Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 34 ตอนที่ 10-11
ตอนที่ 10 สำนักนภาทมิฬ
Ink Stone_Fantasy
เขาค้นพบได้โดยอาศัยเหตุปัจจัย เป็นถึงดินแดนแห่งหนึ่งในอากาศอันสับสนอลหม่าน ‘โลกดาราระยับ’ ก็โคจรโดยอาศัยกฎเกณฑ์สูงสุด ยากที่จะตรวจสอบเหตุปัจจัยได้ แต่ไปถึงระดับขั้นเทพจักรวาล กฎเกณฑ์สูงสุดก็ต้องร่นถอย เหตุปัจจัยก็ย่อมไม่มีที่ให้หลบซ่อน ตงป๋อเสวี่ยอิงเพิ่งจะกลับชาติมาเกิด เป็นดวงวิญญาณที่ใหม่เอี่ยมอ่องอย่างยิ่ง เป็นเด็กทารกคนหนึ่ง… ผู้ที่มีเหตุปัจจัยต่อเขาก็มีอยู่เพียงแค่สองคนเท่านั้น คนหนึ่งก็คือบิดา อีกคนหนึ่งก็คือมารดา
มารดาก็ย่อมต้องเป็นหญิงสาวอาภรณ์ขาวที่ยังตั้งครรภ์ตนอยู่ผู้นี้นี่เอง
ส่วนอีกคนหนึ่งก็คือบุรุษอาภรณ์ดำที่กำลังห้ำหั่นกับศัตรูอยู่ห่างออกไปไม่ไกล
“ลูกเอ๋ย ถึงแม้ว่าเจ้าจะอยู่ในท้องข้า แต่กลับเป็นชีวิตเหนือธรรมดาแล้ว คงจะสามารถรับรู้โลกภายนอกได้” หญิงสาวอาภรณ์ขาวที่อยู่ข้างนอกกำลังลูบไล้ครรภ์พลางเอ่ยเสียงต่ำด้วยน้ำตานองหน้าว่า “จำไว้นะ ท่านพ่อของเจ้าชื่อเซี่ยอีอวี่ เขาตายเพราะช่วยชีวิตเจ้ากับข้า”
หญิงสาวอาภรณ์ขาวหันหน้ามองไปยังที่ไกลๆ
นางหวังว่าจะมีปาฏิหาริย์
แต่นางเข้าใจว่าความเป็นไปได้ที่จะมีปาฏิหาริย์นั้นต่ำอย่างยิ่ง! สามีของนางเมื่ออยู่ต่อหน้ามารเฒ่าเขาทองก็ต้านทานได้ไม่นานสักเท่าใดนัก ความเร็วในการหนีเอาชีวิตรอดก็สู้คู่ต่อสู้มิได้ ก็มีแต่ตกต่ำไปเท่านั้น
……
“เซี่ยอีอวี่หรือ”
ภายในครรภ์
ตงป๋อเสวี่ยอิงได้ยินเสียงพูดต่ำๆ ของมารดาดังมาจากด้านนอก
เป็นถึงเทพจักรวาลที่บำเพ็ญมาเป็นเวลานับล้านล้านปีคนหนึ่ง การกลับชาติมาเกิดก็เป็นเพียงแค่ประสบการณ์อย่างหนึ่งสำหรับเขาเท่านั้น เขาไม่สามารถเกิดความรู้สึกอันลึกซึ้งอย่างแท้จริงเหมือนที่มีต่อบิดามารดาที่ปราการเมืองศิลาหิมะในตอนนั้นได้ แต่ถึงอย่างไรก็มีความสัมพันธ์ทางสายโลหิต ตงป๋อเสวี่ยอิงย่อมมีความรู้สึกไม่เหมือนกันกับสองท่านนี้
“บิดามารดาผู้ให้กำเนิด ทั้งยังมีเหตุปัจจัยอยู่กับตัว ข้าก็ย่อมต้องตอบแทนเป็นอย่างดีอยู่แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ อันที่จริงเป็นเทพจักรวาลแล้วก็มิได้สนใจความเกี่ยวโยงของเหตุปัจจัย แต่แม้กระทั่งผู้อ่อนแอเขาก็ยังไม่อยากรังแก เหตุปัจจัยของบิดามารดาผู้ให้กำเนิด… เขาก็ยิ่งไม่สามารถมองข้ามได้ ถึงอย่างไรถ้าหากเขาไม่กลับชาติมาเกิด ตัวอ่อนในครรภ์ของสามีภรรยาคู่นี้ก็ย่อมต้องให้กำเนิดวิญญาณใหม่อีกดวงหนึ่งออกมาอยู่แล้ว
ตนเองมาแทนที่แล้วก็ย่อมต้องตอบแทนบุญคุณ
“ท่านพ่อเป็นผู้เคารพเทพแท้ ส่วนท่านแม่เป็นเทพแท้ธรรมดา” ตงป๋อเสวี่ยอิงตรวจสอบพลังยุทธ์อย่างง่ายดาย “มารเฒ่าเขาทองผู้นั้นเป็นผู้ปกครองเทพแท้หรือ มารเฒ่าผู้นี้ เหตุปัจจัยจำนวนนับไม่ถ้วนในตัวมีบาปมหันต์พัวพัน…”
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็สามารถรู้สึกได้ถึงความขุ่นเคืองและคับแค้นล้นฟ้าที่แฝงอยู่ในเหตุปัจจัยเหล่านั้น
“พรึ่บ”
ความนึกคิดวูบไหว
ด้วยพลังยุทธ์เขตลวงโลกเทียมเทพจักรวาลของเขา ก็สามารถตรวจสอบความทรงจำของมารเฒ่าเขาทองผู้นี้ได้อย่างง่ายดาย อาศัยสิ่งนี้ก็ได้ล่วงรู้ตัวตนของท่านพ่อท่านแม่แล้ว
******
“เคร้ง”
ประกายกระบี่วาบผ่าน
นัยน์ตาของเซี่ยอีอวี่มีความปรารถนาอันแรงกล้าระเบิดออกมา สงครามกำลังปะทุ!
ครั้งแรกที่ตรวจสอบทารกน้อยในครรภ์ของภรรยา เซี่ยอีอวี่ก็ตัดสินใจแล้วว่าเขาจะใช้ชีวิตปกป้องครอบครัวนี้ ปกป้องภรรยาและบุตรชาย
เขาและภรรยาอยู่อย่างสันโดษ วันวารช่างแสนสงบและเป็นสุข
และแล้วมารเฒ่าเขาทองก็ยังตามล่ามาจนได้!
ทุ่มเทสมบัติล้ำค่าทั้งหมดและความคิดทุกวิถีทาง จนถึงตอนนี้เขาก็มีแต่ต้องใช้ชีวิตไปขัดขวางแล้ว
“อยากจะคอยดูเขา โอบอุ้มเขาเหลือเกิน”
“เติบโตไปดีๆ นะ”
“ลูกของข้า ลูกของข้าเซี่ยอีอวี่”
ในขณะนี้เซี่ยอีอวี่ราวกับกำลังถูกแผดเผาวิญญาณ เขาเต็มใจจะทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อปกป้องภรรยาให้ดี ความปรารถนาอันแรงกล้าเช่นนี้ทำให้วิญญาณของเขาเปล่งประกายสว่างไสวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ถึงขนาดที่เขาสอดแนมไปถึง ‘ระดับผู้ปกครอง’ ได้อย่างรางๆ แต่ถึงอย่างไรการเหยียบย่างเข้าสู่ระดับผู้ปกครองก็มิได้ง่ายดายเช่นนั้น ในขณะนี้มารเฒ่าเขาทองก็กระวนกระวายเช่นกัน เขาไม่อยากเห็นสมบัติล้ำค่าหนีหายไป
“ตายให้ข้าเสียเถิด” มารเฒ่าเขาทองกระวนกระวายผิดปกติ
“ท่านอาจารย์ ศิษย์รู้ตัวดีว่าก่อความผิดมหันต์ แต่ลูกของข้ากับฉินเอ๋อร์นั้นเป็นผู้บริสุทธิ์นะขอรับ! ศิษย์สู้มารเฒ่าเขาทองมิได้ เกรงว่าคงจะต้องตายด้วยน้ำมือของมารเฒ่าเขาทอง ศิษย์ได้แต่ขอให้ท่านอาจารย์เห็นแก่ความสัมพันธ์ในอดีต ให้พวกเขาได้มีชีวิตรอดต่อไป ท่านอาจารย์ขอรับ ข้าขอร้องท่านล่ะ” ในขณะที่เซี่ยอีอวี่ห้ำหั่นอยู่นั้นก็ได้ส่งสารของความช่วยเหลือไปหาท่านอาจารย์ด้วย
พรึ่บ
มารเฒ่าเขาทองหันหน้าเสียงดังพรึ่บแล้วหนีไปในทันใด
เซี่ยอีอวี่ที่เดิมทีต้องการจะยื้อตัวมารเฒ่าเขาทองเอาไว้ ยังคงตามไปยื้อยุดพัวพันตลอดทาง แต่เขากลับค้นพบอย่างตกตะลึงว่าทิศทางของเส้นทางหลบหนีของมารเฒ่าเขาทองกับทิศทางที่ภรรยาขับเรือบินหนีไปนั้นเป็นทิศทางตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง
“หนีหรือ เหตุใดเขาจึงจะหนีไปเล่า” เซี่ยอีอวี่งุนงงอยู่บ้าง
มารเฒ่าเขาทองหลบหนีไปด้วยความหวาดกลัวอย่างที่สุด
“ท่านอาจารย์ของข้ามาแล้วหรือ ไม่ถูกสิ ถ้าหากท่านอาจารย์มาจริงๆ ก็จะต้องเคลื่อนที่ในพริบตามาปรากฏตัวโดยตรงเลยจึงจะถูกต้อง! มารเฒ่าเขาทองจะค้นพบก่อนล่วงหน้าได้อย่างไรกันเล่า” เซี่ยอีอวี่ยิ่งทวีความสงสัย
ระยะเวลาชั่วอึดใจหลังจากนั้น
เซี่ยอีอวี่หยุดลงแล้วยืนตะลึงค้างอยู่กลางอากาศ ตามองดูมารเฒ่าเขาทองหายลับไปอย่างรวดเร็วที่ริมขอบฟ้า
เวลาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ ภรรยาจะต้องหนีพ้นไปเรียบร้อยแล้ว
“ข้ารอดชีวิตแล้วหรือนี่” เซี่ยอีอวี่รู้สึกงงงวย เซี่ยอีอวี่ที่เดิมมีความคิดว่าจะต้องตายอย่างแน่นอนคิดไม่ถึงว่าเรื่องราวจะกลับตาลปัตรเช่นนี้ได้ “เหตุใดมารเฒ่าเขาทองจึงรีบหนีไปอย่างตื่นตระหนกเช่นนั้นเล่า เป็นเพราะมียอดฝีมือแอบช่วยเหลือข้าอย่างลับๆ หรือว่ามีเหตุผลอื่นใดกัน เอาเถอะ อย่างน้อยข้าก็ยังรักษาชีวิตรอดได้”
พรึ่บ
เบื้องหน้ามีเงาร่างสายหนึ่งปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ ซึ่งก็คือชายชราอาภรณ์เหลืองผู้หนึ่ง
ชายชราอาภรณ์เหลืองมองเซี่ยอีอวี่อย่างเย็นชา
“ท่านอาจารย์” เซี่ยอีอวี่มองเห็นชายชราตรงหน้าแล้วก็คุกเข่าลงในทันใด คุกเข่าอยู่กลางอากาศ
……
ส่วนอีกด้านหนึ่ง
มารเฒ่าเขาทองที่หนีอย่างตื่นตระหนกพลันร่างกายสั่นสะท้านในทันใด พรึ่บ! สูญสลายอย่างไร้สุ้มเสียงไปในทันที เหลือเอาไว้เพียงแค่สิ่งของของเขาจำนวนหนึ่งที่ร่วงหล่นลงมายังส่วนลึกของทะเลสาบเบื้องล่าง บางทีในภายหน้าอาจมีผู้ที่ชะตาลิขิตให้สามารถค้นพบพวกมันได้
อย่างน้อย ‘ตงป๋อเสวี่ยอิง’ ที่สังหารมารเฒ่าเขาทองก็มิได้เห็นสมบัติของผู้ปกครองเทพแท้คนหนึ่งอยู่ในสายตาเลย เขาแปลงวัตถุภายใน ‘จักรวาลโลกเทียม’ ของตนให้กลายเป็นความจริง วัตถุที่สร้างสรรค์ขึ้นได้ตามใจล้วนล้ำค่ากว่าสมบัติของผู้ปกครองเทพแท้ตั้งไม่รู้มากมายเพียงใด
ภายในครรภ์ของหญิงสาวอาภรณ์ขาวชุยฉิน
“หึ” ตงป๋อเสวี่ยอิงย่อมมิได้ใส่ใจอยู่แล้ว บดขยี้มารเฒ่าเขาทองคนหนึ่งให้ตายไปก็ใช้แค่ความนึกคิดคราหนึ่งเท่านั้นเอง
“ท่านอาจารย์ของท่านพ่อในชาตินี้มาแล้วหรือ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้ใส่ใจนัก เขาเริ่มต้นดูดซับพลังฟ้าดินเปลี่ยนแปลงร่างกายมารดาอย่างเงียบงันไร้สุ้มเสียง ทั้งยังหล่อเลี้ยงร่างกายของตนด้วย และเพิ่มความเร็วในการถือกำเนิดไปพร้อมกัน
******
“ท่านอาจารย์”
บุรุษอาภรณ์ดำเซี่ยอีอวี่และหญิงสาวอาภรณ์ขาวชุยฉินยืนเคียงบ่ากันอยู่กลางอากาศมองดูชายชราอาภรณ์เหลือง
‘ผู้อาวุโสฝูอวิ๋น’ ชายชราอาภรณ์เหลืองมองดูคู่สามีภรรยาตรงหน้าอย่างเย็นชาพลางเอ่ยอย่างราบเรียบว่า “เดิมทีข้าคิดว่าเจ้าจะไปตายอยู่ข้างนอกเช่นนี้ก็เป็นเรื่องสมควรแล้ว แต่เจ้าพูดได้ถูกต้อง ลูกของพวกเจ้าสองคนนั้นเป็นผู้บริสุทธิ์ ข้าจึงได้มาช่วยเหลือพวกเจ้าอย่างไรเล่า”
ปากพูดอย่างเย็นชา
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ศิษย์รักละเมิดกฎของสำนักวิชา ผู้อาวุโสฝูอวิ๋นก็เดือดดาล ทั้งอยากช่วบเหลือ ทั้งหักห้ามใจ การขอความช่วยเหลือของเซี่ยอีอวี่เมื่อครู่ทำให้ผู้อาวุโสฝูอวิ๋นรู้ว่าลูกศิษย์ของตนอยู่บนเส้นแห่งความเป็นความตายจริงๆ เสียแล้ว คำขอร้องก่อนตายของลูกศิษย์ก็คือให้ช่วยเหลือบุตร ทำให้ในใจของผู้อาวุโสฝูอวิ๋นเกิดข้ออ้างอยู่บ้าง ตนเองมิได้ช่วยลูกศิษย์ แต่เป็นการช่วยเหลือบุตรของศิษย์ต่างหาก ในความเป็นจริงแล้วความสัมพันธ์ศิษย์อาจารย์อันยาวนาน ผู้อาวุโสฝูอวิ๋นจะลืมเลือนไปจนหมดสิ้นได้อย่างไรกัน
“ผู้อาวุโส” หญิงสาวอาภรณ์ขาวชุยฉินก็เอ่ยขึ้น “ความผิดทั้งหมด ล้วนเป็นความผิดของพวกเราสามีภรรยา ยังขอให้ผู้อาวุโสโปรดอย่าเอาลูกเรามาเกี่ยวข้องด้วยเลย”
“เฮอะ ศิษย์หอกระจกสวรรค์” ผู้อาวุโสฝูอวิ๋นส่งเสียงเฮอะเยียบเย็นคราหนึ่ง
หอกระจกสวรรค์และสำนักนภาทมิฬ สองสำนักวิชาใหญ่นี้มีความแค้นต่อกันอย่างลึกซึ้งเหลือเกิน บรรพชนผู้ก่อตั้งสำนักเป็นศัตรูคู่อาฆาตกัน เป็นอริห้ำหั่นกันมาอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลาอันยาวนาน ความแค้นยิ่งใหญ่ราวภูเขาราวมหาสมุทร อย่างเช่นสหายร่วมวิถีของผู้อาวุโสฝูอวิ๋นก็ตายด้วยน้ำมือของยอดฝีมือหอกระจกสวรรค์ นี่เป็นเพียงแค่ยอดภูเขาน้ำแข็งเล็กๆ แห่งความแค้นของสองสำนักวิชาใหญ่เท่านั้นเองเซี่ยอีอวี่และชุยฉินถึงกับแต่งงานเป็นสามีภรรยากัน…
ที่สองสำนักวิชาใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นสำนักใด ก็ล้วนเป็นความผิดมหันต์ทั้งสิ้น!
ดังนั้นก่อนหน้านี้สองสามีภรรยาจึงได้หลบซ่อนตัวอย่างสันโดษอยู่ข้างนอก แต่ยามที่เผชิญกับการคุกคามของมารเฒ่าเขาทอง ในที่สุดก็ยังต้องอาศัยสำนักวิชาจึงจะสามารถคุ้มภัยให้ได้
“ไปเถิด กลับไปเสีย” ผู้อาวุโสฝูอวิ๋นนำทางพวกเขาสองคนแล้วเคลื่อนที่ในพริบตามุ่งตรงไปยังสำนักนภาทมิฬ
……
ณ สำนักนภาทมิฬ
บรรพชนผู้ก่อตั้งสำนักก็คือยอดฝีมือขั้นรวมเป็นหนึ่ง ‘บรรพชนนภาทมิฬ’ ที่จัดได้ว่าเป็นยอดฝีมือยี่สิบลำดับแรกของโลกดาราระยับแล้ว กฎเกณฑ์ของสำนักก็เคร่งครัด
แน่นอนว่าเพียงแค่เพียงแค่แต่งงานเป็นสามีภรรยากับศิษย์สำนักคู่อริ ถึงแม้ว่าจะเป็นความผิดมหันต์ แต่ก็มิอาจนับได้ว่าเป็น ‘โทษถึงตาย’ มีเพียงแค่ไม่กี่อย่าง อย่างเช่นการทรยศเท่านั้นจึงจะต้องตายในทันที
“เซี่ยอีอวี่และชุยฉิน อยู่ที่ยอดเขาภูตกาฬชั่วนิรันดร์”
ในที่สุดการลงโทษของสำนักนภาทมิฬก็ถูกกำหนดลงมา
เซี่ยอีอวี่และชุยฉินสองสามีภรรยาถูกส่งไปยังยอดเขาภูตกาฬ อยู่ที่ยอดเขาภูตกาฬร่วมกับคนในสำนักที่ได้รับโทษคนอื่นๆ ช่วยสำนักหลอมอาวุธล้ำค่า ‘อยู่ที่ยอดเขาภูตกาฬชั่วนิรันดร์’ ก็หมายความว่ามิอาจหนีไปได้ตลอดกาล มีเพียงแค่สถานการณ์เดียวเท่านั้นที่เป็นข้อยกเว้นก็คือพลังยุทธ์บรรลุ สำเร็จเป็นเทพอากาศ ก็จะได้เป็นผู้อาวุโสในทันที แน่นอนว่าสถานะก็ไม่เหมือนกันเสียแล้ว ไม่จำเป็นต้องถูกกักขังเอาไว้ที่นี่ตลอดไป
“พวกเราสองคนอยู่ที่ยอดเขาภูตกาฬชั่วนิรันดร์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าลูกของพวกเราจะต้องอยู่ที่นี่ไปตลอดกาลด้วย พวกเราสอนลูกให้ดีๆ รอให้เขามีพื้นฐานที่แข็งแกร่งแล้วก็ให้ลูกของพวกเราคารวะเข้าสู่สำนักนภาทมิฬ” เซี่ยอีอวี่และชุยฉินสองสามีภรรยากลับมีความสุขล้นหัวใจ พวกเขามีลานเล็กอยู่แห่งหนึ่งที่ยอดเขาภูตกาฬ ถึงแม้ว่าภารกิจจะหนักหน่วง แต่เซี่ยอีอวี่เสี่ยงชีวิตไปทำก็ใช้ได้แล้ว
พวกเขาสองสามีภรรยาตั้งหน้าตั้งตารอคอย
เมื่อถึงเดือนที่สามที่พวกเขาอาศัยอยู่ที่ยอดเขาภูตกาฬ…
‘ชุยฉิน’ ผู้เป็นภรรยาก็ให้กำเนิดเด็กผู้ชายคนหนึ่งออกมา เมื่อถือกำเนิดออกมาก็เป็นชีวิตเหนือธรรมดาแล้ว
ในขณะนี้ทั่วทั้งสำนักนภาทมิฬย่อมไม่เข้าใจอยู่แล้วว่าเด็กชายผู้ถือกำเนิดออกมาที่ ‘ยอดเขาภูตกาฬ’ อันห่างไกลจากสำนักนภาทมิฬผู้นี้มีความหมายเช่นไรต่อสำนักนภาทมิฬ!
ภาคที่ 34 เทพจักรวาล...
ตอนที่ 11 ข้ากลับมาแล้ว
ภายในห้องแห่งหนึ่งของเรือนหลังน้อยบนยอดเขาภูตกาฬ
เด็กน้อยเสื้อขาวอ้วนจ้ำม่ำมองไปข้างกาย ทันใดนั้นพลังฟ้าดินจำนวนน้อยนิดก็รวมตัวกันเป็นเด็กน้อยคนหนึ่ง
“ให้ร่างแปรนี้อยู่ที่นี่ไปชั่วคราวก่อน”
สวบ
เด็กน้อยเสื้อขาวหายวับไปกลางอากาศ
……
ท่ามกลางอากาศอันสับสนอลหม่านแห่งหนึ่งซึ่งห่างไกลจากโลกดาราระยับเป็นระยะทางนับไม่ถ้วน เด็กน้อยเสื้อขาวปรากฏกายขึ้น จากนั้นรูปลักษณ์ของเด็กน้อยเสื้อขาวก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว กลายเป็นตงป๋อเสวี่ยอิง ชายหนุ่มอาภรณ์สีขาวแทน
“รีบยกระดับพลังของกายหยาบเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ
เมื่ออยู่ในโลกดาราระยับ เขาก็ไม่สะดวกจะดูดซับพลังฟ้าดินจำนวนมากตามอำเภอใจ ดังนั้นจึงแค่ยกระดับวิญญาณขึ้นไปจนถึงระดับเทพจักรวาลโดยอาศัย‘วิถีโลกเทียม’เป็นโครงสร้างหลัก! สิ่งที่ดูดซับเข้าไปเพื่อยกระดับวิญญาณนั้น คือพละกำลังต้นกำเนิดสุดของโลกกำเนิด พลังฟ้าดินนั้นเงียบเชียบไร้ความเคลื่อนไหว บัดนี้แบ่งร่างแปรออกมาร่างหนึ่งจึงย่อมทำได้อย่างง่ายดาย
“ตู้ม!”
ทันใดนั้นท่ามกลางอากาศอันสับสนอลหม่านอันเวิ้งว้างและเงียบเหงารอบด้านก็มีพลังฟ้าดินจำนวนมากโหมซัดเข้าสู่ร่างกายของตงป๋อเสวี่ยอิงตามการเหนี่ยวนำของเขา ก่อให้เกิดเป็นน้ำวนอันน่าหวาดหวั่นหาใดเปรียบ
พลังของกายหยาบทะยานขึ้นอย่างพรวดพราด
เหนือธรรมดา ทวยเทพ เทพโลกา เทพแท้ เทพอากาศ ขั้นรวมเป็นหนึ่งและขั้นอลวน…เทพจักรวาล!
ความเร็วในการวิวัฒน์เช่นนี้รวดเร็วมาก
ภายในการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่ขาดสายจาก ‘ทะเลเทพ’ เปลี่ยนแปลงฟ้าดิน…เปลี่ยนแปลงไปจนถึงรวมตัวกันเป็นจุดหนึ่งคือ ‘แหล่งโลกเทียม’ แล้วเปลี่ยนแปลงไปอีกเป็นจักรวาลขนาดเล็กจิ๋วอันสับสนอลหม่าน ไปจนถึงขั้นแปรเป็นจักรวาลโลกเทียมในท้ายที่สุด
หากระดับขั้นถึงแล้ว
ต้องการเพียงแค่ดูดซับพลังงานให้มากพอเท่านั้น พลังก็จะฟื้นคืนมาได้อย่างรวดเร็วตามธรรมชาติ
“ในที่สุดก็ฟื้นคืนมาแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงสัมผัสได้ถึงพลังของตนก็เผยรอยยิ้มสายหนึ่งออกมา “เมื่อเทียบกับดินแดนจิตโลกาแล้ว ก็ไม่มีสมบัติลับเลย แม้แต่กายทิพย์เมฆทักษิณาก็มิอาจฝึกฝนได้แล้ว”
ถึงอย่างไรกายทิพย์เมฆทักษิณาก็ต้องการวัตถุภายนอกมากมายยิ่งนัก ซึมซับของล้ำค่าชนิดต่างๆ พลังที่แฝงอยู่รวมเข้าไปในกายตน
แต่ปัญหาก็คือ วัตถุพิเศษอันล้ำค่าหายากต่างๆที่กำเนิดขึ้นมาในดินแดนจิตโลกา ส่วนใหญ่ล้วนไม่มีอยู่ในอากาศอันสับสนอลหม่าน เพราะถึงอย่างไรโลกกำเนิดสองแห่งที่แตกต่างกัน ภายใต้กฎเกณฑ์อันสูงส่งที่แตกต่างกัน สรรพสิ่งต่างๆ ที่ให้กำเนิดขึ้นมาก็ล้วนแตกต่างกันเป็นอันมาก แม้แต่การบำเพ็ญก็ต้องบรรลุถึงขั้นเทพจักรวาลเสียก่อนจึงจะสามารถใช้ร่วมกันได้
“ทว่าข้าสามารถฝึกฝนปุจฉวิถีคละถิ่นที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นได้”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ
ที่เขากลับมาในครั้งนี้ ได้นำสองเคล็ดวิชาอันน่าหวาดหวั่นติดตัวมาด้วย ได้แก่เคล็ดวิชาปุจฉวิถีคละถิ่นและโลกจิต
เพียงแต่ปุจฉวิถีคละถิ่นชั้นที่หนึ่งจะให้เข้าที่ได้ก็มีเงื่อนไขสูงยิ่งนัก ก่อนอื่นคือต้องบรรลุถึง ‘การกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุด’ เสียก่อน จากนั้นก็ต้องสามารถทำลายกรงของโลกกำเนิดที่กักขังเอาไว้ให้ได้ เพื่อจะได้ซึมซับ ‘เคล็ดผนึกห้าภาพ’ ให้ตนเองใช้! สุดท้ายก็คือเงื่อนไขของระดับขั้น จะต้องยกระดับให้วิถีอากาศแปดสายในนั้นไปถึงระดับขั้นเทพจักรวาลให้ได้ เห็นได้ชัดว่าเงื่อนไขนั้นสูงกว่าเคล็ดผนึกห้าภาพมากนัก
“การเคลื่อนของเวลาในดินแดนจิตโลกาและอากาศอันสับสนอลหม่านแตกต่างกันไม่มากนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ ขณะเดียวกับที่วิญญาณกำลังฟื้นฟูไปถึงระดับเทพจักรวาลนั้น สัมผัสรับรู้ที่มีต่อร่างแยกในดินแดนจิตโลกานั้นก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างง่ายดาย ความทรงจำก็เชื่อมต่อกันแล้ว
“ถูกส่งจากดินแดนจิตโลกากลับไปยังอากาศอันสับสนอลหม่าน เวลาเหมือนจะยาวนานมาก แต่อันที่จริงแล้วก็แค่หนึ่งแสนสองหมื่นปีเท่านั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ
เวลาหนึ่งแสนสองหมื่นปี
ทางดินแดนจิตโลกานั้นได้ยกระดับทางเก้าสายของวิถีอากาศไปจนถึงระดับขั้นเทพจักรวาลหมดแล้ว หลักๆ ก็คือหลังจากคิดค้น ‘เคล็ดไร้ทลายเก้ากัณฑ์’ ขึ้นมาเองแล้ว เขาก็กระจ่างแจ้งความเร้นลับที่ทั้งเก้าสายหมุนเวียนและช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ประสานรวมและกระตุ้นซึ่งกันและกัน จึงย่อมบรรลุอย่างต่อเนื่องเป็นธรรมดาโดยราบรื่นเป็นอันมาก สำเร็จเป็นเทพจักรวาลได้ในเวลาสามหมื่นปีเท่านั้น ทั้งเก้าสายล้วนประสบความสำเร็จทั้งสิ้น
บัดนี้สามารถสำแดงเคล็ดผนึกห้าภาพออกมาได้! แน่นอนว่าเป็นเพียงแค่ ‘อนุสัมฤทธิ์’ เท่านั้น ถึงอย่างไรก็มิอาจอาศัยลูกแก้วห้าภาพมาช่วยได้!
‘ยุทธวิธี’ ของปุจฉวิถีคละถิ่นก็สามารถสำแดงออกมาได้โดยตรง
แต่การ ‘ฝึกกายคละถิ่น’ กลับต้องใช้เวลาในการฝึก ด้วยเคล็ดผนึกห้าภาพที่ ‘หลุม’ ขนาดเล็กจิ๋วซึ่งตนทำให้โลกกำเนิดแตกออกสามารถดูดซับได้นั้น จะฝึกกายให้สำเร็จในท้ายที่สุดจะต้องใช้เวลายาวนานมาก
“ฝึกร่างแยกให้สำเร็จก่อนก็แล้วกัน”
ใช่แล้ว
ความทรงจำของตงป๋อเสวี่ยอิงเชื่อมต่อกับร่างแยกในดินแดนจิตโลกา และได้พบเรื่องที่ทำให้เขายินดีมากเรื่องหนึ่ง
ขณะที่ตนถูกส่งออกไปจากดินแดนจิตโลกานั้น ร่างแยกแปดร่างที่หลงเหลืออยู่ สามารถฝึกร่างแยกที่เก้าขึ้นมาได้!
“ใช่แล้ว อย่างพวกเทพโลกาและเทพแท้ในจักรวาลก็ล้วนสามารถฝึกร่างแยกขึ้นมาได้ แต่หลังออกจากจักรวาลแล้วกลับมิอาจฝึกได้อีกต่อไป” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ “ส่วนผู้มีพรสวรรค์พิเศษบางคนของระบบศาสตร์โบราณกลับสามารถฝึกร่างแยกออกมาได้! เห็นได้ชัดว่าขอเพียงได้รับการอนุญาตจาก ‘กฎเกณฑ์อันสูงส่ง’ ก็จะสามารถฝึกร่างแยกออกมาได้แล้ว”
ศาสตร์ร่างแยกที่ท่านอาจารย์ประมุขรัฐเมฆทักษิณาคิดค้นขึ้นนั้นคือการดูดซับเคล็ดผนึกห้าภาพทำให้วิญญาณวิวัฒน์ไป หลังจากดูดซับเคล็ดผนึกห้าภาพของมิติชั้นสูงขึ้นแล้ว ต่อให้กฎเกณฑ์อันสูงส่งกดดัน ก็สามารถคงร่างแยกเก้าร่างเอาไว้ได้แล้ว
บัดนี้ร่างแยกร่างหนึ่งถูกส่งออกไป
ภายในโลกกำเนิดของดินแดนจิตโลกานั้น ภายในขอบเขตที่กฎเกณฑ์อันสูงส่งปกคลุมได้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีร่างแยกอยู่เพียงแปดร่างเท่านั้น! แต่กฎเกณฑ์อันสูงส่งอนุญาตให้มีร่างแยกได้เก้าร่าง แน่นอนว่าเขาย่อมต้องฝึกร่างแยกขึ้นมาอีกร่างหนึ่ง
“ด้วยเหตุผลอย่างเดียวกัน ร่างแยกร่างนี้ของข้ากลับไปยังบ้านเกิด ภายใต้กฎเกณฑ์อันสูงส่งของอากาศอันสับสนอลหม่าน ข้ามีร่างกายเพียงร่างเดียวเท่านั้น จึงสามารถฝึกฝนร่างแยกต่อไปได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ
จากนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็ต่อยออกไปหมัดหนึ่ง กระบวนท่าของหมัดนี้ละเมียดละไมยิ่งกว่าทลายเวหาเสียอีก มันเป็นหนึ่งในยุทธวิธีของปุจฉวิถีคละถิ่น เมื่อชกออกไปหมัดหนึ่ง มิติแปดสายบริเวณกำปั้นก็พันพาดกัน ตรงศูนย์กลางของบริเวณที่พันพาดกันนั้นระเบิดออกเป็นจุดสีดำขนาดเล็กจิ๋ว มีกลิ่นอายเร้นลับแพร่ออกมาจากหลุมสีดำขนาดราวเมล็ดข้าวนั้น
ณ ปลายอีกด้านหนึ่งของหลุมสีดำนี้…ก็คือมิติชั้นสูงยิ่งขึ้นซึ่งแฝงไว้ด้วยความน่าหวาดหวั่นอันใหญ่หลวง
กลิ่นอายเร้นลับก็คือเคล็ดผนึกห้าภาพ
“มาแล้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงเคล็ดวิชาศาสตร์ร่างแยกออกมา แล้วดูดซับพลังของเคล็ดผนึกห้าภาพนี้
……
ชั่วขณะให้หลัง
ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวและตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ทองยืนอยู่กลางอากาศอันเวิ้งว้าง
“น่าเสียดายที่มีร่างแยกได้เพียงสองร่างเท่านั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบส่ายหน้า “ข้าทำลายกรงที่กักขังไว้ได้รูเล็กเกินไป กลิ่นอายเร้นลับที่สามารถดูดซับได้จึงยังไม่เข้มข้นพอ ฝึกสำเร็จได้แค่ศาสตร์ร่างแยกชั้นที่หนึ่งเท่านั้น”
ศาสตร์ร่างแยกชั้นที่หนึ่งมีร่างแยกเพียงสองร่าง
ศาสตร์ร่างแยกชั้นที่สองมีร่างแยกเก้าร่าง
ศาสตร์ร่างแยกชั้นสูงสุดขั้นครบสมบูรณ์ มีร่างแยก 10081 ร่าง
เคล็ดวิชาที่ประมุขรัฐเมฆทักษิณาคิดด้นขึ้นนั้นขึ้นอยู่กับ ‘เคล็ดผนึกห้าภาพ’ ที่วิญญาณสามารถดูดซับได้และระดับการวิวัฒน์ของวิญญาณเป็นหลัก! ขั้นสุดของระดับการวิวัฒน์ ก็จะสามารถคงร่างแยกไว้ได้นับหมื่นร่าง
“เคล็ดวิชาศาสตร์ร่างแยกที่ท่านอาจารย์ประมุขรัฐเมฆทักษิณาคิดค้นขึ้นยังคงยอดเยี่ยมสู้ทางสายของจ้าวภูเขาฉื้อเหมยและประมุขหอหมื่นโลกาไม่ได้อยู่ดี” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบทอดถอนใจ
เคล็ดวิชาศาสตร์ร่างแยกของท่านอาจารย์นั้นมีขีดจำกัดที่ต้องข้ามผ่านสูงมากทีเดียว
จะต้องทำลายกรงที่กักขังไว้จึงจะสามารถฝึกให้เข้าที่ได้ แต่การทำลายกรงของโลกกำเนิดที่กักขังไว้นั้นเป็นพลังระดับชั้นที่สิบเลยทีเดียว เป็นพลังระดับเทพจักรวาลแล้ว ‘จ้าวภูเขาฉื้อเหมย’ ผู้นั้นจะต้องไม่มีอย่างแน่นอน! แต่จ้าวภูเขาฉื้อเหมยกลับมีร่างแยกสองร่างมาตั้งนานแล้ว
ส่วน ‘ประมุขหอหมื่นโลกา’ ตอนนั้นที่ประมุขหอหมื่นโลกาเคยลอบสังหารตนเอง ก็มีพลังเพียงเทพจักรวาลทั่วไปเท่านั้น กลับสามารถคงร่างแยกเอาไว้ได้นับหมื่นร่าง ตามเคล็ดวิชาของประมุขรัฐเมฆทักษิณา จะต้องเป็นเทพจักรวาลระดับชั้นที่สองเท่านั้นจึงจะสามารถมีร่างแยกเกินหมื่นร่างได้
เมื่อดูจากผลของการบำเพ็ญแล้ว
ในด้านศาสตร์ร่างแยก โดยรวมแล้วทางสายของพวกจ้าวภูเขาฉื้อเหมยและประมุขหอหมื่นโลกานั้นอดเยี่ยมกว่าทางด้านของประมุขรัฐเมฆทักษิณา
บัดนี้ตนก็เป็นเทพจักรวาลระดับชั้นที่หนึ่ง นอกจากนี้วิถีอากาศเก้าสายก็ยังสามารถผลักดันไปถึงระดับขั้นเทพจักรวาลได้ หากเป็นทางสายประมุขหอหมื่นโลกานั้น เกรงว่าคงจะมีร่างแยกนับหมื่นร่างไปแล้ว
“ก็ไม่รู้ว่าที่แท้แล้วผู้ใดเป็นคนคิดค้นทางสายของพวกจ้าวภูเขาฉื้อเหมยและประมุขหอหมื่นโลกาขึ้นมา” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ ที่แล้วมาเขายังเคยคิดว่าประมุขหอหมื่นโลกาเป็นผู้คิดค้นขึ้น แต่ตอนนี้น่ะหรือ เขาไม่มีทางคิดเช่นนี้แน่นอน เคล็ดวิชาอันล้ำเลิศเช่นนี้ เกรงว่าคงจะต้องเป็นสิ่งมีชีวิตซึ่งทางด้านวิถีอากาศบรรลุถึงเทพจักรวาลระดับชั้นที่สาม ระดับเดียวกับบรรพชนฝานที่เป็นผู้คิดค้นขึ้น
“จ้าวภูเขาฉื้อเหมย”
ตงป๋อเสวี่ยอิงมีจิตคิดอาฆาต
ทางสายของพวกเขาลอยสังหารตนก็แล้วไปเถิด แต่ยังยืมมือจอมเทพศักดิ์สิทธิ์มาจัดการตนอีก!
ตงป๋อเสวี่ยอิงในตอนนี้ไม่รู้เลยว่า…จ้าวภูเขาฉื้อเหมยถูกเจ้าศิลาสังหารไปก่อนแล้ว
“ตอนนั้นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์หาร่างแยกของจ้าวภูเขาฉื้อเหมยไม่พบ เกรงว่าคงจะหาร่างแยกของข้าไม่พบเช่นกัน นอกจากนี้เมื่อข้าฝึกกายคละถิ่นแล้ว ร่างกายก็จะมีลักษณะพิเศษของการคละถิ่นอยู่บางส่วน คิดจะตามหาข้าก็ยิ่งต้องฝันไปก่อน” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ หลังจากวิญญาณของตนดูดซับเคล็ดผนึกห้าภาพและวิวัฒน์ไปแล้ว วิธีสะกดรอยส่วนใหญ่ก็ใช้ไม่ได้ผลกับตน ยิ่งไปกว่านั้นตนยังมีปุจฉวิถีคละถิ่นที่ล้ำเลิศยิ่งกว่าด้วย
ฝึกกายคละถิ่น…ใช้เวลายาวนานเกินไป ตอนนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่มีความอดทนพอ
“ร่างแยกนี้บำเพ็ญขึ้นมาในโลกดาราระยับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์สีทองด้านข้าง “ต่อให้ร่างจริงสู้จนตัวตาย ร่างแยกก็สามารถฝึกกลับมาได้อย่างรวดเร็วและสามารถทดแทนบุญคุณท่านพ่อท่านแม่ที่กลับชาติมาจุติในครั้งนี้ได้”
สวบ
ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์สีทองหายไปอย่างรวดเร็ว แล้วกลับไปยังโลกดาราระยับ
“ควรกลับไปดูได้แล้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงสาวเท้าออกไปก้าวหนึ่งก่อนจะอันตรธานไป
……
ท่ามกลางอากาศอันสับสนอลหม่านผืนหนึ่ง
ตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏกายขึ้นท่ามกลางความว่างเปล่า นัยน์ตาของเขาฉายแววรอคอย ด้วยระดับจิตของเขาแล้ว ก็ยังยากที่จะข่มความตื่นเต้นเอาไว้ได้
ในที่สุดก็กลับมาเสียที
ตอนนั้นตนถูกบีบบังคับให้กลับชาติไปจุติ มุ่งหน้าไปยังดินแดนจิตโลกา ในที่สุดวันนี้ก็ได้กลับมาแล้ว
“เอ๊ะ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปด้านหน้าด้วยความตกตะลึง
บัดนี้วิถีอากาศทั้งเก้าสายของเขาล้วนบรรลุถึงขั้นสุดหมดแล้ว เมื่อสำแดงยุทธวิธีคละถิ่นออกมา การเคลื่อนที่ในพริบตาก็เป็นระยะทางไกลกว่ามากทีเดียว เคลื่อนที่ในพริบตาครั้งหนึ่งก็สามารถข้ามไปได้ครึ่งค่อนอากาศอันสับสนอลหม่านแล้ว ไม่มีทางพลาดได้แน่ ‘โลกทิพย์ทะเลสัตตดารา’ เองก็ยิ่งไม่มีทางวิ่งไปไหนได้ เพราะถึงอย่างไรก็เป็นโลกทิพย์อันกว้างใหญ่ไพศาล
“โลกทิพย์ทะเลสัตตดาราเล่า ทำไม ทำไมจึงไม่มีเสียแล้วเล่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูอากาศอันสับสนอลหม่านอันเวิ้งว้างว่างเปล่าตรงหน้า ในใจอดรู้สึกเย็นวาบขึ้นมามิได้
อากาศเบื้องหน้าผืนนี้…
เดิมทีเป็นโลกทิพย์ทะเลสัตตดาราตั้งอยู่ แต่บัดนี้กลับมีเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น