Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 34 ตอนที่ 19-22
ภาคที่ 34 เทพจักรวาล...
ตอนที่ 19 ไล่ตามผิดตัวแล้ว!
“เขาเป็นฝูงมารผลาญทำลายไปได้อย่างไรกัน มิใช่ว่าหลังจากที่โลกทิพย์โบราณดั้งเดิมแหลกสลายไปแล้ว ชายขอบอากาศอันสับสนอลหม่านจึงค่อยมีฝูงมารผลาญทำลายถือกำเนิดขึ้นมาหรืออย่างไร” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้อยู่ไกลออกไปที่กลิ่นอายเปลี่ยนเป็นอำมหิตหาใดเปรียบ ผิวกายยังมีเกล็ดงอกขึ้นมาชั้นหนึ่ง และผิวกายยังมีคลื่นความร้อนหมุนวน
โลกทิพย์โบราณดั้งเดิมแหลกสลายไป หลังจากนั้นจึงมีฝูงมารผลาญทำลาย
แต่ทว่าจอมเทพศักดิ์สิทธิ์…ก็มีชีวิตอยู่มาตั้งแต่ตอนแรกสุดของโลกทิพย์โบราณดั้งเดิมแล้ว ดูจากเวลา ก็ย่อมไม่สามารถเป็นฝูงมารผลาญทำลายได้อยู่แล้ว
นอกเสียจากว่า…
“เขามิใช่สิ่งมีชีวิตของอากาศอันสับสนอลหม่านในยุคนี้ เขาเป็นสิ่งมีชีวิตของยุคใดยุคหนึ่งก่อนหน้านี้ เป็นฝูงมารผลาญทำลายของยุคก่อนหน้า” ตงป๋อเสวี่ยอิงคาดการณ์ออกมาในทันที
การขยายตัวอย่างต่อเนื่องของอากาศอันสับสนอลหม่าน และการถือกำเนิดของฝูงมารผลาญทำลาย ต่างก็ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงสัมผัสได้ว่าทั้งกฎเกณฑ์สูงสุดกำลังผลักดันอากาศอันสับสนอลหม่านนี้เข้าสู่มหาวินาศ! หลังจากมหาวินาศแล้วจึงค่อยเหนี่ยวนำไปสู่ชีวิตใหม่! นั่นก็คืออีกยุคหนึ่งแล้ว
……
“อะไรกัน!”
“ฝูงมารผลาญทำลายหรือ”
“จอมเทพศักดิ์สิทธิ์เป็นฝูงมารผลาญทำลายอย่างนั้นหรือ”
บรรพชนห้วงอากาศ บรรพชนเทียนอวี๋ จอมกระบี่ ราชันย์มีด บรรพชนทิพย์ และบรรพชนโลกาที่สอดแนมดูเหตุการณ์นี้อยู่ห่างๆ ผ่านศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาต่างก็ตื่นตระหนก ถึงแม้ว่าบรรพชนโลกาจะเป็นลูกศิษย์ของเจ้าศิลา ถึงแม้ว่าเจ้าศิลาจะรู้แต่ก็มิได้พูดอะไรมาก เพราะว่าสำหรับเจ้าศิลาแล้วจะพูดหรือไม่ก็คงมิได้มีความหมายอะไรมากนัก!
ในโลกกำเนิดฝั่งนี้…
ก็มีเพียงแค่เจ้าศิลากับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์สองคนเท่านั้นที่สามารถต้านทานมหาวินาศ แล้วมีชีวิตอยู่รอดมายังยุคต่อมา และยุคต่อๆ มาได้
เช่นทั้งยุคของอากาศอันสับสนอลหม่าน ดูเหมือนว่าเจ้าศิลาก็อยู่ในห้วงนิทราโดยตลอด ตื่นมาเป็นครั้งคราวเพียงไม่กี่ครั้ง เพื่อรับศิษย์ไม่กี่คนเท่านั้นเอง อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปแล้วบรรดาศิษย์ของเขาต่างก็ยากที่จะบำเพ็ญไปถึงระดับเทพจักรวาลขั้นสุดยอด ไม่มีทางผ่านมหาวินาศไปได้เลย ดังนั้นเจ้าศิลาจึงได้เฉยเมยต่อทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอย่างยิ่ง เห็นการเกิดการตายจนชินชา ดังนั้นจึงมีน้อยครั้งนักที่เขาจะต่อสู้กับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์อย่างจริงจัง
ตามปกติแล้วจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่มีทางไปยั่วยุเจ้าศิลา
บุคคลระดับสุดยอดสองคนเดินบนเส้นทางสองเส้น ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีความจำเป็น ก็น้อยนักที่จะห้ำหั่นกันจริงๆ ปกติแล้วในยามวิกฤติจึงค่อย ‘กระทบกระทั่ง’ กัน อย่างเช่นการแตกสลายของโลกทิพย์โบราณดั้งเดิม ก็มี ‘เจ้าศิลา’ ลอบผสมอยู่ด้วย ถึงแม้ว่าพวกเขาสองคนจะเดินบนเส้นทางสองเส้น แต่ถ้าหากเห็นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ใกล้เข้าสู่ความสำเร็จ เจ้าศิลาก็จะไป ‘ทำลาย’ สักครั้ง ให้ร่นถอยไป!
ถึงอย่างไรเขาก็ไม่อยากเห็นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ประสบความสำเร็จต่อหน้าต่อตา
ถึงแม้ว่าจอมเทพศักดิ์สิทธิ์จะโมโห แต่ก็จนใจ เจ้าศิลามีเป้าหมายคือตนเอง ย่อมมิได้แยแสสนใจโลกภายนอกอยู่แล้ว ตั้งหน้าตั้งตาบำเพ็ญ จอมเทพศักดิ์สิทธิ์คิดจะทำลายเส้นทางของเจ้าศิลาก็ไม่มีหนทางจะทำลายได้! แต่เห็นได้ชัดว่าเส้นทางการบำเพ็ญตนเองนั้นก็เป็นเส้นทางที่ยากที่สุด
“เป็นฝูงมารผลาญทำลายได้อย่างไรกัน เขาเป็นบุคคลผู้ยิ่งใหญ่แกร่งกล้าที่ถือกำเนิดขึ้นในตอนแรกสุดของโลกทิพย์โบราณดั้งเดิมนี่นา”
“หรือว่า…”
“มิใช่ฝูงมารผลาญทำลายของยุคพวกเรา”
เหล่าเทพจักรวาลต่างก็มิได้โง่งม สามารถคาดการณ์ออกมาได้อย่างรวดเร็วแล้วอดที่จะประหลาดใจมิได้
เผชิญหน้ากับผู้เฒ่าที่มิได้อยู่มาเพียงแค่ยุคเดียว พวกเขาต่างก็รู้สึกได้ถึงความกดดัน
“เขามิได้เป็นของยุคนี้ คาดว่าอาจารย์ของข้าก็คงรู้ด้วย” บรรพชนโลกาพึมพำ เจ้าศิลาผู้เป็นอาจารย์เคยบอกเขาเอาไว้ก่อนแล้วว่าจะต้องก้าวออกจากขั้นนั้นไปถึงขั้นสุดยอดจึงจะสามารถเอาชีวิตรอดจากมหาวินาศของอากาศอันสับสนอลหม่านได้
*******
พรึ่บ! พรึ่บ!
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์และตงป๋อเสวี่ยอิงพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า คนหนึ่งอยู่หน้า อีกคนอยู่หลัง เหินตรงออกไปยังด้านนอกโลกทิพย์โบราณ เดิมทีจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็รวดเร็วเป็นที่สุดอยู่แล้ว หลังจากเผยร่างจริงแล้วความเร็วก็ยิ่งพุ่งทะยานขึ้นอีก
“ฟึ่บๆๆ” บนเกล็ดที่อยู่บนผิวกายของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์มีสายฟ้าสีเทาโคจรอยู่ กลิ่นอายสีดำเคลื่อนหมุนรอบร่างกาย มือของเขากุมหอกยาวโบราณกระดำกระด่างเอาไว้ บนหอกยาวรวบรวมเอาพลังคุ้มครองของ ‘เจดีย์ทิพย์โบราณ’ ที่อยู่ไกลออกไปเอาไว้อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังมีสายฟ้าสีเทาโคจรอยู่ด้านบนอีกด้วย
“มาแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้งคราหนึ่งพลางมองดูท้องฟ้าเบื้องบน “ยังไกลจากการเหาะออกจากโลกทิพย์โบราณมากพอดูทีเดียว”
โลกทิพย์โบราณกว้างใหญ่เหลือเกินอย่างแท้จริง ถึงแม้ว่าจะเหาะขึ้นสู่ด้านบนโดยตลอด อีกทั้งยังไม่สามารถเคลื่อนที่ในพริบตาได้ การจะเหาะออกไปได้นั้นก็จำเป็นต้องใช้เวลาชั่วจิบชาถ้วยหนึ่ง
“ตายเสีย”
เกล็ดบนผิวกายของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์มีลวดลายลับจำนวนนับไม่ถ้วนสว่างวาบขึ้นมา กลิ่นอายทำลายล้างพลันพุ่งสูงขึ้นในทันใด นัยน์ตาที่อ่อนโยนในอดีตของเขาในขณะนี้เย็นเยียบไปหมด กลิ่นอายของหอกยาวโบราณกระดำกระด่างก็เปลี่ยนเป็นน่าหวาดหวั่นเหนือธรรมดา ดูเหมือนทิ่มแทงลงมาเบาๆ
ฝูงมารผลาญทำลาย เกิดมาก็เพื่อทำลายล้าง!
และฝูงมารผลาญทำลายที่ไปถึงขั้นสุดยอด พรสวรรค์ก็ยิ่งวิวัฒน์จนถึงระดับที่สมบูรณ์แบบ พลังโจมตีก็ยิ่งน่าหวาดหวั่น
“โลกหมื่นพัน เกิดขึ้นมา!” ในขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงบินหลบหนีอย่างรวดเร็วอยู่นั้นก็หมุนกายแล้วฝ่ามือทั้งสองก็สำแดงยุทธวิธีคละถิ่น
พรึ่บ!
เห็นเพียงฝ่ามือทั้งสองของตงป๋อเสวี่ยอิงโคจรเล็กน้อย เบื้องหน้าก็มีโลกที่ใหญ่โตมโหฬารราวกับม้วนภาพวาดใบแล้วใบเล่าเกิดขึ้นมา โลกชั้นแล้วชั้นเล่าเกิดขึ้นที่เบื้องหน้าอย่างต่อเนื่อง โลกดุจภาพวาด ทั้งยังกว้างใหญ่เป็นล้านล้านลี้ เพียงชั่วพริบตาโลกที่เรียงซ้อนกันชั้นแล้วชั้นเล่าอย่างแน่นขนัดเป็นพันเป็นหมื่นก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้าตงป๋อเสวี่ยอิง
ฉึก ฉึก ฉึก ฉึก… หอกยาวทิ่มแทงออกมา โลกชั้นแล้วชั้นเล่า ชั้นแล้วชั้นเล่าถูกทะลุผ่าน! ผลกระทบของความเร็วเกือบจะสามารถละเลยได้ ราวกับไม้เสียบเนื้อก็มิปาน หอกยาวพุ่งไปหลายหมื่นลี้ แทงทะลุโลกหมื่นพันแล้วไล่ล่าสังหารเข้ามาเช่นเดิม
“หมุน!” ตงป๋อเสวี่ยอิงขบกราม
พยายามบิดหมุนห้วงอากาศ
ยุทธวิธีเมฆาแดง ห้วงอากาศบิดหมุน แต่ถึงอย่างไรบริเวณรอบๆ ก็คือเขตพลังของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ แม้กระทั่งทั้งโลกทิพย์โบราณต่างก็เป็นอาณาเขตของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิ้น พละกำลังอันมหาศาลกดดันลงมา ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าทั่วทั้งมิติแข็งเสียจนราวกับภูเขาใหญ่อันไร้ที่สิ้นสุด ความยากในการบิดหมุนนั้นมากเกินไป ฝืนบังคับจึงจะขยับได้เป็นเส้นเล็กๆ
เส้นเล็กๆ นี้ยังมิใช่หอกยาวทำลายล้างอันน่าหวาดหวั่นเล่มนั้นที่เผชิญอยู่
ถ้าหากต้องการจะบิดหมุนหอกยาวเล่มนั้นเล่า ก็เหมือนกับแมลงเม่าคิดเขย่าต้นไม้นั่นเอง
ห้วงอากาศที่ตงป๋อเสวี่ยอิงบิดหมุนเส้นนี้ สิ่งที่บิดหมุนก็คือตัวเอง!
ทำให้ตนเองหลบเลี่ยงอย่างสุดกำลังในช่วงเวลาวิกฤติ
“ฉึก!”
ถึงแม้ว่าจะหลบเลี่ยงอย่างสุดกำลัง หอกที่เดิมทีทิ่มแทงเข้าสู่ทรวงอกของตงป๋อเสวี่ยอิง ก็ยังคงทิ่มแทงเข้าสู่หัวไหล่ บริเวณปลายหอกก็ฉีกกรงขังโลกกำเนิด ผ่านจุดอ่อนของการกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอด แทงทะลุกล้ามเนื้อบริเวณหัวไหล่ของตงป๋อเสวี่ยอิงเช่นเดิม
“พรืด”
กล้ามเนื้อบริเวณหัวไหล่ของตงป๋อเสวี่ยอิงบิดเกร็งในทันที จงใจขยายบาดแผลให้ใหญ่ขึ้น ร่างกายก็เหินบินสลัดเอาหอกยาวเล่มนั้นออกไปอย่างรวดเร็ว หลังจากสลัดออกไปแล้วโพรงเลือดตรงหัวไหล่ก็ผสานเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว
“ยังดีที่พลังคุกคามยังอ่อนแอกว่าที่ข้าคาดเอาไว้อยู่สักหน่อย” ในใจของตงป๋อเสวี่ยอิงกลับผ่อนคลาย ถึงแม้ว่าจะทิ่มแทงเข้ามา แต่ร่างกายที่แข็งแรงระดับเขา ต่อให้ถูกแทงเป็นโพรงมากกว่านี้ก็ยังไม่เป็นอะไรเลย สิ่งที่สำคัญก็คือ… จะทำร้ายไปถึงพลังชีวิตของตนได้หรือไม่ พลังคุกคามของหอกเล่มนี้ ถึงแม้ว่าจะทำร้ายร่างกายตนแล้ว แต่อาการบาดเจ็บค่อนข้างเบา
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์แทงหอกนี้ออกมาก็รู้สึกได้ว่าฝีหอกนี้ของตนทำร้ายยอดฝีมือหน้ากากสีเงินผู้นี้มิได้สาหัสสักเท่าใดนัก
“หึ หากมิใช่เพราะสิ่งที่ร่างแปรทิพย์โบราณสั่งสมมาหมดสิ้นไป ข้าจะต้องเผยร่างจริงด้วยหรือ” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์มองดูชายหนุ่มหน้ากากสีเงินที่หลบหนีอยู่ไกลๆ แล้วลอบหงุดหงิดอยู่ในใจ
ร่างแปรทิพย์โบราณจึงจะเป็นเคล็ดลับที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา
ร่างแปรทิพย์โบราณกับร่างจริงรวมสองเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว พลังรบพุ่งทะยาน กดดันให้เจ้าศิลามาต่อตี ก็ต่อตีเสียจนเจ้าศิลาบาดเจ็บสาหัส
สำหรับร่างจริงของฝูงมารผลาญทำลายน่ะหรือ พลังรบก็ยกระดับขึ้นมาสามสี่ส่วนแล้ว แต่ก็ยังมิอาจสู้ร่างแปรทิพย์โบราณได้ ร่างแปรทิพย์โบราณนั้นยกระดับขึ้นมาหลายเท่าแล้ว สำหรับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ สิ่งที่ร่างจริงของฝูงมารผลาญทำลายเชี่ยวชาญเป็นหลักก็คือด้านการรักษาชีวิต ช่วยไม่ได้ เขาไม่มีเคล็ดลับที่แข็งแกร่งที่สุดแล้ว ก็ได้แต่ใช้เคล็ดลับที่อ่อนแอกว่าสักหน่อยแล้ว
“ทำร้ายเขาสักร้อยครั้งพันครั้ง ดูว่าเขาจะยังสามารถต้านรับได้อีกหรือไม่ ต่อให้ฆ่าไม่ได้ ก็ต้องพยายามจับกุมตัวเขาให้ได้” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์พึมพำ
ยอดฝีมือผู้ลึกลับ
วิถีอากาศร้ายกาจถึงเพียงนี้ อีกทั้งยังมีร่างกายอันน่าหวาดหวั่น นับตั้งแต่ ‘ร่างแปรทิพย์โบราณ’ หมดสิ้นไป จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็เข้าใจว่าที่อากาศอันสับสนอลหม่านในยุคนี้ เขาคิดอยากจะควบคุมกฎเกณฑ์สูงสุด ก็มีความหวังอันคลุมเครือแล้ว ต้องรอให้ถึงยุคต่อไป… มาเริ่มต้นกันใหม่! แต่สำหรับเขาแล้วสิ่งที่ล้ำค่าก็คือเคล็ดวิชาที่เขามุ่งมาดปรารถนาจำนวนหนึ่ง
อย่างเช่นเคล็ดวิชาร่างแยก อย่างเช่นเคล็ดวิชาฝึกกาย ในท้ายที่สุดแล้วก็มีประโยชน์อย่างมากสำหรับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ เขามีเวลาอย่างไร้ขีดจำกัดให้สามารถค่อยๆ บำเพ็ญไปได้!
……
“ฟึ่บๆๆ”
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์สำแดงเคล็ดวิชาหอกอันลึกลับน่าหวาดหวั่น มิได้หมายจะสังหารตงป๋อเสวี่ยอิง แต่เพื่อถ่วงเวลาเขาเอาไว้ ทำให้เขาหนีไม่พ้น
“เจ้าหนีไม่พ้น ข้าแนะนำว่าเจ้าร่วมมือกับข้าเสียดีกว่า แล้วข้าจะไม่ฆ่าเจ้า” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ถ่วงเวลาตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้ ไม่ให้เขาหนีพร้อมกับพูดเสนอแนะ
“เป็นการต่อสู้ประชิดตัวที่ร้ายกาจนัก” เดิมทีตงป๋อเสวี่ยอิงคิดว่ามียุทธวิธีเมฆาแดงและยุทธวิธีคละถิ่นอยู่ในมือ ไม่พูดถึงพลังคุกคามทางด้านการต่อสู้ประชิดตัว ทางด้านทักษะก็คงจะสามารถสู้กันได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วมีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดยิ่ง
หมดหนทาง พวกบรรพชนโลกามา ก็ถูกต่อตีบีบคั้นเช่นกัน
“เคล็ดผนึกห้าภาพ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงเคล็ดผนึกห้าภาพอย่างฉับพลัน
พรึ่บ
เขาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย มิติเล็กๆ ที่เขาอยู่ก็หายสาบสูญไปด้วย
“ยังมีเคล็ดวิชานี้อีกหรือ” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ดูท่าที ทันใดนั้นหอกยาวก็พุ่งแทงไปทางจุดที่มิตินั้นหายลับไป
ปัง!
จุดนั้นระเบิดออกมาในทันที ลำแสงสามสายลอยพุ่งออกไปยังสามทิศทางพร้อมๆ กัน
“อะไรกันนี่”
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ยังตื่นตระหนกเล็กน้อยไปชั่วครู่ เพราะว่าลำแสงสามสายนั้น แต่ละสายต่างก็เป็นชายหนุ่มอาภรณ์ขาวที่สวมหน้ากากผู้นั้น แม้กระทั่งวิถีอากาศที่สำแดงและความเร็วในการเหินทะยานก็เหมือนกันทุกประการ! มิอาจมองความแตกต่างใดๆ ออกได้เลย
“ใครกันที่เป็นร่างจริง” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์งุนงงไปชั่วครู่ แต่ทันใดนั้นเขาก็คาดเดาได้ สายตาก็ยิ่งทวีความร้อนระอุ “หรือว่าจะเป็นร่างจริงทั้งหมด เป็นศาสตร์ร่างแยกใช่หรือไม่”
เขามุ่งมาดปรารถนาในเคล็ดวิชาจำนวนมาก
ศาสตร์ร่างแยกจะต้องจัดอยู่หัวแถวอย่างแน่นอน!
“ฟึ่บ ฟึ่บ” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์เลือกร่างแยกร่างหนึ่งในนั้นแล้วไล่ตาม พร้อมกันนั้นเขาก็นึกคิดคราหนึ่ง ควบรวมเอาพลังของโลกทิพย์โบราณออกมาเป็นร่างแปรสองร่าง! ร่างแปรสองร่างแยกกันเข้าไปขัดขวางอยู่ข้างชายหนุ่มอาภรณ์ขาวอีกสองร่าง
ร่างแปรจะสำเร็จไปถึงพลังรบระดับเทพจักรวาลได้นั้น สำหรับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์แล้วก็จะต้องสิ้นเปลืองพลังจิตเป็นอย่างมาก เขาก็รักษาเอาไว้ได้อย่างมากแค่ไม่กี่คนเท่านั้น
“ไล่ล่าข้าหรือ”
ร่างแยกทั้งสามกำลังหลบหนี อันที่จริงแล้วความแตกต่างระหว่างพวกเขาก็มิได้มากมายนัก แต่มีเพียงแค่ร่างหลักเท่านั้นที่บำเพ็ญฝึกกายคละถิ่น อีกทั้งยังพาตัวอวี๋จิ้งชิวและคนอื่นๆ ไปด้วย
“ไป” “ไป” “ไป”
ร่างทั้งสามของตงป๋อเสวี่ยอิงที่กำลังหลบหนี เกือบจะสำแดงกระบวนท่าเดียวกันออกมาอย่างต่อเนื่องกันเคล็ดผนึกห้าภาพ!
ปัง ปัง ปัง
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์และร่างแปรทั้งสองของเขาที่แยกจากกันต่างก็ถูกเคล็ดผนึกห้าภาพกักขังเอาไว้
“ปัง” ร่างจริงของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ทลายเปิดออกได้ในทันใด แต่ร่างแปรทั้งสองของเขาที่ติดกับอยู่ภายในมิติปิดผนึกห้าภาพกลับไม่สามารถดิ้นรนออกมาได้ในชั่วขณะหนึ่ง
“ร่างจริงของข้ามีพลังยุทธ์เต็มร้อย ส่วนร่างแยกทั้งสองนั้นถึงแม้ว่าวิญญาณจะอ่อนแอสักหน่อย แต่การสำแดงเคล็ดผนึกห้าภาพก็มิใช่เรื่องยาก” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ ถ้าหากเขาปรารถนาก็สามารถทำให้ร่างจริงรักษาพลังรบระดับสุดยอดเอาไว้ แล้วให้ร่างอื่นๆ อีกแปดร่างรักษาพลังยุทธ์เอาไว้ห้าส่วนได้
“ร่างแปรสามร่าง เจ้าไล่ล่าผิดตัวเสียแล้วล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบอมยิ้ม
ใช่แล้ว
ที่จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ไล่ล่าสังหาร…
มิใช่ร่างแยกหลักที่พาตัวอวี๋จิ้งชิวไป อันที่จริงแล้วก็เป็นเรื่องปกติอย่างยิ่ง ถึงอย่างไรร่างกายทั้งสามร่างก็เหมือนกันทุกประการ กลิ่นอายก็เหมือนกัน มองเผินๆ ก็ไม่เห็นความแตกต่างใดๆ เลย จะเลือกอย่างถูกต้องได้ก็ต้องอาศัยโชคล้วนๆ
“ต่อให้โชคดีเลือกได้ถูก ภายในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ของข้าก็ยังมีร่างแยกอื่นอีกห้าร่าง” นี่จึงจะเป็นเหตุผลที่ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่ามีความมั่นใจถึงเก้าส่วน
การรักษาชีวิตตนเองร้ายกาจนัก! ผสานกับร่างแยกแปดร่างที่มาในครั้งนี้!
แม้กระทั่งอยู่ที่รังเดิมอย่างโลกทิพย์โบราณ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็รู้สึกมีความหวังเป็นอย่างยิ่ง ถึงขนาดที่เขาก็มิได้รู้สึกว่ายากเย็นจนเกินไปนัก
ที่สำคัญก็คือ ‘ร่างแปรทิพย์โบราณ’ อันน่าหวาดหวั่นที่สุดในตำนานมิได้ปรากฏตัวขึ้น
“หืม” ร่างแยกทั้งสามของตงป๋อเสวี่ยอิงที่กำลังหลบหนีเงยหน้าขึ้นมองพร้อมๆ กัน
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็มองไปด้วยเช่นกัน
ที่บริเวณรอบนอกสุดของท้องฟ้าเบื้องบนของโลกทิพย์โบราณอันใกล้กับอากาศอันสับสนอลหม่าน ที่นั่นมีทางเชื่อมหมุนวนที่บิดเบี้ยวปรากฏขึ้น เงาร่างสี่สายเหินลอยออกมาจากในนั้น พวกเขาแต่ละคนมีกลิ่นอายอันยิ่งใหญ่ ถึงขนาดที่ความแข็งแกร่งของกลิ่นอายยังเหนือกว่าตงป๋อเสวี่ยอิงเสียอีก ทุกคนล้วนเป็นเทพจักรวาลระดับขั้นที่สองขั้นสุดยอดทั้งสิ้น พวกเขาสี่คนซึ่งก็คือบรรพชนโลกา ราชันย์มีด บรรพชนทิพย์ และจอมกระบี่ เพิ่งปรากฏตัวขึ้น พวกเขาสี่คนก็ออกกระบวนท่าเสียแล้ว!
ภาคที่ 34 เทพจักรวาล...
ตอนที่ 20 การรวมตัวครั้งสุดท้าย
มือใหญ่ทั้งคู่ของบรรพชนโลกาชุดเขียวร่างผอมเล็กยื่นลงมาเบื้องล่าง ฟึ่บ แขนทั้งคู่พุ่งอย่างฉับพลันลงมายังเบื้องล่างอย่างยิ่งใหญ่อลังการราวกับเสาสวรรค์สองต้นอย่างไรอย่างนั้น
‘จอมกระบี่’ ผู้มีผมสีขาวพลิ้วไหวชักกระบี่ ‘ราชันย์มีด’ อาภรณ์ทองที่อยู่ข้างๆ เขาก็กวัดแกว่งมีดที่เปล่งประกายมีดระยิบระยับจับตาออกมา
ประกายกระบี่พุ่งไปล้านล้านลี้ มาถึงยังโลกทิพย์โบราณ
ประกายมีดก็ยิ่งอหังการหาใดเปรียบ!
ทว่าบรรพชนทิพย์ที่ผิวกายมีสายโซ่เส้นแล้วเส้นเล่าล้อมรอบกลับบ่มเพาะสำแดงเคล็ดวิชา เห็นเพียงค่ายกลขนาดใหญ่มหึมาหาใดเปรียบปรากฏขึ้นที่ท้องฟ้าเบื้องบนของโลกทิพย์โบราณ ปกคลุมทั่วทั้งท้องฟ้าเบื้องบน…
“สมควรตาย” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์เห็นเหตุการณ์แล้วก็เผยสีหน้าไม่น่าดู
จอมกระบี่และราชันย์มีดต่างก็ต่อสู้อย่างแข็งแกร่งเป็นที่สุด เพราะเส้นทางการบำเพ็ญเป็นเหตุ ถึงแม้ว่าทางด้านการรักษาชีวิตของพวกเขาจะอ่อนแอสักหน่อย แต่การโจมตีก็น่าหวาดหวั่นอย่างแท้จริง ใกล้เคียงกับเทพจักรวาลระดับขั้นที่สาม
บรรพชนทิพย์นั้นมีฝีมือครอบคลุมทุกด้าน เขตพลัง การพันธนาการ การต่อสู้ซึ่งหน้า และร่างแปร… วิธีการต่างๆ นานาร่วมมือกันกับคนอื่นๆ ก็อาจทำให้จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ปวดเศียรเวียนเกล้าได้
ถึงแม้ว่าบรรพชนโลกาจะไม่มีการกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอด แต่ก็มีเจ้าศิลาชี้แนะ ร่างกายแข็งแกร่งองอาจ อยากจะสังหารบรรพชนโลกา นอกจากจะใช้เคล็ดวิชาที่ทำให้เจ้าศิลาบาดเจ็บสาหัส…
เผาผลาญร่างแปรทิพย์โบราณ ใช้พลังที่รวบรวมไว้ทั้งหมดให้เป็นการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุด แต่ข้อหนึ่ง โดยทั่วไปแล้วเขามิอาจให้ร่างแปรทิพย์โบราณออกไปจากโลกทิพย์โบราณได้! ข้อสอง เขาก็ไม่อยากจะยั่วยุเจ้าศิลา ข้อสาม กระบวนสังหารที่ใช้ไม่หมดจึงจะเรียกว่ากระบวนสังหาร! ใช้หมดแล้ว ก็ไม่มีพลังป้องปรามแล้ว ก็เหมือนกับตอนนี้ เผชิญหน้ากับยอดฝีมือผู้ลึกลับที่อยากจับตัวเอาไว้อย่างที่สุด อีกฝ่ายก็วิ่งเข้าสู่โลกทิพย์โบราณแล้ว น่าเสียดายที่สิ่งที่ร่างแปรทิพย์โบราณของเขาสั่งสมมาไม่มีอีกต่อไปแล้ว
“ถ้ารู้ตั้งแต่เนิ่นๆ ก็จะไม่บีบบังคับตงป๋อเสวี่ยอิงให้หนักเกินไปแล้วล่ะ” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์พึมพำ “ต่อสู้กับเจ้าศิลายกหนึ่ง ความสูญเสียก็ใหญ่หลวงเกินไปแล้ว”
พรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ!
ร่างแยกทั้งสามของตงป๋อเสวี่ยอิงหลบหนีอย่างต่อเนื่อง
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ยังคงจับจ้องไล่ล่า!
ถึงแม้ว่าพวกบรรพชนโลกาที่อยู่ด้านบนจะสำแดงการโจมตี แต่เพราะว่าระยะทางห่างไกลเกินไป ก็ยังต้องใช้เวลาอีกเล็กน้อยจึงจะเคลื่อนเข้ามาใกล้ได้จริงๆ
“โอ้” ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยสีหน้ายินดีออกมาในทันใด เพราะเขารู้สึกว่าแรงกดดันที่มิติโดยรอบมีต่อตนหายไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว พลังอันยิ่งใหญ่ขุมหนึ่งขจัดความกดดันของพลังโลกทิพย์โบราณออกไปจนหมดสิ้น
“เขตพลัง! เขตพลังของบรรพชนทิพย์!” ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยสีหน้ายินดี
ดูเหมือนว่าบรรพชนทิพย์สำแดงเคล็ดวิชาอย่างเชื่องช้า แต่เมื่อค่ายกลสำเร็จแล้วกลับปกคลุมล้านล้านลี้เบื้องล่างในทันที รวดเร็วกว่าประกายกระบี่และประกายมีดที่บุกเข้ามาและแขนที่เคลื่อนเข้ามาใกล้นั้นเป็นอย่างมาก!
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือพลังโลกทิพย์โบราณถูกขจัดออกไปข้างนอก
“สามารถบิดหมุนห้วงอากาศได้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยสีหน้ายินดี ถึงแม้ว่าทางด้านห้วงอากาศของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์จะสู้ตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้ แต่ก็ประสบความสำเร็จอย่างลึกซึ้งพอสมควร ยังคงทำให้ห้วงอากาศแข็งตัวจนมิอาจเคลื่อนที่ในพริบตาได้เช่นเดิม แต่มาถึงระดับขั้นเช่นตงป๋อเสวี่ยอิงนี้ ‘เขตพลังห้วงอากาศบิดหมุน’ ก็เทียบได้กับการเคลื่อนที่ในพริบตาในระยะทางสั้นๆ แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา เขาควบคุมห้วงอากาศบิดหมุน เพราะภายในเขตพลังของค่ายกลบรรพชนทิพย์
กฎเกณฑ์สูงสุดก็ถูกบีบบังคับให้เปิดออก
ห้วงอากาศบิดหมุนของตงป๋อเสวี่ยอิงไม่ได้รับแรงกดดันใดๆ การบิดหมุนเพียงครั้งเดียวก็มาถึงข้างกายของพวกบรรพชนโลกาและบรรพชนทิพย์แล้ว
“ฟิ้วๆๆ”
ร่างแยกทั้งสามร่างต่างก็หลบหนีมาถึงชายขอบภายนอกโลกทิพย์โบราณแล้ว
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์หยุดมองอย่างหงุดหงิดใจ “มิใช่ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา บิดหมุนห้วงอากาศภายใต้การแข็งตัวของห้วงอากาศอย่างนั้นหรือ ยอดฝีมือผู้ลึกลับผู้นี้ประสบความสำเร็จทางด้านห้วงอากาศเป็นอย่างสูงจริงๆ”
‘เขตพลังเมฆาแดง’ ก็คือเคล็ดวิชาหลักของยุทธวิธีเมฆาแดง ตอนนั้นนายท่านฉื้ออวิ๋นเชี่ยวชาญการต่อสู้เป็นกลุ่มที่สุด ก็คือเหตุผลของเขตพลังเมฆาแดง
แม้ว่าระดับขั้นจะถึง ก็มิได้หมายความว่าจะสำแดงออกมาได้
อย่างเช่นยอดฝีมือวิถีอากาศเทพจักรวาลระดับขั้นเดียวกัน ถึงแม้ว่าจะตระหนักรู้ทั้งเก้าสายจนหมด แต่นึกอยากจะคิดค้น ‘เคล็ดผนึกห้าภาพ’ ออกมานั้นก็ยากเย็นเป็นอย่างยิ่ง คิดค้น ‘ปุจฉวิถีคละถิ่น’ ออกมานั้นก็ยิ่งเป็นเรื่องน่าขัน! ระดับขั้นแสดงถึงพื้นฐานและเคล็ดลับมากมาย…ก็คือวิธีการใช้งาน เช่นขั้นอลวนก็สามารถสำแดงศาสตร์ร่างแยกได้ อย่างเช่นจ้าวภูเขาฉื้อเหมย แต่อย่างพวกจอมเทพศักดิ์สิทธิ์แต่ละคนนั้นล้วนไม่สามารถทำได้
หมดหนทาง ความสำเร็จทางด้านวิถีอากาศของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นเพียงแค่ขั้นอลวนขั้นสุดยอดเท่านั้น มิอาจสู้พวกตงป๋อเสวี่ยอิง บรรพชนห้วงอากาศ กู่ฉี และจักรพรรดิเก้าเมฆาได้ คิดค้นศาสตร์ร่างแยกขึ้นมาเองอย่างนั้นหรือ จะง่ายดายเช่นนั้นได้อย่างไรกันเล่า
“เป็นน้องตงป๋อหรือ” บรรพชนทิพย์ถ่ายเสียงพูด
“เสวี่ยอิงหรือ” จอมกระบี่ก็มองดูตงป๋อเสวี่ยอิงเช่นกัน
“เป็นข้าเอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ถ่ายเสียงตอบกลับไปโดยมิได้ปิดบัง
แต่บรรพชนทิพย์ จอมกระบี่ ราชันย์มีด และบรรพชนโลกา ทุกคนต่างก็เผยรอยยิ้มออกมา
“พวกเราไปกันเถิด”
หลังจากที่แต่ละคนมองจอมเทพศักดิ์สิทธิ์อย่างเต็มตาแล้ว
ทันใดนั้นทุกคนก็จากไปอย่างสง่างาม หากแต่บรรพชนห้วงอากาศที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งทำการเปิดทางเชื่อมศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา
******
ณ เมืองราชันย์มีด ภายในห้องโถงแห่งหนึ่ง
ตงป๋อเสวี่ยอิง บรรพชนโลกา บรรพชนทิพย์ จอมกระบี่ และราชันย์มีดห้าคนเดินออกมาจากห้วงมิติบิดเบี้ยวที่หมุนวน ส่วนอีกฝั่งหนึ่งก็คือบรรพชนห้วงอากาศและบรรพชนเทียนอวี๋
“เสวี่ยอิงหรือ” บรรพชนเทียนอวี๋มองตงป๋อเสวี่ยอิง
ตงป๋อเสวี่ยอิงยกหน้ากากขึ้น เปิดเผยโฉมหน้าออกมาพร้อมกับยิ้มน้อยๆ
“สามารถสำแดงบุปผาผลาญทำลายได้ด้วยหรือ” บรรพชนเทียนอวี๋ก็ยังถามประโยคหนึ่ง คนอื่นๆ แต่ละคนต่างก็มองตงป๋อเสวี่ยอิง
ตงป๋อเสวี่ยอิงแย้มยิ้มแล้วยื่นมือออกมา กลางโลกลวงมีบุปผาเก้าใบรวมตัวกันเกิดขึ้น บุปผาเก้าใบเปลี่ยนจากมายากลายเป็นความจริง สิ่งนี้ผสานเคล็ดวิชาเก้าชั้นของความเร้นลับของวิถีโลกเทียมและวิถีเข่นฆ่าเข้าด้วยกันแล้วปรากฏขึ้นอีกครั้ง
เมื่อมองเห็นการปรากฏขึ้นของบุปผาเก้าใบดอกนี้ แต่ละคนในที่นั้นก็แย้มยิ้มเสียแล้ว
อันที่จริงก่อนหน้านี้ด้วยเหตุผลต่างๆ นานารวมกันขึ้นมา พวกเขาก็มีความมั่นใจเกินเก้าส่วนแล้ว แต่การคิดค้นเคล็ดวิชาขั้นอลวนระดับชั้นที่เก้าออกมานั้นก็เป็นเรื่องยาก ‘บุปผาเก้าใบ’ ก็ยิ่งเป็นวิถีโลกเทียมและวิถีเข่นฆ่าผสานเข้าด้วยกัน นอกจากตงป๋อเสวี่ยอิงที่เป็นผู้คิดค้นผู้นี้แล้ว ตอนนี้ก็ยังไม่มีผู้ใดทำได้อีก!
“เสวี่ยอิง เจ้ากลับมาแล้วจริงๆ” บรรพชนเทียนอวี๋เผยรอยยิ้มออกมา
“ดีเหลือเกิน” ราชันย์มีดอารมณ์อ่อนไหว “ถึงแม้จะเคยได้ยินเกี่ยวกับความมหัศจรรย์ของป้ายคำสั่งจิตโลกามาก่อน แต่ก่อนหน้านี้เจ้าก็วิญญาณกระจัดพลัดพรายอยู่ชัดๆ บอกว่าสามารถกลับมาได้ก็จริง แต่พวกเราก็ยังคงไม่กล้าเชื่อกันอยู่ดีนั่นแหละ”
“ที่แท้แล้วป้ายคำสั่งจิตโลกามีความมหัศจรรย์อย่างไรกันแน่” บรรพชนทิพย์ที่อยู่ข้างๆ ถามขึ้นอย่างอดมิได้ “ข้าไม่สงสัยที่พลังยุทธ์ของเจ้าบรรลุไปถึงเทพจักรวาลหรอกนะ แต่เท่าที่ข้ารู้ เจ้าในตอนนี้… ก็มีเคล็ดวิชามากมายทั้งการตัดแยกห้วงมิติ การกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอด และศาสตร์ร่างแยก นอกจากนี้ยังมีร่างกายที่แกร่งกล้าเช่นนี้อีกด้วย เจ้าก็บำเพ็ญทางสายฝึกกายแล้วด้วยหรือ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดอธิบายว่า “ป้ายคำสั่งจิตโลกานี้มหัศจรรย์ยิ่งนัก สามารถทำให้วิญญาณแท้สายหนึ่งของข้ากลับชาติไปจุติยังโลกกำเนิดอีกแห่ง นอกจากนี้ยังมีโอกาสได้กลับมายังบ้านเกิดอีกด้วย”
“โลกกำเนิดอีกแห่งหรือ”
“อ้อหรือ”
บรรพชนทิพย์และคนอื่นๆ ที่อยู่ในที่นั้นทั้งคาดหวังทั้งประหลาดใจ
“ข้าได้ศึกษาเคล็ดวิชาบางอย่างตอนอยู่ที่นั่น” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “น่าเสียดายที่เคล็ดวิชามากมายของดินแดนจิตโลกาก็มีข้อจำกัด การจะศึกษาได้นั้นยากยิ่ง อีกทั้งยังจำกัดการเผยแพร่สู่ภายนอกอีกด้วย! แต่ข้ายังมีร่างแยกอยู่ที่ดินแดนจิตโลกาด้วย ในอนาคตถ้าหากสามารถศึกษาเคล็ดวิชาที่เผยแพร่สู่ภายนอกได้ ก็ย่อมสามารถเผยแพร่ให้กับทุกท่านได้เช่นกัน”
อากาศอันสับสนอลหม่านเผชิญกับอันตรายของมหาวินาศ
สำหรับพวกเขา จอมกระบี่ บรรพชนทิพย์ และราชันย์มีดแต่ละคนนั้น ถ้าหากสามารถถ่ายทอดให้พวกเขาแต่ละคนได้ เขาก็จะถ่ายทอดให้
“น่าเสียดายที่ป้ายคำสั่งจิตโลกานั้นขึ้นอยู่กับโชคชะตา หากชะตาไม่ถึง ต่อให้อยู่ตรงหน้าก็ยังมองไม่เห็นเลย” ราชันย์มีดที่อยู่ข้างๆ อารมณ์อ่อนไหว เขารู้ในจุดนี้จากเจ้าเมืองหลัว อาจารย์ของเขาอยู่ก่อนแล้ว
……
ภายในห้องเงียบแห่งหนึ่งในส่วนลึกใต้ดิน
ตงป๋ออวี้กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ เบื้องหน้ามีค่ายกลอันซับซ้อนขนาดใหญ่มหึมาแขวนลอยอยู่ ค่ายกลเปลี่ยนแปลงวิวัฒน์อย่างต่อเนื่อง
ตงป๋อเสวี่ยอิงผู้เป็นบิดาถูกจอมเทพศักดิ์สิทธิ์สังหาร ส่วนมารดาก็ถูกคุมขังเอาไว้ที่โลกทิพย์โบราณ…นี่ทำให้ตงป๋ออวี้มีความกระหายอยากที่จะแข็งแกร่งอย่างบ้าคลั่ง ถึงแม้ว่าบรรพชนทิพย์ก็ตั้งใจช่วยเหลือเป็นอย่างมากแล้ว แต่ตอนนี้ตงป๋ออวี้ก็ยังเป็นเพียงแค่ขั้นรวมเป็นหนึ่งเท่านั้นเอง ยังห่างจากขั้นรวมเป็นหนึ่งชั้นที่ห้าอีกมากมายนัก ช่วยเหลือมารดาหรือ แก้แค้นหรือ แม้กระทั่งพวกบรรพชนทิพย์ผู้เป็นอาจารย์ก็ยังไม่มีความมั่นใจในการไปช่วยคนเลย
ถึงแม้ว่าจะตรากตรำบำเพ็ญ แต่ในส่วนลึกของจิตใจตงป๋ออวี้ก็ยังมีความสิ้นหวังลังเลใจอยู่ตลอด
“ข้าเป็นบุตรชายของตงป๋อเสวี่ยอิง”
“ข้ามิอาจทำให้ท่านพ่อขายหน้าได้ ตอนนั้นเงื่อนไขในการบำเพ็ญของท่านพ่อสู้ข้ามิได้ ถ้าหากเขายังมีชีวิตอยู่ การสำเร็จเป็นเทพจักรวาลก็มิใช่เรื่องยาก ข้าก็สามารถทำได้อย่างแน่นอน ต้องทำได้แน่ๆ” ตงป๋ออวี้มีความมุ่งมาดปรารถนาอย่างแรงกล้า แต่ในความเป็นจริงแล้วบรรพชนทิพย์ก็ยังลอบส่ายหน้ากับเรื่องนี้ เพราะระดับขั้นจิตใจของตงป๋ออวี้นั้น แม้กระทั่งระดับขั้นที่สามก็ยังไปไม่ถึงเลยด้วยซ้ำ คิดอยากจะสำเร็จเป็นขั้นอลวนก็ยังสิ้นหวังลังเลใจ
ทันใดนั้น…
“อวี้เอ๋อร์ มาที่เมืองราชันย์มีดเสีย” เสียงของบรรพชนทิพย์ดังขึ้นในห้วงสมองของตงป๋ออวี้
“ขอรับ”
ตงป๋ออวี้หยุดการบำเพ็ญลง
“ไปเมืองราชันย์มีดหรือ” ตงป๋ออวี้ออกจากการปลีกวิเวกอย่างสงสัย บรรพชนทิพย์ได้จัดการให้ลูกน้องทำการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นส่งตงป๋ออวี้มา
ชั่วขณะหนึ่งหลังจากนั้น
“พี่สาวหรือ”
“น้องชายหรือ”
ตงป๋ออวี้และตงป๋อชิงเหยาเผชิญหน้ากันที่ด้านนอกประตูวังของ ‘วังทะเลสาบคราม’ แห่งเมืองราชันย์มีด วังทะเลสาบครามเป็นหนึ่งในบรรดาวังที่มีสัมพันธไมตรีอันดีกับราชันย์มีด
ประตูวังเปิดออก
“ทั้งสองท่าน เชิญ” ผู้ดูแลนำทางอยู่ข้างๆ
“อาจารย์ของข้าให้ข้ามา” ตงป๋อชิงเหยาพูด “แล้วเจ้าล่ะ น้องข้า”
“ข้าก็เช่นกัน” ตงป๋ออวี้สงสัย
“น่าแปลก มีเรื่องอันใดจึงบอกมาตรงๆ มิได้ ต้องให้พวกเราสองคนมายังเมืองราชันย์มีดด้วย” ตงป๋อชิงเหยาถ่ายเสียงพูดกับน้องชาย เข้าสู่พระราชวังมาพร้อมกันด้วยการนำทางของผู้ดูแล เดินตรงเข้าสู่ด้านในของพระราชวังอย่างต่อเนื่อง เพียงไม่นานก็มาถึงยังทะเลสาบแห่งหนึ่ง
บริเวณริมทะเลสาบมีศาลาอยู่แห่งหนึ่ง ซึ่งมีเหล่าเทพจักรวาลนั่งอยู่สองสามคน
มีพวกบรรพชนทิพย์และบรรพชนโลกา แล้วก็มีพวกบรรพชนคีรีมาร จักรพรรดิงูเมฆา และประมุขเหยากวง…ในบรรดาเหล่าเทพจักรวาล ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวผู้หนึ่งและหญิงสาวอาภรณ์สีฟ้าอ่อนผู้หนึ่งอยู่เคียงคู่กันราวกับเทพเซียน ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดพลางยิ้มหัวเราะกับเหล่าเทพจักรวาลคนอื่นๆ แล้วพูดกับอวี๋จิ้งชิวที่อยู่ข้างกายสองสามประโยคเป็นระยะๆ อวี๋จิ้งชิวก็ฟังพร้อมหัวเราะคิกคักอยู่ข้างๆ
ทันใดนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงและอวี๋จิ้งชิวต่างก็หันหน้ามาดู มองไปทางคนทั้งสองที่อยู่ไกลออกไ
ภายใต้การนำทางของผู้ดูแล
ตงป๋ออวี้และตงป๋อชิงเหยามองดูชายหนุ่มอาภรณ์ขาวและหญิงสาวอาภรณ์สีฟ้าอ่อนที่อยู่ไกลออกไปอย่างตกตะลึง
“ท่านพ่อ”
“ท่านแม่”
ตงป๋ออวี้และตงป๋อชิงเหยายากที่จะเชื่อในสิ่งที่เห็นได้ ต่างก็หยุดฝีเท้าลงโดยไม่รู้ตัว ดวงตาก็แดงก่ำขึ้นมาเสียแล้ว
ภาคที่ 34 เทพจักรวาล...
ตอนที่ 21 เจ้าศิลาปรากฏกาย
ตงป๋อชิงเหยาและตงป๋ออวี้สองพี่น้องได้พบหน้าบิดา ครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ส่วนเหล่าเทพจักรวาลทั้งหลายก็สุขสำราญใจกันเป็นอย่างมากกับการที่ทางฝ่ายตนมี ‘แม่ทัพใหญ่’ เพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่ง! เพราะถึงอย่างไรตงป๋อเสวี่ยอิงก็เป็นผู้ที่กล้าเข้าไปช่วยเหลือคนถึงในโลกทิพย์โบราณ แม้ในบรรดาเทพจักรวาลชั้นที่สอง พลังรบของเขาจะเป็นระดับต่ำสุดก็ตามที แค่ทัดเทียมกับเจ้าเมืองหลัวเท่านั้น ห่างจากบรรพชนคีรีมารและประมุขเหยากวงอยู่บ้าง
แต่ในด้านต่างๆ เช่น ‘แทรกซึมเข้าลอบสังหาร’ ‘รักษาชีวิต’ และ ‘วิญญาณ’ ล้วนแต่ยืนอยู่ในระดับยอดสุด เทพจักรวาลกลุ่มหนึ่งรู้สึกว่าเมื่อเผชิญหน้ากับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็มีความมั่นใจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
“เรื่องที่เสวี่ยอิงสำเร็จเป็นเทพจักรวาล เก็บไว้เป็นความลับชั่วคราวก่อนล่ะ” บรรพชนทิพย์พูดยิ้มๆ “มิเช่นนั้นแล้วหากจู่ๆ คนที่วิญญาณกระจัดพลัดพรายไปปรากฏกายขึ้นมาอีกเช่นนี้ เกรงว่าจอมเทพศักดิ์สิทธิ์จะต้องพอเดาอะไรออกบ้างแน่”
“รักษาเป็นความลับเอาไว้ก่อนดีกว่า”
แต่ละคนต่างก็เห็นด้วย
เพราะถึงอย่างไรตงป๋อเสวี่ยอิงก็เกี่ยวโยงถึงโลกกำเนิด ‘ดินแดนจิตโลกา’ หากจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ล่วงรู้เข้า เกรงว่าคงจะบ้าคลั่งจนตาแดงไปเลยทีเดียว
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เห็นด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ก็สามารถทำให้ตนยุ่งยากน้อยลงเป็นอย่างมากแล้ว
******
ท่ามกลางอากาศอันสับสนอลหม่าน
กลางทะเลเพลิงอันกว้างใหญ่ไพศาล มีดาวเคราะห์เพลิงอยู่ดวงหนึ่ง ซึ่งดาวเคราะห์เพลิงนี้ก็คือ ‘ดวงอาทิตย์ดั้งเดิม’
“ท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์”
ร่างแปรของบรรพชนโลกายืนอยู่กลางอากาศโดยคงระยะห่างจากดวงอาทิตย์ดั้งเดิมเอาไว้ หากร่างแปรร่างนี้ของเขาเข้าไป ก็เกรงว่าคงจะถูกแผดเผาจนสิ้น
“ท่านอาจารย์!” ร่างแปรของบรรพชนโลกาถ่ายเสียงเข้าไปสายแล้วสายเล่า
“ใครกันน่ะ”
ดวงอาทิตย์ดั้งเดิมใหญ่โตมโหฬาร แต่ขณะนี้กลับมีเงาดำอันมหึมาหาใดเปรียบสายหนึ่งปรากฏขึ้นจากผิวดวงอาทิตย์ดั้งเดิม ครองพื้นที่ราวหนึ่งในสามของดวงอาทิตย์ดั้งเดิม เงาดำขนาดมหึมานี้เปิดเปลือกตาขึ้นอย่างไม่พอใจนัก นัยน์ตาสีเหลืองอำพันมองไปทางร่างแปรอันผอมเล็กของของบรรพชนโลกาซึ่งอยู่กลางอากาศไกลออกไป
“เป็นเจ้ามารร้ายตัวน้อยเองรึ” เสียงของเงาดำขนาดมหึมาดังกึกก้อง “มีเรื่องอันใด พูดมาเถิด”
น้ำเสียงของเขาแฝงแววไม่พอใจเอาไว้
ระหว่างนิทรา เขาไม่ชอบถูกรบกวนเป็นที่สุด! ส่วนศิษย์น่ะหรือ แม้เจ้าศิลาจะมีความรู้สึกต่อศิษย์อยู่บ้าง แต่กลับมิได้ลึกซึ้งนัก เนื่องจากเขารู้ว่าเมื่อยุคหนึ่งผ่านพ้นไป หลังจากการทำลายล้างครั้งใหญ่ของอากาศอันสับสนอลหม่านแล้ว ยุคใหม่ถือกำเนิดขึ้นอีกครั้ง บรรดาศิษย์ทั้งหลายก็จะถูกทำลายตามไปด้วย แม้จะกล่าวว่าเขาจะตั้งตารอคอยให้ศิษย์บรรลุถึงระดับเทพจักรวาลขั้นสุดยอดก็ตามที น่าเสียดาย…
เขาผ่านมาหลายยุคแล้ว ศิษย์ที่บรรลุถึงเทพจักรวาลชั้นที่สองก็มีอยู่ แต่เทพจักรวาลขั้นสุดยอดกลับไม่เคยมีมาก่อน
“ท่านอาจารย์” ร่างแปรของบรรพชนโลกาทราบดีว่าการ ‘รบกวนการนิทราของท่านอาจารย์’ จะทำให้ท่านอาจารย์ไม่พอใจ จึงเป็นเหตุผลว่าเขาต้องแน่ใจในตัวตนของตงป๋อเสวี่ยอิงก่อนจึงค่อยมาที่นี่ “ตงป๋อเสวี่ยอิงยังไม่ตาย เขายังมีชีวิตอยู่ขอรับ”
“ตงป๋อเสวี่ยอิง…” เจ้าศิลาที่เพิ่งตื่นขึ้นมางุนงงอยู่บ้าง จากนั้นก็สะดุ้งเฮือก
ฟิ้ว
เงาดำขนาดมหึมาเปลี่ยนแปลงไปทันที กลายเป็นชายชราร่างผอมเล็กผู้หนึ่งซึ่งผอมกว่าบรรพชนโลกาเสียอีก ผอมเสียจนเห็นแค่หนังหุ้มกระดูกเท่านั้น
เจ้าศิลาซึ่งหลังค่อม และกุมไม้เท้าเอาไว้ในมือกล่าวขึ้นว่า “เจ้าบอกว่าเจ้าเด็กนั่นยังไม่ตายอย่างนั้นหรือ แต่ตอนนั้นข้าสำรวจดูทั่วอากาศอันสับสนอลหม่าน แต่กลับไม่มีวิญญาณแท้หลงเหลืออยู่อีกแล้ว หรือจะบอกว่าเขาได้ป้ายคำสั่งจิตโลกาไป แล้วไปยังดินแดนจิตโลกามาอย่างนั้นหรือ”
“ท่านอาจารย์ทราบด้วยหรือขอรับ” บรรพชนโลกาตกตะลึง จากนั้นก็พยักหน้าทันที “ถูกต้องขอรับ ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดแล้วว่า เขาอาศัยป้ายคำสั่งจิตโลกากลับชาติไปจุติยังดินแดนจิตโลกา”
“ฮ่าฮ่า…”
เจ้าศิลาหัวเราะเสียงดัง เสียงหัวเราะนั้นราวกับอสนีบาตฟันฟาดลงมา ทำเอาทะเลเพลิงซึ่งอยู่ในดวงอาทิตย์ดั้งเดิมสั่นสะท้านไปหมด
“คิดไม่ถึงว่าเขาจะมีวาสนาเช่นนี้ด้วย ตอนนี้เขาอยู่ที่ใดกัน” เจ้าศิลาถาม เขาคร้านที่จะส่องดูทั่วทั้งอากาศอันสับสนอลหม่านอีกครั้ง นอกจากนี้เขาก็พอเดาได้ว่าเมื่อผ่านการกลับชาติไปจุติและกลับมาแล้ว กลิ่นอายวิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงก็คงจะต้องเปลี่ยนแปลงไปเป็นแน่
“อยู่ที่เมืองราชันย์มีดขอรับ” ร่างแปรของบรรพชนโลกาเอ่ย
“ไปดูเสียหน่อยดีกว่า” เจ้าศิลาอารมณ์ดีเป็นอันมาก เนื่องจากที่เขาบาดเจ็บสาหัสก็เป็นเพราะตงป๋อเสวี่ยอิง บัดนี้เขายังมีชีวิตอยู่ เขาจึงรู้สึกว่าเรื่องราวช่างน่าประหลาดใจโดยแท้
จากนั้นเจ้าศิลาสาวเท้าออกไปก้าวหนึ่งก็อันตรธานไปทันที
……
เมื่อปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง เจ้าศิลาก็ไปถึงเมืองราชันย์มีด อาณาเขตของเมืองราชันย์มีดนั้นเล็กกว่ามากทีเดียว เจ้าศิลาจึงพบเทพจักรวาลกลุ่มนั้นได้ในทันที
ภายในวังทะเลสาบครามแห่งเมืองราชันย์มีด
เงาร่างสายหนึ่งรวมตัวขึ้นเหนือทะเลสาบอย่างฉับพลัน เป็นเจ้าศิลานั่นเอง
“เอ๊ะ” ราชันย์มีด บรรพชนทิพย์ บรรพชนโลกา จอมกระบี่ ประมุขเหยากวง บรรพชนคีรีมาร ตงป๋อเสวี่ยอิงและคนอื่นๆ พากันตกใจใหญ่ ที่นี่เป็นถึงสถานที่พำนักของราชันย์มีด มีการอารักขาแน่นหนา ทั้งยังมิอาจเคลื่อนที่ในพริบตาได้ ต่อให้เป็นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่มีทางมาปรากฏกายขึ้นทันควันเช่นนี้ได้จึงจะถูกต้อง
“ฮ่าฮ่า ต่อให้เป็นโลกทิพย์โบราณ ข้าอยากเข้าก็เข้าได้ อยากจากไปก็จากไปได้” เจ้าศิลากุมไม้เท้าเอาไว้ พลางเหยียบอากาศตรงเข้ามา
บรรพชนทิพย์และราชันย์มีดสัมผัสได้ถึงแรงกดดัน
“ผู้อาวุโสศิลา” ตงป๋อเสวี่ยอิงอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง เขาเคยพบเจ้าศิลามาก่อน แต่ครั้งนั้นเขาเป็นเพียงขั้นอลวนเท่านั้น จึงมองไม่ออกว่าที่แท้แล้วเจ้าศิลาแข็งแกร่งเพียงใด
“ทุกท่านไม่จำเป็นต้องกังวลไป นี่คือท่านอาจารย์ของข้าเอง” บรรพชนโลการ่างซูบผอมในอาภรณ์สีเขียวยืดกายขึ้นพูดพลางยิ้มตาหยี
“ท่านอาจารย์ของบรรพชนโลกาหรือ”
ทุกคนทั้งตกตะลึงและกระจ่างแจ้งขึ้นมา
“เสวี่ยอิง เจ้ารู้จักเขาหรือไม่” บรรพชนเทียนอวี๋ถ่ายเสียงถาม จอมกระบี่ บรรพชนทิพย์ ราชันย์มีดและคนอื่นๆ ยังคงมองด้วยท่าทีเคร่งขรึม พวกเขาต่างสัมผัสได้ว่ากลิ่นอายของเจ้าศิลาน่าหวาดหวั่นเป็นอย่างยิ่ง
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
เจ้าศิลามองดูตงป๋อเสวี่ยอิงพลางพยักหน้าน้อยๆ
ในเมื่อบรรดาเทพจักรวาลคนอื่นๆ ล้วนมั่นใจในตัวตนของตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว นอกจากนี้เมื่อครู่ที่เขาเอ่ยคำว่า ‘ผู้อาวุโสศิลา’ ออกมานั้นก็ทำให้เจ้าศิลามั่นใจยิ่งขึ้นว่าเด็กน้อยตรงหน้าคนนี้คือตงป๋อเสวี่ยอิงไม่ผิดแน่
“น่าเสียดายๆ” เจ้าศิลาส่ายหน้า “เดิมทีข้าจะรับเจ้าเป็นศิษย์ คิดไม่ถึงว่าเจ้ากลับล่วงหน้าไปยังดินแดนจิตโลกาก่อนก้าวหนึ่งแล้ว เดิมทีข้าไม่เชี่ยวชาญเขตลวงโลกเทียมสักเท่าใดนัก ต่อให้รับเจ้าเป็นศิษย์ก็คงทำได้แค่ให้คำแนะนำแก่เจ้าบ้างก็เท่านั้น เจ้าอยู่ในดินแดนจิตโลกา ได้รับทั้งการชี้แนะและเคล็ดการบำเพ็ญซึ่งมากกว่าที่ข้ามีมากมายนัก เห็นทีข้าและเจ้าคงไม่มีวาสนาได้เป็นศิษย์และอาจารย์กันจริงๆ”
จะรับข้าเป็นศิษย์อย่างนั้นหรือ ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึง
บรรพชนโลกาที่อยู่ด้านข้างก็มองตงป๋อเสวี่ยอิงและอธิบายว่า “น้องตงป๋อ เดิมทีเคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดก็เป็นสิ่งที่ท่านอาจารย์ของข้าคิดค้นขึ้น เจ้าสามารถคิดค้นเคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดสิบแปรได้สำเร็จ ท่านอาจารย์ของข้าก็จะรับเจ้าเป็นศิษย์แล้ว ทว่าต่อมาเกิดการพลิกผัน เจ้าจึงไปยังดินแดนจิตโลกา”
“ท่านอาจารย์” บรรพชนโลกาก็พูดกลั้วหัวเราะ “ท่านไม่ทราบหรอกว่าแม้ตงป๋อจะไปยังดินแดนจิตโลกาเป็นเวลาไม่นานนัก แต่พลังกลับก้าวหน้าเป็นอันมาก ครั้งนี้เขาเข้าไปในโลกทิพย์โบราณ…”
บรรพชนโลกาเล่าให้ฟังคร่าวๆ
“อันที่จริงครั้งนี้ก็โชคดีน่ะขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “ข้าเตรียมการอย่างระมัดระวัง ผู้ใดจะไปคิดเล่าว่าร่างแปรทิพย์โบราณในตำนานจะไม่ปรากฏขึ้นมาด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงสบายมากทีเดียว”
“ร่างแปรทิพย์โบราณหรือ” เจ้าศิลาหัวเราะฮี่ฮี่เสียงแปลกพิกล “ตอนนั้นเมื่อได้รู้ว่าเด็กอย่างเจ้าสิ้นใจไป ศิษย์ที่ข้าหมายตาเอาไว้ไม่อยู่แล้ว ไหนเลยจะปล่อยเจ้ามารทึ่มนั่นไปง่ายๆ ได้ ข้าจึงไล่ตามไปสังหารเขา และไล่ล่ากันที่โลกทิพย์โบราณยกใหญ่! ด้วยพลังของข้า หากไม่ใช้ร่างแปรทิพย์โบราณ เจ้ามารทึ่มนั่นก็ไม่มีภัยคุกคามต่อข้าเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นเขาจึงสู้สุดชีวิต ข้าและเขาต่อสู้กันยกใหญ่ ข้าได้รับบาดเจ็บ ทว่าสิ่งที่ร่างแปรทิพย์โบราณร่างนั้นของเจ้ามารทึ่มสั่งสมไว้ก็ถูกเผาผลาญไปจนสิ้นซากเช่นกัน ภายหลังข้าจึงได้รู้ว่า ที่เจ้าถูกจอมเทพศักดิ์สิทธิ์จับตัวไปเกี่ยวข้องกับจ้าวภูเขาฉื้อเหมยนั่น! ดังนั้นข้าจึงได้ลงมือขยี้ไอ้จ้าวภูเขาฉื้อเหมยตัวอันตรายนั่นจนตาย”
ตงป๋อเสวี่ยอิงมีท่าทีกระจ่างแจ้งขึ้นมา เมื่อได้ยินช่วงท้ายสุดกลับเอ่ยขึ้นด้วยความตกใจว่า “จ้าวภูเขาฉื้อเหมยสิ้นใจแล้วหรือ”
เขายังคิดจะแก้แค้น
ทว่าต่อให้เป็นตอนนี้ เขาก็ยังไม่มีวิธีหาร่างแยกของจ้าวภูเขาฉื้อเหมยให้พบ
“เส้นทางการบำเพ็ญของข้าและจอมเทพศักดิ์สิทธิ์แตกต่างกัน ข้าบรรลุถึงเทพจักรวาลขั้นสุดยอดด้วยทางสายของการฝึกกาย ภายหลังหมายจะบุกเบิกโลกกำเนิดขึ้นมาด้วยตัวคนเดียว และก้าวเข้าสู่อีกระดับขั้นหนึ่งอย่างแท้จริง” เจ้าศิลาพูดยิ้มๆ “ข้านั้นมุ่งไปที่ตนเอง ดังนั้นวิธีการของข้าจึงเป็นเอกลักษณ์อยู่บ้าง ข้าสามารถอยู่และตรวจสอบทุกหนแห่งในอากาศอันสับสนอลหม่านได้ แม้ร่างแยกร่างนั้นของจ้าวภูเขาฉื้อเหมยผู้นั้นจะสามารถหลบได้ แต่ขอเพียงอยู่ในโลกกำเนิดแห่งนี้ก็มิอาจหลบได้พ้นหรอก!”
พวกบรรพชนทิพย์และราชันย์มีดที่อยู่ในที่นั้นตกตะลึงอยู่บ้าง
นี่สิจึงจะเป็นผู้อาวุโส
บรรลุถึงเทพจักรวาลขั้นสุดยอดแล้ว ก็ยังอยากจะก้าวหน้าไปอีกขั้น วิธีการก็ยิ่งยากเกินคาดเดา
“เจ้ามารทึ่มจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นพยายามคิดหาวิธีควบคุมกฎเกณฑ์อันสูงส่ง” เจ้าศิลากล่าว “ทว่ายุคนี้เขาก็หมดหวังเสียแล้ว”
“เจ้ามารทึ่มหรือ ท่านอาจารย์รู้ก่อนแล้วว่าเขาเป็นฝูงมารผลาญทำลายหรือขอรับ” บรรพชนโลกาถาม
“ครั้งนี้เขาปรากฏร่างจริงออกมาแล้วรึ” เจ้าศิลาเห็นเข้าก็พยักหน้า “ฝูงมารผลาญทำลายถือกำเนิดขึ้นมาในอากาศอันสับสนอลหม่าน เกิดมาก็เพื่อทำลายล้าง มีแต่หลุดพ้นและสำเร็จเป็นเทพจักรวาลเท่านั้นจึงจะสามารถหลุดพ้นจากผลกระทบของความปรารถนาที่จะทำลายล้างได้ ดังนั้นการบรรลุถึงเทพจักรวาลขั้นสุดยอดด้วยร่างของฝูงมารผลาญทำลาย เมื่อมาถึงก้าวนี้ เขาก็ย่อมกระหายที่จะก้าวข้ามขั้นสุดท้ายและปกครองกฎเกณฑ์อันสูงส่ง”
“สำหรับเขาแล้ว ในช่วงต้นของยุคหนึ่งๆ ผู้แกร่งกล้ามีจำนวนน้อย แผนการของเขาจึงยังพอมีหวังอยู่บ้าง ยิ่งนานวันเข้า เทพจักรวาลที่ถือกำเนิดขึ้นในยุคนั้นก็จะมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ! แต่ละคนล้วนยืนอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับเขา ยิ่งเวลานานขึ้นเทาไหร่ ศัตรูของเขาก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ความหวังของเขาก็ลดน้อยลงเรื่อยๆ” เจ้าศิลากล่าว “แน่นอนว่าการต่อสู้กับข้า การสั่งสมของร่างแปรทิพย์โบราณของเขาถูกเผาผลาญไปจนสิ้น ในยุคปัจจุบันนี้…ความหวังที่เขาจะสำเร็จก็ริบหรี่นัก คาดว่าตัวเขาเองก็คงจะเข้าใจในจุดนี้ดี”
“ติดค้างผู้อาวุโสมากทีเดียว” บรรพชนทิพย์เอ่ยปาก “มิเช่นนั้นแล้วเกรงว่าพวกเราคงจะมีสงครามมากกว่านี้แล้ว”
“ฮ่าฮ่า เขามาจากโลกกำเนิดเดียวกันกับข้า” เจ้าศิลาหัวเราะเสียงดัง “หากข้าก้าวข้ามไปได้อีกระดับหนึ่ง ในภายหน้าก็ต้องการจะปกครองโลกกำเนิดแห่งนี้ แม้เส้นทางที่เขาเดินจะแตกต่างกัน แต่ก็ต้องการจะปกครองโลกกำเนิดเช่นเดียวกัน หากเขาทำสำเร็จ ด้วยนิสัยของเขา ข้าก็เกรงว่าคงจะหมดกัน ดังนั้นทุกครั้งเมื่อถึงคราวคับขัน ข้าก็จะลอบลงมือ อย่างครั้งที่โลกทิพย์โบราณดั้งเดิมแตกออกเป็นเสี่ยงๆ นั้น ก็มีข้าลอบลงมืออย่างลับๆ”
“เป็นเช่นนี้เองหรือ”
เหล่าเทพจักรวาลทั้งหลายในที่นั่นพากันลอบตกตะลึง
ผู้ที่บรรลุถึงขั้นสุดยอดสองคนล้วนต้องการก้าวข้ามขั้นสุดท้ายดังนั้นจึงไม่อยากให้อีกฝ่ายสำเร็จได้
“เอาล่ะ วางใจเถิด จอมเทพศักดิ์สิทธิ์เจ้ามารทึ่มนั่นจะไม่ออกมาวุ่นวายอีกต่อไป พวกเจ้ามียอดฝีมือเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แล้วเขาก็ไม่มีสิ่งที่ร่างแปรทิพย์โบราณสั่งสมเอาไว้เป็นหลักประกันอีกแล้ว อย่างมากก็แค่ดิ้นพล่านเล็กน้อยก่อนการแตกสลายครั้งใหญ่จะมาถึง ข้าเดาว่าตอนนี้เขาน่าจะกำลังวางแผนยุคต่อไปแล้ว” เจ้าศิลาทอดถอนใจ “วันนี่ที่มาพูดคุยกับเด็กๆ อย่างพวกเจ้า แล้วข้าก็เตรียมตัวจะเข้าสู่ห้วงนิทราต่อไปแล้ว รอให้การทำลายล้างครั้งใหญ่มาถึงก็อาจจะตื่นขึ้นมาดูเสียหน่อย”
“พวกเจ้าตั้งใจบำเพ็ญให้ดีเถิด ตอนนี้ศัตรูคนสำคัญที่สุดของพวกเจ้ามิใช่จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ หากแต่เป็นตัวของพวกเจ้าเองต่างหาก” เจ้าศิลามองดูพวกเขา
“อากาศอันสับสนอลหม่านนี้ก็เหมือนกับเรือลำใหญ่ที่กำลังจะจมลง! อย่าได้คิดว่าการล่มจมยังอยู่อีกไกลมาก เพราะยิ่งนานไป อากาศอันสับสนอลหม่านก็ยิ่งขยายตัวเร็วขึ้นเรื่อยๆ ฝูงมารผลาญทำลายก็ยิ่งถือกำเนิดเร็วขึ้นเรื่อยๆ วันแห่ง ‘การทำลายล้างครั้งใหญ่’ นั้นจวนจะมาถึงแล้ว เกรงว่าวันแห่งการทำลายล้างครั้งใหญ่คงจะมาถึงเร็วกว่าที่พวกเจ้าคาดเอาไว้มาก” เจ้าศิลากล่าว “พวกเจ้าตั้งใจบำเพ็ญให้ดีเถิด หากพลังไม่เพียงพอ ตอนที่เรือใหญ่ลำนี้ล่มลง ก็จะเป็นวันตายของพวกเจ้า ข้าน่ะเห็นภาพที่ยุคหนึ่งดับสลายไป สิ่งมีชีวิตทั้งหมดสูญพันธุ์ครั้งใหญ่จนชินแล้ว”
ทุกคนในที่นั้นใจสั่นหวั่นไหว
การแตกสลายครั้งใหญ่…
“ผู้อาวุโสขอรับ อีกนานเท่าไหร่อากาศอันสับสนอลหม่านของพวกเราจึงจะเกิดการแตกสลายครั้งใหญ่หรือขอรับ” บรรพชนทิพย์ถาม
พวกตงป๋อเสวี่ยอิงต่างพากันมองดูเจ้าศิลาด้วยความกังวล หากพูดถึงประสบการณ์แล้ว เจ้าศิลาจึงจะเป็นผู้ที่มีประสบการณ์มากที่สุด
“อืม”
เจ้าศิลางึมงำ ขณะเดียวกันระลอกคลื่นของสติรับรู้ของเขาก็พลันแผ่กำจายไปทั่วทั้งอากาศอันสับสนอลหม่านในทันใด
ภาคที่ 34 เทพจักรวาล...
ตอนที่ 22 หนึ่งระลอกคลื่น
ก่อนที่พวกตงป๋อเสวี่ยอิงจะมาอยู่ที่นี่ ยังเห็นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์เป็นศัตรูตัวฉกาจที่สุด ตอนนี้ถึงได้เข้าใจว่าศัตรูตัวฉกาจที่สุดก็คือ ‘เวลา’ เมื่อเวลามาถึง อากาศอันสับสนอลหม่านเกิดการทำลายล้างครั้งใหญ่ พวกเขาก็จะสูญพันธุ์จนสิ้น ตงป๋อเสวี่ยอิงมีร่างแยกอยู่ใน ‘ดินแดนจิตโลกา’ จึงสามารถมีชีวิตรอดต่อไปได้ แต่ในภายหน้าต่อให้เขาสำแดง ‘ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา’ กลับมา หากมิอาจกลับชาติไปจุติได้ ก็อาจถูกอากาศอันสับสนอลหม่านในยุคหน้าผลักไสออกไป!
“ไม่นับว่านานเท่าใดนัก” เจ้าศิลามองดูบรรดาเทพจักรวาลตรงหน้าแล้วเหลือบมองตงป๋ออวี้และตงป๋อชิงเหยาเด็กทั้งสองซึ่งข่มความตื่นตระหนกเอาไว้แวบหนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “อากาศอันสับสนอลหม่านยิ่งขยายตัวเร็วขึ้นเรื่อยๆ ภายใต้สถานการณ์ที่พวกเจ้าสามารถต้านทานฝูงมารผลาญทำลายเอาไว้ได้ คาดว่าอยู่ระหว่างสิบห้าล้านล้านปีถึงยี่สิบล้านล้านปี”
“อะไรนะ”
“สั้นถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
แต่ละคนพากันตกใจ
ตงป๋อเสวี่ยอิงมีพรสวรรค์ล้ำเลิศพอ ก็ต้องใช้เวลานับล้านล้านปีจึงสำเร็จเป็นเทพจักรวาลได้!
จอมกระบี่สีหน้าเปลี่ยนแปรไป “สั้นถึงเพียงนี้เชียวหรือ” เขามีการรับรู้สูงส่งอย่างยิ่ง มิได้ออกไปบุกฝ่าภายนอกเพื่อเคี่ยวกรำ เพียงแค่ก้มหน้าก้มตาเก็บตัวบำเพ็ญก็บรรลุถึงเทพจักรวาลชั้นที่สองระดับยอดสุดได้โดยใช้เวลาเกือบยี่สิบล้านล้านปี จอมกระบี่เองก็เข้าใจว่าเขาจะบรรลุถึง ‘เทพจักรวาลขั้นสุดยอด’ ก็ต้องบรรลุผ่านหลายอุปสรรค เมื่อแต่ละสายหลอมรวมเข้ามาก็ล้วนแต่เป็ฯอุปสรรคใหญ่หลวงทั้งสิ้น สุดท้ายเมื่อหลายสายรวมเป็นหนึ่ง จะผลักดันวิถีเข่นฆ่าให้ไปถึงขั้นสุดยอดนั้นยากที่สุด
“มิน่าเล่า”
จอมกระบี่ยังจำได้ว่าจอมเทพศักดิ์สิทธิ์เคยพูดกับเขาประโยคหนึ่งว่า “หวังว่าเจ้าจะสามารถบรรลุถึงระดับชั้นที่สามได้ก่อนขีดจำกัดใหญ่สุดท้ายจะมาถึง หากเป็นเช่นนั้นโลกก็จะสดใสยิ่งขึ้นแล้ว”
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์นั้นเหมือนกับเจ้าศิลาที่มีชีวิตอยู่มามิใช่เพียงยุคเดียวเท่านั้น พวกเขาล้วนสามารถทำนายขีดจำกัดเวลาของการแตกสลายครั้งใหญ่คร่าวๆ ได้ ภายในขีดจำกัดระยะเวลานี้ ตอนนั้นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์เชื่อว่า ‘จอมกระบี่’ เป็นสิ่งมีชีวิตเพียงชนิดเดียวที่มีความหวังหลงเหลืออยู่สายหนึ่ง ส่วนคนอื่นๆ น่ะหรือ ด้วยสายตาของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์แล้ว ก็ไม่มีหวังเอาเสียเลย
“สั้นถึงเพียงนี้เชียวหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงร้อนรนขึ้นมา
“วิถีอากาศของข้าคือทั้งเก้าสายบรรลุถึงขั้นเทพจักรวาลทั้งหมด สั่งสมมาแน่นหนาอย่างยิ่ง เชื่อว่าการก้าวเข้าสู่เทพจักรวาลระดับชั้นที่สองคงไม่ยากนัก แต่หลังจากนั้นจะบรรลุถึงขั้นสุดยอด ทั้งเก้าสายต้องหลอมรวมกัน จะให้สองสายหลอมรวมกันได้ก็ยากแล้ว สามสาย สี่สาย…แต่ละก้าวล้วนมีแต่อุปสรรคทั้งสิ้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้าเล็กน้อย ต่อให้เป็นท่านอาจารย์ประมุขรัฐเมฆทักษิณาซึ่งคิดค้นศาสตร์ร่างแยกและศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาก็ค้างอยู่ที่เทพจักรวาลชั้นที่สองเช่นเดียวกัน
“ส่วนวิถีโลกเทียมนั้นยากกว่าวิถีอากาศเสียอีก” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบอุทาน
วิถีอากาศ ดีร้ายอย่างไรก็ยังมีคัมภีร์! ทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา ผู้ที่วิถีอากาศบรรลุถึงขั้นสุดยอดก็พอมีอยู่บ้าง เช่นจักรพรรดิเซี่ยเป็นต้น!
ส่วนเขตลวงโลกเทียม ผู้ที่มีระดับสูงสุดในดินแดนจิตโลกาก็เพียงแค่เทพจักรวาลชั้นที่สองเท่านั้น
……
บรรดาเทพจักรวาลทั้งกลุ่มจิตใจวุ่นวายไปหมด ความคิดมากมายผุดขึ้นมา เจ้าศิลาเห็นเข้าก็ส่ายศีรษะน้อยๆ
เขาเคยชินเสียแล้ว
เมื่อผ่านไปยุคแล้วยุคเล่า ก็เกรงว่าเด็กๆ ตรงหน้ากลุ่มนี้ คงจะไม่อยู่เสียแล้ว
“ผู้อาวุโสศิลา” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปาก “ผู้อาวุโสรู้จักศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาหรือไม่ขอรับ”
เจ้าศิลาพยักหน้าเล็กน้อย “ข้ามีชีวิตอยู่มาจนถึงบัดนี้ ก็ได้พบผู้มาจากภายนอกหลายคนที่อาศัย ‘ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา’ มายังโลกกำเนิดของพวกเรา และเคยสนทนากันมาบ้าง”
“หากฝึกศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาได้สำเร็จ แล้วพาคนไปยังโลกกำเนิดอื่นได้ แล้วรอหลังจากบ้านเกิดให้กำเนิดยุคหน้าออกมาแล้วค่อยกลับมาจะได้หรือไม่” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม
“หนึ่ง เดิมทีศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาก็ยากยิ่งอยู่แล้ว จะพาคนไปอีกรึ” เจ้าศิลาส่ายหน้าพลางยิ้มหยัน “เท่าที่ข้ารู้ พาคนไปโดยอาศัยศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาก็ยากยิ่งนัก”
“สอง หากเจ้าจากไปแล้ว อากาศอันสับสนอลหม่านเกิดการแตกสลายครั้งใหญ่แล้วให้กำเนิดยุคใหม่ขึ้นมา หากเจ้ากลับมาอีก ก็จะกลายเป็นผู้มาจากภายนอก จะต้องถูกกดดันและผลักไสออกไป” เจ้าศิลาเอ่ย “นอกเสียจากจะเหมือนกับข้าและจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ ที่เมื่อการแตกสลายครั้งใหญ่มาถึงก็ต้องต้านทานเอาไว้ให้ได้ เมื่ออากาศอันสับสนอลหม่านให้กำเนิดยุคใหม่ขึ้นมา พวกเราก็จะกลายเป็นหนึ่งในนั้น เช่นนี้จึงจะไม่ถูกผลักไส”
“ผลักไสหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าเบาๆ
เขาเข้าใจ
เมื่อถูกกดดันและผลักไส พลังก็จะสำแดงออกมาได้เพียงขั้นอลวนเท่านั้น
ทว่าตนมีร่างแยกอยู่ในดินแดนจิตโลกา สามารถบำเพ็ญอยู่ในดินแดนจิตโลกาต่อไปได้! ส่วนพวกภรรยานั้น พลังก็สามารถสำแดงออกมาได้สูงสุดที่ขั้นอลวนก็ไม่เป็นไร
“ปัญหาก็คือสามารถพาคนไปด้วยศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ เกรงว่าคงจะต้องบรรลุถึงวิถีอากาศขั้นสุดยอดจึงจะสามารถพาคนจากไปได้อย่างพอถูไถ
“ผู้อาวุโส”
บรรพชนทิพย์กลับถามขึ้นว่า “สมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ จักรวาลภายในกาย มิติติดกายและวิธีการอื่นๆ มีวิธีพาผู้อื่นผ่านพ้นการแตกสลายครั้งใหญ่ไปด้วยกันได้ด้วยหรือ”
“หากทำได้ ศิษย์ของข้าในยุคต่างๆ ก่อนหน้านี้ก็คงไม่ถึงขั้นตายกันจนเกลี้ยงหรอก” เจ้าศิลาส่ายศีรษะ “การแตกสลายครั้งใหญ่ของอากาศอันสับสนอลหม่านคือการที่กฎเกณฑ์อันสูงส่งโอบล้อมสิ่งมีชีวิตทั้งมวลแล้วทำลายจนสิ้นซาก นอกเสียจากจะสามารถซ่อนตัวอยู่นอกโลกกำเนิดซึ่งเป็นบริเวณที่กฎเกณฑ์อันสูงส่งมิอาจแตะต้องได้”
บรรพชนทิพย์พยักหน้าเบาๆ เขาเงียบงันลงไปบ้าง
เขาพอจะเดาได้อยู่แล้ว เพียงแต่ไม่ยอมจำนนก็เท่านั้นเอง
ต่อให้ตนโชคดีบรรลุถึงขั้นสุดยอดได้จริงๆ แต่คนที่ตนห่วงใยเล่า
“หรือว่าบรรลุถึงขั้นสุดยอดแล้วก็ได้แต่ใช้ชีวิตอยู่ต่อไปด้วยตัวคนเดียวเท่านั้น” เมื่อบรรพชนทิพย์คิดว่าเจ้าศิลาและจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ล้วนแต่อยู่คนเดียวลำพัง ก็อดหนาวเหน็บไปทั้งใจไม่ได้
“บำเพ็ญให้ดีๆ เถิด”
“เวลาแสนสั้น ข้าว่านะ ตงป๋อเสวี่ยอิง จอมกระบี่ พวกเจ้าสองคนบำเพ็ญได้เร็วพอ ยังพอมีความหวังอยู่สายหนึ่ง คนอื่นๆ ความหวังริบหรี่ ทว่าไม่แน่ว่าอาจมีปาฏิหาริย์ก็เป็นได้” เจ้าศิลารำพึงออกมาประโยคหนึ่ง “บำเพ็ญให้ดีๆ เถิด หวังว่าเมื่อการแตกสลายครั้งใหญ่มาถึง พวกเจ้าสักคนจะสามารถมองดูภาพการแตกสลายและภาพที่โลกกำเนิดถือกำเนิดขึ้นมาใหม่ไปพร้อมกันกับข้าได้”
พูดจบ เจ้าศิลาก็หมุนกายไป ก่อนจะเหยียบอากาศแล้วอันตรธานไป
เขาไปหลับใหลในดวงอาทิตย์ดั้งเดิมต่อไป
ส่วนเหล่าเทพจักรวาลซึ่งอยู่ในที่นั้นก็รู้สึกซับซ้อนในใจไปหมด จอมกระบี่และตงป๋อเสวี่ยอิงถูกเชื่อว่ายังมีความหวัง ‘สายหนึ่ง’ ส่วนคนอื่นๆ ความหวังริบหรี่
……
ณ โลกทิพย์โบราณ
บนเตียงศิลาดำ จอมเทพศักดิ์สิทธิ์นั่งขัดสมาธิหลับตาอยู่
หัวใจของเขาสงบ ทว่าความคิดมากมายกลับแวบผ่านห้วงสมองไป
“ในยุคปัจจุบันนี้มียอดฝีมือมากขึ้นเรื่อยๆ ยอดฝีมือเร้นลับผู้นั้น เมื่ออยู่ในโลกทิพย์โบราณข้าก็ยังไม่สามารถจับกุมเขาได้ จะได้เคล็ดวิชามาก็ยากแล้ว ต่อให้การแตกสลายครั้งใหญ่มาถึง การสั่งสมของร่างแปรทิพย์โบราณก็ยังคงน้อยมาก ยุคนี้ต้องนับว่าพ่ายแพ้แล้ว”
“รอดูยุคต่อไปก็แล้วกัน! ยุคหน้าค่อยสู้สุดตัวสักยกหนึ่ง”
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์สงบจิตบำเพ็ญ
******
เมื่อผ่านการต่อสู้ในโลกทิพย์โบราณ จอมเทพศักดิ์สิทธิ์กลับเก็บเนื้อเก็บตัวเป็นอันมาก เขาเงียบเชียบไร้สุ้มเสียงเช่นนี้จนผ่านไปเป็นหมื่นล้านปี
ส่วนในดินแดนจิตโลกา
ณ รัฐเมฆทักษิณา ชื่อเสียงของจ้าวหิมะเหินเลื่องลือระบือไกล สะท้านสะเทือนไปทั่วสี่รัฐมารทมิฬ มิมีผู้ใดกล้ามารังแก ตงป๋อเสวี่ยอิงบำเพ็ญมาตลอด เพราะถึงอย่างไรทางบ้านเกิด อากาศอันสับสนอลหม่านก็ยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และเข้าใกล้ ‘การทำลายล้างครั้งใหญ่’ มากขึ้นทุกทีๆ เรือลำใหญ่อย่างบ้านเกิดนั้นค่อยๆ จมลงไปเรื่อยๆ ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่กล้าย่อหย่อนเลยแม้แต่น้อย เขาจะต้องบรรลุถึงขั้นสุดยอดก่อนการทำลายล้างครั้งใหญ่ให้จงได้!
“ฟึ่บๆๆ…”
ภายในห้องเงียบที่สร้างขึ้นใหม่ สุราผลไม้กาหนึ่งถูกอุ่นจนร้อน ตงป๋อเสวี่ยอิงในรูปลักษณ์ของหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวนั่งยกจอกขึ้นดื่มสุราพลางครุ่นคิดอยู่ตรงนั้น
รอบด้านก็คือโลกที่เหมือนกับภาพวาดแห่งแล้วแห่งเล่า บางครั้งก็ถือกำเนิดขึ้นมาแล้วโคจร บางครั้งก็ถูกทำลายแล้วสลายไป
“เอ๊ะ นี่มันเรื่องอันใดกัน”
ทันใดนั้นระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างกวาดผ่านผืนดินไปแล้วแทรกซึมเข้าไปภายในห้องเงียบแล้วกวาดผ่านตงป๋อเสวี่ยอิงไป แม้ระลอกคลื่นจะพิสดาร แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังคงสามารถรับรู้ได้ เขารู้สึกประหวั่นใจอย่างมิอาจควบคุม ทำให้เขาเกิดความหวาดหวั่นขึ้นมา
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น