Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 33 ตอนที่ 78-81

 ตอนที่ 78 ฝานซานหยวน

Ink Stone_Fantasy

“ขั้นอลวนได้เป็นเค่อชิงระดับบนหรือ” บุรุษชุดดำก็มองตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างสนอกสนใจ “ให้ข้าได้ดูพลังของเจ้าเสียหน่อยสิ!”


“ตู้ม”


ตงป๋อเสวี่ยอิงพลิกมือคราหนึ่ง บนข้อมือพลันมีสร้อยข้อมือลูกแก้วห้าภาพปรากฏขึ้น ผิวของลูกแก้วห้าเม็ดมีแสงรำไรปรากฏขึ้นมา ส่วนฝ่ามือของตงป๋อเสวี่ยอิงกลับพลันขยายใหญ่ขึ้น แสงรำไรห้าสายพลิกหมุนอยู่เหนือผิวของนิ้วทั้งห้า ก่อให้เกิดเป็นฝ่ามือใหญ่เทียมฟ้า! ตะปบตรงไปทางบุรุษชุดดำผู้อยู่เหนือผิวทะเลสาบ บดบังทั้งฟ้าดิน


ปัง!


ฝ่ามือใหญ่เทียมฟ้า ตะปบร่างของบุรุษชุดดำผู้นั้นจนสลายไป


“นี่ก็คือเคล็ดผนึกห้าภาพหรือ” ศิษย์หัวแก้วหัวแหวนทั้งห้าของสกุลฝานที่ชมดูอยู่ด้านข้างและอ๋องส้าหลงล้วนมองดูโดยละเอียด เนื่องจากพวกเขาได้พบเห็นเคล็ดผนึกห้าภาพเป็นครั้งแรก! แม้เคล็ดสืบทอดลับนี้จะมีชื่อเสียงโด่งดังอย่างยิ่ง แต่ผู้แกร่งกล้าที่สามารถสำแดงออกมาได้จริงๆ ก็มีน้อยเสียจนยกนิ้วนับได้  บัดนี้ในระดับขั้นอลวนก็ยิ่งมีตงป๋อเสวี่ยอิงเพียงคนเดียวเท่านั้น


“กระบวนท่าหนึ่งออกไป มิติถูกผนึก เหมือนหลบก็มิอาจหลบได้”


“ถูกต้อง มิอาจหลบได้พ้นเลย! ทั้งมิติถูกผนึกจนหมดแล้ว ต้องฝืนต้านทานเอาไว้ให้ได้”


“ส่วนอานุภาพ ตอนนี้ยังมองไม่ออก”


ทอดสายตามองไปทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา ขั้นอลวนในที่นั้นล้วนเก่งกาจเป็นอย่างยิ่ง สายตาของแต่ละคนแรงกล้า พวกเขาพบความยอดเยี่ยมของเคล็ดผนึกห้าภาพเป็นอย่างแรก…มิอาจหลบได้พ้น! อย่าว่าแต่พวกเขาเลย ต่อให้เป็นเทพจักรวาลส่วนใหญ่ก็หลบไม่พ้น จำเป็นต้องรับกระบวนท่า นอกเสียจากจะเป็นเหมือนสิ่งมีชีวิตจำนวนน้อยนิดอย่างประมุขรัฐเมฆทักษิณา จึงจะสามารถหลบเลี่ยงกระบวนท่านี้ไปได้ แต่หากมีพลังระดับนั้น ก็คงรังเกียจที่จะหลบแล้ว


“น่าสนใจดีนี่” บุรุษชุดดำรวมร่างกันเหนือผิวทะเลสาบอีกครั้งพลางเอ่ยชม “สามารถปิดผนึกและตัดขาดมิติได้อย่างสิ้นเชิง จุดอ่อนเพียงข้อเดียวก็คือการผนึกของเจ้ายังค่อยข้างอ่อนแอ”


“สำหรับท่านมหาเคารพแล้ว กระบวนท่านี้ของข้าย่อมไม่นับว่าเป็นอะไรได้อยู่แล้ว” ปากของตงป๋อเสวี่ยอิงพูดไป ฝ่ามือก็กวัดแกว่งแล้วตะปบออกไปอีกครั้ง


ฝ่ามือมหึมาขนาดหลายร้อยจ้างปกคลุมลงมา แล้วตะปบร่างแปรของบุรุษชุดดำผู้นั้นจนตายอีกครั้ง


ครั้งแล้วครั้งเล่า


ทุกครั้งตงป๋อเสวี่ยอิงใช้เพียงฝ่ามือเดียวเท่านั้น! เมื่อร่างแปรถูกตงป๋อเสวี่ยอิงตะปบจนตายด้วยฝ่ามือเดียวเป็นครั้งที่หก อ๋องส้าหลง ฝานเลี่ยหั่ว ฝานเทียนอวิ๋นและคนอื่นๆ ก็สีหน้าเปลี่ยนแปรไปเล็กน้อย


“ข้าอาศัยการเข่นฆ่าประชิดตัว ใช้กระบวนท่าตั้งหลายชนิดจึงสามารถสังหารร่างแปรที่หกได้” อ๋องส้าหลงลอบพึมพำ “แต่เขาใช้เพียงฝ่ามือเดียวก็ทำลายได้แล้ว เคล็ดผนึกห้าภาพนี้ช่างเหมือนกับ ‘เหิมเกริมถึงขีดสุด’ จริงๆ”


“เหิมเกริมพอตัวทีเดียว” หัวใจของฝานเทียนอวิ๋นสั่นสะท้าน เขาพยายามสุดชีวิตจึงสามารถทำลายร่างแปรที่หกได้ แต่อิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้กลับทำลายได้ในฝ่ามือเดียว สามารถเห็นถึงความแตกต่างได้โดยง่าย


แม้แต่ฝานเลี่ยหั่ว บุรุษชุดคลุมกันลมสีดำก็มองดูอิงซานเสวี่ยอิงโดยละเอียด “กว่าข้าจะทำลายร่างแปรที่หกได้ ก็ต้องใช้ถึงสองดาบ! ทำลายร่างแปรที่เจ็ดยิ่งต้องใช้ถึงสิบสามดาบ…หากพูดถึงความเหิมเกริมแล้ว เขายังเหนือกว่าข้าเสียอีก”


ฟิ้ว


บุรุษชุดดำรวมร่างแปรขึ้นอีกเป็นครั้งที่เจ็ด ทุกคนในที่นั้นพากันจับตามอง


ตงป๋อเสวี่ยอิงยังคงยืนอยู่ตรงนั้น ฝ่ามืออันใหญ่โตซึ่งปกคลุมพื้นที่หลายร้อยจ้างตะปบลงไปอีกครั้ง โครมมม…แม้บุรุษชุดดำจะกำลังขัดขวาง แต่ก็ยังคงกลายเป็นเถ้าธุลีไปอยู่ดี


“ยังทำลายได้ในกระบวนท่าเดียวอีกหรือ”


“นี่มัน…”


“เหิมเกริมเกินไปแล้ว”


ฝานเลี่ยหั่วและฝานเทียนอวิ๋นซึ่งถูกบีบออกไป รวมทั้งศิษย์หัวแก้วหัวแหวนอีกสามคนที่ยอดเยี่ยมกว่าซึ่งถูกเลือกต่างก็หรี่ตาลง สำหรับพวกเขาสามคนที่ถูกเลือกนั้น การทำลายร่างแปรเจ็ดครั้งมิอาจนับเป็นอะไรได้! แต่เพียงกระบวนท่าเดียวน่ะหรือ นี่ก็น่ากลัวเกินไปแล้ว


บุรุษชุดดำรวมร่างแปรขึ้นอีกเป็นครั้งที่แปด


“ตู้ม”


ฝ่ามือใหญ่โตของตงป๋อเสวี่ยอิงตะปบลงไป บุรุษชุดดำสกัดกั้นเอาไว้อีกครั้ง มือทั้งสองของเขาสำแดงกระบวนท่าออกไป เมฆดำม้วนตัวขึ้นมา ที่ผ่านมาล้วนถูกทำลาย ครั้งนี้ร่างของบุรุษชุดดำสั่นสะท้านคราหนึ่ง แต่กลับสามารถสกัดเอาไว้ได้


“เอ๊ะ”


ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!


ฝ่ามืออันรวดเร็วอย่างยิ่งของตงป๋อเสวี่ยอิงโจมตีออกไปถึงห้าครั้ง ตะปบจนบุรุษชุดดำสลายไป


จากนั้นจึงทำความเคารพเล็กน้อยแล้วถอยไปถึงข้างกายอ๋องส้าหลง


“พวกเจ้าทั้งสองมองเห็นแล้วกระมัง” จ้าวขุยเฉินมองไปทางฝานเทียนอวิ๋นและฝานเลี่ยหั่ว “พวกเขาสองคนโจมตีร่างแปรให้สลายไปได้แปดครั้ง พวกเจ้าไปม่มีอะไรจะพูดแล้วกระมัง”


ฝานเทียนอวิ๋นและฝานเลี่ยหั่วเงียบงันไป


ใช่สิ


แพ้แล้ว! นี่คือสิ่งที่มหาเคารพกลืนสวรรค์ลงมือตรวจสอบด้วยตนเอง มหาเคารพกลืนสวรรค์ย่อมไม่มีทางจงใจหลอกลวงเอนเอียงไปทางคนนอกเป็ฯแน่


“กลับไปบำเพ็ญให้ดีๆ เถิด อย่าคิดว่าคนสกุลฝานไร้ศัตรูแล้วจริงๆ ต่อให้เป็นรัฐเล็กๆ ภายนอกเหล่านั้น แม้จะไม่มีอาจารย์ที่ดี ไม่มีเคล็ดวิชาที่ดี ก็มีขั้นอลวนที่แข็งแกร่งกว่าพวกเจ้าเช่นกัน!” จ้าวขุยเฉินแค่นเสียงเฮอะ


“ขอรับ” ฝานเลี่ยหั่วและฝานเทียนอวิ๋นยิ่งรู้สึกยากจะทานทน


“ไปเถิด!”


จ้าวขุยเฉินโบกมือคราหนึ่ง วิ้ง มิติรอบกายฝานเลี่ยหั่วและฝานเทียนอวิ๋นถูกเคลื่อนย้ายไป ทั้งสองอันตรธานไปในทันที


“เค่อชิงระดับบนหิมะเหิน เจ้ากล้าสู้กับข้าหรือไม่” ในบรรดาศิษย์หัวแก้วหัวแหวนสามคนที่ถูกเลือก มีคนหนึ่งซึ่งเป็นชายหนุ่มร่างผอมซูบสวมเกราะสีเขียว นัยน์ตาทั้งคู่ของเขาราวกับสายฟ้า เขาแค่นเสียงคำรามออกมา ยามนี้เขาเป็นฝ่ายปปะทุอานุภาพออกไปเอง ทันใดนั้นเหนือผิวกายของเขาก็พลันมีงูสายฟ้าอันน่าหวาดหวั่นเลื้อยไปมาอยู่ หากพูดถึงอำนาจเพียงอย่างเดียว ก็เหมือนจะสามารถบีบจ้าวขุยเฉินได้


ต่อให้ก่อนหน้านี้ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงเคล็ดผนึกห้าภาพ ก็ไม่มีกลิ่นอายน่าหวาดหวั่นถึงเพียงนี้


“ไม่จำเป็นแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ “กำหนดตัวผู้เข้าร่วมการเคลื่อนไหวแล้ว ก็ไม่จำเป็ฯต้องไปแย่งชิงอีก”


“แม้แต่ความกล้าเพียงเท่านี้ก็ไม่มีรึ” ชายหนุ่มอาภรณ์เขียวร่างผอมซูบตะคอกด้วยความโมโห


“เอาล่ะ”


จ้าวขุยเฉินขมวดคิ้ว “นี่คือสถานที่ของมหาเคารพ อย่าได้โอหังนัก”


“ขอรับ” ชายหนุ่มอาภรณ์เขียวร่างผอมซูบพูดด้วยความเชื่อฟัง


“มหาเคารพ” จ้าวขุยเฉินทำความเคารพทันที “ข้าและคนอื่นๆ ต้องขอตัวไปก่อนแล้ว” จากนั้นพวกตงป๋อเสวี่ยอิงขั้นอลวนทั้งห้าคนก็พากันคารวะ


“ขั้นอลวนรุ่นพวกเจ้าอย่าทำให้สกุลฝานเราเสียหน้าล่ะ” ร่างแปรชุดดำพูดจบก็สลายไป ดวงตามหึมาที่สามารถมองเห็นได้จากก้นทะเลสาบก็จมหายตามไปด้วย


“ไป”


จ้าวขุยเฉินพาพวกตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งห้าคนแปรเป็นอากาศจากไปอย่างรวดเร็ว


“ให้พวกเขาสองคนโอ้อวดกดดันพวกเราชาวสกุลฝานหรือ” ชายหนุ่มร่างผอมซูบผู้สวมเกราะสีเขียวพูดกับสหายอีกสองคน บนใบหน้าของเขายังมีความโหดเหี้ยมสายหนึ่งแฝงเอาไว้ “พวกฝานเทียนอวิ๋นทั้งสองคนก็เป็นเศษสวะ ยังคิดว่าพวกเขาสองคนก็เพียงพอจะทำให้ผู้มาจากภายนอกสองคนนั้นเสียหน้าแล้ว! หากพวกเขาสามคนไม่ลงมือ ยังคิดจริงๆ ว่าขั้นอลวนของสกุลฝานเราจะสู้พวกเขาไม่ได้แล้ว”


สาวน้อยด้านข้างถ่ายเสียงพูดว่า “อีเชียน อ๋องส้าหลงผู้นั้นก็แล้วไปเถิด จะเอาชนะเขาก็มิใช่เรื่องยาก นอกจากนี้เท่าที่ข้ารู้ นิสัยของอ๋องส้าหลงผู้นั้นก็มุทะลุ ขอเพียงท้าทายสักหน่อยก็สามารถท้ารบได้อย่างง่ายดาย เพียงแต่อิงซานเสวี่ยอิงผู้นั้น…ก็ออกจะยุ่งยากอยู่บ้าง! ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาประมือกับร่างแปรของมหาเคารพนั้น ตั้งแต่ต้นจนจบก็ยืนอยู่ที่เดิม ไม่ได้ขยับเขยื้อนแม้แต่ก้าวเดียว เคล็ดผนึกห้าภาพของเขาสำแดงออกไปกระบวนท่าหนึ่ง ก็มิอาจหลบหลีก ทำได้เพียงฝืนสกัดกั้นเท่านั้น หากสามารถฝ่าไปได้ก็เอาชนะได้ หากฝ่าไปไม่ได้ก็แพ้! ข้าไม่มั่นใจเอาเสียเลย แม้พี่ใหญ่จะฝึกฝนเคล็ดวิเศษไร้ภาพ โอกาสที่จะเอาชนะอิงซานเสวี่ยอิงได้ก็มีเพียงห้าส่วน! มีเพียงแต่ท่านซึ่งมีชื่อเสียงด้านพลังเท่านั้น! ที่เชี่ยวชาญที่สุดก็คือใช้พลังทำลายกฎ! เหมาะที่จะรับมืออิงซานเสวี่ยอิงผู้นั้นเป็นที่สุด ปัญหาเพียงอย่างเดียวก็คือเขาเอาแต่หลบหลีกการต่อสู้มาโดยตลอด”


“ข้ารู้ เคล็ดผนึกห้าภาพของเขาต้องสำแดงออกมาหกครั้งต่อเนื่องกันจึงสามารถทำให้ร่างแปรที่แปดของมหาเคารพแตกสลายไปได้ แม้วิถีพลองของข้าจะมิอาจทำได้ถึงขั้น ‘มิอาจหลบเลี่ยงได้’ แต่ตอนนั้น เพียงพลองเดียวของข้าก็ทำลายร่างแปรที่แปดได้แล้ว ร่างแปรที่เก้าหลบหลีกเก่งยิ่งนัก พลองของข้าจึงปะทะไม่ถูกก็เท่านั้นเอง” ชายหนุ่มอาภรณ์เขียวร่างผอมซูบถ่ายเสียงพูด “ขอเพียงประมือซึ่งหน้า ข้าต้องทำลายเคล็ดผนึกห้าภาพของเขา! เรื่องเอาชนะเขา พี่ใหญ่ ท่านว่าอย่างไรบ้าง”


นั่นคือบุรุษในอาภรณ์สีเทาอันเรียบง่ายผู้หนึ่ง


ในสกุลฝาน บรรดาผู้แกร่งกล้าส่วนใหญ่มีความโหดเหี้ยมไปจนถึงอำมหิตเป็นอย่างยิ่งกันทั้งนั้น!


แต่บุรุษในอาภรณ์สีเทาอันเรียบง่ายผู้นี้กลับมีกลิ่นอายนุ่มนวล ขั้นอลวนผู้แกร่งกล้าภายในสกุลฝานล้วนเคารพนับถือเขาเป็นอันมาก เขายังได้รับความสนใจจากบรรพชนฝานและได้รับมอบเคล็ดวิเศษไร้ภาพมา ต้องรู้ไว้ว่าในรายการแลกเปลี่ยนของเค่อชิง นี่เป็นสิ่งที่ต้องมีสถานะผู้อาวุโสเค่อชิง และยังต้องใช้ถึงสามแสนมหาคุณูปการจึงสามารถแลกมาได้! เขาก็คือ ‘ฝานซานหยวน’ ผู้ได้รับการอบรมบ่มเพาะอย่างดีที่สุดจากสกุลฝานในยุคนี้


ฝานซานหยวน ฝานโม่จู๋และฝานอีเชียน


บัดนี้พวกเขาเป็นสามคนที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาขั้นอลวนสกุลฝานอย่างไร้ข้อกังขา


‘ฝานอีเชียน’ ซึ่งก็คือบุรุษเกราะเขียวร่างผอมซูบก็ทะเยอทะยาน แต่กลับภักดีต่อฝานซานหยวน


“อีเชียน” บุรุษในอาภรณ์สีเทาอันเรียบง่ายถ่ายเสียงพูด “เจ้าโจมตีอ๋องส้าหลงก่อน แล้วค่อยเข้าไปในเรือนของอิงซานเสวี่ยอิงเพื่อเชิญให้ต่อสู้ หากเขาไม่ยินยอม เจ้าก็คอยอยู่ในเรือนอย่าไปไหน!”


“วิธีดีนี่!” บุรุษเกราะเขียวร่างผอมซูบพลันนัยน์ตาเป็นประกายขึ้นมา


บุรุษในอาภรณ์สีเทาอันเรียบง่ายเผยรอยยิ้มออกมา


ด้วยนิสัยของเขา ก็ทำเรื่องไร้มารยาทที่บังอาจขนาดนี้ไม่ได้อยู่แล้ว ทว่าเรื่องบังอาจเหิมเกริมกลับเป็นสิ่งที่ฝานอีเชียนชมชอบเป็นที่สุด


“เฮอะๆ” ฝานอีเชียนมองไปทางชายหนุ่มอาภรณ์ขาวด้านข้างพลางพึมพำว่า “ยังมาพูดว่าเค่อชิงระดับบนอีกรึ เฮอะๆ อีกประเดี๋ยวจะโจมตีให้เจ้าหน้าคะมำเลย!”


ตอนที่ 79 โคลนเต็มปาก

Ink Stone_Fantasy

ฝานซานหยวน บุรุษอาภรณ์สีดำเรียบง่ายมองหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวที่อยู่ด้านไกลที่สุดปราดหนึ่ง


“รัฐโบราณคิมหันตวายุของข้ามีอาณาบริเวณกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต ผู้แกร่งกล้าจำนวนนับไม่ถ้วน ทั่วทั้งสี่รัฐมารทมิฬรวมกันขึ้นมาก็ยังเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวเดียวของรัฐโบราณคิมหันตวายุเท่านั้นเอง สกุลฝานของข้าเป็นถึงสามตระกูลใหญ่แห่งรัฐโบราณคิมหันตวายุ มีเทพจักรวาลมากมายคอยชี้แนะข้า มีสมบัติล้ำค่านานาชนิดคอยสนับสนุน ทั้งยังมีเคล็ดสืบทอดลับที่ชี้แนะไปสู่ระดับสุดยอดอีกด้วย! ถ้าหากยังโจมตีเด็กน้อยของสี่รัฐมารทมิฬคนหนึ่งมิได้ เช่นนั้นก็เป็นความอัปยศของศิษย์รุ่นเยาว์สกุลฝานของข้าแล้วจริงๆ”


ถึงแม้ว่าฝานซานหยวนจะอ่อนโยน แต่ในใจกลับหยิ่งผยองเป็นอย่างยิ่ง


อุปนิสัยของเขาเหมือน ‘ศิษย์สกุลเซี่ย’ มากกว่า ไม่ชมชอบการสังหารหมู่ มีความรู้สึกเหยียดหยามต่อรัฐประเทศภายนอกโดยสัญชาตญาณเช่นเดียวกัน! ถ้าหากสู้ผู้แกร่งกล้าของรัฐประเทศภายนอกมิได้ เช่นนั้นก็น่าละอายแล้ว!


“อีเชียนเชี่ยวชาญการใช้พลังทำลายกฎ อย่างมากก็แค่ยับยั้งเขา ก็อาศัยสิ่งนี้ดูๆ พลังยุทธ์ของเขาไปก่อนเถิด” ฝานซานหยวนพึมพำ


เพียงไม่นาน


จ้าวขุยเฉินนำคนห้าคนร่อนลงที่ยอดเขา กลับมายังที่พำนัก


“อีกไม่กี่เดือนให้หลังก็จะเป็นสงครามสามตระกูลแล้ว” จ้าวขุยเฉินกวาดสายตา “เจ้าจะต้องทุ่มเทกายใจ พวกเจ้าเค่อชิงทั้งสอง ถ้าหากพ่ายแพ้ ของรางวัลที่ได้สัญญากันเอาไว้ก็จะลดลงอย่างมหาศาล”


ในใจของตงป๋อเสวี่ยอิงและอ๋องส้าหลงต่างก็เต็มเปี่ยมไปด้วยจิตต่อสู้


จะต้องทำให้สำเร็จอย่างสุดกำลัง


ตอนนั้นที่คุยกันว่า ‘หลังเสร็จธุระแล้ว’ จึงจะมอบหนึ่งหมื่นมหาคุณูปการให้ ตลอดมากฏเกณฑ์ของสกุลฝานก็มีอยู่ว่า…เมื่อแขกผู้มาเยือนและเค่อชิงรับภารกิจแล้ว ถ้าหากภารกิจสำเร็จก็ย่อมได้รับรางวัลทั้งหมด แต่ถ้าหากล้มเหลว สกุลฝานก็ไม่มีทางใจกว้างเช่นเดิม หากภารกิจล้มเหลว โดยทั่วไปก็ไม่มีความดีความชอบให้ มีบางภารกิจที่มีความพิเศษ ไม่มีแต้มความดีความชอบ อีกทั้งยังมีความยากลำบาก อย่างเช่นคราวนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงและอ๋องส้าหลงต่างก็มีภารกิจของแต่ละคน ถ้าหากล้มเหลว ‘มหาคุณูปการ’ ที่เป็นรางวัลก็จะเหลือเพียงแค่ส่วนเดียวเท่านั้น!


จ้าวขุยเฉินพูดจบแล้วก็แปลงร่างเป็นลำแสงจากไปในทันที


ตงป๋อเสวี่ยอิงหมุนกายกลับไปยังบ้านของตนเอง


อ๋องส้าหลงก็กลับไปยังบ้านของตนเองเช่นกัน


ส่วนศิษย์หัวแก้วหัวแหวนสามคนของสกุลฝานกลับมองประสานสายตากัน


“อ๋องส้าหลง” บุรุษเกราะเขียวผอมกะหร่องฝานอีเชียนเอ่ยปากตะโกนแล้วตรงเข้ามาภายในบ้านของอ๋องส้าหลง อ๋องส้าหลงที่อยู่ภายในชานเรือนก็มองดูบุรุษเกราะเขียวผอมกะหร่องที่บุกเข้ามาอย่างสงสัยอยู่บ้าง “มิทราบว่ามีเรื่องอันใดหรือ”


“หึๆ มาจากเผ่าทุ่งน้ำแข็งหรือ เหมือนจะร้ายกาจมากเลยสินะ กล้าประมือกับข้าหรือไม่เล่า” ฝานอีเชียนแค่นยิ้ม แฝงไว้ด้วยความดูแคลน นี่มิใช่การจงใจยั่วยุ หากแต่อุปนิสัยของเขาเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว!


อ๋องส้าหลงได้เห็นเหตุการณ์แล้วสีหน้าก็เข้มขึ้นเล็กน้อย นัยน์ตามีประกายอำมหิตจางๆ


เขากร่างไปทั่วชนเผ่ามากมายในทุ่งน้ำแข็ง…แม้กระทั่งเทพจักรวาลก็ยังเคยสู้ด้วยมาหลายคนแล้ว ที่เผ่าทุ่งน้ำแข็งอันชุลมุน ก็ไม่มีผู้ใดกล้าไม่เห็นเขาอยู่ในสายตามาเนิ่นนานเหลือเกินแล้ว


นี่คือสกุลฝาน! ตระกูลใหญ่ที่น่าหวั่นเกรงอย่างที่สุดในทั้งดินแดนจิตโลกา ดังนั้นอ๋องส้าหลงก็คิดว่าถ่อมตนเป็นที่สุดแล้ว


แต่ในเมื่อเหยียบย่ำมาถึงบนหัวเขาแล้ว จะให้เขาหลีกเลี่ยงได้อย่างไรกันเล่า


“ดี” อ๋องส้าหลงพูดเสียงต่ำพลางยิ้มยิงฟัน “เช่นนั้นข้าก็จะเล่นเป็นเพื่อนเจ้าสักหน่อย”


“ฮ่าฮ่า สุขใจนัก”


ฝานอีเชียนตะโกนเสียงดัง ในมือมีพลองยาวสีทองเหลืองที่ทรงเสน่ห์แบบโบราณอันหนึ่งปรากฏขึ้น แล้วกวัดแกว่งไม้พลอง บนพลองยาวมีอสนีบาตฟาด แทบจะในทันใดนั้น พลองยาวก็ฟาดมาถึงตรงหน้าอ๋องส้าหลงแล้ว


……


โครม…


นี่คือมหาสงครามที่โหดเหี้ยมและวางอำนาจมากที่สุดคราวหนึ่งแล้ว


พวกเขาคนหนึ่งคือคนที่หยิ่งยโสวางอำนาจที่สุดในบรรดาขั้นอลวนของสกุลฝานในตอนนี้แล้ว มีชื่อเสียงในด้านพละกำลัง! ระดับการวางอำนาจยังเหนือกว่าฝานเทียนฉ่งเสียอีก!


ส่วนอีกคนหนึ่งก็กร่างไปทั่วชนเผ่ามากมายในทุ่งน้ำแข็ง เลื่องชื่อในด้านการสังหารอย่างแท้จริง ถึงขนาดที่ทำให้ระดับสูงของสกุลฝานต้องมาเชื้อเชิญเลยทีเดียว


……


“หืม” ภายในชานเรือนของตน หูของตงป๋อเสวี่ยอิงขยับไหว ก็รับสัมผัสได้ว่าภายในบ้านของอ๋องส้าหลงที่อยู่ข้างๆ ห่างออกไปไม่ไกลกำลังมีความเคลื่อนไหวอันน่าหวาดหวั่น แต่ภายในบ้านนั้นก็มีค่ายกลโคจรอยู่ ก็สกัดผลกระทบจากการต่อสู้ทั้งหมด เอาไว้ได้ มิได้เล็ดรอดออกมาภายนอกเลย


“ที่ด้านนอกมีฝานซานหยวนและฝานโม่จู๋อยู่ เช่นนั้นผู้ที่ประมืออยู่กับอ๋องส้าหลงในขณะนี้ก็คือฝานอีเชียนอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ “สิ่งที่ฝานอีเชียนบำเพ็ญก็คือตำราศาสตร์ลับทางสายอสนีบาตอันลึกลับอะไรสักอย่าง”


ศาสตร์ลับที่ฝานซานหยวนและฝานโม่จู๋เชี่ยวชาญ ตงป๋อเสวี่ยอิงล้วนรู้ที่มาที่ไปทั้งสิ้น


เช่นเคล็ดวิเศษไร้ภาพของฝานซานหยวนนั้นเป็นสิ่งที่บรรพชนฝานคิดค้น


เคล็ดสามพันกระบี่ ศาสตร์ลับของฝานโม่จู๋เป็นสิ่งที่จักรพรรดิเซี่ยคิดค้น


ส่วนตำราที่ฝานอีเชียนบำเพ็ญนั้น ข้อมูลของโลกภายนอกล้วนมิได้มีบันทึกเอาไว้เลย รู้เพียงว่าเป็นตำราทางสายอสนีบาตที่ล้ำเลิศเป็นอย่างยิ่งชนิดหนึ่ง มีชื่อเสียงทางด้านการวางอำนาจเป็นอย่างยิ่ง


ที่ดินแดนจิตโลกามีตำราลึกลับอยู่จำนวนหนึ่งจริงๆ อย่างเช่นตำราที่บุคคลผู้น่าหวั่นเกรงที่ตกต่ำไปแล้วทิ้งเอาไว้ ถ้าหากในตำรามิได้บันทึกชื่อผู้เขียนเอาไว้ ก็ไม่รู้จริงๆ ว่าผู้ที่คิดค้นขึ้นคือใคร! เช่นสกุลฝานและขุมอำนาจใหญ่จำนวนหนึ่ง ตำราที่สำคัญที่สุดอย่างแท้จริง โดยทั่วไปล้วนเป็นความลับอย่างยิ่ง ที่โลกภายนอกก็ยังยากยิ่งที่จะหาคำแนะนำได้พบสักกี่มากน้อย


ไม่เปิดเผยชื่อเสียงเรียงนาม! ไม่เปิดเผยผู้คิดค้น! มีส่วนใดที่น่าหวาดหวั่นก็ไม่เปิดเผย! มีเพียงความรู้สึกที่ได้ประสบตอนต่อสู้เท่านั้น จึงสามารถคาดเดาส่วนของพลานุภาพได้ทีละน้อย


******


เอี๊ยด


ประตูลานบ้านของอ๋องส้าหลงเปิดออกแล้ว


“ฮ่าฮ่าฮ่า…” ฝานอีเชียนผู้มีร่างผอมกะหร่องเดินออกมา แต่บนใบหน้ากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ยิ้มกว้างอย่างลำพองใจ เสียงหัวเราะดังก้อง


ทว่าภายในลานบ้าน อ๋องส้าหลงที่ร่างกายสมบูรณ์ไร้ร่องรอยขีดข่วนกลับมีสีหน้าอึมครึม “แข็งแกร่งได้ถึงระดับนี้ น่าเสียดายที่อาณาบริเวณของชานเรือนเล็กเกินไป อาณาบริเวณที่ให้ข้าหลบหลีกได้จึงเล็กเกินไป ถ้าหากอาณาบริเวณใหญ่พอก็โจมตีข้ามิได้หรอก”


อ๋องส้าหลงเดินกร่างไปทั่วเผ่าทุ่งน้ำแข็ง ก็เชี่ยวชาญการหลบหลีกเป็นอย่างยิ่ง


คราวนี้พวกเขาสองคนประมือกันอยู่ภายในชานเรือน ยามที่ต่อสู้กันค่ายกลของชานเรือนโคจร เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้ชานเรือนเกิดความเสียหาย อีกทั้งยังทำให้อาณาเขตการต่อสู้หดเล็กอยู่เพียงแค่ภายในชานเรือนเล็กๆ นี้เท่านั้น!


“ปัง” อ๋องส้าหลงมองดูประตูบ้านปราดหนึ่ง ประตูปิดลงเสียแล้ว


และที่ด้านนอก


“ชนะแล้ว” ฝานอีเชียนลำพองใจเป็นที่สุด แต่แล้วก็เอ่ยอย่างจนใจว่า “แต่เขาร้ายกาจยิ่งนัก เคล็ดวิชาคลื่นเสียงของเขาทำให้ข้าปวดเศียรเวียนเกล้า การต่อสู้ประชิดตัวก็ยากที่จะยุ่มย่ามด้วย ภายใต้ความโมโหข้าก็เลยสำแดงเคล็ดต้องห้าม พลังก็ระเบิดออกมาอย่างสมบูรณ์แล้วกวาดล้างทั่วทั้งชานเรือนอย่างยากจะควบคุมได้ เขาไม่มีที่ให้หลบหนี ก็เลยถูกข้าบดขยี้เสียจนต้องยอมรับความพ่ายแพ้ ถ้าหากมิได้อยู่ภายในชานเรือนก็เกรงว่าคงมิอาจเอาชนะได้”


“กดดันให้เจ้าสำแดงเคล็ดต้องห้ามอย่างนั้นหรือ” ฝานซานหยวนและฝานโม่จู๋ประสานสายตากันคราหนึ่งด้วยความตื่นตระหนกเป็นอย่างยิ่ง


โลกภายนอกมิได้ล่วงรู้


แต่พวกเขาสองคนรู้ว่าสิ่งที่ฝานอีเชียนบำเพ็ญก็คือตำราศาสตร์ลับอันน่าหวาดหวั่นศาสตร์หนึ่งที่ ‘หยวน’ ผู้ลึกลับผู้นั้นทิ้งเอาไว้ ฝานอีเชียนโชคดีที่กระตุ้นตำราเล่มนี้ขึ้นมาได้ จึงสามารถบำเพ็ญได้


แม้กระทั่งเหล่ามหาเคารพก็ยังต้องอิจฉาอยู่พอสมควร ตำราที่หยวนทิ้งเอาไว้นั้นต้องดูโชคชะตา ถ้าหากเหล่ามหาเคารพมิอาจกระตุ้นให้ตำราเกิดการตอบสนองได้ ก็ไม่สามารถบำเพ็ญได้


ฝานอีเชียนบำเพ็ญตำราศาสตร์นี้ตามปกติก็ยังนับว่าธรรมดา เพียงแต่ว่าพลังยุทธ์แข็งแกร่งเป็นที่สุด แต่เมื่อใดที่สำแดงเคล็ดต้องห้ามก็น่าเหลือเชื่อเลยทีเดียว! ฝานอีเชียนเคยพูดว่าตำราศาสตร์ลับศาสตร์นั้นเมื่อระเบิดอย่างสุดกำลังจะมีเคล็ดต้องห้ามอยู่ทั้งสิ้นสามวิถี ตอนนี้เขาสามารถสำแดงได้เพียงแค่วิถีเดียวเท่านั้น ถ้าหากสำแดงเคล็ดต้องห้ามสองวิถี วิญญาณก็จะแหลกสลายจนตาย


“ข้าไปหาอิงซานเสวี่ยอิงนะ” ตอนนี้จิตวิญญาณการต่อสู้ของฝานอีเชียนพุ่งทะยาน เดินไปถึงหน้าประตูบ้านของตงป๋อเสวี่ยอิง ปึงๆๆ เขาเคาะประตูอย่างแรง


ฝานซานหยวนและฝานโม่จู๋ก็มองดูอยู่


……


ตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่กลางชานเรือนเพิ่งจะรู้สึกได้ว่าทางชานเรือนของอ๋องส้าหลงนั้นเพิ่งเงียบสงบลงไป เพียงไม่นานก็พบว่าประตูบ้านของตนถูกเคาะอย่างหนักหน่วง


ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปทางช่องประตูแล้วมองมังกรมารที่คอยรับใช้อยู่ปราดหนึ่ง


มังกรมารเปิดประตูในทันที


ฟิ้ว


บุรุษเกราะเขียวผอมกะหร่อง ‘ฝานอีเชียน’ ที่อยู่ด้านนอกกลับย่างเท้าตรงเข้ามาก้าวหนึ่งแล้วเดินส่ายอาดๆ เข้ามาพลางมองตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยรอยยิ้มเยาะ “อ๋องส้าหลงถูกข้าโจมตีแล้ว ตอนนี้ก็ถึงตาเจ้าบ้างแล้วล่ะ!”


ตงป๋อเสวี่ยอิงประหลาดใจอยู่บ้าง“ อ๋องส้าหลงถูกเจ้าโจมตีอย่างนั้นหรือ”


“ไม่ได้ยินที่ข้าพูดหรืออย่างไร ถึงตาเจ้าแล้ว!” ฝานอีเชียนพูดอย่างเย้ยหยัน


“จำเป็นด้วยหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปาก ท่านอาจารย์เคยส่งสารตักเตือนเขามาก่อนแล้วว่าสามตระกูลใหญ่แห่งรัฐโบราณคิมหันตวายุ ภายในสกุลฝานนั้นโหดเหี้ยมอำมหิต บวกกับความรู้สึกดูแคลนที่มีต่อรัฐประเทศรอบๆ โดยธรรมชาติ ถ้าหากตนหักหน้าเกินไป เกรงว่าอาจจะก่อให้เกิดปัญหาตามมาได้ ตนอยู่ที่สกุลฝาน…ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงแค่เค่อชิงที่มาจากภายนอกเท่านั้น


“หึ กระทั่งความกล้าสักนิดก็ไม่มีเลยหรือ” ฝานอีเชียนยิ้มเยาะ มือหนึ่งกุมพลองยาวสีทองเหลืองกระแทกลงบนพื้นดินอย่างหนักหน่วงพลางตะโกนว่า “ไม่ยอมประมือ ข้ามาอยู่ที่นี่ก็ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ข้าจะดูว่าจอมขี้ขลาดอย่างเจ้านี้จะทานทนไปได้นานสักเท่าใด”


“เจ้ากล้าดีอย่างไร…” มังกรมารรับใช้ที่อยู่ข้างๆ ทนรับไม่ไหวอีกแล้ว


“หุบปาก” ฝานอีเชียนระเบิดเสียงตะโกน อสนีบาตอันน่าหวั่นเกรงสายหนึ่งปะทุอยู่บนผิวกายของเขา อสนีบาตเหล่านั้นตรงเข้าห่อหุ้มมังกรมารรับใช้เอาไว้ ทำให้มังกรมารรู้สึกได้ถึงความตายที่คุกคามเข้ามา ฝานอีเชียนแยกเขี้ยวเผยฟันขาวออกมา “ถ้าหากเจ้ามิใช่ข้ารับใช้ของเค่อชิงระดับบนที่สกุลฝานของข้าเชิญมา แล้วกล้าสามหาวถึงเพียงนี้ ข้าก็คงเขมือบเจ้าในคำเดียวไปแล้ว!”


ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้วน้อยๆ พลางยืดกายลุกขึ้น


ฝานอีเชียนเผยสีหน้ายินดีมองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง “ว่าอย่างไรเล่า ในที่สุดเจ้าก็กล้าประมือแล้วหรือ”


“เชิญเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่ที่นั่น


“เจ้าลงมือก่อนเลย!” ฝานอีเชียนกุมพลองยาวสีทองเหลืองเอาไว้ด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม เขาก็เตรียมตัวไว้เป็นอย่างดีแล้ว หากเคล็ดผนึกห้าภาพมาเยือน เขาก็จะตีให้แตกพ่ายไปในพลองเดียว!


“เอาล่ะ”


ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า บริเวณเอวของเขามีกระดิ่งสีทองอันหนึ่งปรากฏขึ้น กระดิ่งสีทองสั่นไหวส่งเสียงดัง


“กรุ๊งกริ๊งๆ กรุ๊งกริ๊งๆ”


เสียงกรุ๋งกริ๋งอันเสนาะโสตดังขึ้นในห้วงสมองของฝานอีเชียน มีผลในการดึงดูดและล่อลวงขนาดที่ถึงแก่ชีวิตได้


ฝานอีเชียนยืนอยู่ที่นั่นอย่างตกตะลึง บนใบหน้าถึงขนาดที่เผยรอยยิ้มอันโง่งมออกมา


ช่วยไม่ได้


เคล็ดวิชาใหญ่สองศาสตร์ของ ‘กระดิ่งจิตมาร’ ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดง ‘เสียงสะกด’ ไปได้ถึงภัยคุกคามชั้นที่เก้า นี่เพียงแค่สามารถนับได้ว่าช่วยดึงดูดเท่านั้น ส่วนโลกเขตลวงที่แฝงอยู่ภายในกลับสำแดงไปถึงชั้นที่สิบ เคล็ดวิชาใหญ่สองศาสตร์ช่วยเหลือส่งเสริมกัน เดิมทีฝานอีเชียนก็ขึ้นชื่อในด้านพละกำลังอยู่แล้ว ทางด้านการต้านทานของวิญญาณนั้นแต่เดิมก็อ่อนแอ ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ที่อ่อนแอที่สุดในบรรดาศิษย์หัวแก้วหัวแหวนที่ได้รับคัดเลือกสามคนของสกุลฝาน เพียงชั่วครู่ก็ติดกับแล้ว


“จริงๆ เลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะพลางโบกมือคราหนึ่ง


ปึง


ระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างปะทะตรงเข้าโจมตีบนร่างของฝานอีเชียน ฝานอีเชียนถึงกับลอยละลิ่ว แล้วหลังจากนั้นก็หล่นลงบนพื้นดิน ใบหน้ากระเทกกับพื้นดิน ในปากอมดินโคลนเข้าไปเต็มคำ พลองยาวสีทองเหลืองในมือก็ฟาดลงบนศีรษะ


นี่จึงทำให้ฝานอีเชียนตื่นขึ้นมาอย่างมึนงง นี่ก็เป็นเพราะตงป๋อเสวี่ยอิงถอนเคล็ดวิชาเขตลวง


มิฉะนั้นเขาก็คงยังติดอยู่ภายในนั้น


“ข้า ข้าเป็นอะไรไปเสียแล้วหรือ” ฝานอีเชียนยังคงสับสนอยู่บ้าง เขามองเห็นตนเองนอนแผ่อยู่บนพื้น พลองสีทองเหลืองร่วงอยู่ข้างๆ ในปากของตนก็เต็มไปด้วยดินโคลน


“ข้าแพ้แล้วอย่างนั้นหรือ แค่กๆๆ!” ฝานอีเชียนสำรอกเอาดินโคลนในปากออกมา ทว่าในใจกลับพรั่นพรึง เขาหันหน้าไปมองหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวที่ดูคล้ายว่ายังคงยืนอยู่ที่เดิมอย่างหวาดหวั่นอยู่บ้าง เขาจำได้ว่าเมื่อครู่นี้เขาได้ยินเสียงกระดิ่งอันไพเราะเสนาะหู จากนั้นก็มานอนแผ่อยู่บนพื้นเสียแล้ว


ตอนที่ 80 การกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอด

Ink Stone_Fantasy

“เอี๊ยด” ประตูลานบ้านเปิดออก


ฝานซานหยวนและฝานโม่จู๋สองคนที่อยู่ด้านนอกมองเข้าไปภายในลานบ้าน เห็นเพียงว่า ‘ฝานอีเชียน’ ผู้ซูบผอมอย่างยิ่งที่สวมชุดเกราะสีเขียวเดินโซซัดโซเซออกมา บนใบหน้าเต็มไปด้วยความกลวงเปล่า จากนั้นประตูลานบ้านทางด้านหลังก็ปิดสนิทลง


“เหตุใดเจ้าจึงออกมาเสียแล้วเล่า” ฝานซานหยวนสงสัย “ถ้าหากเขาหลีกเลี่ยงการต่อสู้ มิใช่ว่าข้าบอกให้เจ้ารั้งอยู่ในบ้านของเขาหรือไร”


ฝานโม่จู๋ที่อยู่ด้านข้างก็พูดขึ้นเช่นกัน “ถ้าหากเขาลงมือขับไล่เจ้าด้วยตนเอง เช่นนั้นเจ้าก็สามารถฉวยโอกาสประมือกับเขาได้พอดีเลยนี่”


“ประมือกันเรียบร้อยแล้วล่ะ” ฝานอีเชียนมองไปด้านหน้าอย่างตะลึงงันพลางเอ่ยเสียงต่ำ


“ประมือกันเรียบร้อยแล้วอย่างนั้นหรือ”


ฝานซานหยวนและฝานโม่จู๋ต่างก็หัวใจสั่นสะท้าน อดที่จะประสานสายตากันคราหนึ่งมิได้ พวกเขาสองคนก็อยู่นอกบ้าน ถึงแม้ว่าบ้านหลังนี้จะมีค่ายกลโคจรอยู่ โดยทั่วไปแล้วการตัดแยกเสียงก็สามารถตัดแยกจากการเคลื่อนไหวตามปกติได้ แต่การต่อสู้ระหว่างขั้นอลวนระดับชั้นที่สิบนั้นก่อให้เกิดระลอกคลื่นอันน่าหวาดกลัวเพียงใด โลกภายนอกจะต้องสามารถรับรู้ได้อย่างแน่นอน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าสิ่งที่ฝานอีเชียนเชี่ยวชาญที่สุดก็คือการใช้พลังทำลายกฎ!


แต่เมื่อครู่พวกเขาก็มิได้รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวแต่อย่างใดเลย นอกจากนี้ฝานอีเชียนก็ออกมาอย่างรวดเร็วเกินไปเสียแล้ว!


นี่เพิ่งจะเข้าไปเอง…คาดว่าคงพูดกันไม่ได้สักกี่ประโยคเลยกระมัง ก็ออกมาเสียแล้วหรือ


ได้ประมือกันแล้วด้วยอย่างนั้นหรือ


“นี่มันเรื่องอันใดกัน” ฝานซานหยวนถาม


“พ่ายแพ้เสียแล้วล่ะ” ฝานอีเชียนพูดเสียงต่ำ “พ่ายแพ้ชนิดที่ต้องยอมรับเลยทีเดียว ไปเถิด ไปเถิด”


ว่าแล้วฝานอีเชียนก็หมุนกายเดินจากไป มุ่งหน้าไปยังบ้านของตนเอง


“ที่แท้เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่นี่” ฝานซานหยวนและฝานโม่จู๋ต่างก็สงสัยกันอยู่บ้าง


“อีเชียนมีอุปนิสัยอำมหิตและโอหังเป็นที่สุด จิตใจก็หยิ่งยโสเป็นอย่างยิ่ง” นัยน์ตาของฝานโม่จู๋มองบ้านของตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ข้างๆ ด้วยประกายแปลกประหลาด “ถ้าหากพ่ายแพ้ให้กับระดับขั้นเดียวกัน แล้วพ่ายแพ้อย่างน่าอนาถ คาดว่าก็คงจะไปกระตุ้นเขาเข้า ในบรรดาขั้นอลวนของสกุลฝานเรา ก็มีเพียงท่านเท่านั้นแหละ พี่ใหญ่ จึงจะสามารถบีบบังคับกระตุ้นเขาได้ แต่การต่อสู้ในคราวนี้มิได้มีความเคลื่อนไหวแต่อย่างใดเลย ก็ออกมาอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้แล้ว ก็บอกได้ชัดว่าอิงซานเสวี่ยอิงผู้นั้นคงจะโจมตีอีเชียนอย่างผ่อนคลายเพียงแค่กระบวนท่าสองกระบวนท่า! ก็ทำให้เขาพ่ายแพ้อย่างน่าอนาถเหลือเกินแล้ว”


ฝานซานหยวนก็พยักหน้าน้อยๆ


พละกำลังของฝานอีเชียนน่าหวาดหวั่นเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะหลังจากที่สำแดงเคล็ดต้องห้ามแล้วก็ยิ่งน่ากลัวเข้าไปใหญ่! อิงซานเสวี่ยอิงโจมตีอย่างเงียบงันไร้สุ้มเสียงหรือไร


“มิใช่เคล็ดผนึกห้าภาพ” ฝานโม่จู๋พูด “น่าจะเป็นเคล็ดลับอื่นใดสักอย่างหนึ่ง สามารถโจมตีอีเชียนได้อย่างง่ายดาย เกรงว่าคงจะมิด้อยไปกว่าเคล็ดผนึกห้าภาพเลยแม้แต่น้อย!”


ฝานซานหยวนพยักหน้าน้อยๆ


มิด้อยไปกว่าเคล็ดผนึกห้าภาพ ทั้งยังเงียบงันไร้สุ้มเสียง ก็มีอยู่บ้าง อย่างเช่นเคล็ดคำสาปพิฆาต เคล็ดการพยากรณ์ และเขตลวงโลกเทียม เป็นต้น หรือแม้กระทั่งทางสายค่ายกลอันซับซ้อนเป็นที่สุด ถึงขนาดที่สามารถหนีออกมาจากเคล็ดลับอันน่าหวาดหวั่นทางด้านกาลเวลาของเส้นเวลาได้ สิ่งเหล่านี้ล้วนเงียบงันไร้สุ้มเสียง ถ้าหากไม่สนใจความเคลื่อนไหว เคล็ดลับที่สามารถเอาชนะฝานอีเชียนได้ก็จะมีมากยิ่งขึ้น


พวกบรรพชนฝานและจักรพรรดิเซี่ยแต่ละคนต่างก็คิดค้นเคล็ดลับที่สามารถไปถึงได้ตามหลักการออกมา! เคล็ดวิชาที่ ‘หยวน’ ผู้ลึกลับผู้นั้นเหลือทิ้งเอาไว้ก็ยิ่งน่าหวาดหวั่น เพียงแต่สิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นไปตามหลักการเท่านั้น


อย่างเช่น ‘เคล็ดผนึกห้าภาพ’ นอกจากบุคคลของรัฐโบราณเสียดฟ้าท่านนั้นแล้ว ในประวัติศาสตร์ก็มีเพียงแค่ตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว มีเพียงแค่สองคนเท่านั้นเอง!


เคล็ดวิชาที่ตัวฝานอีเชียนเองบำเพ็ญ เขาก็ยังไม่เคยไปถึงจุดสูงสุดเลย เคล็ดต้องห้ามก็ยังสามารถสำแดงได้เพียงแค่ชนิดเดียวเท่านั้น


“ดูท่าทางพวกมหาเคารพคงจะเห็นด้วยที่จะให้อิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้รับตำแหน่งเค่อชิงระดับบนของสกุลฝาน ก็ดูมีเหตุผลอยู่” ฝานซานหยวนเอ่ยปาก เขาไม่มีความคิดที่จะต่อสู้อีกต่อไปแล้ว


“รอให้สงครามสามตระกูลเริ่มต้น ก็จะล่วงรู้พื้นฐานของเขาได้แล้ว” ฝานโม่จู๋พูดยิ้มๆ


“อืม เขาแข็งแกร่งก็ดี ก็เป็นเรื่องดีต่อสกุลฝานของข้า” ฝานซานหยวนพยักหน้าเบาๆ ถึงแม้ว่าเขาจะมีความเย่อหยิ่งเป็นที่สุด แต่เมื่อถูกแซงหน้าก็ได้แต่ยิ่งเคารพนับถือตงป๋อเสวี่ยอิง และคิดจะพากเพียรฝึกฝนเพื่อให้เหนือกว่าในเร็ววัน


โลกของผู้บำเพ็ญก็เป็นเช่นนี้ รัฐโบราณคิมหันตวายุไม่เห็นรัฐประเทศมากมายบริเวณรอบๆ อยู่ในสายตาเลย ทว่ามีบุคคลน้อยนักที่สสามารถเอาชนะจนพวกเขาเคารพนับถือได้! อย่างเช่น ‘ประมุขรัฐเมฆทักษิณา’ เป็นต้น


******


“คราวนี้สงบแล้วสิ”


ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะเบาๆ  เขาก็ไม่อยากจะสร้างศัตรูมากมายเกินไปภายในสกุลฝาน


เพราะว่าในแผนการบำเพ็ญของเขา สกุลฝานนี้มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง! เขาเป็นเทพจักรวาล ก็ย่อมสามารถส่งร่างแยกกลับไปยังอากาศอันสับสนอลหม่านซึ่งเป็นบ้านเกิดได้ ได้ทราบความเคลื่อนไหวทั้งหมดทั้งมวลของทางฝั่งบ้านเกิดนั้น แต่ไม่ว่าจะเป็น ‘ฝูงมารผลาญทำลาย’ ที่แกร่งกล้าขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน หรือว่า ‘จอมเทพศักดิ์สิทธิ์’ ต่างก็กดดันเสียจนตงป๋อเสวี่ยอิงต้องเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ


ต้องรู้ไว้ว่าการหลอมสมบัติลับล้ำค่าของทางด้านอากาศอันสับสนอลหม่านซึ่งเป็นบ้านเกิดนั้นหยาบกว่าเป็นอย่างมาก ไม่มีทางไปถึงระดับการต่อสู้ข้ามชั้นได้เลย!


ขั้นอลวน… ระดับสูงสุดก็ยังเป็นเพียงแค่ระดับชั้นที่เก้าขั้นสุดยอดเท่านั้น


เทพจักรวาล หากนึกอยากจะข้ามขั้น ทางด้านบ้านเกิดนั้นก็ยากเย็นเช่นกัน


“ที่บ้านเกิด อยากจะจัดการจอมเทพศักดิ์สิทธิ์นั้นยากเย็นนัก จำเป็นต้องอาศัยตำราล้ำค่าของสกุลฝาน จึงจะสามารถทำให้พลังยุทธ์ของข้ายกระดับได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น คราวนี้ยากนักกว่าจะได้โอกาสสร้างแต้มความดีความชอบนั้นมา ข้าจำเป็นจะต้องทำภารกิจให้สมบูรณ์แบบมากพอ” ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งอยู่ภายในชานเรือนชั่วขณะ ด้านนอกไม่มีผู้ใดมาเคาะประตูอีกแล้ว เขารู้ว่าศิษย์หัวแก้วหัวแหวนสามคนนั้นคงจะไม่มารบกวนอีกแล้ว


จากนั้นก็ลุกขึ้น


“มังกรมาร หากไม่มีเรื่องสำคัญ ก็อย่าได้รบกวนข้าเป็นอันขาด” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดออกคำสั่ง


“ขอรับ เจ้านาย” แววตาที่มังกรมารรับใช้มองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงเต็มไปด้วยความเทิดทูน ศิษย์หัวแก้วหัวแหวนสกุลฝานที่เอาชนะอ๋องส้าหลงผู้นั้นถึงกับถูกเจ้านายเอาชนะได้ในการเผชิญหน้าเพียงครั้งเดียว เจ้านายช่างร้ายกาจเกินไปเสียแล้ว


……


ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าไปภายในห้องเงียบของเรือนแห่งนี้แล้วบำเพ็ญอย่างเงียบสงบ


ที่พำนักที่สกุลฝานมอบให้กับยอดฝีมือห้าคนที่เข้าร่วมสงครามสามตระกูล ที่อื่นๆ ก็แล้วไปเถิด แต่ห้องเงียบที่จำเป็นต้องใช้ในการบำเพ็ญของที่นี่กลับยอดเยี่ยมเป็นที่สุด ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิลงที่นี่แล้วก็รู้สึกได้ว่าพลังของค่ายกลหุ้มห่ออยู่โดยรอบ หล่อเลี้ยงร่างกายและวิญญาณของตน ความยอดเยี่ยมขอ


ผลลัพธ์นี้เหนือกว่าเจดีย์เทพอากาศที่ตั้งอยู่ที่เมืองหิมะเหินซึ่งตนทุ่มเทเงินทองไปมหาศาลอยู่มากมายนัก


ช่วยไม่ได้ สกุลฝานลงมือ ก็ย่อมไม่ธรรมดาอยู่แล้ว


เพียงแต่เสียดายที่ระยะเวลาที่ตนสามารถรั้งอยู่ที่นี่ได้นั้นไม่นานนัก!


“พรึ่บ”


ตงป๋อเสวี่ยอิงหลับตาลง เริ่มต้นรำลึกถึงสิ่งที่ได้รับมาจากการต่อสู้ทั้งหลายก่อนหน้านี้


แน่นอนว่ามิใช่การประมือกับฝานอีเชียน การประมือในครั้งนั้นง่ายดายเกินไป! หากแต่เป็นการเอาชนะร่างแปรของมหาเคารพกลืนเมฆาครั้งแล้วครั้งเล่า โดยเฉพาะครั้งที่แปด ตนเองโจมตีอย่างต่อเนื่องถึงหกครั้งจึงสามารถเอาชนะได้ เผชิญกับเคล็ดวิชาที่มหาเคารพกลืนเมฆาสำแดงต้านทาน เคล็ดผนึกห้าภาพของตงป๋อเสวี่ยอิงก็แปรผันไปเพราะสิ่งนี้ โคจรห้าภาพ เสาะหาจุดอ่อนของฝ่ายตรงข้ามเพื่อทำลาย


หกฝ่ามืออันต่อเนื่องนั้น ทุกฝ่ามือล้วนแปรผันไปทั้งสิ้น


“โคจรห้าภาพ…” ตงป๋อเสวี่ยอิงย้อนรำลึก เรียนรู้ข้อมูลเชิงลึกบางอย่าง


ถึงแม้ว่าเขาจะนึกถึงเคล็ดการกลายเป็นอากาศธาตุ


“โคจรหรือ”


ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวใจสั่นไหวคราหนึ่ง


ทันใดนั้นแสงทิพย์วิญญาณ์ก็ปรากฏขึ้น เขาหยั่งรู้เคล็ดการกลายเป็นอากาศธาตุ อันที่จริงก็หยั่งรู้มาเนิ่นนานเหลือเกินแล้ว ชาติก่อนวิชาลับผู้ท่องของเขาก็ไปถึงขั้นอลวนชั้นที่ห้าระดับสุดยอดแล้ว! เคล็ดวิชาสืบทอดสี่ภาพวาดของจักรพรรดิเก้าเมฆา การกลายเป็นอากาศธาตุก็บำเพ็ญไปจนถึงขีดสุดแล้ว เกราะของแม่ทัพโม่กู่นั้นเขาก็หยั่งรู้มาโดยตลอด…กลับชาติมาเกิดถึงยังดินแดนจิตโลกา ตอนแรกเขาก็บำเพ็ญร่างเมฆทักษิณาทิพย์ไปจนถึงชั้นที่สิบอันสมบูรณ์! บำเพ็ญ ‘เคล็ดผนึกห้าภาพ’ สำเร็จ ทำเอาเขาบำเพ็ญวิถีห้าสายทางห้วงอากาศจนล้ำลึกไปถึงขั้นอลวนระดับสุดยอดทั้งสิ้น ทั้งยังศึกษาความเร้นลับของพรสวรรค์ในการกลายเป็นอากาศธาตุของแมลงอสูรทางสายห้วงอากาศจำนวนมากอีกด้วย…


การสั่งสมอย่างไม่หยุดหย่อนทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงหลอมรวมเคล็ดวิชาจำนวนมากที่สั่งสมมาเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว โดยมีความเร้นลับของชุดเกราะของแม่ทัพโม่กู่เป็นพื้นฐาน เพียงแต่เวลาที่หลอมรวมนั้นยังขาด ‘จังหวะ’ อยู่เล็กน้อย


ในขณะนี้!


ภายในห้องเงียบแห่งนี้ ยามที่รำลึกการโคจรห้าภาพ เขาได้ตระหนักรู้ถึงจังหวะที่เหมาะสม


“จำเป็นต้องฝืนหลอมรวมด้วยหรือ ก็ควรจะโคจร แข็งแกร่งหรืออ่อนแอก็สามารถแปรเปลี่ยนได้ตลอดเวลา”


ตงป๋อเสวี่ยอิงกระจ่างแจ้งแก่ใจ


“พรึ่บ!”


ตงป๋อเสวี่ยอิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่น ห้วงอากาศโดยรอบพลันบิดเบี้ยว แสงสีโดยรอบก็บิดเบี้ยว แสงสีที่บิดเบี้ยวก็ปนเข้าด้วยกันกลายเป็นหลุมดำ ตรงกลางหลุมดำก็คือตงป๋อเสวี่ยอิงที่นั่งอยู่ที่นั่น


“ฟ้าดินสลายแต่ข้าไม่สลาย นอกเสียจากว่าจะมีพลังคุกคามที่ทลายเปิดกรงของโลกกำเนิด ไม่ทำร้ายโลกกำเนิด และไม่ทำร้ายข้า” ตงป๋อเสวี่ยอิงอมยิ้ม ตอนนั้นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ต้องการจะจัดการจักรพรรดิเก้าเมฆามาโดยตลอด กระทั่งสงครามครั้งหลังสุดที่โลกทิพย์โบราณดั้งเดิมแหลกสลายไปครั้งนั้น เขาก็เสี่ยงชีวิตโดยไม่เสียดายสิ่งใดอย่างแท้จริง ก็ทำได้เพียงแค่ทำร้ายจักรพรรดิเก้าเมฆาอย่างหนักจนทำให้จักรพรรดิเก้าเมฆาหลบหนีอย่างรวดเร็ว ในท้ายที่สุดจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ยังไม่ได้เตาสามขาเพลิงโลกันตร์มาครองอยู่ดี


นี่ก็คือเหตุผลที่การกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอดน่าหวาดหวั่น


มีพลังคุกคามทลายเปิดโลกกำเนิด จึงจะสามารถทำร้ายยอดฝีมือของการกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอดได้! แล้วก็ได้แต่เพียง ‘ทำร้าย’ เท่านั้น ส่วนจะฆ่าให้ตายจริงๆ นั้นก็ยากเย็นเกินไปเสียแล้ว!


อย่างเช่นทลายเวหาที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดง ก็เพียงแค่ทลายอนุภาคทรงกลมหมอกดำไม่กี่อนุภาคเท่านั้น เคล็ดวิชาเช่นนี้ ถ้าหากจัดการตงป๋อเสวี่ยอิง ก็คงจะฝืนฆ่าตาได้เพียงแค่อณูเดียวเท่านั้น! ดังนั้น ‘การกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอด’ จึงเป็นสิ่งที่ผู้แกร่งกล้าจำนวนมากไล่ตาม กระทั่งปรมาจารย์กู่ฉีของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังไปไม่ถึงการกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอด ทว่า ‘บรรพชนห้วงอากาศ’ ผู้คิดค้นวิถีผู้ท่องอากาศจึงจะสามารถทำได้


ย่างก้าวนี้ช่างยากเย็นนัก


สำเร็จเป็นเทพจักรวาลโดยอาศัยเส้นทางการกลายเป็นอากาศธาตุ ไม่ได้รับเคล็ดลับ มีบางส่วนที่ทำไม่สำเร็จ


ทว่าทำสำเร็จได้ตั้งแต่ยังเป็นขั้นอลวน! ก็ย่อมเหนือกว่าที่จะจินตนาการได้อยู่แล้ว!


ที่อากาศอันสับสนอลหม่าน ฝูงมารผลาญทำลายเพียงแค่อาศัย ‘พรสวรรค์ไร้เงา’ ก็สามารถทะลุผ่านขอบกั้นห้วงอากาศที่ทางฝั่งผู้บำเพ็ญวางเอาไว้ได้อย่างเงียบงันไร้สุ้มเสียง ก่อให้เกิดมหันตภัยมากมาย เมื่อใดที่ไปถึง ‘การกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอด’ นั่นก็คือการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพอย่างแท้จริงแล้ว!


“การโคจรเก้าวิถีที่ไม่สลาย เคล็ดการกลายเป็นอากาศธาตุศาสตร์นี้ของข้า ก็เรียกว่าเคล็ดไร้ทลายเก้ากัณฑ์ก็แล้วกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงอมยิ้มน้อยๆ “คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ถ้าหากข้าบำเพ็ญเป็นระยะเวลายาวนาน ผ่านการกลับชาติมาเกิดจนกระทั่งถึงตอนนี้ ทั้งยังมีการสั่งสมมากมาย ทั้งยังตระหนักรู้ที่คีรีมารสกุลฝานได้ในท้ายที่สุดด้วย”


ในขณะเดียวกันกับที่ตระหนักรู้ ‘เคล็ดไร้ทลายเก้ากัณฑ์’


ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกได้ในทันทีว่าเขามีความรู้สึกอยากจะศึกษา ‘ทางสายห้วงอากาศ’ อีก ถึงขนาดที่สามารถเกิดความรู้สึกของการบรรลุเป็นเทพจักรวาลได้เลยทีเดียว


การสั่งสมของเขาแน่นหนาเหลือเกิน!


‘เคล็ดผนึกห้าภาพ’ และ ‘เคล็ดไร้ทลายเก้ากัณฑ์’ ที่ยากเย็นยิ่งกว่า อีกทั้งเคล็ดไร้ทลายเก้ากัณฑ์ยังเป็นสิ่งที่คิดค้นขึ้นเองอีกด้วย!


พื้นฐานเช่นนี้บวกกับการบำเพ็ญ การที่วิถีอากาศบรรลุไปถึงระดับเทพจักรวาลก็ย่อมผ่อนคลายเป็นธรรมดาอยู่แล้ว


“ไม่ต้องรีบร้อน”


“ข้ายังต้องเข้าร่วมสงครามสามตระกูลของสกุลฝาน ถ้าหากตอนนี้บรรลุไปถึงเทพจักรวาลแล้ว ก็จะไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ “รอก่อนเถิด ไม่ว่าอย่างไรอีกไม่ช้าก็จะเริ่มต้นขึ้นแล้ว หลังจากที่สงครามสามตระกูลสิ้นสุดลง ข้าก็จะบรรลุเป็นเทพจักรวาล ถึงเวลานั้นก็ควรส่งร่างแยกกลับไปยังบ้านเกิดแล้ว! จิ้งชิว อวี้เอ๋อร์ ชิงเหยา…”


ขณะนี้ความคิดจิตใจทั้งหมดของตงป๋อเสวี่ยอิงก็เป็นกังวลถึงภรรยาและเหล่าบุตรชายบุตรสาวของตน


จากบ้านเกิดมาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ พวกเขายังสบายดีกันอยู่หรือไม่


“รอก่อน รอก่อนนะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงปลอบตัวเองอย่างเงียบๆ


ตอนที่ 81 สงครามสามตระกูล

Ink Stone_Fantasy

เพียงแค่หนึ่งเดือนกว่าๆ หลังจากที่คิดค้น ‘เคล็ดไร้ทลายเก้ากัณฑ์’


“ทุกท่าน ควรออกเดินทางได้แล้ว” เสียงหนึ่งดังก้องสะท้อนไปทั่วเรือนทั้งห้าแห่ง ฝานซานหยวน ฝานโม่จู๋ ฝานอีเชียน อ๋องส้าหลง และตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ภายในเรือนทั้งห้าแห่ง ต่างก็ออกมากันอย่างรวดเร็ว


“ในที่สุดก็ถึงเวลาของสงครามสามตระกูลแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงอมยิ้มน้อยๆ สำหรับเขาแล้วสงครามสามตระกูลก็เพื่อหนึ่งหมื่นมหาคุณูปการนั้นโดยเฉพาะ! เมื่อใดที่ภารกิจสำเร็จ เขาก็จะปลีกวิเวกจนบรรลุเทพจักรวาลในทันที แล้วส่งร่างแยกกลับไปยัง ‘อากาศอันสับสนอลหม่าน’ ซึ่งเป็นบ้านเกิด


แต่ในขณะนี้ ฝานซานหยวนและคนอื่นๆ รวมถึงอ๋องส้าหลงผู้นั้นต่างก็พากันมองมาทางตงป๋อเสวี่ยอิง


เพราะพวกเขาต่างก็รู้ว่า…


เมื่อฝานอีเชียนอยู่ต่อหน้าอิงซานเสวี่ยอิง เผชิญหน้าเพียงครั้งเดียวก็พ่ายแพ้เสียแล้ว


“ฮ่าฮ่าฮ่า อีกประเดี๋ยวเจ้ากับคนอื่นๆ ก็ค่อยสำแดงพลังยุทธ์ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่านี้ออกมาเถิด” จ้าวขุยเฉินยืนอยู่ที่นั่นพร้อมกับพูดยิ้มๆ “สามารถเอาชนะสกุลชางและสกุลเซี่ยได้ นั่นจึงจะเรียกว่าพลังยุทธ์”


“ขอรับ” ฝานซานหยวนพยักหน้าน้อยๆ


“คราวนี้พวกเราจะต้องเอาชนะได้อย่างแน่นอน! ” ฝานอีเชียนผู้ผอมกะหร่อฟื้นฟูจิตวิญญาณการต่อสู้กลับมาก่อนหน้านี้แล้ว เขาคำรามเสียงต่ำ นัยน์ตาก็เปล่งแสงสายฟ้าฟาด


“เข้ามาที่นี่ให้หมด” กลางเวหาทางด้านข้างของจ้าวขุยเฉินก็คือรถม้าอันหรูหราคันหนึ่ง ตัวรถใหญ่โตเป็นอย่างยิ่ง จ้าวขุยเฉินก้าวไปก่อนก้าวหนึ่งก็เข้าไปในห้องโดยสารแล้ว ในขณะเดียวกันก็ส่งเสียงเรียกคนข้างนอก


ตงป๋อเสวี่ยอิงและคนอื่นๆ ก็พากันบินขึ้นไปในทันที


ดูจากภายนอก ห้องโดยสารก็กว้างยาวเพียงแค่ไม่กี่จั้งเท่านั้น ทว่าภายในกลับกว้างขวางหลายสิบจั้ง


พวกเขาแต่ละคนกระจายกันนั่งขัดสมาธิอยู่ภายในห้องโดยสาร


“ออกรถ” จ้าวขุยเฉินก็นั่งขัดสมาธิลงแล้วออกคำสั่งกับด้านนอก


“ขอรับ”


ผู้ดูแลที่อยู่ด้านนอกรับคำสั่งอย่างเคารพ


โฮก…


สัตว์ประหลาดเคลื่อนผ่านเวหา ลากเอารถม้าอันหรูหราไปไกลจากคีรีมารสกุลฝาน


……


ตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ภายในห้องโดยสารก็มองออกไปด้านนอก  รถม้าคันนี้ไปถึงท้องฟ้าเหนือท้องถนนอันตระการตาของนครหลวงคิมหันตวายุแล้ว


“สงครามสามตระกูลจัดขึ้นในพระราชวังมาโดยตลอด” จ้าวขุยเฉินพูดอธิบาย “พอถึงเวลาบรรพชนฝาน จักรพรรดิเซี่ย และจักรพรรดิชางต่างก็มาชมดูการประลอง นอกจากนี้เหล่ามหาเคารพทุกท่านของสามตระกูลใหญ่ รวมถึงผู้แกร่งกล้าของตระกูลอื่นๆ จำนวนหนึ่งในรัฐโบราณคิมหันตวายุของข้าที่จะมาชมดูการประลองด้วย นี่คือการประลองระดับสูงที่สุดของสามตระกูลใหญ่แห่งรัฐโบราณคิมหันตวายุแล้ว”


ถึงอย่างไรสามตระกูลต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของรัฐโบราณคิมหันตวายุ


ส่งขั้นอลวนที่ล้ำเลิศที่สุดมาเข้าร่วมการประลอง ก็พอๆ กันแล้วจริงๆ


สูงกว่านี้อย่างนั้นหรือ


ให้เหล่าเทพจักรวาลห้ำหั่นกันอย่างนั้นหรือ ต้องรู้ไว้ว่าเหล่าเทพจักรวาลมีความเชี่ยวชาญแตกต่างกัน มีวิธีการบางอย่างของเทพจักรวาลที่แม้กระทั่งเหล่าบุคคลผู้ไร้เทียมทานก็ยังไม่สามารถต้านรับช่วยเหลือได้ทัน ‘สูญเสียการควบคุม’ ได้อย่างง่ายดาย! นอกจากนี้ไม่ว่าจะเป็นเหล่าบุคคลผู้ไร้เทียมทาน หรือระดับขั้นอย่างมหาเคารพ… การจะถือกำเนิดขึ้นมาใหม่ได้สักคนนั้นก็ช่างยากเย็นยิ่งนัก ถ้าหากมียอดฝีมือมากมายถึงเพียงนั้น การประลองก็ไร้ความหมายแล้ว


ในทางกลับกันขั้นอลวนนั้นสามารถมีเด็กรุ่นใหม่เกิดขึ้นมาได้มากมาย การประลองก็มี ‘การแปรผัน’ มากมาย


“ช่างสำคัญยิ่งนัก พวกบรรพชนฝาน บุคคลผู้ไร้เทียมทานสามท่านต่างก็มาชมดูการประลอง มหาเคารพทุกท่านก็มาชมดูการประลองเช่นกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบอุทาน ระดับสูงสุดของรัฐโบราณคิมหันตวายุต่างก็มารวมตัวกันหมด


*******


ณ พระราชวังหลวงแห่งรัฐโบราณคิมหันตวายุ


ที่โถงตำหนักอันใหญ่โตกว้างขวางแห่งหนึ่ง ภายในโถงตำหนักมีเมฆหมอกปกคลุม กระทั่งมิอาจเห็นหลังคาโค้งได้ด้วยตาเปล่า ราวกับห้วงมิติไร้ขีดจำกัด


บนราชอาสน์มีบุรุษอาภรณ์ดำหรูหราคนหนึ่งนั่งอยู่ เขานั่งอยู่ตรงนั้นด้วยกลิ่นอายอันริบหรี่พลางมองลงไปเบื้องล่าง ประหนึ่ง ‘สวรรค์’ กำลังเหลือบมองมวลมนุษย์อย่างไรอย่างนั้น! ต่อให้เป็นเหล่าเทพจักรวาลโดยรอบก็ไม่กล้าไม่เคารพเลยแม้แต่น้อย เพราะท่านผู้นี้คือฝ่าบาทจักรพรรดิแห่งรัฐโบราณคิมหันตวายุ ทำให้บรรพชนฝานและจักรพรรดิชาง บุคคลผู้ไร้เทียมทานทั้งสองยอมคล้อยตามด้วยความเต็มใจ


อย่างรัฐโบราณสหโลกามีห้าบรรพชน! แต่ต่างคนต่างไม่ยอมกัน และถึงขั้นไม่มีผู้นำสูงสุดในนามเลยทีเดียว


ส่วนรัฐโบราณคิมหันตวายุ เมื่อเทียบกันแล้วก็สามัคคีกว่ามาก ผู้นำสูงสุดของรัฐโบราณคิมหันตวายุก็คือจักรพรรดิแห่งรัฐโบราณคิมหันตวายุ…จักรพรรดิเซี่ยนั่นเอง!


“ฮ่าฮ่า พี่ฝาน พวกท่านสกุลฝานแพ้มาห้าครั้งต่อเนื่องกันแล้ว หากแพ้อีกก็เป็นหกครั้งแล้ว ตั้งแต่สงครามรัฐโบราณครั้งที่สองซึ่งพวกเราได้ ‘ตำหนักเทพโลกาดั้งเดิม’ มาจนบัดนี้ พวกท่านสกุลฝานยังไม่เคยพ่ายแพ้หกครั้งต่อเนื่องกันเลยกระมัง” จักรพรรดิเซี่ยมองไปทางเงาร่างอันเลือนรางทางขวามือ เงาร่างของบรรพชนฝานเปลี่ยนแปลงไปได้สารพัด ในสายตาของแต่ละคนก็จะมองเห็นเป็นลักษณะที่แตกต่างกันไป


“จักรพรรดิเซี่ย ครั้งนี้ก็ไม่แน่นักหรอก” บรรพชนฝานพูดเสียงเรียบ


“น้องฝาน เจ้าก็น่าจะรู้นะว่าครั้งนี้สกุลเซี่ยมีผู้ล้ำเลิศร้ายกาจถึงสองคนด้วยกัน แข็งแกร่งกว่าห้าครั้งก่อนหน้านี้เสียอีก จุ๊ๆ ห้าครั้งก่อนหน้านี้ สกุลชางเรายังสามารถชนะได้สองครั้ง ครั้งนี้สกุลชางเราก็ไม่มั่นใจสักเท่าใดแล้ว” จักรพรรดิชางด้านข้างกล่าว แม้จักรพรรดิชางจะนั่งอยู่ตรงนั้น แต่รอบบริเวณที่เขาอยู่ก็เลือนรางไปหมด เหนือผิวกายของเขามีภาพของโลกที่ถือกำเนิดและดับสลายไปแห่งแล้วแห่งเล่า รอบกายนั้นดูยิ่งใหญ่ ทำให้เทพจักรวาลผู้หนึ่งหวาดหวั่นใจได้เลยทีเดียว “ครั้งนี้จะแพ้ก็ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้สกุลชางเราก็ชนะสองครั้งในห้าครั้งแล้ว


“ห้าครั้งก่อนหน้านี้สกุลเซี่ยของข้าชนะไปสามครั้ง” จักรพรรดิเซี่ยจงใจพูดขึ้น


บรรพชนฝานส่งเสียงเฮอะเบาๆ อย่งาเยียบเย็นคราหนึ่ง


ชายชราทั้งสามนั้น…แม้จะปะทะคารมกัน แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับสนิทสนมกันดั่งพี่น้อง เพราะถึงอย่างไรบนเส้นทางการบำเพ็ญ ผู้ที่สามารถสนทนาเรื่องวิถีกับพวกเขาได้ก็มีน้อยยิ่งนัก


“ทว่าครั้งนี้ต้องชนะแล้วล่ะ” บรรพชนฝานมองลงไปยังเหล่ามหาเคารพของสกุลฝานเช่นมหาเคารพซือเทียนและมหาเคารพบัวโลหิตซึ่งอยู่เบื้องล่าง “สกุลฝานเรามิได้ส่งมหาเคารพเข้าร่วม ‘ตำหนักเทพโลกาดั้งเดิม’ ตั้งนานแล้ว เกรงว่าพวกเขาก็คงจะร้อนใจขึ้นมาแล้วกระมัง”


ตำหนักเทพโลกาดั้งเดิมนั้นเป็นสิ่งที่ ‘หยวน’ ทิ้งเอาไว้


ทั้งยังเป็นหนึ่งในสมบัติล้ำค่าที่สำคัญที่สุดซึ่งแย่งชิงกันในสงครามรัฐโบราณครั้งที่สอง ครั้งนั้นต่อสู้กันจนฟ้าถล่มดินทลาย ทั้งยังมีบุคคลผู้ไร้เทียมทานต้องสิ้นชีวิตอีกด้วย! ส่วนผู้ที่บาดเจ็บสาหัสก็ยิ่งมีมากขึ้นไปอีก อย่างบรรพชนรัฐโบราณทั้งสองก็เคยร่วมมือกันห้ำหั่นรัฐโบราณคิมหันตวายุ ‘บรรพชนนิจรัตติกาล’ ถูกโจมตีจนบาดเจ็บสาหัส โลหิตกำเนิดถูกชิงเอาไปไม่น้อย ‘บรรพชนราตรีนิรันดร์’ ก็บาดเจ็บสาหัสและหลบหนีไป…


สงครามครั้งนั้น รัฐโบราณสหโลกาและรัฐโบราณคิมหันตวายุซึ่งเป็นสองรัฐที่แข็งแกร่งที่สุดล้วนแต่ได้รับผลประโยชน์มหาศาล


รัฐโบราณคิมหันตวายุได้รับ ‘ตำหนักเทพโลกาดั้งเดิม’


ในยุคแรก ตำหนักเทพโลกาดั้งเดิมนั้นมีจักรพรรดิเซี่ย บรรพชนฝานและจักรพรรดิชางผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้าไป ทว่าแต่ละครั้งล้วนต้องใช้เวลาอันยาวนานจึงจะสามารถเข้าไปได้อีกครั้ง ต่อมาพวกเขาทั้งสามเข้าไปแล้วก็พบว่าจะก้าวหน้าได้อีกนั้นยากนัก จึงค่อยๆ มอบโอกาสนี้ให้แก่ชนรุ่นหลัง


กล่าวว่าเป็น ‘ชนรุ่นหลัง’ แต่ในความเป็นจริงแล้วก็คือเหล่ามหาเคารพทั้งหลายของสามตระกูลใหญ่…


จัดการโอกาสเข้าไปอย่างไรน่ะหรือ


ถึงอย่างไรสกุลเซี่ยก็มีพลังแข็งแกร่งที่สุด จำนวนมหาเคารพมีถึงเก้าท่านด้วยกัน! หากสามตระกูลใหญ่หมุนเวียนกันเข้าไป ก็คล้ายจะไม่ค่อยเป็นธรรมกับสกุลเซี่ยสักเท่าใดนัก เพราะถึงอย่างไรตอนที่ได้ ‘ตำหนักเทพโลกาดั้งเดิม’ มานั้น จักรพรรดิเซี่ยก็มีความดีความชอบมากที่สุด!


ต่อมาบรรพชนทั้งสามจึงได้จัดตั้ง ‘สงครามสามตระกูล’ ขึ้น


ฝ่ายใดเอาชนะได้ในท้ายที่สุด โอกาสในการเข้าไปในครั้งนี้ก็จะตกเป็นของฝ่ายนั้น


ดังนั้น…


ตลอดคืนวันอันยาวนาน ยุคแล้วยุคเล่า โดยทั่วไปสกุลเซี่ยนั้นได้เปรียบมากที่สุด ส่วนสกุลชางและสกุลฝานนั้นเท่าเทียมกัน


เพียงแต่ห้าครั้งหลังสุด สกุลฝานไม่ได้คว้าชัยเลยสักครั้งต่อเนื่องกันก็ออกจะเสียหน้าอยู่บ้าง! นอกจากนี้ เหล่ามหาเคารพของสกุลฝานต่างก็อยากจะเข้าไปอีก แม้จะสามารถเข้าไปได้เพียงคนเดียวก็ตาม แต่หากโอกาสมิได้ตกเป็นของสกุลฝาน พวกเขาก็จะมิอาจเข้าไปได้ตลอดไป


“เด็กๆ สกุลเซี่ยมาแล้ว”


เงาร่างหกสายทะยานเข้ามาก่อนจะร่อนลงอย่างพลิ้วไหว ในจำนวนนั้นมีเทพจักรวาลอยู่คนหนึ่ง


“คารวะฝ่าบาททั้งสาม” พวกเขาต่างก็คารวะ


“ประจำที่” จักรพรรดิเซี่ยเอ่ยปาก


เทพจักรวาลสกุลเซี่ยผู้นั้นเข้าประจำที่ ส่วนขั้นอลวนทั้งห้าของสกุลเซี่ยที่เหลือก็เข้านั่งยังที่ของตนทีละคนตามการจัดการของสาวใช้ พวกเขาแต่ละคนล้วนถ่อมเนื้อถ่อมตนเป็นอย่างมาก เพราะถึงอย่างไรผู้ที่มีคุณสมบัติพอจะมานั่งที่นี่ได้ ตอนนี้ก็มีเพียงพวกเขาห้าคนเท่านั้นที่เป็นขั้นอลวน


ไม่นานนัก


“เด็กๆ สกุลฝานก็มาแล้ว” ทันใดนั้นก็ดึงดูดสายตามากมายได้ทันที เหล่าเทพจักรวาลของรัฐโบราณคิมหันตวายุในที่นั้นต่างก็รู้ว่าห้าครั้งก่อนหน้านี้สกุลฝานไม่เคยชนะเลยแม้แต่ครั้งเดียว


ทันใดนั้น ภายใต้การนำของจ้าวขุยเฉิน ตงป๋อเสวี่ยอิงและคนอื่นๆ ทั้งห้าคนก็บินเข้ามา หลังจากร่อนลงมาแล้วก็ทำความเคารพ “ถวายบังคมฝ่าบาททั้งสาม”


ส่วนที่ด้านล่างสุด


บรรพชนฝานซึ่งนั่งอยู่ข้างจักรพรรดิเซี่ยมองหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวเบื้องล่างผู้นั้นด้วยความสนอกสนใจ “อิงซานเสวี่ยอิงหรือ ดูสิว่าที่แท้แล้วอิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้จะทนได้สักกี่น้ำกัน!” อิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้เคยปฏิเสธการเป็นศิษย์ของเขา ต่อให้กลับชาติมาเกิดจริงๆ บรรพชนฝานก็ยังสนใจใคร่รู้ในตัวผู้ที่ปฏิเสธการเป็นศิษย์ของเขาอยู่นั่นเอง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)