเหล่านี้มีอยู่จุดหนึ่งที่เหมือนกันก็คือ…หาได้ยาก!
ผู้ที่เข้าร่วมการช่วงชิงเหล่านี้…ล้วนมีพลังแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก แต่ละคนทุ่มเทสุดชีวิตเพื่อตามหา ตามประสบการณ์ในประวัติศาสตร์ โดยทั่วไปแล้วราว ‘หนึ่งหมื่นคุณูปการ’ ก็สามารถได้ตำแหน่งมาแล้ว! ในประวัติศาสตร์บางครั้งก็มากกว่าเล็กน้อย เช่นอาจต้องใช้หนึ่งหมื่นกว่าจนเกือบสองหมื่นคุณูปการจึงจะได้รับตำแหน่งมา บางครั้งก็น้อยกว่าเล็กน้อย ห้าพันคุณูปการก็โชคดีได้ตำแหน่งมาได้แล้ว!
คุณูปการเล็กน้อยเท่านี้ก็สามารถได้ตำแหน่งมาได้
จะเห็นได้ถึงความยากของ ‘ภารกิจสังหาร’ และ ‘ภารกิจสมบัติวิเศษ’
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ในศาลาสูดกลิ่นหอมอ่อนๆ ของสุราผลไม้ร้อนกรุ่น ทันใดนั้นก็แหงนหน้ามองขึ้นไปราวกับรับรู้อะไรบางอย่าง
“ฟิ้ว”
เหนือทะเลสาบตรงหน้ามีเงาร่างสายหนึ่งรวมตัวกันขึ้นมา เป็นบุรุษอาภรณ์เหลืองคนหนึ่งซึ่งหน้าผากปูดโปนขึ้นมา
ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้งเฮือกแล้วยืดกายขึ้น “คารวะมหาเคารพ”
ผู้ที่มาเป็นถึงหนึ่งในเก้ามหาเคารพแห่งสกุลเซี่ย ‘มหาเคารพวายุเหล็ก’ ซึ่งมีพลังค่อนไปทางท้ายๆ ทัดเทียมกับจอมเคารพสะบั้นฟ้าแห่งรัฐเหินประจิม อันที่จริงสิ่งมีชีวิตระดับจอมเคารพส่วนใหญ่ก็มีพลังประมาณนี้
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม อีกฝ่ายก็เป็นคนสำคัญของสกุลเซี่ย
“จ้าวหิมะเหิน” มหาเคารพวายุเหล็กย่ำอากาศเข้ามาพลางยิ้มตาหยี เขาเดินเข้ามาภายในศาลาแล้วสูดดม “สุราช่างหอมหวนเสียจริง ไม่รู้ว่าจะเคราะห์ดีได้ดื่มสักหลายจอกหรือไม่”
“มหาเคารพมาดื่มสุราทั้งที ก็ถือเป็นเกียรติของหิมะเหินแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงตอบทันที
จากนั้นมหาเคารพวายุเหล็กก็นั่งขัดสมาธิลง
ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงนั่งลง
ช่วยไม่ได้
ต่อให้พลังทัดเทียมกัน คนจากรัฐภายนอก เมื่อเผชิญหน้ากับมหาเคารพแห่งรัฐโบราณคิมหันตวายุก็ต่ำกว่าอยู่ขุมหนึ่ง! เพราะถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็มีผู้ช่วยเป็นโขยง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าตนอ่อนแอกว่าฝ่ายตรงข้ามเลย
“อื้ม รสชาติใช้ได้เลยทีเดียว” มหาเคารพวายุเหล็กวางจอกสุราลงแล้วพูดพลางยิ้มตาหยี “ได้ยินมาว่าจ้าวหิมะเหินจับจ้าวมารเพลิงพิโรธผู้นั้นมาทั้งเป็น นับถือๆ”
“แค่โชคดีเท่านั้นเอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว
“นี่มิใช่โชคหรอก หากไม่มีกลเม็ดการกลายเป็นอากาศธาตุของท่าน ไหนเลยจะสามารถเข้าใกล้ได้ โดยที่จ้าวมารเพลิงพิโรธและเจ้าลัทธิเก้าพิษไม่รู้ตัว ถ้าไม่มีกลเม็ดเขตลวงโลกเทียม ไหนเลยจะสามารถจับเขาขังเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย” มหาเคารพวายุเหล็กกล่าว
ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยรอยยิ้มออกมา “ชมเกินไปแล้ว”
แม้ปากจะพูดเช่นนี้ แต่ในใจก็ยังคงเบิกบานนัก
“ฮ่าฮ่า จ้าวมารเพลิงพิโรธผู้นั้นมิได้รนหาที่ตายเองกระมัง” มหาเคารพวายุเหล็กกล่าว
“เปล่าหรอก” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย “เขาจะอุทิศแรงเพื่อรัฐโบราณคิมหันตวายุ”
มหาเคารพวายุเหล็กพยักหน้าน้อยๆ แล้วพูดว่า “ข้ามีเรื่องหนึ่งที่อยากขอให้จ้าวหิมะเหินช่วย”
ในใจของตงป๋อเสวี่ยอิงคันยุบยิบเล็กน้อย
หรือว่า…
“มหาเคารพ เชิญพูดมาเถิด หากข้าช่วยได้ข้าจะต้องช่วยอย่างแน่นอน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดขึ้นทันที
มหาเคารพวายุเหล็กพยักหน้า “จ้าวหิมะเหินยังเยาว์วัยนัก ทั้งยังเพิ่งสำเร็จเป็นเทพจักรวาลได้ไม่นานสักเท่าใดนัก และยังบำเพ็ญไปไม่ถึงขีดจำกัด ไม่ต้องรียร้อนบรรลุ ดังนั้นข้าจึงได้มาที่นี่…สหายสนิทของข้าคนหนึ่งในสกุลเซี่ยบำเพ็ญมาจนถึงขีดจำกัดแล้ว จึงคิดจะเข้าไปในวังเทพจิตโลกา ดังนั้นจึงขอให้จ้าวหิมะเหินโปรดสละของรัก ส่งมอบจ้าวมารเพลิงพิโรธซึ่งถูกคุมขังผู้นี้มาให้ข้า วางใจเถิด ข้าย่อมไม่เอาเปรียบจ้าวหิมะเหินอย่างแน่นอน ข้าจะมอบสามหมื่นล้านแก้วผลึกจักรวาลให้เป็นค่าชดเชย”
สีหน้าของตงป๋อเสวี่ยอิงเปลี่ยนแปรไปเล็กน้อย
ค่าชดเชยหรือ
เมื่อรอจนถึงเวลาเก้าหมื่นปีที่กำหนดไว้ แล้วตนส่งมอบขึ้นไป ก็จะได้รับหนึ่งหมื่นสองพันมหาคุณูปการและแก้วผลึกจักรวาลถึงหมื่นล้านก้อน! ลำพังแค่สิ่งเหล่านี้ มูลค่าก็ไม่ต่ำกว่าสามหมื่นล้านแก้วผลึกจักรวาลแล้ว เนื่องจากคุณูปการนั้นสามารถแลกเปลี่ยนเป็นแก้วผลึกจักรวาลได้ แต่แก้วผลึกจักรวาลนั้นมิอาจแลกเป็นคุณูปการได้! ยิ่งไปกว่านั้น อาศัยคุณูปการนี้ ตนก็อาจจะได้ตำแหน่งสำหรับการเข้าสู่วังเทพจิตโลกามา ซึ่งนั่นมีราคาสูงยิ่งกว่า
“ท่านมหาเคารพ ข้าก็บำเพ็ญจนถึงขีดจำกัดแล้ว จึงต้องเข้าไปในวังเทพจิตโลกาเช่นกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว
สิ่งที่เขาพูดมิใช่คำลวง
เพิ่งสำเร็จเป็นเทพจักรวาล วิถีอากาศทั้งเก้าสายของเขาก็เชื่อมต่อกันถึงขั้นเทพจักรวาลแล้ว เนื่องจากสั่งสมมาอย่างหนาแน่นยิ่งนัก ระยะเวลาหมื่นล้านปี ‘ภาพฟ้า’ และ ‘ภาพดิน’ ทั้งสองสายหลอมรวมกัน เขาก็บรรลุถึงขีดจำกัดแล้ว ใกล้จะก้าวเข้าสู่เทพจักรวาลชั้นที่สองแล้ว
“จ้าวหิมะเหิน หากท่านรับปาก ข้าก็จะติดค้างน้ำใจท่านครั้งหนึ่ง” มหาเคารพวายุเหล็กกล่าว
ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกเดือดดาลขึ้นมาในใจ น้ำใจหรือ
หากเป็นน้ำใจของมหาเคารพฝูอี่ มูลค่าก็คงสูงยิ่งนัก ส่วน ‘มหาเคารพวายุเหล็ก’ พลังก็สูงกว่าตนค่อนข้างจำกัด น้ำใจจะมีประโยชน์สักเท่าใดกันเชียว
“ทำไมล่ะ ไม่อยากรึ” มหาเคารพวายุเหล็กขมวดคิ้ว “รังเกียจว่าน้อยเกินไปสินะ แม้สหายผู้นั้นของข้าจะบอกว่าสามหมื่นล้านแก้วผลึกจักรวาล ทว่าข้าสามารถเพิ่มให้เป็นห้าหมื่นล้านแก้วผลึกจักรวาลได้! คงเพียงพอจะชดเชยความเสียหายของท่านได้แล้วกระมัง จ้าวหิมะเหิน ท่านยังเยาว์วัยนัก รีบร้อนอะไรกัน! ครั้งหน้าก็ยังมีโอกาสอีก”
ภาคที่ 34 เทพจักรวาล...
ตอนที่ 32 สำแดงกลเม็ด
ครั้งหน้าก็ยังมีโอกาสอีกหรือ
ครั้งหน้า ก็ไม่ต้องดิ้นรน ไม่ต้องช่วงชิงเหมือนกันหรือไร ยิ่งไปกว่านั้นโลกกำเนิดบ้านเกิดก็ยังขยายตัวอย่างไม่หยุดหย่อนด้วย หากตนไม่บำเพ็ญให้ถึงระดับเทพจักรวาลขั้นสุดยอดก่อนบ้านเกิดจะแตกทำลาย ก็จะมิอาจช่วยเหลือญาติสนิทมิตรสหายได้ ตนจึงมิอาจเสียเวลาได้เลย!
“มหาเคารพวายุเหล็ก” นัยน์ตาทั้งคู่ของตงป๋อเสวี่ยอิงคมกริบพลางจับจ้องมหาเคารพวายุเหล็กตรงหน้า “โอกาสที่จะได้เข้าไปในวังเทพจิตโลกาในครั้งนี้ ข้าจำเป็นต้องคว้าเอาไว้ โปรดอภัยให้ข้าที่มิอาจช่วยเหลือได้”
“เจ้า…” สีหน้าของมหาเคารพวายุเหล็กพลันแปรเปลี่ยนไป
“บนเส้นทางการบำเพ็ญมิอาจอ่อนน้อมได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดเสียงเรียบ ในน้ำเสียงแฝงความเฉียบขาดเอาไว้
ข้าเห็นแก่หน้าท่านมากแล้ว! และไม่มีเจตนาจะเป็นศัตรูกับท่าน หากจะฉีกหน้าและทำให้ลำบากจริงๆ แล้วล่ะก็…กระบวนท่าอันใดก็มาให้หมดเถิด ตนจะไม่หวั่น!
ด้วยพลังระดับตงป๋อเสวี่ยอิง ก็มีคุณสมบัติพอจะท้าทายได้แล้ว
“มิอาจอ่อนน้อมได้รึ ดี” มหาเคารพวายุเหล็กยืดกายขึ้นทันทีโดยไม่พูดให้มากความอีกต่อไป เขาสาวเท้าออกไปก้าวหนึ่งก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
ตงป๋อเสวี่ยอิงยืดกายขึ้นแล้วมองดูอยู่เงียบๆ
……
ณ นครหลวงคิมหันตวายุ
ภายในจวนอันหรูหราแห่งหนึ่ง มหาเคารพวายุเหล็กร่อนลงมาจากฟากฟ้า
“พี่วายุเหล็ก เป็นอย่างไรบ้าง” บุรุษอาภรณ์เขียวผู้หนึ่งเข้ามาต้อนรับ เมื่อมองเห็นสีหน้าของมหาเคารพวายุเหล็ก หัวใจเขาก็คันยุบยิบขึ้นมา
“น้องพันสุริยะ อิงซานเสวี่ยอิงผู้นั้นพูดถึง ‘เส้นทางการบำเพ็ญมิอาจอ่อนน้อมได้’ อะไรก็ไม่รู้ เป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอมรับปาก” มหาเคารพวายุเหล็กส่ายศีรษะเบาๆ “เฮ้อ คนเป็นพี่น้องของข้าก็อับจนหนทางแล้วจริงๆ”
บุรุษอาภรณ์เขียวพูดขึ้นว่า “พี่วายุเหล็กช่วยข้าออกหน้า ข้าก็ซาบซึ้งมากแล้ว นอกจากนี้ข้าก็แค่ฝากความหวังสายหนึ่งเอาไว้เท่านั้น หากอิงซานเสวี่ยอิงผู้นั้นมิได้กระหายอยากเข้าไปมากจริงๆ ก็ย่อมสามารถเจรจากับเขาได้สักตั้ง…ในเมื่อเขาไม่ยอมมอบให้ เช่นนั้นก็แล้วไปเถิด ข้าค่อยคิดหาวิธีอื่นก็แล้วกัน”
“เจ้าสะสมคุณูปการภารกิจไปถึงไหนแล้ว” มหาเคารพวายุเหล็กถาม
“คิดหาทุกวิถีทาง บวกกับอาศัยที่สหายเก่าหลายคนช่วยออกหน้าให้ ก็รวบรวมได้แปดพันคุณูปการภารกิจแล้ว” บุรุษอาภรณ์เขียวส่ายศีรษะเบาๆ “หากไม่กดหัวเจ้าอิงซานเสวี่ยอิงผู้นั้นลงไปเสียหน่อย คิดจะเข้าไปในสี่อันดับแรกความหวังก็ริบหรี่มากทีเดียว。”
มหาเคารพวายุเหล็กก็ขมวดคิ้ว “ภารกิจสมบัติวิเศษนี่ก็ยากเกินไปแล้ว”
เขาก็ตั้งใจอยากให้สหายรักชิงตำแหน่งมาได้
‘จ้าวพันสุริยะ’ สหายรักเป็นถึงบุคคลผู้ล้ำเลิศในบรรดาเทพจักรวาลรุ่นเยาว์ของสกุลเซี่ย ทั้งยังเป็นของจักรพรรดิเซี่ยศิษย์ถ่ายทอดเองอีกด้วย! มหาเคารพหลายคนจึงให้ความสำคัญกับเขา
แต่กระนั้นในฐานะที่สกุลเซี่ยเป็นผู้นำของสามตระกูลใหญ่ ภายในมีผู้แกร่งกล้ามากมายดุจเมฆ ภายในตระกูลมีเพียงสองตำแหน่งเท่านั้น ตำแหน่งหนึ่งแบ่งสรรกันในหมู่มหาเคารพทั้งหลาย ส่วนอีกตำแหน่งหนึ่งนั้นไว้ให้เหล่าเทพจักรวาลที่เหลือแย่งชิงกัน แม้ ‘จ้าวพันสุริยะ’ จะโดดเด่นเป็นอย่างมาก แต่ก็จนใจที่มีผู้แย่งชิงกันมากมายเกินไปแล้ว ระหว่างการต่อสู้ภายในตระกุลยังมิอาจช่วงชิงมาได้ จึงทำได้เพียงมาแย่งชิงอีกสี่ตำแหน่งที่เหลือกับภายนอกอย่างเปิดเผยแล้ว
ต้องรู้ไว้ว่าแม้แต่มหาเคารพฝูอี่ก็ยังเข้าร่วมการช่วงชิงกับโลกภายนอก
ช่วยไม่ได้ที่ภายในสกุลเซี่ยมีผู้แกร่งกล้ามากมายเกินไป! ถึงขั้นที่มีการสับเปลี่ยนหมุนเวียนกฎเกณฑ์ภายในสำนักอยู่บ่อยครั้ง
“แปดพันคุณูปการภารกิจนั้นไม่เพียงพอหรอก” มหาเคารพวายุเหล็กครุ่นคิด
“ข้าเตรียมจะไปยังรัฐโบราณบรรพชนสักรอบหนึ่ง ดูสิว่าจะสามารถรวบรวมคุณูปการภารกิจได้อีกบ้างหรือไม่” บุรุษอาภรณ์เขียวจ้าวพันสุริยะกล่าว
……
ภายในเรือนไม้หลังหนึ่ง
บุรุษในอาภรณ์ตัวหลวมกว้างนั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะรองนั่ง เขาก็คือมหาเคารพฝูอี่นั่นเอง ยามนี้เขามองดูคนตรงหน้าด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ตรงข้ามเขาไม่ไกลออกไปนัก ก็มีชายชราศีรษะโล้นเลี่ยนอีกคนนั่งขัดสมาธิอยู่ ชายชราศีรษะโล้นเลี่ยนมีอาภรณ์สีดำห่มคลุมเอาไว้ เหนืออาภรณ์สีดำยังมีลวดลายดอกไม้สีแดงเข้มซึ่งแผ่กลิ่นอายโหดเหี้ยมคลุ้งคาวเลือดออกมา
“ฝูอี่ นี่คือ ‘ผลอสรพิษฟ้าทอง’ ที่เจ้าต้องการ” ชายชราศีรษะโล้นเลี่ยนยื่นมือออกไป กลางฝ่ามือก็พลันมีกล่องใสราวผลึกปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า กล่องนั้นเปิดออกเอง เผยให้เห็นผลไม้พิเศษผลหนึ่งที่อยู่ด้านใน เปลือกผลไม้ใสกระจ่างกึ่งโปร่งใส ภายในมีลำแสงสีทองและฟ้าหมุนเวียนไล่ตามกันไปอย่างไม่หยุดหย่อน ร่องรอยที่ไล่ตามกันไปนั้นแฝงไว้ด้วยท่วงทำนองของกฎเกณฑ์อันสูงส่ง
ผลอสรพิษฟ้าทองนั้นจัดเป็นอันดับแรกสุดของภารกิจสมบัติวิเศษ มันออกผลผลิตที่หุบเขาเขี้ยวหักเท่านั้น สามารถแลกเปลี่ยนเป็นสามหมื่นคุณูปการภารกิจได้! หากจะขายให้ภายนอกจริงๆ แล้ว แปดหมื่นล้านแก้วผลึกจักรวาลก็มิใช่เรื่องยากเลย! เพียงแต่โดยทั่วไปแล้วก็มิมีผู้ใดขาย วัตถุล้ำค่าหายากพรรค์นี้ ต่อให้เป็นทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา ใช้หมดไปผลหนึ่งก็น้อยลงไปผลหนึ่งแล้ว
“ของที่ข้าต้องการเล่า”ชายชราศีรษะโล้นเลี่ยนจ้องมองมหาเคารพฝูอี่
“ผลอสรพิษฟ้าทองผลนี้ตกมาอยู่ในมือเจ้าแล้วจริงๆ น่าโม๋ซา เจ้านี่เจ้าเล่ห์ใช้ได้เลยทีเดียว” มหาเคารพฝูอี่พูดยิ้มๆ
“ของล่ะ” ชายชราศีรษะโล้นเลี่ยนพูดเสียงเย็นชา
มหาเคารพฝูอี่โบกมือคราหนึ่ง ทันใดนั้นแสงสีทองวงแล้ววงเล่าก็ปรากฏขึ้น ทั้งหมดมีถึงสิบแปดวงด้วยกัน
นัยน์ตาทั้งคู่ที่มองดูชายชราศีรษะโล้นเลี่ยนร้อนระอุ เขาอยากจะแย่งมาทันที แต่กลับมิกล้าชิงเอามา
“นี่เป็นของเจ้าแล้ว” มหาเคารพฝูอี่โบกมือคราหนึ่ง วงแสงสีทองเหล่านี้ลอยไปข้างกายชายชราศีรษะโล้นเลี่ยนจนสิ้น ชายชราศีรษะโล้นเลี่ยนจึงได้รีบคว้าเอาไว้ในมือ เขามองดูวงแสงสีทองเหล่านี้ นัยน์ตาก็แดงก่ำขึ้นมา “ในที่สุดก็มาอยู่ในมือเสียที!” เดิมทีเขาอยู่ห่างจากสมบัติล้ำค่าขิ้นนี้เพียงก้าวเดียวเท่านั้น น่าเสียดายที่ตอนนั้นมหาเคารพฝูอี่แข็งแกร่งหาใดเปรียบ เขาสังหารไปตลอดทาง และได้สมบัติล้ำค่าไปอยู่ในมือทั้งหมด
มหาเคารพฝูอี่โบกมือคราหนึ่งแล้วก็ได้ผลอสรพิษฟ้าทองมาไว้ในมือ
“ท่านนี่ก็ตัดใจได้เก่งจริงๆ” ชายชราศีรษะโล้นเลี่ยนมองดูมหาเคารพฝูอี่ “ด้วยสถานะของท่าน แค่กำชับคำเดียว สกุลเซี่ยของพวกท่านคงต้องมอบตำแหน่งหนึ่งให้ท่านเป็นการภายในกระมัง ยังตั้งใจออกมาแย่งชิงอีกรึ ทั้งยังสละผลอสรพิษฟ้าทองให้ภายในตระกูลด้วย”
“แย่งชิงกับชนรุ่นหลังน่ะหรือ” มหาเคารพฝูอี่พูดยิ้มๆ “เอาล่ะ น่าโม๋ซา เจ้าไปได้แล้ว”
“ขอรับ”
ชายชราศีรษะโล้นเลี่ยนผุดลุกขึ้นแล้วออกจากเรือนไม้ไปทันที หน้าเรือนไม้มีชายหนุ่มคนหนึ่งอยู่เพื่อนำทางเขาให้จากไปโดยเฉพาะ
มหาเคารพฝูอี่หลับตาลงต่อไป บนศีรษะก็มีมณีแสงหลายเม็ดปรากฏขึ้นมา เขาบำเพ็ญอย่างสงบต่อไป
พลังแตกต่างกัน สภาพจิตใจก็ย่อมแตกต่างกันเป็นธรรมดา
ในสายตาของมหาเคารพฝูอี่ ก็มีเพียงสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูเท่านั้นที่สามารถทำให้เขาหวาดกลัวได้ แม้แต่ผู้แกร่งกล้าเทพจักรวาลขั้นสุดยอดที่มิได้มีสมบัติลับอันสูงส่งเขาก็มิได้ใส่ใจสักเท่าใดนัก ดังนั้นเขาจึงไม่อยากลดตัวลงไปแย่งชิงกับพวกเทพจักรวาลภายในสกุลเซี่ยสักเท่าใดนัก
“ท่านมหาเคารพขอรับ ก่อนหน้านี้พวกเรารวบรวมคุณูปการภารกิจได้นับหมื่นแล้ว ยังจะรวบรวมผลอสรพิษฟ้าทองนี่อีกหรือขอรับ ภารกิจสมบัติวิเศษนี้ขาดทุนมากทีเดียว ถึงจะส่งของขึ้นไป ภายในตระกูลก็ให้คุณูปการภารกิจเพียงน้อยนิด” หนุ่มน้อยนอกเรือนเอ่ยขึ้น หนุ่มน้อยผู้นี้คือสิ่งมีชีวิตหุ่นเชิดพิเศษ จึงย่อมจงรักภักดีต่อมหาเคารพฝูอี่เป็นธรรมดา ทั้งยังเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่แข็งแกร่งที่สุดของมหาเคารพฝูอี่ซึ่งบังเอิญได้มาระหว่างคืนวันอันยาวนานไร้ที่สิ้นสุด
“ต่อให้ไม่มีคุณูปการ จะมอบให้คนในตระกูลเลยก็เป็นเรื่องเล็ก” มหาเคารพฝูอี่พูดยิ้มๆ “ถึงอย่างไรก็เป็นตระกูลของพวกเราเอง”
……
เวลาล่วงเลยไป
ในศึกแย่งชิงตำแหน่งอย่างเปิดเผยของรัฐโบราณคิมหันตวายุ นอกจากไม่กี่คนที่ยังสงบนิ่งเป็นอันมากแล้ว คนอื่นๆล้วนแต่กำลังพยายามสุดกำลังทั้งสิ้น แม้แต่จอมเคารพมารอัคคีก็ยังมิได้รีรอแม้แต่น้อย
เพียงพริบตาเดียว ก็เป็นแปดหมื่นกว่าปีหลังจากศึกแย่งชิงตำแหน่งแล้ว
แต่ในขณะนี้เอง รายงานหนึ่งก็ถูกเผยแพร่ออกไป!
‘จ้าวมารหยวนอี’ มารร้ายอันดับหนึ่งของเจ้าลัทธิทั้งสามแห่งทะเลสาบมารทมิฬสิ้นใจด้วยน้ำมือของจอมเคารพมารอัคคี! ‘จ้าวมารหยวนอี’ มีพลังแกร่งกล้า เป็นศิษย์ถ่ายทอดเองคนสำคัญของเจ้าลัทธิเหยียนโม๋แห่งทะเลสาบมารทมิฬซึ่งได้รับความโปรดปรานเป็นอันมาก จ้าวมารหยวนอีขนานนามตนเองว่า ‘หยวนอี’ ซึ่งคล้ายคลึงกับ ‘หยวน’ ผู้ที่เร้นลับและล้ำเลิศเหนือธรรมดาของดินแดนจิตโลกาถึงเพียงนี้ จะเห็นได้ถึงจิตใจอันทะเยอทะยานของเขา
ส่วนภารกิจสังหารเขา จะได้ถึงสองหมื่นคุณูปการภารกิจ เหนือกว่าคนผู้นั้นที่ตงป๋อเสวี่ยอิงจับมาทั้งเป็นตั้งมากโข
“สหายเอ๋ย”
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูรายงานที่เผยแพร่ในสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ ซึ่งเป็นรายงานโดยละเอียดเกี่ยวกับการที่จ้าวมารหยวนอีถูกสังหาร “จอมเคารพมารอัคคีตัวดี จ้าวมารหยวนอีที่น่าอนาถ…เขาดูแคลนจอมเคารพมารอัคคีเกินไปแล้ว”
รายงานพรรณนาเอาไว้
ว่าจ้าวมารหยวนอีไม่เกรงกลัวจอมเคารพมารอัคคี ถึงขั้นมองว่านี่เป็นการเคี่ยวกรำตนเองยกหนึ่ง! จ้าวมารหยวนอีก็มีคุณสมบัติพอจะเชื่อมั่นในตนเองได้ เขามีมีคุณสมบัติพอจะห้ำหั่นซึ่งหน้ากับผู้แกร่งกล้าระดับจอมเคารพได้โดยแท้
แต่พลังของจอมเคารพมารอัคคีนั้นยังน่ากลัวกว่าที่โลกภายนอกล่วงรู้กันตลอดมาเสียอีก!
จ้าวมารหยวนอีถูก ‘จอมเคารพมารอัคคี’ ทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสโดยมิทันตั้งตัว จากนั้นก็กลืนลงไปในคำเดียว! หลังกลืนลงท้องไปแล้ว จ้าวมารหยวนอีก็หนีไม่พ้นอีก และถึงขั้นสิ้นใจไปอย่างรวดเร็ว
‘เจ้าลัทธิเหยียนโม๋’ เดือดดาลใหญ่!
ศิษย์ที่เจ้าลัทธิเหยียนโม๋ให้ความสำคัญที่สุด! ดังนั้นศึกใหญ่อันน่าหวาดหวั่นยกหนึ่งจึงบังเกิดอุบัติขึ้น เจ้าลัทธิเหยียนโม๋ประชันจอมเคารพมารอัคคี เจ้าลัทธิทั้งสองแห่งทะเลสาบมารทมิฬก็คอยช่วยเหลืออยู่ด้วย
พวกเขาต่อสู้กันจนมืดฟ้ามัวดินไปหมด อาศัยสภาพแวดล้อมพิเศษของทะเลสาบมารทมิฬ ชั่วขณะนั้นจอมเคารพมารอัคคีหนีออกมามิได้ ยังคงห้ำหั่นกับเจ้าลัทธิทั้งสามอย่างบ้าคลั่ง
“จอมเคารพมารอัคคีไม่ยอมขอความช่วยเหลือ แค่เขาขอความช่วยเหลือ แค่ส่งสหายระดับจอมเคารพสักคนสองคนจากรัฐโบราณคิมหันตวายุไปช่วยเหลือ ก็จะสามารถช่วยเขากลับมาได้อย่างง่ายดาย” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เข้าใจในจุดนี้ดี “เมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างน้อยจอมเคารพมารอัคคีก็จะมีสองหมื่นคุณูปการภารกิจแล้ว”
ศึกชิงตำแหน่ง ตนตกอยู่ในอันตรายเสียแล้ว
ภาคที่ 34 เทพจักรวาล...
ตอนที่ 33 วันแห่งเส้นตาย
ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังครุ่นคิดว่าแม้ครั้งนี้จะมีสี่ตำแหน่งที่ว่างอยู่ แต่มหาเคารพฝูอี่จะต้องได้ไปตำแหน่งหนึ่งอย่างแน่นอน อันที่จริงแล้วเป็นศึกชิงตำแหน่งเพียงสามตำแหน่งเท่านั้น!
จอมเคารพมารอัคคีและเจ้าลัทธิเก้าพิษ สองคนนี้รับมือไม่ได้ง่ายๆ
ยังมีบรรดาเทพจักรวาลของสามตระกูลใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นด้านสายสัมพันธ์หรือด้านข่าวสาร พวกเขาก็ล้วนเหนือกว่าตนทั้งสิ้น
“ข่าวสาร” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำเสียงต่ำกับตนเอง
ข่าวสารนั้นสำคัญมาก
‘สมบัติวิเศษ’ บนรายนามของภารกิจสมบัติวิเศษนั้นหาได้ยากเกินไปแล้ว อย่างแรกคือต้องรู้ว่าต้องไปที่ใดจึงจะหาได้พบ! เคราะห์ดีที่เบื้องหลังตนมีท่านอาจารย์ประมุขรัฐเมฆทักษิณาอยู่ มิเช่นนั้นแล้วดวงตาทั้งสองของตนก็คงมืดแปดด้านไปหมด แต่เครือข่ายข่าวสสารของท่านอาจารย์…ก็ยังมิอาจเทียบชั้นกับสามตระกูลใหญ่แห่งรัฐโบราณคิมหันตวายุได้อยู่ดี
“สกุลฝานขูดรีดราคาได้โหดร้ายเกินไปแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบส่ายหน้า ร้านค้าสกุลฝานก็สามารถซื้อหาข่าวสารได้ ทว่ารายงานโดยละเอียดเกี่ยวกับ ‘สมบัติวิเศษ’ ในศึกชิงตำแหน่งครั้งนี้ ราคาสูงถึงหมื่นล้านแก้วผลึกจักรวาลเลยทีเดียว! ก็ใจดำเกินไปแล้ว ราคานี้เกือบจะเท่ากับ ‘หอกเทพเมฆาแดง’ แล้ว!
“การจะได้สมบัติวิเศษเหล่านี้มาไว้ในมือนั้นยากเกินไปแล้ว เคราะห์ดีที่ข้ามีเคล็ดไร้ทลายเก้ากัณฑ์อยู่” ในสายตาของตงป๋อเสวี่ยอิงแฝงแววรอคอยเอาไว้
เคล็ดไร้ทลายเก้ากัณฑ์…
เขาเพิ่งจะขายให้สามตระกูลใหญ่แห่งรัฐโบราณคิมหันตวายุไป ยังไม่เคยขายให้รัฐโบราณอื่นๆ เลย! เมื่อถึงคราวคับขันค่อยใช้มัน
“สวบ”
ทันใดนั้นร่างแยกสองร่างก็ปรากฏขึ้นกลางท้องฟ้าเหนือเมืองหิมะเหินจากความว่างเปล่า หลังจากนั้นก็ต่างคนต่างสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาจากไป
……
ร่างแยกร่างหนึ่งในจำนวนนั้นกลับมาถึงรัฐโบราณเสียดฟ้าแล้ว
“รัฐโบราณเสียดฟ้า”
ตงป๋อเสวี่ยอิงมาถึงนครหลวงรัฐโบราณเสียดฟ้า แม้จะอยู่นอกเมืองก็ยังมองเห็นว่าในนครหลวงอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตามีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งซึ่งเปล่งแสงสีทองอันเรืองรองออกมา ต้นไม้ใหญ่สูงตระหง่านจนแทงทะลุเข้าไปในชั้นเมฆ ยอดไม้นั้นใหญ่โตมโหฬาร
ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับล่วงรู้ว่า ต้นไม้โบราณอันมหึมาต้นนี้…ก็คือร่างจริงของประมุขรัฐเสียดฟ้า…ต้นไม้เทพเสียดฟ้านั่นเอง!
“ฟิ้ว” เขาเดินเลียบประตูเมืองเข้าไป
เขาเดินย่ำอากาศไปในตัวเมือง ไม่นานนักก็มาถึงนอกวังหลวง วังหลวงนั้นไม่มีประตูเมือง หากแต่มีสาบน้ำมหึมาราวกับสายรัดเอวอยู่สายหนึ่ง หรืออาจกล่าวได้ว่าสายน้ำนี้ก็คือกำแพงเมืองนั่นเอง
ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่ภายนอกวังหลวง มองดูต้นไม้เทพเสียดฟ้าอันสูงตระหง่านต้นนั้น จากนั้นก็โค้งคำนับแล้วถ่ายเสียงพูดว่า “หิมะเหินคารวะประมุขรัฐเสียดฟ้าขอรับ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า…” เหนือต้นไม้เทพเสียดฟ้า ระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างแผ่กำจายออกมาแล้วปกคลุมตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้ “จ้าวหิมะเหินแห่งรัฐเมฆทักษิณา มายังรัฐโบราณเสียดฟ้าของข้า ช่างหาได้ยากนัก เข้ามาพูดคุยกันก่อนเถิด”
ตัวเขาเป็นถึงสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูแต่กลับถ่อมตนเป็นอันมาก
จะว่าไปแล้ว
สิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา ผู้ที่นับได้ว่า ‘นิสัยดี’ ก็มีเพียงสองคนเท่านั้น คนหนึ่งคือเจ้าเมืองอนันต์ ส่วนอีกคนหนึ่งก็คือประมุขรัฐเสียดฟ้านั่นเอง!
“ฟิ้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าอากาศถูกเคลื่อนย้าย ภาพเบื้องหน้าเปลี่ยนแปรไป จากนั้นก็ปรากฏกายขึ้นภายในวังหลวงขนาดมหึมาอันหรูหราแห่งหนึ่ง
ในวังหลวงมีชายชราในอาภรณ์สีเหลืองทองผู้หนึ่งนั่งอยู่ ซึ่งก็คือร่างของประมุขรัฐเสียดฟ้าที่ใช้ท่องไปและทำการต่อสู้อยู่ภายนอก ถัดลงมาเบื้องล่างทั้งสองฝั่งของเขามีผู้ใต้บังคับบัญชาอยู่สองคนด้วยกัน
“จ้าวหิมะเหินมาด้วยเรื่องอันใดหรือ” ประมุขรัฐเสียดฟ้าเหลือบมองลงไปยังตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่เบื้องล่างพลางพูดยิ้มๆ
“ข้ามีเคล็ดลับวิถีอากาศอยู่วิชาหนึ่ง สามารถบรรลุถึงการกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดได้ในขั้นอลวนขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “ไม่ทราบว่าท่านประมุขรัฐพอจะสนใจบ้างหรือไม่”
“ใช่เคล็ดไร้ทลายเก้ากัณฑ์ที่เจ้าขายให้รัฐโบราณคิมหันตวายุหรือไม่” ประมุขรัฐเสียดฟ้าถาม
“ขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า ขณะเดียวกันก็ตกตะลึงอยู่บ้าง แม้แต่ทางประมุขรัฐเสียดฟ้าก็ทราบเรื่องหรือนี่
ประมุขรัฐเสียดฟ้าสนอกสนใจเป็นอย่างมาก รับปากจะซื้อไว้ด้วยห้าหมื่นมหาคุณูปการ! แม้จะกล่าวว่ารัฐโบราณคิมหันตวายุมอบให้ถึงหนึ่งแสนห้าหมื่นมหาคุณูปการ แต่ถึงอย่างไรรัฐโบราณทั้งสองก็มีพลังแตกต่างกัน จำนวนผู้แกร่งกล้าก็ต่างกัน สามารถมอบห้าหมื่นมหาคุณูปการให้ได้ก็ไม่เลวแล้ว แน่นอนว่า ‘ห้าหมื่นมหาคุณูปการ’ นี้ทำได้เพียงแลกเปลี่ยนสมบัติล้ำค่าในรัฐโบราณเสียดฟ้าได้เท่านั้น
ไม่นานนัก ในตำหนักใหญ่ก็มีผู้แกร่งกล้าอีกคนหนึ่งของรัฐโบราณเสียดฟ้าปรากฏกายขึ้น ‘จอมเคารพหย่าซี’ นั่นเอง
“จอมเคารพหย่าซี” ตงป๋อเสวี่ยอิงคารวะจอมเคารพหญิงเบื้องหน้าผู้นี้ “ข้าอยากจะซื้อสมบัติวิเศษ ‘เนตรทองแห่งอนาคต’ ไม่ทราบว่าต้องใช้คุณูปการของตระกูลกษัตริย์รัฐโบราณเสียดฟ้าสักเท่าไหร่หรือขอรับ”
“ห้าหมื่นมหาคุณูปการ” จอมเคารพหย่าซียิ้มจนตาหยี
“นี่ก็แพงเกินไปแล้วกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงสีหน้าเปลี่ยนไป
เนตรทองแห่งอนาคต ในภารกิจสมบัติวิเศษนั้นสามารถแลกได้หนึ่งหมื่นห้าพันคุณูปการ!
แม้ด้วยความพิเศษของการแย่งชิงตำแหน่งเพื่อเข้าสู่วังเทพจิตโลกา จะทำให้คุณูปการนี้ตั้งเอาไว้ค่อนข้างต่ำ แต่ราคาที่แท้จริงของ ‘เนตรทองแห่งอนาคต’…ก็อยู่ที่ระหว่างสองหมื่นถึงสามหมื่นมหาคุณูปการตระกูลกษัตริย์แห่งรัฐเสียดฟ้าเท่านั้น ตอนนี้ต้องการถึงห้าหมื่นมหาคุณูปการ ขึ้นไปอีกเท่าตัวเลยทีเดียว
“คนของรัฐโบราณคิมหันตวายุที่อยากจะได้เนตรทองแห่งอนาคตนี้มีตั้งหลายคน” จอมเคารพหย่าซีไม่รีบร้อนเลยแม้แต่น้อย
“อ้อ ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยไม่ได้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว เขาก็มิใช่คนโง่งม
แม้ตำแหน่งจะสำคัญ
แต่ในดินแดนจิตโลกา มูลค่านั้นมีจำกัด สำหรับผู้แกร่งกล้าส่วนใหญ่แล้ว ตลอดคืนวันอันยาวนาน ‘วังเทพจิตโลกา’ อาจจะเปิดออกมาเป็นบางครั้ง ส่วนใหญ่พวกเขาเข้าไปก็เพื่อบรรลุ บางคนก็เพื่อ ‘สมบัติลับระดับยอดสุด’ แต่อันที่จริงเข้าไปแล้วก็มีโอกาสได้รับค่อนข้างต่ำ! ดังนั้นมูลค่าของตำแหน่งจึงควรจะต่ำกว่าสมบัติลับระดับยอดสุดอยู่มากโข
ห้าหมื่นมหาคุณูปการของตระกูลกษัตริย์รัฐเสียดฟ้าหรือ
ไม่คุ้มค่าเลย!
……
แน่นอนว่าที่เขาสงบนิ่งได้เช่นนี้ ก็เพราะเขาก็ขายเคล็ดไร้ทลายเก้ากัณฑ์ให้แก่รัฐโบราณหิมะน้ำแข็งด้วยเช่นกัน รัฐโบราณหิมะน้ำแข็งมีสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูสามท่าน พลังและสิ่งที่สั่งสมไว้แข็งแกร่งกว่ารัฐโบราณเสียดฟ้ามากทีเดียว จึงให้เขาที่ราคาเก้าหมื่นมหาคุณูปการของรัฐโบราณหิมะน้ำแข็ง เขาใช้เพียงสามหมื่นมหาคุณูปการเท่านั้นก็สามารถแลก ‘เสาผลึกน้ำแข็งหยาดโลหิต’ สมบัติวิเศษชิ้นหนึ่งที่เขาต้องการมาได้แล้ว ในภารกิจสมบัติวิเศษมีมูลค่าหนึ่งหมื่นหกพันคุณูปการ
เมื่อมองจากมุมนี้ ราคาที่รัฐโบราณหิมะน้ำแข็งให้มานั้นก็ถือว่าตรงกับความเป็นจริงมากทีเดียว!
“เพียงพอแล้วกระมัง ภารกิจค่าหัวของจ้าวมารเพลิงพิโรธนั้นจะได้รับหนึ่งหมื่นสองพันคุณูปการ เสาผลึกน้ำแข็งหยาดโลหิตก็จะได้รับหนึ่งหมื่นหกพันคุณูปการ รวมกันก็ได้ถึงสองหมื่นแปดพันคุณูปการแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ
ต้องรู้ไว้ว่า
ผู้แกร่งกล้าระดับจอมเคารพส่วนใหญ่ก็มิได้มั่งคั่งถึงเพียงนั้น อย่างประมุขรัฐเมฆทักษิณานั้นเป็นจำพวกที่มั่งคั่งที่สุดในดินแดนจิตโลกาแล้ว ต่อให้เป็นตำแหน่งที่เข้าไปในวังเทพจิตโลกา นอกเสียจากผู้แกร่งกล้าระดับจอมเคารพที่ยินดีสละทุกสิ่งเพื่อเข้าไปโดยไม่เสียดายอะไรทั้งสิ้น มิเช่นนั้นแล้วราคาที่จ่ายไหวก็มีขีดจำกัดเช่นกัน
“สองหมื่นแปดพันคุณูปการภารกิจเชียวนะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ “คุณูปการภารกิจนี้ โดยทั่วไปล้วนแต่ให้ราคาต่ำมาก เมื่อข้าส่งมอบขึ้นไปอย่างน้อยก็ต้องขาดทุนสองหมื่นล้านแก้วผลึกจักรวาล”
เคราะห์ดีที่เขาคิดค้นเคล็ดไร้ทลายเก้ากัณฑ์ขึ้นมาเอง มิเช่นนั้นแล้วไหนเลยจะสบายถึงเพียงนี้ได้
……
ต่อมาจอมเคารพหย่าซีผู้นั้นก็ยอมลดราคาลง ยิ่งใกล้เส้นตายเก้าหมื่นปีมากขึ้นเท่าไหร่ ราคาก็ยิ่งลดต่ำลงเท่านั้น น่าเสียดายที่ข้อแรกตงป๋อเสวี่ยอิงยังเห็นว่าแพงเกินไป ข้อสอง เขารู้สึกว่าตนก็เกือบจะรวบรวมได้เพียงพอแล้ว
ตอนที่เขาอยู่ใน ‘รัฐโบราณหิมะน้ำแข็ง’ และ ‘รัฐโบราณเสียดฟ้า’ ก็ได้แลกเปลี่ยนเอาวัตถุอื่นๆ มาเช่นกัน และถึงขั้นไปตามหาผู้แกร่งกล้าบางคนเพื่อแลกเปลี่ยนเอาพวกสมบัติวิเศษราคาต่ำยิบย่อยมารวมกันด้วย
และสามารถรวบรวมสามหมื่นคุณูปการภารกิจได้อย่างพอถูไถ!
“สามหมื่นคุณูปการภารกิจ”
“ข้าไม่เชื่อหรอกว่าจะมิได้มาสักตำแหน่งเลยน่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็รู้สึกว่าโอกาสมาแล้วต้องคว้าเอาไว้ให้ได้ จึงได้ทุ่มเทไปมากมายเช่นนี้
ฟิ้ว
วันสุดท้ายของการช่วงชิงตำแหน่ง เหล่าเทพจักรวาลที่เข้าร่วมการแย่งชิงต่างก็เร่งเข้ามาจากที่ต่างๆ และมาถึงยังวังหลวงของนครหลวงคิมหันตวายุ เทพจักรวาลที่มิได้เข้าร่วมการแย่งชิงบางคนก็มาด้วยเช่นกัน! แน่นอนว่าผู้ที่สามารถเข้าไปในวังหลวงได้ โดยทั่วไปก็มีแต่คนของสามตระกูลใหญ่เท่านั้น
“อิงซานเสวี่ยอิงแห่งรัฐเมฆทักษิณา”
“เป็นเขา”
“เกรงว่าคุณูปการที่เขาสะสมมาก็คงไม่น้อย”
เทพจักรวารหลายคนต่างก็เพ่งความสนใจไปที่ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวผู้เดินเข้ามาในวังหลวง
ตงป๋อเสวี่ยอิงมุ่งหน้าไปยังโถงด้านข้างแห่งหนึ่งด้วยการนำทางของบ่าวรับใช้ ภายในโถงด้านข้างมีชายชราอาภรณ์สีเหลือง วิญญาณค่ายกลของวังหลวงผู้นั้นอยู่ด้วย
“ผู้อาวุโสเซี่ย” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว
“ได้ยินมาว่าภารกิจสังหารในครั้งนี้ มีแค่เจ้าและจอมเคารพมารอัคคีเท่านั้นที่สามารถทำได้สำเร็จ” ผู้อาวุโสเซี่ยพูดยิ้มๆ
“ก็มีเรื่องโชคด้วยขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าวพลางส่งกำไลวงหนึ่งให้แก่ผู้อาวุโสเซี่ย “ภายใสสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์นี้มีวัตถุต่างๆ อยู่ รวมทั้งจ้าวมารเพลิงพิโรธซึ่งถูกข้าผนึกกำลังเอาไว้ด้วย”
จ้าวมารเพลิงพิโรธมิได้ต่อต้าน จึงทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถผนึกพลังได้
ผู้อาวุโสเซี่ยพยักหน้าพลางรับกำไลมา เขาตรวจสอบคราหนึ่งอย่างรวดเร็ว แล้วก็อดมองตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยความตกตะลึงมิได้ “จ้าวมารเพลิงพิโรธถูกจับมาทั้งเป็น อีกประเดี๋ยวจะมีบ่าวรับใช้นำแก้วผลึกจักรวาลมาให้เจ้าต่างหากอีกหมื่นล้านก้อน เมื่อนับสมบัติวิเศษด้วยแล้ว สามหมื่นคุณูปการภารกิจหรือ สูงพอตัวทีเดียว แต่จะได้ตำแหน่งมาหรือไม่นั้น ต้องรอให้ถึงเส้นตายสุดท้ายเสียก่อน ถึงตอนนั้นผู้ที่ถูกจัดอยู่ในสี่อันดับแรกก็จะได้รับตำแหน่งไป”
“ข้ารู้ขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกตื่นเต้นในใจ หวังว่าจะไม่เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น จากประสบการณ์ สามหมื่นคุณูปการภารกิจก็ควรจะพออย่างแน่นอนแล้ว
ภาคที่ 34 เทพจักรวาล...
ตอนที่ 34 สี่ตำแหน่งแรก
ม่านราตรีคลี่ลงมา
ภายในโถงด้านข้างแห่งหนึ่งของนครหลวงคิมหันตวายุ เปลวเทียนถูกจุดขึ้น ทั้งโถงด้านข้างเต็มไปด้วยแสงสว่างเจิดจ้า เทพจักรวาลกลุ่มหนึ่งต่างคนต่างนั่งลง บนโต๊ะยาวเบื้องหน้าพวกเขามีสุราและอาหารเลิศรสเรียงรายอยู่ ด้านข้างก็มีสาวใช้คอยปรนนิบัติ
แม้จะพูดคุยหัวร่อต่อกระซิกกัน แต่สิ่งที่ในใจของเทพจักรวาลทั้งหลายรอคอยเป็นที่สุดก็ยังคงเป็นเวลาประกาศตำแหน่งนั่นเอง
“การช่วงชิงตำแหน่งครั้งนี้ ผู้ที่ทำภารกิจสังหารได้สำเร็จก็มีเพียงจ้าวหิมะเหินและจอมเคารพมารอัคคีเท่านั้น ข้าว่าจ้าวหิมะเหินจะต้องได้สักตำแหน่งหนึ่งจากทั้งสี่ตำแหน่งนั้นอย่างแน่นอน”
“ขอให้สมพรปากของท่านด้วยเถิด”
ตงป๋อเสวี่ยอิงคว้าจอกสุราขึ้นมาแล้วพูดขึ้น
เทพจักรวาลที่นั่งอยู่ภายในโถงตำหนักมีกว่าหกสิบคน พวกเขาล้วนแต่มาเพื่อดื่มสุราชั้นเลิศและรอชมเรื่องสนุกบ้างก็เท่านั้นเอง ก็เป็นเรื่องใหญ่ที่ยอดเยี่ยมนัก พวกคนจากรัฐภายนอกซึ่งเป็นวีรบุรุษผู้ไร้เทียมทานอย่างเช่น ‘บรรพชนเหินประจิม’ ก็ยังไม่มีคุณสมบัติพอจะเข้าไปได้เลย! จะมีก็แต่เมื่อเมืองชั้นในของวังเทพจิตโลกาเปิดออกเท่านั้น ระหว่างสงครามครั้งใหญ่ที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย อาจจะสามารถเข้าไปเสี่ยงโชคได้บ้าง
“ฟิ้ว”
ท่ามกลางการยกจอกให้กันไปมา ทันใดนั้นกลางโถงตำหนักก็มีเงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้น ซึ่งก็คือชายชราอาภรณ์สีเหลืองผู้นั้นนั่นเอง
“ผู้อาวุโสเซี่ย” บรรดาเทพจักรวาลจิตวิญญาณสั่นสะท้านไปหมด พากันร้องเรียกด้วยความเคารพทันที
ช่วยไม่ได้
ต่อให้เทพจักรวาลคนอื่นๆ ‘โอกาสมาถึงก็ต้องคว้าไว้ให้ได้’ ก็เพียงเพราะบรรลุถึงขีดจำกัดแล้วอยากจะเข้าไปฟันฝ่าสักตั้งก็เท่านั้นเอง ต่อให้พ่ายแพ้ไป ถึงครั้งหน้าก็พ่ายแพ้แล้ว รอครั้งหน้าค่อยเข้าไปก็ไม่ส่งผลกระทบอะไรมากนัก
แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นไม่เหมือนกัน! เข้าไปครั้งหน้าน่ะหรือ ไม่แน่ว่าตอนที่วังเทพจิตโลกาเปิดออกมาครั้งหน้า โลกกำเนิดบ้านเกิดก็อาจจะเข้าสู่ยุคหน้าตั้งนานแล้วก็เป็นได้
“เริ่มต้นแล้ว” จ้าวพันสุริยะก็นั่งอยู่ตรงนั้นพลางมองดูอย่างเงียบงัน แต่สายตานั้นเต็มไปด้วยความร้อนรุ่ม “ข้าเตรียมเอาไว้ถึงหนึ่งหมื่นแปดพันคุณูปการภารกิจแล้ว เหนือกว่าคุณูปการภารกิจสังหารของอิงซานเสวี่ยอิงอยู่มากโข คุณูปการมากมายเช่นนี้ ก็น่าจะเพียงพอให้เข้าไปได้แล้ว ครั้งนี้ข้าต้องเข้าไปให้ได้”
“อื้ม” จอมเคารพมารอัคคีเผยรอยยิ้มออกมา เขามั่นใจเต็มเปี่ยม
มหาเคารพฝูอี่นั่งอยู่ตรงนั้น ยังคงหัวเราะคิกคักด้วยความสงบนิ่งเป็นอย่างมาก
……
ภายใต้สายตาจับจ้องของเทพจักรวาลทั้งปวง ชายชราอาภรณ์สีเหลือง ‘ผู้อาวุโสเซี่ย’ ก็พูดพลางยิ้มตาหยี “เวลามาถึงแล้ว ต่อให้มีสมบัติล้ำค่าอยากมอบให้มากกว่านี้ก็สายเกินไปแล้ว ขณะนี้อันดับคุณูปการภารกิจได้ถูกกำหนดขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว อันดับหนึ่งของครั้งนี้ก็คือมหาเคารพฝูอี่ ห้าหมื่นคุณูปการภารกิจ”
“ห้าหมื่นรึ”
“มากมายถึงเพียงนี้เชียวหรือ ด้วยสถานะของมหาเคารพฝูอี่ แค่กำชับคำหนึ่งก็คงสามารถได้สักตำแหน่งหนึ่งจากในสกุลเซี่ยได้แล้วกระมัง แต่กลับใช้ห้าหมื่นคุณูปการภารกิจอย่างนั้นหรือ”
ทุกคนในที่นั้นพากันอ้าปากค้าง
ต้องรู้ไว้ว่าเนื่องจากเป็นศึกชิงตำแหน่ง ดังนั้นคุณูปการภารกิจจึงค่อนข้างต่ำ! จะส่งมอบขึ้นไปนั้นก็ขาดทุนเป็นอย่างมาก สามารถแลกมาได้ห้าหมื่นคุณูปการภารกิจ อย่างน้อยก็ต้องขาดทุนมากกว่าห้าหมื่นล้านแก้วผลึกจักรวาล! ซึ่งจำนวนเท่านี้ สำหรับผู้แกร่งกล้าระดับจอมเคารพก็ยังต้องเจ็บปวดใจ หอกเทพเมฆาแดงและลูกแก้วห้าภาพในมือของตงป๋อเสวี่ยอิงรวมกันก็ยังไม่มีค่ามากมายถึงเพียงนี้
“ร้ายกาจ” หัวใจของตงป๋อเสวี่ยอิงหนักอึ้ง จะต้องได้ตำแหน่งหนึ่งมาอย่างไร้ข้อกังขา
“เฮอะ” จอมเคารพมารอัคคีฟังแล้วหางตากลับกระตุกขึ้นมา เดิมทีเขาคิดว่าคุณูปการภารกิจของตนน่าจะใกล้เคียงกับมหาเคารพฝูอี่ แต่กลับห่างไกลกันถึงเพียงนี้!
“ผู้ที่จัดเป็นอันดับสองในครั้งนี้…” เสียงของชายชราอาภรณ์สีเหลืองสะท้อนก้องไปทั่วทั้งโถงตำหนัก “ก็คือจ้าวหิมะเหิน สามหมื่นคุณูปการภารกิจ”
สวบ!
บรรดาเทพจักรวาลทั้งหลายมองไปทางชายหนุ่มอาภรณ์ขาวซึ่งนั่งอยู่ตรงนั้นโดยพร้อมเพรียงกัน แต่ละคนต่างพากันตกอกตกใจ จ้าวหิมะเหินที่มาจากรัฐเมฆทักษิณาผู้นี้โหดร้ายเกินไปแล้วจริงๆ
“สามหมื่นคุณูปการภารกิจหรือ”
“เทพจักรวาลหน้าใหม่เช่นเขาคนหนึ่งกลับมอบสมบัติวิเศษให้มากมายถึงเพียงนี้ จ้าวมารเพลิงพิโรธที่เขาจับตัวมาก็เพียงแค่หนึ่งหมื่นสองพันคุณูปการภารกิจเท่านั้นเอง นอกจากนี้แล้ว เขายังเตรียมเอาไว้อีกถึงหนึ่งหมื่นแปดพันคุณูปการภารกิจเชียวหรือ บ้าคลั่งเกินไปแล้ว! ตามปกติแค่หนึ่งหมื่นคุณูปการภารกิจก็เพียงพอจะได้ตำแหน่งมาแล้ว”
“ช่างตัดใจเก่งเสียจริง”
“เป็นประมุขรัฐเมฆทักษิณาที่คอยช่วยเหลืออยู่เบื้องหลังอย่างนั้นหรือ ไม่เสียทีที่เป็นผู้แกร่งกล้าระดับจอมเคารพที่มั่งคั่งที่สุด”
“ต่อให้ประมุขรัฐเมฆทักษิณามั่งคั่งกว่านี้ ก็ไม่ควรสนับสนุนศิษย์ของตนอย่างฟุ่มเฟือยเช่นนี้หรอกกระมัง สามหมื่นคุณูปการภารกิจน่ะหรือ”
ภายในโถงด้านข้างเต็มไปด้วยเสียงแอบซุบซิบ แต่ละคนถ่ายเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันเบาๆ
มหาเคารพฝูอี่มีสถานะสูงส่งเกินไป สามารถบีบสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูได้! ดังนั้นต่อให้เขาลงมือมากกว่านี้ ทุกคนก็คงจะเข้าใจได้
แต่จ้าวหิมะเหิน ‘อิงซานเสวี่ยอิง’ มิได้เป็นแม้แต่ระดับจอมเคารพเสียด้วยซ้ำ! ออกหน้าสร้างคุณูปการ,มากมายถึงเพียงนี้ ก็น่าหวาดหวั่นเกินไปแล้ว
“ผู้ที่จัดเป็นอันดับสามในครั้งนี้ก็คือจอมเคารพมารอัคคี” ชายชราอาภรณ์สีเหลืองพูดต่อไป “สองหมื่นหกพันคุณูปการภารกิจ”
จอมเคารพมารอัคคียิ้มแห้งๆ เห็นได้ชัดว่ามิได้ยินดียินร้ายสักเท่าใดนัก
มหาเคารพฝูอี่เกือบจะเป็นสองเท่าของเขาแล้ว!
ชนรุ่นหลังคนหนึ่ง กลับสามารถอยู่เหนือกว่าเขาได้
‘จอมเคารพมารอัคคี’ ผู้เห็นแก่หน้าตนเองอย่างมากย่อมรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเป็นธรรมดา อันที่จริงการได้รับตำแหน่งก็นับว่าสำเร็จแล้ว เพียงแต่จอมเคารพมารอัคคีสนใจรักษาหน้าตนเองเกินไป เขาหยิ่งผยองถึงขั้นไม่ยอมเข้าร่วมสามตระกูลใหญ่! และบัญชาการขุมอำนาจฝ่ายหนึ่งเพียงลำพัง
“ผู้ที่จัดอยู่ในอันดับสี่…” ชายชราอาภรณ์สีเหลืองพูดต่อไป
ภายในโถงตำหนักเงียบสงบเกินไปแล้ว
เทพจักรวาลหลายคนที่เข้าร่วมการช่วงชิงกังวลขึ้นมาแล้ว เพราะเหลือตำแหน่งสุดท้ายเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น!
“เป็นข้า ต้องเป็นข้าอย่างแน่นอน ข้าเตรียมไว้ถึงหนึ่งหมื่นแปดพันคุณูปการ ไม่มีทางไม่อยู่ในสี่อันดับแรกแน่” นัยน์ตาของจ้าวพันสุริยะแฝงแววรอคอยอันร้อนรุ่ม
“ได้แก่ประมุขเกาะฟู่ชุน สองหมื่นคุณูปการภารกิจ” ผู้อาวุโสเซี่ยชายชราอาภรณ์สีเหลืองพูดตำแหน่งสุดท้ายออกมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “มหาเคารพฝูอี่ จ้าวหิมะเหิน จอมเคารพมารอัคคีและประมุขเกาะฟู่ชุน ขอแสดงความยินดีกับทั้งสี่ท่านด้วย บัดนี้วังเทพจิตโลกาค่อยๆ เปิดออกมาแล้ว รอให้เปิดอย่างเต็มที่แล้ว จักรพรรดิเซี่ยก็จะพาพวกท่านเข้าไปยังวังเทพจิตโลกาพร้อมกัน”
พูดจบผู้อาวุโสเซี่ยก็หายวับไป
“ฮ่าฮ่า พี่หิมะเหิน ยินดีด้วยๆ ทุ่มเทมากมายถึงเพียงนี้เพื่อเข้าไปในวังเทพจิตโลกา ช่างน่านับถือจริงๆ”
“พี่หิมะเหิน ทำให้ข้าและคนอื่นๆ อิจฉาเสียจริง ข้าบำเพ็ญมาจนถึงบัดนี้ยังไม่เคยเข้าไปในวังเทพจิตโลกาเลย”
ภายในโถงตำหนักเต็มไปด้วยเสียงแสดงความยินดี
มีผู้มาแสดงความยินดีกับตงป๋อเสวี่ยอิง จอมเคารพมารอัคคีและประมุขเกาะฟู่ชุน และมีจำนวนน้อยนิดที่ไปแสดงความยินดีกับมหาเคารพฝูอี่! แม้นิสัยของมหาเคารพฝูอี่จะพอนับว่าดีอยู่บ้าง แต่โดยปกติก็ก่อให้เกิดความรู้สึก ‘คนแปลกหน้าห้ามเข้าใกล้’ ตามธรรมชาติ อยู่แล้ว มีเพียงระดับจอมเคารพและผู้ที่ใกล้ชิดกับเขาจำนวนน้อยนิดเท่านั้นที่จะเป็นฝ่ายเข้าไปแสดงความยินดีเอง
จากนั้นก็มีบรรดาเทพจักรวาลผุดลุกขึ้นแล้วจากไป การชุมนุมกันครั้งนี้ก็เพื่อรอตำแหน่งนี้นั่นเอง เมื่อตำแหน่งถูกประกาศออกมาแล้ว ผู้คนก็จากไป
มหาเคารพฝูอี่ก็ยืดกายขึ้นแล้วจากไป
จอมเคารพมารอัคคีก็ตอบรับเพียงไม่กี่คำแล้วก็จากไปเช่นกัน!
“น่าสนใจ” เจ้าลัทธิเก้าพิษยิ้มน้อยๆ อันที่จริงแล้วคุณูปการภารกิจในครั้งนี้ของเขาไม่มีเลยแม้แต่นิดเดียว!
ผู้ที่เข้าร่วมการแย่งชิงนั้น
มีคนเพียงน้อยนิดเท่านั้นที่พยายามสุดชีวิตเพื่อจะเข้าไป ส่วนใหญ่ก็แค่คอยดูสถานการณ์เท่านั้น หากรู้สึกว่ามีหวังมากที่จะเข้าไปได้ ก็จะพยายามรวบรวมคุณูปการภารกิจให้ได้สักตั้งหนึ่ง หากรู้สึกว่าความหวังต่ำมาก ก็จะไม่อยากทุ่มเทเพื่อคุณูปการภารกิจเลยสักนิดเดียว!
เหมือนที่แล้วมา
เช่นหากมีสี่ตำแหน่ง ไม่มีผู้ใดสามารถทำภารกิจสังหารให้สำเร็จได้ และไม่มีคนอย่างมหาเคารพฝูอี่ที่จะต้องเอาตำแหน่งมาให้ได้ ภายใต้สถานการณ์ทั่วไปแล้ว หากทุกคนสู้อย่างไม่รุนแรงนัก ราวๆ หนึ่งหมื่นคุณูปการก็เพียงพอแล้ว หากเคราะห์ดี อาจถึงขั้นหกเจ็ดพันคุณูปการก็สามารถคว้าสักตำแหน่งหนึ่งได้แล้ว
ส่วนครั้งนี้น่ะหรือ
แม้จะกล่าวว่ามีสี่ตำแหน่งด้วยกัน แต่เนื่องจากมีมหาเคารพฝูอี่ด้วย อันที่จริงแล้วก็เท่ากับสามตำแหน่งเท่านั้น!
นอกจากนี้เนื่องจากตงป๋อเสวี่ยอิงและจอมเคารพมารอัคคีทำภารกิจสังหารได้สำเร็จ จึงทำให้มาตรฐานของการชิงตำแหน่งในครั้งนี้สูงขึ้นทันที! ผู้ที่เข้าร่วมการช่วงชิงส่วนใหญ่ก็เพียงเพื่อจะเสี่ยงโชคดูเท่านั้น เมื่อเห็นเข้าก็ถอดใจกันหมดทันที! เนื่องจากพวกเขาเข้าใจว่า…ศึกชิงตำแหน่งครั้งนี้ยากมากอย่างเห็นได้ชัด ต่อให้ได้รับตำแหน่งมา ก็ต้องแลกด้วยอะไรมากมายนัก ไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย
พวกเขามีอายุขัยยืนยาว อย่างมากก็แค่รอครั้งต่อไปก็เท่านั้นเอง!
เรื่องราวก็เป็นเช่นนี้จริงๆ ผู้ที่จัดอยู่ในอันดับสี่ต้องใช้ถึงสองหมื่นคุณูปการภารกิจ! บ้าไปแล้วจริงๆ
“อดเข้าไปหรือนี่ ขาดอีกนิดเดียว ขาดอีกนิดเดียวเท่านั้น” จ้าวพันสุริยะสีหน้าไม่น่ามองอยู่บ้าง เขาก็จากไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับอารมณ์ดียิ่งนัก ทว่าเขาก็สัมผัสได้ว่าบรรดาเทพจักรวาลของรัฐโบราณคิมหันตวายุกลุ่มนี้ออกจะไม่ชอบใจอยู่บ้างที่ผู้มาจากรัฐภายนอกชิงตำแหน่งไปได้! นอกจากจำนวนน้อยนิดที่คุ้นเคยกับตนดีแล้ว ส่วนใหญ่ก็ค่อนข้างผลักไสเขา ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่สนใจเรื่องนี้นัก จะผลักไสก็เป็นเรื่องธรรมดา
เพราะถึงอย่างไรสกุลเซี่ยและสกุลชางก็ล้วนแต่ไม่รับผู้แกร่งกล้าจากภายนอก มีเพียงสกุลฝานเท่านั้นที่รับผู้แกร่งกล้าจากภายนอก
และมิอาจขอให้พวกเขามองตนเป็นคนกันเองได้ด้วย สำหรับตนเองแล้ว รัฐโบราณคิมหันตวายุก็เป็นตัวช่วยอย่างหนึ่งของเขา! ได้โอกาสเข้าไปก็เพียงพอแล้ว
“เสวี่ยอิง ครั้งนี้เจ้าสะสมได้สามหมื่นคุณูปการภารกิจรึ ทุ่มเทมากมายถึงเพียงนี้เชียวหรือ” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาถ่ายเสียงถามด้วยความยินดีเป็นอย่างมาก เขาเพิ่งจะเข้าใจสี่ตำแหน่งแรกจากสหายผู้หนึ่ง
“ในเมื่อจับตัวจ้าวมารเพลิงพิโรธได้ทั้งที ก็ย่อมต้องคว้าโอกาสเอาไว้ให้ได้ ครั้งนี้การช่วงชิงดุเดือดเกินไปแล้ว เกรงว่าหากคุณูปการภารกิจน้อยไปจะไม่มีโอกาส ดังนั้นข้าจึงทำให้มากไว้เสียเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงพูด
“อื้ม วังเทพจิตโลกาช่างควรค่าแก่การเข้าไปโดยแท้ คว้าโอกาสเอาไว้ให้ดี หากโชคดีสามารถได้สมบัติลับระดับยอดสุดมา เจ้าก็จะได้กำไรมหาศาลแล้ว” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาเบิกบานใจเป็นอย่างมาก
แน่นอนว่าตงป๋อเสวี่ยอิงตัดสินใจก่อนแล้ว
จากนั้นเขาก็กลับมายังเมืองหิมะเหินเพียงลำพัง แล้วเริ่มเก็บตัวบำเพ็ญอยู่ในจวนจ้าวเมืองหิมะเหิน รอคอยวันที่วังเทพจิตโลกาจะเปิดออกเต็มที่อย่างสงบ
ภาคที่ 34 เทพจักรวาล...
ตอนที่ 35 เทพจักรวาลชั้นที่สอง
เกล็ดหิมะราวขนห่านโปรยปลิว
ในศาลาข้างทะเลสาบ ไอร้อนจากจอกสุราโชยขึ้นมา ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์สีขาวทั้งร่างนั่งขัดสมาธิอยู่ในศาลาพลางหยิบจอกสุราร้อนกรุ่นขึ้นมาจิบ
เขามีร่างแยกมากมาย ร่างแยกอื่นๆ ล้วนกำลังบำเพ็ญ และมีร่างแยกอีกร่างหนึ่งเดินท่องไปภายนอก
สาเหตุหลักก็คือตอนนี้วิถีอากาศของเขาติดอยู่ที่อุปสรรค ‘ภาพฟ้า’ และ ‘ภาพดิน’ รวมตัวกันจนถึงขั้นสุดท้าย แต่กลับยังคงมีความไม่สอดคล้องกันอยู่สายหนึ่ง ขาดอีกเล็กน้อยจึงจะสามารถครบสมบูรณ์ได้อย่างแท้จริง
ทั่วฟ้าดินเงียบงันไปหมด รอบด้านไม่มีสาวใช้หน้าไหนอาจหาญเข้าใกล้แล้วรบกวนเขา
ข้างกายมีเพียงมังกรมารตัวเขื่องนอนหมอบอยู่ตรงนั้นด้วยความเชื่อง กลิ่นอายร้อนระอุแผ่ออกมาจากรูจมูก
“ฟ้าดินไร้ที่สิ้นสุด หากจิตใจสบายและสงบพอ ข้าก็สามารถสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาพาจิ้งชิวท่องไปในโลกกำเนิดนับพันนับหมื่นได้ ชมดูอารยธรรมและทิวทัศน์ทั้งหลายที่แตกต่างกันออกไป น่าเสียดาย จนถึงบัดนี้ข้าก็ยังมิอาจสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาได้ นอกจากนี้หายนะที่บ้านเกิดจะสูญสิ้นก็อยู่ใกล้แค่ปลายจมูกนี่เอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำเบาๆ กับตนเอง
“หนึ่งฟ้า หนึ่งดิน ก็คือโลกที่มองเห็น”
“ตอนที่ยังเป็นเหนือธรรมดาและเทพนั้น ฟ้าดินที่ตนเห็น ใหญ่ที่สุดก็คือจักรวาลแห่งหนึ่งเท่านั้น!”
“ต่อมาจึงได้รู้ว่าจักรวาลจำนวนนับไม่ถ้วนเป็นเพียงส่วนหนึ่งภายในโลกกำเนิดเท่านั้น”
“บัดนี้ยิ่งล่วงรู้ว่า ในโลกระดับที่สูงยิ่งขึ้นก็มีโลกกำเนิดแห่งแล้วแห่งเล่า มากมายนัก เกรงว่าโฉมหน้าที่แท้จริงของฟ้าดินนี้คงจะมีเพียงสิ่งมีชีวิตอย่าง ‘หยวน’ เท่านั้นจึงจะสามารถล่วงรู้ได้อย่างแท้จริงกระมัง”
“ฟ้าดินคล้ายจะมีขีดจำกัด แต่ก็ไม่มีขีดจำกัด”
ทันใดนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็เผยรอยยิ้มออกมา
ตู้ม….
อากาศรอบด้านสั่นสะเทือนไปหมด ทะเลสาบตรงหน้าก็สั่นสะเทือน ปลาจำนวนนับไม่ถ้วนกระโดดขึ้นมาด้วยความแตกตื่น ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงกลับรินสุราให้ตนเองอีกด้วยความสบายอุรา
เมื่อครู่นี้เอง เขาเพิ่งจะบรรลุอุปสรรคการหลอมรวมกันของภาพฟ้าและภาพดินและก้าวเข้าสู่ระดับเทพจักรวาลชั้นที่สองอย่างแท้จริง!
……
นับตั้งแต่สำเร็จเป็นเทพจักรวาลมาจนบัดนี้ ก็ผ่านไปเป็นเวลาหมื่นล้านปีแล้ว!
ด้วยรากฐานทางด้านวิถีอากาศอันแน่นหนาของเขา ทั้งเก้าสายล้วนบรรลุถึงขั้นเทพจักรวาล การสั่งสมเช่นนี้ เมื่อปะทุออกมาก็บรรลุเข้าสู่เทพจักรวาลชั้นที่สอง ซึ่งนี่ก็อยู่ในความคาดหมายของตงป๋อเสวี่ยอิง! เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าจะบังเอิญบรรลุก่อนจะเข้าไปยังวังเทพจิตโลกาพอดิบพอดี! การบรรลุครั้งนี้ เป็นการยกระดับพลังของเขาจากเนื้อแท้เลยทีเดียว
ร่างแยกซึ่งอยู่ในอากาศอันสับสนอลหม่านบ้านเกิดอันไกลโพ้น จากเทพจักรวาลชั้นที่หนึ่งก้าวเข้าสู่ชั้นที่สอง พลังก็ย่อมยกระดับขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ส่วนทางดินแดนจิตโลกานี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็สามารถสำแดงศาสตร์ลับที่ท่านอาจารย์ประมุขรัฐเมฆทักษิณาคิดค้นขึ้นจนถึงระดับครบสมบูรณ์ได้ เขาฝึกฝนร่างเมฆทักษิณาทิพย์จนถึงชั้นที่สิบสองครบสมบูรณ์เสียก่อน! แล้วค่อยอาศัยร่างเมฆทักษิณาทิพย์ทำให้ครบสมบูรณ์ ก็เพียงพอให้สำแดงศาสตร์ลับทลายเวหาและงามดั่งภาพวาดจนถึงขั้นครบสมบูรณ์ออกมาได้แล้ว อย่างหอกเทพเมฆาแดง ตนก็สามารถสำแดงจนถึงขีดสุดได้อย่างแท้จริง มีมาดของจอมเคารพเมฆาแดงในตอนนั้นบ้างแล้ว!
“ฮ่าฮ่า ฮ่าฮ่า…”
ภายในห้องเงียบ ตงป๋อเสวี่ยอิงกุมหอกเทพเมฆาแดงไว้ในมือ ระดับขั้นของเขาเพิ่มทวีขึ้นจนขณะที่สำแดงอักขระลับจำนวนนับไม่ถ้วนบนหอกเทพเมฆาแดงออกมาก็สามารถกระตุ้นทุกหนแห่งได้อย่างสมบูรณ์แบบ กระตุ้นได้จนถึงขีดสุด บริเวณปลายหอกมีน้ำวนสีดำปรากฏขึ้นรางๆ
“สมบัติลับจำพวกอากาศ ขอเพียงมิใช่สมบัติลับระดับยอดสุด ข้าก็ล้วนสามารถสำแดงออกมาจนถึงขีดจำกัดได้ทั้งสิ้น” บัดนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงมีความมั่นใจที่จะห้ำหั่นกับระดับจอมเคารพซึ่งๆ หน้าแล้ว
ก่อนหน้านี้
แม้พอจะสามารถประมือได้บ้าง แต่ก็ถูกกดดันอย่างสิ้นเชิงและต้องถูกโจมตีจนหนีไป
ตอนนี้มั่นใจว่าจะสามารถเจ้าเข้ามา ข้าสวนไปและต่อกรกันเป็นร้อยๆ หนได้แล้ว สมบัติลับในมือสามารถสำแดงอานุภาพออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบก็เป็นเรื่องหนึ่ง ส่วนอีกเรื่องหนึ่งก็คือศาสตร์ร่างแยกก็สามารถบรรลุถึงขั้นครบสมบูรณ์ได้อย่างแท้จริง
“ศาสตร์ร่างแยก!”
ตงป๋อเสวี่ยอิงชกตรงออกไปหมัดหนึ่ง! เหนือผิวกายทั้งร่างมีแสงเรืองรอง ชกออกไปหมัดหนึ่ง ฟ้าดินรอบด้านก็พลันยุบลงแล้วรวมตัวกัน ท้ายที่สุดก็มีหลุมดำทะมึนขนาดราวครึ่งร่างมนุษย์หลุมหนึ่งปรากฏขึ้น พลังคละถิ่นโหมซัดเข้ามา ราวกับพลังคละถิ่นของบริเวณที่ห่างจากโลกกำเนิดไปลิบลับก็โหมซัดเข้ามาด้วยเช่นกัน
เข้มข้นและใหญ่โตอย่างยิ่ง
นี่จึงจะเป็นขีดสุดของทลายเวหา! ชกหมัดหนึ่งออกไปก็กำแหงเหิมเกริมถึงขีดสุด!
เมื่อมาถึงเวลานี้ อย่างทลายเวหา งามดั่งภาพวาดและเคล็ดผนึกห้าภาพก็ไม่มีความแตกต่างอันใดกันแล้ว เนื่องจากตอนที่อยู่ในขั้นอลวน เคล็ดผนึกห้าภาพนั้นอาศัยห้าสายผสมผสานกัน อานุภาพจึงเหนือกว่าทลายเวหาและงามดั่งภาพวาดอย่างสิ้นเชิงได้
ส่วนกระบวนท่าทลายเวหาครบสมบูรณ์ ก็ต้องหลอมรวมกระบวนท่าถึงห้าสายเข้าด้วยกัน
งามดั่งภาพวาดก็ผสานรวมเอากระบวนท่าถึงสี่สายเอาไว้
บัดนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงเพิ่งจะรวบรวมได้เพียงสองสายเท่านั้น จะต้องอาศัยร่างชั้นที่สองระดับขั้นครบสมบูรณ์ของร่างเมฆทักษิณาทิพย์จึงจะสามารถสำแดงสองกระบวนท่านี้ออกมาได้ อานุภาพของสองกระบวนท่านี้ย่อมแตกต่างกับเคล็ดผนึกห้าภาพระดับขั้นครบสมบูรณ์ไม่มากสักเท่าใดนัก
ยิ่งเข้าใกล้ระดับยอดสุดมากเท่าไหร่
กระบวนท่าระหว่างกันก็คล้ายคลึงกันมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วย เพียงแต่มุ่งเน้นไปยังทิศทางที่แตกต่างกันก็เท่านั้นเอง
เช่นบริเวณเมฆาแดงนั้นเป็นด้านบริเวณ
ทลายเวหานั้นเป็นด้านการโจมตี
ส่วนผนึกห้าภาพนั้นเป็นการพันธนาการศัตรู
ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาเป็นเคล็ดวิชาสำหรับการเคลื่อนที่ออกจากโลกกำเนิดมุ่งหน้าไปยังโลกกำเนิดอีกแห่งหนึ่ง! น่าเสียดาย ร่างเมฆทักษิณาทิพย์นั้นคิดค้นขึ้นมาเพื่อหลอมรวมกับ ‘ทลายเวหา’ และ ‘งามดั่งภาพวาด’ โดยเฉพาะ ‘ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา’ นั้นต้องหลอมรวมถึงหกสายเข้าด้วยกันจึงจะสามารถสำแดงออกมาได้ นอกจากนั้นตนยังไม่มีสมบัติลับที่สัมพันธ์กันคอยช่วยเหลือ จึงทำได้เพียงค่อยๆ ฝึกฝนไปเท่านั้น
ต่อให้สามารถสำแดงออกมาได้ ก็มีความหมายไม่มากนัก! เนื่องจากสิ่งที่ตนใฝ่หาก็คือสามารถนำพาให้สิ่งมีชีวิตอื่นๆ สำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาออกมาได้เช่นกัน! นั่นจะต้องเป็นเทพจักรวาลขั้นสุดยอดเท่านั้นจึงสามารถทำได้
“ศาสตร์ลับต่างๆ เป็นท่าไม้ตายในด้านที่แตกต่างกันซึ่งเหล่าผู้อาวุโสรุ่นก่อนคิดค้นขึ้นมา บัดนี้ข้ากลับยืนเคียงไหล่กับคนรุ่นก่อนได้แล้ว จึงจะสามารถเข้าถึงได้อย่างรวดเร็ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจในข้อนี้ดี
เดิมทีระดับขั้นกับกระบวนท่าก็เป็นแนวคิดที่ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว
ระดับขั้นถึงแล้ว กระบวนท่าก็ยังต้องอาศัยตนเองคิดค้นขึ้นมา! หรือไม่ก็ไปศึกษาสิ่งที่ผู้อื่นคิดค้นขึ้น!
อย่างยุทธวิธีเมฆาแดง เหตุใดรัฐโบราณคิมหันตวายุจึงไม่เผยแพร่สู่ภายนอกกันเล่า ก็เพราะศาสตร์ลับวิชานี้เมื่อฝึกจนถึงช่วงท้ายแล้วก็ร้ายกาจจนยากจะรับมือได้
เคล็ดผนึกห้าภาพก็ล้ำค่าเช่นกัน เพราะเหตุใดน่ะหรือ ดูจากที่จ้าวมารเพลิงพิโรธถูกตงป๋อเสวี่ยอิงพันธนาการเอาไว้ก็รู้แล้ว!
โดยทั่วไปหากมีพลังเท่าเทียมกัน ก็ยากมากที่จะโจมตีสังหารได้
แต่เคล็ดผนึกห้าภาพกลับสามารถทำให้ผู้ที่มีพลังเท่าเทียมกันสามารถล้างสังหารอีกฝ่ายได้! หากหนีออกไปไม่พ้นและถูกเก็บเข้าไปในลูกแก้วห้าภาพ ก็จบเห่แล้ว!
……
ฟิ้วๆๆ…
พลังคละถิ่นที่โหมซัดทำให้วิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงวิวัฒน์ไปอีกครั้ง ขีดจำกัดของกฎเกณฑ์อันสูงส่งอ่อนแอลงแล้ว รัศมีอันเรืองรองสายแล้วสายเล่าลอยออกจากร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงไปยังอีกด้านหนึ่งแล้วรวมตัวกันขึ้นมาเป็นร่างใหม่ ร่างแล้วร่างเล่ารวมตัวกัน ขณะเดียวกับที่รวมตัวขึ้นมานั้น วิญญาณก็ฟื้นฟูและแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว
ร่างแยกที่นั่งขัดสมาธิอยู่ภายในห้องเงียบเพิ่มขึ้นทุกทีๆ นับร้อย นับพัน ห้องเงียบซึ่งเดิมทีกว้างขวางกลับมีเงาร่างนั่งอยู่แน่นขนัดไปหมดจนนั่งลงไปไม่ได้อีกแล้ว
“บำเพ็ญศาสตร์ร่างแยกจนถึงขั้นนี้ หากคิดอยากฆ่าจริงๆ ก็ยากเสียยิ่งกว่ายากแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ
ขอเพียงมีร่างแยกร่างหนึ่งรอดชีวิต
ก็จะไม่ตาย
ตอนนี้ยังนับมิได้ว่าล้ำเลิศสักเท่าใดนัก เพราะถ้าอยากสังหารขึ้นมาจริงๆ หากไร้ซึ่งการปกป้องของประมุขรัฐเมฆทักษิณา สิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดหวั่นเช่น ‘เจ้าเมืองอนันต์’ ก็สามารถล้างสังหารร่างแยกทั้งหมดของตงป๋อเสวี่ยอิงในดินแดนจิตโลกาได้ในชั่วความคิดเดียว! ส่วนการปกป้องของประมุขรัฐเมฆทักษิณาน่ะหรือ ก็ใช่ว่าจะไร้ข้อบกพร่องไปหมด คนอย่างเจ้าเมืองอนันต์และจักรพรรดิเซี่ยซึ่งมีน้อยเสียจนยกนิ้วนับได้ ก็ยังสามารถทำได้ถึงขั้นสังหารสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในรัฐเมฆทักษิณาเว้นแต่ประมุขรัฐเมฆทักษิณาเท่านั้น
เพียงแต่ว่าประมุขรัฐเมฆทักษิณานั้นสวามิภักดิ์ต่อสกุลฝานแห่งรัฐโบราณคิมหันตวายุ จักรพรรดิเซี่ยจึงไม่มีทางลงมืออย่างไร้ต้นสายปลายเหตุ
เจ้าเมืองอนันต์ยังเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูที่นิสัยดีที่สุดคนหนึ่งอีกด้วย
……
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หากสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาออกมา แล้วส่งร่างแยกสักหลายร่างไปยังโลกกำเนิดต่างๆ! ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีคุณสมบัติพอจะจัดอยู่ในวีรบุรุษผู้ไร้เทียมทานได้แล้ว!
“10081 ร่างแยก” ตงป๋อเสวี่ยอิงใช้เวลาสองวันจึงสามารถฝึกฝนได้หมด
ร่างแยกมากมายถึงเพียงนี้ ก็สามารถเรียกได้ว่าร่างแยกจำนวนนับไม่ถ้วนแล้ว
ทว่าภายใต้สถานการณ์ที่ต้องรักษาพลังจิตของวิญญาณให้สมบูรณ์แบบที่สุด ขอเพียงคงร่างแยกเก้าร่างเอาไว้ แต่เรื่องนี้ก็ไม่เพียงทำให้พลังของตงป๋อเสวี่ยอิงเพิ่มพูนขึ้นเป็นอย่างมากเท่านั้น แม้แต่ความเร็วในการบำเพ็ญก็สามารถยกระดับขึ้นเป็นอย่างมากได้ด้วยเช่นกัน!
******
ณ ทางเดินโลกาพิศวงแห่งอากาศอันสับสนอลหม่านบ้านเกิด
“ผู้อาวุโส”
ขณะนี้ ‘จักรพรรดิจวิน’ ผู้แกร่งกล้าที่สุดของฝูงมารผลาญทำลายในยุคนี้มองไปยังเงาร่างเยื้องหน้าด้วยความเคารพ นี่คือผู้แกร่งกล้าร่างบึกบึนซึ่งหุ้มเกราะสีขาวเงินทั่วทั้งร่าง บนศีรษะยังมีเขาแหลมสีขาวเงินอยู่ถึงสิบสองข้างด้วยกัน เขามีหางเกราะเกล็ดสีขาวเงิน กลิ่นอายของเขามิได้นับว่าแข็งแกร่งสักเท่าใดนัก ราวกับเป็นเพียงขั้นอลวนคนหนึ่งเท่านั้น
แต่จักรพรรดิจวินกลับเคารพจากก้นบึ้งของหัวใจ เนื่องจากตอนนั้นที่เขาลอบท่องไปในโลกทิพย์แห่งแล้วแห่งเล่าแล้วบรรลุเป็นเทพจักรวาลชั้นที่สองนั้น ระหว่างที่กึ่งหลับกึ่งตื่น ก็ได้พบกับผู้อาวุโสท่านนี้ในแดนนิมิต
ในแดนนิมิต ผู้อาวุโสท่านนี้ชี้แนะและสั่งสอนเขา เขาจึงสามารถบำเพ็ญได้อย่างรวดเร็ว
“บัดนี้เจ้าบรรลุถึงขีดจำกัดการบำเพ็ญของเทพจักรวาลชั้นที่สองแล้ว” เงาร่างบึกบึนหุ้มเกราะสีขาวเงินพูดเสียงเย็นชา “บัดนี้ต้องรีบบรรลุเทพจักรวาลขั้นสุดยอดให้ได้โดยเร็วที่สุด หลังจากเป็นขั้นสุดยอดแล้วก็คว้าโอกาสเอาไว้…แล้วค่อยทำลายก็แล้วกัน ในฐานะเผ่าหนึ่งของฝูงมารผลาญทำลายเรา ยิ่งล้างทำลายได้มากเท่าไหร่ ก็จะได้รับมอบรางวัลจากโลกกำเนิดมากขึ้นเท่านั้น และก็มีเพียงยุคปัจจุบันนี้เท่านั้น เมื่อไปถึงยุคหน้า ต่อให้เจ้าล้างสังหารก็มิได้มีผลประโยชน์ระดับนี้แล้ว”
“ขอรับ ผู้น้อยเข้าใจ” จักรพรรดิจวินก้มหน้าพูด
ฝูงมารผลาญทำลายเกิดมาก็เพื่อทำลายล้าง โลกกำเนิดบ่มเพาะพวกเขาขึ้นมาก็เพื่อให้พวกเขาทำลายล้าง
ยิ่งทำลายล้างมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีสิ่งตอบแทนมากขึ้นเท่านั้น
แต่เรื่องนี้จำกัดอยู่เพียงยุคเดียวเท่านั้น เมื่อถึงยุคหน้า เขาก็จะไม่มีคุณสมบัติใช้ ‘กฎเกณฑ์อันสูงส่งของยุค’ ทำลายล้างแล้ว
“สำเร็จเป็นขั้นสุดยอดให้ได้เสียก่อนค่อยทำลายล้าง เพื่อรางวัลชุดใหญ่! ให้เจ้าสั่งสมอะไรได้มากพอเสียก่อน แล้วแต่ละยุคหลังจากนั้นเจ้าจึงจะมีหวังพยายามทำลายกรงที่กักขังไว้ได้ แล้วบรรลุถึงอีกชั้นหนึ่งอย่างแท้จริง” เงาร่างบึกบึนหุ้มเกราะสีขาวเงินพูดพลางโบกมือคราหนึ่ง ดอกไม้สีดำขลับดอกหนึ่งลอยมาถึงตรงหน้าจักรพรรดิจวิน
“สมบัติชั้นยอดสำหรับบำเพ็ญชิ้นนี้มีประโยชน์ต่อเจ้าอย่างใหญ่หลวง อย่าทำให้ข้าเสียหน้าด้วยการที่ไปไม่ถึงแม้แต่เทพจักรวาลขั้นสุดยอดล่ะ!” เงาร่างบึกบึนหุ้มเกราะสีขาวเงินกล่าว
“ผู้อาวุโสวางใจเถิดขอรับ” จักรพรรดิจวินกล่าว
“ไปเถิด” ทันใดนั้นเงาร่างบึกบึนหุ้มเกราะสีขาวเงินราวกับสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง เขาโบกมือไปมา จากนั้นจักรพรรดิจวินก็โค้งคารวะแล้วจากไป
ส่วนเหนือทางเดินมิติแห่งนี้
ตรงข้ามเงาร่างบึกบึนหุ้มเกราะสีขาวเงินมีเสียงของบุรุษชุดสีน้ำเงินเข้มอีกคนหนึ่งดังขึ้น
“เจ้าเมืองหลัว” มุมปากของเงาร่างบึกบึนหุ้มเกราะสีขาวเงินมีรอยยิ้มผุดขึ้นมา “มิได้พบกันตั้งนาน เป็นอย่างไรบ้าง ข้าชี้แนะฝูงมารผลาญทำลายรุ่นหลัง เจ้ามีความเห็นใดหรือไม่”
“พี่จิน” บุรุษชุดสีน้ำเงินเข้มซึ่งก็คือเจ้าเมืองหลัว ยามนี้เขารำพึงเสียงเรียบว่า “จำเป็นด้วยหรือไร ให้เวลาเด็กๆ เหล่านี้อีกสักหน่อยไม่ดีหรือ”
“ขอเพียงมีผู้ร่วมทางถือกำเนิดขึ้นมาสักคนหนึ่ง ต่อให้ตายไปมากกว่านี้แล้วจะนับเป็นอะไรได้เล่า เจ้าหนุ่มจักรพรรดิจวินคนนี้เป็นฝูงมารผลาญทำลาย แน่นอนว่าเขาต้องทำลาย ยิ่งทำลายได้มากเท่าไหร่ เขาก็จะยิ่งได้รับผลประโยชน์มากขึ้นเท่านั้น และโอกาสเช่นนี้ก็มีเพียงยุคนี้ยุคเดียวเท่านั้นที่เขาจะได้ใช้กฎเกณฑ์อันสูงส่งเพื่อทำลายล้าง หากพลาดไปก็ต้องพลาดไปตลอดกาล” เงาร่างบึกบึนหุ้มเกราะสีขาวเงินยิ้มน้อยๆ “ข้าก็แค่ชี้แนะฝูงมารผลาญทำลายเท่านั้น มิได้ฝืนคำสัญญาในตอนแรกเสียหน่อย เอาล่ะ ข้าเพิ่งลงมือหมักสุราชั้นเลิศเองกับมือ จะมาชิมดูสักหน่อยหรือไม่”
เจ้าเมืองหลัวพยักหน้า “ดีขอรับ”
“เจ้าน่ะเมตตาเกินไป ทุกชั่วขณะสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนก็ต้องตายไปอยู่แล้ว แล้วก็เกิดขึ้นมาใหม่ ไยต้องใส่ใจด้วยเล่า” เงาร่างบึกบึนหุ้มเกราะสีขาวเงินยิ้มแล้วยิ้มอีก
ภาคที่ 34 เทพจักรวาล...
ตอนที่ 36 เจ้าเมืองหลัวกับตงป๋อเสวี่ยอิง
เรือใหญ่ลำหนึ่งเคลื่อนตัวอยู่กลางอากาศอันสับสนอลหม่าน
ภายในเรือใหญ่ก็คือตงป๋อเสวี่ยอิง อวี๋จิ้งชิว ตงป๋ออวี้ ตงป๋อชิงเหยา และคนรุ่นหลังของครอบครัวพี่สาวน้องชายทั้งสองจำนวนหนึ่ง
คนอื่นๆ ส่วนใหญ่ต่างก็กำลังบำเพ็ญอยู่ภายในห้องเงียบบนเรือ ทว่าตงป๋อเสวี่ยอิงและภรรยากลับกำลังมองดูโลกภายนอกผ่านผนังโปร่งแสงของเรืออยู่ภายในห้องอันกว้างขวางห้องหนึ่งบนเรือใหญ่ อากาศอันสับสนอลหม่านเต็มไปด้วยความอ้างว้าง มีสรรพสิ่งต่างๆ นานาที่พังทลายแหลกสลายซุกซ่อนอยู่สามารถมองเห็นจักรวาลขนาดใหญ่แห่งหนึ่งที่อยู่ไกลๆ ผ่านอากาศอันสับสนอลหม่านได้
จักรวาลเข้ามาใกล้ด้วยความเร็วสูงตามการเคลื่อนที่เข้าไปของเรือใหญ่ แล้วก็ค่อยๆ ออกห่างไป
อีกทั้งยังมองเห็นแผ่นดินใหญ่ที่ลอยตัวอยู่แห่งหนึ่ง ด้วยพลังยุทธ์ของตงป๋อเสวี่ยอิงและอวี๋จิ้งชิว ต่างก็สามารถมองเห็นสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่กันอย่างแน่นขนัดบนแผ่นดินใหญ่ที่ลอยตัวอยู่ได้
“เสวี่ยอิง ตอนที่เจ้าถูกจอมเทพศักดิ์สิทธิ์กดดันเสียจนวิญญาณกระจัดพลัดพราย สิ่งที่ข้าตั้งหน้าตั้งตาคอยที่สุดก็คือวันวารเช่นนี้นี่แหละ” อวี๋จิ้งชิวและตงป๋อเสวี่ยอิงต่างก็นั่งขัดสมาธิพลางดื่มสุราผลไม้ที่แต่ละคนชื่นชอบ รสนิยมของอวี๋จิ้งชิวและตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นแตกต่างกัน ตงป๋อเสวี่ยอิงเอนเอียงไปทางความเรียบง่าย ส่วนอวี๋จิ้งชิวนั้นชมชอบสุราผลไม้ที่พิเศษและมีการกระตุ้นมากกว่า
“อากาศอันสับสนอลหม่านนั้นช่างกว้างใหญ่จริงๆ จักรวาลก็มีอยู่มากมายเหลือเกิน” อวี๋จิ้งชิวมองออกไปยังที่ไกลๆ ไปยังจักรวาลที่ขยายขนาดใหญ่ขึ้นอย่างฉับพลันตามการเคลื่อนเข้าใกล้ของเรือใหญ่
“ถึงแม้ว่าจะมีโลกทิพย์อยู่หลายแห่ง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “แต่ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่แฝงอยู่ในจักรวาลมากมายนับไม่ถ้วน ก็เหนือกว่าโลกทิพย์อยู่มากโขนัก”
เพื่อไล่ล่าสังหารฝูงมารผลาญทำลาย สามารถเรียกได้ว่าเหยียบย่างไปทั่วทั้งโลกกำเนิดบ้านเกิด เขาเข้าใจกระจ่างดียิ่งว่าจำนวนของจักรวาลนั้นมีมากมายเพียงใด
“ตั้งแต่โลกทิพย์โบราณดั้งเดิมแหลกสลาย เช่นโลกทิพย์โบราณของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ ก็มีเพียงแค่หนึ่งในร้อยส่วนของตอนนั้นเท่านั้นเอง โลกทิพย์นิจนิรันดร์ โลกทิพย์กิเลนบูรพา และโลกจอมมารดายังสู้โลกทิพย์โบราณมิได้เลย! ตอนนั้นหลังจากที่โลกทิพย์โบราณดั้งเดิมแหลกสลายไปแล้ว พลังดั้งเดิมก็กระจัดกระจายไป จักรวาลแต่ละแห่งบ่มเพาะถือกำเนิดขึ้น สิ่งมีชีวิตในจักรวาลทุกแห่งเมื่อเทียบกับโลกทิพย์แล้วก็แทบจะไม่เข้าตาเลย แต่เมื่อจำนวนมากมายแน่นขนัดรวมกันขึ้นมาแล้วกลับเหนือกว่าโลกทิพย์อยู่มากนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “โชคดีที่จักรวาลทุกแห่งล้วนกีดกันผู้มาจากภายนอกดังนั้นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ต้องการจะสืบทอดคำสอนก็ยากเย็นเป็นอย่างยิ่งแล้ว”
“หืม”
ตงป๋อเสวี่ยอิงและอวี๋จิ้งชิวต่างก็หันหน้าไปมอง
เงาร่างอันเลือนรางสายหนึ่งทะลุผ่านกำแพงตำหนักมาจากโลกภายนอกเข้ามาภายในห้องโถง เงาร่างรวมตัวปรากฏขึ้นมา ซึ่งก็คือบุรุษในชุดสีฟ้าเข้มคนหนึ่ง
“เจ้าเมืองหลัว” ตงป๋อเสวี่ยอิงยืดกายลุกขึ้นด้วยความตื่นตะลึงเป็นอย่างยิ่ง
“คารวะเจ้าเมืองหลัว” อวี๋จิ้งชิวก็ยืดกายลุกขึ้นทำความเคารพเช่นกัน พร้อมกันนั้นก็เอ่ยว่า “เสวี่ยอิง พวกเจ้าสนทนากันไปเถิด”
อวี๋จิ้งชิวถอยออกไปในทันที
ภายในห้องโถง เหลืออยู่เพียงแค่ตงป๋อเสวี่ยอิงและเจ้าเมืองหลัวสองคน
ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกอัศจรรย์ในใจ ทั้งยังมีความสงสัยอยู่บ้าง สถานะของเจ้าเมืองหลัวที่อากาศอันสับสนอลหม่านนั้นมีความจำเพาะอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่าเขาจะช่วยบรรดาเทพจักรวาลต้านทานจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ แต่ในความเป็นจริงแล้ว เจ้าเมืองหลัวนี้ลึกลับเป็นอย่างยิ่ง ดูเหมือนว่าจะไม่เห็นเขาลงมือ แต่ไม่ว่าผู้ใดต่างก็มิกล้าดูแคลนเจ้าเมืองหลัวผู้นี้กันทั้งสิ้น ตงป๋อเสวี่ยอิงวิ่งวุ่นไปทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา แล้วก็ยิ่งหวาดกลัว ‘เจ้าเมืองหลัว’!
เขาเข้าใจกระจ่างดียิ่ง
คนผู้หนึ่งที่ถูกกฎเกณฑ์สูงสุดฝืนกดดันพลานุภาพเอาไว้ที่ระดับขั้นอลวน แต่พลังรบก็ยังสามารถไปถึงระดับเทพจักรวาลชั้นที่สองได้ นี่ช่างน่าหวาดหวั่นเพียงใด!
“ตงป๋อเสวี่ยอิง” เจ้าเมืองหลัวเอ่ยปาก
“เจ้าเมืองหลัวมาหาข้าถึงที่นี่ มิทราบว่ามาด้วยเรื่องอันใดหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยถาม
“เจ้าไปถึงเทพจักรวาลชั้นที่สองแล้วหรือ พรสวรรค์สูงส่งนัก ไม่ด้อยไปกว่าจอมกระบี่แห่งวังทวีสูญของพวกเจ้าเลยแม้แต่น้อย” เจ้าเมืองหลัวพูด
ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบตกตะลึง
เรื่องที่ตนบรรลุยังมิได้เปิดเผยสู่สาธารณะเสียหน่อย! ตนเองมิได้สำแดงแล้วเจ้าเมืองหลัวล่วงรู้ได้อย่างไรกัน
“ไม่ต้องตื่นเต้นหรอก เจ้ายืนอยู่ที่นั่น ระดับการแทรกซึมเข้าสู่ทั้งโลกกำเนิดที่อยู่รอบๆ ห้วงอากาศโดยรอบที่ตามระลอกคลื่นปณิธานของเจ้าทุกสาย…สิ่งเหล่านี้ต่างก็เปิดเผยระดับขั้นของเจ้าออกมาทั้งสิ้น มองปราดเดียวก็ทะลุปรุโปร่งแล้ว” เจ้าเมืองหลัวพูด
ตงป๋อเสวี่ยอิงตะลึงงันไปเสียแล้ว
ระดับการแทรกซึมของโลกกำเนิด?
ห้วงอากาศและปณิธาน?
ให้ฟังก็พอเข้าใจอยู่ แต่ตนจะรู้สึกเหลือเชื่อถึงเพียงนั้นได้อย่างไรกัน
สำหรับตน ตระหนักรู้วิถีแล้ว ถ้าหากไม่สำแดง ว่ากันตามหลักการก็ต้องดูไม่ออกอยู่แล้ว!
“เจ้ามิได้กระโดดหนีออกไปจากกรงขังนี้ ถ้าหากมีวันหนึ่งที่เจ้าสามารถหนีออกไปจากกรงขังโลกกำเนิดนี้ได้ เจ้าก็จะเข้าใจเองนั่นแหละ” เจ้าเมืองหลัวพูด
“เจ้าเมืองหลัวหนีออกไปจากกรงขังนี้ได้แล้วหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยถามขึ้นด้วยความตื่นตะลึงในใจ
เจ้าเมืองหลัวพยักหน้า
ตงป๋อเสวี่ยอิงอดที่จะหัวใจเต้นรัวเร็วมิได้
เขาเดาได้อยู่ก่อนแล้วว่าระดับขั้นของเจ้าเมืองหลัวสูงจนไม่ธรรมดา เพียงแต่ว่าพลานุภาพของอีกฝ่ายถูกกดเอาไว้ที่ขั้นอลวนมาโดยตลอด ทำให้เขาคาดเดาได้ว่าคงจะมาจากโลกกำเนิดภายนอก เพียงแต่มิกล้าแน่ใจมาโดยตลอดว่าไปถึงระดับขั้นในตำนานแล้วหรือไม่…หนีออกไปจากกรงขังโลกกำเนิดนี้ได้ ไปถึงระดับสิ่งมีชีวิตอีกขั้นหนึ่ง
“ที่ข้ามาก็เพราะต้องการจะบอกเรื่องหนึ่งกับเจ้า” เจ้าเมืองหลัวพูด “โลกกำเนิดทางนี้ เดิมทีข้าคิดว่าจะต้องผ่านเวลาสิบแปดล้านสามแสนสองหมื่นหนึ่งพันหนึ่งร้อยล้านปี จึงจะเหนี่ยวนำให้เกิดมหาวินาศ อ้างอิงจากการขยายตัวของโลกกำเนิดตามปกติก็ควรจะเป็นเช่นนี้! เพียงแต่ว่าได้เกิดความแปรผันอย่างหนึ่งขึ้น อัตราเร็วในการแหลกสลายของบ้านเกิดของพวกเจ้านั้นอาจจะเพิ่มความเร็วขึ้นอย่างมหาศาล”
“เพิ่มความเร็วขึ้นอย่างมหาศาลหรือ” ม่านตาตงป๋อเสวี่ยอิงหดเล็กลง
“‘จักรพรรดิจวิน’ แห่งฝูงมารผลาญทำลายมีการตระหนักรู้สูงส่งเป็นที่สุด ไปถึงระดับท้ายสุดของเทพจักรวาลชั้นที่สอง อีกทั้งยังมีผู้แกร่งกล้าคละถิ่นอีกคนหนึ่งช่วยเหลือ ก็มีความมั่นใจเป็นอย่างยิ่งในการบรรลุไปถึงระดับเทพจักรวาลขั้นสุดยอด เมื่อใดที่บรรลุ เป็นถึงฝูงมารผลาญทำลายที่ถือกำเนิดขึ้นในยุคนี้ มันเกิดมาก็เพื่อผลาญทำลาย ยิ่งผลาญทำลายมาก สิ่งที่กฎเกณฑ์สูงสุดของโลกกำเนิดจะกำนัลให้เขาก็ยิ่งมาก จักรพรรดิจวินจะต้องผลาญทำลายอย่างอุกอาจแน่นอน ระดับเทพจักรวาลขั้นสูงสุดคนหนึ่งทำลายล้างตามอำเภอใจ ก็ต้องทำให้อัตราเร็วในการทำลายล้างทั้งโลกกำเนิดยกระดับขึ้นอย่างมหาศาลอยู่แล้ว” เจ้าเมืองหลัวพูด
ตงป๋อเสวี่ยอิงอดที่จะเอ่ยขึ้นมิได้ว่า “ผู้แกร่งกล้าคละถิ่นอีกคนหนึ่งช่วยเหลืออย่างนั้นหรือ ผู้แกร่งกล้าคละถิ่นคืออะไรกัน”
“พลังยุทธ์ไม่ด้อยไปกว่าข้าเลย” เจ้าเมืองหลัวพูด
ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจแล้ว
ก็คือสิ่งมีชีวิตที่น่าหวั่นเกรงที่หนีออกจากกรงขังโลกกำเนิดแล้วเช่นกันนั่นเอง
“ในบรรดาผู้ร่วมทางของข้า มีบางส่วนที่คิดว่าถ้าหากสิ่งมีชีวิตในยุคหนึ่งสูญพันธุ์ไปแล้วสามารถให้กำเนิดเทพจักรวาลขั้นสุดยอดคนหนึ่งออกมาได้ เช่นนั้นยุคนี้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว มีเพียงเทพจักรวาลขั้นสุดยอดเท่านั้นจึงจะสามารถฝืนต้านทานเอาชีวิตรอดภายใต้การผลาญทำลายของกฎเกณฑ์สูงสุด แล้วมีความเป็นไปได้ที่จะหนีออกจากกรงขังนี้ได้” เจ้าเมืองหลัวพูด “แต่ข้ารู้สึกว่าไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตใดๆ ต่างก็ควรจะให้โอกาสพวกเขาสักหน่อยทั้งนั้น”
“ในยุคนี้ของพวกเจ้ามีเพียงจอมกระบี่กับเจ้าเท่านั้นที่นับว่ายังพอมีความหวังอยู่” เจ้าเมืองหลัวยื่นมือออกมา ฝ่ามือของเขามีเมล็ดพันธุ์สีดำเมล็ดหนึ่งปรากฏขึ้น
โยนเบาๆ คราหนึ่ง
เมล็ดพันธุ์ก็ร่วงหล่นลงบนพื้นผิวโลหะภายในห้องโถง
ฟึ่บ…
เมล็ดพันธุ์ก็แตกหน่อผลิใบอย่างรวดเร็วและเงียบงันไร้สุ้มเสียง แทงรากลงในผิวดิน อีกทั้งยังไหวเอนเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วคล้ายกับเถาวัลย์ ผลิใบเขียวชอุ่ม แล้วยังมีดอกตูมเริ่มปรากฏขึ้น มีดอกตูมที่มีสีสันแตกต่างกันทั้งสิ้นเก้าดอกปรากฏขึ้น
“หนึ่งดอกก็คือโลกหนึ่งแห่ง” เจ้าเมืองหลัวพูด “โลกทุกแห่งมีทั้งการเกิดและการเหี่ยวเฉาสูญสลาย บุปผาโลกาเก้าดอกนี้ เมื่อใดที่ร่างจริงของเจ้าเข้าไป บุปผาโลกาก็จะค่อยๆ ผลิบานจนกระทั่งเหี่ยวเฉาไป! ผลิบานจนเหี่ยวเฉาก็เพียงแค่หนึ่งแสนปีเท่านั้น! ภายในโลกทุกแห่งก็มีสรรพชีวิตถือกำเนิด สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนขยายพันธุ์ ทว่าต่างก็เป็นสิ่งมีชีวิตสามัญธรรมดาเท่านั้น ไม่มีเหนือธรรมดาปรากฏขึ้นเลย! แต่ว่าโลกเหล่านี้ก็จะผ่านการผลิบานจนเหี่ยวเฉาภายในระยะเวลาหนึ่งแสนปีอันแสนสั้น ห้วงอากาศของมันนั้นกำลังวิวัฒน์อยู่ตลอดเวลา เป็นสมบัติชั้นยอดในการหยั่งรู้วิถีอากาศ”
“บุปผาโลกาเก้าดอกเป็นการอนุมานที่แตกต่างกันของวิถีอากาศ เป็นตัวแทนของโอกาสเก้าครั้ง”
“เมล็ดพันธุ์บุปผาโลกา…ได้มายากนัก รักษาเอาไว้ให้ดีๆ เถิด กับยุคนี้ของพวกเจ้า ข้าก็สามารถทำได้เพียงเท่านี้แล้วล่ะนะ” เจ้าเมืองหลัวพูด
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดอกตูมเก้าดอกของบุปผาโลกาที่อยู่ตรงหน้าแล้วก็อดที่จะตื่นตระหนกมิได้
เขารู้ดี
โอกาสครั้งใหญ่…
เป็นโอกาสครั้งใหญ่โดยแท้! นี่เป็นโอกาสครั้งใหญ่ที่เขาอยู่ที่รัฐโบราณคิมหันตวายุก็ยังมิอาจได้มาเลย
เขาฟังออกว่าเจ้าเมืองหลัวน่าจะให้ความช่วยเหลือทั้งกับเขาและจอมกระบี่
“รักษาเวลาให้ดี คว้าโอกาสเอาไว้ให้มั่น” เจ้าเมืองหลัวมองตงป๋อเสวี่ยอิงปราดหนึ่ง “เวลาที่เหลืออยู่ช่างแสนสั้นนัก ดูเหมือนว่าจะไม่ยุติธรรมต่อพวกเจ้า ทว่าแต่ไหนแต่ไรก็ไม่มีความยุติธรรมที่แน่นอนอยู่แล้ว!”
“ข้าเข้าใจ ขอบคุณผู้อาวุโสขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง
เจ้าเมืองหลัวแย้มยิ้มน้อยๆ
เขาช่วยเหลือคนก็ดูพฤติกรรมด้วย
อย่างเช่นพวกที่มีอุปนิสัยชั่วร้าย ต่อให้พรสวรรค์สูงส่งกว่านี้ เขาไม่ลอบทำลายอย่างลับๆ ก็นับว่าดีมากแล้ว ยิ่งไม่มีทางช่วยเหลืออยู่แล้ว
“พรึ่บ” เงาร่างของเจ้าเมืองหลัวหายลับไปในทันใด
ตงป๋อเสวี่ยอิงท่าทีเคร่งขรึม
ขณะนี้เขาเข้าใจแล้วว่าเหตุใดในอดีตเจ้าเมืองหลัวจึงสอดแทรกยุ่งเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ น้อยนัก เพราะสำหรับบุคคลระดับนี้ เกรงว่าประสบการณ์ที่อากาศอันสับสนอลหม่านคงจะเป็นเพียงแค่การเดินทางอันแสนง่ายดายครั้งหนึ่งเท่านั้นเอง เจ้าเมืองหลัวก็เป็นเหมือนผู้ชมที่สังเกตการณ์ดูทุกสิ่งทุกอย่างเท่านั้นเอง
“บุปผาโลกาหรือ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูดอกตูมเก้าดอกตรงหน้า
จิตใจไหวสั่น
ด้านข้างมีร่างแยกร่างหนึ่งปรากฏขึ้นในทันที ถึงอย่างไรตอนนี้เขาก็มีร่างแยกอยู่ถึงเก้าร่างที่ทางอากาศอันสับสนอลหม่านนี้ ระดับความแข็งแกร่งของร่างแยกอาภรณ์ดำที่ปรากฏขึ้นนี้ยกระดับขึ้นอย่างฉับพลัน แม้กระทั่งวิญญาณของร่างแยกของเขาที่อยู่ข้างนอกในตอนนี้ต่างก็กลายเป็นอ่อนแอลงเล็กน้อยแล้ว ส่วนร่างแยกอาภรณ์ดำนี้ไปถึงสถานะสุดยอดที่สุดแล้ว
“บุปผาโลกาทุกดอกตั้งแต่ผลิบานจนเหี่ยวเฉา เพียงแค่หนึ่งแสนปีเท่านั้นเองหรือ” จากนั้นร่างแยกอาภรณ์ดำก็โน้มตัวเข้าไปยังดอกตูมสีชมพูดอกหนึ่งที่อยู่ชั้นล่างสุด
ตามการเคลื่อนเข้าไปใกล้ของร่างแยกอาภรณ์ดำ
ดอกตูมสีชมพูก็ขยายใหญ่ขึ้นอย่างฉับพลันในทัศนวิสัย ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ อย่างไร้ซึ่งขอบเขต
แล้วร่างกายก็เข้าไปในโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งหนึ่ง
ภาคที่ 34 เทพจักรวาล...
ตอนที่ 37 วังเทพจิตโลกา
ฟ้าดินเต็มไปด้วยความอลหม่าน
ยามที่ตงป๋อเสวี่ยอิงร่อนลงบนพื้นดิน สรรพสิ่งยังมิได้ถือกำเนิดขึ้น มีเพียงพลังอันพลุ่งพล่านปั่นป่วนกระจายตัวอยู่เท่านั้น สายฟ้าแลบแปลบปลาบ ลมพายุคลั่งพัดกระหน่ำ คลื่นน้ำระฟ้า ภูเขาไฟระเบิด…ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์ดำตลอดร่างก็นั่งขัดสมาธิอยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่ง ความคิดอันยิ่งใหญ่ของเทพจักรวาลปกคลุมไปทั่วทั้งโลก รับสัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงอันรุนแรงอยู่ตลอดเวลาของโลกทั้งใบ
พันปีให้หลัง ฟ้าดินกระจ่าง โลกนิ่งสงบ
มีต้นไม้ใบหญ้าและสัตว์แมลงต่างๆ ถือกำเนิดขึ้น มีสัตว์นานาชนิดปรากฏอยู่ อีกทั้งยังมีมนุษย์ที่มีขนหนาแน่นปกคลุมทั่วร่างปรากฏขึ้นด้วย ในเวลานี้พวกเขาก็ยังป่าเถื่อนเป็นอย่างยิ่ง
“โฮก”
“โฮก”
มีนักล่าที่โหดเหี้ยมกลุ่มหนึ่งพบตัวคนชุดดำที่นั่งอยู่บนยอดเขาเข้า บริเวณรอบตัวคนชุดดำมีภาพประหลาดต่างๆ นานาปรากฏขึ้น ด้านหลังของเขาคล้ายกับมีโลกขนาดใหญ่มหึมาเหลือประมาณอยู่
บริเวณรอบๆ ยังว่างเปล่า หรือพังทลาย หรือฉีกทึ้ง หรือไม่ก็ตัดขาด…แต่ทั้งหมดนี้ก็มีขอบเขตอยู่ภายในบริเวณร้อยเมตรรอบๆ เท่านั้น บรรดาคนป่าเถื่อนเหล่านี้พูดด้วยภาษาง่ายๆ พร้อมกันนั้นก็เคลื่อนเข้าใกล้อย่างระมัดระวังสำหรับสิ่งมีชีวิตผิวเนียนเกลี้ยง ไม่มีขนดกหนาเหมือนกับพวกเขานี้ พวกเขารู้สึกอัศจรรย์ใจยิ่งนัก
แต่ในขณะที่เข้าใกล้ถึงรัศมีร้อยเมตรนั้นเอง กลับไม่สามารถเข้าใกล้ได้อีกแล้ว เพราะมีสิ่งกีดขวางอันไร้รูปร่างสกัดพวกเขาเอาไว้
บรรดาคนป่าเถื่อนกลุ่มนี้ประสานสายตากันไปมาพลางส่งเสียงคำรามเสียงต่ำ เพียงไม่นานทุกคนก็คุกเข่าลงแล้วโขกศีรษะ
จากนั้น…
ชนเผ่าบริเวณรอบๆ มีเสาพิธีอยู่ บนเสาพิธีก็คือภาพของชายหนุ่มชุดดำคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงรับสัมผัสการวิวัฒน์ของห้วงอากาศอยู่ตลอดเวลาที่โลกแห่งนี้ ยอดเขาที่เขาอยู่ก็มีค่ายวงกตปกคลุมอยู่ ทุกๆ หนึ่งร้อยปีจึงจะมีโอกาสสามารถเข้าใกล้เขาได้ วิสัยทัศน์บางอย่างของการบำเพ็ญของเขา ถ้าหากหยั่งรู้ได้สูงส่งพอก็ควรจะสามารถตระหนักรู้ความเร้นลับบางอย่างมาได้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็นึกอยากจะอาศัยโอกาสดู โลกนี้มีเพียงสิ่งมีชีวิตธรรมดาสามัญเท่านั้น ไม่มีเหนือธรรมดาถือกำเนิดขึ้น เหนือธรรมดาไม่สามารถถือกำเนิดขึ้นได้จริงๆ หรือไม่
มีชายหนุ่มบังเอิญผ่านค่ายวงกตมาได้ มองเห็นตงป๋อเสวี่ยอิง ตระหนักรู้เคล็ดกระบี่อันล้ำเลิศ สามารถเอาชนะทหารหมื่นคนได้ด้วยกระบี่เดียว
แล้วก็มีชายชราผ่านค่ายวงกตมา ได้เห็นตงป๋อเสวี่ยอิงหยั่งรู้เคล็ดวิชา มีชีวิตอยู่มาร้อยกว่าปี แต่ก็ยังคงมิอาจนับได้ว่าเป็นเหนือธรรมดา
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจได้อย่างรวดเร็วยิ่ง
‘บุปผาโลกา’ นี้ ตั้งแต่ผลิบานจนเหี่ยวเฉาก็เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเหลือเกิน มันเกิดความเปลี่ยนแปลง ห้วงอากาศเกิดความเปลี่ยนแปลง กฎเกณฑ์ภายในก็เกิดความเปลี่ยนแปลงเช่นกัน ต่อให้หยั่งรู้ความเร้นลับของกฎเกณฑ์ เพิ่งหยั่งรู้ไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่กฎเกณฑ์ฟ้าดินก็เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่หยั่งรู้ในอดีตต่างก็ ‘ล้าสมัย’ ไปเสียแล้ว ไม่มีทางระดมกำลังของโลกนี้ได้อีกต่อไปแล้ว ด้วยความเร็วในการเปลี่ยนแปลงของโลก ต่อให้พรสวรรค์ร้ายกาจกว่านี้ก็มิอาจสำเร็จเป็นเหนือธรรมดาได้ หรือแม้กระทั่งสำเร็จจริงๆ พอกฎเกณฑ์เปลี่ยนแปลง พลังยุทธ์ก็จะลดทอนลงจนเปลี่ยนกลายเป็นมนุษย์ธรรมดาอีกครั้ง
เมื่อสำเร็จเป็นเทพจักรวาลแล้ว กฎเกณฑ์โดยรอบก็หลีกเลี่ยงไปจนหมด จึงจะมิได้รับผลกระทบเลยแม้แต่น้อย
“น่าอัศจรรย์นัก กฎเกณฑ์ก็สามารถเปลี่ยนแปลงอย่างไม่หยุดหย่อนได้ด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงอุทาน “ยังมีการวิวัฒน์ของวิถีอากาศอีกด้วย…”
วิถีอากาศต่างๆ นานา ต่างก็กำลังลดลง
ถ้าหากบอกว่าบุคคลผู้ไร้เทียมทานคนหนึ่งสำแดงเคล็ดวิชาให้ชนรุ่นหลังชมดู ก็คงสำแดงเพียงแค่แปดครั้งสิบครั้งก็สุดยอดแล้ว ทว่าบุปผาโลกาดอกนี้กลับเทียบเท่ากับการสำแดงเคล็ดวิชาวิถีอากาศทั้งชุดอย่างเนิ่นช้าที่สุด อีกทั้งยังดำเนินไปตลอดหนึ่งแสนปีเต็ม! ตงป๋อเสวี่ยอิงคาดว่าวิถีอากาศไปถึงเทพจักรวาลขั้นสุดยอด การสำแดงเคล็ดวิชาก็คงมิได้เต็มสมบูรณ์เช่นนี้กระมัง
“บุปผาโลกาดอกหนึ่งก็รู้สึกได้ถึงวิถีอากาศทั้งหมด! บุปผาโลกาเก้าดอกเป็นตัวแทนของโอกาสเก้าครั้ง ถ้าหากบุปผาโลกาดอกอื่นๆ ไม่เหมือนกัน หรือว่าอาจยังสามารถวิวัฒน์เอาดอกใหม่ออกมาได้อีกอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงคาดหวัง
มีความรู้สึกเปิดวิสัยทัศน์กว้างอยู่ตลอดเวลา
ศิษย์ถ่ายทอดเองของบุคคลผู้ไร้เทียมทานต่างก็มิได้มีสถานะเช่นนี้เลยกระมัง น่าเสียดาย โอกาสเก้าครั้งรวมทั้งสิ้น ‘เก้าแสนปี’ หากยาวขึ้นอีกสักหน่อยก็ยิ่งดี
******
ดินแดนจิตโลกา
ตงป๋อเสวี่ยอิงมาถึงนครหลวงรัฐเมฆทักษิณา
“ท่านอาจารย์ วัสดุที่ข้าต้องใช้ในการบำเพ็ญร่างเมฆทักษิณาทิพย์ไปถึงชั้นที่สิบสองอันสมบูรณ์ ต้องการสองชิ้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงมาพบประมุขรัฐเมฆทักษิณาผู้เป็นอาจารย์
ประมุขรัฐเมฆทักษิณาตกตะลึงอยู่บ้าง “สองชิ้นหรือ”
ก่อนหน้านี้เขาได้หาให้ตงป๋อเสวี่ยอิงไปชิ้นหนึ่งแล้ว
เพราะเขาเคยพูดเอาไว้แล้วว่าหากศิษย์ระดับขั้นถึงแล้ว เขาก็จะมอบวัสดุที่ใช้ในการบำเพ็ญร่างเมฆทักษิณาทิพย์ให้เปล่าๆ แน่นอนว่ามอบให้เพียงแค่ชิ้นเดียวเท่านั้น! มิฉะนั้นร่างแยกมากมายเช่นนั้นตายไปร่างแยกหนึ่ง ร่างแยกใหม่ก็จะบำเพ็ญต่อไปอย่างนั้นหรือ ต่อให้เขามั่งคั่งร่ำรวยกว่านี้ก็ไม่มีทางจัดหาวัสดุพิเศษล้ำค่ามาให้ได้มากมายเช่นนั้นอยู่แล้ว
“นี่คือกระดิ่งจิตมาร มีอยู่สองชิ้นพอดี” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มพลางยื่นให้ท่านอาจารย์ประมุขรัฐเมฆทักษิณา
ประมุขรัฐเมฆทักษิณาลังเลเล็กน้อยอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็รับมาด้วยรอยยิ้ม
เดิมทีเขาก็มิได้ใส่ใจเลย
แต่ก็ฝืนมอบผลประโยชน์ให้กับลูกศิษย์มาโดยตลอด ในใจศิษย์ก็คงจะมิได้สบายใจสักเท่าใดนัก
“วัสดุมากมายที่สามารถบำเพ็ญไปถึงระดับสมบูรณ์ได้ ที่ข้าสะสมทั้งหมดก็มิได้มีอยู่มากมายสักเท่าใดนักหรอกนะ”
ประมุขรัฐเมฆทักษิณาพูดยิ้มๆ “ประเดี๋ยวเดียวเจ้าก็ต้องการถึงสองชิ้นเชียวหรือ รวมกับครั้งก่อนก็เป็นสามชิ้นเต็มๆ แล้ว ต้องการอะไรมากมายเช่นนั้นเล่า การต่อสู้ที่ข้างนอก ร่างแยกต่อสู้ร่างหลักแค่ร่างเดียวก็เพียงพอแล้ว เจ้ายังมีลูกแก้วห้าภาพและหอกเทพเมฆาแดงอยู่ในมือ ไม่ว่าจะบำเพ็ญร่างเมฆทักษิณาทิพย์หรือไม่ก็มิได้มีชิ้นช่วยเรื่องพลังยุทธ์มากมายอะไรนักหรอก”
“ข้ามีแผน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
“ดูท่าทาง เข้ามาที่วังเทพจิตโลกาในคราวนี้ เจ้าเด็กอย่างเจ้าจะต้องวางเดิมพันเอาไว้อย่างหนักเลยทีเดียวสินะ” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาโบกมือคราหนึ่ง วงแหวนสีทองวงหนึ่งก็ลอยไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง
“ภายในกำไลเก็บวัตถุนี้ก็คือวัสดุสองชิ้น”
“อืม”
ตงป๋อเสวี่ยอิงรับมา
ระดับราคาของวัสดุสองชิ้นนั้นเทียบเคียงได้กับกระดิ่งจิตมารอย่างแท้จริง แพงลิบลิ่วอย่างที่สุด
อันที่จริงตอนนี้ ‘กระดิ่งจิตมาร’ ก็มิได้มีประโยชน์อันใดกับเขาเลยแม้แต่นิดเดียว ตั้งแต่สำเร็จเป็นเทพจักรวาลจนกระทั่งบัดนี้เป็นเวลาหมื่นล้านปี ความสำเร็จทางด้าน ‘เขตลวงโลกเทียม’ ยกระดับขึ้น
ถึงแม้ว่าจะห่างชั้นกับวิถีอากาศ แต่ดีร้ายอย่างไรก็ทำให้สามวิถีในวิถีโลกเทียมห้าสายได้แก่ ‘โลกา’ ‘ภาพลวง’ และ ‘ปรารถนา’ นี้ ไปถึงระดับเทพจักรวาลแล้ว! ส่วนวิถีอื่นๆ อีกสองวิถีต่างก็ยังค้างอยู่ที่ขั้นอลวนเช่นเดิม
สำหรับการผสานรวมกันน่ะหรือ ก็ยังห่างไกลอีกมากนัก
ต้องรู้ไว้ว่าวิถีอากาศในตอนแรกเพิ่งบรรลุได้ไม่นานสักเท่าใด ทั้งเก้าสายก็ไปถึงระดับเทพจักรวาลทั้งหมด ตอนนี้ภาพฟ้าและภาพดินก็ยังผสานรวมกันได้สำเร็จ ไปถึงเทพจักรวาลชั้นที่สอง ความก้าวหน้ารวดเร็วกว่าวิถีโลกเทียมอยู่มากนัก
ช่วยไม่ได้
วิถีอากาศมีพื้นฐานแน่นหนากว่า!
ในอดีตเขตลวงโลกเทียมล้วนต้องไปหยั่งรู้เอาเอง ตอนนี้ก็ได้รับตำราโลกจิตอันล้ำค่ามาศาสตร์หนึ่ง ก็เป็นเพียงแค่ตำราของเทพจักรวาลชั้นที่สองเท่านั้น การชี้แนะเกี่ยวกับเขตลวงโลกเทียมย่อมไม่เพียงพออยู่แล้ว เช่นปุจฉวิถีคละถิ่น ลำพังแค่เคล็ดวิชาฝึกกายก็จำเป็นต้องใช้แปดสายผสานรวมกัน สำหรับการบรรยายแต่ละสาย การชี้แนะของการผสานรวมกันต่างก็ละเอียดลออเป็นอย่างยิ่ง ยังมีท่านอาจารย์ประมุขรัฐเมฆทักษิณาที่ก็เป็นยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่แห่งวิถีอากาศ ตำราต่างๆ นานา อีกทั้งในตอนเริ่มต้นเขาก็รวมเก้าสายเข้าด้วยกัน คิดค้นเคล็ดไร้ทลายเก้ากัณฑ์ออกมา ไม่ว่าพื้นฐานของตนเอง หรือว่าเงื่อนไขภายนอกต่างก็ดีเหลือเกิน
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว… การบำเพ็ญเขตลวงโลกเทียมก็ย่อมกินแรงกว่ามาก
‘กระดิ่งจิตมาร’ เป็นเพียงแค่สมบัติล้ำค่าเขตลวงโลกเทียมระดับเทพจักรวาลชั้นที่สิบ หนึ่งคือเสียงของภาพลวง สองคือโลกา ทั้งสองสายนี้ของตงป๋อเสวี่ยอิงต่างก็ไปถึงระดับเทพจักรวาลแล้ว ไม่จำเป็นต้องสำแดงเหมือนกระดิ่งจิตมาร! ถึงแม้ว่าเขาจะสามารถสำแดงได้สามสายก็ตาม
“มีวัสดุสองชิ้นนี้ พลังยุทธ์ของข้าก็สามารถเพิ่มพูนขึ้นได้ไม่น้อยเลย คราวนี้วังเทพจิตโลกาจะต้องคว้าโอกาสเอาไว้ให้ได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ
เขาเข้าใจว่าก่อนที่อากาศอันสับสนอลหม่านบ้านเกิดจะแหลกสลาย เกรงว่าตนคงจะไม่มีโอกาสเข้าไปอีกเป็นครั้งที่สองแล้ว
……
ในที่สุด
หนึ่งแสนปีหลังจากที่วังเทพจิตโลกาแผ่ระลอกคลื่น
“มาที่พระราชวังคิมหันตวายุให้หมด” เสียงของจักรพรรดิเซี่ยดังขึ้นที่ข้างหูตงป๋อเสวี่ยอิง
ภายในห้องเงียบ
ตงป๋อเสวี่ยอิงเก้าคนนั่งขัดสมาธิอยู่ที่นี่ ถึงแม้ว่าตอนนี้จะมีร่างแยกเกินหมื่นร่าง แต่ที่สามารถคงความเป็นสุดยอดเอาไว้ได้มากที่สุดก็มีเพียงแค่เก้าร่างเท่านั้น
“ควรออกเดินทางได้แล้วสินะ”
ทั้งเก้าร่างต่างก็พากันลุกขึ้นจนหมด
พรึ่บ
ร่างอื่นๆ อีกแปดร่างต่างก็แปลงกายเป็นลำแสงแทรกเข้าสู่ภายในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงก็โบกมือคราหนึ่ง เปิดทางเชื่อมทลายโลกาเส้นหนึ่งขึ้นมาภายในห้องเงียบ มุ่งหน้าตรงไปยังด้านนอกนครหลวงคิมหันตวายุ
……
มาถึงด้านนอกนครหลวงแล้วเข้าไปตามประตูเมือง เดินทางเหยียบย่างห้วงอากาศ ก็มาถึงกลางพระราชวังหลวงอย่างรวดเร็ว
ดูเหมือนว่าเขาจะมาถึงพร้อมๆ กันกับจอมเคารพมารอัคคี พวกเขาสองคนก็มาถึงเป็นลำดับสุดท้าย
“จักรพรรดิเซี่ย จักรพรรดิชาง” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเห็นคนทั้งสองแล้ว
จักรพรรดิเซี่ยยังคงสวมอาภรณ์สีดำหรูหราตลอดร่างเช่นเคย กลิ่นอายอันไร้รูปร่างราวกับมายา แต่กลับยิ่งทำให้สูงส่งเหนือผู้ใด คล้ายกับดูแคลนผู้คนนับหมื่น ส่วนอีกคนหนึ่งซึ่งก็คือ ‘จักรพรรดิชาง’ นั้น บริเวณกว้างขวางรอบๆ มีความน่าหวาดหวั่นแผ่ปกคลุม คล้ายกับว่าทุกการเคลื่อนไหวต่างก็เพียงพอที่จะผลาญสังหารเทพจักรวาลจำนวนหนึ่งได้เลยทีเดียว ทว่าตงป๋อเสวี่ยอิงกลับเข้าใจว่าพวกเขาต่างก็มีสุดยอดสมบัติลับล้ำค่าอยู่ จึงมีพลังคุกคามอันน่าหวาดหวั่นเช่นนี้
“มาถึงกันหมดแล้วสินะ” จักรพรรดิเซี่ยกวาดสายตาพลางพยักหน้าน้อยๆ “จำเอาไว้ให้ดี พวกเจ้ามิอาจพาสิ่งมีชีวิตอื่นใดไปด้วยได้! รวมถึงสัตว์เลี้ยงต่างๆ ก็พาไปด้วยมิได้ทั้งสิ้น ขอเพียงแค่เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสติสัมปชัญญะ เข้าไปคนหนึ่งก็หมายถึงหนึ่งตำแหน่ง”
พวกตงป๋อเสวี่ยอิงแต่ละคนต่างก็ล่วงรู้ความรู้พื้นฐานเหล่านี้ทั้งสิ้น
แน่นอนว่าต่อให้มีร่างแยกและร่างแปรมากกว่านี้ต่างก็เป็นเพราะวิญญาณเดียวกัน ก็ยังคงเป็นชีวิตเดียวเช่นเดิม
“ไป”
จักรพรรดิเซี่ยและจักรพรรดิชางนำทางพวกเขาไปในทันที
พรึ่บ
ชั่วพริบตาก็มาถึงท้องฟ้าเบื้องบนของทะเลกาฬอเวจีอันกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต ที่นี่มีคลื่นอันปั่นป่วนพรั่งพรูซัดสาด น้ำทะเลก็ยิ่งเต็มไปด้วยความมืดหม่น
จักรพรรดิเซี่ยนำคนกลุ่มหนึ่งไปแล้วพุ่งเข้าไปยังเบื้องล่างในทันใด คล้ายกับว่าในชั่วขณะเดียวก็ผ่านชั้นน้ำทะเลทั้งหมดไปเสียแล้ว พรึ่บๆๆๆ… ส่วนลึกของน้ำทะเลมีสิ่งกีดขวางอันไร้รูปร่างชั้นแล้วชั้นเล่า
นั่นคือสิ่งกีดขวางด้านนอกของวังเทพจิตโลกา อีกทั้งยังทะลุเข้าไปในชั้นหินที่พื้นล่างของมหาสมุทรอีกด้วย ในเวลาชั่วพริบตา พวกตงป๋อเสวี่ยอิงก็ได้เห็นว่าที่ส่วนลึกของพื้นล่าง มีอาคารของวังต่อเนื่องกันอย่างใหญ่โตอลังการแห่งหนึ่งอยู่ แผ่รัศมีจับตาออกมา เปล่งประกายไปทั่วทุกทิศทาง อาคารของวังจำนวนนับไม่ถ้วนก็มีกลิ่นอายสายแล้วสายเล่าแผ่ปกคลุม อาจจะเป็นกลิ่นอายของสุดยอดสมบัติลับล้ำค่า หรือแม้กระทั่งกลิ่นอายอันน่าหวาดหวั่นของสุดยอดสมบัติลับล้ำค่า กลิ่นอายนานาชนิดแผ่ปกคลุม ทำให้เทพจักรวาลทุกคนต่างก็อดที่จะใจสั่นหวั่นไหวมิได้
ภาคที่ 34 เทพจักรวาล...
ตอนที่ 38 ถูกทอดทิ้ง
รัฐโบราณสหโลกา รัฐโบราณคิมหันตวายุ รัฐโบราณหิมะน้ำแข็ง รัฐโบราณบรรพชน รัฐโบราณเสียดฟ้า และรัฐโบราณจันทร์บุปผา
ยอดฝีมือของหกรัฐโบราณในครั้งนี้ทยอยมาถึงอย่างต่อเนื่อง
“คราวนี้ฝูอี่และเจียลัวซาก็เข้าไปด้วยหรือ” บุรุษร่างใหญ่ที่มีเสื้อคลุมกันลมสีดำพูดยิ้มๆ เขามีผิวหนังสีดำ บนผิวหนังยังมีลายดอกสีแดงจำนวนมาก นัยน์ตาทั้งคู่ก็แดงก่ำราวกับหยกโลหิต เขาก็คือ ‘บรรพชนนิจรัตติกาล’ แห่งรัฐโบราณบรรพชน
“หาได้ยากนัก หาได้ยากนัก ฝูอี่มิได้เข้าไปนานพอดูแล้วกระมัง”
“เจียลัวซา คราวก่อนๆ เจ้าก็เพิ่งจะเข้าไปมิใช่หรือ ยังจะเข้าไปอีกหรือ ให้โอกาสบรรดารุ่นเล็กสักหน่อยเถิด เจ้าอย่าได้ยึดครองเอาไว้คนเดียวเลย”
ในที่นั้นมีบุคคลผู้ไร้เทียมทานปรากฏตัวขึ้นทั้งสิ้นแปดคน ซึ่งก็คือจักรพรรดิเซี่ย จักรพรรดิชาง ผู้พเนจร บรรพชนนิจรัตติกาล ประมุขรัฐจันทร์โรจน์ และคนอีกกลุ่มหนึ่ง พวกเขาแต่ละคนต่างก็มีเคล็ดวิชาร่างแยกกันทั้งสิ้น แม้กระทั่งอย่างเช่น ‘ประมุขรัฐจันทร์โรจน์’ ก็บำเพ็ญวิถีอากาศไปถึงระดับขั้นอลวน เคล็ดร่างแยกไปถึงระดับสูงสุดจนบำเพ็ญร่างแยกร่างที่สองออกมาได้
เคล็ดร่างแยกของประมุขรัฐเมฆทักษิณา ที่ดินแดนจิตโลกาก็สามารถนับได้เพียงว่าธรรมดาทั่วไปเท่านั้น ยังห่างชั้นกับทางสายของประมุขหอหมื่นโลกาและจ้าวภูเขาฉื้อเหมยนั้นอยู่มากนัก
“ติดอยู่ที่จุดคอขวดมาโดยตลอด คราวนี้ก็อยากจะเข้าไปเสาะหาโอกาสสักหน่อย” มหาเคารพฝูอี่พูดพลางยิ้มน้อยๆ
“เป็นท่านพี่จันทร์บุปผาที่ให้ข้าเข้าไป ข้าก็ต้องฟังท่านพี่จันทร์บุปผาสิ” เจียลัวซาก็คือหญิงสาวผู้งดงามที่สวมอาภรณ์ผ้าฝ้ายสีขาวโปร่งแสงคนหนึ่ง แต่ในความเป็นจริงแล้วนางคือวีรสตรีผู้ล้ำเลิศที่มีชื่อเสียงกระฉ่อนไปทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา ความอำมหิตน่าหวาดหวั่นของนางยังเหนือกว่าพวกเจ้าสำนักเหยียนโม๋และบรรพชนเหินประจิมเสียอีก แต่นางสวามิภักดิ์อยู่ใต้บังคับบัญชาของประมุขรัฐจันทร์โรจน์
ประมุขรัฐจันทร์โรจน์ปฏิบัติต่อนางดุจพี่ชายน้องสาว บวกกับการที่เจียลัวซา มารในหมู่มารผู้นี้ มีพลังยุทธ์แข็งแกร่งเป็นที่สุด บุคคลผู้ไร้เทียมทานก็ยังมิอาจสังหารได้ ดังนั้นบุคคลผู้ไร้เทียมทานมากมายจึงได้ไว้หน้านางกันเป็นอย่างมาก
……
บุคคลผู้ไร้เทียมทานแปดคน มหาเคารพฝูอี่ และเจียลัวซา สิบคนนี้พูดคุยแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน ถึงแม้ว่ามหาเคารพฝูอี่และเจียลัวซาต่างก็ค่อนข้างถ่อมตัว แต่ก็เห็นได้ชัดว่าได้รับความเคารพจากเหล่าบุคคลผู้ไร้เทียมทานเป็นอย่างมาก
สำหรับคนอื่นๆ น่ะหรือ
เหล่าบุคคลผู้ไร้เทียมทานก็มิใคร่จะใส่ใจกันสักเท่าใดนัก
สามารถสังหารได้อย่างง่ายดายแล้วจะใส่ใจให้มากไปทำไมกันเล่า
ในบรรดายี่สิบเก้าคนที่เหลือก็มีระดับจอมเคารพอยู่เกือบครึ่ง เช่นพลังยุทธ์ของตงป๋อเสวี่ยอิง ที่อ่อนแอกว่าเขาก็มีน้อยจนสามารถนับนิ้วได้! ต่างก็เป็นผู้มีพรสวรรค์ล้ำเลิศที่แต่ละขุมอำนาจใหญ่บ่มเพาะกันอย่างสุดกำลัง ต่อให้อยู่ในวังเทพจิตโลกาก็มียอดฝีมือของตระกูลคอยช่วยเหลือ แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงที่มาจากรัฐเมฆทักษิณากลับไม่มีผู้ใดบังลมกันฝนให้กับเขาในสถานที่อย่างวังเทพจิตโลกานี้เลย
“พรึ่บ”
บรรพชนราตรีนิรันดร์กวาดตามองแวบหนึ่ง
ระลอกคลื่นวิญญาณอันไร้รูปร่างกวาดผ่านเทพจักรวาลทุกคนในที่นั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกไม่สบายเป็นอย่างยิ่ง อดที่จะมองบรรพชนราตรีนิรันดร์ปราดหนึ่งมิได้ บรรพชนราตรีนิรันดร์และบรรพชนนิจรัตติกาลสวมเสื้อคลุมกันลมสีดำเช่นเดียวกัน เพียงแต่ด้านบนของเสื้อคลุมกันลมของเขามีลวดลายดอกไม้สีทองอยู่ เพิ่มความระยับจับตาให้มากขึ้นพอสมควร บรรพชนราตรีนิรันดร์มีดวงหน้าขาวผ่อง อีกทั้งยังหล่อเหลางดงามมากกว่า นัยน์ตาทั้งคู่คล้ายกับจะมองทะลุวิญญาณของทุกผู้คนได้
“ข้าตรวจสอบพบว่าไม่มีใครลอบพาสิ่งมีชีวิตอื่นเข้ามาเลย” ประมุขรัฐเสียดฟ้าเอ่ยกลั้วหัวเราะ
“เข้าไปเถิด” บรรพชนราตรีนิรันดร์ออกคำสั่งเสียงหนึ่ง เขากับบรรพชนนิจรัตติกาลนำทางเทพจักรวาลสามคนเข้าไปอย่างรวดเร็ว
“ไป”
“ไป”
หกรัฐโบราณแบ่งออกเป็นหกกลุ่มแล้วเข้าไปอย่างรวดเร็ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไปกับพวกจักรพรรดิเซี่ยและจักรพรรดิชาง เป็นพลพรรคใหญ่ถึงสิบสองคน มีเพียงพลพรรคของรัฐโบราณสหโลกาที่สามารถเปรียบเทียบกันได้ เช่นพลพรรคของรัฐโบราณจันทร์บุปผาและรัฐโบราณเสียดฟ้านั้นก็มีอยู่เพียงแค่สองคนอย่างน่าสงสาร
******
ประตูหลักของวังเทพจิตโลกาสูงใหญ่ตระหง่าน ประตูใหญ่เปิดกว้างอยู่ในขณะนี้
ตงป๋อเสวี่ยอิงติดตามพลพรรคผ่านประตูใหญ่ไป ในขณะเดียวกันกับที่ผ่านประตู มิติบริเวณรอบๆ ก็เปลี่ยนเป็นมายา เพียงพริบตาก็มาปรากฏตัวอยู่บนถนนที่ปูลาดด้วยแผ่นหินซึ่งเต็มไปด้วยหมอกขาวปกคลุมเส้นหนึ่ง ด้านหน้าของถนนที่ปูลาดด้วยแผ่นหินก็คือปากทางแยก มีทางแยกทั้งสิ้นสามสาย
“พวกเจ้าก็ระวังตัวกันหน่อยล่ะ”
หลังจากที่จักรพรรดิเซี่ยออกคำสั่งประโยคหนึ่งแล้ว สวบ สวบ
เขากับจักรพรรดิชางก็เหินทะยานมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่แตกต่างกัน เริ่มต้นเส้นทางการสำรวจของพวกเขา
“ขอให้ทุกท่านโชคดี” มหาเคารพฝูอี่แย้มยิ้มน้อยๆ แล้วก็เลือกเหินทะยานตรงไปยังทิศทางหนึ่ง
ชั่วพริบตาเดียว สามคนที่แกร่งกล้าที่สุดในพลพรรคต่างก็ไปกันหมดแล้ว
เหลือมหาเคารพสี่คน เทพจักรวาลชั้นที่สองสองคน และระดับเทพจักรวาลสามคนเอาไว้
“อ้างอิงจากกฎที่สามตระกูลใหญ่บัญญัติเอาไว้ ต่อไปพวกเราก็จำเป็นต้องแยกกัน จะได้สิ่งใดมาจากวังเทพจิตโลกา ก็ขึ้นกับโชคชะตาของแต่ละคนแล้วล่ะนะ” มหาเคารพผู่ซู่พูดพลางยิ้มน้อยๆ คนอื่นๆ ก็มองตงป๋อเสวี่ยอิง จอมเคารพมารอัคคี และประมุขเกาะฟู่ชุน แววตาบ้างก็สงสาร บ้างก็คาดหวัง บ้างก็นิ่งสงบ
บุรุษผมยุ่งเหยิงที่สะพายกระบี่เทพก็มองดูตงป๋อเสวี่ยอิงครั้งแล้วครั้งเล่า อยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็มิได้เอื้อนเอ่ยสิ่งใด
“ไป”
มหาเคารพผู่ซู่เอ่ยปาก ทันใดนั้นร่างกายของเขาก็เปล่งรัศมีอันน่าประหลาด รัศมีนั้นห่อหุ้มเอาไว้ทั้งหมดหกคน ซึ่งได้แก่สมาชิกสามตระกูลใหญ่แห่งรัฐโบราณคิมหันตวายุ มหาเคารพทั้งหมดสามคน และระดับเทพจักรวาลสามคน
พรึ่บ
กาลเวลาผันแปร พวกเขาก็หายลับไปอย่างเงียบงันไร้สุ้มเสียง
บนถนนที่ปูลาดด้วยแผ่นหินซึ่งเต็มไปด้วยหมอกขาวปกคลุมเหลือเพียงแค่ตงป๋อเสวี่ยอิง จอมเคารพมารอัคคี และประมุขเกาะฟู่ชุน
“หึ สามตระกูลใหญ่ช่างใจแคบเกินไปแล้ว! มิได้เต็มใจจะพาพวกเราเดินทางไปในวังเทพจิตโลกาเลย” จอมเคารพมารอัคคีเอ่ยด้วยเสียงเฮอะเยียบเย็น
“จอมเคารพมารอัคคี พวกเราไปด้วยกันได้หรือไม่” ประมุขเกาะฟู่ชุนอดที่จะเอ่ยโน้มน้าวมิได้ วังเทพจิตโลกามิใช่สถานที่ที่จะบุกเข้าไปได้อย่างง่ายดายเช่นนั้น ยิ่งผู้ที่พลังยุทธ์แกร่งกล้าก็ยิ่งมีความหวังมากขึ้น
จอมเคารพมารอัคคีเหลือบมองเขาปราดหนึ่งแล้วส่งเสียงเฮอะ “พาเจ้าไปอย่างนั้นหรือ กลัวว่าเจ้าจะมาทำให้ข้าเสียเรื่องน่ะสิ”
พูดจบแล้วจอมเคารพมารอัคคีก็เลือกทางเส้นหนึ่งแล้วหายลับไป
ประมุขเกาะฟู่ชุนสีหน้าเข้มขึ้นเล็กน้อย เขาเหลือบมองตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ข้างๆ ปราดหนึ่งแล้วก็คร้านจะใส่ใจ เขาก็เลือกทางเส้นหนึ่งแล้วหายลับไป
“วังเทพจิตโลกา”
ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่บนถนนที่ปูลาดด้วยแผ่นหิน เขาได้รับข้อมูลจากประมุขรัฐเมฆทักษิณาผู้เป็นอาจารย์มาบ้าง ก็นับได้ว่าเข้าใจเรื่องราวอยู่พอสมควร
วังเทพจิตโลกากว้างใหญ่ไพศาล ภายในผันผวนยากคาดเดา แต่การเข้าไปครั้งแล้วครั้งเล่า
โดยเฉพาะอย่างเช่นจักรพรรดิเซี่ยนั้นดูเหมือนว่าจะต้องเข้าไปทุกครั้ง! เชื่อว่าตลอดระยะเวลาอันยาวนานก็สามารถคลำกฎออกมาได้มากมาย แต่อย่างไรก็ตามประมุขรัฐเมฆทักษิณาก็ย่อมมิได้รับข่าวสารข้อมูลมากมายภายในวังเทพจิตโลกาอยู่แล้ว สำหรับจำนวนครั้งที่ประมุขรัฐเมฆทักษิณาเข้ามาด้วยตนเองนั้นก็น้อยเสียจนน่าสงสาร
แน่นอนว่าข้อมูลที่สามตระกูลใหญ่รู้นั้นจะต้องมากมายมหาศาล พวกจักรพรรดิเซี่ยก็มีคำสั่งออกมาก่อนแล้วว่าห้ามมิให้สามตระกูลใหญ่พาเค่อชิงเคลื่อนไหวไปพร้อมกัน
ให้เหล่าเค่อชิงเข้ามาก็นับว่าเป็นบุญคุณของสามตระกูลใหญ่แล้ว! จะพาพวกเขาไปยังสถานที่สำคัญเช่นวังเทพจิตโลกาได้อย่างไรกัน
“ก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตาแล้วล่ะ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ
ภายในวังเทพจิตโลกาเต็มไปด้วยสำนักต่างๆ มากมาย ยิ่งเป็นสถานที่ที่มีสิ่งล้ำค่าอยู่ก็ยิ่งทวีความอันตราย! บุกเข้าไปแล้วได้สมบัติมา! อีกทั้งยังสามารถบุกไปยังสถานที่อื่นๆ ต่อไปได้อีกด้วย
แต่เมื่อใดที่มิได้บุกเข้าไปก็ยังดี มิได้มีอันตรายถึงชีวิต แต่ก็จะถูกเคลื่อนย้ายออกไปในทันที! ส่งออกไปจากวังเทพจิตโลกา การผจญภัยในวังเทพจิตโลกาคราวนี้ก็นับได้ว่าสิ้นสุดแล้ว!
ดังนั้นก็พูดได้ว่าวังเทพจิตโลกาเอง…ก็ไม่มีทางให้ผู้บำเพ็ญเป็นอันตรายจนถึงขั้นตายตกไป
แต่ในทางกลับกันคือบรรดาเทพจักรวาลคนอื่นๆ อาจจะเข่นฆ่ากันเองเพราะสมบัติล้ำค่าก็เป็นได้!
หากตายไปที่วังเทพจิตโลกา ก็ไม่ต้องสงสัยเลยแม้แต่น้อยว่าตายด้วยฝีมือของเทพจักรวาลคนอื่นๆ
“เฮอะ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงมุ่งหน้าเข้าไปใกล้ มองดูทางแยกทั้งสามสายตรงหน้าแล้วก็เลือกเส้นทางทางด้านขวามุ่งหน้าต่อไปตามใจชอบ
……
“มิได้มีระดับจอมเคารพช่วยเหลือ ก็เข้ามาเผชิญอันตรายอย่างนั้นหรือ” จอมเคารพมารอัคคีเดินทางอย่างระมัดระวัง ภายในใจก็ตัดสินโทษประหารให้กับประมุขเกาะฟู่ชุนและจ้าวหิมะเหินแล้ว “คาดว่าพวกเขาสองคนคงจะถูกขับไล่ออกไปมือเปล่ากระมัง”
จอมเคารพมารอัคคีมีพลังยุทธ์กล้าแข็ง ก็ขึ้นชื่อด้านความอหังการในรัฐโบราณคิมหันตวายุ
แต่ในขณะนี้กลับระมัดระวังเป็นที่สุด
……
สมาชิกของสามตระกูลใหญ่ก็กำลังมุ่งหน้าเข้าไปอยู่เช่นเดียวกัน
มหาเคารพผู่ซู่ มหาเคารพลู่เทียน และจอมเคารพกระบี่ปีศาจ พวกเขาสามคนถ่ายเสียงสนทนาระหว่างกัน สำหรับระดับเทพจักรวาลคนอื่นๆ อีกสามคน สามารถมุ่งหน้าไปยังอาณาบริเวณต่างๆ ได้ภายใต้ความคุ้มครองของมหาเคารพสามคน
“น่าจะเป็นด้านซ้าย” พวกมหาเคารพผู่ซู่ทั้งหกคนติดอยู่ภายในเขาวงกตขนาดมหึมาแห่งหนึ่ง
“อืม ไปกัน”
พวกเขามีข้อมูลของอาณาบริเวณมากมายเกี่ยวกับวังเทพจิตโลกาที่สืบทอดมาจากจักรพรรดิเซี่ย จักรพรรดิชาง และบรรพชนฝาน นี่ทำให้พวกเขาเผชิญกับสถานการณ์ยากลำบากต่างๆ ได้อย่างสบายมากขึ้น อีกทั้งมหาเคารพสามคนร่วมกันช่วยเหลือ อย่างเช่น ‘มหาเคารพลู่เทียน’ ถึงแม้จะไม่กล้าพูดว่าบุคคลผู้ไร้เทียมทานก็ฆ่าไม่ตาย แต่พลังการต่อสู้กลับน่าหวาดหวั่นอย่างที่สุด ใกล้เคียงกับมหาเคารพฝูอี่เลยทีเดียว
ส่วนสิ่งที่มหาเคารพผู่ซู่บำเพ็ญก็คือ ‘วิถีกาลเวลา’ ฝีมือก็น่าอัศจรรย์ยากประมาณได้
จอมเคารพกระบี่ปีศาจก็เป็นมหาเคารพที่เยาว์วัยที่สุดในสกุลชาง มีพรสวรรค์ร้ายกาจ
พวกเขาสามคนร่วมมือกัน ทั้งยังมีข้อมูลข่าวสารจำนวนมากจากพวกจักรพรรดิเซี่ย แม้กระทั่งช่วงเวลาวิกฤติ พวกเขาก็สามารถขอความช่วยเหลือได้!
“ข้าไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าเหตุใดตอนนั้นอิงซานเสวี่ยอิงผู้นั้นจึงไม่คารวะบรรพชนฝานเป็นอาจารย์ แต่กลับไปคารวะประมุขรัฐเมฆทักษิณาผู้นั้นเป็นอาจารย์เสียได้ หึๆ ตอนนี้เขาจะต้องนึกเสียใจอย่างแน่นอน”
“ใช่แล้ว ต่อให้ฝืนเข้าไปยังวังเทพจิตโลกาได้ก็ต้องมืดแปดด้านอยู่ดี เกรงว่าคงจะค้างเติ่งอยู่ที่สถานที่อันตรายสักแห่งสองแห่ง ทนได้ไม่นานเท่าไหร่ก็ต้องถูกขับไล่ออกไปแล้วกระมัง”
ระดับเทพจักรวาลสามคนนั้นกลับไปด้วยกันอย่างสบายๆ
ภายใต้ความคุ้มครองก็ช่างผ่อนคลายเหลือเกิน
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มืดแปดด้านจริงๆ เช่นเดียวกับที่พวกเขาคาดการณ์เอาไว้ ท่ามกลางความระมัดระวังรอบด้าน แต่ก็ยังคงตกอยู่ในอันตรายอยู่ดี
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น