Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 33 ตอนที่ 7-9
ตอนที่ 7 อิงซานเลี่ยฮู่ผู้เป็นบิดา
Ink Stone_Fantasy
หอม่านเมฆคือสถานที่ผลาญเงินแหล่งใหญ่ที่สุดของเมืองอัคคีโชติ คนของตระกูลอ๋องโหวและเหล่ายอดฝีมือที่บำเพ็ญเป็นจำนวนมากล้วนชอบมาที่นี่ ขอเพียงมีแก้วผลึกจักรวาลมากพอ ต่อให้เป็นของล้ำค่าหายากเพียงใด หอม่านเมฆก็สามารถช่วยหามาได้
บนเวทีปิดผนึกแห่งหนึ่ง เทพแท้ระดับผู้ปกครองสองคนกำลังห้ำหั่นกันอย่างบ้าคลั่ง พลังรบของพวกเขาแข็งแกร่งอย่างยิ่ง จนสามารถข้ามขั้นไปต่อสู้กับเทพอากาศได้เลยทีเดียว
ส่วนรอบเวทีการต่อสู้ กลับมีคนของตระกูลอ๋องโหวและผู้บำเพ็ญที่แข็งแกร่งจำนวนหนึ่งกระจายตัวกันอยู่รอบๆ พวกเขาพาสาวใช้รูปงามมาด้วยแทบจะทุกคน แม้แต่ผู้บำเพ็ญที่แข็งแกร่งซึ่งไปไหนมาไหนเพียงลำพัง ข้างกายก็ยังมีสาวงามของหอม่านเมฆคนหรือสองคนคอบปรนนิบัติรินสุราให้
ไม่นานนักการต่อสู้ยกหนึ่งก็จบลง
คนหนึ่งชนะ ส่วนอีกคนก็ร่างแหลกสลายไปในท้ายที่สุด มิอาจรวมตัวกันได้อีก
เทพแท้…นับได้เพียงว่าเป็นระดับที่ธรรมดามากเท่านั้น ต่อให้เป็น‘อิงซานซีเยว่’ ที่มีสายเลือดของตระกูลอ๋องโหว เนื่องจากเป็นเพียงเทพแท้ จึงนับได้ว่าเป็นเพียงสามัญชนคนธรรมดาเท่านั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้ที่มีชาติกำเนิดต่ำกว่าเลย พวกเขาทำได้เพียงทำงานระดับต่ำที่สุดเท่านั้น หากโชคดีก็สามารถใช้ชีวิตอย่างราบรื่นได้ หากโชคไม่ดีไปล่วงเกินคนใหญ่คนโตเข้า เกรงว่าชีวิตก็คงจะหาไม่
ดังนั้นผู้ที่มีปณิธานอย่างแท้จริง ก็จะสู้สุดชีวิต ทำให้ตนกลายเป็นผู้แกร่งกล้า
ส่วนการเดินขึ้นไปบน ‘เวทีเป็นตาย’ นั้นก็เป็นเส้นทางที่มีความเสี่ยงมากยิ่งนัก แต่ก็มีผลประโยชน์มากอย่างยิ่งเช่นกัน แต่ละการต่อสู้ล้วนต้องตายกันไปข้างหนึ่ง ฝ่ายที่รอดชีวิตก็จะได้ศิลาอลวนเป็นจำนวนมาก เมื่อมีทรัพยากรแล้ว การบำเพ็ญก็ย่อมรวดเร็วขึ้นมากทีเดียว
“เป็นคนไร้ค่า คนไร้ค่าจริงๆ ข้าเสียแรงมากมายถึงเพียงนั้นไปเปล่าๆ ไม่มีประโยชน์เลยแม้แต่น้อย” อิงซานเลี่ยฮู่พลันขว้างจอกในมือทิ้ง โกรธจนคันยุบยิบไปหมด
“คุณชายเลี่ยฮู่ ใจเย็นๆ ก่อนนะเจ้าคะ อีกประเดี๋ยวข้าจะช่วยท่านหาแขกดีๆมาให้สักคน จะต้องไม่ไร้ประโยชน์เหมือนคนไร้ค่านี่อย่างแน่นอนเจ้าค่ะ” สาวงามที่ป้อนสุราให้อยู่ข้างกายเขาพูดเสียงหวาน
“ฝูเอ๋อร์ ครั้งก่อนเจ้าก็พูดเช่นนี้ ครั้งนี้ข้าจะยังกล้าเชื่อเจ้าอีกหรือ” อิงซานเลี่ยฮู่หมุนกาย นิ้วมือเชยคางคนงามขึ้นมา สาวงามที่มาปรนนิบัติภายในหอม่านเมฆทุกคนล้วนบำเพ็ญเคล็ดวิชาเสน่ห์ ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญที่แข็งแกร่งทั้งหลาย ก็ล้วนอดที่จะจมดิ่งลงไปในความนุ่มนวลมิได้ ช่างเป็นการดื่มด่ำโดยแท้
“คุณชายเลี่ยฮู่ ท่านวางใจเถิด ฝูเอ๋อร์จะหาก่อน เมื่อหาพบแล้วท่านค่อยไปดูนะเจ้าคะ หากท่านไม่เชื่อฝูเอ๋อร์เช่นนี้ ฝูเอ๋อร์จะเสียใจจริงๆ นะเจ้าคะ”
ขณะที่อิงซานเลี่ยฮู่กำลังหยอกเย้ากับสาวงามนั้น ก็พลันมีบุรุษร่างอ้วนพีเยียบเมฆดั้นด้นเข้ามาจากที่ไกลออกไป
บุรุษร่างอ้วนพีผู้นี้พูดพลางหัวเราะมาตั้งแต่ไกลลิบว่า “ฮ่าฮ่าฮ่า คุณชายอิงซานเลี่ยฮู่ ยินดีด้วยๆ”
“ยินดีหรือ” อิงซานเลี่ยฮู่สะดุ้ง รู้สึกดีใจระคนตกใจขึ้นมา
คนของตระกูลอ๋องโหวและผู้บำเพ็ญที่แข็งแกร่งคนอื่นรอบด้านล้วนตกตะลึงอยู่บ้าง เนื่องจากพวกเขาล้วนจำได้ว่าผู้มาเยือนก็คือนายท่านของหอม่านเมฆ และเป็นบุคคลผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทั้งเมืองอัคคีโชติ…‘ฉุนอวี้เฟิง’ นั่นเอง ‘ฉุนอวี้เว่ยอี’ พี่ชายของฉุนอวี้เฟิงเป็นหนึ่งในสองยักษ์ใหญ่แห่งเมืองอัคคีโชติ
ยักษ์ใหญ่อีกคนหนึ่งย่อมเป็นท่านโหวหั่วเลี่ย
ฉุนอวี้เว่ยอีปกครอง ‘ตำหนักทิพย์เมฆทักษิณา’ ซึ่งมียอดฝีมือมากมายดุจเมฆ จำนวนของยอดฝีมือตำหนักทิพย์เมฆทักษิณามากกว่าจวนโหวหั่วเลี่ยมากนัก เนื่องจากตำหนักทิพย์เมฆทักษิณาเป็นตัวแทนของ ‘ประมุขรัฐ’ ที่สำคัญก็คือร่างแยกของเทพจักรวาลผู้รักษาเมืองอัคคีโชติที่หลับใหลอยู่ผู้นั้น…ก็คือบรรพชนของตระกูลฉุนอวี้…จ้าวฉุนอวี้นั่นเอง! ใช่แล้ว ตระกูลฉุนอวี้เป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ซึ่งแข็งแกร่งที่สุดของรัฐเมฆทักษิณา เป็นตระกูลที่ให้กำเนิดเทพจักรวาล
ราชวงศ์และสามตระกูลระดับกษัตริย์ ก็คือสี่ตระกูลใหญ่
เมื่อเทียบกันแล้วตระกูลอิงซานก็ยังอ่อนแอกว่าอยู่ขุมหนึ่ง ‘เจ้าแม่อิงซาน’ แห่งตระกูลอิงซานผู้นั้นก็เป็นเพียงเฟิงอ๋องเท่านั้น
ดังนั้น…
ในฐานะน้องชายของฉุนอวี้เว่ยอี และผู้ปกครองหอม่านเมฆ สถานที่ผลาญเงินแหล่งใหญ่ที่สุดของเมืองอัคคีโชติ สถานะของ ‘ฉุนอวี้เฟิง’ จึงสูงส่งอย่างยิ่ง สามารถเทียบเทียมและพูดคุยเล่นหัวกับบรรดาผู้อาวุโสแห่งจวนโหวหั่วเลี่ยเหล่านั้นได้ อิงซานเลี่ยฮู่ซึ่งเป็นเพียงเทพแท้ระดับผู้ปกครองคนหนึ่ง…นายท่านแห่งหอม่านเมฆอย่าง ‘ฉุนอวี้เฟิง’ นั้นไม่จำเป็นต้องใส่ใจเลย
“ประมุขหอฉุนอวี้ ท่านแสดงความยินดีกับข้าหรือ” อิงซานเลี่ยฮู่รีบผุดลุกขึ้น รู้สึกตกใจระคนยินดีขึ้นมา
“หรือท่านยังไม่ทราบอีก” ประมุขหอฉุนอวี้ร่างอ้วนท้วนเบิกตากว้างพลางพูดอย่างตกตะลึง “บัดนี้จวนโหวหั่วเลี่ยของพวกท่านมีเรื่องน่ายินดีครั้งใหญ่เกิดขึ้น ฮูหยิน ‘หรงซิงหลัน’ ของท่าน อิงซานเลี่ยฮู่ ให้กำเนิดบุตรคนหนึ่ง เกิดมาก็เป็นเทพอากาศแล้ว”
เมื่ออิงซานเลี่ยฮู่เพิ่งจะได้ยินคำว่าให้กำเนิดบุตรก็มิได้ใส่ใจเท่าใดนัก แต่เมื่อได้ยิน ‘เทพอากาศ’ สามพยางค์นี้ก็ตะลึงงันไปแล้ว
เทพอากาศ มิอาจนับเป็นอะไรได้
แต่ทารกที่เพิ่งเกิดออกมาเป็นเทพอากาศก็น่าหวาดหวั่นแล้ว แสดงให้เห็นถึงสายเลือดอันเข้มข้นที่น่าหวาดหวั่นหาใดเปรียบ!
“ลูกของข้าหรือ” อิงซานเลี่ยฮู่เบิกตาโพลง
“อะไรนะ บุตรของอิงซานเลี่ยฮู่กำเนิดออกมาก็เป็นเทพอากาศแล้วหรือ”
“ล้อเล่นหรือเปล่า”
“เป็นไปได้อย่างไรกัน”
คนของตระกูลอ๋องโหวคนอื่นๆ ที่อยู่รอบด้านที่ได้ยินเข้าก็ส่งเสียงอึกทึกขึ้นมา พวกเขาส่วนมากเป็นคนของตระกูลอ๋องโหวซึ่งถูกส่งมาทำการค้าอยู่ในเมืองอัคคีโชติ เมื่ออยู่ในตระกูลของตนก็ไม่นับว่ามีสถานะสูงส่งสักเท่าใดนัก แต่ก็มิได้แย่ไปกว่าอิงซานเลี่ยฮู่! ตอนนี้เมื่อได้ยินว่าคนไร้ค่าอย่างอิงซานเลี่ยฮู่นั่นให้กำเนิดบุตรที่ออกมาก็เป็นเทพอากาศ ก็พากันตกตะลึงอยู่บ้าง
“ละ…ลูกของข้าเกิดมาเป็นเทพอากาศอย่างนั้นหรือ ลูก ลูกของข้าอิงซานเลี่ยฮู่หรือ” อิงซานเลี่ยฮู่ตื่นเต้นขึ้นมา
เขาก็เคยคิดอยากจะเป็นผู้แกร่งกล้าเช่นเดียวกับบิดา!
แต่คุณสมบัติและการรับรู้ไม่เพียงพอ และเขาก็ยังเป็นบุตรที่ถือกำเนิดขึ้นมาตอนที่ท่านพ่ออย่างอ่อนแอ สายเลือดก็อ่อนแอ เมื่อบำเพ็ญต่อไปไม่ได้ และสำเร็จเป็นเทพอากาศมิได้จริงๆ แล้ว ดังนั้นจึงได้ทำลายตนเอง อาศัยสถานะดื่มด่ำอย่างเต็มที่
“หรงซิงหลันหรือ” อิงซานเลี่ยฮู่คิดขึ้นมาได้แล้ว นั่นคือสตรีที่เขาชิงตัวเข้าไปในจวนโหวเพราะเห็นแก่ความงามนี่นา ก่อนหน้านี้ได้ให้กำเนิดบุตรสาวแก่เขาคนหนึ่งนามว่าอิงซานซีเยว่กระมัง ตนเองก็ไม่เคยพบหน้ามาก่อน
เขาคิดจะส่งสารให้หรงซิงหลัน
แต่กลับพบว่า ตนมิได้บันทึกรอยประทับส่งสารของหรงซิงหลันเอาไว้เสียด้วยซ้ำ
“ฮูหยิน ฮูหยิน” อิงซานเลี่ยฮู่ส่งสารให้ฮูหยินใหญ่ฉานอวี้เยี่ยนเจินของตนทันที “ซิงหลันให้กำเนิดบุตรแก่ข้าคนหนึ่ง เกิดมาก็เป็นเทพอากาศแล้วอย่างนั้นหรือ”
“ใช่แล้ว ท่านรีบกลับมาเถิด ท่านโหวจะบันดาลโทสะแล้ว” ฉานอวี้เยี่ยนเจินตอบอย่างเรียบง่าย ยามนี้นางไม่มีอารมณ์จะพูดอะไรกับสามีมากนัก
“ฮ่าฮ่าฮ่า ฮ่าฮ่าฮ่า…”
อิงซานเลี่ยฮู่พลันหัวเราะเสียงดังกังวาน ดังก้องไปทั่วตำหนักขนาดมหึมาแห่งนี้“ บุตรชายของข้าอิงซานเลี่ยฮู่ กำเนิดมาก็เป็นเทพอากาศแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า…”
“พี่เลี่ยฮู่ ยินดีด้วย”
“พี่เลี่ยฮู่ นับถือๆ”
ยามนี้ เหล่าสหายจอมปลอมไปจนถึงพวกคนที่ดูแคลนอิงซานเลี่ยฮู่เหล่านั้น แต่ละคนพากันส่งเสียงแสดงความยินดี!
อิงซานเลี่ยฮู่หัวเราะฮ่าฮ่าแล้วหมุนกายพลางสะบัดอาภรณ์คราหนึ่ง “ไป กลับจวนโหวกันเถอะ”
“ขอรับ เจ้านาย” บ่าวรับใช้กลุ่มหนึ่งด้านหลังเขารับคำด้วยน้ำเสียงที่ก้องกังวานกว่าก่อนหน้านี้มากนัก บรรดาบ่าวรับใช้ต่างก็มีใจฮึกเหิมขึ้นมา
ฟิ้ว
เมื่อออกจากหอม่านเมฆ
อิงซานเลี่ยฮู่นั่งลงบนราชรถอย่างเย่อหยิ่ง บรรดาบ่าวรับใช้ก็ปรนนิบัติอยู่บนราชรถ สัตว์ประหลาดลากราชรถทะยานข้ามขอบฟ้ามุ่งหน้าไปทางจวนโหวอย่างรวดเร็ว
เพียงชั่วจอกชาหนึ่ง
“สวบ”
กลางอากาศก็มีชายชราอาภรณ์สีเทาผู้หนึ่งปรากฏกายขึ้น เห็นได้ชัดว่าเร่งเคลื่อนที่ในพริบตามา เมื่อเขาเห็นอิงซานเลี่ยฮู่ก็แค่นเสียงพูดว่า “อิงซานเลี่ยฮู่ ท่านโหวให้ท่านไปพบโดยเร็ว ไปกับข้า”
“เป็นผู้อาวุโสเถียนหรือ ดีๆๆ” อิงซานเลี่ยฮู่กระตือรือร้นเป็นอันมาก
ชายชราอาภรณ์สีเทากลับจับตัวอิงซานเลี่ยฮู่เอาไว้ด้วยสีหน้าเย็นชา แล้วก็เร่งเคลื่อนที่ในพริบตาไปทันที ขณะที่อิงซานเลี่ยฮู่ถูกจับตัวไปนั้นก็ยังกำชับลูกน้องว่า “นำราชรถของข้ากลับไปด้วยล่ะ ไม่สิ อีกเดี๋ยวรถนี่ต้องเปลี่ยนใหม่แล้ว!” อิงซานเลี่ยฮู่ฝันหวานถึงชีวิตอันงดงามต่อจากนี้เรียบร้อยแล้ว
สวบๆ…
ภายใต้การเคลื่อนที่ในพริบตา ชายชราอาภรณ์สีเทาก็พาอิงซานเลี่ยฮู่กลับถึงจวนโหวอย่างรวดเร็ว และมาถึงบริเวณที่ท่านโหวพำนักอยู่
“รออยู่ที่นี่แหละ” ชายชราอาภรณ์สีเทาพาอิงซานเลี่ยฮู่ร่อนลงมา
“นี่มันเรื่องอันใดกัน” อิงซานเลี่ยฮู่มองไปข้างหน้า ทหารรักษาการณ์กลุ่มหนึ่งล้วนมีสีหน้าเย็นชา บรรยากาศก็ออกจะกดดันอยู่บ้าง แม้แต่ชายชราอาภรณ์สีเทาก็ไม่มีรอยยิ้มเลยแม้แต่น้อย
“มิใช่เรื่องน่ายินดีครั้งใหญ่หรอกหรือ นี่มันเรื่องอันใดกัน ชวนให้ตกใจถึงเพียงนี้” อิงซานเลี่ยฮู่หดคอมองไปรอบด้าน เขามายังที่พำนักของบิดาน้อยมาก เพราะหากท่านพ่อไม่เรียกพบแล้ว เขาก็ไม่มีคุณสมบัติเข้ามา
“ผู้อาวุโสเถียน บุตรชายคนนั้นของข้าเล่า” อิงซานเลี่ยฮู่ถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ บุตรชายที่เกิดมาก็เป็นเทพอากาศเชียวนะ ตอนนี้เขารู้สึกคับข้องใจที่ก่อนหน้านี้มิได้ไปเยี่ยมเยียนให้มากหน่อย ทว่าไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขาก็เป็นบุตรชายของตนอยู่ดี!
“คุณชายเสวี่ยอิงอยู่กับท่านโหว” ชายชราอาภรณ์สีเทาเอ่ยขึ้นประโยคหนึ่ง
ทันใดนั้นภายในโถงตำหนักไกลออกไปก็มีเสียงตะคอกอย่างโมโหดังขึ้น “ไปจับตัวนางตัวร้ายฉานอวี้เยี่ยนเจินมาเดี๋ยวนี้”
อิงซานเลี่ยฮู่ถูกเสียงตะคอกอย่างโมโหนี้ทำเอาตกใจเสียจนใจสั่นแข้งขาอ่อนไปหมด ฉานอวี้เยี่ยนเจินหรือ มิใช่ฮูหยินของตนหรอกหรือ
ตอนที่ 8 คุณชายน้อยเสวี่ยอิง
Ink Stone_Fantasy
ภายในโถงตำหนัก
โหวหั่วเลี่ยบุรุษผมแดงนั่งอยู่บนตำแหน่งสูงโดยมีผู้อาวุโสประจำตระกูลสองท่านและบรรดาผู้อาวุโสของจวนโหวขนาบสองข้าง แน่นอนว่ายังมีหรงซิงหลันซึ่งนั่งอุ้มบุตรชายอยู่ตรงปลายสุดด้วย หรงซิงหลันตัวสั่นงันงกอยู่บ้าง เพราะเมื่อนั่งร่วมกับท่านโหวและผู้อาวุโสทั้งหลาย นางก็แข้งข้าอ่อนไปหมด ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงในยามนี้ก็ทำได้เพียงอดทนเท่านั้น ด้วยระดับจิตของเขาแล้วจะแสร้งทำเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งก็ไม่ยากแต่อย่างใด เพียงแต่รู้สึกขัดเขินอยู่บ้างก็เท่านั้น
“อดทนไว้ๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ
“ให้เจ้าทึ่มนั่นเข้ามา” ท่านโหวหั่วเลี่ยมองไปแวบหนึ่งก็เห็นอิงซานเลี่ยฮู่ซึ่งยืนรออยู่ตรงนอกตำหนักไกลออกไปอย่างสงบเสงี่ยม แม้บุตรชายคนนี้จะค่อนข้างใช้การไม่ได้ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นบุตรชายของเขาตั้งแต่ยังอ่อนแอ เขาจึงรู้สึกผูกพันเป็นอันมาก จึงได้เจรจาจัดการเรื่องการสมรสดีๆ ให้ และมอบทรัพยากรมากมายให้อยู่ในนามของเขา แม้บุตรชายจะมีสายเลือดอ่อนแอ แต่ก็ยังหวังว่าบุตรชายจะสามารถรุ่งโรจน์ขึ้นมาได้
น่าเสียดาย บุตรชายคนนี้เสพสุขอยู่ตลอดเวลา ท่านโหวหั่วเลี่ยก็รู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง
“เอ๊ะ นี่ก็คือท่านพ่อคนนั้นของข้าหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มองดูบุรุษวัยกลางคนที่กำลังเดินเข้ามา เมื่อเผชิญกับบรรยากาศภายในโถงตำหนัก เขาก็อดค้อมหลังลงมิได้
“เจ้ายืนอยู่ตรงนั้นนั่นแหละ” ท่านโหวหั่วเลี่ยตะคอก
“ขอรับ”
อิงซานเลี่ยฮู่มิกล้าฝ่าฝืนเลยแม้แต่น้อย เขายืนอยู่ตรงนั้นอย่างเชื่อฟังโดยมิกล้าเปล่งเสียงออกมาแม้แต่คำเดียว ทว่าเขาก็อดเหลือบมองไปทางสตรีที่นั่งอยู่ริมสุดและเด็กในอ้อมแขนนางมิได้ เด็กคนนั้นกำลังมองสำรวจเขาราวกลับไม่หวั่นเกรงเลยแม้แต่น้อย
“ข้าเป็นบิดาของเขา กล้ามองข้าเช่นนี้หรือ ต้องสั่งสอนให้ดีๆ ไม่สิ ข้าตีเขาไม่ได้ เขาเกิดมาก็เป็นเทพอากาศแล้ว!” อิงซานเลี่ยฮู่พลันรู้สึกขมขื่นในใจขึ้นมา “เกรงว่าทหารองครักษ์และบ่าวรับใช้ที่จวนโหวจัดเตรียมให้เขาจะต้องเก่งกาจกว่าทหารองครักษ์ของข้าอย่างแน่นอน”
“ก็แค่เด็กคนหนึ่งเท่านั้น ถึงอย่างไรข้าก็เป็นบิดาของเขา หากภายหน้าข้าเลี้ยงเขา เขาก็ต้องใกล้ชิดกับข้าแน่นอน” อิงซานเลี่ยฮู่ลอบครุ่นคิด “สมบัติล้ำค่าที่เขาได้รับมาต้องมากกว่าข้ามากมายนัก ถึงตอนนั้นแค่สิ่งที่เล็ดรอดจากร่องนิ้วของเขาข้าก็สามารถเสพสุขได้อย่างไร้ที่สิ้นสุดแล้ว” หากกล่าวว่าก่อนหน้านี้ยังพอมีปณิธานในการบำเพ็ญบ้าง
เมื่อผ่านการเสพสุขจนเน่าเฟะ เขาก็ไม่เหลือใจกล้าหาญอีกแม้แต่น้อย
“ฟิ้ว”
เงาร่างสายหนึ่งถูกโยนจนล้มลงกับพื้นภายในโถงตำหนัก ซึ่งก็คือสตรีอาภรณ์สีแดงฉานอวี้เยี่ยนเจินนั่นเอง ยามนี้ฉานอวี้เยี่ยนเจินล้มลงกับพื้นโถงตำหนักอย่างน่าอนาถ นางเงยหน้ามองแวบหนึ่งก็เห็นท่านโหวหั่วเลี่ยผู้สูงส่งเหนือใคร เห็นผู้อาวุโสประจำตระกูลและผู้อาวุโสแห่งจวนโหวรวมทั้งนางแพศยาหรงซิงหลันที่อุ้มบุตรชายอยู่
“ท่านโหว” ฉานอวี้เยี่ยนเจินรีบผุดลุกขึ้นมาด้วยความเคารพอย่างยิ่ง ต่อให้นางเหิมเกริมกว่านี้ ตอนนี้ก็ต้องทำตามระเบียบ
“เจ้านี่บังอาจพอตัวทีเดียว กล้าฝ่าฝืนกฎของตระกูลอิงซานด้วย!” ท่านโหวหั่วเลี่ยพูดเสียงเย็นชา “กล้านำยาพิษมาบังคับให้สตรีตระกูลอิงซานเราที่ตั้งครรภ์อยู่ดื่มลงไป ทำให้บุตรซึ่งไม่ธรรมดาที่สุดนับตั้งแต่ท่านบรรพชนก่อตั้งตระกูลอิงซานของเราขึ้นมาต้องคลอดก่อนกำหนด เพียงแค่สิบห้าปีก็กำเนิดออกมาแล้ว! สิบห้าปีเขาก็เป็นเทพอากาศแล้ว หากอยู่ในครรภ์ตามปกติต่อไป…”
ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น ผู้อาวุโสประจำตระกูลอีกสองท่าน รวมทั้งบรรดาผู้อาวุโสจวนโหวรอบด้านต่างพากันมองฉานอวี้เยี่ยนเจินผู้นี้ด้วยความโกรธเคือง
ความแข็งแกร่งของตระกูลย่อมทำให้การเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลมีสถานะสูงส่งขึ้นเป็นธรรมดา! เนื่องจากฉานอวี้เยี่ยนเจินผู้นี้เป็นเหตุ จึงทำให้ ‘อิงซานเสวี่ยอิง’ ผู้มีพรสวรรค์สูงส่งมิอาจอยู่ในครรภ์ได้นานพอ หากอยู่ไปสักหลายร้อยปี เกรงว่าสายเลือดก็คงจะเข้มข้นขึ้นกว่านี้ ความสามารที่ซ่อนอยู่ก็คงสูงกว่านี้มากกระมัง เป็นเพราะนางตัวร้ายนี่แท้ๆ!
“ยาพิษหรือ สิบห้าปีก็คลอดออกมาแล้วหรือ” อิงซานเลี่ยฮู่เบิกตาโพลงมองไปทางฉานอวี้เยี่ยนเจินซึ่งอยู่ด้านข้าง
เป็นไปได้อย่างไรกัน
ฮูหยินของตนคนนี้จะบังอาจถึงเพียงนั้นได้อย่างไร แม้เขา อิงซานเลี่ยฮู่จะมีสตรีมากมาย แต่จะว่ากันจริงๆ แล้ว ภรรยาก็มีเพียงคนเดียว…คือฉานอวี้เยี่ยนเจินนั่นเอง นี่คือหญิงสาวที่ท่านโหวหั่วเลี่ยบิดาเขาเป็นธุระจัดแจงหาให้ เป็นภรรยาที่เข้าพิธีถูกต้องตามทำนองคลองธรรมอย่างแท้จริง มีการส่งเทียบเชิญไปทั่วสารทิศ ฉานอวี้เยี่ยนเจินก็เป็นคนของตระกูลอ๋องโหวเช่นกัน ตัวนางเองก็เป็นถึงขั้นรวมเป็นหนึ่ง ดังนั้นตามปกติแล้วเมื่อเขาเผชิญหน้ากับภรรยาก็ต้องลมหายใจสะดุดอยู่บ้าง
ส่วนสตรีนางอื่นๆ น่ะหรือ มีอยู่มากมายที่เขาไปฉุดคร่ามา สถานะล้วนแต่ต่ำต้อย ภายในจวนโหว โดยทั่วไปหญิงสาวเหล่านั้นก็เป็น ‘ระดับหก’ ซึ่งต่ำที่สุด เป็นระดับชั้นเดียวกับพวกสาวใช้ มีเพียงคนที่ให้กำเนิดบุตรเท่านั้น สถานะจึงมีการขยับขึ้นมาบ้าง
ดังนั้นอิงซานเลี่ยฮู่จึงมิเคยเห็นสตรีเหล่านี้อยู่ในสายตาเลย พวกนางเป็นเพียงที่ระบายของเขาเท่านั้น ความรู้สึกที่เขามีให้สตรีเหล่านั้น…เกรงว่าคงจะสู้ฝูเอ๋อร์แห่งหอม่านเมฆมิได้เสียด้วยซ้ำไป เขามักจะไปเสพสุขกับฝูเอ๋อร์เป็นประจำ ส่วนสตรีหลายร้อยคนของตนนั้น ยากนักที่จะไปพบสักครา
แต่ภรรยาของเขากลับทำเรื่องพรรค์นี้น่ะหรือ อิงซานเลี่ยฮู่ไม่อยากจะเชื่อเลย
“เปล่า ข้าเปล่านะเจ้าคะ” ฉานอวี้เยี่ยนเจินพูดอย่างร้อนรน “ท่านโหวตรวจสอบให้กระจ่างด้วย นับแต่เยี่ยนเจินจากตระกูลฉานอวี้มาแต่งเข้าตระกูลอิงซานก็ระมัดระวังอย่างมากมาโดยตลอด ยิ่งไม่กล้าฝ่าฝืนกฎของตระกูลอิงซานเข้าไปใหญ่ เรื่องยาพิษไม่เกี่ยวข้องอันใดกับข้าเลย! จะต้องมีผู้ใดคิดทำลายผู้มีพรสวรรค์ของตระกูลอิงซานในอนาคตอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงได้ส่งพ่อบ้านเถียนผู้นั้นไป ทั้งยังป้ายสีมาให้ข้า ข้าถูกปรักปรำนะเจ้าคะ!”
“เจ้าคงเป็นคนสังหารพ่อบ้านเถียนกระมัง” ท่านโหวหั่วเลี่ยเหลือบมองไปยังฉานอวี้เยี่ยนเจินเบื้องล่าง
“ข้าพบว่าบ่าวรับใช้อย่างเขาคนหนึ่งอาจหาญมาคิดบัญชีกับข้า จึงได้สังหารไปด้วยความโมโหน่ะเจ้าค่ะ” ฉานอวี้เยี่ยนเจินกล่าว นี่คือสิ่งเดียวที่นางทำได้ไม่สะอาดนัก เพราะเวลาสั้นเกินไป นางจึงลงมือด้วยตนเองไม่ทัน
“มือเท้าสะอาดมากทีเดียว ผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้บ้างก็สิ้นใจ บ้างก็ไม่รู้เลย” ท่านโหวหั่วเลี่ยมองดูฉานอวี้เยี่ยนเจิน “ตอนนี้ยังปากแข็งอีก”
“เบิ้องหลังต้องมีคนลอบวางแผนจัดการเป็นแน่ หมายจะป้ายสีให้ข้า” ฉานอวี้เยี่ยนเจินกล่าว
ท่านโหวหั่วเลี่ยมองนางด้วยสายตาเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง
เขาออกคำสั่งไปคราหนึ่ง ก็ตรวจสอบทุกอย่างที่สามารถตรวจสอบได้จนหมดแล้ว แม้จะมีสมบัติล้ำค่าที่สามารถรบกวนกาลมิติได้ แต่ภายในจวนโหวยังมียอดฝีมือที่สามารถตรวจสอบได้โดยมองข้ามการรบกวนตามปกติไปได้ น่าเสียดายที่เส้นสายทั้งหมดล้วนถูกตัดขาดไปหมดแล้ว ผู้ที่ตายก็ตายไป สูญหายก็สูญหายไป แต่ต้นกำเนิดของทั้งหมดล้วนชี้ไปที่ฉานอวี้เยี่ยนเจิน มีเพียงเรื่อง ‘พ่อบ้านเถียน’ เท่านั้นที่ทำอย่างตรงไปตรงมาที่สุด เป็นฉานอวี้เยี่ยนเจินที่ลงมือด้วยตนเอง
หากเป็นผู้ที่กำเนิดมาแล้วอ่อนแอ ไม่ถูกท่านโหวหั่วเลี่ยจับตามองแล้วล่ะก็ เกรงว่าเรื่องนี้ก็คงสามารถปกปิดไปได้แล้ว ทว่าผู้ที่ถือกำเนิดขึ้นมาก็คือสิ่งมีชีวิตเปี่ยมพรสวรรค์อย่าง ‘อิงซานเสวี่ยอิง ’
“ผู้อาวุโสประจำตระกูลทั้งสอง” ท่านโหวหั่วเลี่ยมองไปทางสองคนด้านข้าง “นางตัวร้ายคนนี้ยังไม่ยอมรับอีก คงต้องรบกวนให้ผู้อาวุโสประจำตระกูลทั้งสองนำนางไปยังเรือนประจำตระกูลเพื่อตรวจสอบวิญญาณของนางแล้ว”
“ได้” ผู้อาวุโสประจำตระกูลทั้งสองพยักหน้า
ฉานอวี้เยี่ยนเจินสีหน้าซีดขาว
“ฟิ้ว”
ผู้อาวุโสประจำตระกูลร่างผอมสูงยื่นมือออกไป อานุภาพอันไร้รูปร่างก็เข้าปกคลุมฉานอวี้เยี่ยนเจินเอาไว้แล้วนำนางเก็บเข้าไปในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ทันที
อิงซานเลี่ยฮู่ซึ่งอยู่ด้านข้างก็ตกใจมองทุกสิ่งอย่างตัวสั่นงันงก ไม่กล้าเปล่งเสียงออกมาแม้แต่คำเดียว
“เสวี่ยอิงเอ๋ย” ท่านโหวหั่วเลี่ยหมุนกายมองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง ทันใดนั้นก็เผยรอยยิ้มออกมา พลางพูดกลั้วหัวเราะ
“ท่านโหว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงกระโดดลงไปจากตักมารดาทันทีพลางพูดด้วยเสียงใสกังวาน
เมื่อมองดูเด็กน้อยเจ้าเนื้อตรงหน้า ท่านโหวหั่วเลี่ยก็อารมณ์ดียิ่งนัก เขาพูดยิ้มๆ ว่า “ข้าจัดเตรียมหัวหน้าทหารองครักษ์ผู้หนึ่งเอาไว้ให้เจ้าแล้ว เขาจะต้องปกป้องเจ้าเป็นอย่างดีแน่นอน ”ท่านโหวหั่วเลี่ยมองไปทางนอกตำหนักแวบหนึ่ง นอกตำหนักมีชายชราอาภรณ์สีเทาผู้หนึ่งเดินตรงดิ่งเข้ามา
“นี่คือเถียนอี้จือ ผู้อาวุโสเถียน นอกจากข้าแล้ว เขาก็จะฟังบัญชาของเจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้น” ท่านโหวหั่วเลี่ยกล่าว
“คุณชายเสวี่ยอิง” ชายชราอาภรณ์สีเทายิ้มพลางกล่าวด้วยความเคารพ
“ท่านเก่งกาจมากหรือ”
“พอใช้ได้กระมัง”
ชายชราอาภรณ์สีเทาไม่หยิ่งผยองเลยแม้แต่น้อย เขาเข้าสู่บทบาทของการเป็นหัวหน้าทหารองครักษ์แล้ว
ท่านโหวหั่วเลี่ยโบกมืออีกครั้งหนึ่ง ทันใดนั้นลำแสงสองสายก็ทะยานออกมา ก่อนจะร่อนลงสู่พื้นแล้วแปรเป็นสัตว์ประหลาดสีดำสองตัว ทั่วร่างมีขนดำเป็นมัน นัยน์ตาก็เป็นสีแดงโลหิต กลิ่นอายที่แผ่ออกมากลับเป็นขั้นรวมเป็นหนึ่ง“ สัตว์คู่นี้ก็คือ ‘สิงห์เมฆาทะมึน’”
สิงห์เมฆาทะมึนคู่นี้พลันแปรเป็นรูปร่างมนุษย์ ชายหนุ่มชุดดำสองคนโค้งคำนับพร้อมกัน “คารวะนายท่าน”
……
ชั่วขณะหลังจากนั้น ทั้งหมดก็เตรียมการพร้อมสรรพ
“เอาล่ะ ไปเถิดๆ ไปดูจวนที่ข้าเตรียมเอาไว้ให้พวกเจ้าเรียบร้อยแล้วดีกว่า ยังมีอีก อย่าลืมไปดูที่หอตำราสะสมให้มากหน่อย เมื่อตัดสินใจได้แล้วว่าจะบำเพ็ญในทิศทางใดก็ค่อยมาบอกข้าก็เป็นได้” ท่านโหวหั่วเลี่ยกล่าว
“ขอรับ ท่านโหว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดเสียงดังกังวาน “เช่นนั้นข้าต้องขอตัวไปก่อนแล้ว พวกเราไปกันเถิด”
พูดจบก็ตะโกนเรียกผู้เป็นมารดาแล้วทะยานขึ้นไปนั่งบนหลังสิงห์เมฆาทะมึน หลังจากนั้นผู้อาวุโสเถียนและสิงห์เมฆาทะมึนอีกตัวหนึ่งก็จากไปทันที
“เจ้าเองก็กลับไปทบทวนตนเองดูเถิด” ท่านโหวหั่วเลี่ยสั่งสอนอิงซานเลี่ยฮู่ประโยคหนึ่ง อิงซานเลี่ยฮู่ทำได้เพียงรับคำอย่างเชื่อฟังเท่านั้น เขารู้สึกจนใจ มาที่นี่ก็ถูกสั่งสอนไปยกหนึ่ง
ภายในโถงตำหนัก ผู้อาวุโสประจำตระกูลสองท่านต่างก็ลุกขึ้นยืน
“พวกเราก็ควรกลับไปได้แล้ว เจ้าหนูเสวี่ยอิงมีความสามารถซ่อนอยู่อย่างไม่ธรรมดา ครั้งนี้ถูกบีบบังคับให้คลอดก่อนกำหนด ช่างทำให้คนเจ็บปวดใจจริงๆ ทว่านี่ก็หมายความว่าเขายังมีความสามารถอันสูงส่งอย่างยิ่งอยู่ ข้าจะเรียนให้ท่านบรรพชนทราบ ถึงตอนนั้นก็จะมอบสมบัติล้ำค่าให็ตรงป๋อเสี่ยอิงมากขึ้น หรืออาจจะสามารถบ่มเพาะสายเลือดของเขาอีกก็เป็นได้” ผู้อาวุโสประจำตระกูลร่างสูงผอมกล่าว
“อื้ม ข้าก็จะบ่มเพาะเขาให้ดีๆ เอง” ท่านโหวหั่วเลี่ยพยักหน้า
******
จวนของท่านโหวหั่วเลี่ยกินพื้นที่กว้างใหญ่นัก เป็นเมืองในเมืองโดยแท้
ท่านโหวและผู้อาวุโสทั้งหลาย รวมทั้งคนจำนวนนับไม่ถ้วนซึ่งผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปตลอดล้านล้านปีล้วนใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ ภายในจวนโหวแห่งนี้ย่อมกว้างใหญ่มากเป็นธรรมดา มีจวนอยู่มากมาย คูหาที่เตรียมไว้ให้ตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นไม่แพ้ของผู้อาวุโสเลย
“อา”
คุณชายน้อยเสวี่ยอิงผู้ได้รับความโปรดปรานล้นเหลือผู้นี้ ยามนี้ยังเท้าเปล่าเปลือย เขาถลาเข้าไปในจวนอย่างเบิกบานใจ
บ่าวรับใช้ภายในจวนมีเป็นโขยง ทั้งยังมีองครักษ์กลุ่มใหญ่คอยอารักขาอยู่รอบด้าน หรงซิงหลันผู้เป็นมารดาและอิงซานซีเยว่และพี่สาวก็พากันย้ายมาที่นี่เช่นเดียวกัน จวนหลังนี้…ยังใหญ่กว่าจวนของอิงซานเลี่ยฮู่และฉานอวี้เยี่ยนเจินก่อนหน้านี้มากนัก
“ไปๆๆ ท่านโหวให้ข้าไปยังหอตำราสะสม บอกว่ามีคัมภีร์อยู่จำนวนนับไม่ถ้วน ยังมิได้ไปดูเลย ไปๆๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงถลาขึ้นไปนั่งบนสิงห์เมฆาทะมึนทันที “ไป”
สิงห์เมฆาทะมึนสองตนถลาทีหนึ่งก็ขึ้นสู่ฟ้า ผู้อาวุโสเถียนก็ตามหลังไปอย่างง่ายดาย ทั้งยังมีกองกำลังอารักขาเก้าคนติดตามไปด้วย แต่ละคนล้วนเป็นขั้นรวมเป็นหนึ่งทั้งสิ้น
ฟิ้วๆ
เขาบินทะยานเสียงดังหวีดหวิวอยู่กลางท้องฟ้าเหนือจวนโหว คนอื่นๆ ในจวนโหวมองเห็นแต่ไกลก็หลบหลีกไป
“นั่นก็คือคุณชายน้อยเสวี่ยอิง”
“เขาน่ะหรือ”
“เกิดมาก็เป็นเทพอากาศแล้ว ดูสิ แม้แต่ผู้อาวุโสเถียนก็ยังกลายเป็นองครักษ์ของเขาไปแล้ว”
ไกลออกไปมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานา
ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย ยามนี้เขานั่งอยู่บนหลังสิงห์เมฆาทะมึนอย่างสบายใจ สายตากลับหยุดอยู่ที่หอสูงตระหง่านไกลออกไป นั่นก็คือหอตำราสะสม! หอตำราสะสมมีคัมภีร์และศาสตร์ลับมากมายเก็บเอาไว้ ตั้งแต่ชั้นล่างจนถึงชั้นบน คิดจะเข้าไปในชั้นที่สูงกว่าก็มีเงื่อนไขอันเข้มงวด จำนวนครั้งที่จะเข้าไปได้ก็มีจำกัด ทว่าตงป๋อเสวี่ยอิงน่ะหรือ กลับชมดูทั่วทั้งหอตำราสะสมได้ตามอำเภอใจ คิดจะอยู่นานเท่าไหร่ก็ได้
“นี่สิจึงจะเป็นเป้าหมายของข้า” ภายในใจของตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นมิได้สบายใจเหมือนที่เห็นภายนอก เขาให้ความสำคัญกับหอตำราสะสมแห่งนี้มาก “อาศัยหอตำราสะสมแห่งนี้ ข้าจึงจะสามารถเข้าใจการแบ่งขุมอำนาจในดินแดนจิตโลกาได้อย่างแท้จริง มีแต่ต้องเข้าใจระดับของผู้แกร่งกล้าอย่างสิ้นเชิงเท่านั้น…จึงจะสามารถกำหนดเส้นทางเติบโตของข้าเองได้”
“ไป เร็วเข้า”
สิงห์เมฆาทะมึนถลาตรงลงไปทางหอตำราสะสมแห่งนั้นทันที
บรรดาทหารรักษาการณ์ที่หน้าประตูหอตำราสะสมมองเห็นแต่ไกลแล้ว
“สิงห์เมฆาทะมึนหรือ ผู้อาวุโสเถียนหรือ นั่นก็คือคุณชายน้อยเสวี่ยอิง” ทหารรักษาการณ์ไปจนถึงยอดฝีมือที่เร้นกายอยู่ล้วนมิกล้าขัดขวาง ทำได้เพียงตะโกนอยู่ห่างๆ เท่านั้น “คุณชายเสวี่ยอิง ท่านสามารถเข้าไปได้ แต่องครักษ์มิอาจเข้าได้”
ตอนที่ 9 พื้นฐานของดินแดนจิตโลกา
Ink Stone_Fantasy
บรรดายามรักษาการณ์ของหอตำราสะสมเหล่านั้นและยอดฝีมือที่เร้นกายอยู่ค่อยผ่อนลมหายใจ เพราะว่าคุณชายน้อยเสวี่ยอิงยังมิได้ก่อความยุ่งยาก แล้วปล่อยสิงห์เมฆาทะมึนตรงลงไปยังหอตำราสะสม ทว่าผู้อาวุโสเถียน สิงห์เมฆาทะมึนสองตน และองครักษ์ติดตามเก้าคนต่างก็รออยู่ที่ด้านนอก พวกเขาก็ยังวางใจกันเป็นอย่างยิ่ง ถึงอย่างไร ‘หอตำราสะสม’ ก็เป็นสถานที่ที่ปลอดภัยเป็นอย่างยิ่ง
“หาหนังสือ”
พอเข้ามาก็เห็นชั้นหนังสือแถวแล้วแถวเล่า แต่ละเล่มที่วางอยู่บนชั้นหนังสือล้วนเป็นตำราล้ำค่าที่แผ่กลิ่นอายอันเร้นลับออกมา
พอตงป๋อเสวี่ยอิงเข้ามาแล้วก็เปิดดูตามอำเภอใจหลายเล่ม หลังจากนั้นก็เปิดดูเล่มอื่นต่อไปในทันที
…
ดูตรงนั้นที ตรงนี้ที ไม่ว่าหนังสือเล่มใดๆ ก็คล้ายว่าจะดูเพียงแค่ชั่วครู่เดียวเท่านั้น
“ดูสิ นั่นก็คือคุณชายน้อยเสวี่ยอิงอย่างไรเล่า”
“ถือกำเนิดออกมาก็เป็นเทพอากาศแล้วล่ะ”
“ถึงแม้ว่าจะพลิกตำราเหล่านี้ผ่านตาแค่คราเดียว ข้อมูลก็ส่งตรงเข้าไปยังวิญญาณแล้ว สามารถอ่านเข้าใจได้ในทันที แต่ชั้นแรกของหอตำราสะสมนี้ล้วนเป็นตำราธรรมดาทั่วไปทั้งสิ้น เขามามัวสิ้นเปลืองเวลาอยู่ที่นี่ทำไมกัน” เหล่าศิษย์ของจวนโหวจำนวนหนึ่งสังเกตเห็นฉากนี้แล้วก็ถ่ายเสียงสนทนาระหว่างกัน พวกเขาก็ไม่กล้าพูดเสียงดังด้วยกลัวว่าจะไปยั่วโทสะคุณชายน้อยเสวี่ยอิงผู้ซึ่งเพิ่งถือกำเนิดไม่รู้จักจิตใจคนและความซับซ้อนของโลกผู้นี้
พวกเขาพลิกดูตำราต่อไปในทันที ชั้นที่หนึ่งล้วนเป็นพวกหนังสือเบ็ดเตล็ด มูลค่าล้วนต่ำต้อยอย่างยิ่ง พวกเขาพลิกอ่านดูก็เพื่อเสาะหาร่องรอยเบาะแสของโบราณสถานก็เท่านั้น
“คุณชายเสวี่ยอิง หากท่านต้องการหาตำราการบำเพ็ญ ก็สามารถไปชั้นที่สองชั้นที่สามได้ ยิ่งขึ้นไปข้างบน ตำราก็จะยิ่งสูงค่าขึ้นไปเรื่อยๆ” ทันใดนั้นก็มีศิษย์ในจวนโหวคนหนึ่งเดินมาพูดประโยคนี้ หมายจะเสนอตัวมาให้คุ้นหน้าค่าตา
“ขอบคุณ” แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับมิได้เงยหน้าขึ้นมองแล้วโบกมืออย่างส่งๆ สมาชิกในจวนโหวผู้นั้นก็ได้แต่ถอยไปด้วยความอับอาย
พลิกดูทางนั้นที ทางนี้ที
ย่อมมิได้มีท่าทีเหมือนกำลังอ่านหนังสืออยู่เลย ถึงแม้ว่าผู้ที่ลอบสังเกตดูตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ต่างก็รู้สึกว่าอับจนคำพูด แล้วพวกเขาก็ค่อยๆ คร้านที่จะสนใจอีกต่อไป
“ช่างมีหนังสือมากมายเกินไปเสียแล้ว”
“ล้วนเป็นหนังสือเบ็ดเตล็ดนานาชนิด หรือแม้กระทั่งเคล็ดการบำเพ็ญที่กระท่อนกระแท่นจำนวนหนึ่ง” ตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็จนใจอยู่บ้าง ถึงอย่างไรจวนโหวที่ยิ่งใหญ่ ผ่านระยะเวลาอันยาวนาน ตำราในหอตำราสะสมแห่งนี้ก็ย่อมมีมากมายเหลือล้น แม้กระทั่งเป็นตงป๋อเสวี่ยอิงที่คัดกรองได้อย่างรวดเร็วเช่นนั้นก็ยังผ่านมากว่าหนึ่งชั่วยามจึงจะได้พบหนังสือที่เขาอยากจะอ่าน
“หาเจอเสียที”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพลิกอ่านจนพบตำราสีเทาหนาหนักเล่มหนึ่งแล้วอดดวงตาเป็นประกายมิได้ พลิกเปิดหน้าแรกแล้วก็ทำให้สายตาของเขาทอประกายวูบหนึ่ง
ตำราเล่มนี้บอกเล่าเกี่ยวกับรัฐประเทศแต่ละแห่งของดินแดนจิตโลกา ถึงอย่างไรดินแดนจิตโลกาก็กว้างใหญ่เหลือเกิน มีรัฐประเทศอยู่มากมาย ถึงแม้จะเป็นยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนก็เกรงว่าคงจะยังไม่เคยไปอีกหลายที่ ถึงแม้ว่าจะมีผู้บำเพ็ญที่แกร่งกล้าบางคนมุ่งมั่นที่จะไปเยือนทุกหนแห่งทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา หลังจากนั้นก็บันทึกลงไปให้ชนรุ่นหลังได้อ่าน
“ดีเหลือเกิน”
ดูไปดูมา ตงป๋อเสวี่ยอิงก็สูดลมหายใจเยียบเย็นเข้าปากคราหนึ่ง
ในด้านการบำเพ็ญของดินแดนจิตโลกานั้นเหนือชั้นกว่าอากาศอันสับสนอลหม่านมากมายนัก
‘ระบบการบำเพ็ญสายโลหิต’ เป็นระบบใหญ่อันดับหนึ่งที่มีอยู่ในทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา ผู้บำเพ็ญมากมาย พวกเขาก็สามารถทำให้บุตรที่ถือกำเนิดออกมาแข็งแกร่งเป็นที่สุด ผู้ที่ล้ำเลิศที่สุดถึงขนาดที่ถือกำเนิดมาแล้วก็เป็นขั้นรวมเป็นหนึ่ง เทพจักรวาลคนหนึ่งก็สามารถมีบุตรชายบุตรสาวได้หลายร้อยจนถึงหลักพันคนได้เช่นเดียวกัน… ในขณะที่บำเพ็ญ ศาสตร์ลับนานาชนิดที่เหมาะสมกับระบบการบำเพ็ญสายโลหิตก็มีมากมายเป็นที่สุด
ส่วนระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ ระบบทิพย์ และระบบศาสตร์โบราณนั้นที่นี่ก็มีมานานแล้ว นอกจากนี้ยังรุดหน้ากว่าเป็นอย่างมากอีกด้วย
หรือแม้กระทั่งการบำเพ็ญร่างแยกออกมาเหมือนประมุขหอหมื่นโลกาและจ้าวภูเขาฉื้อเหมยนั้นก็มีเช่นเดียวกัน! แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นเคล็ดสืบทอดลับของที่นี่เช่นกัน
“เกินไป แกร่งเกินไปแล้วหรือไม่” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ่งดูก็ยิ่งพรั่นพรึง
ดินแดนจิตโลกา
ระยะเวลาที่ดำรงอยู่ก็เนิ่นนานกว่าอากาศอันสับสนอลหม่านอยู่มากนัก พื้นฐานก็ย่อมลึกล้ำยิ่งกว่า อีกทั้งยังไม่เคยได้ยินว่ามีการ ‘แตกสลาย’ เลยสักครั้ง ถึงขนาดที่ไม่สามารถคะเนระยะเวลาที่มันดำรงอยู่มาได้เลยเสียด้วยซ้ำ!
เพียงแต่ว่าตัดสินจากที่โบราณที่สุดจนถึงบัดนี้ น่าจะเคยเกิด ‘สงครามประเทศโบราณ’ ขึ้นสองครั้งแล้ว ระหว่างสงคราม ประเทศแต่ละแห่งก็ย่อยยับ ฟ้าดินพังทลาย ผู้แกร่งกล้าจำนวนนับไม่ถ้วนตกอับ เทพจักรวาลก็พากันตายตกไปเป็นจำนวนมาก…
ในตอนนี้…
บนดินแดนจิตโลกามีรัฐประเทศทั้งสิ้นกว่าหนึ่งร้อยห้าสิบแห่ง ในตำราเล่มนี้ก็มิได้นับเอาไว้อย่างชัดเจน เพราะว่ารัฐประเทศที่เล็กเกินไปบางส่วนก็ถือกำเนิดขึ้นหรือสลายไปอยู่เป็นระยะๆ ตลอด! ดังนั้นจำนวนของรัฐประเทศก็สามารถเปลี่ยนแปลงไปได้เล็กน้อยเป็นเรื่องปกติ
“ประเมินจากหนังสือเล่มนี้ เทพจักรวาลของดินแดนจิตโลกาแห่งนี้ในปัจจุบัน คงมีอยู่เกือบๆ หนึ่งพันคนเลยทีเดียว! ”ตงป๋อเสวี่ยอิงดูอย่างตื่นตะลึง
อากาศอันสับสนอลหม่าน นับรวมกับที่ตายตกไปในประวัติศาสตร์ เกรงว่าคงมีเทพจักรวาลอยู่ราวๆ สามสิบกว่าคนเท่านั้น!
ดินแดนจิตโลกา เป็นประมาณสามสิบเท่าของอากาศอันสับสนอลหม่าน!
ก็ปกติเป็นอย่างยิ่ง…
“รัฐประเทศที่แข็งแกร่งที่สุดหกแห่ง มีประวัติศาสตร์ยาวนาน อย่างน้อยก็มีเทพจักรวาลหลายสิบคน อย่างมากก็มีเทพจักรวาลกว่าร้อยคน” ตงป๋อเสวี่ยอิงรำพึง
หกรัฐโบราณ รวมจำนวนเทพจักรวาลเข้าด้วยกันน่าจะมีเกินกว่าห้าร้อยคน
อีกร้อยกว่ารัฐประเทศอื่นๆ เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วก่ออ่อนแอกว่าทั้งสิ้น
เช่นรัฐเมฆทักษิณา จัดเป็น ‘รัฐประเทศชั้นรอง’ ดีร้ายอย่างไรก็มีเทพจักรวาลอยู่สี่คน ประมุขรัฐเมฆทักษิณามีชื่อเสียงเลื่องลือ โด่งดังไปทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา รัฐประเทศที่อ่อนแออย่างแท้จริงเหล่านั้น ตามปกติแล้วก็มีเทพจักรวาลที่อ่อนแออยู่คนสองคน หากเกิดสงครามที่เกิดจากความไม่พอใจของเทพจักรวาลใดๆ ขึ้นก็สามารถเหนี่ยวนำให้รัฐประเทศเช่นนี้แหลกสลายย่อยยับได้เลยทีเดียว
“หยวนหรือ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงได้เห็นในตำราอธิบายถึง ‘หยวน’ แล้วก็อดที่จะตื่นตระหนกมิได้
หยวน…
ว่ากันว่าเป็นผู้แกร่งกล้าอันดับหนึ่งแห่งดินแดนจิตโลกา
สงครามประเทศโบราณครั้งที่หนึ่ง สงครามประเทศโบราณครั้งที่สอง ในท้ายที่สุดแล้วต่างก็เป็นหยวนที่สอดมือเข้ามาจัดการ หกรัฐโบราณจึงได้หยุดสงคราม
หยวน ได้สร้าง ‘วังปฐมเทพ’ จำนวนนับไม่ถ้วน กระจายอยู่ทุกหนแห่งในดินแดนจิตโลกา
วังปฐมเทพแบ่งออกเป็นสิบชั้น
“วังปฐมเทพช่างเหมือนกับเจดีย์ดาวยิ่งนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงอนุมานอย่างรางๆ ได้จากคำอธิบาย
“คล้ายว่าวังปฐมเทพกับเจดีย์ดาวจะแบ่งพลังยุทธ์ได้เหมือนกันเช่นนั้นหรือ แต่ว่าเจดีย์ดาวมีเก้าชั้น วังปฐมเทพมีสิบชั้น”
“นอกจากนี้ ดินแดนจิตโลกายังเหนือชั้นกว่าอากาศอันสับสนอลหม่านในด้านเคล็ดการบำเพ็ญ และการศึกษาเคล็ดลับการต่อสู้อีกด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงหวาดหวั่นอยู่บ้าง
อ้างอิงจากคำอธิบายในตำรา
ขั้นรวมเป็นหนึ่ง ถ้าหากเป็นเพียงแค่การสำรวจความเร้นลับของกฎเกณฑ์ สูงสุดก็แค่ชั้นที่เจ็ดของวังปฐมเทพเท่านั้น! แต่ว่าอาศัยพลังภายนอกและเคล็ดลับต่างๆ ขั้นรวมเป็นหนึ่งก็ถึงกับสามารถสำแดงพลังรบระดับชั้นที่แปดของวังปฐมเทพออกมาได้!
ขั้นอลวน ตามปกติแล้วสูงสุดที่ชั้นที่เก้าของวังปฐมเทพ แต่หากอาศัยพลังภายนอกและเคล็ดลับ ก็สามารถสำแดงพลังรบระดับชั้นที่สิบของวังปฐมเทพออกมาได้ หรือแม้กระทั่งพลังกดดันเทพจักรวาลที่เพิ่งกำเนิดขึ้นใหม่เหล่านั้นได้เลยทีเดียว
“ขั้นอลวนมีพลังกดดันเทพจักรวาลที่เพิ่งกำเนิดขึ้นใหม่อย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงอุทาน
ณ ที่ที่ตนจากมา สูงที่สุดของขั้นอลวนก็คือชั้นที่เก้า เผชิญหน้ากับเทพจักรวาลแล้วสามารถเอาชีวิตรอดได้ก็ล้ำเลิศเป็นอย่างยิ่งแล้ว จะใช้พลังกดดันหรือ กระหน่ำโจมตีหรือ ย่อมได้แต่ฝันอยู่แล้ว แต่ที่ดินแดนจิตโลกานั้นสามารถทำได้
……
ถึงแม้ว่าตำราเล่มนี้จะเกริ่นถึงแต่ละรัฐ แต่ว่าหนึ่งในสามส่วนล้วนเป็นการสรรเสริญรัฐเมฆทักษิณา
ความจริงแล้วรัฐเมฆทักษิณาก็มีความหยิ่งในศักดิ์ศรีของตน ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงแค่รัฐประเทศชั้นรอง แต่สำนักวิชาที่ประมุขรัฐเมฆทักษิณาสร้างขึ้น ‘สำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์’ นั้นกลับเป็นหนึ่งในสิบสำนักใหญ่ที่มีความแพร่หลาย มีจำนวนผู้บำเพ็ญมากที่สุดของทั้งดินแดนจิตโลกา! นี่ก็ทำให้ชื่อเสียงของประมุขรัฐเมฆทักษิณายิ่งใหญ่เป็นที่สุด แม้กระทั่งในหกรัฐโบราณเองก็มีผู้บำเพ็ญจำนวนมากที่เดินทางมาอย่างยากลำบาก ปรารถนาที่จะฟังคำสอนของประมุขรัฐเมฆทักษิณา
“แข็งแกร่งนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงเห็นคำอธิบายศาสตร์ลับศาสตร์แล้วศาสตร์เล่าแล้วก็จิตใจสั่นสะท้านอยู่บ้าง
ศาสตร์ลับแต่ละศาสตร์ทำให้ความยากของการบำเพ็ญลดลงมาบ้าง
อยากจะให้สำนักวิชาของตนเป็นที่แพร่หลาย เช่นนั้นความยากในการบำเพ็ญก็ต้องต่ำ แต่พลังยุทธ์หลังจากที่บำเพ็ญสำเร็จแล้วต้องสูงพอ! เพราะว่าการแข่งขันโหดร้ายเกินไป จึงไม่มีผู้ใดอยากเรียนรู้ศาสตร์ลับอันซับซ้อนยากศึกษาบางอย่างที่เทพจักรวาลคิดค้นขึ้น
ทว่า ‘สำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์’ นั้นก็มีชื่อเสียงในด้านการบำเพ็ญที่พลังยุทธ์ยกระดับอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งได้เป็นหนึ่งในสิบสำนักใหญ่แห่งดินแดนจิตโลกา
“บ้าไปแล้ว บ้าไปแล้ว” ตอนนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจแล้วว่า สิ่งที่หยวนบอกว่า ‘พื้นฐานลึกล้ำยิ่งกว่า’ นั้นล้ำลึกเพียงใด
เห็นได้ชัดว่าการบำเพ็ญของบ้านเกิดของตนนั้นหยาบกร้านกว่าเป็นอย่างมาก
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น