Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 33 ตอนที่ 82-91

 ตอนที่ 82 ร่วงหล่นอย่างต่อเนื่อง

Ink Stone_Fantasy

ตงป๋อเสวี่ยอิงเลือกที่นั่งตามอัธยาศัย นั่งอยู่ที่นั่นก็เพียงแค่ดื่มสุรา กินผลไม้วิเศษที่ใช้สร้างวิญญาณขึ้นมาใหม่ ในขณะเดียวกันก็สังเกตดูบริเวณโดยรอบอย่างเงียบๆ


“เทพจักรวาลมากพอดูเลยทีเดียว” แขกที่สามารถเข้าร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้ได้ก็มีเกินกว่าร้อยท่าน สามารถอยู่ที่นี่ได้ นอกจากพวกตงป๋อเสวี่ยอิงและเด็กขั้นอลวนที่เข้าร่วม ‘สงครามสามตระกูล’ แล้ว บรรดาแขกเหรื่อคนอื่นๆ ที่อ่อนแอที่สุดก็คือระดับประมุขรัฐประกายเพลิงและประมุขรัฐวอเฟิง ถ้าหากเป็นเทพจักรวาลธรรมดาทั่วไปที่อ่อนแอ ก็ย่อมไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมอยู่แล้ว!


อย่างเช่นจ้าวขุยเฉินที่นำทางตนมา ก็ได้แต่นั่งอยู่ที่ริมขอบเท่านั้น


“เหล่ามหาเคารพหรือ”


ตงป๋อเสวี่ยอิงสังเกตเห็นเหล่ามหาเคารพซึ่งมีท่าทางเหิมเกริม บ้างก็ท่าทางเหนือธรรมดา บ้างก็แปลกประหลาดเหล่านั้น


ผู้ที่สามารถเรียกได้ว่าเป็น ‘มหาเคารพ’ นั้นก็เป็นรองเพียงบุคคลผู้ไร้เทียมทานเท่านั้น! หากพูดถึงพลังแล้ว เมื่อเทียบกับประมุขรัฐเมฆทักษิณาก็ไม่แตกต่างกันมากนัก แม้ประมุขรัฐเมฆทักษิณาจะมั่งคั่งกว่า แต่สมบัติล้ำค่าและตำราศาสตร์ลับนานาชนิดของรัฐโบราณคิมหันตวายุกลับมีมากเสียจนประมุขรัฐเมฆทักษิณามิอาจเทียบได้ แต่ประมุขรัฐเมฆทักษิณาสามารถคิดค้น ‘ศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกา’ ขึ้นมาได้ ก็เป็นหลักประกันให้เขาพอจะท้าทายบุคคลผู้ไร้เทียมทานได้แล้ว!


“บรรดามหาเคารพเหล่านี้ทำให้ข้ารู้สึกว่าพวกเขาใกล้เคียงกับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ “ส่วนบุคคลผู้ไร้เทียมทานทั้งสามนั้น เหมือนจะแข็งแกร่งกว่าจอมเทพศักดิ์สิทธิ์เสียอีก!”


ช่วยไม่ได้


ทางอากาศอันสับสนอลหม่านนั้น สมบัติลับล้ำค่าที่แข็งแกร่งนั้นมีน้อยกว่า! สมบัติลับล้ำค่าที่สามารถต่อสู้ข้ามชั้นได้ตนก็ไม่เคยเห็นแม้แต่ชิ้นเดียว เห็นได้ชัดว่าเคล็ดลับการหลอมแปรนั้นหยาบกว่าดินแดนจิตโลกามากทีเดียว


ต่อให้เป็นคัมภีร์ล้วนๆ…ความแตกต่างของทั้งสองฝ่ายก็มากมายนัก! แม้แต่ ‘ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา’ เพียงอย่างเดียวก็สามารถทำให้จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ตาเป็นมันได้แล้ว


“ขั้นอลวนของสกุลชางมาแล้ว”


ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไป


ยอดฝีมือทั้งห้าของสกุลชางมาถึงพร้อมกับเทพจักรวาลท่านหนึ่ง แม้ห้าคนนั้นจะคารวะด้วยความเคารพ แต่ความรู้สึก ‘จองหอง’ และ ‘เหินห่าง’ เช่นนั้นก็ชัดเจนเป็นที่สุด นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติจากการบ่มเพาะศิษย์ของสกุลชาง ‘การปล่อยปละละเลย’ เช่นนั้น แม้จะทำให้บางคนเสียคนไป แต่ผู้ที่รุ่งโรจน์ขึ้นมากลับล้ำเลิศกว่า สกุลชางไม่รับคนจากรัฐภายนอกเช่นกัน แต่พลังโดยรวมก็ยังคงทัดเทียมกับสกุลฝาน เห็นได้ชัดว่าการบ่มเพาะเช่นนี้มีสิ่งที่น่าเอาเป็นเยี่ยงอย่างเช่นเดียวกัน


“สกุลเซี่ย สกุลชาง สกุลฝาน” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองสำรวจดู “ศิษย์สกุลเซี่ยแต่ละคนล้วนรู้มารยาท สกุลชางออกจะเห็นตนเองเป็นใหญ่อยู่บ้าง ส่วนสกุลฝานนั้นมีความเย็นชาและเย่อหยิ่งกว่าอยู่บ้าง”


หากพูดจากใจแล้ว ศิษย์สกุลเซี่ยทำให้เขาชมชอบได้มากที่สุด


เพราะเป็นผู้ที่รู้มารยาทและควบคุมตนเองได้ดีที่สุด ตามสิ่งที่ได้รับรู้จากรายงาน ศิษย์สกุลเซี่ยก็รังเกียจความชั่วร้ายดุจคู่แค้นเป็นที่สุด


……


ตงป๋อเสวี่ยอิงดื่มสุราในไหตรงหน้าไปแล้วกว่าครึ่ง ผลหมากรากไม้ก็กินไปแล้วไม่น้อย ยามนี้ถัดลงมาจากจักรพรรดิเซี่ย บุรุษชุดขาวคนหนึ่งยืดกายขึ้นแล้วพูดเสียงดังกังวานว่า “ข้าคือผู้เคารพเฟิงเฉิน เป็นผู้ดำเนินสงครามสามตระกูลในครั้งนี้ สงครามสามตระกูลคือการประลองสามรอบในด้านที่แตกต่างกันของศิษย์ขั้นอลวนแห่งสกุลเซี่ย สกุลฝานและสกุลชาง แล้วค่อยตัดสินอันดับสูงต่ำในท้ายที่สุด”


ตงป๋อเสวี่ยอิงตั้งใจฟังโดยละเอียด


แม้จะกล่าวว่าเป็นคนของทั้งสามตระกูล แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับมิได้หมายความถึงสามตระกูลใหญ่อย่างเคร่งครัดถึงเพียงนั้น!


อย่างสกุลเซี่ยและสกุลชาง…แม้จะไม่รับผู้แกร่งกล้าจากรัฐภายนอก แต่กลับรับผู้แกร่งกล้าภายในรัฐ ผู้แกร่งกล้าจำนวนมากสวามิภักดิ์ต่อพวกเขาและเข้าร่วมด้วย จนถึงขั้นมอบสกุลให้ใช้ด้วย!


สกุลฝานนั้นรับผู้แกร่งกล้าจากรัฐภายนอก อย่างตงป๋อเสวี่ยอิง หากตอนนั้นคารวะบรรพชนฝานเป็นอาจารย์ ก็จะกลายเป็นคนสำคัญของสกุลฝานทันที! หากเขายอมรับมอบสกุล เปลี่ยนเป็น ‘ฝานเสวี่ยอิง’ แล้วล่ะก็ ผลประโยชน์ที่เขาจะได้รับจากสกุลฝานก็จะเพิ่มมากขึ้นอย่างมากมาย ตอนนั้นเพื่อ ‘เคล็ดร่างแยก’ จะได้กลับบ้านเกิดเร็วหน่อย ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงได้สวามิภักดิ์ต่อปรมาจารย์ประมุขรัฐเมฆทักษิณา


หากอยู่ในสกุลฝาน ต่อให้มีพลังสูงส่งกว่านี้ ก็ไม่มีทางได้รับอย่างสมบัติลับล้ำค่าจำพวก ‘ลูกแก้วห้าภาพ’ ทันที! ตงป๋อเสวี่ยอิงจะต้องสร้างคุณูปการยิ่งใหญ่พอเพื่อแลกมา เพราะถึงอย่างไรยอดฝีมือสกุลฝานก็มากมายดุจเมฆ กฎเกณฑ์ก็ย่อมเคร่งครัดกว่า


“การประลองแต่ละรอบล้วนมีหม้อขาหยั่งทองมอบให้” บุรุษอาภรณ์ขาวมหาเคารพเฟิงเฉินพูดยิ้มๆ “หลังการประลองทั้งสามรอบ ตระกูลที่ครอบครองหม้อขาหยั่งทองมากที่สุดก็จะเป็นผู้คว้าชัยชนะ”


ขั้นอลวนทั้งสิบห้าคนรวมทั้งตงป๋อเสวี่ยอิงพากันกลั้นหายใจ


“การประลองรอบแรกเป็นการประลองดวงจิต เป็นปณิธาน” มหาเคารพเฟิงเฉินบุรุษอาภรณ์ขาวกล่าว “ยิ่งเดินทางไปบนเส้นทางการบำเพ็ญไกลเท่าใด ปณิธานดวงจิตก็ยิ่งสำคัญมากขึ้นเท่านั้น พวกเจ้าทั้งสิบห้าคนจะประสบการโจมตีปณิธานดวงจิตพร้อมกัน ยิ่งต้านทานได้นานเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น ผู้ที่ต้านทานได้นานที่สุดก็จะได้เป็นอันดับหนึ่ง จะได้หม้อขาหยั่งทองสามใบ อันดับที่สองจะได้หม้อขาหยั่งทองสองใบ อันดับที่สามจะได้หม้อขาหยั่งทองหนึ่งใบ ส่วนคนอื่นๆ จะไม่ได้เหมือนกันหมด”


ตงป๋อเสวี่ยอิงตัดสินใจแน่วแน่


ประลองปณิธานดวงจิตหรือ


ยอดฝีมือตัวฉกาจทางด้านเขตลวงโลกเทียมอย่างเขาจะกลัวเรื่องนี้อีกหรือ


ขั้นอลวนสิบห้าคน มีเพียงสามอันดับแรกจึงจะได้รับมอบ ‘หม้อขาหยั่งทอง’ นี่เป็นเพียงรอบแรกเท่านั้น ต้อง


ประลองทั้งหมดสามรอบด้วยกัน! ว่ากันว่าเป็นการประลองที่แตกต่างกัน


“รอบแรกนี้สบายที่สุด เอาล่ะ ลุกขึ้นยืนตรงกลางโถงตำหนักให้หมด” มหาเคารพเฟิงเฉินพูดกำชับ


“ขอรับ”


สกุลเซี่ย สกุลชางและสกุลฝาน กองกำลังสามกอง มียอดฝีมือขั้นอลวนชั้นที่สิบรวมทั้งหมดสิบห้าคนลุกขึ้นยืนโดยพร้อมเพรียงกัน พวกเขาต่างก็ได้รับการคัดสรรมาโดยละเอียด ในจำนวนนั้นมีถึงสิบสามคนซึ่งเป็นชนพื้นเมืองของรัฐโบราณคิมหันตวายุเอง! อันที่จริงรัฐโบราณคิมหันตวายุใหญ่โตเกินไปแล้ว การแก่งแย่งชิงดีภายในยังดุเดือดกว่าการต่อสู้กับรัฐภายนอกมากนัก


“เค่อชิงระดับบนหิมะเหิน ขึ้นอยู่กับพลังของเจ้าแล้วนะ” ฝานซานหยวนถ่ายเสียงพูดยิ้มๆ


“ได้ยินมาว่าเคล็ดวิเศษไร้ภาพเชี่ยวชาญทางด้านเคล็ดดวงจิตเป็นอย่างมาก” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ถ่ายเสียงพูด


ฝานซานหยวน ตงป๋อเสวี่ยอิง ฝานอีเชียน ฝานโม่จู๋และอ๋องส้าหลง พวกเขาทั้งห้าต่างก็ยืนอยู่บนตำหนักใหญ่ ตรงกลางมียอดฝีมือทั้งห้าของสกุลเซี่ย ส่วนอีกฝั่งหนึ่งก็คือยอดฝีมือทั้งห้าของสกุลชาง


“ฮ่าฮ่าฮ่า…”


บนตำหนักใหญ่ มีเสียงหัวเราะดังก้องขึ้นมาก่อน


จากนั้นเสียงผีผาก็ดังก้องขึ้นมา


ท้ายที่สุดยังมีเขตลวงปกคลุมลงมา ถึงขั้นสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่ากลางเขตลวงมีภาพอันบิดเบี้ยวจำนวนนับไม่ถ้วนอยู่ มันเหนี่ยวนำความปรารถนาภายในใจให้ออกมา


เห็นได้ชัดว่าสามตระกูลใหญ่ต่างก็มียอดฝีมือที่เชี่ยวชาญทางด้านเขตลวงลงมือแล้ว


สวบๆๆ…


เพียงชั่วอึดใจเดียว ขั้นอลวนสิบห้าคนกลางตำหนักใหญ่ก็อ่อนยวบลงบนพื้นถึงหกคนด้วยกัน ฝานอีเชียนเป็นคนสกุลฝานเพียงคนเดียวที่ล้มลง


“ระดับในครั้งนี้ใกล้เคียงกันกับที่แล้วมา แต่เพิ่งเริ่มต้นก็ล้มลงไปถึงหกคนแล้ว เฮ้อ สกุลฝานไม่เลวเลย ล้มลงไปเพียงคนเดียวเท่านั้นเองหรือ”


“ครั้งนี้สกุลฝานล้มลงไปเพียงคนเดียวเท่านั้น เห็นทีสกุลฝานจะมาแรงเสียแล้ว”


“ฝานอีเชียนหรือ”


บรรดาแขกเหรื่อวิพากษ์วิจารณ์กัน


ส่วนบรรดาคนระดับสูงของสกุลฝานเห็นฝานอีเชียนยิ้มอย่างโง่งมอยู่ตรงนั้นก็อดลอบส่ายศีรษะมิได้ ในบรรดาศิษย์หัวแก้วหัวแหวนทั้งสามที่พวกเขาสกุลฝานเลือกมาในครั้งนี้ อีกสองคนยังดีอยู่ แต่ ‘ฝานอีเชียน’ ผู้นี้กลับมีทั้งข้อดีและข้อด้อยที่เห็นได้ชัด ปณิธานดวงจิตของเขาค่อนข้างอ่อนแอ ออกจะมุทะลุกว่า แต่กลับเกิดการตอบสนองต่อตำราศาสตร์ลับที่ ‘หยวน’ ประพันธ์ขึ้น พลังรบจึงน่าหวาดหวั่นยิ่งกว่า


“ข้าก็รู้อยู่แล้วว่ารอบแรกเขาก็จะล้มลงทันทีแล้ว” มหาเคารพซือเทียนส่ายศีรษะเบาๆ พลางยกจอกสุราขึ้นมา “ทว่าครั้งนี้มีซานหยวนซึ่งฝึกฝนเคล็ดวิเศษไร้ภาพอยู่ และยังมีอิงซานเสวี่ยอิงด้วย การประลองรอบแรกนี้พอจะยังมีโอกาสอยู่บ้าง”


บรรดาขั้นอลวนในตำหนักใหญ่ค่อยๆ ทยอยกันล้มลงเมื่อเวลาผ่านไป


บนใบหน้าของฝานโม่จู๋ซึ่งดูเหมือนสาวน้อยเผยสีหน้าขมขืนออกมา ถึงขั้นฉายแววเกลียดชัง ทั้งยังมีสีหน้าเจ็บปวดใจด้วย จากนั้นนางก็อ่อนยวบลงกับพื้น เห็นได้ชัดว่านางดำดิ่งลงไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว


สีหน้าของอ๋องส้าหลงเหี้ยมเกรียม ร่างกายสั่นสะท้าน


“ไม่…”


เขายังเปล่งเสียงงึมงำออกมา เห็นได้ชัดว่ากำลังพยายามต้านทานเอาไว้


แต่เมื่อเวลาผ่านไป เทพจักรวาลสำแดงกระบวนท่าออกมาได้ร้ายกาจมากขึ้นเรื่อยๆ อ๋องส้าหลงก็ล้มลงไปแล้ว แต่ยามนี้ บนเวทีเหลือเพียงห้าคนเท่านั้น! ตงป๋อเสวี่ยอิงและฝานซานหยวนยังคงยืนอยู่ตรงนั้น สีหน้ายังสงบนิ่งเป็นอันมาก


ตอนที่ 83 เหล่าผู้มีพรสวรรค์ล้ำเลิศ

Ink Stone_Fantasy

“ยังมีอีกห้าคน เห็นทีผลสำเร็จทางด้านปณิธานดวงจิตจะพิเศษอยู่บ้าง” เหล่าผู้แกร่งกล้าระดับสูงของรัฐโบราณคิมหันตวายุในที่นั้นถ่ายเสียงสนทนากัน “เจ้าหนุ่มทั้งสองของสกุลฝาน คนหนึ่งคือฝานซานหยวนที่ฝึกฝนเคล็ดวิเศษไร้ภาพ ส่วนอีกคนหนึ่งก็ประหลาดแล้ว เพราะคืออิงซานเสวี่ยอิงผู้ฝึกเคล็ดผนึกห้าภาพสำเร็จคนนั้น! ผู้แกร่งกล้าทางสายอากาศสามารถต้านทานกระบวนท่าทางด้านวิญญาณได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนี่”


“ครั้งนี้สกุลฝานตั้งใจมากจริงๆ”


“ผู้ล้ำเลิศร้ายกาจของสกุลเซี่ยในยุคนี้ได้แก่ ‘เซี่ยอูหัว’ และ ‘เซี่ยฝ่าหยาง’ ล้วนยังคงอยู่ แม่ทัพเซวียนแห่งสกุลชางก็ยังอยู่หรือ”


แต่ละคนพากันวิพากษ์วิจารณ์


เมื่อเวลาผ่านไป


ในบรรดาผู้ล้ำเลิศร้ายกาจทั้งสองของสกุลเซี่ย สีหน้าของ ‘เซี่ยอูหัว’ ผู้มีท่วงท่าสง่างามดูหล่อเหลาที่สุดในที่นั้นค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป กลิ่นอายบนร่างของเขาก็เฉียบคมมากขึ้น


“อูหัวไม่ไหวแล้ว”


“ต้านเอาไว้ไม่ได้แล้ว”


“สิ่งที่เขาเชี่ยวชาญก็คือวิถีกระบี่ แม้จะเคยประสบกับธุลีแดงหลอมจิตมาเช่นกัน แต่ถึงอย่างไรเมื่อเทียบกับอีกสี่คนแล้ว การต้านทานกระบวนท่าทางด้านวิญญาณก็ยังด้อยกว่าอยู่บ้าง”


เหล่ามหาเคารพอธิบาย


เซี่ยอูหัวคือผู้มีพรสวรรค์ล้ำเลิศซึ่งจัดอยู่ในสามอันดับแรกในประวัติศาสตร์ของรัฐโบราณคิมหันตวายุ ความเร็วในการบำเพ็ญยังเหนือกว่าตงป๋อเสวี่ยอิงเสียอีก! จวบจนบัดนี้ผ่านไปเพียงพันกว่าล้านปีเท่านั้น ตอนที่ตงป๋อเสวี่ยอิงโด่งดังในเมืองอัคคีโชตินั้น เซี่ยอูหัวยังไม่เกิดเลย เขามีพรสวรรค์ทางด้าน ‘วิถีกระบี่’ และมีผลสำเร็จอันล้ำเลิศ จนถึงขั้น ‘จักรพรรดิเซี่ย’ รับเป็นศิษย์และชี้แนะด้วยตนเองเลยทีเดียว


“ตึ้ง” ในที่สุดเซี่ยอูหัวก็ร่างสั่นคลอนแล้วล้มลงภายในโถงตำหนัก


ยอดฝีมือทั้งสี่ที่หลงเหลืออยู่ยังคงยืนหยัดต่อไป


ตงป๋อเสวี่ยอิงและ ‘เซี่ยฝ่าหยาง’ ผู้ล้ำเลิศร้ายกาจของสกุลเซี่ยอีกคนหนึ่ง รวมทั้งแม่ทัพเซวียนแห่งสกุลชางล้วนสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง แต่สีหน้าของฝานซานหยวนกลับค่อยๆ บิดเบี้ยวไปแล้ว


“อะไรกัน”


“เซี่ยฝ่าหยางสามารถต้านทานได้อย่างง่ายดายก็ไม่น่าแปลกใจเท่าใดนัก! แม่ทัพเซวียนก็ร้ายกาจถึงเพียงนี้เชียวหรือ ร้ายกาจกว่าครั้งก่อนมากทีเดียว! ยังมีอิงซานเสวี่ยอิงผู้นั้นซึ่งดูเหมือนจะสบายมากอีก ฝานซานหยวนที่ฝึกเคล็ดวิเศษไร้ภาพกลับดูเหมือนจวนจะต้านทานไม่อยู่เสียนี่”


“น่าแปลกๆ”


เหล่าเทพจักรวาลพากันวิพากษ์วิจารณ์


แม้แต่เหล่าบุคคลระดับสูงของสกุลฝานก็ยังสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย ในสายตาของพวกเขา รอบแรกฝานซานหยวนจะต้องอยู่ในสามอันดับแรกอย่างแน่นอนจึงจะถูกต้อง! แต่กลับมิอาจเข้าอยู่ในสามอันดับแรกได้หรือนี่


“เคราะห์ดีที่มีอิงซานเสวี่ยอิงอยู่ มิเช่นนั้นแล้วเกรงว่ารอบแรกคงจะแพ้จนเกลี้ยง” มหาเคารพซือเทียนลอบหวาดหวั่นใจ “สกุลเซี่ยมีผู้ล้ำเลิศร้ายกาจออกมาสองคนนั้นเป็นเรื่องที่มิอาจควบคุมได้ แต่แม่ทัพเซวียนผู้นั้นมีวิญญาณแข็งแกร่งถึงระดับนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน”


ในที่สุดฝานซานหยวนก็อ่อนยวบลงกับพื้น


เหลือเพียงสามคนที่ยังยืนอยู่ ซึ่งได้แก่ อิงซานเสวี่ยอิง แม่ทัพเซวียนและเซี่ยฝ่าหยางแห่งสามตระกูลใหญ่


“หืม”


ตามกาลเวลาที่เคลื่อนผ่านไป


เหล่าเทพจักรวาลทั้งสามที่สำแดงการโจมตีก็สบตากัน


“ตั้งใจลงมือกับเจ้าหนุ่มทั้งสามเถิด หากไม่ทุ่มเทสุดกำลัง เกรงว่าคงจะเอาพวกเขาทั้งสามลงไปไม่ได้ ครั้งนี้ ด้านปณิธานวิญญาณของพวกเขาร้ายกาจกว่าคนของครั้งที่ผ่านๆ มามากทีเดียว” บุรุษศีรษะโล้นเลี่ยนกล่าว เขาคือผู้สำแดงเขตลวง


“ได้” เทพจักรวาลหญิงผู้บรรเลงผีผานางนั้นก็พูดยิ้มๆ


“เจ้าหนุ่มทั้งสามคนนี้ช่างร้ายกาจนัก เกรงว่าทางด้านวิญญาณคงจะบรรลุถึงขั้นอลวนระดับสุดยอดแล้ว” แม้บุรุษผู้หยาบเถื่อนซึ่งหัวเราะเสียงดังอยู่นั้นจะหยุดหัวเราะ แต่ก็ยังคงมีระลอกคลื่นแผ่กำจายออกมาอยู่นั่นเอง


พวกเขาทั้งสามร่วมมือกันลงมือกับพวกตงป๋อเสวี่ยอิงและขั้นอลวนทั้งสิบสองซึ่งสิ้นสติล้มลงกับพื้นก่อนหน้านี้ก็ฟื้นคืนสติแล้ว


แต่ละคนที่ได้สติกลับคืนมาต่างก็เบิกตาโพลง


พวกเขามองดูกลุ่มคนที่ล้มลง และสามคนที่ยังคนยืนรับการโจมตีนานาชนิดอยู่ตรงนั้น ได้แก่ตงป๋อเสวี่ยอิง เซี่ยฝ่าหยางและแม่ทัพเซวียน


“พวกเราแพ้แล้ว”


“สามอันดับแรกก็คือพวกเขาสามคน”


“ข้า ส้าหลงกำแหงไร้ศัตรูในเผ่าทุ่งน้ำแข็ง ขั้นอลวนไม่อยู่ในสายตาของข้ามาตั้งนานแล้ว ข้ายังเคยเดินผ่าน ‘ระเบียงเป็นตายสิบชั้น’ ได้สำเร็จ แต่กลับมิได้อยู่ในสามอันดับแรกเสียนี่” นัยน์ตาของอ๋องส้าหลงฉายแววสับสน ที่ผ่านมาหัวใจที่หยิ่งผยองของเขาถูกกระทบ เหนือคนยังมีคน เหนือฟ้ายังมีฟ้า! ย่อมมีผู้ที่ร้ายกาจกว่าเขาอีก


ฝานซานหยวนก็สีหน้าเปลี่ยนแปรไปเล็กน้อย


เคล็ดวิเศษไร้ภาพ…บรรพชนฝานเป็นผู้คิดค้น! เดิมทีก็เชี่ยวชาญทางด้านดวงจิตอยู่แล้ว แต่เขากลับมิอาจเข้าอยู่ในสามอันดับแรกได้เสียนี่


“ข้าแพ้แล้วหรือ” เซี่ยอูหัวก็ตกตะลึง “ข้าอยู่ในบ้านเกิดก็เป็นถึงเทพจักรวาล และได้กลับชาติมาจุติยังดินแดนจิตโลกาซึ่งมีทรัพยากรลึกล้ำเกินหยั่งโดยบังเอิญ ทั้งยังมีจักรพรรดิเซี่ยคอยชี้แนะด้วยตนเอง แม้วิญญาณของข้าจะมิใช่วิญญาณเทพจักรวาล แต่ลำพังแค่ปณิธานก็มิอาจต้านทานได้อย่างนั้นหรือ”


เขามั่นใจในปณิธานของตนเองมาก ในบ้านเกิด ปณิธานของเขาเรียกได้ว่าหมื่นกัลป์ไม่สลาย! ชาตินี้เขาที่เคยผ่าน ‘ธุลีแดงหลอมจิต’ ของสกุลเซี่ยมาก่อนกลับยังมิอาจต้านทานได้อยู่นั่นเอง


……


บรรดาศิษย์ขั้นอลวนคนอื่นๆ พากันถอยไปหมด ในที่นั้นเหลือเพียงตงป๋อเสวี่ยอิง แม่ทัพเซวียนและเซี่ยฝ่าหยางสามคนเท่านั้น


“ท่าทั้งสองรู้สึกว่าอันดับในครั้งนี้จะเป็นเช่นไร” จักรพรรดิเซี่ยปรายตามองคนทั้งสองด้านข้างพลางถามยิ้มๆ


จักรพรรดิชางเหลือบมองคนทั้งสามเบื้องล่างแล้วตอบว่า “เจ้าหนุ่มชางเซวียนทำให้ข้าตกตะลึงมาก เดิมทีเขาบำเพ็ญได้ช้ามาก ครั้งที่แล้วมีคุณสมบัติพอจะได้เป็นตัวแทนสกุลชางของข้าเข้าร่วมสงครามสามตระกูลในครั้งก่อนก็ไม่เลวแล้ว แต่ปณิธานดวงจิตก็ธรรมดาทั่วไป ครั้งนี้กลับเก่งกาจแล้ว  จนข้าทำนายได้ไม่แม่นยำแล้ว! อิงซานเสวี่ยอิงผู้นั้นบำเพ็ญได้อย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ น้องฝาน เจ้ารับเขาเป็นศิษย์เองหรือ หรือว่าเขาก็ดูน่าสงสัยว่าจะเป็นผู้กลับชาติมาเกิดเช่นเดียวกัน ส่วนเซี่ยฝ่าหยางนั้นร้ายกาจมาก ในสายตาของข้า เกรงว่าอนาคตของเขาคงจะไม่ธรรมดายิ่งกว่าเซี่ยอูหัวที่กลับชาติมาเกิดเสียอีก”


“ใช่ โลกกำเนิดที่เซี่ยอูหัวอยู่ก่อนหน้านี้อ่อนแอเกินไปหน่อย ชาติก่อนเขาบำเพ็ญมานานแสนนาน ชาตินี้การรับรู้การบำเพ็ญของเขาก็ยากที่จะเปลี่ยนแปลงได้” จักรพรรดิเซี่ยพยักหน้า “แม้จะบำเพ็ญได้รวดเร็วอย่างยิ่ง แต่หลังจากสำเร็จเป็นเทพจักรวาล ก็เกรงว่าคงจะก้าวหน้าได้ยากมากแล้ว”


การกลับชาติมาจุตินั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสีย


ข้อดีก็คือ สามารถรับรู้โลกกำเนิดได้ทั้งสองแห่ง ซึ่งมีส่วนช่วยในการบำเพ็ญ! นอกจากนี้ยังมีทรัพยากรจากชาติก่อน การบำเพ็ญในช่วงแรกจึงทำได้เร็วมาก


ส่วนข้อเสียก็คือ…สิ่งที่รับรู้ในชาติก่อน ก็จะส่งผลกระทบกับตนเองไปตลอด


กระดาษขาวนั้นวาดภาพได้ง่ายกว่า! ผู้ที่กลับชาติมาเกิดเพิ่งจะมาจุติ กระดาษแผ่นนี้ก็เป็นภาพหนึ่งอยู่แล้ว!


“ผู้ที่กลับชาติมาเกิดหลายคนล้วนแต่บำเพ็ญจนถึงขีดจำกัดแล้วก้าวหน้าต่อไปมิได้อีกขึงเลือกกลับชาติมาจุติ” บรรพชนฝานกล่าว “อย่างห้าบรรพชนของรัฐโบราณสหโลกานั้น บรรลุถึงขีดจำกัดตั้งนานแล้ว เพียงแต่อยากเปิดหูเปิดตาจึงเลือกกลับชาติมาจุติ นอกจากนี้ผู้ที่โชคดีบังเอิญได้ป้ายคำสั่งจิตโลกาก็มีน้อยมาก “


ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับเป็นผู้ล้ำเลิศร้ายกาจมาตั้งแต่ชาติก่อนแล้ว


ต่อให้ไล่ล่าฝูงมารผลาญทำลายมาตลอดล้านล้านปี ก็มีผลสำเร็จที่น่าตกใจเช่นกัน เพียงแต่จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ลงมือ ก็ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงถูกบีบบังคับให้กลับชาติมาเกิด


******


“เอ๊ะ”


“ทนรับได้ยากจริงๆ”


ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกไม่ค่อยสบายนัก


กระบวนท่าทางด้านวิญญาณสามชนิดโจมตี


เขารับมือกระบวนท่าเขตลวงได้สบายที่สุด เพราะเขาเป็นยอดฝีมือทางด้านเขตลวงโลกเทียมอยู่แล้ว ส่วน ‘เสียงผีผา’ นั่นกลับทำให้เขารู้สึกจะหลับใหลขึ้นมา เสียงผีผาแทรกซึมเข้าไปในวิญญาณ จนวิญญาณนั้นเหมือนจะอ่อนล้ามาก อยากจะหลับใหล…ส่วนเสียงหัวเราะนั้นกลับทำให้ดวงจิตบ้าคลั่งและวุ่นวาย จะ ‘สงบใจ’ ก็ทำได้ยากมาก


การสงบใจจึงจะเป็นพื้นฐานที่สุด หาใจไม่สงบ ก็ยิ่งถูกกระบวนท่าได้ง่ายขึ้น


สามกระบวนท่าโจมตีเข้ามาพร้อมกัน! ส่งเสริมเกื้อกูลกัน ช่างน่าหวาดหวั่นโดยแท้


“ตื่นสิ ตื่นสิ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยายามต้านทานเอาไว้


แต่ความรู้สึกกลับยากเกินทานทนมากขึ้นเรื่อยๆ ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกเพียงว่าโคลงเคลงไปมา มิอาจข่มความวุ่นวายและเหน็ดเหนื่อยในใจเอาไว้ได้ เหนื่อยล้าเหลือเกิน โลกเขตลวงก็ดึงรั้งเขา นั่นเป็นโลกเขตลวงอันวิจิตรงดงาม! ภายตึความเหน็ดเหนื่อยเช่นนี้ ช่างทำให้เขาอยากจะเข้าไปพักผ่อนและดื่มด่ำในโลกเขตลวงจริงๆ


“ตึ้ง”


เสียงแว่วมารางๆ จากทางด้านข้าง


“ล้มลงไปอีกคนแล้วหรือ” ในใจของตงป๋อเสวี่ยอิงมีความคิดหนึ่งแวบผ่านไป จากนั้นอานุภาพของทั้งสามกระบวนท่าก็ยกระดับขึ้นอีกครั้ง ราวกับทำลายขีดจำกัดบางอย่างที่ตงป๋อเสวี่ยอิงทนรับเอาไว้ ตู้ม…


เขารู้สึกเพียงว่าโลกดวงจิตพลันมืดมิด


แล้วก็สูญสิ้นสติรับรู้ไป


ตอนที่ 84 สกุลเซี่ยชนะแล้ว

Ink Stone_Fantasy

 


ตงป๋อเสวี่ยอิง ได้สติกลับคืนมา แล้วมองเห็น ‘เซี่ยฝ่าหยาง’ ของสกุลเซี่ยและ ‘แม่ทัพเซวียน’ แห่งสกุลชางที่ได้สติกลับคืนมาเช่นเดียวกัน


“ผู้ใดเป็นอันดับหนึ่ง ผู้ใดเป็นอันดับสองน่ะ”


พวกเขาต่างก็ยืดกายขึ้น มีความสงสัยอยู่บ้าง


เนื่องจากเมื่อครู่นี้ พวกเขาล้วนพยายามอย่างสุดกำลังเพื่อต้านทานกระบวนท่าวิญญาณ จนไม่มีกระจิดกระใจสำรวจภายนอกเลยและไม่ทราบอันดับด้วย


“พี่หิมะเหิน ท่านเป็นอันดับสอง” ฝานซานหยวนถ่ายเสียงพูด “น่าเสียดายจริงๆ อีกนิดเดียวก็จะเป็นอันดับหนึ่งแล้ว! พวกเจ้าทั้งสามคนล้วนยืนยันได้เป็นเวลานานมาก สุดท้ายจึงค่อยทยอยล้มลง ความแตกต่างระหว่างกันมีน้อยมาก”


ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้งเล็กน้อย


อันดับสองหรือ


ในฐานะผู้มีพรสวรรค์ไร้เทียมทานทางด้านเขตลวงโลกเทียม และเนื่องจากบำเพ็ญศาสตร์ร่างแยกทำลายกรงสกุลฝาน  วิญญาณดูดซับกลิ่นอายอันเร้นลับจากโลกภายนอกมาหล่อเลี้ยง ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงคิดว่าตนน่าจะเป็นอันดับหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเพียงอันดับสองเท่านั้น! อีกทั้งความแตกต่างของสามอันดับแรกนั้นน้อยมาก แสดงให้เห็นว่าความสามารถทางด้านนี้นั้นใกล้เคียงกันมาก


“ข้าเป็นอันดับหนึ่งได้อย่างฉิวเฉียดหรือนี่” เซี่ยฝ่าหยางได้รับสารที่ส่งมาจากภายในตระกูล เขาอดมองไปทางคนด้านข้างทั้งสองคนซ้ำแล้วซ้ำเล่ามิได้ เขาลอบตกตะลึง “ทางสายภาพจิตของข้าบรรลุถึงขั้นอลวนระดับยอดสุดก่อนแล้ว ก็เพราะเชี่ยวชาญทางสายค่ายกล! เพื่อค้นคว้าค่ายกล เขาได้ดูดกลืน‘แก่นแท้อลวน’ มูลค่าถึงสองร้อยล้านแก้วผลึกจักรวาลลงไปโดยไม่เสียดายอะไรทั้งสิ้น ข้าคิดเอาเองว่าในบรรดาขั้นอลวน คงไม่มีผู้ใดที่กระบวนท่าสกัดวิญญาณแข็งแกร่งกว่าข้า คิดไม่ถึงว่าพวกเขาสองคนจะใกล้เคียงกันกับข้า”


เซี่ยฝ่าหยางจึงจะเป็นผู้ที่ได้รับความสำคัญมากที่สุดในสกุลเซี่ย


ทางสายภาพจิตและทางสายค่ายกล…


ทางสองสายนี้จะสำเร็จเป็นเทพจักรวาลก็ยากมาก! ค่ายกลยิ่งสิ้นเปลืองพลังจิตมากขึ้นไปอีก ยิ่งวิญญาณแข็งแกร่งเท่าใด การค้นคว้าค่ายกลก็ยิ่งรวดเร็วขึ้นเท่านั้น เซี่ยฝ่าหยางจึงไม่เสียดายอะไรทั้งสิ้น ถึงขั้นขอหยิบยืมแก้วผลึกจักรวาลจากภายในเผ่า ‘แก่นแท้อลวน’ ที่กลืนกินลงไปนั้นมีราคาสูงเสียจนเกินจริง


“ข้าได้อันดับสามหรือ” แม่ทัพเซวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย “ข้าคร่ำหวอดอยู่กับเคล็ดวิชาที่ ‘ปรมาจารย์หยวน’ มอบให้ แล้วฝึกให้เข้าที่ก่อนสำเร็จเป็นเทพจักรวาลได้ในที่สุด! จึงมีคุณสมบัติพอจะได้เป็นศิษย์ของ ‘ปรมาจารย์หยวน’ วิญญาณของข้าครบสมบูรณ์ แต่เมื่อเทียบกันแล้วก็ยังด้อยกว่าทั้งสองคนนี้อยู่บ้าง ก็ถูกต้องแล้ว ในสายตาของปรมาจารย์หยวน หลังจากฝึกจนเข้าที่แล้ว ก็ยังมีผลสำเร็จอย่างพอถูไถเท่านั้น”


เขากลับไม่รู้


ตงป๋อเสวี่ยอิงและเซี่ยฝ่าหยางนั้น คนหนึ่งเขตลวงโลกเทียมบรรลุถึงขีดสุดของขั้นอลวน ส่วนอีกคนหนึ่งบรรลุถึงขีดสุดของขั้นอลวนทางสายภาพจิต วิญญาณของคนหนึ่งดูดซับกลิ่นอายเร้นลับภายนอกโลกกำเนิด คนหนึ่งดูดซับแก่นแท้อลวนไปเป็นจำนวนมาก! ตัวเขา แม่ทัพเซวียนไม่เคยตั้งใจบำเพ็ญกระบวนท่าจำพวกวิญญาณมาก่อน ก็สามารถบรรลุก้าวนี้ได้ นับว่าน่าเหลือเชื่อมากทีเดียว


……


ผู้มีพรสวรรค์ไร้เทียมทานทั้งสาม ต่างคนต่างมีความคิดในใจ


ส่วน ‘มหาเคารพเฟิงเฉิน’ ที่เป็นผู้ดำเนินการต่อสู้ระหว่างทั้งสามเผ่ากลับพูดยิ้มๆ เสียงดังกังวานว่า “การประลองรอบแรกนี้ยุติลงแล้ว อันดับแรกก็คือเซี่ยฝ่าหยางแห่งสกุลเซี่ย อันดับสองได้แก่อิงซานเสวี่ยอิงแห่งสกุลฝาน อันดับสามได้แก่ชางเซวียนแห่งสกุลชาง บัดนี้สกุลเซี่ยได้หม้อขาหยั่งทองสามใบ สกุลฝานได้หม้อขาหยั่งทองไปสองใบ ส่วนสกุลชางได้หม้อขาหยั่งทองไปหนึ่งใบ…ฮ่าฮ่า ต่อไปก็จะเป็นการประลองรอบที่สองแล้ว”


“การประลองรอบที่สอง เป็นการประลองความสามารถโดยรวมในการอบรมศิษย์ของทั้งสามตระกูล ขั้นอลวนทั้งสิบห้าคนของสามตระกูลใหญ่แบ่งออกเป็นห้ากลุ่มด้วยกัน แต่ละกลุ่มมีสกุลเซี่ย สกุลฝานและสกุลชางอยู่กลุ่มละคน…ผู้ชนะในการห้ำหั่นของแต่ละกลุ่มในท้ายที่สุดจะได้รับหม้อขาหยั่งทองใบหนึ่ง ทั้งหมดห้ากลุ่ม ก็มีหม้อขาหยั่งทองทั้งหมดห้าใบ”


“โปรดรอก่อนสักครู่ อีกประเดี๋ยวจะเริ่มการประลองรอบที่สองแล้ว”


มหาเคารพเฟิงเฉินพูดจบ


ก็ปรึกษากับมหาเคารพทั้งสองของสกุลฝานและสกุลชางทันที


พวกเขานำรายนามที่จัดเรียงอันดับเอาไว้ออกมาคนละฉบับ ต่างฝ่ายต่างไม่ทราบรายนามของอีกคนหนึ่ง รายนามทั้งสามชุดสมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว! รายนามของแต่ละคนนั้น อันดับแรกคือกลุ่มที่หนึ่ง อันดับสองคือกลุ่มที่สอง…ไล่เรียงกันไปตามลำดับ


ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าสู่ที่นั่งแล้ว


“เค่อชิงระดับบนหิมะเหิน รอบแรกทำได้ดีพอแล้ว” จ้าวขุยเฉินกล่าว “บัดนี้พวกเราต่ำกว่าสกุลเซี่ยอยู่เล็กน้อย ยังมีรอบที่สองและรอบที่สามอีก ครั้งนี้พวกเรามีความหวังที่จะชนะเป็นอย่างมาก ทุกท่าน…ต้องพยายามทำอย่างสุดกำลังล่ะ”


“ขอรับ” แต่ละคนในที่นั้นต่างก็รับคำ


*******


ไม่นานนัก รายนามก็ถูกเปิดเผยออกมา


“การประลองรอบที่สองเริ่มขึ้น ณ บัดนี้” มหาเคารพเฟิงเฉินประกาศเสียงดังกังวานอยู่ด้านบน เสียงนั้นสะท้อนก้องไปทั่วโถงตำหนักอันกว้างใหญ่ไพศาล “กลุ่มแรกก็คือเซี่ยอูหัว ส้าหลงและชางชิงเหลย กฎของการประมือกันก็คือ หากถูกโยนออกนอกเวทีการต่อสู้ก็แพ้ หรือจักรพรรดิเซี่ยลงมือช่วยเหลือก็นับว่าพ่ายแพ้เช่นกัน”


ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งอยู่ตรงนั้น


ลำดับการออกศึกของสกุลฝานก็คือ อ๋องส้าหลง ฝานซานหยวน อิงซานเสวี่ยอิง ฝานอีเชียนและฝานโม่จู๋


“เซี่ยอูหัวหรือ”


“ยุ่งยากเสียแล้ว”


“การต่อสู้ครั้งนี้ โอกาสชนะของเซี่ยอูหัวมากกว่ามากทีเดียว” บรรดาแขกเหรื่อของแต่ละฝ่ายสนทนากัน เซี่ยอูหัวมีชื่อเสียงโด่งดังไปถึงภายนอก ส่วนอ๋องส้าหลงถึงอย่างไรก็เป็นชาวเผ่าทุ่งน้ำแข็งอันไกลลิบ เป็นรัฐภายนอก ส่วนชางชิงเหลยกลับมิได้โดดเด่นอะไรนักในสกุลชาง


ณ ใจกลางโถงตำหนัก


บัดนี้เวทีการต่อสู้ทรงกลมสีขาวเงินยวงทรงกลมขนาดมหึมาแห่งหนึ่งก็ปรากฏขึ้น เซี่ยอูหัว ส้าหลงและชางชิงเหลยซึ่งอยู่บนเวทีการต่อสู้ต่างก็เพ่งความสนใจไปที่คู่ต่อสู้ ในหมู่พวกเขาทั้งสามคน มีผู้ชนะเพียงคนเดียวเท่านั้น!


“เริ่มต้นเถิด” มหาเคารพเฟิงเฉินพูดยังไม่ทันขาดคำ ขั้นอลวนทั้งสามคนก็ต่อกรกันเสียแล้ว พวกเขาไม่ยั้งมือเลยแม้แต่น้อย และไม่กลัวว่าจะเกิดปัญหาใดด้วย เพราะถึงอย่างไรในที่นั้นก็มีสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูอยู่ถึงสามท่านด้วยกัน! ภายใต้การจับตามองของจักรพรรดิเซี่ย บรรพชนฝานและจักรพรรดิชาง แต่ไหนแต่ไรการต่อสู้ของทั้งสามตระกูลก็ไม่เคยมีการสู้จนถึงตายเกิดขึ้นมาก่อน! เพราะถึงอย่างไรระดับก็มิได้แตกต่างกันมากจนเกินไปนัก หรือสุดท้ายแล้ว พวกจักรพรรดิเซี่ยก็สามารถช่วยเอาไว้ได้ในนาทีสุดท้ายอยู่ดี


ตู้มมมม…


ในฐานะที่ชางชิงเหลยเป็นยักษ์ ผิวหนังร่างกายจึงมีสีเขียวเข้ม เหนือผิวมีสายฟ้าหมุนเวียนอยู่ ในมือถือค้อนอันใหญ่เอาไว้สองอัน ดูเหิมเกริมผิดธรรมดา


ส่วน ‘อ๋องส้าหลง’ ซึ่งเดิมทีเหิมเกริมนั้น มาบัดนี้กลับปลดปล่อยระลอกคลื่นจำนวนนับไม่ถ้วนออกมาแล้วเริ่มห้ำหั่นประชิดตัว อ๋องส้าหลงนั้นบำเพ็ญทางสองสายควบคู่กัน พลังก็แข็งแกร่งอย่างยิ่ง ต่อให้เป็น ‘ฝานอีเชียน’ ก็ยังต้องสำแดงเคล็ดต้องห้ามออกมา บวกกับที่บริเวณเล็กเกินไป อ๋องส้าหลงมิอาจหลบหลีกได้จึงรบแพ้ไป ยามนี้เวทีการต่อสู้กลางโถงตำหนักกลับดูเหมือนมิติไม่ค่อยเกินจริงสักเท่าไหร่นัก แต่อันที่จริงแล้วลานเล็กๆ ก็ใหญ่กว่าพันเท่าแล้ว เพียงพอให้เผ่นโผนโจนทะยานได้แล้ว


“เจ้าหนุ่มจากเผ่าทุ่งน้ำแข็งนี่ช่างแข็งแกร่งนัก”


“วิถีระลอกคลื่นและวิถีเข่นฆ่าหรือ บำเพ็ญทั้งสองสายควบคู่กันหรือ ส่งเสริมเกื้อกูลซึ่งกันและกันอย่างนั้นหรือ เซี่ยอูหัวยุ่งยากแล้ว!”


“ผลจะเป็นเช่นไรก็ยังยากจะพูดได้”


เซี่ยอูหัวใช้เพียงกระบี่เดียวเท่านั้น


ทุกสิ่งของเขาล้วนอยู่บนกระบี่ ภักดีต่อกระบี่


ห้ำหั่นกันอย่างบ้าคลั่งอยู่ชั่วขณะ


ชางชิงเหลยนั้นเป็นผู้ที่อ่อนแอที่สุดในทั้งสามคนอย่างเห็นได้ชัด แต่เนื่องจากร่างกายแข็งแกร่งพอตัว  บวกกับที่อ๋องส้าหลงอยากจะอาศัยเขามากระทบเซี่ยอูหัว! ดังนั้นถึงช่วงท้าย จึงถูกเซี่ยอูหัวกวัดแกว่งกระบี่จนลอยออกไปนอกขอบเขตของเวทีการต่อสู้


การห้ำหั่นของอ๋องส้าหลงและเซี่ยอูหัวก็ดุเดือดกว่ามากทีเดียว


“ฟิ้วๆๆ”


ประกายกระบี่อันสะดุดตาราวกับนทีจากฟากฟ้าแทรกเข้าไปในร่างของอ๋องส้าหลงเป็นจำนวนมาก


ผิวกายของเซี่ยอูหัวก็มีบาดแผลอันน่าประหลาดสายแล้วสายเล่าปรากฏขึ้นมา


“ฟิ้ว”


ในที่สุด จักรพรรดิเซี่ยลงมือเคลื่อนย้ายอ๋องส้าหลงออกไปจากเวทีการต่อสู้ เพราะถึงอย่างไรร่างกายของอ๋องส้าหลงก็เเสียหายมากเกินไป พลังชีวิตก็เหลือเพียงส่วนเดียวเท่านั้น เซี่ยอูหัวยังมีอยู่มากถึงห้าส่วนด้วยกัน!


“แพ้อีกแล้ว” อ๋องส้าหลงกลับมาประจำที่นั่งแล้วบ่นเบาๆ


ตอนนั้นเขาถูกสกุลฝานเลือก ในใจมีความหยิ่งผยองเป็นอันมาก


เพราะถึงอย่างไรขั้นอลวนผู้องอาจจากรัฐต่างๆ ภายนอกที่ถูกสกุลฝานคัดเลือกมานั้น อ๋องส้าหลงก็มีความรู้สึกชนิดหนึ่งว่า…สกุลฝานก็ต้องขอให้เขาช่วย เขาจึงมีความรู้สึกว่าเขายอดเยี่ยมกว่าคนสำคัญของสกุลฝานเสียอีก แต่นี่คือการต่อสู้ระหว่างสามตระกูล รอบที่หนึ่งเขาก็ยังห่างจากสามอันดับแรกไปไกลลิบ  รอบที่สองเขาก็แพ้อีก


“สกุลเซี่ยชนะกลุ่มแรกไปแล้ว ไม่ต้องรีบร้อน กลุ่มที่สองเริ่มต้นแล้ว ซานหยวน ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้วนะ” จ้าวขุยเฉินมองไปทางฝานซานหยวน


ฝานซานหยวนพยักหน้าน้อยๆ แล้วยืดกายขึ้น


……


การแบ่งกลุ่มห้ำหั่นกันนี้


กลุ่มที่สองได้แก่ฝานซานหยวน เซี่ยเฉิงหย่วนและชางอี่หย่ง


“อะไรกัน”


ท่าทีของการต่อสู้ทำเอาแขกเหรื่อมากมายตะลึงลานไป ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ตกใจเป็นอันมาก


แม้เขาจะรู้ว่าการที่ปณิธานของวิญญาณแข็งแกร่งก็ไม่ได้หมายความว่าพลังจะแข็งแกร่งไปด้วย! ‘ชางอี่หย่ง’ แห่งสกุลชางนั้น เป็นผู้ที่โดดเด่นที่สุดก่อนแม่ทัพเซวียนจะเผยคมออกมา พลังรบในครั้งนี้ก็ร้ายกาจมาก แต่เมื่อเผชิญกับ ‘เคล็ดวิเศษไร้ภาพ’ ของฝานซานหยวนก็ออกจะเสียเปรียบอยู่บ้าง แต่พวกเขากลับคิดไม่ถึงว่า ‘เซี่ยเฉิงหย่วน’ แห่งสกุลเซี่ยซึ่งไม่มีชื่อเสียงมากที่สุดในจำนวนนี้ แค่คนวัยหนุ่มที่หัวเราะคิกคักคนหนึ่งกลับสำแดงพลังอันน่าหวาดหวั่นเป็นอันมากออกมาได้


เขาเริ่มร้องเพลง


“ฮืม ฮู ฮาาา…”


อักขระแต่ละตัวถูกพ่นออกมาจากปาก ระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างกลับแผ่คลุมไปพันธนาการชางอี่หย่งและฝานซานหยวนเอาไว้


ท้ายที่สุด ชางอี่หย่งและฝานซานหยวนก็ถูกพันธนาการต่างๆ นานา มิอาจต้านทานได้ จนถูกส่งออกจากเวทีการต่อสู้ไป


“เพลงมหาวิถีที่จักรพรรดิเซี่ยคิดค้นรึ สามารถฝึกสำเร็จได้ด้วยหรือนี่”


“เขาฝึกเพลงมหาวิถีสำเร็จแล้วหรือ”


น่าหวาดหวั่นเกินไปแล้ว


เซี่ยอูหัวและเซี่ยฝ่าหยางได้ชื่อว่าเป็นยอดฝีมือผู้ไร้เทียมทานของสกุลเซี่ยในยุคนี้ แต่คนถ่อมเนื้อถ่อมตัวอย่างเซี่ยเฉิงหย่วน แม้จะนับได้ว่าเป็นศิษย์คนสำคัญ แต่เมื่อเทียบกับทั้งสองคนนั้นแล้วก็ออกจะด้อยกว่าอยู่บ้าง


แต่เพลงมหาวิถีก็เป็นเคล็ดวิชาอันน่าหวาดหวั่นซึ่งฝึกฝนได้ยากยิ่งนักเช่นเดียวกับเคล็ดผนึกห้าภาพ แต่เมื่อฝึกสำเร็จแล้วก็น่ากลัวยิ่งนัก! เห็นได้ชัดว่าเซี่ยเฉิงหย่วนถ่อมตนเป็นอย่างมาก ในสงครามสามตระกูลกลับเผยพลังที่แท้จริงออกมา


“ห้ายอดฝีมือของสกุลเซี่ย หากพูดถึงพลังแล้ว เกรงว่าเซี่ยเฉิงหย่วนผู้นี้คงจะใกล้เคียงกับเซี่ยฝ่าหยางแล้ว” แต่ละคนพากันชมเชย


เคล็ดวิชาหนึ่ง กวาดล้างคนระดับเดียวกัน


อย่างเคล็ดผนึกห้าภาพเมื่อสำแดงออกไปกดดันซึ่งหน้า ศิษย์คนสำคัญของสกุลฝานก็ยังต้องหวาดหวั่นใจ  จะมีก็แต่ฝานอีเชียนเท่านั้นที่มีความมั่นใจพอจะไปต่อสู้ได้


เพลงมหาวิถีก็เป็นเช่นนี้ เมื่อออกไปกระบวนท่าหนึ่ง หากต้านทานได้ก็ดีไป ต้านทานไม่ได้ก็เท่ากับพ่ายแพ้!


“เพลงมหาวิถีในตำนานหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเห็นเข้าก็ลอบตกใจ “หากข้าฝึกฝนสำเร็จแค่เคล็ดผนึกห้าภาพ เกรงว่าในสงครามสามตระกูลก็คงจะไม่มีโอกาสเลยจริงๆ”


ลำพังแค่เคล็ดผนึกห้าภาพ หากละโมบโลภมาก สกุลฝาน ก็อาจจะเปลี่ยนตัวได้ทันที


แต่กระบวนท่าเขตลวงโลกเทียมระดับชั้นที่สิบผนวกกับเคล็ดผนึกห้าภาพ! ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับสามารถเอาชนะทุกคนในที่นั้นได้แล้ว! เพราะต่อให้เป็น ‘เซี่ยเฉิงหย่วน’ ผู้นี้ ในรอบที่หนึ่ง เขาก็ไม่ได้จัดอยู่ในสามอันดับแรก หากจะต้านทานการสำแดง ‘กระดิ่งจิตมาร’ ของตงป๋อเสวี่ยอิง ก็ไม่แน่ว่าจะทำได้ ต่อให้ต้านทานเอาไว้ได้ก็เกรงว่าจะครองสติไว้ได้อย่างพอถูไถเท่านั้น เมื่อเผชิญหน้ากับตงป๋อเสวี่ยอิง ซึ่งปะทุพลังรบออกมาก็ต้องแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย


“รบกวนแล้วๆ”


“สกุลเซี่ยชนะอีกแล้ว”


“เซี่ยอูหัวและเซี่ยเฉิงหย่วน รอบที่สองก็มีทั้งหมดแค่ห้ากลุ่มเท่านั้น สองกลุ่มแรกนี้ สกุลเซี่ยเอาชนะได้สองกลุ่มรวดเลยหรือ รอบแรกสกุลเซี่ยก็เป็นฝ่ายได้เปรียบ…หรือว่าสกุลฝานเราจะพ่ายแพ้ในศึกสามตระกูลครั้งนี้อีก”


บรรดาบุคคลระดับสูงของสกุลฝานต่างก็ตกตะลึงอยู่บ้าง


อันที่จริงผู้ที่เยี่ยมยอดในสกุลเซี่ยก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ! ผู้ที่เก่งกล้าไร้เทียมทานสองคนก็แล้วไปเถิด ยังมีเซี่ยเฉิงหย่วนซึ่งที่ผ่านมาถ่อมตนมาโดยตลอดโผล่ออกมาอีกต่างหาก!


“กลุ่มที่สาม” มหาเคารพเฟิงเฉินกลับยิ้มน้อยๆ อารมณ์ดียิ่งนัก “เซี่ยฝ่าหยาง อิงซานเสวี่ยอิงและชางอิ่ง”


“เซี่ยฝ่าหยาง!”


“ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของสกุลเซี่ยในรุ่นนี้กระมัง รอบที่แล้วปณิธานวิญญาณก็เป็นที่หนึ่ง ว่ากันว่าทางสายภาพจิตก็บรรลุขีดสุดขั้นอลวนแล้ว ทั้งยังเชียวชาญทางสายค่ายกลอีกด้วย เกรงว่าสกุลเซี่ยคงจะชนะอีกยกแล้ว ได้เปรียบมากขึ้นทุกทีๆ นอกจากนี้ยอดฝีมือผู้ไร้เทียมทานของสกุลเซี่ยมีตั้งหลายคน รอบที่สามก็ต้องได้เปรียบอย่างยิ่งเป็นแน่”


“สงครามสามตระกูลใหญ่ครั้งนี้ อีกสองตระกูลที่เหลือคงไม่มีโอกาสพลิกกระดานเสียแล้ว”


“ถูกต้อง ได้เปรียบเกินไปแล้ว”


ขณะนี้ ตงป๋อเสวี่ยอิง เซี่ยฝ่าหยางและชางอิ่ง ทั้งสามคนต่างผุดลุกขึ้น


 ………………………


ตอนที่ 85 รังแกผู้คน

Ink Stone_Fantasy

 


“ฝ่าหยาง ชนะยกหน้าให้ได้อีกล่ะ!”


“พี่ฝ่าหยาง ขึ้นอยู่กับท่านแล้ว”


ทางฝ่ายสกุลเซี่ย แต่ละคนล้วนมีความมั่นใจพลุ่งพล่าน แม้เซี่ยเฉิงหย่วนที่ฝึกเพลงมหาวิถีสำเร็จจะยอดเยี่ยมมาก แต่ก็แค่กล่าวได้ว่าใกล้เคียงกับเซี่ยฝ่าหยางเท่านั้น เซี่ยฝ่าหยางฝึกฝนและเชี่ยวชาญเส้นทางสองสายควบคู่กัน เดิมทีทางสายค่ายกลก็ร้ายกาจอยู่แล้ว ที่น่าหวาดหวั่นที่สุดก็คือ ‘ทางสายภาพจิต’ ซึ่งพุ่งเป้าไปที่วิญญาณ หากต้านทานทางด้านปณิธานวิญญาณ เอาไว้ไม่ได้ก็อาจถูกทำลายได้อย่างง่ายดาย


โดยทั่วไปแล้วผู้ที่สามารถต้านทานได้ พลังรบก็จะต้องเสียหายเป็นอย่างมาก!


“วางใจเถิด”


หลังจากเซี่ยฝ่าหยางยืดกายขึ้นแล้ว ก็เดินออกจากที่นั่งของตนยิ้มๆ แล้วมุ่งหน้าขึ้นไปยังเวทีการต่อสู้ทรงกลมกลางโถงตำหนัก


‘ชางอิ่ง’ แห่งสกุลชางเป็นชายชราผู้เยียบเย็นคนหนึ่ง เขาถ่อมตนเป็นอันมาก “โชคชะตาของข้าก็ย่ำแย่เกินไปแล้ว จึงต้องมาเผชิญกับผู้ที่มีปณิธานวิญญาณแข็งแกร่งที่สุดถึงสองคน!”


ผู้ที่มีปณิธานวิญญาณค่อนข้างอ่อนแอ ก็ไม่ได้แปลว่าพลังจะอ่อนแอเสมอไป


แต่ผู้ที่ปณิธานวิญญาณสามารถจัดอยู่ในอันดับที่หนึ่งหรือสองได้ พลังก็ต้องน่าหวาดหวั่นอย่างแน่นอน! หากมิใช่กระบวนท่าที่เชี่ยวชาญทางด้านวิญญาณเป็นอย่างยิ่ง ก็ต้องฝึกฝนเคล็ดวิชาอันน่าหวาดหวั่นบางอย่างซึ่งทำให้ทางด้านวิญญาณก็ยอดเยี่ยมมากเช่นกัน


“เซี่ยฝ่าหยางคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของทางสกุลเซี่ย เช่นนั้นก็เป็นไปได้มากว่า…อิงซานเสวี่ยอิงจะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของทางสกุลฝาน เฮ้อ ข้าต้องมาพบกับพวกเขาทั้งสองคน ไยจึงบังเอิญถึงเพียงนี้ได้หนอ” ชางอิ่งรู้สึกจนใจ


……


ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยืดกายขึ้นอย่างสงบ


“เค่อชิงระดับบนหิมะเหิน กลุ่มนี้เจ้าต้องเอาชนะให้ได้ พวกเราจะแพ้ไม่ได้อีกแล้ว” จ้าวขุยเฉินถ่ายเสียงพูด


“พี่หิมะเหิน ข้าแพ้แล้ว ขึ้นอยู่กับท่านแล้วนะ” ฝานซานหยวนก็ถ่ายเสียงพูด


แต่ละคนมองดูตงป๋อเสวี่ยอิง


ท่ามกลางสายตาที่จับจ้องและสารที่ส่งมาให้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เดินขึ้นไปบนเวทีการต่อสู้ทรงกลมอย่างสงบ  บนเวทีการต่อสู้มีชางอิ่ง เซี่ยฝ่าหยางและตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่ ทั้งสามคนล้วนเตรียมพร้อม


บรรดาแขกเหรื่อรอบด้านก็พากันมองดู พวกเขาต่างก็เงียบเสียงลง มีเพียงการถ่ายเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันเท่านั้น


มหาเคารพเฟิงเฉินผู้ดำเนินสงครามสามตระกูลใหญ่ประกาศเสียงดังกังวานว่า “เริ่มได้”


พูดยังไม่ทันขาดคำ


“วิ้ง”


ค่ายกลที่พลิกหมุนราวกับดอกบัวสีเขียวแผ่คลุมลงมาครองพื้นที่แทบทั้งเวทีการต่อสู้ทันที!


ค่ายกลปกคลุมลงมาในพริบตาเดียว มิอาจหลบหลีกได้ กระบวนท่าออกมาอย่างรวดเร็วเพียงชั่วอึดใจเดียวเท่านั้น! กระบวนท่าที่ออกมาได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ ที่คล้ายคลึงกันยังมีเช่นโลกเขตลวงด้วย ที่สามารถปกคลุมลงมาได้ภายในชั่วอึดใจเดียว! อย่างเคล็ดคำสาปต่างๆ…ก็ล้วนแต่ต่างก็ออกกระบวนท่ารวดเร็วอย่างยิ่งภายในชั่วอึดใจเดียว


แม้ ‘เคล็ดผนึกห้าภาพ’ ของตงป๋อเสวี่ยอิงจะมิอาจหลบหลีกได้เช่นกัน แต่ดีร้ายอย่างไรก็ต้องสำแดงห้าภาพออกมาก่อน แล้วรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน


“ทำลายเดี๋ยวนี้”


ชางอิ่งซึ่งอยู่กลางดอกบัวสีเขียวโบราณร้องคำราม ด้านหลังของร่างกายมีภาพงูสีดำขนาดมหึมาปรากฏขึ้นรางๆ


แต่ในเวลานี้เอง


ฟิ้ว


ปณิธานวิญญาณของเขาราวกับถูก ‘โลก’ อันกว้างขวางปกคลุมในชั่วพริบตา นั่นก็คือโลกดวงจิตอันกว้างใหญ่ไพศาล


“ติ๊งๆๆ ต่อง…” ขณะเดียวกับที่ปณิธานวิญญาณถูกปกคลุม ชางอิ่งก็ยังได้ยินเสียงกระดิ่งแว่วๆ ทำให้เขายิ่งลุ่มหลงไปในพริบตาอย่างไร้เรี่ยวแรงตอบโต้


ชางอิ่งผู้น่าสงสาร


ต้องเผชิญกับกระบวนท่าด้านวิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงและเซี่ยฝ่าหยางพร้อมกัน เพียงแค่คนเดียวก็พอจะทำให้เขาจมดิ่งไปได้แล้ว ซ้ำร้ายทั้งสองคนยังลงมือพร้อมกันอีก กระบวนท่าวิญญาณนี้ล้วนสามารถสำแดงออกมาได้ในพริบตาเดียว…เมื่อเผชิญกับกระบวนท่าเช่นนี้ก็มีผลออกมาได้เพียงสองอย่างเท่านั้น คือต้านทานได้และต้านทานมิได้!


“ฟิ้ว” ดอกบัวสีเขียวโบราณหมุนคว้างอีกครั้ง และผลักไสชางอิ่งออกไปนอกขอบเขตเวทีการต่อสู้ทรงกลม เซี่ยฝ่าหยางแค่ใช้หางตาเหลือบมองชางอิ่งผู้นั้นแวบหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าไม่เคยใส่ใจมาก่อน


เขามองไปทางชายหนุ่มอาภรณ์ขาวตรงหน้า


ยามนี้ใต้ฝ่าเท้าของเซี่ยฝ่าหยางมีสมบัติลับดอกบัวสีเขียวขนาดราวหนึ่งจ้างอยู่ดอกหนึ่ง บริเวณหว่างคิ้วยังมีลูกแก้วสีแดงอยู่ลูกหนึ่ง สมบัติลับทั้งสองนั้น อย่างหนึ่งคือสมบัติลับค่ายกล  อย่างหนึ่งคือสมบัติลับภาพจิต เซี่ยฝ่าหยางสำแดงออกมาอย่างสุดกำลัง


“ติ๊งๆๆ ต่อง…” กระดิ่งสีทองอันหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหว่างเอวของตงป๋อเสวี่ยอิง กระดิ่งเปล่งเสียงไพเราะเสนาะหูออกมา เสียงสะกดและโลกเขตลวงก็พยายามฉุดดึงสติรับรู้ของศัตรู


เพียงแต่พวกเขาทั้งสองต่างก็เป็นยอดฝีมือทางด้านวิญญาณซึ่งบรรลุขีดสุดของขั้นอลวน


ต่อให้เผชิญหน้ากับกระบวนท่าชั้นที่สิบเอ็ด พวกเขาก็สามารถพอจะครองสติเอาไว้ได้! ส่วนแค่กระบวนท่าวิญญาณชั้นที่สิบ  สำหรับพวกเขาสองคนก็แค่ส่งผลกระทบต่อพลังจิตเพียงสองสามส่วนเท่านั้น ยังสามารถสำแดงพลังรบที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งออกมาได้อยู่ดี


“ทางสายค่ายกลหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่ตรงนั้น บนข้อมือขวาของเขามีลูกแก้วห้าภาพเปล่งแสงรำไรออกมา มือขวาของเขากดลงเล็กน้อย มิติอันไร้รูปร่างก็กดดันรอบด้าน ค่ายกลดอกบัวสีเขียวนั้นก็มิอาจรุกคืบเข้ามาได้อีกแม้แต่น้อย


“ผลสำเร็จด้านค่ายกลของเจ้ายังคงไม่พออยู่ดี”


ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้าน้อยๆ


เมื่อยื่นมือออกไป


รัศมีอันเรืองรองห้าสายก็รายล้อมปลายนิ้วเอาไว้ มือขวาขยายออก กลายเป็นมือใหญ่หลายร้อยจ้างตะปบออกไปทันที ทุกบริเวณที่ผ่านไป ค่ายกลดอกบัวทั้งหมดก็ถูกเชือดเฉือนจนแหลกละเอียด! ‘เคล็ดผนึกห้าภาพ’ นั้นสร้างมิติเอกเทศของตนขึ้นมาเอง ต่อให้เป็นศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาก็หนีไม่พ้น ค่ายกลบางส่วนของดอกบัวสีเขียวนี้อยู่ภายใน ‘มิติผนึกห้าภาพ’ บางส่วนอยู่นอก ‘มิติผนึกห้าภาพ’ ภายนอกและภายในมิอาจเชื่อมต่อกันได้ ค่ายกลจึงย่อมพังทลายลงเป็นธรรมดา


หากค่ายกลแข็งแกร่งพอ มิติผนึกห้าภาพก็ย่อมทำลายมิได้


เห็นได้ชัดว่าแม้เซี่ยฝ่าหยางจะนับว่าเก่งกาจทางด้านค่ายกล แต่ก็ยังห่างชั้นกับอานุภาพของ ‘เคล็ดผนึกห้าภาพ’ อยู่ไกลโข


“ไม่ดีแล้ว” สีหน้าของเซี่ยฝ่าหยางเปลี่ยนแปรครั้งใหญ่


“ฟิ้ว”


แม้จะร้อนใจและสิ้นหวัง เซี่ยฝ่าหยางก็อับจนหนทางอยู่ดี เขาพยายามสำแดงค่ายกลอย่างสุดชีวิต แต่ฝ่ามือมหึมาก็ตะปบเข้ามาและกดดันทุกสิ่ง แล้วตรงเข้ามาคว้าเขาเอาไว้ได้


“ออกไป”


โบกมือคราหนึ่ง


มือใหญ่ก็ปกคลุมเซี่ยฝ่าหยางเอาไว้ จากนั้นก็โยนเขาออกไปนอกขอบเขตเวทีการต่อสู้


ขณะที่มือใหญ่สลายไปนั้น เซี่ยฝ่าหยางก็อยู่นอกเวทีการต่อสู้เรียบร้อยแล้ว


“แพ้แล้ว” เซี่ยฝ่าหยางยืนตกตะลึงอยู่ตรงนั้น


ถูกมือใหญ่ข้างหนึ่งจับออกมาแล้ว


เขาสามารถสำแดงกระบวนท่าวิญญาณไปถึงระดับชั้นที่สิบได้ ก็ยอดเยี่ยมไร้เทียมทานแล้ว ทางสายค่ายกลก็ประสบผลสำเร็จอย่างล้ำลึก ในบรรดาขั้นอลวนสกุลเซี่ย เขาก็เป็นอันดับหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย ถึงขั้นในประวัติศาสตร์สกุลเซี่ย เขาก็ยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง บุคคลระดับสูงของสกุลเซี่ยเห็นดีเห็นงามในตัวเขาเป็นอย่างมาก!


แต่ก็ยังคงแพ้อยู่ดี


“อะไรกัน อิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้ชนะแล้วหรือ”


“นั่นคือสมบัติลับเขตลวงโลกเทียมหรือ”


แขกเหรื่อทั้งหลายในที่นั้นต่างก็อ้าปากค้าง เจ้าหนุ่มจากรัฐเมฆทักษิณาคนหนึ่ง เดิมทีสำหรับผู้แกร่งกล้ารัฐโบราณคิมหันตวายุแล้ว ก็ดูแคลนคนจากภายนอก ยอดฝีมือที่ไร้เทียมทานที่สุดของสกุลเซี่ยในยุคนี้กลับพ่ายแพ้ในเงื้อมมือของเจ้าหนุ่มจากรัฐเมฆทักษิณาคนหนึ่งอย่างนั้นหรือ


“ข้ายังคิดว่าภายใต้การโจมตีของภาพจิต พลังจิตของเขาก็ได้รับผลกระทบมหาศาล มิอาจสำแดงเคล็ดผนึกห้าภาพออกมาได้ คิดไม่ถึงว่าเขาก็เป็นยอดฝีมือตัวฉกาจทางด้านเขตลวงโลกเทียมเช่นกัน ทรัพยากรทางด้านวิญญาณก็แข็งแกร่งอย่างยิ่ง ภายใต้การรบกวนต่างๆ ก็ยังคงสำแดงเคล็ดผนึกห้าภาพออกมาอยู่ดี”


เคล็ดผนึกห้าภาพนั้นเป็นการผสมผสานของกระบวนท่าระดับชั้นที่สิบห้าชนิดและสำแดงออกมาพร้อมกัน แน่นอนว่าเป็นภาระใหญ่หลวงต่อพลังจิต


ทว่าวิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงแข็งแกร่งพอ! จึงสามารถทนรับได้


นอกจากนี้ หลังจากคิดค้น ‘เคล็ดไร้ทลายเก้ากัณฑ์’ ขึ้นมาเองแล้ว การสั่งสมทางสายอากาศของเขาก็แน่นหนาจนเกิดความรู้สึกว่ารับรู้ออีกเพียงนิดเดียวก็จะบรรลุเป็นเทพจักรวาลได้แล้ว เขาถึงขั้นไม่กล้าฝึกฝนอีกต่อไปชั่วคราว! เมื่อสั่งสมมาอย่างหนาแน่นเช่นนี้ ทำให้เขาสำแดงเคล็ดผนึกห้าภาพออกมาโดยทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย พลังจิตที่ต้องการก็น้อยลงเป็นอย่างมาก


……


“ข้าแพ้อย่างไม่น่าอนาถ” เซี่ยฝ่าหยางกลับคืนสู่ความสงบ การประลองในกลุ่มนี้ เขาไม่ได้เห็นชางอิ่งอยู่ในสายตาเลย ตั้งแต่แรกเขาก็ให้ความสำคัญกับอิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้มากที่สุด


เนื่องจากเขารู้จักกระบวนท่า ‘เคล็ดผนึกห้าภาพ’ อันโด่งดังของอิงซานเสวี่ยอิง


ดังนั้นเขาจึงคิดจะอาศัย ‘ทางสายภาพจิต’ เพื่อส่งผลกระทบต่อพลังจิตของอีกฝ่าย! เพื่อให้อีกฝ่ายสำแดงเคล็ดผนึกห้าภาพออกมามิได้


“เป็นยอดฝีมือผู้ไร้เทียมทานที่ร้ายกาจทางสายวิญญาณจริงๆ” เซี่ยฝ่าหยางลอบส่ายหน้า “ข้าสู้เขามิได้”


เขาเดินตรงไปยังที่นั่งของตนทันที


ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เดินลงจากเวทีการต่อสู้เช่นเดียวกัน


“เค่อชิงระดับบนหิมะเหิน ทำได้ดี” จ้าวขุยเฉินดีใจใหญ่


“เป็นคนของรัฐเมฆทักษิณาที่เก่งกาจนัก” บรรดาแขกเหรื่อในที่นั้นก็ลอบจดจำไว้


ระดับชั้นที่สิบวิญญาณกระบวนท่า ในบรรดาขั้นอลวนก็แทบจะไร้ศัตรูอยู่แล้ว


แถมยังมี ‘เคล็ดผนึกห้าภาพ’ อีก ก็ไร้ศัตรูแล้วจริงๆ!


ในที่นั้นนอกจากตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วก็ไม่มีผู้ใดที่ร้ายกาจเช่นนี้


“ร้ายกาจ” อ๋องส้าหลงเห็นแล้วก็ตกตะลึง


“พี่หิมะเหิน ช่างเก่งกาจจริงๆ ทำเอาเซี่ยฝ่าหยางหมดอารมณ์ไปเลยทีเดียว” ฝานซานหยวนถ่ายเสียงพุดยิ้มๆ


“ข้ายอมแพ้ทั้งกายและใจ” ฝานอีเชียนร่างผอมซูบถึงกับเอ่ยปากออกมา


“ไม่มีอะไรหรอก” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มน้อยๆ แล้วกลับไปนั่งขัดสมาธิลงบนที่นั่งของตน


ไม่มีอะไรเลยจริงๆ


บัดนี้สิ่งที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาก็คือ ‘เคล็ดไร้ทลายเก้ากัณฑ์’ หากสำแดงเคล็ดไร้ทลายเก้ากัณฑ์ออกมา ต่อให้เขายืนอยู่ตรงนั้นนิ่งๆ ปล่อยให้เซี่ยฝ่าหยางสำแดงกระบวนท่าออกมาก็มิอาจทำร้ายเขาได้แม้แต่ปลายขน! และถึงขั้นมิอาจกระทบถูกเขาได้เสียด้วยซ้ำ วิธีการที่มิอาจทำลายกรงสกุลฝานของโลกกำเนิดได้ ก็มิอาจทำร้ายเขาได้ เขาสามารถจัดการศัตรูได้อย่างง่ายดาย


หากกล่าวว่ากระบวนท่าสองชนิดของเขา ในบรรดาขั้นอลวนยุคปัจจุบันนี้ก็ถือว่าไร้ศัตรูแล้ว


แต่หลังจากรับรู้ ‘เคล็ดไร้ทลายเก้ากัณฑ์’ อีก แล้วลงมือกับพวกเซี่ยฝ่าหยาง ก็ช่างรู้สึกเหมือนกลั่นแกล้งชนรุ่นหลังอย่างไรอย่างนั้น ความแตกต่างของพลังก็ชัดเจนเป็นอย่างมาก


‘สงครามสามตระกูลใหญ่’ นี้เป็นการแบ่งกลุ่มย่อยประลองกัน


หากคนเดียวสามารถประจันหน้ากับทั้งกลุ่มใหญ่ได้…ตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถกวาดล้างพวกเขาทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย! แต่ทว่าก็ต้องค่อยเป็นค่อยไปตามกฎของสงครามสามตระกูลใหญ่ ขอเพียงทำภารกิจสำเร็จ หนึ่งหมื่นมหาคุณูปการก็จะอยู่ในมือแล้ว!


ตอนที่ 86 รอบสุดท้าย

Ink Stone_Fantasy

 


“กลุ่มที่สี่ เซี่ยจิ้งจือ ฝานอีเชียนและชางเซวียน!” มหาเคารพเฟิงเฉินยิ้มพลางพูดเสียงดังกังวาน


“คอยดูข้าล่ะ!” ฝานอีเชียนมีแววกระหายสงครามเทียมฟ้า ผิวกายมีสายฟ้าหมุนเวียนอยู่


เซี่ยจิ้งจือเป็นสตรีโฉมงามนางหนึ่ง กลิ่นอายน่าเข้าใกล้ ไม่ว่าผู้ใดเห็นนางก็ต้องเกิดความรู้สึกดีด้วยกันทั้งนั้น


ชางเซวียน…ก็คือแม่ทัพเซวียน


ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งมองอยู่ตรงนั้นเงียบๆ เขาจับตามองแม่ทัพเซวียนเป็นหลัก “ตอนแรกที่ต้องต้านทานกระบวนท่าปณิธานดวงจิตนั้น เขา ข้าและเซี่ยฝ่าหยางแทบจะล้มลงต่อเนื่องกัน ไม่รู้ว่าเขาเชี่ยวชาญกระบวนท่าโจมตีวิญญาณหรือไม่”


ปณิธานดวงจิตแข็งแกร่งยิ่งนัก


อาจจะเชี่ยวชาญทางด้านวิญญาณอยู่บ้าง เช่นเคล็ดวิชาคุ้มกันวิญญาณหรืออื่นๆ แต่ก็มิได้หมายความว่า เชี่ยวชาญกระบวนท่าโจมตีวิญญาณ! ปณิธานดวงจิตแข็งแกร่งได้นั้นมีเส้นทางหลายสาย แต่ยอดฝีมือที่เชี่ยวชาญทางด้านการโจมตีวิญญาณจริงๆ ด้านปณิธานดวงจิตก็ต้องแข็งแกร่งอย่างยิ่งแน่นอน


“ตู้มมม…”


การต่อสู้พลันเปิดฉากขึ้นทันที


บรรดาแขกเหรื่อที่ชมการต่อสู้อยู่ตกใจอย่างรวดเร็ว ระดับการต่อสู้ของกลุ่มนี้สามารถบีบกลุ่มของพวก ‘อิงซานเสวี่ยอิงและเซี่ยฝ่าหยาง’ ได้เลยทีเดียว! ทั้งน่าตื่นตาตื่นใจและร้ายกาจกว่ากลุ่มที่หนึ่งและกลุ่มที่สองมากนัก


“ตาย ตายให้ข้าเสียเถอะ ตายไปให้หมด!” ฝานอีเชียนบ้าคลั่งไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว นัยน์ตามีสายฟ้าแลบแปลบปลาบ เห็นได้ชัดว่าเขาสำแดงเคล็ดต้องห้ามออกมา


พลองสำริดเล่มหนึ่งกวาดไปทั่วสารทิศ ทั้งร่างเต็มไปด้วยสายฟ้า แต่ละกระบวนท่าล้วนมีสายฟ้าแลบแปลบปลาบ ความเร็วเหนือธรรมดา เพียงพริบตาเดียวก็สำแดงออกมาเป็นร้อยเป็นพันกระบวนท่าแล้ว! ไม่เพียงแต่รวดเร็วเท่านั้น แต่อานุภาพยังยิ่งใหญ่เสียจนน่าหวาดหวั่นอีกด้วย


“สหายเอ๋ย” ตงป๋อเสวี่ยอิงเห็นเข้าก็ลอบตกใจ “พละกำลังน่าหวาดหวั่นนัก ลำพังแค่เคล็ดผนึกห้าภาพจะรับการโจมตีอย่างบ้าคลั่งพรรค์นี้ได้หรือไม่ก็พูดได้ยากทีเดียว”


เซี่ยจิ้งจือก็สำแดงเคล็ดกระบี่ออกมาเช่นกัน วิถีกระบี่ของนางเย็นเยียบนุ่มนวล แต่ก็ยังคงสามารถต้านทานความบ้าคลั่งของฝานอีเชียนเอาไว้ได้


ทว่าผู้ที่ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงตกใจที่สุดก็คือ ‘แม่ทัพเซวียน’ คนนั้น


“ปังๆๆ”


รอบกายแม่ทัพเซวียนมีรัศมีสีม่วงแผ่ออกมา รัศมีสีม่วงนั้นแผ่กำจายไปทั่วทั้งเวทีการต่อสู้ ก่อนจะปกคลุมเซี่ยจิ้งจือและฝานอีเชียนเอาไว้ ตัวแม่ทัพเซวียนเองกุมค้อนใหญ่อันหนึ่งเอาไว้แล้วลงมือกับ ‘ฝานอีเชียน’ ตามอำเภอใจ


ค้อนใหญ่และพลองสำริด


ค้อนใหญ่เหมือนจะพลิ้วไหวตามอำเภอใจ แต่แม่ทัพเซวียนกลับไม่ตกเป็นรองเลยแม้แต่น้อย เขาสามารถต้านรับพลองยาวนั้นเอาไว้ได้อย่างสิ้นเชิง อีกทั้งเมื่อเวลาผ่านไป รัศมีสีม่วงก็รัดรึงพันธนาการอย่างไม่ขาดสาย ฝานอีเชียนราวกับตกอยู่ในโคลนตม แม้จะคำรามด้วยความโมโห แต่พลังที่สำแดงออกมากลับไม่ลดลงเลย ท้ายที่สุดเพียงค้อนเดียวของแม่ทัพเซวียน


“ปัง” ก็กระแทกเอาฝานอีเชียนซึ่งพลังลดฮวบลงกระเด็นหวือออกไปนอกขอบเขตของเวทีการต่อสู้


แม่ทัพเซวียนหันมองไปทางเซี่ยจิ้งจือ


การฝึกกายของเซี่ยจิ้งจือเองนั้นค่อนข้างอ่อนแอ ภายใต้การพันธนาการของรัศมีสีม่วงที่หนักขึ้นเรื่อยๆ เกรงว่าแม้แต่ยอดฝีมือระดับขั้นอลวนชั้นที่สิบคนหนึ่งก็สามารถเอาชนะนางได้แล้ว แม่ทัพเซวียนเพียงแต่สาวเท้าออกไปก้าวหนึ่งแล้วทุบค้อนลงไปอย่างสบายๆ เซี่ยจิ้งจือก็กระเด็นหวือไป


“บริเวณของเขา เมื่อสำแดงออกมาก็มีอานุภาพชั้นที่สิบระดับยอด นอกจากนี้ยังแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ตามเวลา อย่างน้อยเมื่อถึงตอนที่สงครามยุติ ก็ยังมองขีดจำกัดความแข็งแกร่งของบริเวณของเขาไม่ออก “ที่แท้แล้วนี่มันเคล็ดวิชาอันใดกันแน่” ตงป๋อเสวี่ยอิงเห็นเข้าก็ลอบรำพึงออกมา ด้วยสิ่งที่เขาพบเห็นมา ก็ยังแยกแยะไม่ออกว่านี่คือเคล็ดวิชาอันใด แต่เห็นได้ชักว่าร้ายกาจเป็นอย่างมาก


……


กลุ่มที่สี่ แม่ทัพเซวียนชนะ ในที่สุดสกุลชางก็เอาชนะได้กลุ่มหนึ่ง


กลุ่มที่ห้า…


“อา”


ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูสตรีอาภรณ์เขียวซึ่งเหลืออยู่เพียงคนเดียวบนเวทีการต่อสู้ทรงกลม


“ฝานโม่จู๋หรือ นางชนะแล้วหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึง ฝานโม่จู๋เอาชนะกลุ่มนี้ได้ ก็เพราะคู่ต่อสู้ทั้งสองคนอ่อนแอ และที่สำคัญกว่านั้นก็คือ พลังของฝานโม่จู๋แข็งแกร่งอย่างยิ่ง “ฝานซานหยวน ฝานโม่จู๋และฝานอีเชียน…พลังของพวกเขาทั้งสามน่าจะอยู่ในระดับเดียวกัน ความแตกต่างนั้นไม่มากนัก ฝานอีเชียนบ้าคลั่งและเหิมเกริมกว่า ส่วนฝานซานหยวนนั้นสมดุลกว่า ฝานโม่จู๋…วิถีกระบี่ร้ายกาจนัก รู้สึกว่าสามารถกดดันเซี่ยอูหัวโดยตรงได้เลยทีเดียว”


ยามนี้ทั้งโถงตำหนักกลับวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆนานา


เนื่องจากรอบที่สองสิ้นสุดลงแล้ว ในห้ากลุ่มนั้น สกุลเซี่ยชนะไปสองกลุ่ม สกุลฝานก็ชนะไปสองกลุ่ม ส่วนสกุลชางชนะไปหนึ่งกลุ่ม


“ฮ่าฮ่า สกุลเซี่ยและสกุลฝานชนะคนละสองกลุ่ม สกุลชางชนะหนึ่งกลุ่ม บัดนี้สกุลเซี่ยสะสมหม้อขาหยั่งทองได้ห้าใบแล้ว สกุลฝานสะสมหม้อขาหยั่งทองได้สี่ใบ สกุลชางสะสมหม้อขาหยั่งทองได้สองใบ” มหาเคารพเฟิงเฉินพูดเสียงดังกังวาน


หม้อขาหยั่งทองสองใบของสกุลชาง ล้วนแต่เป็นแม่ทัพเซวียนที่ได้ไป!


สกุลฝาน ก็เป็นตงป๋อเสวี่ยอิงที่ได้ไปกว่าครึ่ง


สกุลเซี่ย…พลังโดยรวมแข็งแกร่งเกินไปแล้ว


“พักชั่วคราวก่อน เมื่อทุกท่านฟื้นคืนพลังแล้วก็สามารถเริ่มรอบที่สามซึ่งเป็นรอบสุดท้ายได้” มหาเคารพเฟิงเฉินกล่าว ในการห้ำหั่นเมื่อครู่ หลายคนบาดเจ็บสาหัส หรือไม่พลังจิตก็ถูกเผาผลาญมากเกินไป จึงต้องใช้เวลาฟื้นฟูกลับมา


******


บนตำหนักใหญ่


จักรพรรดิเซี่ยหัวเราะร่าพลางมองไปทางบรรพชนฝาน “พี่ฝาน ตามกฎของสงครามสามตระกูลใหญ่ รอบที่สามก็จะให้เด็กๆ ทั้งหลายอาศัยวิธีการของตนเองแล้ว คนสกุลเซี่ยเรารุ่นนี้ไม่ได้มีแค่เซี่ยฝ่าหยางและเซี่ยอูหัวแค่สองคนเท่านั้นที่ร้ายกาจ ตัวข้าเองก็ยังไม่รู้ว่าเจ้าหนุ่มเฉิงหย่วนผู้นี้ฝึกเพลงมหาวิถีได้สำเร็จแล้ว แม้จะกล่าวว่าอิงซานเสวี่ยอิงยอดฝีมือของสกุลฝานของท่านและ ชางเซวียนแห่งสกุลชางล้วนแต่ร้ายกาจมาก แต่พวกเขาก็มีเพียงคนเดียวเท่านั้น! ส่วนทางสกุลเซี่ยของข้ามีถึงสามคนที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง ถึงตอนนั้นผลสำเร็จก็สั่งสมเพิ่มพูนขึ้นไป บวกกับสองรอบก่อนหน้านี้เดิมทีสกุลเซี่ยของข้าก็เป็นฝ่ายได้เปรียบอยู่แล้ว เกรงว่าคงจะมีโอกาสถึงแปดเก้าส่วนในสิบส่วนที่สกุลเซี่ยของข้าจะคว้าชัย”


ด้วยท่าทีนอบน้อมของจักรพรรดิเซี่ย แม้จะบอกว่าแปดเก้าส่วน แต่อันที่จริงก็กล่าวได้ว่าแน่นอนแล้ว


“น้องฝาน สกุลฝานของเจ้าพ่ายแพ้ต่อเนื่องกันถึงห้าครั้ง ครั้งที่หกก็กำลังจะแพ้อีกแล้ว” จักรพรรดิชางหัวเราะฮ่าฮ่า


“เฮอะ หกครั้ง…ครั้งนี้สกุลเซี่ยมีคนที่ร้ายกาจถึงสามคนด้วยกัน แข็งแกร่งกว่าห้าครั้งก่อนหน้านี้เสียอีก”บรรพชนฝานก็ขมวดคิ้ว


เขามั่นใจในตัวอิงซานเสวี่ยอิงมาก


รู้สึกส่าหากต่อสู้ตัวต่อตัว ก็พอจะกำราบได้!


แต่ถึงอย่างไรก็เพียงคนเดียวเท่านั้น พวกฝานซานหยวนหลายคนก็นับได้ว่ายอดเยี่ยมพอ แต่เมื่อเทียบกับผู้ที่ยอดเยี่ยมไร้เทียมทานอย่าง ‘เซี่ยฝ่าหยาง’ และ ‘เซี่ยเฉิงหย่วน’ ก็ด้อยกว่าอยู่บ้าง


“ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม แพ้ก็คือแพ้ แพ้หกครั้งต่อเนื่องกัน” จักรพรรดิเซี่ยยิ้มเจื่อน


พวกเขาก็มิได้สนใจว่าจะแพ้หรือชนะสักเท่าใดนัก


เพียงแต่ว่าสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูอย่างพวกเขา…เรื่องที่สามารถทำให้พวกเขาสนุกสนานได้ก็มีอยู่ไม่มากนัก  เมื่อทำให้สหายเก่าได้ ‘ทำลายสถิติ’ สักครั้ง ก็ทำให้จักรพรรดิเซี่ยและจักรพรรดิชางรู้สึกว่าน่าสนุกเป็นอันมาก


“อย่ารีบร้อนไป ยังไม่ทันถึงตอนสุดท้ายเลย!” บรรพชนฝานพูดเสียงเรียบ  เมื่อดูเผินๆ แล้วเขานิ่งสงบ แต่ในใจกลับเข้าใจรางๆ ว่าเกรงว่าสงครามสามตระกูลใหญ่ในครั้งนี้ไม่มีหวังแล้ว


……


ขณะพักผ่อนนั้น บนโถงตำหนักก็ยังจัดสุราชั้นเลิศให้ สุรานี้เมื่อดื่มลงไปแล้วก็หล่อเลี้ยงวิญญาณและบำรุงร่างกาย หนึ่งชั่วยามให้หลัง สภาพของแต่ละคนก็กลับสู่ขีดสุดแล้ว


“สงครามสามตระกูลใหญ่ดำเนินมาจนบัดนี้ ก็เหลือเพียงรอบสุดท้ายแล้ว” มหาเคารพเฟิงเฉินพูดพลางยิ้มน้อยๆ “รอบแรกเป็นการประลองปณิธานดวงจิต รอบที่สองเป็นการประลองความสามารถโดยรวมในการอบรมศิษย์ของสามตระกูลใหญ่ แต่ข้าและผู้บำเพ็ญคนอื่นๆ พลังจึงจะเป็นแก่นแท้! ผู้ที่แกร่งกล้าอย่างยิ่งคนหนึ่ง กวาดล้างทั้งกลุ่มก็เป็นเรื่องที่พบเห็นได้บ่อยมาก ดังนั้นรอบสุดท้ายนี้จึงจะให้เหล่าขั้นอลวนของทั้งสามตระกูลนี้ทุ่มเทสุดกำลัง”


“ฟิ้ว”


มหาเคารพเฟิงเฉินโบกมือคราหนึ่ง


กลางโถงตำหนักมีโลกคูหาสวรรค์สิบห้าใบปรากฏขึ้นอย่างเลือนราง “อีกสักครู่ พวกเจ้าทั้งสิบห้าคนจะเข้าไปในโลกคูหาสวรรค์คนละใบ ถึงตอนนั้นฝ่าบาทจักรพรรดิเซี่ยจะสำแดงวิธีการด้วยตนเอง เพื่อส่งศัตรูลงไปทีละระลอกๆ”


“หากทำให้ศัตรูระลอกแรกสลายไปได้ ก็จะได้รับหม้อขาหยั่งทองใบหนึ่ง โจมตีให้ศัตรูระลอกที่สองสลายไปได้ ก็จะได้รับหม้อขาหยั่งทองสองใบ…ไล่เรียงกันลงไป หากโจมตีให้ศัตรูระลอกที่เก้าสลายไปได้ ก็จะได้รับหม้อขาหยั่งทองเก้าใบ!” มหาเคารพเฟิงเฉินพูดยิ้มๆ “ศิษย์ที่ทั้งสามตระกูลส่งมา สุดท้ายจะนำหม้อขาหยั่งทองที่ได้มารวมกันทั้งหมด ทั้งสามรอบก็รวมกันหมด ผู้ที่ได้จำนวนมากที่สุดก็จะคว้าชัยตามลำดับ”


“ข้าจำได้ว่าสงครามสามตระกูลใหญ่ครั้งก่อน ผู้ที่สามารถเอาชนะศัตรูระลอกแรกได้ก็มีเพียงหกคนเท่านั้นกระมัง ผู้ที่เอาชนะศัตรูระลอกที่สองได้มีแค่สองคนเท่านั้น” มหาเคารพเฟิงเฉินพูดยิ้มๆ


บรรดาศิษย์ของสกุลเซี่ย สกุลฝานและสกุลชาง ส่วนมากก็รู้อยู่ก่อนแล้ว


การทดสอบสุดท้ายนั้นยากยิ่งนัก


ผู้ที่ถูกคัดเลือกให้มาเข้าร่วมสงครามสามตระกูลใหญ่ก็ร้ายกาจพอแล้ว แต่ส่วนใหญ่ล้วนเอาชนะไม่ได้แม้แต่ระลอกแรก! ส่วนระลอกที่สองน่ะหรือ สงครามสามตระกูลใหญ่ส่วนใหญ่นั้น ผู้ที่ร้ายกาจที่สุดก็ยังโจมตีได้เพียงศัตรูระลอกที่สองเท่านั้น!


ส่วนที่มหาเคารพเฟิงเฉินพูดว่า ‘โจมตีให้ศัตรูระลอกที่เก้าสลายไปได้’ น่ะหรือ


ในประวัติศาสตร์ยังไม่เคยมีมาก่อน!


สงครามสามตระกูลใหญ่ดำเนินมาตลอดคืนวันอันยาวนานจนถึงบัดนี้ ผู้ที่เก่งกาจที่สุดก็โจมตีศัตรูให้สลายไปได้เพียงสี่ระลอกเท่านั้น!


“สู้สุดชีวิตเถิด พวกเจ้าทั้งห้าคนล้วนต้องสู้ให้เต็มที่” จ้าวขุยเฉินถ่ายเสียงพูดอย่างร้อนรน “อย่างน้อยพวกเจ้าอีกสี่คนอย่างน้อยก็ต้องเอาชนะศัตรูระลอกแรกให้ได้ ส่วนเค่อชิงระดับบนหิมะเหิน…หวังว่าเจ้าจะสามารถเอาชนะศัตรูได้สามระลอก!”


ฝานอีเชียน ฝานซานหยวนและอ๋องส้าหลงต่างก็เคร่งงขรึมขั้นมา


จวบจนบัดนี้ พวกเขาทั้งสามก็ยังไม่สามารถช่วงชิงหม้อขาหยั่งทองมาให้สกุลฝานได้เลยแม้แต่ใบเดียว พวกเขาล้วนแต่เป็นคนที่หยิ่งผยองอย่างยิ่ง แน่นอนว่าภายในใจก็มีโทสะเต็มอก


“ข้ากำแหงไปทั่วเผ่าทุ่งน้ำแข็ง หรือว่าเมื่อมาถึงรัฐโบราณคิมหันตวายุแล้ว การประลองทั้งสามรอบจะแพ้ทุกครั้งไป ไม่หรอก!” อ๋องส้าหลงไม่ยอมจำนนเป็นอันมาก ฝานซานหยวนและฝานอีเชียนก็มีแววสงครามพลุ่งพล่าน ฝานโม่จู๋เงียบงัน ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงกลับนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างสงบ


“เอาล่ะ เจ้าและคนอื่นๆ เข้าไปในโลกคูหาสวรรค์เถิด” มหาเคารพเฟิงเฉินประกาศเสียงดังกังวาน


โดยพร้อมเพรียงกัน


ขั้นอลวนทั้งสิบห้าคนยืดกายขึ้น สกุลเซี่ยอยู่ตรงกลาง สกุลฝานและสกุลชางขนาบสองข้างโดยไม่แก่งแย่งกัน ขั้นอลวนทั้งสิบห้าคนต่างก็ตรงเข้าไปในโลกคูหาสวรรค์ของแต่ละคน!


ตอนที่ 87 เคลื่อนย้าย

Ink Stone_Fantasy

 


ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าไปในโลกคูหาสวรรค์อันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งหนึ่ง ภายในโลกคูหาสวรรค์นี้มีเพียงผืนดินเท่านั้น


“น่าสนใจดี”


เขาทอดสายตามองออกไปภายนอก


สายตาสามารถมองทะลุผนังเยื่อของคูหาสวรรค์ไปยังโลกภายนอกได้ และเห็นโลกคูหาสวรรค์ใบอื่นๆ รวมทั้งเงาร่างมหึมาของแขกเหรื่อนอกโถงตำหนักด้วย!


“ร่างกายของพวกเขาไม่ได้ขยายใหญ่ขึ้นเลย น่าจะเป็นเพราะเมื่อข้าเข้ามาในโลกคูหาสวรรค์แล้วร่างกายก็เล็กลงกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงล่วงรู้ข้อนี้ทันที


“โครมมม…”


ทันใดนั้นคูหาสวรรค์ก็มีพละกำลังโหมซัดขึ้นมา


ตงป๋อเสวี่ยอิง    ไม่คิดมากอีกต่อไปแล้วสำรวจดูรายละเอียดแทน ขั้นอลวนทั้งสิบสี่คนรอคอยอย่างระมัดระวัง


“ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!” ทหารเกราะเงินสามสายรวมตัวกันแล้วปรากฏขึ้นทันที กลิ่นอายโหมซัดเทียบได้กับเทพจักรวาล คาดว่าอย่างน้อยก็ต้องมีพลังระดับวังทวีสูญระดับชั้นที่สิบ


“ฆ่ามัน!”


พวกเขาหมายจะสำแดงลูกไม้ของแต่ละคนออกมา แต่ในยามนี้เอง…


“ติ๊งๆๆๆ ต่อง…” เสียงกระดิ่งอันไพเราะเสนาะหูดังก้องขึ้นอีกครั้ง กระดิ่งสีทองตรงหว่างเอวของตงป๋อเสวี่ยอิงก็สั่นไหวเบาๆ ทหารเกราะเงินสามนายยังไม่ทันได้สำแดงวิธีการของพวกเขาออกมา ร่างกายก็อ่อนยวบลง ทหารเกราะเงินทั้งสามนายล้มลงกับพื้น หลังเสียสติรับรู้ไปแล้ว ร่างกายของพวกมันก็ถล่มทลายลงไปราวอิฐปูนอย่างไรอย่างนั้น


ถึงอย่างไรพวกมันก็ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่แท้จริงเป็นเพียงสิ่งที่ จักรพรรดิเซี่ยสร้างขึ้นมาภายในชั่วความคิดเดียวเท่านั้น


แม้จะมีสติรับรู้ในช่วงแรก แต่สติรับรู้นั้นก็อ่อนแอมาก วิธีการต่อสู้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่จักรพรรดิเซี่ยป้อนให้โดยตรงเท่านั้น ในด้านการต่อต้านการโจมตีวิญญาณ ก็เป็นการป้องกันที่จักรพรรดิเซี่ยแนบมาด้วย! การทดสอบชั้นแรก การป้องกันวิญญาณที่แนบมาด้วยก็ยังค่อนข้างอ่อนแอ


“การทดสอบระลอกแรกนี้ไม่ยากเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ หากระลอกแรกก็สามารถต้านทานโลกเขตลวงระดับชั้นที่สิบได้ ก็เกินจริงไปแล้ว


ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปทางโลกภายนอกอย่างสบายๆ มองไปทางโลกคูหาสวรรค์แห่งต่างๆ และมองไปเห็นลูกไม้ของ ‘ทหารเกราะเงิน’ เหล่านั้น


……


“เฮอะ”


ผิวกายของอ๋องส้าหลงมีระลอกคลื่นสายแล้วสายเล่าแผ่ออกมาทั่วทุกทิศทุกทาง ส่งผลกระทบต่อทหารเกราะเงินทั้งสามรอบกาย ขณะเดียวกันเขาก็จับจ้องทหารเกราะเงินซึ่งมีเปลวเพลิงทั่วร่างพลางโจมตีอย่างบ้าคลั่ง


“ฟิ้ว” หนึ่งในทหารเกราะเงินมลายหายไปราวกับหมอกสีดำ บางครั้งก็สลาย บางครั้งก็รวมตัวขึ้นใหม่! ขณะที่รวมตัวกันขึ้นมานั้นก็พันธนาการอ๋องส้าหลงเอาไว้


ยังมีทหารเกราะเงินตนหนึ่งซึ่งทุกครั้งจะมีกระสวยยาวเล่มหนึ่งรวมตัวขึ้นมาในมือ ก่อนจะขว้างกระสวยยาวออกไป กระสวยยาวกลายเป็นสายฟ้าโหมซัดอย่างไร้ระลอกคลื่น! ทำเอาอ๋องส้าหลงปวดหัว


อานุภาพยิ่งใหญ่ที่สุด แต่ ทั้งร่างของทหารเกราะเงินซึ่งกำลังห้ำหั่นกับเขาในตอนนี้ก็สามารถแปรเป็นเปลวเพลิงทรงวงแหวนสองสีได้ เปลวเพลิงทรงวงแหวนนี้คือกระบวนท่าของทหารเกราะเงินซึ่งสามารถทิ่มแทงร่างกายเขาอย่างสาหัสได้ครั้งแล้วครั้งเล่า! ร่างของอ๋องส้าหลงแกร่งกล้าอย่างยิ่ง การโจมตีระดับชั้นที่สิบโดยทั่วไปล้วนมิอาจทำอะไรเขาได้  เขาอาศัยบริเวณทำให้การโจมตีของทหารอีกสองตนอ่อนกำลังลงจนสามารถต้านทานได้อย่างสิ้นเชิง  อย่างมากที่สุดก็แค่บาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น


“แตก”


อ๋องส้าหลงห้ำหั่นกับทหารเกราะเงินเปลวเพลิงผู้นั้นอย่างยากลำบาก เขาทำให้ร่างของมันสลายไปได้แล้ว แต่ร่างกายของอีกฝ่ายก็รวมตัวกันขึ้นมาอีกครั้งทันที เพียงแต่พละกำลังสลายหายไปบ้างเท่านั้นเอง


“ฟึ่บ” กระสวยยาวพลันมีสายฟ้าแลบแปลบปลาบ แล้วแทงเข้าไปในกายของอ๋องส้าหลง จากนั้นสายฟ้าก็สลายหายไป


หมอกดำพุ่งทะยาน มาพันธนาการเคลื่อนไหวของอ๋องส้าหลง


“ฆ่า ฆ่า ฆ่า” อ๋องส้าหลงโจมตีทหารเกราะเงินเปลวเพลิงอย่างบ้าคลั่งโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น พยายามทำลายพละกำลังของทหารเกราะเงินเปลวเพลิงอย่างสุดแรง


“ฟึ่บๆๆ…”


เปลวเพลิงทรงวงแหวนสองสีปรากฏขึ้นมา เปลวเพลิงสองวงทั้งบนทั้งล่างครอบอ๋องส้าหลงเอาไว้ เปลวเพลิงสองชนิดที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงแผดเผา ทำให้ร่างของอ๋องส้าหลงเจ็บปวดเหลือคณา มันยังทำร้ายร่างกายเขามากกว่ากระสวยสายฟ้าโจมตีร่างกายของเขาสิบครั้งยี่สิบครั้งเสียอีก


“ต้องทำลายมันให้ได้โดยเร็วที่สุด” อ๋องส้าหลงไม่กล้าปล่อยให้ทหารที่ควบคุมเปลวเพลิงสองสีนี้มีชีวิตรอดต่อไป


เวลาสิบกว่าชั่วลมหายใจ


เหมือนจะสั้นมาก แต่ระหว่างการห้ำหั่นอย่างบ้าคลั่ง สำหรับอ๋องส้าหลงก็ถือว่ายาวนานมากแล้ว!


พลังชีวิตของเขายังเหลืออีกสามส่วน! ในที่สุดก็เผาผลาญพลังของทหารเกราะเงินเปลวเพลิงไปได้ทั้งหมด ทำให้สลายหายไปจนสิ้นในท้ายที่สุด


“ยังเหลือพวกเจ้าสองคน” อ๋องส้าหลงมั่นใจเต็มเปี่ยม


จริงๆ แล้ว


ขณะที่พลังชีวิตยังเหลืออยู่สองส่วนนั้น เขาก็ทำการใหญ่สำเร็จแล้ว! ท้ายที่สุดก็โจมตีคู่ตอสู้ทั้งสามให้สลายหายไปได้อย่างสิ้นเชิง


“ในที่สุด ในที่สุดก็ต้านทานศัตรูชุดแรกได้แล้ว และได้หม้อขาหยั่งทองมาใบหนึ่งจนได้” อ๋องส้าหลงลอบถอนหายใจ ครั้งนี้เขาถูกเชื้อเชิญมา หากมิได้หม้อขาหยั่งทองมาก็จะเป็นการดูถูกครั้งใหญ่!


“ทว่ากว่าจะเอาชนะชุดแรกได้นั้นก็ไม่ง่ายเลย” อ๋องส้าหลงรู้สึกเหน็ดเหนื่อยมาก ทหารทั้งสามล้วนร้ายกาจมาก ความเชี่ยวชาญก็แตกต่างกันไป เพียงแต่เคล็ดการฝึกฝนร่างกายของเขาก็คือม้วนน้ำแข็งอนธการ เปลวเพลิงนั้นจำกัดเขาเป็นอันมาก


อ๋องส้าหลงมองไปรอบกาย


เพียงแวบเดียวก็มองเห็นผู้มาจากภายนอกซึ่งได้รับการเชื้อเชิญมาจากสกุลฝานเช่นเดียวกัน อิงซานเสวี่ยอิงในรูปลักษณ์ของชายหนุ่มอาภรณ์ขาวยืนอยู่ตรงนั้น กลิ่นอายเหมือนที่แล้วมา ภายในโลกคูหาสวรรค์นั้นไม่มีร่องรอยการต่อสู้ใดเลย


“ทำลายได้ในพริบตาเดียวอย่างนั้นหรือ” อ๋องส้าหลงลอบร่ำร้องในใจ “เหนือคนยังมีคน! ข้ายังห่างชั้นอยู่ไกลโข”


“ฟิ้ว”


“ไม่…”


การต่อสู้ของโลกคูหาสวรรค์ทั้งสิบห้าใบเข้าสู่ช่วงท้ายแล้ว อ๋องส้าหลงนับว่าใช้เวลาในการต่อสู้มากแล้ว  หลังจากการต่อสู้ของเขาจบลงเพียงสามชั่วลมหายใจ ทั้งหมดก็เงียบสงัดลง


มียอดฝีมือขั้นอลวนสี่คนถูกเคลื่อนย้ายออกไป จักรพรรดิเซี่ยไม่มีทางปล่อยให้พวกเขาสู้จนตายไปต่อหน้าต่อตาเป็นแน่


“มีผู้ที่สามารถต้านทานศัตรูชุดแรกได้ถึงสิบเอ็ดคนเชียวหรือ”


“สงครามสามตระกูลใหญ่ในครั้งนี้ เห็นทีพลังโดยรวมคงจะแข็งแกร่งมากทีเดียว”


“สิบเอ็ดคนเชียวหรือ ข้าจำได้ว่าครั้งก่อนมีแค่หกคนเท่านั้นเองกระมัง!”


บรรดาแขกเหรื่อทั้งหลายพากันตกตะลึง


สิบเอ็ดคนสามารถต้านทานการโจมตีระลอกแรกได้ เป็นการพิสูจน์ว่าทั้งสอบเอ็ดคนนี้มีพลังบรรลุถึงขั้นที่สูงส่งอย่างยิ่ง


“ฮ่าฮ่าฮ่า สกุลฝาน คนสกุลฝานต้านทานระลอกแรกได้ทั้งหมด สกุลเซี่ยมีสี่คนที่ต้านทานระลอกแรกได้ ส่วนสกุลชางมีสองคน!”


“ห้าคนที่สกุลฝานส่งมาในครั้งนี้ล้วนแต่มีพลังมากทีเดียว”


“ช่วยไม่ได้ สกุลฝานแพ้ไม่ได้แล้ว แน่นอนว่าต้องสรรหาทุกวิถีทาง!”


บรรดาแขกเหรื่อพากันวิพากษ์วิจารณ์


คนสกุลฝานทุกคนต้านทานระลอกแรกได้ทั้งหมดอย่างแท้จริง เนื่องจากสงครามสามตระกูลใหญ่ห้าครั้งก่อนหน้านี้พ่ายแพ้มาโดยตลอด ครั้งนี้ หลังจากภายในตระกูลคัดเลือก ‘ฝานซานหยวน ฝานอีเชียนและฝานโม่จู๋’ ออกมาแล้ว ก็รู้สึกว่าศิษย์สกุลฝานคนอื่นๆ ต่างก็อ่อนแอไปบ้าง เกรงว่าคงจะไม่มีโอกาสต้านทานศัตรูในโลกคูหาสวรรค์ระลอกแรกได้ สกุลฝานไม่อยากพ่ายแพ้อีกแล้ว ดังนั้นจึงได้ตามหาผู้ที่ยอดเยี่ยมพอจากโลกภายนอก


รัฐภายนอกไม่มีอาจารย์ที่ดี ไม่มีเคล็ดวิชาที่ดี จะหาผู้ที่สามารถเทียบได้กับฝานอีเชียนสักคนนั้นยากเย็นเพียงใดกัน


ทว่าในที่สุดก็พอจะหาได้สองคน คนหนึ่งคืออ๋องส้าหลงแห่งเผ่าทุ่งน้ำแข็ง ส่วนอีกคนก็คืออิงซานเสวี่ยอิงแห่งรัฐเมฆทักษิณา! ส่วนการเจรจาระหว่างประมุขรัฐเมฆทักษิณาและมหาเคารพซือเทียนนั้น…ทำให้สกุลฝานรู้ว่าพลังของอิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้ล้ำเลิศกว่าที่พวกเขาคาดเอาไว้เสียอีก แม้พวกเขาจะมอบผลประโยชน์ของ ‘เค่อชิงระดับบน’ ให้ แต่ก็ยังยินดีเป็นอย่างมาก


เพราะถึงอย่างไรก็เป็นถึงระดับอ๋องเลยทีเดียว


แล้วก็ไม่ทำให้พวกเขาผิดหวังจริงๆ! รอบแรก อิงซานเสวี่ยอิงเป็นอันดับสอง ได้หม้อขาหยั่งทองมาสองใบ รอบที่สองยังช่วงชิงกับเซี่ยฝ่าหยาง ได้หม้อขาหยั่งทองมาอีกใบหนึ่ง


“โครมมม…”


ท่ามกลางความสนใจของบรรดาแขกเหรื่อทั้งหลาย ภายในโลกคูหาสวรรค์ทั้งสิบเอ็ดใบที่หดเล็กลงอยู่กลางโถงตำหนัก ขั้นอลวนแต่ละคนก็ล้วนหดเล็กลง พวกเขาเผชิญหน้ากับศัตรูอีกครั้ง ครั้งนี้มีทหารเกราะเงินเพียงสองนายเท่านั้น


ทหารเกราะเงินสองนายก็โหดเหี้ยมขึ้นมากทีเดียว ทหารเกราะเงินนายหนึ่งแปรเป็นกลุ่มเมฆโหมซัดเข้ามา กลุ่มเมฆแผ่กำจายไปทั่วทั้งโลกคูหาสวรรค์และพันธนาการเอาไว้ ส่วนอีกนายหนึ่งก็ปะทุออกมาอย่างแท้จริง


“ตู้ม”


เขาแปรเป็นอสนีบาตอันน่าหวาดหวั่น อสนีบาตจำนวนมากฟาดฟันลงมาอย่างโกรธเกรี้ยว ภายใต้การพันธนาการของกลุ่มเมฆและการฟาดฟันของอสนีบาต ‘เซี่ยจิ้งจือ’ แห่งสกุลเซี่ย เพียงไม่ถึงชั่วลมหายใจ นางก็ถูกจักรพรรดิเซี่ยเคลื่อนย้ายออกมา


โหมซัดและดุดัน กำแหงไม่หวั่นไหว


พวกเขาถูกเคลื่อนย้ายออกมาคนแล้วคนเล่าต่อเนื่องกัน สวบๆๆ…


อ๋องส้าหลง ฝานโม่จู๋และฝานซานหยวนก็อยู่ท่ามกลางเงาร่างมากมายที่ถูกเคลื่อนย้ายออกมา ศัตรูระลอกที่สองน่าหวาดหวั่นเกินไปแล้ว! อย่างสงครามสามตระกูลใหญ่ที่แล้วมา ตามปกติแล้วก็มีเพียงสองสามคนเท่านั้นที่สามารถต้านทานระลอกที่สองได้


ตอนที่ 88 การถ่ายเสียงของบรรพชนฝาน

Ink Stone_Fantasy

“ข้าแพ้แล้ว” ฝานซานหยวนเดินไปยังที่นั่งของตนแล้วนั่งลง ในใจซับซ้อนเป็นอย่างมาก


เขารู้ว่า เส้นทางของเขาในสงครามสามตระกูลใหญ่ครั้งนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว!


รอบแรกเขาไม่สามารถเข้าอยู่ในสามอันดับแรกได้ รอบที่สองก็มิอาจชนะได้…มีเพียงรอบสุดท้ายที่ได้หม้อขาหยั่งทองมาใบหนึ่งอย่างพอถูไถ เช่นเดียวกันกับอ๋องส้าหลง! อย่างฝานโม่จู๋นั้นได้หม้อขาหยั่งทองมาสองใบแล้ว! ส่วน ‘ฝานอีเชียน’ ยามนี้ยังคงห้ำหั่นอยู่ภายในโลกคูหาสวรรค์ ส่วนอิงซานเสวี่ยอิง ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแล้ว


“เดิมทีข้าคิดว่าข้าจะสามารถฉายแววออกมาได้ในสงครามสามตระกูลใหญ่ในครั้งนี้ น่าเสียดายที่ท่ามกลางบรรดาขั้นอลวนทั้งหลาย ข้าไม่ได้อยู่ใน ห้าอันดับแรกเสียด้วยซ้ำ” ฝานซานหยวนส่ายศีรษะเบาๆ เขาพินิจดูโลกคูหาสวรรค์หลายใบเหนือโถงตำหนักโดยละเอียด


……


การต่อสู้ของตงป๋อเสวี่ยอิงยังคงดำเนินไปอย่างสบายที่สุด


กระดิ่งจิตมารตรงหว่างเอวส่งเสียงเสนาะหูสะท้อนก้องไปทั่วทั้งคูหาสวรรค์อีกครั้ง ทำเอาทหารเกราะเงินสองนายนั้นได้รับผลกระทบ พลังที่ปลดปล่อยออกมาเสียหายมากอย่างเห็นได้ชัด


“ตู้ม!!!”


กลุ่มเมฆโหมซัด อสนีบาตฟาดฟันลงมา


เมฆและอสนีบาตเกิดความเปลี่ยนแปลงระหว่างกันอีกด้วย ทำให้ระหว่างที่อสนีบาตฟันฟาดลงมานั้น แม้อสนีบาตแต่ละสายจะแฝงไว้ด้วยอานุภาพทำลายล้าง แต่กลับเหมือนมีกลิ่นอายชีวิตแฝงเอาไว้…


ตงป๋อเสวี่ยอิงยังมองเห็นรางๆ ว่า จักรวาลหนึ่งใบ อสนีบาตฟันฟาด สิ่งมีชีวิตถือกำเนิดขึ้นมา…


“อสนีบาตสามารถทำลายโลกได้ และสามารถสร้างโลกขึ้นมาได้ด้วยอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม อานุภาพของอสนีบาตนี้แม้จะร้ายกาจ แต่รอบผิวกายของตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีเคล็ดผนึกห้าภาพก่อตัวขึ้นมาแล้ว จึงสามารถสกัดกั้นอสนีบาตเหล่านี้เอาไว้ได้อย่างง่ายดาย! เพราะถึงอย่างไรภายใต้ผลกระทบของกระดิ่งจิตมาร ทหารเกราะเงินทั้งสองนายก็มิอาจสำแดงพลังออกมาได้อย่างเต็มที่


“ทำลาย”


มือขวาของตงป๋อเสวี่ยอิงยื่นออกไป


ลูกแก้วห้าภาพบนข้อมือเปล่งรัศมีออกมา มือขวาขยายออกแล้วบดบังทั่วทั้งโลกคูหาสวรรค์ นิ้วมือดูเหมือนจะมีร่อง แต่กระนั้น มิติกลับไม่เว้นร่องเลยแม้แต่น้อย! มันห่อหุ้มและพันธนาการกลุ่มเมฆและอสนีบาตเอาไว้จนสิ้น! จากนั้นฝ่ามือมหึมาของตงป๋อเสวี่ยอิงก็หดเล็กลงอย่างรวดเร็ว มิติภายในก็กดดันลงมาอย่างรุนแรง ทุกสิ่งภายในล้วนถูกกดดัน


ตู้ม! ตู้ม!


แม้ทหารเกราะเงินสองนายนั้นจะกำลังดิ้นรน แต่เสียงกระดิ่งจิตมารระลอกแล้วระลอกเล่ารวมทั้งโลกเขตลวงซึ่งหลอมรวมเข้าไปในมิติผนึกห้าภาพภายใต้การควบคุมของตงป๋อเสวี่ยอิง ทำให้ทหารเกราะเงินสองรายนั้นมีอาจสั่นคลอนความแข็งแกร่งของมิติผนึกห้าภาพนั้นได้เลย จึงถูกบังคับกดดันให้สลายหายไปในที่สุด


เมื่อจัดการศัตรูระลอกที่สองได้แล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงมองไปยังโลกภายนอก “เอ๊ะ พวกฝานซานหยวนทั้งสามคนถูกเคลื่อนย้ายออกไปหมดแล้วหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพบว่า ในบรรดาขั้นอลวนที่สกุลฝานส่งมาในครั้งนี้ นอกจากตนแล้วก็เหลือเพียงฝานอีเชียนเท่านั้นที่ยังพอต้านรับได้อย่างพอถูไถ


ส่วนสกุลชาง…


สกุลชางเหลือแม่ทัพเซวียนเพียงคนเดียวเท่านั้น! แม่ทัพเซวียนยังคงไม่รีบร้อน รัศมีสีม่วงของเขาส่องสะท้อนไปทั่วโลกคูหาสวรรค์ อานุภาพยกระดับขึ้นอย่างต่อเนื่อง


ทางด้านสกุลเซี่ย…


ยังเหลือถึงสามคนด้วยกัน! ทั้งเซี่ยฝ่าหยาง เซี่ยเฉิงหย่วนและเซี่ยอูหัว


เซี่ยฝ่าหยางอาศัยกระบวนท่าภาพจิตและค่ายกล ยังคงค่อนข้างสบายๆ อยู่ เชื่อว่าหากใช้เวลาอีกสักหน่อยก็จะสามารถเอาชนะได้


เซี่ยเฉิงหย่วนขับร้องเพลงมหาวิถี ก็เป็นฝ่ายได้เปรียบเช่นกัน


มีเพียงเซี่ยอูหัวเท่านั้นที่ต้านทานได้อย่างยากลำบากภายใต้อสนีบาตที่ฟันฟาดลงมา เห็นได้ชัดว่ากินแรงเป็นอย่างมาก


“ฝานอีเชียนและเซี่ยอูหัว พวกเขาทั้งสองต่างก็เปลืองแรงเป็นอย่างมาก” ตงป๋อเสวี่ยอิงชมดูอยู่ “คิดจะต้านทานผ่านรอบที่สองไปให้ได้ก็สุ่มเสี่ยงอยู่บ้าง!”


“อีเชียน!”


พวกฝานซานหยวนและฝานโม่จู๋ที่ถูกส่งไปข้างนอกก่อนแล้วมองดูอย่างตื่นเต้นและรอคอย


“กระจายไป กระจายไปให้หมด!”


ฝานอีเชียนบ้าคลั่งไปแล้ว พลองยาวสีสำริดเล่มหนึ่งแฝงไว้ด้วยอานุภาพล้างฟ้าทำลายดิน ทุกบริเวณที่ผ่านไป อสนีบาตล้วนทำลายล้างทุกสรรพสิ่ง! พลองของเขาเพียงพอจะทำให้ทหารเกราะเงินซึ่งแปรเป็นอสนีบาตและกลุ่มเมฆเหล่านั้นบาดเจ็บได้แล้ว แต่กระนั้นกลุ่มเมฆและอสนีบาตก็ส่งเสริมซึ่งกันและกัน ภายใต้การฟันฟาดอย่างรุนแรง ฝานอีเชียนก็ถูกฟันเสียจนเลือดกบปาก อาการบาดเจ็บของเขาก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ


ยามนี้ ฝานอีเชียนรู้สึกว่ามีเสียงอื้ออึงอยู่ข้างหู ตรงหน้าเต็มไปด้วยอสนีบาตที่ฟาดฟันลงมา


“ไม่ ข้าไม่ยอม ข้าไม่ยอมหรอก…” ฝานอีเชียนรู้ว่าตนเหมือนกับเรือน้อยลำหนึ่งท่ามกลางลมมรสุม ความรู้สึกไร้เรี่ยวแรงเช่นนั้นทำให้เขาโมโหขึ้นมา!


“สวบ”


ทันใดนั้นพละกำลังสายหนึ่งก็แผ่คลุมลงมา ก่อนจะปกคลุมฝานอีเชียนเอาไว้ แล้วเคลื่อนย้ายเขาออกไปทันที


ฝานอีเชียนยืนอยู่ข้างที่นั่งของตนด้วยความตกตะลึง รอบด้านไม่มีอสนีบาตอีกต่อไปแล้ว ในมือของเขากุมพลองยาวเอาไว้


“ข้าเอาชนะมิได้” ร่างกายของฝานอีเชียนสั่นสะท้านน้อยๆ ที่แล้วมาเขาเชื่ออย่างงมงายว่าพลังของตนสูงส่งเทียมฟ้ามาโดยตลอด รู้สึกว่าแค่กวาดล้างทุกสิ่งก็เป็นอันใช้ได้แล้ว! แต่ภายใต้อสนีบาตที่บ้าคลั่งกว่า เขาก็แพ้อย่างราบคาบ


“เอ๊ะ”


บรรพชนฝานซึ่งนั่งอยู่ด้านบนสุดเหลือบมองลงมา คิ้วพลันขมวดเล็กน้อย


ศิษย์ทั้งห้าที่สกุลฝานส่งมานั้น สี่คนถูกเคลื่อนย้ายออกมาหมดแล้ว พวกเขาล้วนได้หม้อขาหยั่งทองมาเพียงคนละใบเท่านั้น! ส่วนข้อได้เปรียบของสกุลเซี่ยก็ใหญ่มากทีเดียว เนื่องจากขณะนี้ทั้ง ‘เซี่ยฝ่าหยาง’ และ ‘เซี่ยเฉิงหย่วน’ ล้วนแต่ชนะแล้ว!


……


ฝานอีเชียนใช้เวลาในการต่อสู้ยาวนานมาก นอกจาก ‘เซี่ยอูหัว’ ที่ยากลำบากเช่นเดียวกันซึ่งยังต่อสู้อยู่แล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิง แม่ทัพ เซวียน เซี่ยฝ่าหยางและเซี่ยเฉิงหย่วนล้วนแต่เอาชนะไปเรียบร้อยแล้ว


“ข้าเป็นร่างที่กลับชาติมาจุติ ชาติก่อนก็เป็นเทพจักรวาลแล้ว! แม้เนื่องจากเข้าร่วมสงครามสามตระกูลใหญ่ หากบรรลุแล้วก็มิอาจเข้าร่วมได้ แต่ข้าที่เป็นขั้นอลวน จะต้องแพ้ให้กับชนรุ่นหลังทั้งสี่คนเชียวหรือ” เซี่ยอูหัวพยายามต่อสู้สุดกำลัง หากกล่าวว่าฝานอีเชียนใช้กระบวนท่าอันเหิมเกริม เซี่ยอูหัวก็สง่างามกว่า ทั้งร่างของเขาแปรเป็นประกายกระบี่ท่องอยู่ท่ามกลางอสนีบาต


อสนีบาตทั่วฟากฟ้าฟาดลงมา มีจำนวนมากที่มิอาจแตะต้องเซี่ยอูหัวได้!


ต่อให้มีบางส่วนที่ฟันถูกเซี่ยอูหัว เขาก็สำแดงเคล็ดกระบี่ออกมาเหนี่ยวนำออกไป


“ฟิ้ววว…”


ประกายกระบี่ประหนึ่งมหานทีสวรรค์ซึ่งทำร้ายกลุ่มเมฆอย่างรุนแรง เซี่ยอูหัวมิได้สนใจประกายกระบี่เหล่านั้น หากแต่ตั้งใจโจมตีกลุ่มเมฆซึ่งมีอยู่ทั่วทุกหนแห่ง


“การฝึกฝนร่างกายของข้ายังไม่แข็งแกร่งพอ ต้องหลบเลี่ยงอย่างเต็มที่ เพื่อทนรับให้ได้นานขึ้น” เซี่ยอูหัวสำแดงวิถีกายจนถึงขีดสุด พยายามหลบหลีกอสนีบาต แต่อสนีบาตมีมากเกินไปและบ้าคลั่งเกินไป อานุภาพก็ยิ่งใหญ่นัก ต่อให้ประกายกระบี่เข้าสกัดกั้นทำให้อ่อนกำลังลง ก็ยังคงรุกรานเข้าไปในร่างของเซี่ยอูหัวอยู่นั่นเอง


ตู้ม!


ในที่สุดกลุ่มเมฆก็พลันหดตัวลง กลายเป็นทหารเกราะเงินนายหนึ่ง กลิ่นอายก็อ่อนแอลง เห็นได้ชัดว่ามันไม่กล้าต้านทานประกายกระบี่อีกต่อไป


เมื่อไม่มีความช่วยเหลือของมัน อานุภาพของอสนีบาตทั่วฟ้าก็ลดลงอย่างรวดเร็ว อานุภาพลดเหลือเพียงสองสามส่วนเท่านั้น


“ดี”


“ทำได้ดี”


“จะชนะแล้ว” เทพจักรวาลสกุลเซี่ยจำนวนมากเอ่ยปากชม


สกุลชางยังคงสามารถนิ่งเฉยได้บ้าง เพราะถึงอย่างไรสกุลชางและสกุลเซี่ยก็แตกต่างกันมากเกินไปแล้ว ไม่มีหวังแล้ว ส่วนเหล่าเทพจักรวาลของสกุลฝานส่วนใหญ่ก็มีสีหน้าไม่น่ามองสักเท่าใดนัก ก่อนที่เซี่ยอูหัวจะคว้าชัยนั้น สกุลฝานก็ยังคงสามารถหวังสูงได้บ้าง แต่ตอนนี้น่ะหรือ คงจะสามารถมองข้ามไปได้แล้ว!


แม้ยามนี้เซี่ยอูหัวจะได้รับบาดเจ็บสาหัส ทว่ากลับสามารถโจมตีทหารเกราะเงินจนสลายไปได้อย่างสบายๆ


“ครั้งนี้สงครามสามตระกูลใหญ่แข็งแกร่งมากโดยแท้”


“มีถึงห้าคนที่สามารถเอาชนะระลอกที่สองได้ ครั้งก่อนมีแค่สองคนเท่านั้นเองกระมัง นานมากแล้วที่มิได้มีคนหนุ่มสาวที่เก่งกาจมากมายถึงเพียงนี้อยู่ร่วมยุคเดียวกัน”


บรรดาเทพจักรวาลทั้งหลายต่างพากันเอ่ยปากชม


แม้การที่มีสองสามคนผ่านระลอกที่สองได้จะเป็นเรื่องปกติ แต่ในประวัติศาสตร์ บางครั้งก็มีผู้ที่ล้ำเลิศอย่างยิ่งปรากฏขึ้นในสงครามสามตระกูลใหญ่เป็นครั้งคราว ในประวัติศาสตร์เคยมีขั้นอลวนเอาชนะระลอกที่สี่ได้


……


ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเบื้องหน้าอย่างสงบ เนื่องจากศัตรูระลอกที่สามนั้นได้มาถึงแล้ว


กลิ่นอายอันโหมซัดรวมตัวกันแล้วกลายเป็นทหารเกราะเงินนายหนึ่ง ทหารนายนี้ยืนอยู่ตรงนั้น ด้านหลังกลับมีวงแหวนเปลวเพลิงวงแล้ววงเล่าปรากฏขึ้นมา วงแหวนเปลวเพลิงถึงเจ็ดสายมีสีสันแตกต่างกันไป


“เพลิงเจ็ดสีหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงหรี่ตาลง


ในบรรดาเคล็ดวิชาระดับขั้นอลวนอันยอดเยี่ยมนั้น


เคล็ดผนึกห้าภาพนับว่ามีอันดับสูงยิ่งนัก แต่ก็ยังมีเคล็ดวิชาอันน่าหวาดหวั่นซึ่งตามหลักแล้วสามารถฝึกให้สำเร็จได้ที่แข็งแกร่งกว่ามันเสียอีก วิถีตรีภพ เพลิงเจ็ดสีและโลกราตรีนิรันดร์…จำพวกนี้ คือเคล็ดวิชาระดับยอดสุดซึ่งบรรดาสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูมีพลังสูงส่งเสียจนมิอาจก้าวหน้าไปได้อีกแล้วหันกลับมาค้นคว้าขั้นอลวนและอาศัยสมบัติลับเพื่อสำแดงออกมา


เปลวเพลิงเจ็ดสีนั้นยากกว่าเคล็ดผนึกห้าภาพ ทว่าในประวัติศาสตร์ตั้งแต่โบราณมาจนถึงปัจจุบันนี้ ก็เคยมีสิ่งมีชีวิตที่ยอดเยี่ยมซึ่งสามารถเข้าถึงได้ นั่นคือสัตว์ประหลาดอันไร้เทียมทานตนหนึ่งแห่งรัฐโบราณสหโลกา


โลกราตรีนิรันดร์ก็ยิ่งยากขึ้นไปอีก! ว่ากันว่า จะต้องสำแดงกระบวนท่าวิญญาณระดับชั้นที่สิบห้าชนิดได้ จึงจะสามารถก่อตัวขึ้นเป็น ‘โลกราตรีนิรันดร์’ ได้


โลกราตรีนิรันดร์…


ทั้งหมดกลับคืนสู่ราตรีนิรันดร์จนสิ้น ต้องจมจ่อมอยู่ท่ามกลางความมืดมิดอันไร้ขอบเขตไปตลอดกาล ไร้จุดสิ้นสุด


“เปลวเพลิงเจ็ดสีเป็นการทดสอบระลอกที่สามหรือนี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงอ้าปากค้าง


“ติ๊งๆๆ ต่องงง…”


เสียงอันเสนาะหูของกระดิ่งจิตมารดังก้องขึ้นมา ทำให้ร่างของทหารเกราะเงินผู้นั้นสั่นสะท้านน้อยๆ ทว่าเขาก็ยังคงโบกมือคราหนึ่ง เปลวเพลิงเจ็ดสีที่โหมซัดรุนแรงสายหนึ่งทะยานออกมา


“ยังดีที่ได้รับผลกระทบจากเขตลวงทำให้พลังเสียหายเป็นอันมาก จนมิอาจสำแดงวงแหวนเปลวเพลิงอันสมบูรณ์ออกมาได้แล้วกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบถอนหายใจเฮือกหนึ่ง หากวงแหวนเปลวเพลิงเจ็ดสีปกคลุมเข้ามา แล้วถูกวงแหวนเปลวเพลิงเจ็ดสีพันธนาการเอาไว้ก็จะมิอาจหนีได้พ้น หากก่อตัวขึ้นมาเป็นทรงวงแหวนได้เมื่อใด ทั้งเจ็ดสีดุจกงล้อซึ่งหมุนวนไปอย่างครบสมบูรณ์ อานุภาพก็จะมิอาจต้านทานได้! ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่มั่นใจว่าจะสามารถใช้เคล็ดผนึกห้าภาพต้านทานได้ เกรงว่าคงจะต้องอาศัย ‘เคล็ดไร้ทลายเก้ากัณฑ์’ เสียแล้ว


บัดนี้มีเพียงเปลวเพลิงเจ็ดสี เคล็ดผนึกห้าภาพยังพอมั่นใจว่าจะสู้ได้บ้าง


“ทำลาย”


มือขวายื่นออกไป ฝ่ามือขยายออก มือใหญ่เทียมฟ้าปรากฏขึ้นมาแล้วบดบังโลกคูหาสวรรค์เอาไว้กว่าครึ่งแล้วแผ่คลุมไปทางเปลวเพลิงเจ็ดสีอันโหมซัดสายนั้น เปลวเพลิงเจ็ดสีกระทบถูกฝ่ามือใหญ่เทียมฟ้า ส่งเสียงสะท้อนก้อง ‘ฟึ่บๆๆ’ ทันที ฝ่ามือมหึมาสั่นสะท้านแล้วถูกแผดเผาจนเกิดเป็นร่อง ทว่าห้าภาพก็หมุนเวียนเปลี่ยนไปแล้วฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว


“เฮอะ” ทหารเกราะเงินผู้นั้นเห็นเข้า ก็ใช้มือกุมหอกยาวพุ่งตรงเข้ามา บนหอกยาวก็มีเปลวเพลิงเจ็ดสีหมุนเวียนอยู่


“ใช้หอกยาวรึ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม


……


กลางโถงตำหนัก ขั้นอลวนผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งห้ากำลังรับศึกอยู่


อิงซานเสวี่ยอิงจากรัฐเมฆทักษิณายังคงห้ำหั่นกับทหารเกราะเงินต่อไป ส่วนแม่ทัพเซวียนก็พยายามหลบหนีอย่างสุดชีวิตเพื่อถ่วงเวลาเอาไว้ ทางด้านเซี่ยฝ่าหยาง เซี่ยเฉิงหย่วนและเซี่ยอูหัวยิ่งย่ำแย่เข้าไปใหญ่


เซี่ยอูหัวแทบจะถูกเคลื่อนย้ายออกไปทันที!


ภายใต้วงแหวนเปลวเพลิงซึ่งก่อตัวขึ้นจาก ‘เปลวเพลิงเจ็ดสี’ อันสมบูรณ์ เพลงมหาวิถีของเซี่ยเฉิงหย่วนก็มิอาจต้านรับได้ เพียงชั่วครู่เดียวก็ถูกจักรพรรดิเซี่ยเคลื่อนย้ายออกมา


เซี่ยฝ่าหยางสำแดงภาพจิตกระบวนท่าออกมา พลังของทหารเกราะเงินก็เสียหายอย่างใหญ่หลวง น่าเสียดายที่ภายใต้ ‘เปลวเพลิงเจ็ดสี’ ซึ่งอานุภาพอ่อนกำลังลงแล้ว ค่ายกลของเขาก็ยังคงแตกเป็นเสี่ยงๆ เซี่ยฝ่าหยางก็แค่ถ่วงเวลาออกไปได้ไม่กี่ชั่วลมหายใจเท่านั้น ก็ถูกเคลื่อนย้ายออกมาเสียแล้ว! หากสู้ต่อไปก็เกรงว่าเขาคงจะถูกเผาตายทั้งเป็น เพราะถึงอย่างไรเปลวเพลิงเจ็ดสีซึ่งอานุภาพลดลงเป็นอย่างมากก็ยังเทียบได้กับเคล็ดผนึกห้าภาพของตงป๋อเสวี่ยอิง


“คนสกุลเซี่ยจบแล้ว” บรรดาแขกเหรื่อในที่นั้นต่างก็วิเคราะห์ “สงครามสามตระกูลใหญ่ครั้งนี้คงจะเป็นสกุลเซี่ยที่คว้าชัย ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดอีกแล้ว!”


เหนือตำหนักใหญ่


สิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูทั้งสามก็เห็นสถานการณ์ได้ชัดเจนแล้วเช่นกัน


“ฮ่าฮ่า รอบที่สามนี้ สกุลเซี่ยเรามีเด็กๆ ตั้งสามคนที่เอาชนะระลอกที่สองได้ ยังมีเซี่ยจิ้งจืออีกคนที่สามารถเอาชนะในระลอกแรกได้! เมื่อนับดูแล้วก็มีหม้อขาหยั่งทองถึงเจ็ดใบ บวกกับหม้อขาหยั่งทองห้าใบก่อนหน้านี้ ครั้งนี้สกุลเซี่ยเราได้หม้อขาหยั่งทองรวมกันถึงสิบสองใบ” จักรพรรดิเซี่ยมองไปทางบรรพชนฝานยิ้มๆ “พี่ฝาน ในรอบสุดท้ายคนสกุลฝานของท่านทั้งสี่คนทำได้ไม่เลวเลย แต่ก็เอาชนะได้แค่ระลอกแรกและได้หม้อขาหยั่งทองมาสี่ใบเท่านั้น! สองรอบก่อนหน้านี้ได้หม้อขาหยั่งทองเพียงสี่ใบเท่านั้น อิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้ต้องเอาชนะระลอกที่สี่ให้ได้ จึงจะสะสมหม้อขาหยั่งทองได้สิบสองใบและเสมอกันได้!”


อิงซานเสวี่ยอิงต้องเอาชนะระลอกที่สี่ให้ได้ จึงจะเสมอกัน!


ซึ่งการเอาชนะระลอกที่สี่ ก็ไร้เทียมทานที่สุดในประวัติศาสตร์สงครามสามตระกูลใหญ่แล้ว!


จักรพรรดิชางที่อยู่ด้านข้างก็พูดยิ้มๆ ว่า “ต่อให้เสมอกัน เกรงว่าก็คงมีโอกาสชนะในการประลองที่ตามมาไม่มากสักเท่าใดนัก”


“ยังไม่ถึงตอนสุดท้ายเสียหน่อย” บรรพชนฝานมองลงไปเบื้องล่างต่อไป


จักรพรรดิชางก็มองลงไปเบื้องล่าง บัดนี้เหลือเพียงตงป๋อเสวี่ยอิงและแม่ทัพเซวียนเท่านั้นที่ห้ำหั่นอยู่อย่างยากลำบาก


“ศัตรูระลอกที่สามยังเปลืองแรงถึงเพียงนี้ ศัตรูระลอกที่สี่นั้นไม่มีหวังเลย” จักรพรรดิชางพูดสัพยอก


……


 ตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถคว้าชัยชนะด้วยการกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดด้วยการหนีหายไปถึงข้างกายศัตรูแล้วลอบสังหาร การกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดนั้นเป็นสิ่งที่แม้แต่ ‘ปราการอากาศ’ ซึ่งเกิดจากเทพจักรวาลทั้งหลายในอากาศอันสับสนอลหม่านร่วมมือกันก็ยังมิอาจตรวจพบได้ หากเขาหนีหายไปอยู่ข้างกายศัตรู แล้วลอบสังหารในระยะที่ใกล้ที่สุด อานุภาพของเคล็ดผนึกห้าภาพก็จะสามารถระเบิดศัตรูในชุดเกราะเงินจนตายได้ทันที เพราะถึงอย่างไรก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถทนรับอานุภาพเต็มแรงของเคล็ดผนึกห้าภาพได้หากมิได้ต้านทานเอาไว้


ต่อให้ตะปบในฝ่ามือเดียวไม่ตายจริงๆ สามสี่ฝ่ามือก็เพียงพอจะตะปบจนตายได้แล้ว


เพียงแต่หากยังไม่ถึงช่วงเวลาที่จำเป็น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไม่อยากจะสำแดงวิธีการระดับนั้นออกมา เขาอยากจะมองดูเพลิงเจ็ดสีในตำนานอย่างละเอียดมากกว่า! แม้จะกล่าวว่านี่คือตำนานในหมู่ขั้นอลวน แต่ในระดับเทพจักรวาล รัฐโบราณคิมหันตวายุและรัฐโบราณสหโลกาต่างก็มีเทพจักรวาลที่เชี่ยวชาญเคล็ดวิชานี้ หลังสงครามสามตระกูลใหญ่ครั้งนี้เขาก็จะสำเร็จเป็นเทพจักรวาลอย่างรวดเร็ว ถึงตอนนั้นคู่ต่อสู้ของเขาก็จะมิใช่พวกเซี่ยฝ่าหยางที่อยู่ตรงหน้าแล้ว หากแต่เป็นเทพจักรวาลจำนวนมากที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าในภายหน้า…


“เป็นเปลวเพลิงเจ็ดสีที่ร้ายกาจนัก ช่างเรียกได้ว่าทำลายล้างจนถึงขั้นสุดจริงๆ นี่ยังมิทันได้ก่อตัวขึ้นเป็นวงแหวนเปลวเพลิงเสียด้วยซ้ำ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบตกใจ พลางมองดูเปลวเพลิงเจ็ดสีอันงดงามหาใดเปรียบแผดเผามิติผนึกห้าภาพของตน


“อิงซานเสวี่ยอิง”


ทันใดนั้น เสียงอันแผ่วเบาสายหนึ่งแต่กลับทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกได้ถึงความน่าหวาดหวั่นอันใหญ่หลวงก็ดังขึ้นในห้วงสมองของตงป๋อเสวี่ยอิง รวมทั้งในห้วงสมองของร่างแยกอีกร่างหนึ่งซึ่งอยู่ไกลออกไปถึงในรัฐเมฆทักษิณาด้วย


“หากเจ้าสามารถเอาชนะศัตรูระลอกที่สี่ได้ รางวัลที่มอบให้เจ้าจะเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งหมื่นมหาคุณูปการ! หากสามารถเอาชนะศัตรูระลอกที่ห้าได้ จะเพิ่มขึ้นอีกสองหมื่นมหาคุณูปการ!”


ตงป๋อเสวี่ยอิงคล้ายจะรู้สึกอะไรในใจ จึงเงยหน้าขึ้นมอง


สายตาของเขามองผ่านผนังของโลกคูหาสวรรค์ออกไป ก็มองเห็น ‘บรรพชนฝาน’ เงาร่างอันเลือนราง ณ จุดสูงสุดกลางโถงตำหนักที่โลกภายนอกซึ่งมองเห็นได้ไม่ชัดมาตลอดผู้นั้น ทว่าในครั้งนี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับมองเห็นดวงตาคู่หนึ่งท่ามกลางเงาร่างอันเลือนรางนั้นได้อย่างชัดเจน


ดวงตาคู่นั้นสานสบกันกับสายตาของตงป๋อเสวี่ยอิง


ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจขึ้นมาในทันที!


“เหอๆ…” แม้จักรพรรดิชางจะไม่สังเกต แต่จักรพรรดิเซี่ยซึ่งควบคุมโลกคูหาสวรรค์ให้ส่งศัตรูลงไปกลับหัวเราะคิกคักพลางเหลือบมองบรรพชนฝานที่อยู่ด้านข้าง บรรพชนฝานกลับยังคงมองลงไปเบื้องล่างอย่างสงบราวกับมิได้ทำอะไรทั้งสิ้น


ตอนที่ 89 ปิดฉาก (1)

Ink Stone_Fantasy

เผชิญหน้ากับศัตรูระลอกที่สาม


อิงซานเสวี่ยอิงผู้สำเร็จ ‘เคล็ดผนึกห้าภาพ’ และโลกเขตลวงชั้นที่สิบ เอาชนะได้อย่างยากลำบากในท้ายที่สุด  ไม่ต่างไปจากที่บรรดาแขกเหรื่อในที่นั้นคาดเอาไว้เลย!


“อะไรกัน!”


“ชางเซวียนผู้นี้น่ะหรือ”


“เขาก็ชนะได้ด้วยหรือ”


พวกฝานอีเชียนและฝานซานหยวนแต่ละคนต่างก็ตื่นตระหนกกันเป็นอย่างยิ่ง แม้กระทั่งบรรดาแขกเหรื่อเทพจักรวาลเหล่านั้นก็ยังตื่นตระหนกกันเป็นอย่างยิ่ง


“อิงซานเสวี่ยอิงอาศัยเขตลวงโลกเทียม ทำให้ศัตรูไม่สามารถสำแดงเพลิงเจ็ดสีอันสมบูรณ์ออกมาได้! ดังนั้นจึงสามารถเอาชนะได้อย่างยากลำบาก แต่ชางเซวียนผู้นี้ ศัตรูของเขาสามารถสำแดงวงแหวนเพลิงเจ็ดสีอันสมบูรณ์ได้! จนถึงท้ายที่สุดก็พลิกกลับมาเอาชนะได้อย่างนั้นหรือ” บรรดาแขกเหรื่อมากมายในที่นั้น แม้กระทั่งบรรดามหาเคารพแต่ละท่านที่มีสถานะอันสูงส่งเป็นที่สุดในนั้นต่างก็ตื่นตระหนกอย่างมิอาจอธิบายได้


วงแหวนเพลิงเจ็ดสีได้ห่อหุ้มแม่ทัพชางเซวียนผู้นั้นเอาไว้ แต่ผิวกายของแม่ทัพชางเซวียนก็มีวงแหวนรัศมีสีม่วงห่อหุ้มร่างกายเอาไว้เช่นกัน ถึงแม้ว่าส่วนล่างของร่างกายที่ถูกแผดเผาจะเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นเถ้าถ่าน แต่ส่วนนั้นก็ฟื้นฟูกลับมาอย่างรวดเร็ว ระหว่างกระบวนการ ‘เผาไหม้และเกิดใหม่’ นี้ กลิ่นอายชีวิตของเขาก็อ่อนลงเสียแล้ว


แต่เช่นเดียวกัน รัศมีสีม่วงอันไพศาลก็แผ่ปกคลุมไปทั่วโลกคูหาสวรรค์ ห่อหุ้มพลทหารเกราะเงินนั้นเอาไว้ รัศมีสีม่วงยิ่งพรั่งพรูมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงท้ายที่สุด รัศมีสีม่วงที่พรั่งพรูก็ราวกับกระแสคลื่นอันน่าหวาดหวั่น เพียงแค่แรงสั่นสะเทือนของการโจมตีก็ทำให้ร่างกายของพลทหารเกราะเงินได้รับบาดเจ็บอย่างต่อเนื่องแล้ว


ในท้ายที่สุดแม่ทัพชางเซวียนยังเหลือพลังชีวิตอยู่สามส่วน พลทหารเกราะเงินก็ถูกสูบจนตายเสียแล้ว!


“ที่แท้แล้วนี่คือเคล็ดวิชาอันใดกันแน่ สกุลชางไม่มีเคล็ดวิชาเช่นนี้กระมัง” เหล่าระดับสูงของสกุลฝานและสกุลเซี่ยมองไปทางสกุลชางอย่างสงสัย เหล่าผู้แกร่งกล้าของรัฐโบราณคิมหันตวายุที่มิใช่สามตระกูลใหญ่เหล่านั้นก็งุนงงสงสัยเช่นเดียวกัน


จากประสบการณ์ของพวกเขา แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยเห็นเขตพลังพรรค์นี้มาก่อนเลย


สีม่วงหรือ


พลังคุกคามแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ด้วยหรือ นอกจากนี้ ความสามารถในการคุ้มกายก็น่าหวาดหวั่นเป็นที่สุด! ต้องรู้ไว้ว่าเคล็ดผนึกห้าภาพภายใต้เพลิงเจ็ดสีที่ไม่สมบูรณ์ก็ยังถูกทำลายอย่างต่อเนื่อง ภายใต้วงแหวนเพลิงเจ็ดสี…เทพจักรวาลส่วนใหญ่ก็มีผลลัพธ์คือถูกแผดเผาเป็นเถ้าถ่าน! ต่อให้เป็นตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไม่กล้าต้านทาน จำเป็นต้องอาศัยเคล็ดไร้ทลายเก้ากัณฑ์ มิให้เปลวเพลิงต้องกาย!


“เคล็ดวิชาคุ้มกายอันร้ายกาจยิ่ง กล้าต้านทานวงแหวนเพลิงเจ็ดสีด้วยหรือ”


“น่าจะเป็นเคล็ดวิชาคุ้มกายของขั้นอลวนที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เคยรู้จักแล้วกระมัง” บรรดาแขกเหรื่อจำนวนมากมายในที่นั้นต่างก็มองแม่ทัพชางเซวียนผู้นั้นอย่างครุ่นคิด เทพจักรวาลสามัญที่เชี่ยวชาญการหลอมร่างกายก็ยังมิสู้ เคล็ดวิชานี้แข็งแกร่งอย่างไม่ธรรมดาเสียแล้ว นอกจากนี้ในประวัติศาสตร์ก็ยังไม่เคยปรากฏมาก่อนอีกด้วย


ผู้ที่สุขสันต์ที่สุดในที่นั้นเห็นจะเป็นระดับสูงของสกุลชาง


ยิ่งศิษย์สกุลชางแข็งแกร่งเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งดีใจเท่านั้น!


……


ส่วนผู้ที่หัวเสียที่สุดก็คือสกุลฝาน!


มหาเคารพหกท่านของสกุลฝานนั่งอยู่ที่นั่น บรรดามหาเคารพของสกุลเซี่ยและสกุลชางยังพูดคุยหัวร่อต่อกระซิกอยู่กับพวกเขา


“เจ้าลัทธิดอกบัวแดง อิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ บางทีอาจจะสามารถเอาชนะระลอกที่สี่ได้เลยกระมัง! พอถึงเวลาพวกเจ้าสกุลฝานก็ยังมีความหวังที่จะเอาชนะได้ในท้ายที่สุด” ชายชราเคราทองที่สวมเกราะสีทองตลอดร่างคนหนึ่งพูดยิ้มๆ


“สกุลฝานยังมีความหวังอยู่”


“อืม เจ้าเด็กอิงซานเสวี่ยอิงผู้นั้นไม่เลวเลยจริงๆ”


“พวกเจ้านี่ก็จริงๆ เลย อิงซานเสวี่ยอิงเอาชนะระลอกที่สามก็ยังลำบากลำบนเช่นนี้ ระลอกที่สี่ก็ไร้ความหวังอย่างแน่นอนแล้วล่ะ ต่อให้พวกเจ้าปลอบประโลมพวกลู่เทียนมากยิ่งกว่านี้ พวกเขาก็ได้แต่ยิ่งไม่เบิกบานใจแล้วล่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า… แต่ว่าข้าช่างเบิกบานใจเหลือเกิน” เด็กปากแดงฟันขาวคนหนึ่งของสกุลชางหัวเราะเสียจนมือเท้าโบกสะบัด หลังจากเสียงหัวเราะ บริเวณโดยรอบก็มีเสียงระลอกคลื่นพรั่งพรูอย่างไร้ที่สิ้นสุดตามมา


“เฮอะ!” มหาเคารพลู่เทียนผู้มีรูปร่างสูงใหญ่ส่งเสียงเฮอะเยียบเย็นพลางเหลือบมองเด็กที่มือเท้าโบกสะบัดผู้นั้นปราดหนึ่ง “เด็กศักดิ์สิทธิ์ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ เจ้าก็หัวเราะจนถึงขนาดนี้แล้วหรือ”


“ผิดหวังมากเลยใช่หรือไม่เล่า หกครั้งแล้วนี่” เด็กคนนั้นกลับยิ้มหยัน “เห็นสกุลฝานของพวกเจ้าขายขี้หน้า ข้าก็เบิกบานใจนัก”


มหาเคารพลู่เทียนสีหน้าถมึงทึง


“ฮ่าฮ่า…” เด็กผู้นั้นยังคงหัวเราะฮ่าฮ่าเช่นเดิม


มหาเคารพคนอื่นๆ โดยรอบต่างก็มิได้เอ่ยปาก


‘เด็กศักดิ์สิทธิ์ขู่ไห่’ ของสกุลชางและ ‘มหาเคารพลู่เทียน’ มีความขุ่นเคืองใจพัวพัน ผู้ที่อยู่ในที่นั้นต่างก็รู้กันทั้งสิ้นว่าสองคนนั้นมีมิตรภาพร่วมเป็นร่วมตายกัน แต่ก็มีความแค้นอันมิอาจสั่นคลอนได้เช่นกัน นำไปสู่ผลลัพธ์เช่นปัจจุบัน แต่ ‘เด็กศักดิ์สิทธิ์ขู่ไห่’ ยังคงอ่อนแอ เผชิญกับภยันตราย มหาเคารพลู่เทียนก็บุกไปสังหารอย่างโกรธแค้นและบ้าคลั่ง


ความขุ่นเคืองของคนทั้งสอง แม้กระทั่งพวกจักรพรรดิเซี่ยสามคนก็ยังมิอาจเปลี่ยนแปลงได้เลย


“สกุลฝานของข้ายังมิได้พ่ายแพ้เสียหน่อย” มหาเคารพซือเทียนกวาดสายตามองเด็กศักดิ์สิทธิ์ขู่ไห่ “เด็กศักดิ์สิทธิ์อย่าเพิ่งด่วนลำพองใจเร็วไปนักเลย”


“อ้อ เช่นนั้นข้าก็จะคอยดูแล้วกัน อีกประเดี๋ยวค่อยดีใจก็ได้!” เด็กผู้นั้นลอบหัวเราะ


บรรดามหาเคารพคนอื่นๆ ของสกุลฝานต่างก็มองดูโลกคูหาสวรรค์สองแห่งที่หลงเหลืออยู่ตรงกลางห้องโถงอย่างเงียบๆ


ถ้าหากพ่ายแพ้เสียแล้ว


หนึ่งก็คือขายหน้า สองก็คือไม่มีโอกาสได้เข้าสู่ตำหนักเทพโลกาดั้งเดิม! อ้างอิงจากกฎของสกุลฝาน เทพจักรวาลที่อ่อนแอก็ไม่มีสิทธิ์เข้าไปในนั้น การเข้าไปในตำหนักเทพโลกาดั้งเดิมก็สูญเปล่าเกินไปแล้ว! ส่วน ระดับอย่าง ‘บรรพชนฝาน’ ในอดีตก็เคยเข้าไปแล้วหลายครั้ง จึงมิได้มีความกระหายต่อตำหนักเทพโลกาดั้งเดิมสักเท่าใดนัก โดยทั่วไปก็ให้กับบรรดามหาเคารพใต้บังคับบัญชา


พวกเขาอยากเข้าไป!


“ตำหนักเทพโลกาดั้งเดิมเอ๋ย ไม่ว่าจะดิ้นรนอย่างไร พวกเราก็ไม่มีสิทธิ์ได้เข้าไปอยู่ดี” บรรดาแขกเหรื่อที่มิใช่สามตระกูลใหญ่แห่งรัฐโบราณคิมหันตวายุที่ถูกเชื้อเชิญมา พวกเขาแต่ละคนต่างก็เป็นผู้แกร่งกล้าล้ำเลิศ ถึงขนาดที่ในบรรดานั้นมีพลังยุทธ์เทียบเคียงได้กับประมุขรัฐเมฆทักษิณา แต่พวกเขาก็ลอบทอดถอนใจ


ไร้ซึ่งหนทาง


ทรัพยากรที่ดีที่สุด โดยทั่วไปแล้วพวกจักรพรรดิเซี่ยสามคนต่างก็มอบให้กับสามตระกูลใหญ่ ‘เจียดเล็กน้อย’ ให้กับพวกเขา นี่ก็คือสถานการณ์ที่พวกเขาวิ่งเต้นรับใช้สามตระกูลใหญ่!


แค่นี้ก็ไม่เลวแล้ว! สกุลเซี่ยและสกุลชางต่างก็ไม่สนใจรัฐประเทศภายนอก ถึงแม้ว่าสกุลฝานจะมีเค่อชิงจากรัฐประเทศภายนอก แต่ภารกิจก็ยากเย็นเป็นอย่างยิ่ง สำหรับประชากรในรัฐประเทศเดียวกันนั้น… สามตระกูลใหญ่ก็นับได้ว่ามีเมตตา


……


ภายในโลกคูหาสวรรค์สองแห่ง


ตงป๋อเสวี่ยอิงและชางเซวียนต่างก็กำลังรอคอย ครืน… กลิ่นอายที่พรั่งพรูรวมตัวกัน ศัตรูระลอกที่สี่เคลื่อนเข้ามา


“พรึ่บ”


ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูพลทหารเกราะทองคนหนึ่งที่รวมร่างแล้วปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้า พลทหารเกราะทองผู้นั้นมองมาทางตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยนัยน์ตาเย็นชา ส่งผ่านความเยียบเย็นอันไร้ที่สิ้นสุดมา


“ปัง…”


อุณหภูมิภายในทั้งโลกคูหาสวรรค์ลดฮวบลงในทันที ทุกหนทุกปห่งในดินแดนล้วนถูกแช่แข็งในพริบตา คล้ายกับกาลมิติก็ถูกแช่แข็งไปด้วย ไร้ซึ่งที่หลบซ่อน ถ้าหากพูดว่าสถานที่อื่นๆ เพียงแค่ได้รับผลกระทบ บริเวณที่ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่จึงจะเป็นศูนย์กลางการโจมตี ก้อนน้ำแข็งสีเทาจางๆ แช่แข็งร่างกายของตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้โดยสมบูรณ์ เคล็ดวิชาที่หวาดหวั่นถึงเพียงนี้ เทพจักรวาลธรรมดาทั่วไปล้วนถูกทำให้ร่างกายแหลกสลายทั้งเป็น! ถึงแม้ว่าจะไม่ตาย ความเร็วในการเคลื่อนไหวของร่างกายท่อนล่างที่ถูกแช่แข็งก็จะเชื่องช้าลงเป็นอย่างมาก พลังยุทธ์ลดลงอย่างมหาศาล แล้วก็สามารถถูกสังหารจนถึงแก่ความตายได้อย่างง่ายดาย


เคล็ดวิชาระดับนี้ ตามหลักการแล้วขั้นอลวนล้วนไม่สามารถทำได้ทั้งสิ้น! เห็นได้ชัดว่าการทดสอบระลอกที่สี่ ที่ใช้ล้วนเป็นเคล็ดวิชาที่เหล่าเทพจักรวาลต้องอาศัยสมบัติลับล้ำค่าจึงจะสามารถสำแดงออกมาได้


“ร้ายกาจน่าดูเลยทีเดียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงดูเหมือนว่าจะถูกก้อนน้ำแข็งแช่แข็งเสียแล้ว ยังคงยืนอยู่ที่นั่นเช่นเดิม ไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย มุมปากเผยรอยยิ้มหนึ่งออกมา


ถูกก้อนน้ำแข็งแช่แข็งแล้วยังยิ้มได้อยู่อีกหรือ


และที่โลกคูหาสวรรค์อีกแห่งหนึ่ง


พรึ่บ


เพิ่งจะประมือกันเป็นเวลาเพียงแค่ชั่วอึดใจเดียวเท่านั้นแม่ทัพเซวียนก็ถูกเคลื่อนย้ายออกมาด้านนอก เพราะเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสในการต่อสู้ในคราวก่อน! เมื่อความหนาวเหน็บอันน่าหวาดหวั่นของศัตรูระลอกที่สี่นั้นมาเยือน ถูกก้อนน้ำแข็งสีเทาจางๆ แช่แข็งร่างกาย พลังคุกคามนี้ยังแข็งแกร่งกว่าวงแหวนเพลิงเจ็ดสีอยู่เล็กน้อย ทำให้อาการบาดเจ็บของเขาทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในเวลาชั่วอึดใจ จักรพรรดิเซี่ยก็เคลื่อนย้ายเขาออกมาในทันทีทันใดเสียแล้ว


เส้นทางในสงครามสามตระกูล ของ ‘แม่ทัพเซวียน’ แห่งสกุลชางก็สิ้นสุดลงเช่นนี้เอง


สงครามสามตระกูลในคราวนี้เหลือเพียงแค่ขั้นอลวนคนสุดท้ายที่ยังต่อสู้อยู่คนหนึ่ง นั่นก็คืออิงซานเสวี่ยอิงที่มาจากรัฐเมฆทักษิณาผู้นั้นนั่นเอง!


“น่าแปลกไหมเล่า”


“เหตุใดกลิ่นอายของเขาจึงมิได้อ่อนแอลงเลย”


บรรดาแขกเหรื่อมองดูภาพเหตุการณ์ภายในโลกคูหาสวรรค์อย่างสงสัยเล็กน้อย ถึงอย่างไรนี่ก็คือโลกคูหาสวรรค์ที่จักรพรรดิเซี่ยควบคุม พวกเขาไม่มีทางแทรกผ่านเข้าไปดูได้ ทำได้เพียงชมดูภาพเหตุการณ์อย่างผิวเผินด้วยตาเปล่าแล้วทำการคาดคะเนบางอย่าง


อิงซานเสวี่ยอิงยังหันหน้ามาดู ‘แม่ทัพเซวียน’ ถูกเคลื่อนย้ายตัวออกมา หลังจากนั้นเขาก็หายตัวไปเสียแล้ว


“หายตัวไปเสียแล้วหรือ”


“ถูกเคลื่อนย้ายตัวออกมาอย่างนั้นหรือ”


ในขณะที่ระดับสูงของสกุลฝานอดที่จะตรวจตราดูอย่างละเอียดมิได้อยู่นั้นเอง กลับมีเงาร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงที่ไม่เคยปรากฏตัวภายในโถงตำหนักมาก่อนเลยปรากฏขึ้น


……


ตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้รีบร้อนสังหารศัตรู ภายใต้เขตพลังอันน่าหวาดหวั่น เขาก็ย่อมสำแดงเคล็ดไร้ทลายเก้ากัณฑ์ในคราวเดียว ทำให้ร่างกายที่เยือกแข็งเหล่านั้นมิอาจทำร้ายตนได้เลยแม้แต่น้อย! จากนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็ ‘ตรวจดู’ เคล็ดวิชาของศัตรูอย่างละเอียด เขามีประสบการณ์ในการประมือกับเทพจักรวาลที่กล้าแกร่งน้อยเกินไป แน่นอนว่าสั่งสมประสบการณ์ให้มากๆ ก็จะสืบเสาะหากฎเกณฑ์สูงสุดจากในนั้นได้มากยิ่งขึ้น


แต่ไหนแต่ไรเป้าหมายของเขาก็มิใช่เพียงแค่การสำเร็จเป็นเทพจักรวาลเท่านั้นอยู่แล้ว


“หนาวเหน็บ ความตาย… กาลมิติก็สามารถแช่แข็งความตายได้ด้วยอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงรับสัมผัสจินตภาพอันหนาวเหน็บดุจน้ำแข็งชนิดนี้แล้วก็อดที่จะลอบตื่นตระหนกมิได้


“แต่จินตภาพที่ข้าครอบครองนั้นเหนือกว่าประเภทกาลมิติธรรมดาทั่วไป มันชี้บ่งถึงธรรมชาติของทั้งโลกกำเนิด ข้ากับแก่นห้วงอากาศโลกกำเนิดแปรเป็นร่างเดียว หากไม่สามารถทลายเปิดกรงขังโลกกำเนิดได้ ก็มิอาจทำร้ายข้าได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงจิตใจวูบไหว จากนั้นแม้กระทั่งรูปลักษณ์เงาร่างที่ปรากฏชัดอยู่ที่โลกภายนอกก็หายลับไปโดยสมบูรณ์


หายลับไปอย่างสิ้นเชิง


แม้กระทั่งเหล่าเทพจักรวาลมาตรวจสอบโดยละเอียดก็ตรวจไม่พบ!


นี่ก็คือความน่าหวาดหวั่นของการกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอด!


ตอนที่ 90 ปิดฉาก (2)

Ink Stone_Fantasy

 


“สวบ”


ความรู้สึกของการเข้าสู่แก่นห้วงอากาศนั้นมหัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง


ตงป๋อเสวี่ยอิงก้าวย่างอย่างเชื่องช้า บริเวณโดยรอบร่างกายบิดหมุน อนุภาคทรงกลมหมอกดำจำนวนนับไม่ถ้วนโอบล้อมตนเองเสียจนตัวเองราวกับส่วนหนึ่งของพวกมัน เพียงไม่นานก็ก้าวย่างมาจนถึงบริเวณที่ดูน่าสงสัยอยู่บ้างนั้น มองดูพลทหารเกราะทองที่อยู่ด้านข้างโดยรอบอย่างระมัดระวัง


“ปัง”


ไร้ซึ่งการตักเตือน


ฝ่ามือใหญ่ที่ก่อรูปขึ้นจากกระแสอากาศอันเลือนรางห้าสายปรากฏขึ้นที่เหนือศีรษะของพลทหารเกราะทองอย่างฉับพลัน! ฝ่ามือหนึ่งฟาดลงมาโดยไม่ให้โอกาสพลทหารเกราะทองได้ต้านทานเลยแม้แต่น้อย!


ดูเหมือนฟาดลงมา แต่ในความเป็นจริงแล้วคือมิติปิดผนึกห้าภาพหดตัวบีบอัด ภายใต้การรวมตัวกันอย่างสมบูรณ์แบบของเคล็ดวิชาระดับชั้นที่สิบห้าชนิด ความกดดันของทั้งห้วงอากาศ! ก็บดขยี้ศัตรูทั้งเป็น นี่คือเคล็ดวิชากดดันซึ่งหน้าที่โอหังเป็นอย่างยิ่ง เช่นร่างกระบี่สวรรค์ไร้ทลายชั้นที่สิบของอ๋องอสนีบาตโม่เฉาก็มิอาจต้านทานเอาไว้ได้ เคล็ดวิชาโจมตีอันแกร่งกล้าที่จักรพรรดิเซี่ยให้กับพลทหารเกราะทอง การป้องกันร่างกายตามธรรมชาติก็คงมิได้ล้ำเลิศสักเท่าใดนัก


ถ้าหากล้ำเลิศอย่างยิ่ง ก็คงจะยากเย็นเกินไป


ถึงอย่างไรระลอกที่สามระลอกที่สี่ แต่ละระลอกตามกันมา ระดับความยากล้วนค่อยๆ ยกระดับขึ้น


ถึงอย่างไรการทดสอบก็มีเป้าหมายคือขั้นอลวน! จะต้องเหลือสิ่งที่สามารถคาดหวังได้โดยสมบูรณ์เอาไว้อยู่แล้ว


“หืม”


ตัวตงป๋อเสวี่ยอิงเองมีความประหลาดใจอยู่บ้างเล็กน้อย ภายใต้การระเบิดออกมาอย่างสมบูรณ์แบบของเคล็ดผนึกห้าภาพ ภายใต้สถานการณ์ที่ศัตรูตั้งตัวไม่ทัน มิอาจต้านทานได้ทันก็ถูกสังหารไปในกระบวนท่าเดียว “ความสามารถในการรักษาชีวิตของร่างกายนั้นมิได้ล้ำเลิศเกินไปเลย”


เมื่อพลทหารเกราะทองตายไป


ความหนาวเหน็บดุจน้ำแข็งโดยรอบก็มลายหายไปจนสิ้น


เงาร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงจึงปรากฏออกมาจากความว่างเปล่า


……


มองดูหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวที่ปรากฏออกมาจากความว่างเปล่าภายในโลกคูหาสวรรค์


พวกเขาสี่คนทั้งฝานอีเชียน ฝานซานหยวน ฝานโม่จู๋ และอ๋องส้าหลง รวมถึงเหล่าขั้นอลวนของสกุลเซี่ยและสกุลชางต่างก็ปากอ้าตาค้าง


หายไปอย่างไร้ร่องรอยหรือ สังหารภายในกระบวนท่าเดียวอย่างนั้นหรือ


“ก่อนหน้านี้เอาชนะระลอกที่สาม ที่แท้แล้วเขายังซ่อนเร้นพลังยุทธ์เอาไว้อยู่อีกหรือนี่” แม่ทัพเซวียนประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง เขานั้นคารวะอยู่ภายใต้สำนักของ ‘ท่านอาจารย์หยวน’ โดยบังเอิญ ถึงแม้ว่าจะถ่อมเนื้อถ่อมตัว แต่ที่จริงแล้วภายในใจหยิ่งทระนง แต่ตอนนี้กลับพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง!


“นี่จึงจะเป็นพลังยุทธ์ของเขาอย่างนั้นหรือ มิน่าเล่าจึงสามารถเป็นเค่อชิงระดับบนได้” ฝานซานหยวนถึงกับรู้สึกว่าการที่สกุลฝานสามารถเชิญขั้นอลวนที่ล้ำเลิศถึงเพียงนี้มาเป็นเค่อชิงระดับบนได้นับว่าโชคดีเหลือเกิน


ต้องรู้ไว้ว่า…


นับตั้งแต่หลังจากสงครามประเทศโบราณครั้งที่สอง ‘สงครามสามตระกูล’ ที่สามตระกูลใหญ่จัดขึ้น ที่น่าอัศจรรย์ที่สุดในประวัติศาสตร์ก็เพียงแค่เอาชนะระลอกที่สี่เท่านั้น อีกทั้งยังทุลักทุเลเป็นอย่างยิ่ง ไหนเลยจะผ่อนคลายเหมือนกับอิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้


“ฮ่าฮ่าฮ่า!”


มหาเคารพซือเทียนผุดลุกขึ้นยืนในทันใดแล้วพูดยิ้มๆ ด้วยเสียงอันดัง  “ทำได้ดี! ทำได้อย่างงดงามทีเดียว สมแล้วที่เป็นเค่อชิงระดับบนของสกุลฝานเรา”


เสียงหัวเราะของเขาสะท้อนก้องอยู่ภายในโถงตำหนัก ทั้งยังจงใจกวาดหางตาไปยังเหล่ามหาเคารพของสกุลเซี่ยและสกุลชางปราดหนึ่ง! คำพูดเสียดสีทั้งหลายของบรรดามหาเคารพเหล่านั้นก่อนหน้านี้ยังคงระคายหูอยู่เลย เป็นถึงผู้จัดการของทั้งสกุลฝานในตอนนี้ ขณะนี้มหาเคารพซือเทียนจึงหัวเราะเสียงดังอย่างแท้จริง จงใจหักหน้า! มาถึงระดับขั้นนี้อย่างพวกเขา เพราะเป็นรัฐโบราณเดียวกันย่อมไม่มีทางสังหารซึ่งกันและกัน แต่สงครามทางอารมณ์และการต่อสู้ซึ่งๆ หน้านั้นยิ่งเห็นได้บ่อยกว่า


“งดงาม”


“ร้ายกาจ”


“นี่คือการกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอดหรือ ขั้นอลวนสำเร็จการกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอด ช่างเหนือความคาดหมาย ล้ำเลิศโดยแท้”


“เขาไปเรียนเคล็ดวิชาการกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอดมาจากที่ไหนกัน ขั้นอลวนก็สำเร็จได้ รัฐเมฆทักษิณามีเคล็ดวิชาเช่นนี้ด้วยหรือ”


“เจ้าว่าเขาไปร่ำเรียนมาจากไหนกัน สามารถสำแดงได้ก็เป็นเรื่องดี”


เหล่าเทพจักรวาลแต่ละคนของสกุลฝานยิ้มร่าอย่างมีความสุข มหาเคารพซือเทียนและเจ้าลัทธิดอกบัวแดงแต่ละคนต่างก็อารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าพวกเขาต่างก็มองออกว่าเอาชนะระลอกที่สี่ได้อย่างผ่อนคลายยิ่ง! อิงซานเสวี่ยอิงผู้ล้ำเลิศที่สำเร็จเคล็ดวิชาเขตลวงชั้นที่สิบ เคล็ดผนึกห้าภาพ และการกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอด เป็นขั้นอลวนคนหนึ่งที่น่าหวาดหวั่นที่สุดเท่าที่มีมาในประวัติศาสตร์ของสงครามสามตระกูล เกรงว่าระลอกที่ห้าก็ต้านเขาเอาไว้ไม่อยู่เช่นกัน!


เพียงแค่เอาชนะระลอกที่ห้าได้ เช่นนั้นสกุลฝานก็เอาชนะได้อย่างแท้จริงแล้ว


ถึงเวลานั้นโอกาสในการเข้าสู่ตำหนักเทพโลกาดั้งเดิมก็จะกลับมาสู่สกุลฝานของพวกเขาแล้ว!


พวกมหาเคารพซือเทียนแต่ละคนต่างก็กำลังคิดถึงการต่อรองกับห้าท่านอื่นๆ ในภายภาคหน้าแล้ว


“การเลือกเขามานี้ เป็นการเลือกที่ถูกต้องแล้วจริงๆ” มหาเคารพซือเทียนสุขใจเป็นอย่างยิ่ง


หนึ่งหมื่นมหาคุณูปการก็ทำให้สกุลฝานเอาชนะโอกาสในการเข้าสู่ตำหนักเทพโลกาดั้งเดิมได้ครั้งหนึ่งแล้ว คุ้มค่าเหลือเกิน! ต่อให้เป็นสามหมื่นหรือห้าหมื่นมหาคุณูปการก็ยังคุ้มค่า!


แต่เขากลับไม่รู้ว่า…บรรพชนฝานได้ให้สัญญากับตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้ก่อนแล้ว!


……


และที่ตำแหน่งสูงสุด


จักรพรรดิเซี่ย จักรพรรดิชาง และบรรพชนฝานต่างก็ประหลาดใจอยู่บ้าง การกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอดหรือ


“เขาถึงกับสามารถสำเร็จการกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอดได้เชียวหรือ ขั้นอลวนก็สามารถสำเร็จได้แล้วหรือ เกรงว่าเขาจะเป็นเทพจักรวาลผู้แกร่งกล้าอะไรสักอย่างที่กลับชาติมาเกิดอย่างแท้จริง”


พวกจักรพรรดิเซี่ยแต่ละคนต่างก็อดที่จะคิดเช่นนี้มิได้ เพราะการที่ขั้นอลวนจะสำเร็จได้นั้นช่างยากเย็นเหลือเกิน อย่างเช่นกู่ฉีผู้เป็นเทพจักรวาลที่สำเร็จทางวิถีห้วงอากาศ ก็ยังมีเคล็ดวิชาที่ชัดเจนอย่างวิชาลับผู้ท่องอยู่ในมือ เพียงแค่บำเพ็ญไปถึงชั้นที่หกสิบอันสมบูรณ์ก็สามารถกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอดได้แล้ว แต่เขาก็ยังมิอาจสำเร็จได้อยู่ดี


ก็สามารถเห็นระดับความยากของการกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอดได้แล้ว


ระดับความยากลำบากยังเหนือกว่าโลกราตรีนิรันดร์ เคล็ดวิชาสามชาติภพ และเพลิงเจ็ดสีเสียอีก เป็นเคล็ดวิชาขั้นอลวนที่ยากเย็นที่สุดเท่าที่รู้จักแล้ว! เป็นสิ่งที่เทพจักรวาลจำนวนมากต่างก็ใฝ่ฝันหา ถึงอย่างไรการรักษาชีวิตนี้ก็ล้ำเลิศเหลือเกิน การจะทลายเปิดกรงขังโลกกำเนิดก็ยากเย็นเกินไปเสียแล้ว แม้ว่าจะเป็นผู้แกร่งกล้าที่เชี่ยวชาญทางวิถีห้วงอากาศ การจะทลายเปิดก็ยังยากเย็น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้ที่เชี่ยวชาญทางวิถีอื่นๆ เลย


“ขั้นอลวนทำสำเร็จได้ ช่างยากเย็นยิ่งนัก แต่เขาน่าจะกลับชาติมาเกิดเป็นแน่ บางทีความสำเร็จในชาติก่อนของเขาอาจจะสูงส่งเป็นอย่างยิ่ง” พวกจักรพรรดิเซี่ยแน่วแน่เช่นนี้ ถ้าหากชาติก่อนอิงซานเสวี่ยอิงเป็นผู้แกร่งกล้าระดับอย่างประมุขรัฐเมฆทักษิณา มีพื้นฐานอยู่ แล้วปลอมตัวเป็นขั้นอลวน ใช้เพียงแค่ความเร้นลับของขั้นอลวนแล้วสำเร็จการกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอดก็ยังมีความหวังอยู่


“เขาไปเอาเคล็ดวิชาขั้นอลวนกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอดมาจากไหนกัน”


ทั้งสามคนนี้ต่างก็พากันประหลาดใจ


เพราะตอนนี้ก็มีเพียงรัฐโบราณสหโลกาและรัฐโบราณคิมหันตวายุที่มีขั้นอลวนสำเร็จวิชาการกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอด! ว่ากันตามเหตุผลแล้วอิงซานเสวี่ยอิงต้องมิอาจศึกษาได้จึงจะถูกต้อง หรือจะบอกว่าเป็นเพราะชาติก่อนเขาศึกษาได้สำเร็จตอนอยู่ที่โลกกำเนิดอีกแห่งหนึ่ง


บรรพชนฝานแย้มยิ้ม นี่ไม่จำเป็นต้องใส่ใจจนเกินไปนัก โลกกำเนิดภายนอกมีผู้แกร่งกล้าก็เป็นเรื่องปกติ อย่างเช่นห้าบรรพชนของรัฐโบราณสหโลกาต่างก็เป็นผู้ที่กลับชาติมาเกิดด้วยกันทั้งสิ้น


ไม่ว่าอย่างไรคราวนี้อิงซานเสวี่ยอิงก็ช่วยเหลือสกุลฝานของเขาเอาไว้


“จัดการระลอกที่สี่เรียบร้อยแล้ว” บรรพชนฝานอมยิ้มมองไปทางจักรพรรดิเซี่ยที่อยู่ด้านข้าง


“เริ่มต้นระลอกที่ห้าเลยดีกว่า”


จักรพรรดิเซี่ยและจักรพรรดิชางประสานสายตากันคราหนึ่งแล้วพี่น้องคู่นี้ต่างก็พากันหัวเราะขึ้นมา


“ยังคิดว่าคราวนี้สามารถทำให้พี่ฝานเขียนบันทึกหน้าใหม่ได้ว่าสกุลฝานพ่ายแพ้หกครั้งรวด น่าเสียดายนัก ที่ถูกเจ้าเด็กคนหนึ่งทำลายเสียแล้ว” จักรพรรดิเซี่ยเอ่ยหยอกล้อ พูดแล้วเขาก็จัดแจงศัตรูยกที่ห้า แน่นอนว่าเขาไม่มีทางจงใจยกระดับความยากให้สูงจนเกินไป เขามีสถานะเช่นไร สามารถทำให้บรรพชนฝานและจักรพรรดิชางช่วยเหลือเขาอย่างเต็มใจได้ นอกจากพลังยุทธ์แล้ว ความยุติธรรมอันเป็นพื้นฐานนี้ จักรพรรดิเซี่ยย่อมสามารถทำได้อย่างแน่นอน! ถึงขนาดที่เขายังจงใจเอื้อประโยชน์ให้กับสกุลฝานและสกุลชางในหลายๆ ครั้งอีกด้วย


……


ปัง! ปัง! ปัง!


ระลอกที่ห้าคือพลทหารเกราะทองสองคน แต่คราวนี้อิงซานเสวี่ยอิงก็กวัดแกว่งหอกเทพเมฆาแดง อันที่จริงแล้ว เดิมที ‘เคล็ดผนึกห้าภาพ’ ก็เป็นห้าภาพโคจรรวมตัวกัน แต่ติดอยู่บนฝ่ามือ ติดอยู่บนอาวุธอื่นๆ หรือแม้กระทั่งในความว่างเปล่าก็ล้วนสามารถสำแดงออกมาได้ทั้งสิ้น วิธีการที่สำแดงสามารถผนึกศัตรูเอาไว้ในห้วงมิติแล้วทำการกดดันได้โดยตรง ทั้งยังสามารถอาศัยพลังคุกคามของห้วงมิติแห่งหนึ่งโจมตีซึ่งหน้าได้ด้วย!


คราวนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงอาวุธ ทำให้เคล็ดผนึกห้าภาพแนบติดอยู่บนหอกยาว ทำให้หอกยาวแน่นหนักหาใดเปรียบ ปะทะอย่างดุดัน


พลทหารเกราะทองคนหนึ่งถูกปะทะโดยตรงคราหนึ่งก็สูญสลายกระจัดกระจาย! ส่วนอีกคนถูกปะทะสองครั้งจึงจะแหลกสลาย


“พรึ่บ”


หลังจากเอาชนะระลอกที่ห้าแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เดินมุ่งหน้าตรงออกไปยังทางเข้าของโลกคูหาสวรรค์ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรั้งอยู่อีกต่อไปแล้ว เอาชนะได้แล้วเป็นใช้ได้ ตนเองเป็นผู้มาจากรัฐประเทศภายนอกคนหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องแสดงออกมากมายเกินไปในรัฐโบราณคิมหันตวายุ


“ฮ่าฮ่าฮ่า เค่อชิงระดับบนเฟยเสวี่ย ทำได้งดงามนัก” มหาเคารพซือเทียนเดินลงมาด้วยตนเอง สองสามก้าวก็มาถึงตรงหน้าตงป๋อเสวี่ยอิง เขาส่งสุราจอกหนึ่งให้กับตงป๋อเสวี่ยอิงพลางเอ่ยอย่างกระตือรือร้นว่า “มา ข้าขอคารวะเจ้าจอกหนึ่ง”


ตงป๋อเสวี่ยอิงประหลาดใจเพราะได้รับความชมชอบอยู่บ้าง


ในโอกาสเช่นนี้ มหาเคารพซือเทียนถึงกับมาคารวะสุราเลยหรือ ต้องรู้ไว้ว่าสถานะของมหาเคารพซือเทียนนั้นสูงส่งเป็นที่สุดในบรรดามหาเคารพหกท่านของสกุลฝาน ถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้จัดการธุระ


ตงป๋อเสวี่ยอิงรับมาในทันที “ขอบคุณท่านมหาเคารพ”


ทั้งสองคนดื่มลงไปในทันใด


“เอาล่ะ”


ด้านข้างนอกจากเหล่าเทพจักรวาลของสกุลฝานที่ปรบมือยินดีแล้ว ยังมีบรรดาแขกเหรื่อที่มิใช่สามตระกูลใหญ่ต่างก็พากันชื่นชมเช่นกัน สกุลเซี่ยและสกุลชางต่างก็มองตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างประหลาดใจ


พูดคุยกันอย่างเงียบเชียบ ในเมื่อสกุลฝานชนะแล้ว พวกเขาก็ได้แต่ยอมรับโดยดุษณี! ถึงอย่างไรในประวัติศาสตร์สงครามสามตระกูล แต่ไหนแต่ไรสามตระกูลใหญ่ก็ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะอยู่แล้ว


“มหาเคารพซือเทียน อิงซานเสวี่ยอิงสร้างมหาคุณูปการเช่นนี้เพื่อสกุลฝานของท่าน ก็มิอาจปฏิบัติไม่ดีต่อเขาได้แล้ว” บุรุษที่สะพายกระบี่เทพคนหนึ่งของสกุลเซี่ยเอ่ยเสียงดัง


มหาเคารพซือเทียนหัวเราะฮ่าฮ่าแล้วมองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงในทันที พลางถ่ายเสียงพูดว่า “เค่อชิงระดับบนเฟยเสวี่ย คิดไม่ถึงว่าเจ้าถึงกับยังมีเคล็ดวิชาการกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอดนี้อยู่ด้วย ไม่รู้ว่าเคล็ดวิชานี้ของเจ้า เป็นสิ่งที่เจ้าคิดค้นขึ้นมาเองหรือ หรือเป็นสิ่งที่ผู้แกร่งกล้าของโลกกำเนิดในชาติก่อนของเจ้าคิดค้นขึ้นมากันเล่า”


ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้งคราหนึ่ง แต่ก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายแน่ใจแล้วว่าตนเองกลับชาติมาเกิด


ก็ถูกค้อง


ระยะเวลาในการบำเพ็ญของตนแสนสั้นถึงเพียงนี้ก็ตระหนักรู้เคล็ดผนึกห้าภาพได้อย่างล้ำเลิศ ทั้งยังตระหนักรู้เคล็ดวิชาเขตลวงโลกเทียมชั้นที่สิบ ตอนนี้ยังสามารถกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอดได้ด้วยอย่างนั้นหรือ


นี่ล้วนมิใช่การกลับชาติมาเกิด หากแต่เป็นสิ่งที่ตนบำเพ็ญมาโดยเริ่มจากศูนย์ในชาตินี้ เกรงว่าพวกจักรพรรดิเซี่ยและบรรพชนฝานแต่ละคนล้วนไม่มีทางเชื่อเป็นแน่


มหาเคารพซือเทียนเกรงอกเกรงใจเช่นนี้ ถึงขนาดที่มาทำการคารวะสุรา…เกรงว่าคงจะแน่ใจแล้วว่าตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นคนที่กลับชาติมาเกิด นอกจากนี้ชาติก่อนยังเป็นเทพจักรวาลที่แข็งแกร่งเป็นที่สุดคนหนึ่งอีกด้วย จึงได้รักษามารยาทถึงเพียงนี้ ถ้าหากเป็นเพียงแค่ขั้นอลวนคนหนึ่งจริงๆ มหาเคารพซือเทียนผู้มีสถานะเช่นนี้รักษามารยาท ก็คงเป็นไปไม่ได้สักเท่าใดจริงๆ ที่จะยอมลดตัวลงมาเช่นนี้


“ได้รับมาโดยบังเอิญน่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงพูด ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะเปิดเผยสู่สาธารณะเป็นการชั่วคราว


“โลกกำเนิดในชาติก่อนของเจ้า ท่าทางจะแข็งแกร่งน่าดูเลยทีเดียว” มหาเคารพซือเทียนก็มิได้สงสัย ถึงอย่างไรการคิดค้นเคล็ดวิชาเช่นนี้ออกมาได้ก็ยากเย็นเหลือเกินแล้ว


ถ้าหากให้โลกภายนอกล่วงรู้


ขั้นอลวนคนหนึ่งสามารถคิดค้นเคล็ดวิชาออกมาได้ ย่อมต้องตกใจกันอย่างแน่นอน! เพราะเดิมทีการศึกษาให้สำเร็จได้นั้นก็ยากเย็นเป็นที่สุดอยู่แล้ว การคิดค้นออกมานั้นก็ยิ่งยากเย็นยิ่งกว่าเสียอีก! ในดินแดนจิตโลกา มีเพียงสองรัฐโบราณเท่านั้นจึงจะมี พวกประมุขรัฐเมฆทักษิณาแต่ละคนล้วนมิอาจคิดค้นออกมาได้ ถึงแม้ว่าจะมีตงป๋อเสวี่ยอิงพินิจดูชุดเกราะของแม่ทัพโม่กู่ มีแหล่งอ้างอิงโดยตรงเป็นเหตุผล แต่ผู้อื่นมีเคล็ดวิชาก็ศึกษาไม่สำเร็จ เขาสามารถคิดค้นออกมาได้ ก็เพียงพอที่จะมองออกได้อยู่ดีว่าการตระหนักรู้นั้นร้ายกาจสักเพียงใด


ตอนที่ 91 การแลกเปลี่ยนอย่างยุติธรรม

Ink Stone_Fantasy

ในท้องพระโรงของพระราชวังหลวงแห่งรัฐโบราณคิมหันตวายุ สงครามสามตระกูลสิ้นสุดลงแล้ว บรรยากาศภายในท้องพระโรงก็เปลี่ยนเป็นผ่อนคลายลงเป็นอย่างมาก


“สกุลฝานของพวกเจ้าเกือบไปแล้วนะ อีกเพียงนิดเดียวก็จะพ่ายแพ้ครั้งที่หกแล้ว คิดไม่ถึงว่าในเวลานี้จะมีอิงซานเสวี่ยอิงโผล่ออกมาคนหนึ่งได้”


“นี่เป็นโชคชะตาที่ลิขิตเอาไว้แล้วว่าพวกเราสกุลฝานไม่สมควรพ่ายแพ้!”


ระดับสูงของสามตระกูลใหญ่พูดคุยกัน


ในขณะเดียวกันก็มีบรรดาแขกเหรื่อจำนวนไม่น้อยที่จงใจสนทนากับตงป๋อเสวี่ยอิง สามารถถูกเชิญมาเป็นแขกได้ อย่างน้อยก็ต้องมีพลังยุทธ์ระดับเดียวกันกับประมุขรัฐประกายเพลิงและประมุขรัฐวอเฟิง


ส่วนใหญ่ก็มีวิสัยทัศน์กว้างไกล สายตาก็ไม่ธรรมดา ต่างก็คาดการณ์กันได้ลางๆ ว่า “อิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้ล้ำเลิศถึงเพียงนี้ ความเป็นไปได้ในการกลับชาติมาเกิดก็สูงเป็นที่สุด นอกจากนี้เคล็ดวิชาการกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอด ไม่ว่าจะเป็นรัฐโบราณสหโลกาหรือว่ารัฐโบราณคิมหันตวายุต่างก็มิอาจเผยแพร่ออกสู่ภายนอกได้ทั้งสิ้น! เขาไปร่ำเรียนมาจากไหนกัน ไม่มีที่ให้เรียน! ก็มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้นก็คือกลับชาติมาเกิด เขาเรียนมาจากโลกกำเนิดอีกแห่งหนึ่งตั้งแต่ชาติก่อนแล้ว”


ผู้แกร่งกล้าของโลกกำเนิดอีกแห่งหนึ่งสามารถอยู่ที่ขั้นอลวน ใช้เพียงแค่ความเร้นลับของขั้นอลวนก็สำแดงการกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอดออกมาได้


แสดงให้เห็นว่าพลังยุทธ์ที่แท้จริงของอิงซานเสวี่ยอิงก็แข็งแกร่งเป็นที่สุด


“นั่นก็คือโลกกำเนิดที่สามารถคิดค้น ‘เคล็ดวิชาขั้นอลวนกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอด’ ออกมาได้ เชื่อว่าพื้นฐานของโลกกำเนิดแห่งนั้นก็คงจะมิได้ย่ำแย่เกินไปนัก จะต้องสร้างไมตรีให้ดีๆ” สายตาที่แต่ละคนมองตงป๋อเสวี่ยอิง มิใช่สายตาที่มองเด็กน้อยคนหนึ่งจากรัฐเมฆทักษิณาอีกต่อไปแล้ว หากแต่เป็นสายตาที่มองผู้แกร่งกล้าที่กลับชาติมาเกิดซึ่งมีโลกกำเนิดที่แกร่งกล้าแห่งหนึ่งอยู่เบื้องหลัง


“เค่อชิงเฟยเสวี่ย ข้าก็ศึกษาวิถีห้วงอากาศเช่นกัน ถ้าหากเจ้าติดขัดประการใด ก็สามารถไปเยือนจวนจิ้งจอกเพลิงของข้าได้ เราสองคนก็สามารถพูดคุยกันได้” ผู้เฒ่าศีรษะล้านอ้วนพีคนหนึ่งพูดพลางหัวเราะหึๆ


“ผู้เคารพอุตส่าห์เชิญ ก็เป็นโชคดีของเสวี่ยอิง รอให้เรื่องราวยุ่งยากคราวนี้ผ่านพ้นไปก่อน ข้าจะต้องไปที่จวนของผู้เคารพสักครั้งหนึ่งอย่างแน่นอน” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยขึ้นในทันที บุคคลท่านนี้ก็คือ ‘ผู้เคารพจิ้งจอกเพลิง’ แห่งรัฐโบราณคิมหันตวายุ ถึงแม้ว่าจะมิใช่สามตระกูลใหญ่ แต่ก็เป็นระดับมหาเคารพ พื้นฐานน่าจะไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าท่านอาจารย์ประมุขรัฐเมฆทักษิณาของตนเลย แต่พลังยุทธ์ซึ่งหน้านั้นเกรงว่าคงจะมิได้ย่ำแย่สักเท่าใดนัก เขาจะกล้าเพิกเฉยต่อบุคคลเช่นนี้ได้อย่างไรกัน


แต่ละคนสนทนากันไม่กี่ประโยคก็สร้างสัมพันธไมตรีกันได้พอสมควร


หรือไม่ก็เชื้อเชิญกันตรงๆ


ตงป๋อเสวี่ยอิงได้รับความสำคัญจากบรรดาแขกเหรื่อเหล่านี้เป็นอย่างมากอย่างเห็นได้ชัด


“ช่องว่างนี้…”


เหล่าขั้นอลวนคนอื่นๆ แต่ละคนที่มาเข้าร่วมสงครามสามตระกูลเช่นเดียวกันที่ดูอยู่ที่นั่นทั้งริษยาทั้งจนใจ


ผู้ที่สามารถมาเป็นแขกของที่นี่ได้ ต่างก็มิใช่เทพจักรวาลธรรมดาทั่วไป! ก่อนหน้านี้ก็สนทนากับพวกเขาขั้นอลวนเหล่านี้เพียงน้อยนิด ถึงอย่างไรช่องว่างของพลังยุทธ์ก็อยู่ที่นี่!


“บรรดาแขกเหรื่อเหล่านี้ต่างก็พากันไปสนทนากับอิงซานเสวี่ยอิงเสียแล้ว ก็ยังคงไม่แยแสข้าอยู่ดี”


“อิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้ ถึงอย่างไรพลังยุทธ์ก็ร้ายกาจเหลือเกิน เขาได้รับความสนใจก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลอยู่แล้ว”


แต่ละคนล้วนได้แต่อิจฉาริษยา


พวกเขาส่วนใหญ่ยังคิดว่าอิงซานเสวี่ยอิงร้ายกาจ จึงได้รับการปฏิบัติด้วยความสุภาพ แต่กลับไม่รู้เลยว่าบรรดาแขกเหรื่อเหล่านั้นทำกับตงป๋อเสวี่ยอิงเหมือนเป็นยอดฝีมือระดับเดียวกันไปแล้ว


……


งานเลี้ยงสิ้นสุดลง


ทางด้านบรรดาระดับสูงของสกุลฝานจากไปทีละคนๆ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็สร้างไมตรีกับสหายเทพจักรวาลของรัฐโบราณคิมหันตวายุกลุ่มหนึ่ง ได้รับคำเชื้อเชิญมากมาย! เขาสุขใจเป็นอย่างมาก ถึงอย่างไรสำหรับเขาแล้วทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาก็คือดินแดนแห่งโชคสำหรับการยกระดับพลังยุทธ์ เขาก็ย่อมสร้างมิตรไมตรีอย่างสุดกำลังอยู่แล้ว เพื่อสั่งสมทรัพยากรทั้งหมดที่สามารถช่วยเหลือตนเองได้


“เค่อชิงระดับบนเฟยเสวี่ย พวกเราสองคนไปพร้อมกันเถิด” มหาเคารพซือเทียนทำการเชื้อเชิญ ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งรถม้าคันเดียวกับเขากลับไปยังคีรีมารสกุลฝาน


“ไม่ต้องดูแล้ว ถ้าหากพวกเจ้ามีพลังยุทธ์เช่นอิงซานเสวี่ยอิงนี้ ก็อาจได้รับความเกรงอกเกรงใจเช่นนี้ได้” จ้าวขุยเฉินเหลือบมองฝานซานหยวน ฝานโม่จู๋ ฝานอีเชียน และอ๋องส้าหลงสี่คนที่อยู่ด้านข้างปราดหนึ่ง “ไปกันเถิด”


“ก็ได้”


พวกฝานซานหยวนมองดูรถม้าของมหาเคารพซือเทียนและตงป๋อเสวี่ยอิงที่จากไปอยู่ห่างๆ ทันใดนั้นก็พากันก้าวขึ้นรถม้าของตัวเองด้วยความรู้สึกซับซ้อนภายในใจอยู่บ้าง กลับไปภายใต้การนำทางของจ้าวขุยเฉิน…


ณ คีรีมารสกุลฝาน


ภายใต้ต้นไม้ใหญ่สีม่วงเข้มต้นเตี้ยแข็งแกร่งต้นหนึ่ง ต้นไม้ใหญ่ต้นนี้มีลำต้นหนาหลายจั้ง แต่ความสูงกลับเพียงแค่สิบกว่าจั้งเท่านั้น กิ่งก้านสาขาแผ่กว้างเป็นอย่างยิ่ง กินพื้นที่เป็นบริเวณเกือบหนึ่งลี้


มหาเคารพซือเทียนและตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิอยู่ภายใต้ต้นไม้ใหญ่ สองคนนั่งตรงข้ามกัน เบื้องหน้าเต็มไปด้วยสุราชั้นเลิศและอาหารอันโอชะ ด้านข้างก็มีหญิงรับใช้รูปโฉมงดงามคอยรับใช้อยู่


“หืม” ตงป๋อเสวี่ยอิงอดที่จะมองดูต้นไม้ใหญ่ต้นเตี้ยแข็งแกร่งที่อยู่ข้างๆ ต้นนี้มิได้ ลำต้น กิ่งก้าน และใบไม้ ล้วนมีสีม่วงเข้ม ตลอดทั้งต้นดูราวกับหินหยกสีม่วงเข้มสลักเสลาประกอบกันขึ้นมา


“รู้สึกถึงความพิเศษของต้นไม้เทพต้นนี้แล้วหรือไม่” มหาเคารพซือเทียนพูดยิ้มๆ


“ขอรับ ช่างมหัศจรรย์โดยแท้” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า ภายใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นนี้มีกลิ่นอายอันไร้รูปร่างถูกตัวมันดูดซับเอาไว้ กลิ่นอายอันไร้รูปร่างนี้หล่อเลี้ยงวิญญาณโดยตรง วิญญาณก็เกิดความรู้สึกสบายเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งวิญญาณก็ทวีความแข็งแกร่งมากขึ้นด้วยความเร็วอันเชื่องช้าอย่างที่สุด“นี่เป็นสิ่งที่ท่านอาจารย์ไปฉกชิงมาได้ตั้งแต่ก่อนสงครามประเทศโบราณครั้งที่หนึ่งเสียอีก” มหาเคารพซือเทียนพูดยิ้มๆ “ถูกท่านอาจารย์ให้ชื่อว่าเป็น ‘ต้นไม้เทพผลาญจิต’ ต้องอยู่ภายใต้ต้นไม้เทพต้นนี้เท่านั้น เคล็ดวิเศษไร้ภาพของท่านอาจารย์จึงจะสมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง”


ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึง


ยังมีความเป็นมาเช่นนี้ด้วยหรือ


สถานะของตนที่รัฐเมฆทักษิณา ก็ล่วงรู้ข้อมูลลับเป็นจำนวนมากแล้ว แต่ก็ไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับ ‘ต้นไม้เทพผลาญจิต’ มาก่อนเลย


บรรพชนฝานอยู่ภายใต้ต้นไม้เทพต้นนี้ ทำให้เคล็ดวิเศษไร้ภาพสมบูรณ์แบบ เกรงว่าต้นไม้เทพต้นนี้จะมีความพิเศษอย่างที่สุดจริงๆ


“ต้นไม้เทพผลาญจิตมีผลหล่อเลี้ยงวิญญาณ นี่ก็แล้วไปเถิด ถึงอย่างไรหล่อเลี้ยงไปสักปีครึ่งก็สิ้นสุดแล้ว วิญญาณก็มิอาจยกระดับได้อีกแล้ว” มหาเคารพซือเทียนยกจอกสุราขึ้น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยกจอกสุราขึ้นในทันใด หลังจากที่คนทั้งสองยกจอกขึ้นจิบสุราชั้นเลิศแล้ว มหาเคารพซือเทียนจึงได้เอ่ยต่อไปว่า “แต่สิ่งที่พิเศษที่สุดของต้นไม้เทพผลาญจิตก็คือการ ‘ผลาญจิต’ ยิ่งเจ้าบำเพ็ญภายใต้ต้นไม้นี้เป็นเวลานาน การรับสัมผัสก็จะยิ่งแข็งแกร่ง มีส่วนช่วยส่งเสริมอย่างมหาศาลสำหรับการบำเพ็ญทางด้านวิญญาณ! ในตอนนั้นท่านอาจารย์ของข้ามีระดับขั้นเช่นไร ก็ทำให้เคล็ดวิเศษไร้ภาพสมบูรณ์ภายใต้ต้นไม้เทพต้นนี้!”


“ผลาญจิตหรือ มีส่วนช่วยส่งเสริมทางด้านวิญญาณอย่างมหาศาลหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงอดหัวใจสั่นไหวมิได้


เขตลวงโลกเทียมของเขาก็คือทางด้านวิญญาณ


วิญญาณ…


ช่างลึกลับและพิเศษเป็นอย่างยิ่ง


เช่นการกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอด ร่างกายสอดแทรกเข้าสู่แก่นห้วงอากาศโดยสมบูรณ์ หากไม่ทลายเปิดกรงขังโลกกำเนิดก็มิอาจทำร้ายได้


แต่ว่ามีข้อยกเว้นอยู่อย่างหนึ่งก็คือ…เคล็ดวิชาวิญญาณ!


เคล็ดวิชาวิญญาณ ไร้รูปร่างไร้ภาพ ทั้งยังไร้สุ้มเสียง ออกกระบวนท่าแล้วก็ตรงมาถึงในทันที! ถึงแม้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงจะสอดแทรกเข้าสู่ห้วงอากาศ แต่วิญญาณของเขาก็ยังคงอยู่ สามารถจัดการเขาผ่านเคล็ดวิชาวิญญาณได้เช่นเดิม! แน่นอนว่า ‘การกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอด’ หายลับไปอย่างสมบูรณ์ สังเกตไม่พบเลยแม้แต่น้อย คิดจะโจมตีวิญญาณก็ไม่มีเป้าหมาย


ต่อให้โจมตี ด้วยวิญญาณและความสำเร็จทางด้านเขตลวงโลกเทียมของตงป๋อเสวี่ยอิงในตอนนี้ การทดสอบรอบแรกของสงครามสามตระกูลในครั้งนี้ ลำพังแค่ยอดฝีมือเทพจักรวาลที่เชี่ยวชาญทางด้านวิญญาณคนหนึ่งอาศัยสมบัติลับล้ำค่าก็อับจนหนทางแล้ว สามคนร่วมมือกันจึงสามารถทำให้เขาคุกเข่าลงได้!


รอให้ภายหน้าสำเร็จเป็นเทพจักรวาล วิญญาณมีการวิวัฒน์ยิ่งกว่านี้! คิดจะใช้ทางด้านวิญญาณจัดการเขา ระดับความยากก็ยิ่งเพิ่มสูงขึ้นแล้ว


“สมบัติลับล้ำค่านี้ของเจ้าคือกระดิ่งจิตมาร เจ้าเชี่ยวชาญเขตลวงโลกเทียมหรือ” มหาเคารพซือเทียนเอ่ยต่อ


“ใช่แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า


“วิถีทางด้านวิญญาณล้วนลำบากยากเย็นเป็นอย่างยิ่ง” มหาเคารพซือเทียนพูดกลั้วหัวเราะ “ถ้าหากบำเพ็ญภายใต้ต้นไม้เทพผลาญจิต ก็จะมีส่วนช่วยส่งเสริมเจ้าอย่างมหาศาล แต่ต้นไม้เทพก็มีเพียงแค่ต้นนี้เท่านั้น! ปกติแล้วกลิ่นอายที่มันแผ่ออกไปก็เพียงพอสำหรับให้ผู้บำเพ็ญคนหนึ่งดูดซับเท่านั้น ถ้าหากมีผู้บำเพ็ญสองคนดูดซับพร้อมๆ กัน ผลลัพธ์ที่ได้ก็จะย่ำแย่”


“ต้นไม้เทพผลาญจิตล้ำค่าหาใดเปรียบ โดยทั่วไปก็จะเป็นระดับข้ามหาเคารพหกคนผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาใช้ประโยชน์ ศิษย์สกุลฝานของข้าหรือว่าเค่อชิง ขอเพียงแค่เป็นผู้ที่มีความดีความชอบยิ่งใหญ่ จึงจะมีโอกาสมาที่นี่ได้” มหาเคารพซือเทียนพูด “คราวนี้เจ้าสร้างมหาคุณูปการ ข้าสามารถจัดให้เจ้าบำเพ็ญที่นี่ได้เป็นเวลาปีครึ่ง ถึงแม้ว่าจะมิได้มีส่วนช่วยในการบำเพ็ญมากมายสักเท่าใดนัก แต่ก็สามารถหล่อเลี้ยงวิญญาณของเจ้าไปจนถึงขีดสุดได้”


“ขอบคุณท่านมหาเคารพ บรรพชนฝานเขามอบสามหมื่นมหาคุณูปการให้กับข้าแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยในทันที


“ข้ารู้” มหาเคารพซือเทียนแย้มยิ้มน้อยๆ “ระยะเวลาในการบำเพ็ญยาวนาน เวลาปีครึ่งเป็นเพียงแค่เรื่องเล็กเท่านั้น แต่เจ้าอยากจะมีความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ทางด้านวิถีวิญญาณก็จำเป็นต้องบำเพ็ญภายใต้ต้นไม้เทพผลาญจิตเป็นล้านล้านปี! ความช่วยเหลือเช่นนี้จึงจะยิ่งใหญ่ขึ้น! แต่ระยะเวลายาวนานเกินไป ข้าก็ไม่มีสิทธิ์จะรับปากเจ้าได้หรอกนะ”


ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวใจสั่นไหว


เขาเข้าใจดี


อยากจะได้มาครอง ก็ต้องแลกกับอะไรบางอย่าง!


“โลกกำเนิดที่เจ้าอยู่เมื่อชาติก่อน ถึงกับมีเคล็ดวิชาที่ระดับขั้นอลวนสามารถกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอดได้ เกรงว่าพื้นฐานคงจะลึกล้ำทีเดียว” มหาเคารพซือเทียนมองดูตงป๋อเสวี่ยอิง “สกุลฝานของข้า สำหรับบรรดาเคล็ดวิชาที่แข็งแกร่งลึกลับร้ายกาจ แน่นอนว่ายิ่งมากก็ยิ่งดีอยู่แล้ว! หากมอบเคล็ดวิชาหนึ่งให้แก่สกุลฝานของข้า สกุลฝานของข้าก็สามารถมอบผลประโยชน์ที่สอดคล้องกันให้ได้”


“สมบัติลับล้ำค่าระดับสุดยอดหรือ บำเพ็ญภายใต้ต้นไม้เทพผลาญจิตอย่างนั้นหรือ บนม้วนสาส์นก่อนหน้านี้ของเจ้าต่างก็มิได้บันทึกผลประโยชน์เอาไว้เลย ทั้งหมดล้วนสามารถเจรจาได้ทั้งสิ้น” มหาเคารพซือเทียนอมยิ้ม “การแลกเปลี่ยนอย่างยุติธรรมอย่างไรเล่า!”


วิถี จึงจะเป็นพื้นฐาน


เคล็ดสืบทอดลับที่แกร่งกล้าพอ เพียงพอที่จะทำให้ขุมอำนาจใหญ่ระดับยอดสุดมุ่งมาดปรารถนาได้


อย่างเช่นสมบัติลับล้ำค่าระดับสุดยอดตามปกติแล้วย่อมไม่สามารถมอบให้ได้อยู่แล้ว ถึงแม้ว่าบนม้วนสาส์นจะบันทึกเอาไว้ว่าสามารถมอบ ‘สองแสนมหาคุณูปการ’ ให้ได้! แต่ในความเป็นจริงแล้วจนถึงบัดนี้ประมุขรัฐเมฆทักษิณาก็ยังสะสมได้ไม่ถึงสองแสนมหาคุณูปการเลย


แต่ถ้าหากมีเคล็ดสืบทอดลับให้ การแลกเปลี่ยนของทั้งสองฝ่าย เช่นนั้นก็สามารถเจรจากันได้มากมายแล้ว!


“มีเคล็ดการบำเพ็ญบางอย่างที่มีข้อจำกัด มิอาจเผยแพร่สู่ภายนอกได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด


“ข้าเข้าใจ” มหาเคารพซือเทียนยิ้มตาหยี


“สำหรับส่วนที่ข้าสามารถเผยแพร่สู่ภายนอกได้ ข้าขอลองไปคิดดูก่อน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด ‘เคล็ดไร้ทลายเก้ากัณฑ์’ เป็นสิ่งที่เขาคิดค้นขึ้นเอง สามารถแลกเปลี่ยนได้อย่างแน่นอน เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา!


“ฮ่าฮ่า… ทั้งหมดนี้เรียกได้ง่ายๆ ว่าการแลกเปลี่ยนอย่างยุติธรรมกระมัง” มหาเคารพซือเทียนพยักหน้า

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)