Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 33 ตอนที่ 67-71

 ตอนที่ 67 สมบัติลับ

Ink Stone_Fantasy

“ดี” สายตาของประมุขรัฐเมฆทักษิณาที่มองตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความชื่นชม เขาพูดพลางพยักหน้า “สำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ของเราต่อสู้กับลัทธิกระบี่สวรรค์มาตลอดคืนวัยอันยาวนาน และตกเป็นรองมาโดยตลอด ครั้งนี้พวกเขาบุกเข้ามาในรัฐประกายเพลิงด้วยท่าทีอันองอาจ ทว่าการที่เสวี่ยอิงฝึกฝน ‘เคล็ดผนึกห้าภาพ’ ได้สำเร็จกลับทำให้พวกเขารู้ว่ายากลำบากจึงล่าถอยไป และเป็นฝ่ายยอมแพ้เสียเอง ยอมขาดทุนไปบ้าง ฮ่าฮ่า เสวี่ยอิงคุณูปการใหญ่หลวงยิ่งนัก ครั้งนี้คำนวณได้หกหมื่นคุณูปการ”


หากพูดอย่างจริงจังแล้ว


ผลประโยชน์ที่สำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ได้มาในครั้งนี้ กลับมิใช่สิ่งที่ ‘หกหมื่นคุณูปการ’ สามารถเทียบได้ ทว่าเนื่องจากก่อนหน้านี้ได้มอบ ‘ลูกแก้วห้าภาพ’ ให้ นับได้ว่าเป็นการลอบชดเชยให้ตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว เพราะนั่นเป็นถึงสมบัติลับระดับยอดขั้นเทพจักรวาลชิ้นหนึ่งเลยทีเดียว


“ขอบคุณท่านอาจารย์ขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว


“ดีใจกับศิษย์น้อง ยินดีกับศิษย์น้องด้วย” จ้าวทานเผิงพูดยิ้มๆ “รับคำสั่งของอาจารย์ไปปฏิบัติภารกิจเป็นครั้งแรกก็ได้มาถึงหกหมื่นคุณูปการ ข้าลองคำนวณดูแล้ว หลังจากเทพจักรวาลข้าจึงรวบรวมได้หกหมื่นคุณูปการ”


“ศิษย์พี่ใหญ่ จวบจนบัดนี้ข้าและศิษย์พี่กงเหลียงยังมีไม่ถึงหกหมื่นคุณูปการเลย” ท่านหญิงกุ่ยลี่กล่าวขึ้นบ้าง ขณะเดียวกัน แววตาของนางที่มองตงป๋อเสวี่ยอิงก็เปล่งประกาย นางเป็นคนเย่อหยิ่งมากจนเข้ากระดูก แม้จะมีบุรุษรูปงามไว้หาความสำราญบ้าง แต่นางก็เห็นเป็นของเล่นเท่านั้น ไม่มีสักคนที่ได้กลายเป็นสหายร่วมวิถีอย่างแท้จริง ยามนี้กลับรู้สึกว่าหากสามารถผูกสัมพันธ์กับศิษย์น้องเล็กผู้นี้และกลายเป็นสหายร่วมวิถีได้ก็คงไม่เลวเลย!


กงเหลียงอี้มองดูตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วกลับลอบทอดถอนใจ


เขาคิดมาตลอดว่าตนเป็นศิษย์ที่เยี่ยมยอดที่สุดของอาจารย์


ส่วนศิษย์พี่ใหญ่ทานเผิงน่ะหรือ เดิมทีทานเผิงเป็นผู้ติดตามของประมุขรัฐเมฆทักษิณา เนื่องจากในตอนที่ประมุขรัฐยังน่าอนาถอยู่นั้นก็ไม่เคยห่างหายไปไหน ประมุขรัฐให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์จึงบ่มเพาะอย่างสุดกำลัง อันที่จริงแล้วจ้าวทานเผิงมิได้ฝึกฝนเคล็ดวิชาทางสายอากาศเสียด้วยซ้ำ! ส่วนกงเหลียงอี้…กลับฝึกฝนเคล็ดวิชาทางสายอากาศ และเป็นผู้ที่ยอดเยี่ยมที่สุดด้วย


“ศิษย์น้องเล็กคนนี้ รุ่งโรจน์ได้รวดเร็วเสียจนทำให้คนปากอ้าตาค้างจริงๆ” กงเหลียงอี้รำพึงในใจ


“ศิษย์น้องเสวี่ยอิง พวกเรารู้ว่าเคล็ดผนึกห้าภาพของเจ้าเพียงกระบวนท่าเดียวก็สามารถจับกุมผู้พิทักษ์วิถีของลัทธิกระบี่สวรรค์คนนั้นได้แล้ว แต่ละคนล้วนยินดีกันถ้วนหน้า แม้จะรู้อยู่ก่อนแล้วว่าสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์เรามีศาสตร์ลับวิชาหนึ่ง แต่ก็ยังไม่เคยเห็นผู้ใดสำแดงออกมามาก่อน” ฟู่หลิงเซียวกล่าว ยามนี้เขาไม่มีความเย่อหยิ่งเลยแม้แต่น้อย มีเพียงความกระตือรือร้นเท่านั้น


“ศิษย์น้องเสวี่ยอิง ถึงตอนนั้นจะต้องให้พวกเราเปิดหูเปิดตาบ้างล่ะ”


พวกเขาพากันเอ่ยวาจา


“เอาล่ะ เอาล่ะ พวกเจ้าศิษย์พี่ทั้งหลาย อีกประเดี๋ยวงานเลี้ยงเริ่มต้นค่อยมาสนทนากันดีๆ เถอะ” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาพูดพลางหัวเราะฮิฮิ


“ขอรับ”


จ้าวทานเผิง ตงป๋อเสวี่ยอิง กงเหลียงอี้ ท่านหญิงกุ่ยลี่ฟู่หลิงอวิ๋นและฟู่หลิงเซียวต่างก็ขานรับโดยพร้อมเพรียงกัน


จากนั้นผู้คนทั้งหลายก็ทยอยกันจากไป เพื่อไปเข้าร่วมงานเลี้ยงทีกำลังจะเริ่มต้นขึ้น เพราะถึงอย่างไรตอนนี้ก็คว้าชัยอย่างใหญ่หลวง สำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ได้รับผลประโยชน์มากมายจากรัฐโบราณเสียดฟ้า ย่อมต้องเฉลิมฉลองเป็นธรรมดา


“เสวี่ยอิงอยู่ต่อก่อน” ประมุขรัฐเมฆทักษิณากำชับ


ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ต่อเพียงคนเดียว ที่นี่เหลือเพียงพวกเขาศิษย์และอาจารย์สองคนเท่านั้น


“นี่คือแก้วผลึกจักรวาลแปดพันล้านก้อนที่ทางประมุขรัฐกระบี่สวรรค์มอบให้” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาขว้างกำไลวงหนึ่งออกมามอบให้ตงป๋อเสวี่ยอิง


ตงป๋อเสวี่ยอิงรับไว้แล้วก็ตรวจดูคราหนึ่ง มองดูแก้วผลึกจักรวาลซึ่งกองเป็นภูเขาเลากาอยู่ภายใน เขาเอ่ยปากพูดว่า “ท่านอาจารย์ ช่วยข้าแลกหกหมื่นคุณูปการของข้าเป็นสามพันล้านแก้วผลึกจักรวาลด้วยเถิด”


คุณูปการของศิษย์ถ่ายทอดเอง หนึ่งหมื่นคุณูปการสามารถแลกเป็นสมบัติล้ำค่าชนิดต่างๆ ซึ่งมีมูลค่าหนึ่งพันล้านแก้วผลึกจักรวาลได้ หรือถึงขั้นแลกเป็นแก้วผลึกจักรวาลโดยตรงได้ด้วย


“หา เจ้าต้องการแก้วผลึกจักรวาลมากมายถึงเพียงนั้นเชียวหรือ” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาตกตะลึง แต่กลับพลิกมือคราหนึ่งแล้วขว้างสมบัติล้ำค่าเก็บวัตถุอีกอันหนึ่งออกมา แก้วผลึกจักรวาลจำนวนมากที่ตำหนักย่อยในบริเวณต่างๆ ของดินแดนจิตโลกาได้มานั้น ท้ายที่สุดก็ต้องมาถึงมือของประมุขรัฐเมฆทักษิณา ดังนั้นจำนวนแก้วผลึกจักรวาลที่เขามีจึงมากเสียจนน่าหวาดผวา


“ศิษย์อยากจะซื้อสมบัติลับเขตลวงโลกเทียมสักชิ้นน่ะขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว เพราะถึงอย่างไรอีกไม่นานเขาก็จะซื้ออยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องปิดบังอาจารย์เลย


“อย่างนั้นรึ” ประมุขรัฐเมฆทักษิณานัยน์ตาเป็นประกาย “เจ้าเชี่ยวชาญด้านเขตลวงโลกเทียม ตอนที่เจ้าลงมือกับอ๋องชางซูผู้นั้นสิ่งที่สำแดงออกมาก็คือเขตลวงโลกเทียมรึ”


“ขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า


“บรรลุถึงขั้นสุดแล้วหรือ” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาถาม


“ขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าอีก


ประมุขรัฐเมฆทักษิณาเบิกตาโพลง หัวใจเขาเต้นรัวแรงขึ้นมาก จากนั้นจึงค่อยๆ สงบลง เขาประเมินศิษย์ของตนคนนี้ต่ำเกินไปแล้ว


เคล็ดผนึกห้าภาพนั้นยากมาก


แต่ทางด้านวิญญาณก็ได้ขึ้นชื่อว่ายาก ลำพังแค่ต้องผลักดันเขตลวงโลกเทียมให้ถึงระดับชั้นที่เก้า ความยากก็ไม่แพ้เคล็ดผนึกห้าภาพแล้ว เนื่องจากวิชาที่พุ่งเป้าไปที่วิญญาณล้วนแต่เลือนราง ยากจะสัมผัสได้ อย่าง ‘โลกเขตลวง’ ที่ตงป๋อเสวี่ยอิงคิดค้นขึ้นมานั้น อันที่จริงก็คือโลกอีกใบหนึ่งซึ่งเลือนรางกว่าบ้างนั่นเอง ภายในก็มีสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วน ซึ่งแต่ละชีวิตล้วนคิดว่าตนเองมีอยู่จริง แต่ละคนล้วนมีนิสัยของตนเอง มีเส้นทางชีวิตเป็นของตนเอง…


วิธีการระดับนี้นั้นช่างน่าหวาดหวั่นเป็นอย่างมาก ตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นถึงผู้มีพรสวรรค์ทางด้านเขตลวงโลกเทียมที่ยอดเยี่ยมที่สุดตั้งแต่เคยมีมาในโลกกำเนิดของอากาศอันสับสนอลหม่านแห่งนี้!


เขาก็บำเพ็ญมานานแสนนาน หลังจากคิดค้น ‘บุปผาผลาญทำลายเก้าใบ’ ขึ้นมาแล้ว ก็ได้ผ่านการสั่งสมเป็นเวลานับล้านล้านปี ท้ายที่สุดจึงได้คิดค้น ‘โลกเขตลวง’ ซึ่งเป็นระดับชั้นที่เก้าขึ้นมา ผู้มีพรสวรรค์ด้านการรับรู้เช่นเขาก็ยังต้องใช้เวลาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ จะเห็นได้ว่ายากเย็นเพียงใด


“ด้านเขตลวงโลกเทียมของเจ้ามีพรสวรรค์ถึงเพียงนี้” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาทอดถอนใจ


ยังดี


ดินแดนจิตโลกา มีผู้ที่กลับชาติมาจุติจากโลกกำเนิดอื่นหลายต่อหลายคน ดังนั้นจึงมีผู้ที่มีพรสวรรค์ไร้เทียมทานกว่าตงป๋อเสวี่ยอิงเสียด้วยซ้ำ! บวกกับที่ดินแดนจิตโลกมีทรัพยากรล้ำลึกกว่า ถึงขั้นมีสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูหลายท่านคอยอบรมบ่มเพาะ การทำให้เขตลวงโลกเทียมบรรลุถึงระดับชั้นที่เก้านั้นง่ายดายกว่าทางอากาศอันสับสนอลหม่านมากทีเดียว


เช่นในอากาศอันสับสนอลหม่านไม่มีคัมภีร์! ตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นผู้บุกเบิกเส้นทางเองทั้งสิ้น


แต่ที่นี่ ลำพังแค่คัมภีร์ทางด้านเขตลวงโลกเทียมสิบแปดเล่มที่เขาได้รับจากสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ก็มีหลายเล่มที่บรรลุถึงขั้นอลวนระดับชั้นที่เก้า ทั้งยังมีสองเล่มที่บรรลุถึงระดับเทพจักรวาลอีกด้วย! หากในอากาศอันสับสนอลหม่านก็มีคัมภีร์เหล่านี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงถามตนเองว่า เวลาที่ตนใช้ในการคิดค้นโลกเขตลวงขึ้นมาก็คงจะลดลงเป็นสิบเท่า!


ตนบุกเบิกขึ้นมาเอง กับมีบรรพชนชี้แนะ ย่อมแตกต่างกันเป็นธรรมดา


ทว่าเมื่ออาศัยตนเองอย่างสิ้นเชิง บนเส้นทางนั้นลำบากยากเข็ญอย่างยิ่ง ก็ทำให้รากฐานด้านเขตลวงโลกเทียมของตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นแน่นหนาหาใดเปรียบ


“เจ้าเตรียมจะไปซื้อสมบัติลับเขตลวงโลกเทียมเมื่อใดกันเล่า” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาถามยิ้มๆ


“หลังงานเลี้ยงแล้วกันขอรับ ออกเดินทางเร็วหน่อย ศิษย์แทบจะอดใจรอไม่ไหวแล้วขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ


ประมุขรัฐเมฆทักษิณาพยักหน้ายิ้มๆ เขาก็เข้าใจแล้วว่า ขณะที่ศิษย์ของตนคนนี้สังหารอ๋องชางซูนั้น เกรงว่าคงจะถึงขีดสุดของเขตลวงโลกเทียมแล้ว เพียงแต่ไม่เคยเอ่ยปากขอยืมแก้วผลึกจักรวาลจากตนมาโดยตลอด เรื่องนี้ทำให้ประมุขรัฐเมฆทักษิณาโปรดปรานศิษย์คนนี้มากขึ้นไปอีก เขายิ่งเข้าใจว่าทางสายอากาศและทางสายเขตลวงโลกเทียมล้วนไร้เทียมทานเช่นนี้ หากกล่าวว่าก่อนหน้านี้ ในหกรัฐโบราณยังมีขั้นอลวนที่ร้ายกาจจำนวนน้อยเสียจนยกนิ้วนับได้ที่ถูกบ่มเพาะอย่างสุดกำลังจนสามารถเอาชนะศิษย์ของตนคนนี้ได้ เช่นนั้นตอนนี้ เมื่อทั้งสองสายควบคู่กัน ประมุขรัฐเมฆทักษิณาก็รู้สึกว่าเมื่อทอดสายตามองไปทั้งดินแดนจิตโลกา ในบรรดาขั้นอลวนทั้งหมด เกรงว่าศิษย์ของตนคงยากจะหาคู่ต่อกรด้วยได้แล้ว!


“อย่าหยิ่งผยองล่ะ” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาอดเตือนไม่ได้ “ผู้ที่เก่งกาจพออย่างแท้จริงก็ได้สำเร็จเป็นเทพจักรวาลไปตั้งนานแล้ว อย่างผู้เคารพเจียลัวแห่ง ‘รัฐโบราณเสียดฟ้า’ ก็เป็นเพียงคนเดียวก่อนหน้าเจ้าที่ฝึกเคล็ดผนึกห้าภาพสำเร็จตั้งแต่ยังเป็นขั้นอลวน บัดนี้เขาก็ได้กลายเป็นผู้เคารพของทางรัฐโบราณเสียดฟ้าไปแล้ว”


“ข้าเข้าใจขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า


สายตาของเขาจับจ้องเทพจักรวาลอยู่ตลอดเวลา และถึงขั้นจับจ้อง ‘จอมเทพศักดิ์สิทธิ์’ เลยทีเดียว!


……


หลังงานเลี้ยงฉลองผ่านพ้นไป


ตงป๋อเสวี่ยอิงเก็บงำกลิ่นอายและจากรัฐโบราณเมฆทักษิณาไปเพียงลำพัง และเริ่มตรวจดูสมบัติลับเขตลวงโลกเทียมตามที่ต่างๆ


ทั้งดินแดนจิตโลกา ผู้ที่ยินดีขายสมบัติลับเขตลวงโลกเทียมระดับขั้นอลวนชั้นที่สิบนั้น ทั้งหมดก็มีเพียงแปดชิ้นเท่านั้น! ราคาที่ขายสู่ภายนอกนั้นอยู่ที่ระหว่างหนึ่งหมื่นสองพันล้านถึงสองหมื่นล้านแก้วผลึกจักรวาล สุดท้ายแล้วตงป๋อเสวี่ยอิงก็ต้องตรสจสอบดูด้วยตนเอง จึงจะรู้ว่าเหมาะสมกับตนเองหรือไม่!


เนื่องจากสำหรับเขาแล้ว นอกจากสมบัติลับเขตลวงโลกเทียมชิ้นนี้จะสามารถทำให้พลังของเขาเพิ่มพูนขึ้นเป็นอันมากแล้ว…อีกด้านหนึ่งก็คือสามารถสำแดงพลังระดับชั้นที่สิบออกมาได้ล่วงหน้า นี่เป็นกระบวนท่าระดับเทพจักรวาล ได้สำแดงล่วงหน้า ได้รับรู้ล่วงหน้า ก็มีส่วนช่วยในการสำเร็จเป็นเทพจักรวาลเป็นอย่างมาก! เขาคิดจะสำเร็จเป็นเทพจักรวาลทางด้านอากาศ ทางด้านเขตลวงโลกเทียมเขาก็ต้องทุ่มเทสุดกำลังเช่นเดียวกัน


ตรวจดูแห่งแล้วแห่งเล่า


เพียงพริบตาเดียวตงป๋อเสวี่ยอิงก็มาถึงกลางทะเลกาฬอเวจี ที่เขาดัั้นด้นมาถึง ‘รัฐถูฮวา’ ประเทศเกาะแห่งหนึ่งซึ่งก่อตัวขึ้นจากเกาะหลายแสนเกาะ ก็เพื่อมาดูสมบัติลับเขตลวงโลกเทียมชิ้นที่สามนั่นเอง


ตอนที่ 68 รัฐถูฮวา

Ink Stone_Fantasy

สมบัติลับเขตลวงโลกเทียมระดับชั้นที่สิบส่วนใหญ่ล้วนแต่วางจำหน่ายอยู่ในร้านค้าของขุมอำนาจใหญ่ระดับยอดต่างๆ เช่นร้านค้าสกุลฝาน


เนื่องจากหากขายให้ร้านค้าแล้ว ราคาที่ร้านค้ารับซื้อก็จะถูกกดจนต่ำมาก! สำหรับผู้แกร่งกล้าที่ต้องการ ก็ปรารถนาสมบัติลับเป็นอันมาก แต่สำหรับผู้แกร่งกล้าที่ไม่ต้องการแล้ว…ก็ไม่มีประโยชน์อันใดเลยจริงๆ! หากกล่าวว่าเส้นทางการบำเพ็ญอื่นๆ พบเห็นได้บ่อยมากแล้ว เช่นนั้นเส้นทาง ‘เขตลวงโลกเทียม’ ก็ค่อนข้างหาพบได้ยาก ผู้ที่บรรลุถึงขั้นอลวนชั้นที่เก้าโดยไม่อาศัยวัตถุภายนอกนั้นมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย!


‘ผู้ซื้อ’ นั้นยากจะพานพบ


หากขายสมบัติลับให้ร้านค้า แน่นอนว่าร้านค้าย่อมกดราคาเป็นธรรมดา


ผู้ที่ครอบครองก็ไม่อยากจะเสียเปรียบจนเกินไป หากจะขาย ก็มิสู้รอให้ ‘ผู้ซื้อ’ ปรากฏตัวขึ้นมาเสียก่อน


“รัฐถูฮวา”


ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวผู้หนึ่งปรากฏกายขึ้นกลางฟากฟ้า  เขาทอดสายตามองไปยังตัวเมืองอันงดงามไกลออกไปเบื้องหน้า นั่นก็คือนครหลวงรัฐถูฮวา


“รัฐถูฮวาก็แค่รัฐชั้นสามเล็กๆแห่งหนึ่ง ทั้งหมดมียอดฝีมือขั้นเทพจักรวาลเพียงคนเดียวและขั้นอลวนชั้นที่สิบก็มีเพียงสองคนเท่านั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ ในดินแดนจิตโลกามีรัฐชั้นสามเล็กๆ จำนวนไม่น้อย ดังเช่นในสถานที่อันตรายอันไกลโพ้นมากมาย ขุมอำนาจใหญ่บางแห่งนั้นคร้านที่จะไปสนใจ เช่นรัฐถูฮวา เดิมทีก็ตั้งอยู่ที่ทะเลกาฬอเวจีซึ่งอันตรายเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เป็นรัฐที่ก่อตัวขึ้นมาจากเกาะหลายแสนเกาะ


อย่าได้ดูแคลนรัฐชั้นสามเล็กๆ เป็นอันขาด


แม้พวกเขาจะเล็ก แต่ผู้ที่กล้าบุกเบิกรัฐแห่งหนึ่งขึ้นมาได้ อย่างน้อยก็ต้องเป็นเทพจักรวาลผู้มีทรัพยากรลึกล้ำมากคนหนึ่ง นอกจากนี้พวกเขายังประคับประคองซึ่งกันและกัน รวมตัวกันเป็นสมาพันธ์ต่างๆ มากมาย


ดังเช่นรัฐถูฮวา ก็คือส่วนหนึ่งของ ‘สมาพันธ์กลุ่มดาว’ สมาพันธ์รัฐของเกาะต่างๆ ทางใต้ของทะเลกาฬอเวจี!


……


สมบัติลับเขตลวงโลกเทียมนั้นล้วนแต่รอคอยผู้ซื้อที่ต้องการ ส่วนสถานที่ที่ส่งไปขายกลับมิได้สลักสำคัญแต่อย่างใด


สำหรับผู้ที่ต้องการจริงๆ แล้ว ไม่ว่าจะเป็นรัฐใดในดินแดนจิตโลกาก็ล้วนสามารถเร่งไปถึงได้อย่างรวดเร็ว


“อาหารเลิศรสของรัฐถูฮวาก็ไม่เลวเลย”


ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังดื่มกินอยู่ที่โรงสุราข้างถนนแห่งหนึ่ง


“ใต้เท้าเสวี่ยอิงขอรับ ทางเจ้าของสมบัติลับนั่นแจ้งราคามาแล้ว ลดให้ต่ำสุดได้ที่หนึ่งหมื่นหนึ่งพันห้าร้อยล้านแก้วผลึกจักรวาลขอรับ” ทันใดนั้นก็มีสารส่งมา


“หนึ่งหมื่นหนึ่งพันห้าร้อยล้านแก้วผลึกจักรวาลหรือ ก็ยังคงแพงเกินไปอยู่ดี ข้าขอดูไปก่อนก็แล้วกัน มีสมบัติลับเขตลวงโลกเทียมตั้งแปดชิ้น ข้าจะค่อยๆ ดูไปทีละอัน แล้วค่อยเลือกชิ้นที่เหมาะสมที่สุดและถูกที่สุด” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงตอบ


“ขอรับ ข้าจะเกลี้กล่อมเจ้าของสมบัติลับต่อไป”


ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มน้อยๆ


ที่เขาดื่มด่ำกับอาหารเลิศรสตามที่ต่างๆ แล้วค่อยๆ ละเลียดตรวจสอบสมบัติลับตามที่ต่างๆ อย่างเชื่องช้า ก็เพราะพยายามถ่วงเวลาออกไป เพื่อจะได้กดราคา!


หากกล่าวว่าร้านค้าใหญ่ของขุมอำนาจระดับยอดอย่างร้านค้าสกุลฝาน มีการตั้งราคาขั้นต่ำของสมบัติล้ำค่าเอาไว้ มิอาจต่อรองราคาได้ แต่การ ‘ส่งมาขาย’ ก็ไม่เหมือนกันนัก เพราะเป็นการลับเหลี่ยมเฉือนคมกับเจ้าของสมบัติลับอย่างสิ้นเชิง! ‘ผู้ซื้อ’ คนหนึ่งจะปรากฏกายก็ไม่ง่ายเลย ตงป๋อเสวี่ยอิงต้องพยายามกดราคาอย่างสุดกำลัง หากถ่วงเวลาออกไปเล็กน้อย บางทีราคาอาจจะสามารถลดลงเป็นพันล้านแก้วผลึกจักรวาลได้เลยทีเดียว!


“สู้สุดชีวิตจริงๆ มีตั้งหลายตัวที่เป็นพวกปลาจากทะเลกาฬอเวจี” ตงป๋อเสวี่ยอิงกินอาหารรสเลิศแล้วก็พอเดาได้ว่า เพื่อปลาเหล่านี้ เกรงว่าคงจะมีผู้บำเพ็ญจำนวนไม่น้อยที่เอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงอันตราย


แต่เพื่อที่จะทำกำไร เพื่อทรัพยากร เพื่อการบำเพ็ญ พวกเขาก็ต้องสู้สุดชีวิต แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยมีสิ่งใดที่ร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้าเอง


“สมบัติลับสองชิ้นข้างหน้า ตอนนี้ชอ้นหนึ่งมีราคาต่ำสุดอยู่ที่หนึ่งหมื่นห้าพันหกร้อยล้าน ส่วนอีกชิ้นหนึ่งราคาต่ำสุดอยู่ที่หนึ่งหมื่นหนึ่งพันห้าร้อยล้าน” ตงป๋อเสวี่ยอิงคิดคำนวณ ทั้งเหมาะสมและราคาก็จะต้องถูกพอ


ภายในโรงสุราคึกคักมาก


แขกเหรื่อมากมาย ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์สีขาวทั้งร่างนั่งอยู่ที่มุมหนึ่ง ด้วยการกลายเป็นอากาศธาตุของเขา จึงได้เก็บงำกลิ่นอายเอาไว้ ต่อให้เป็นผู้แกร่งกล้าขั้นอลวนก็ยากที่จะมองพลังที่แท้จริงของเขาออก


“เอ๊ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาฉายแววตกตะลึง “ว่ากันว่าสมาพันธ์กลุ่มดาวสับสนวุ่นวายมาก การเข่นฆ่าก็มีให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง แต่คิดไม่ถึงว่าในรัฐถูฮวา ข้าจะได้ประสบกับการเข่นฆ่าครั้งใหญ่เช่นนี้”


เนื่องจากในสมาพันธ์กลุ่มดาวหลายแห่งล้วนแต่เป็นรัฐชั้นสามเล็กๆ รัฐเล็กๆ บางแห่งก็ถูกมารร้ายลอบปกครอง!


การเข่นฆ่า ความวุ่นวาย…


ในสมาพันธ์กลุ่มดาวนั้นพบเห็นได้บ่อยเกินไปแล้ว


พูดง่ายๆ ก็คือยิ่งเป็นรัฐที่แข็งแกร่งเท่าไหร่ ก็ยิ่งมั่นคงมากขึ้นเท่านั้น เช่นหกรัฐโบราณอย่างรัฐโบราณคิมหันตวายุ โดยรวมแล้วก็แข็งแกร่งกว่ามาก! หากแต่ในสมาพันธ์กลุ่มดาวน่ะหรือ ดูกันที่พลังของประมุขรัฐ บ้างก็มั่นคง บ้างก็วุ่นวายจนเทียบกับทะเลสาบมารทมิฬได้เลยทีเดียว!


“สวบๆๆ”


แม้ตงป๋อเสวี่ยอิงจะสามารถสัมผัสรับรู้ได้ แต่แขกเหรื่ออื่นๆ ภายในโรงสุรากลับมิอาจสัมผัสได้


กองกำลังกองแล้วกองเล่าปรากฏขึ้นทั่วทุกทิศทุกทางรอบโรงสุราอย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง ก่อให้เกิดเป็นค่ายกลขนาดใหญ่อยู่รางๆ ล้อมรอบโรงสุราเอาไว้อย่างแน่หนา


“สวบ”


สตรีอาภรณ์เขียวงามประหลาดคนหนึ่งพาผู้ใต้บังคับบัญชามาสองคนทะยานออกมาจากกองกำลัง ยามนี้กลิ่นอายของนางมิได้ถูกเก็บงำเลยแม้แต่น้อย กลิ่นอายอันเย็นเยียบร้ายกาจแผ่กำจายออกมา


“สามีที่รักของข้า ข้าตามหาท่านอย่างยากลำบากจริงๆ” เสียงของสตรีอาภรณ์เขียวงามประหลาดสะท้อนก้องไปทั่วฟ้าดิน ดวงตาทั้งคู่ของนางมองดูบ่าวรับใช้คนหนึ่งในโรงสุรา


พูดยังไม่ทันขาดคำ


“ตู้ม!”


ค่ายกลรบของกองกำลังรอบด้านก็ถูกเหนี่ยวนำขึ้นมาจนหมด ตู้มมม…บริเวณผืนใหญ่รอบด้านถูกปกคลุมเอาไว้อย่างสิ้นเชิง กองกำลังนั้นเป็นเงารางสัตว์ประหลาดสองหัวอันแปลกพิกลตนหนึ่ง ผู้บำเพ็ญจำนวนมากบนถนนและในโรงสุราต่างก็หวาดผวาจนใจสั่นไปหมด


“หมดกัน เป็น ‘นางมารสยาอิน’ แห่งตระกูลเสาค้ำฟ้า”


“อาจารย์ พวกเราจะถูกลูกหลงไปด้วยหรือเปล่าขอรับ”


“ระวังชีวิตไว้เถอะ!”


“อย่าเปล่งเสียงนะ”


บรรดาผู้บำเพ็ญกลุ่มใหญ่โดยรอบรวมทั้งบรรดาบ่าวรับใช้และผู้ดูแลร้านค้า ไปจนถึงบรรดาแขกเหรื่อต่างขวัญหนีดีฝ่อ พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ในรัฐถูฮวา จึงคุ้นชินกับการที่รัฐถูฮวามีการเข่นฆ่าเกิดขึ้นเป็นบางครั้งก่อนแล้ว เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าครั้งนี้พวกเขาจะถูกปะทะเข้าเต็มๆ ได้แต่หวังว่าจะโชคดี ไม่ถูกลูกหลงเข้า


“สยาเอ๋อร์ ข้าและเจ้าผูกสัมพันธ์กันเป็นสหายร่วมวิถี ให้ทางรอดแก่ข้าสักสายหนึ่งจะดีหรือไม่” บ่าวรับใช้แหงนหน้าขึ้น


“ฮ่าฮ่าฮ่า สามี ท่านนี่ช่างอ่อนต่อโลกเสียจริง ตัดรากถอนโคน ข้าจะให้ทางรอดแก่ท่านได้อย่างไรกัน ท่านเป็นทายาทหลักคนสุดท้ายของตระกูลปาถัวแล้ว” สตรีอาภรณ์เขียวท่าทางร้ายกาจพูดยิ้มๆ “แน่นอนว่าหากท่านมอบเคล็ดวิชาเก็บงำกลิ่นอายของท่านมาให้ข้า ข้าก็จะสามารถรับปากท่านได้ว่า จะไว้ชีวิตทายาทระดับต่ำสุดของตระกูลปาถัว ให้พวกเขายังมีทางรอด”


ตระกูลปาถัวก็เคยเป็นตระกูลของอ๋องที่ได้รับการแต่งตั้งแห่งรัฐถูฮวา มีทายาทจำนวนนับไม่ถ้วน ผู้ที่บรรลุถึงระดับเทพอากาศจึงนับว่าเป็นทายาทหลัก คนอื่นๆ ล้วนแต่เป็นคนธรรมดาระดับต่ำสุด และมีจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนที่ออกสู่ภายนอก


ต่อให้จะกวาดล้างจริงๆ ก็ไม่มีทางกวาดล้างสายเลือดตระกูลปาถัวที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปตลอดคืนวันอันยาวนานได้อย่างหมดจด


“เจ้าช่างใจร้ายนัก” สายตาของเทวทูต ‘ปาถัวเฉิน’ เต็มไปด้วยความเกลียดชัง


เขาเกลียดชัง


เพียงรุ่งอรุณเดียว ตระกูลอ๋องที่ได้รับการแต่งตั้งอันเกรียงไกรก็ถูกทำลายจนสิ้นซาก บิดามารดา พี่น้องและมิตรสหายของเขา คนในตระกูลของเขาจำนวนนับไม่ถ้วน…ทั้งจวนปาถัวถูกทำลายจนสิ้นแล้ว


“ฮ่าฮ่าฮ่า ใจร้ายรึ ยังคิดว่าตอนนั้นข้าหลงรักเจ้าจริงๆ น่ะหรือ พอแล้วมอบเคล็ดวิชาเก็บงำกลิ่นอายของเจ้ามาเสียแต่โดยดีเถอะ ข้าจะเห็นแก่ที่เคยเป็นสหายร่วมวิถี สายเลือดตระกูลปาถัวของเจ้ายังสามารถหลงเหลืออยู่ได้ มิเช่นนั้นแล้ว ข้าจะไล่ล่าสายเลือดทั้งหมดของตระกูลปาถัวของพวกเจ้าทั่วทั้งสมาพันธ์กลุ่มดาวไปตลอด!” สตรีอาภรณ์เขียวท่าทางร้ายกาจพูดเสียงเย็นชา


“พูดเสียน่าฟังเชียว เจ้าคิดว่าข้าจะยังเชื่อเจ้าได้อีกรึ เจ้าฆ่าเถอะ ฆ่าเสียเถอะ หากเจ้าข้าไม่เกลี้ยง ต้องมีสักวันที่ตระกูลปาถัวเราจะมีผู้แกร่งกล้ารุ่งโรจน์ขึ้นมาแล้วมาเยือนรัฐถูฮวาอีกครา” บ่าวรับใช้ปาถัวเฉินคำรามเสียงต่ำ


“เฮอะ”


นัยน์ตาของสตรีอาภรณ์เขียวท่าทางร้ายกาจเต็มไปด้วยกลิ่นอายชั่วร้าย “ไม่ให้รึ เจ้าซ่อนตัวปลอมเป็นบ่าวรับใช้ คนของโรงสุราแห่งนี้ช่วยเหลือเจ้า จะเหลือไว้ไม่ได้แม้แต่คนเดียว ยังมีคนรอบกายด้วย ที่ต้องตายตามกันไปหมด”


บรรดาผู้ดูแลโรงสุรารวมทั้งแขกเหรื่อทั้งหลายต่างก็เผยสีหน้าแตกตื่นออกมา เหล่าผู้บำเพ็ญโดยรอบก็ใจสั่นระรัวไปหมด


“เจ้า…” บ่าวรับใช้ปาถัวเฉินคำรามเสียงต่ำ “สยาอิน ไยเจ้าต้องหว่านแหด้วยเล่า ข้าจะบอกเจ้าตามตรง ข้าสบโอกาสได้เคล็ดวิชามา แต่เคล็ดวิชานี้ห้ามถ่ายทอดออกไปภายนอกเด็ดขาด”


“เจ้ามิได้ฉบับจริงมาหรอกหรือ” สตรีอาภรณ์เขียวเห็นเข้าก็ถอนหายใจ


โดยทั่วไปแล้ว เคล็ดวิชาที่ร้ายกาจล้วนแต่ห้ามถ่ายทอดออกไปภายนอกทั้งสิ้น


“เฮ้อ ช่างเสียใจจริงๆ”


สตรีอาภรณ์เขียวโบกมือ “ฆ่าพวกมันให้เกลี้ยง อย่าให้เหลือแม้แต่คนเดียว”


“ไม่…”


“แม่ทัพสยาอิน”


“ละเว้นพวกเราด้วยเถิด”


“เสาค้ำฟ้า ‘สกุลหยาง’ เจ้าเป็นถึงตระกูลเสาค้ำฟ้าของรัฐถูฮวาเรา จะทำเช่นนี้มิได้นะ”


“แม่ทัพสยาอิน”


รอบด้านเต็มไปด้วยเสียงวิงวอน ผู้บำเพ็ญบางคนยังถึงขั้นคุกเข่าลงไป


“ฆ่าทิ้งให้เกลี้ยง!” สตรีอาภรณ์เขียวมิได้เคล็ดวิชามา ความเดือดแค้นในใจยากจะบรรเทา นัยน์ตาอันโหดเหี้ยมกวาดมองรอบด้าน


“ขอรับ” กองกำลังด้านข้างลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ทำได้เพียงรับคำสั่งเท่านั้น


“เฮ้อ”


ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวซึ่งนั่งอยู่ตรงมุมหนึ่งของโรงสุราและมองดูทุกวิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเงียบๆ มาตลอด ที่น่าประหลาดก็คือ เสียงถอนหายใจของเขาสะท้อนก้องไปข้างหูของทุกคน  คนทั้งหมดล้วนสัมผัสได้ถึงความน่าหวาดหวั่นครั้งใหญ่ ทหารที่เดิมทีรับคำสั่งเหล่านั้นต่างก็รู้สึกว่าว่าตนมิอาจขยับเขยื้อนได้แล้ว


ขยับไม่ได้แล้ว!


สตรีอาภรณ์เขียวมองชายหนุ่มอาภรณ์ขาวผู้นั้นด้วยความตื่นตระหนก นางก็พบว่าตนก็มิอาจขยับเขยื้อนได้แล้วเช่นกัน อากาศรอบด้านกดดันนางอย่างสิ้นเชิงจนมิอาจขยับเขยื้อนได้เลยแม้แต่น้อย


ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวผู้นั้นนั่งอยู่ตรงนั้นพลางกล่าวว่า “ผู้ดูแล ยกสุรามาอีก”


“ขอรับ ขอรับ” ผู้ดูแลโรงสุราซึ่งเดิมทีสิ้นหวังไปแล้วใจสั่นขึ้นมา เขารีบยกสุราไป แต่ตัวเขากลับมิได้รับผลกระทบเลยแม้แต่น้อย สามารถเคลื่อนไหวได้อยู่


“ใต้เท้าท่านนี้ นี่คือบุญคุณความแค้นระหว่างเสาค้ำฟ้าอย่าง ‘สกุลหยาง’ และตระกูลปาถัว ใต้เท้าโปรดอย่าสอดมือยุ่งเกี่ยวเลย” สตรีอาภรณ์เขียวขยับเขยื้อนมิได้ แต่ก็ยังคงพูดเสียงสูง ทั้งยังจงใจเน้นคำว่าเสาค้ำฟ้าอย่างชัดถ้อยชัดคำ


เสาค้ำฟ้า


ในสมาพันธ์กลุ่มดาวนั้นมีนัยแฝงอันพิเศษ แสดงให้เห็นว่าเป็นตระกูลที่สำคัญต่อรัฐประหนึ่งเสาค้ำฟ้า โดยทั่วไปล้วนมียอดฝีมือผู้ไร้เทียมทานระดับขั้นอลวนชั้นที่สิบซึ่งเทียบกับเทพจักรวาลได้ สตรีอาภรณ์เขียวจะหยิ่งผยองก็มีเหตุผล


“เสาค้ำฟ้าสกุลหยางหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าเบาๆ “ความแค้นเคืองต่างๆ ของพวกเจ้าก่อนหน้านี้ ข้าก็คร้านจะเข้าไปยุ่งด้วย เพียงแต่การสังหารพวกเขาจนไม่เหลือแม้แต่คนเดียว…ผู้บำเพ็ญทั่วไปเหล่านี้คงมิได้ผูกความแค้นกับสกุลหยาง没ของพวกเจ้าทั้งหมดหรอกกระมัง”


สีหน้าของสตรีอาภรณ์เขียวไม่น่ามอง


ก็แค่ฆ่ามดปลวกให้ตายไปเท่านั้น จะนับว่าเป็นเรื่องใหญ่อันใดกัน


“อะไรนะ ในสายตาของเจ้าพวกเขาเป็นแค่มดปลวกอย่างนั้นรึ” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า “น่าเสียดาย ในสายตาของข้า เจ้าก็เป็นแค่มดปลวกเช่นกัน”


ปัง!


พูดยังไม่ทันขาดคำ สตรีอาภรณ์เขียวก็เผยสีหน้าตื่นตระหนกออกมา ร่างกายนางระเบิดออกกลายเป็นเถ้าธุลีและหายวับไปในฟ้าดิน


รอบด้านเต็มไปด้วยความเงียบงัน


เหล่าทหารและผู้บำเพ็ญทั้งหลายต่างก็เงียบงัน ธิดาของท่านประมุขตระกูลเสาค้ำฟ้าสกุลหยางสิ้นใจไปเช่นนี้เองน่ะหรือ


นัยน์ตาของตงป๋อเสวี่ยอิงฉายแววเยียบเย็น การบำเพ็ญจิตของเขากำหนดแล้วว่าเขามิอาจทนต่อพฤติกรรมการเข่นฆ่าผู้ที่อ่อนแอได้ บางทีเขาอาจจะมีพลังอ่อนแอ มิอาจส่งผลกระทบต่อทั้งดินแดนจิตโลกาได้ แต่หากเขาพบเข้าแล้ว หากสามารถข้องเกี่ยวได้ แน่นอนว่าก็ต้องทำ!


“ยุ่งยากใหญ่แล้ว”


“สังหารแม่ทัพสยาอินธิดาของท่านประมุขตระกูลเสียแล้ว”


“ไม่ดีแล้ว”


ผู้บำเพ็ญท้องถิ่นจำนวนนับไม่ถ้วนรอบด้านเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับนั่งดื่มสุราอยู่ตรงนั้นต่อไป


“ตู้ม…”


ไกลออกไป กลิ่นอายน่าหวาดหวั่นอันสะดุดตาสายหนึ่งพลันมาเยือน เขาเหมือนกับรัศมีอันเจิดจ้า รัศมีอันไร้ที่สิ้นสุดโหมซัดสาดแล้วค่อยๆ รวมตัวกันเป็นเงาร่างมนุษย์คนหนึ่ง ขณะเดียวกันเสียงตะโกนด้วยความโมโหก็สะท้อนก้องไปทั่วฟากฟ้า “ใครสังหารสยาอินบุตรสาวข้า”


“เป็นข้าเอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งอยู่ตรงนั้นต่อไป ทั้งยังยกสุราให้ตนเองอีกด้วย


ตอนที่ 69 เปลี่ยนสีหน้า

Ink Stone_Fantasy

 


ประกายอันไร้ที่สิ้นสุดรวมตัวกันเป็นรูปร่างมนุษย์ ซึ่งก็คือผู้เฒ่าศีรษะล้านที่เดือดดาลคนหนึ่ง ตลอดร่างเปล่งประกายแรงกล้าจนเขาดูราวกับผู้ปกครองของสรรพชีวิตทั้งมวล


“ผู้ใดบังอาจสังหารสยาอินบุตรสาวข้า” เขาส่งเสียงคำรามอย่างโมโหดังกึกก้องทั่วฟ้าดิน จิตสังหารล้นฟ้าแผ่กวาดไปทั่วทั้งสี่ทิศ เหล่าผู้บำเพ็ญมากมายบนท้องถนนต่างก็รู้สึกหนาวเหน็บจับขั้วหัวใจภายใต้จิตสังหารเช่นนี้ วิญญาณเกิดความรู้สึกหยุดนิ่งรางๆ หัวใจเต้นตึกตัก พวกเขามองเงาร่างสายนั้นอย่างหวาดหวั่น บรรดาแขกเหรื่อภายในร้านสุราและผู้ดูแลโรงสุราที่เพิ่งยกสุราให้กับตงป๋อเสวี่ยอิงต่างก็เบิกตาโพลงมองดูเงาร่างเปล่งรัศมีที่อยู่กลางเวหาไกลออกไปสายนั้น


บุคคลผู้น่าหวาดหวั่นผู้นั้น จะมีประชากรรัฐถูฮวาสักกี่คนกันที่ไม่รู้จัก


“อ๋องเสาค้ำฟ้า! อ๋องเสาค้ำฟ้า!”


“เป็นอ๋องเสาค้ำฟ้า!”


“อ๋องเสาค้ำฟ้ามาแล้ว หมดกัน คราวนี้หมดกันจริงๆ เสียแล้ว”


ทั่วทั้งรัฐถูฮวามีอ๋องเสาค้ำฟ้าอยู่ทั้งสิ้นสองคน ต่างก็เป็นยอดฝีมือผู้ล้ำเลิศระดับขั้นอลวนชั้นที่สิบด้วยกันทั้งคู่ สถานะของพวกเขาสูงส่งกว่าเฟิงอ๋องคนอื่นๆ หนึ่งขั้นใหญ่อย่างเห็นได้ชัด


รัฐถูฮวา ผู้ที่มีสถานะสูงส่งที่สุดก็คือประมุขรัฐ ตามมาด้วยอ๋องเสาค้ำฟ้าสองคน เมื่อใดที่พวกเขาโมโห เกรงว่าสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนก็จะต้องตาย! แต่บรรดาประชากรจำนวนนับไม่ถ้วนก็ยังคงเต็มไปด้วยความยกย่องและเทิดทูน ‘อ๋องเสาค้ำฟ้า’ อยู่ดี เพราะว่ามีเสาค้ำฟ้าทั้งสองอยู่ มีประมุขรัฐอยู่ พวกเขา ‘รัฐถูฮวา’ จึงสามารถต้านทานศัตรูจากภายนอกและเหล่ามารได้


ถ้าหากภายในรัฐไม่มีผู้แกร่งกล้ามากพอ เกรงว่ารัฐถูฮวาคงมีแต่มารออกอาละวาด


ทว่าต่อให้เคารพยิ่งกว่านี้ ขณะนี้บรรดาผู้บำเพ็ญเหล่านี้ต่างก็รู้สึกได้ถึงความตายที่คืบคลานเข้ามา ยังคงหวาดหวั่นเป็นที่สุดอยู่ดี พวกเขาไม่อยากตาย! พวกเขาถึงกับรู้สึกว่าอยุติธรรมเป็นอย่างยิ่ง เป็นผู้ประสบเคราะห์โดยแท้ทีเดียว


“ข้าไม่อยากตาย สหายร่วมวิถีข้าก็ยังไม่มีเลยด้วยซ้ำ!”


“ไม่ ไม่…”


“ยังอยากจะสะสมแก้วผลึกจักรวาลให้มากพอแล้วส่งลูกข้าไปเป็นศิษย์นอกสำนักที่สำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ ศึกษาวิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่าให้สำเร็จ ทั้งหมดสูญเปล่าเสียแล้ว ทั้งหมดสูญเปล่าเสียแล้ว ภายใต้ความเดือดดาลของอ๋องเสาค้ำฟ้า เกรงว่าเพียงแค่ความนึกคิดเดียวพวกเราก็จะสูญสลายกันไปหมดแล้วล่ะ”


หากไม่สิ้นหวังยอมจำนน ก็เผชิญหน้าอย่างสงบ


แน่นอนว่าในขณะนี้กองทัพเหล่านั้นกลับเปรมปรีดิ์กันเป็นอย่างยิ่ง


ในทางกลับกันผู้ที่ยังคาดหวังกับตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ก็มีเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้น เพราะว่าอิทธิพลของ ‘อ๋องเสาค้ำฟ้า’ ยิ่งใหญ่เหลือเกิน ในสายตาของประชากรรัฐถูฮวาจำนวนนับไม่ถ้วนนั้นก็สามารถเทียบเคียงได้กับเทพจักรวาลเลยทีเดียว! เทพจักรวาลไม่ปรากฏออกมา อ๋องเสาค้ำฟ้าก็เรียกได้ว่ากวาดขั้นอลวนทั้งหมดจนเรียบ ถึงแม้ว่า ‘หนุ่มน้อยอาภรณ์ขาว’ ผู้นั้นจะร้ายกาจ แต่กลิ่นอายที่ระเบิดออกมาในยามที่ลงมือก็เป็นเพียงแค่กลิ่นอายของขั้นอลวนเท่านั้น มิอาจเทียบได้กับความยิ่งใหญ่จับตาของอ๋องเสาค้ำฟ้าในขณะนี้ได้เลย


“เป็นข้าเอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ที่นั่นพลางรินสุราให้ตนเองแล้วเหลือบมองผู้เฒ่าศีรษะล้านผู้เปล่งรัศมีจับตาอย่างยิ่งที่อยู่ไกลออกไปปราดหนึ่ง ก็รู้สึกได้ถึงความเดือดดาลและจิตสังหารล้นฟ้าของอีกฝ่าย เขาเอ่ยอย่างเรียบเฉยต่อไปว่า “ว่าอย่างไรเล่า อยากจะสังหารข้าอย่างนั้นหรือ”


สายตาของผู้เฒ่าศีรษะล้านมองจับไปบนร่างของ ‘หนุ่มน้อยอาภรณ์ขาว’ ศัตรูคู่แค้นที่สังหารบุตรสาวตนในทันใด บังอาจนัก! ในเวลานี้ยังมีหน้ามาดื่มสุราอีก!


“หืม”


ผู้เฒ่าศีรษะล้านพลันสั่นสะท้านด้วยความหวาดหวั่นคราหนึ่ง จิตสังหารล้นฟ้าภายในใจพลันสูญสลาย ตลอดร่างกลับเกิดความรู้สึกหนาวเหน็บ เขาจ้องมองหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวผู้นั้นต่อไปด้วยหัวใจที่สั่นสะท้านอยู่บ้าง ถึงแม้ว่ายามที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินเตร็ดเตร่อยู่ข้างนอกจะเก็บรวบรวมกลิ่นอายอยู่เสมอ ทว่ารูปลักษณ์ก็มิได้เปลี่ยนแปลง! ถึงอย่างไรเขาก็เพียงแค่อยู่ห่างจากรัฐถูฮวาเป็นระยะทางไกลโพ้นเท่านั้น ผู้แกร่งกล้าล้ำเลิศที่ถือกำเนิดขึ้นมาใหม่ที่ยังอยู่ใน ‘สี่รัฐมารทมิฬ’ อาณาบริเวณผืนเล็กๆ ทางตอนใต้ของรัฐโบราณคิมหันตวายุนั้น ที่รัฐถูฮวา ผู้ที่ล่วงรู้ข้อมูลของตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างแท้จริงนั้นมีอยู่ไม่มากนัก โดยทั่วไปก็ต้องเป็นผู้แกร่งกล้าขั้นอลวน และสมาชิกตระกูลอ๋องโหวที่ให้ความสำคัญกับข้อมูลเป็นพิเศษจำนวนหนึ่ง


ในความเป็นจริงแล้วแม้กระทั่งตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิอาจตั้งใจรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับผู้แกร่งกล้าที่ปรากฏตัวขึ้นมาภายในประเทศเล็กๆ ในบริเวณรอบๆ รัฐโบราณสหโลกาและรัฐโบราณบรรพชนอันห่างไกล เพียงแต่ว่าเมื่อสถานะถึงขั้นหนึ่งแล้ว สำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ก็ย่อมส่งข่าวคราวใหม่ล่าสุดมาให้กับเขาอยู่แล้ว


ทว่าสมาชิกตระกูลอ๋องโหวภายในตระกูลรัฐถูฮวา ก็ต้องเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเอง


ผู้ที่สามารถรู้จักตงป๋อเสวี่ยอิงได้นั้นมีอยู่ไม่มากนัก!


ทว่า ‘หยางสยง’ ผู้เป็นถึงบรรพชนสกุลหยาง หนึ่งในสองเสาค้ำฟ้าแห่งรัฐถูฮวา ก็ย่อมรวบรวมข้อมูลของตงป๋อเสวี่ยอิงมาได้ก่อนอยู่แล้ว


“เป็นเขาหรือ อิงซานเสวี่ยอิงน่ะหรือ” ผู้เฒ่าศีรษะล้านหนาวเหน็บไปทั้งร่าง หัวใจสั่นสะท้านอย่างที่สุด “อ๋องอสนีบาตโม่เฉา ผู้พิทักษ์วิถีแห่งลัทธิกระบี่สวรรค์ เมื่ออยู่ตรงหน้าเขาก็มิได้ต้านทานเลยแม้แต่กระบวนท่าเดียว ก็ถูกเคล็ดผนึกห้าภาพจับทั้งเป็นเสียแล้ว! พลังยุทธ์ของข้าเมื่อเทียบกับอ๋องอสนีบาตโม่เฉา อย่างมากที่สุดก็เพียงแค่นับได้ว่าเทียบเคียงกันเท่านั้นเอง! หรือไม่ก็อาจจะอ่อนกว่าเสียด้วยซ้ำ”


“เมื่อสำแดงเคล็ดผนึกห้าภาพออกมา เพียงแค่กระบวนท่าเดียวเท่านั้น ข้าก็จบสิ้นแล้ว”


ผู้เฒ่าศีรษะล้านเข้าใจในจุดนี้กระจ่างดียิ่ง


เขามีชีวิตอยู่มาเนิ่นนานเหลือเกิน เดิมทีเขาเป็นประชาชนธรรมดาๆ คนหนึ่งของรัฐโบราณคิมหันตวายุ เดินทีละก้าวๆ มาจนถึงระดับพลังยุทธ์ในตอนนี้ เขาก็ประสบกับการชิงไหวชิงพริบและเสี่ยงภัยอยู่ระหว่างความเป็นความตายมามากมายเหลือเกิน! จนกระทั่งมาถึงพลังยุทธ์ในตอนนี้ก็ไม่เคยคิดจะกลับไปยังรัฐโบราณคิมหันตวายุเลย เพราะว่าภายในรัฐโบราณคิมหันตวายุ พลังยุทธ์เล็กน้อยแค่นี้ของเขามิอาจนับเป็นอะไรได้เลย จะสุขสันต์อิสระเสรีเหมือนอยู่ที่รัฐถูฮวาได้อย่างไรกันเล่า


สำหรับจิตสังหารโกรธแค้นแต่เดิมนั้นก็ได้กระจัดกระจายหายไปนานแล้ว


เพื่อให้ตนเองมีชีวิตรอด แม้กระทั่งบุตรชายหญิงทั้งหมดที่มีอยู่เขาก็มิได้สนใจเลย! เขามีบุตรชายหญิงสองร้อยหกสิบห้าคน บุตรสาวคนหนึ่งตายไปจะนับเป็นอะไรได้เล่า


……


“มิกล้า มิกล้า”


ผู้เฒ่าศีรษะล้านเก็บงำกลิ่นอายในทันที แล้วร่อนลงสู่พื้นดิน รอยยิ้มบนใบหน้ากระตือรือร้นเป็นอย่างยิ่ง กระตือรือร้นถึงขนาดที่ประจบสอพลอเลยทีเดียว เขาก้าวยาวๆ ไม่กี่ก้าวก็ไปถึงบริเวณโรงสุราแล้ว ทั้งยังคารวะไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงคราหนึ่งพลางพูดยิ้มๆ ว่า “ขออภัย ขออภัย นางแพศยานั่นล่วงเกินใต้เท้าเสวี่ยอิง ช่างสมควรตายนัก! ต่อให้ใต้เท้าเสวี่ยอิงไม่ลงมือ ข้าก็จะลงมือเอง นางแพศยาผู้นี้มิได้รู้จักที่ต่ำที่สูงเลยแม้แต่น้อย”


เสียงของเขาดังขึ้นเพียงแค่บริเวณรอบๆ เท่านั้น


มีเพียงแค่เขาและตงป๋อเสวี่ยอิงที่ได้ยิน แขกเหรื่อของโรงสุราที่อยู่รอบๆ และเหล่าผู้บำเพ็ญบนท้องถนนต่างก็ไม่ได้ยินด้วยกันทั้งสิ้น


เขาสามารถประจบสอพลอต่อหน้าตงป๋อเสวี่ยอิงได้ แต่ก็ไม่อยากให้บรรดาแขกเหรื่อเหล่านั้นได้ยินสิ่งที่เขาพูด


“มีเรื่องอันใดกันหรือ”


“อ๋องเสาค้ำฟ้า เหตุใด เหตุใดจึงดูเหมือนว่า…”


ถึงแม้จะไม่ได้ยินว่าพูดอะไร แต่พวกเขาก็มองเห็น!


มองเห็นรอยยิ้มอันกระตือรือร้นบนใบหน้าของอ๋องเสาค้ำฟ้า ‘หยางสยง’ และยังถึงกับค้อมกายทำความเคารพหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวผู้นั้น


“โอ้”


“ได้เจอกับบุคคลผู้ยิ่งใหญ่เสียแล้ว”


“ผู้ใดกันหรือ”


“ทำให้อ๋องเสาค้ำฟ้าหวาดกลัวถึงเพียงนี้ได้ เป็นเทพจักรวาลหรือไร”


“เกรงว่าคงเป็นเทพจักรวาล”


ผู้ดูแลและแขกเหรื่อของโรงสุราที่อยู่รอบๆ และเหล่าผู้บำเพ็ญบนท้องถนนต่างก็รู้สึกได้ถึงความชื่นชมยินดี มีความหวังแล้ว พวกเขามีความหวังที่จะมีชีวิตรอดแล้ว


ตงป๋อเสวี่ยอิงดื่มสุราตามลำพังแล้วเอ่ยขึ้นตามอำเภอใจว่า “หยางสยง นอกจากผู้ดูแลที่อยู่ข้างๆ ผู้นี้แล้ว ผู้บำเพ็ญคนอื่นๆ จำนวนมากมายต่างก็มิได้ยุแหย่บุตรสาวท่านเลย สยาอินบุตรสาวท่านกลับต้องการสังหารพวกเขาให้หมดสิ้น นี่ก็มิได้ดีไปกว่าเหล่ามารที่ทะเลสาบมารทมิฬพวกนั้นเลย นางอยากจะสังหารหมู่ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนตามอำเภอใจ เช่นนั้นข้าก็ได้แต่ใช้แนวทางของนางมาจัดการตัวนางเองแล้วล่ะ”


“อะไรนะ นางกล้าทำเช่นนี้ด้วยหรือ ก่อนหน้านี้นางก็ร้ายกาจอยู่บ้าง แต่นึกไม่ถึงว่าจะกล้าทำเช่นนี้ได้” หยางสยงแสดงท่าทีโกรธเคือง แต่ในความเป็นจริงแล้วเขาก็ล่วงรู้ถึงอุปนิสัยอันเหี้ยมโหดของบุตรสาวอยู่ก่อนแล้ว


“พรึ่บ”


ทันใดนั้นบริเวณไกลออกไปก็มีเงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้น ซึ่งก็คือบุรุษอวบอ้วนคนหนึ่ง ยามที่บุรุษผู้นั้นเดินมา บริเวณรอบๆ ก็มีเงามายาของดอกไม้บานดอกแล้วดอกเล่า เหล่าผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนในที่นั้นต่างก็เกิดความรู้สึกสุขสันต์จากก้นบึ้งของจิตใจ


“ท่านประมุขรัฐ” ทุกคนในที่นั้นต่างก็เคารพนบนอบเป็นอย่างยิ่ง


ผู้มาก็คือประมุขรัฐถูฮวา


“ที่แท้ก็เป็นอิงซานเสวี่ยอิงนี่เอง มาถึงรัฐถูฮวาของข้า เหตุใดจึงไม่บอกกล่าวข้าสักนิดเลยเล่า” ประมุขรัฐถูฮวาพูดพลางยิ้มน้อยๆ พร้อมกันนั้นเขาก็เหลือบตามองผู้เฒ่าศีรษะล้านปราดหนึ่ง “หยางสยง บุตรสาวเจ้าถึงกับล่วงเกินอิงซานเสวี่ยอิงเข้า อีกประเดี๋ยวยามที่จัดงานเลี้ยงก็ต้องขอขมาให้ดีๆ ด้วยล่ะ”


“แน่นอนขอรับ แน่นอนขอรับ” ผู้เฒ่าศีรษะล้านเอื้อนเอ่ย


“คารวะท่านประมุขรัฐ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลุกขึ้นพูด อยู่ต่อหน้าหยางสยงจะไม่ใส่ใจก็ได้ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าประมุขรัฐถูฮวาก็ยังต้องไว้หน้าเขาอยู่บ้าง


“ฮ่าฮ่า… ได้ยินชื่อเสียงอันยิ่งใหญ่ของเจ้า อิงซานเสวี่ยอิงมานานแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้พบหน้ากันอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ดูท่าทางน้องเสวี่ยอิงกับข้าจะมีวาสนาต่อกัน” ประมุขรัฐถูฮวาเอ่ยอย่างกระตือรือร้น เพียงแค่สองสามประโยคก็เรียกหาว่า ‘น้อง’ เสียแล้ว


นี่ก็เป็นเรื่องปกติ


แม้กระทั่งตอนนี้พลังยุทธ์ของคนทั้งสองต่างก็มิได้แตกต่างกันมากมายนัก แต่บำเพ็ญเคล็ดผนึกห้าภาพสำเร็จ การสำเร็จเป็นเทพจักรวาล ‘ทางสายห้วงอากาศ’ นั้นก็เป็นเรื่องที่สามารถคาดการณ์ได้ เมื่อถึงเวลานั้นพลังยุทธ์ของอิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้อาจจะกดอยู่เหนือประมุขรัฐถูฮวาของเขาก็เป็นได้ นอกจากนี้เบื้องหลังของอิงซานเสวี่ยอิงยังมีบุคคลผู้น่าหวาดหวั่นอย่างที่สุดอยู่คนหนึ่งด้วย… ประมุขรัฐเมฆทักษิณา!


ประมุขรัฐเมฆทักษิณา เมื่อเผชิญกับบรรดาบุคคลไร้เทียมทานของหกรัฐโบราณเหล่านั้นก็จำเป็นต้องกล้ำกลืนฝืนทน แต่เผชิญหน้ากับประมุขรัฐเล็กๆ ขั้นสามพรรค์นี้ กลับสามารถกดดันได้อย่างง่ายดาย


“เป็นเขา หยางสยง” ‘ปาถัวเฉิน’ ผู้ดูแลที่อยู่ด้านข้างมองเห็นหยางสยง ตอนแรกก็สิ้นหวัง หลังจากนั้นได้เห็นว่าหยางสยงเมื่ออยู่ต่อหน้าหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวนั้นกลับมีท่าทีเจียมเนื้อเจียมตัวเป็นอย่างยิ่ง บุตรสาวตายไปแล้ว ยังไม่กล้าแม้แต่จะผายลมเลยเสียด้วยซ้ำ


“ท่านประมุขรัฐ”


หลังจากนั้นเขาก็ได้เห็น ‘ประมุขรัฐถูฮวา’ ผู้แข็งแกร่งที่สุดในรัฐถูฮวา ยังคุยเล่นกับหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวด้วยความกระตือรือร้นเป็นอย่างมาก


“น้องเสวี่ยอิง ไปๆๆ เข้าไปในวังแห่งนั้นของข้าสิ มานั่งกินอะไรอยู่ที่นี่กันเล่า อาหารเลิศรสและสุราชั้นเลิศนั้นของข้าเยี่ยมยอดกว่าที่นี่มากมายนัก” ประมุขรัฐถูฮวาพูด


“ประมุขรัฐไม่ต้องเกรงใจ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “ข้ายังมีธุระ มิอาจเนิ่นช้าอยู่ที่นี่ได้แล้ว”


“ผู้อาวุโส!”


ผู้ดูแลปาถัวเฉินที่อยู่ข้างๆ ตะโกนขึ้นในทันใด


ในขณะนี้คนอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ ต่างก็เต็มไปด้วยความเงียบสงบ ประมุขรัฐถูฮวาและหยางสยงต่างก็ปฏิบบัติต่อหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวผู้นั้นอย่างกระตือรือร้นถึงเพียงนั้น ใครจะกล้าขึ้นเสียงกับพวกเขากันเล่า แต่เสียงตะโกนเสียงนี้ดึงดูดความสนใจของผู้คนโดยรอบจำนวนมากในทันใด แล้วก็ดึงดูดความสนใจของประมุขรัฐถูฮวา หยางสยงและตงป๋อเสวี่ยอิงเช่นกัน


ปาถัวเฉินก็ยังถูกประมุขรัฐจ้องมองเช่นนี้เป็นครั้งแรก


“ผู้อาวุโส” ปาถัวเฉินกลับมองตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วคุกเข่าลงอย่างแรงเสียงดังพลั่ก


เขารู้ว่าหากพลาดคราวนี้ไป เขาก็จะเสียโอกาสไปตลอดกาล!


ตอนที่ 70 รัฐโบราณบรรพชน

Ink Stone_Fantasy

“ผู้อาวุโส” ปาถัวเฉินคุกเข่าพลางมองดูหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวตรงหน้าอย่างวิงวอนแล้วเอ่ยต่อไปว่า “เดิมทีสกุลปาถัวของข้าก็เป็นตระกูลเฟิงอ๋องตระกูลหนึ่งของรัฐถูฮวา เพียงแต่สกุลปาถัวของข้าประสบกับความละโมบของอ๋องเสาค้ำฟ้าหยางสยงผู้นั้น เขาถึงกับผลาญทำลายสกุลปาถัวของข้าเองกับมือ โชคดีที่ตอนนั้นข้ามิได้อยู่ในจวน จึงเคราะห์ดีมีชีวิตอยู่รอดมาได้จนถึงบัดนี้”


“หุบปาก!” หยางสยงที่อยู่ข้างๆ ตะโกนอย่างเดือดดาล “บรรพชนบ้านปาถัวของพวกเจ้าเชื้อเชิญข้าไปพบหน้า แต่กลับหาโอกาสใช้ค่ายกลพิษลอบทำร้ายข้า ด้วยเหตุนี้ข้าจึงลงมืออย่างสุดแรงจนส่งผลกระทบต่อบ้านเรือนของพวกเจ้า”


“แต่ศิษย์หัวแก้วหัวแหวนที่รอดชีวิตแต่ละคนของบ้านข้าต่างก็ประสบกับการล่าสังหารทั้งสิ้น” ถึงแม้ว่าปาถัวเฉินจะรู้สึกได้ถึงพลังกดดันอันไร้รูปร่าง แต่ก็ยังคงเอ่ยโต้แย้ง “ตอนนี้เกรงว่าคงมีเพียงแค่ข้าคนเดียวเท่านั้นที่มีชีวิตรอด ข้าก็อาศัยเคล็ดวิชาซ่อนเร้นกลิ่นอาย จึงหลบซ่อนตัวมาได้จนถึงบัดนี้”


หยางสยงเอ่ยอย่างเรียบเรื่อย “ข้าจะเห็นการสังหารศิษย์ตระกูลปาถัวของพวกเจ้าที่เหลืออยู่ในสายตาหรืออย่างไร เกรงว่าคนระดับล่างของสกุลหยางของข้าคงรู้สึกว่าต้องถอนรากถอนโคนกระมัง!”


นอกจากนี้การถอนรากถอนโคนก็มิได้มีอันใดมิถูกมิควรเสียหน่อย! เพียงแต่ว่าสยาอินนางโง่เง่าเกินไป ถึงกับกล้าสังหารหมู่ตามอำเภอใจ อีกทั้งยังรุกรานใต้เท้าเสวี่ยอิงด้วย ถึงใต้เท้าเสวี่ยอิงไม่สังหาร ข้าก็จะสังหารเอง”


“เอาล่ะ” ประมุขรัฐถูฮวาที่อยู่ข้างๆ พูด “เรื่องนี้ก็จัดการเช่นนี้ก็แล้วกัน หยางสยง เจ้าก็ปล่อยเจ้าเด็กผู้นี้ไปเสียเถิด”


“ประมุขรัฐเอ่ยปาก ข้าก็ย่อมมิกล้าต่อความยาว สาวความยืดอยู่แล้ว นอกจากนี้ แต่ไหนแต่ไรข้าก็ไม่เคยเห็นเจ้าเด็กผู้นี้อยู่ในสายตาอยู่แล้ว” หยางสยงพูด


ความเป็นไปได้ที่จะมีขั้นอลวนชั้นที่สิบถือกำเนิดขึ้นมาสักคนหนึ่งนั้นช่างน้อยนิดเพียงใด


ในประวัติศาสตร์รัฐถูฮวาเพิ่งจะถือกำเนิดขึ้นมาสักกี่คนกัน


ความจริงแล้วหยางสยงก็เคยออกคำสั่งให้ ‘ถอนรากถอนโคน’ มาก่อน แต่ในใจเขากลับไม่เคยแยแสสนใจเลย เขาย่อมไม่คิดว่าการเหลือเด็กไม่กี่คนเอาไว้จะสามารถเกิดเป็นภัยคุกคามการมีชีวิตอยู่ของเขาได้!


“ก็เป็นเขานั่นแหละที่ทำให้บุตรสาวข้าตาย แล้วยังทำให้ข้าล่วงเกินอิงซานเสวี่ยอิงเข้าอีกด้วย” หยางสยงหงุดหงิด “ปล่อยเขาไปก่อน รอให้เสร็จเรื่องแล้วก็สามารถล้างผลาญเขาอย่างเงียบงันไร้สุ้มเสียงได้แล้วล่ะ”


“ผู้อาวุโส สกุลปาถัวของข้า…” ปาถัวเฉินมองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงพลางเอ่ยอย่างวิงวอน


“เอาล่ะ”


ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปากพูด “ท่านประมุขรัฐก็ยังบอกว่าเรื่องนี้ให้แล้วกันไป ก็ให้แล้วกันไปเถิด เจ้าก็ไม่เหมาะที่จะรั้งอยู่ในรัฐถูฮวานี้อีกแล้ว อีกประเดี๋ยวข้าก็จะไปแล้ว เจ้าก็ตามข้าไปพร้อมกันเถิด”


“ขอรับ” ปาถัวเฉินเชื่อมั่นในใจว่าสามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้แล้ว


รู้ว่าเมื่อใต้เท้าเสวี่ยอิงผู้นี้จากไป เสาค้ำฟ้าสกุลหยางก็มีวิธีปลิดชีพเขาอย่างเงียบงันไร้สุ้มเสียงอยู่แล้ว


“ท่านประมุขรัฐ ข้ายังมีธุระต้องจัดการ ขอตัวก่อนล่ะ ขอบคุณเจตนาดีของท่านประมุขรัฐด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดพลางยิ้มน้อยๆ


“ฮ่าฮ่าฮ่า น้องเสวี่ยอิงมีธุระ ข้าก็ไม่ขวางแล้ว คราวหน้าหากมีเวลาว่างก็ต้องมาพบข้าที่นี่ด้วยล่ะ”


ประมุขรัฐถูฮวาพูดยิ้มๆ “รัฐถูฮวาของข้ามั่งคั่งไม่เท่ารัฐเมฆทักษิณา แต่ก็มีอาหารเลิศรสและสุราชั้นเลิศอันเป็นเอกลักษณ์อยู่มากพอสมควร”


“แน่นอน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า


“เดิมทีคิดว่าจะจัดงานเลี้ยงอีกครั้ง แต่นี่ใต้เท้าเสวี่ยอิงจะไปแล้ว คราวนี้ล่วงเกินเข้าแล้วจริงๆ ใต้เท้าเสวี่ยอิงโปรดอย่าได้ใส่ใจเลย” หยางสยงก็พูดขึ้น


ตงป๋อเสวี่ยอิงแย้มยิ้ม


พรึ่บ


ห้วงมิติด้านข้างบิดเบี้ยว


ตงป๋อเสวี่ยอิงนำตัวปาถัวเฉินผู้นั้นตรงเข้าไปในนั้นแล้วหายลับไป


“ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา” ประมุขรัฐถูฮวาเห็นแล้วก็พูดขึ้น ตัวเขาเป็นถึงประมุขรัฐก็ยังไม่รู้จักวิธีการสำแดงเคล็ดวิชานี้เลย


“เฮ้อ ในที่สุดก็ไปเสียแล้ว” หยางสยงก็ผ่อนลมหายใจเช่นกัน


“บุตรสาวเจ้าจะไปดุร้ายข้างนอกก็ช่างเถิด แต่ในนครหลวงก็เป็นเช่นนี้ได้หรือ ถึงอย่างไรสกุลหยางของพวกเจ้าก็เป็นตระกูลเสาค้ำฟ้าของรัฐถูฮวาของข้านะ” ประมุขรัฐถูฮวาขมวดคิ้วพูด


“เป็นเพราะข้ามิได้สั่งสอนให้ดี” หยางสยงพูดต่อ “ข้าจะเก็บกวาดเรื่องนี้ให้เรียบร้อย ข้าจะจัดเตรียมของกำนัลส่งไปยังเมืองหิมะเหินทันที”


“อืม” ประมุขรัฐถูฮวาพยักหน้าเบาๆ


ช่วยไม่ได้


รัฐประเทศเล็กๆ อย่างพวกเขาเมื่อเผชิญกับขุมอำนาจใหญ่ก็ย่อมมิกล้าล่วงเกินจริงๆ! อิงซานเสวี่ยอิงและประมุขรัฐเมฆทักษิณาผู้อยู่เบื้องหลังเขามีผลคุกคามรัฐถูฮวาอย่างแข็งแกร่งเหลือเกิน ลำพังแค่อิงซานเสวี่ยอิงกลายเป็นเทพจักรวาลก็เกรงว่าคงจะสามารถกวาดรัฐถูฮวาให้เรียบได้แล้ว แต่พวกเขาก็มิได้กังวล สำหรับผู้อ่อนแอแล้ว ภายในรัฐประเทศก็ยังมีกฎหมายให้พูดได้


มาถึงระดับขั้นอย่างประมุขรัฐถูฮวา พวกเขาก็คือผู้ออกกฎ! อาศัยสิ่งใดออกกฎน่ะหรือ ก็ย่อมต้องเป็นพลังยุทธ์อยู่แล้ว! ผู้แกร่งกล้าดังเช่นพวกอิงซานเสวี่ยอิงนี้ก็ย่อมมีพลังยุทธ์เพียงพอที่จะผลาญรัฐสักแห่งหนึ่งได้อยู่แล้ว


……


ปราการเมืองที่อยู่ตรงหน้าแห่งนี้ใหญ่โตมโหฬารเสียจนเหมือนไร้ขอบเขต กลิ่นอายค่ายกลยิ่งใหญ่ แม้กระทั่งตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังรู้สึกได้ถึงพลังกดดัน


“ที่นี่คือที่ใดกันหรือ” ปาถัวเฉินที่อยู่ข้างๆ มองดูปราการเมืองตรงหน้า


“นครหลวงคิมหันตวายุ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “ทั่วทั้งดินแดนจิตโลกามีปราการเมืองที่ใหญ่โตอยู่หลายแห่ง นครหลวงแห่งนี้ยังมีผู้คนมากกว่ารัฐเมฆทักษิณาทั้งรัฐเสียอีก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงรัฐถูฮวาอันเล็กจ้อยของพวกเจ้าเลย! ที่นี่มีผู้แกร่งกล้าจำนวนนับไม่ถ้วน เทพจักรวาลก็มีมากมายก่ายกอง สำนักวิชาต่างๆ ก็มีมากมายเป็นอย่างยิ่ง สกุลหยางย่อมมิกล้ามาหาตัวเจ้าที่นี่อยู่แล้ว แล้วก็ยิ่งมิกล้ามากระทำการอุกอาจที่นี่ด้วย”


รัฐโบราณคิมหันตวายุมีกฎเกณฑ์เคร่งครัด


เป็นถึงนครหลวง แม้จะเป็นเจ้าลัทธิสามท่านนั้นของทะเลสาบมารทมิฬก็ล้วนมิกล้ามาที่นี่ ต่อให้พวกเขาก่อความวุ่นวายที่รัฐโบราณคิมหันตวายุ ก็คงเป็นแค่พวกเมืองเล็กๆ บางแห่งเท่านั้น ถึงแม้จะเป็นเมืองเล็กก็ยังต้องระแวดระวัง นี่ก็คืออิทธิพลของรัฐโบราณคิมหันตวายุ!


ปาถัวเฉินมองดูปราการเมืองตรงหน้าแล้วนัยน์ตาก็สาดประกายกล้า


นครหลวงคิมหันตวายุหรือ


ปราการเมืองในตำนาน! ถ้าหากให้เขาเข้ามา ก็จะต้องผ่านค่ายกลส่งตัวมากมายเท่าใด ต้องผ่านนครหลวงมากมายเท่าใด แก้วผลึกจักรวาลมูลค่าสูงลิบลิ่วก็ทำให้เขาสิ้นหวังได้ ที่นครหลวงคิมหันตวายุแห่งนี้เต็มไปด้วยความเป็นไปได้อันไร้ที่สิ้นสุด!


“บำเพ็ญอยู่ที่นี่ให้ดีๆ เถิด เส้นทางในภายภาคหน้า เจ้าก็ต้องเดินด้วยตัวเองแล้วล่ะนะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด


“ขอบคุณผู้อาวุโส บุญคุณของผู้อาวุโส ผู้น้อยมิกล้าลืมเลือนตลอดกาล” ปาถัวเฉินคุกเข่าลงพลางเอ่ยอย่างซาบซึ้ง มิใช่ญาติมิตรแต่ก็ช่วยเหลือเขา มอบอนาคตให้กับเขา! ในใจเขาก็ซาบซึ้งหาใดเปรียบ


“ผู้น้อยขอทราบนามของผู้อาวุโสได้หรือไม่” ปาถัวเฉินพูด ถึงแม้ว่าพวกประมุขรัฐจะเคยพูดถึงชื่ออิงซานเสวี่ยอิงมาก่อน แต่ก็เก็บงำเสียงเอาไว้ ไม่ให้ผู้บำเพ็ญธรรมดาๆ เหล่านี้ได้ยิน


“ข้าชื่ออิงซานเสวี่ยอิง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด จากนั้นก็ก้าวเข้าไปในห้วงอากาศอันบิดเบี้ยวแล้วหายลับไป


“อิงซานเสวี่ยอิง อิงซานเสวี่ยอิง”


ปาถัวเฉินจดจำชื่อนี้เอาไว้อย่างเงียบๆ


ด้วยหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวที่มีนามว่าอิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้…มอบอนาคตให้แก่เขา


“จะต้องมีสักวันที่สามารถสังหารหยางสยงผู้นั้นได้ แล้วยืนอยู่ต่อหน้าผู้อาวุโสอิงซานเสวี่ยอิงอีกครั้ง” ปาถัวเฉินพลันลุกขึ้นแล้วเดินไปทางประตูเมืองของนครหลวงคิมหันตวายุตรงหน้า มหาสมุทรกว้างมัจฉากระโจน นภาสูงปักษาโผบิน! บางทีความหวังอาจเบาบาง แต่ความแค้นผลาญตระกูลอันยิ่งใหญ่นั้นเขามิอาจลืมเลือนได้ จะต้องคว้าโอกาสพากเพียรบำเพ็ญภายในนครหลวงคิมหันตวายุเอาไว้


******


“ฟิ้วๆๆ”


เสียงลมพัดหวีดหวิว


กลางท้องฟ้ามีดวงดาวสุกสกาวอยู่สิบห้าดวง ไม่ว่าจะเป็นราตรีอันมืดมิด หรือยามกลางวัน บนท้องฟ้าของ ‘เมืองนิจรัตติกาล’ แห่งรัฐโบราณบรรพชนก็จะมีดวงดาวสุกสกาวสิบห้าดวงนี้อยู่ตลอดกาล ดวงดาวสุกสกาวสิบห้าดวงแผ่ประกายดาวออกมา ปกคลุมปราการเมืองอันใหญ่โตเบื้องล่าง


“เมืองนิจรัตติกาล” ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์สีขาวตลอดร่างยืนอยู่กลางเวหา


เดิมทีที่รัฐถูฮวาแห่งนั้นมีสมบัติลับล้ำค่าของเขตลวงโลกเทียมอยู่ชิ้นหนึ่ง ทว่าตั้งแต่เขาปรากฏเปิดเผยตัว ก็ไม่เหมาะที่จะไปดูสมบัติลับล้ำค่าชิ้นนั้นในทันทีแล้ว


เพราะเมื่อถึงเวลาที่ถามราคา ผ่าน ‘การต่อรองราคา’ กับร้านรวงและเจ้าของสมบัติลับล้ำค่า เกรงว่าเจ้าของสมบัติลับล้ำค่าก็คงจะสามารถคาดเดาถึงตัวตนของเขาได้แล้ว! ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่อยากให้เรื่องที่ตนซื้อหาสมบัติลับล้ำค่าของเขตลวงโลกเทียมเปิดเผยสู่สาธารณะ! ถึงแม้ว่าจะถูกผู้ดูแลร้านค้าชั้นหนึ่งขนาดใหญ่ล่วงรู้ แต่ร้านค้าของขุมอำนาจระดับบนเช่นนี้ ‘ความไว้วางใจ’ เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด


ลูกค้าไม่อยากเปิดเผย ร้านค้าก็ย่อมช่วยรักษาความลับอยู่แล้ว


กับ ‘หยางสยง’ ผู้นั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิได้มีจิตคิดสังหาร เพราะว่าหยางสยงเป็นถึงบรรพชนตระกูลเสาค้ำฟ้าแห่งรัฐถูฮวา เป็นดังเช่นจ้าวดินแดน มีเกาะแก่งหลายหมื่นแห่งที่อยู่ภายใต้การควบคุมของเขาอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นหยางสยงก็คุ้มครองเกาะใต้อาณัติอย่างสุดกำลัง การดำรงอยู่ของเขาก็เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของประชากรใต้อาณัติ


คนผู้นี้มิใช่พญามารที่ทำการสังหาตามอำเภอใจ ตงป๋อเสวี่ยอิงย่อมมิอาจลงมือได้อยู่แล้ว


จับตามองดินแดนจิตโลกา


ผู้แกร่งกล้าคนใดบ้างเล่าที่ไม่ร้ายกาจ ขอเพียงแค่มิใช่มารที่เที่ยวสังหารตามอำเภอใจ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็สามารถทนได้อยู่แล้ว เพราะว่าผู้แกร่งกล้าที่มีจิตใจเมตตาต่อผู้บำเพ็ญระดับล่างจำนวนนับไม่ถ้วนนั้นมีอยู่น้อยนิดยิ่งนัก ในทางกลับกันระดับที่เห็นได้บ่อยอย่างหยางสยงและประมุขรัฐถูฮวา หรือแม้กระทั่ง ‘ประมุขรัฐเมฆทักษิณา’ ท่านอาจารย์ของตน ถึงแม่ว่าจะให้ความสำคัญกับประชาชนเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็มิอาจนับได้ว่ามีเมตตาต่อผู้อ่อนแแอ


อ้างอิงจากข้อมูลที่ตนล่วงรู้ ท่านอาจารย์ประมุขรัฐเมฆทักษิณาก็มีด้านที่โหดเหี้ยมอำมหิตเช่นเดียวกัน!


ประเภทนี้ยังสามารถทนได้! มีเพียงแค่มารที่เที่ยวสังหารตามอำเภอใจเหล่านั้นเท่านั้น พวกเขาถึงขนาดที่สามารถทำการบูชาโลหิตสังหารหมู่สิ่งมีชีวิตนับล้านล้านชีวิตได้ กับมารประเภทนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถสังหารได้อย่างเดียวเท่านั้น ย่อมไม่มีทางออมมืออยู่แล้ว


“ข้าลงมือที่รัฐถูฮวาไปแล้วครั้งหนึ่ง เช่นนั้นก็ไปดูสมบัติลับล้ำค่าที่วางขายอยู่ที่นครหลวงรัฐถูฮวาชิ้นนั้นเป็นสิ่งสุดท้ายเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินก้าวยาวๆ ไปทางเมืองนิจรัตติกาลตรงหน้า “ดูชิ้นที่วางขายที่เมืองนิจรัตติกาลนี้ก่อนก็แล้วกัน”


รัฐโบราณบรรพชนมี ‘บรรพชน’ อยู่สองท่าน ล้วนเป็นบุคคลที่ไปถึงระดับขั้นไร้เทียมทานกันแล้วทั้งสิ้น


ท่านหนึ่งถูกเรียกว่า ‘บรรพชนราตรีนิรันดร์’ ส่วนอีกท่านหนึ่งคือ ‘บรรพชนนิจรัตติกาล’


บรรพชนราตรีนิรันดร์…ขึ้นชื่อในเรื่องความเชี่ยวชาญในการหลอมมารรับใช้ ความสำเร็จในการหลอมมารรับใช้ของเขานั้นแข็งแกร่งที่สุดในดินแดนจิตโลกาอย่างไร้ข้อโต้แย้ง! มารรับใช้ขั้นอลวนกลุ่มใหญ่ก็แล้วไปเถิด นี่ก็สามารถเห็นได้บ่อยๆ ในรัฐโบราณคิมหันตวายุ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือบรรพชนราตรีนิรันดร์ยังสามารถหลอม ‘มารรับใช้’ ที่มีพลังรบระดับเทพจักรวาลออกมาได้ด้วย เขาหลอมมารรับใช้ระดับเทพจักรวาลออกมาได้ทั้งสิ้นเก้าตน ซึ่งก็ถูกเรียกว่า ‘เก้าผู้ท่องราตรีนิรันดร์’


ผู้ท่องทุกคนต่างก็สวามิภักดิ์ต่อบรรพชนราตรีนิรันดร์อย่างสิ้นเชิง เป็นตัวแทนความปรารถนาของบรรพชนราตรีนิรันดร์ พวกเขาเก้าคนมีทั้งพลังยุทธ์แข็งแกร่งและอ่อนแอ ทว่าผู้ที่อ่อนแอที่สุดก็ยังแข็งแกร่งกว่าประมุขรัฐถูฮวาเสียอีก ส่วนที่แข็งแกร่งที่สุดนั้นก็มีพลังยุทธ์ระดับเดียวกับบรรพชนราตรีนิรันดร์ เกรงว่าน่าจะสามารถเทียบเคียงได้กับประมุขรัฐเมฆทักษิณาเลยทีเดียว!


ผู้ท่องทั้งเก้าใต้อาณัติ…


ทำให้บรรพชนราตรีนิรันดร์มีพลังเหนือกว่าผู้ใต้ปกครองอย่างแข็งแกร่งที่สุด


ส่วน ‘บรรพชนนิจรัตติกาล’ นั้น ว่ากันว่าร่างเดิมคือทะเลโลหิตแห่งหนึ่งในดินแดนจิตโลกา ให้กำเนิดวิญญาณ บำเพ็ญมาจนถึงระดับขั้นในปัจจุบัน การศึกษาทางด้านหยาดโลหิตของเขาก็เรียกได้ว่าแข็งแกร่งที่สุดในดินแดนจิตโลกา


‘โลหิตธาตุ’ หยดเดียวของเขาสามารถทำให้ผู้บำเพ็ญแปรเปลี่ยนและเกิดใหม่ได้ ทำให้พลังยุทธ์เพิ่มพูนอย่างมหาศาล! อย่างเช่นผู้แกร่งกล้าขั้นอลวนชั้นที่สิบดูดซับโลหิตธาตุหยดหนึ่งเข้าไป ความหวังในการบรรลุเป็นเทพจักรวาลก็เพิ่มพูนขี้นเป็นอย่างมาก เมื่อใดที่ดูดซับโลหิตธาตุของเขา ก็ย่อมต้องสวามิภักดิ์ต่อเขา มิอาจทรยศได้เลยแม้แต่น้อย ผู้ที่ดูดซับโลหิตธาตุของเขาเหล่านี้ แต่ละคนต่างก็เคารพยกย่องเขาเป็น ‘บรรพชน’ ทั้งสิ้น


ดังนั้น


ในบรรดาหกรัฐโบราณ รัฐโบราณบรรพชนนั้นก็เรียกได้ว่าโดดเด่นเป็นที่สุด พลังในการรวบรวมก็แกร่งที่สุด แน่นอนว่าพูดถึงพลังยุทธ์ รัฐโบราณบรรพชนก็สามารถจัดได้เป็นระดับกลางในหกรัฐโบราณ


“หืม”


ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินเตร็ดเตร่อยู่ที่เมืองนิจรัตติกาลอันหรูหราอลังการ ที่นี่ผู้แกร่งกล้าเหลือล้น “ได้ยินว่าผู้ที่สำเร็จเป็นเทพจักรวาลใต้อาณัติของบรรพชนนิจรัตติกาลที่ดูดซับหยาดโลหิตของเขา ก็มีอยู่ถึง ‘สิบห้าคน’! พร้อมกันนั้นก็ยังมีเหล่าเทพจักรวาลคนอื่นๆ อยู่อีกจำนวนหนึ่งที่ไปเข้าเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาเพื่อร้องขอโลหิตธาตุของบรรพชนนิจรัตติกาลไปทำการศึกษา ทำให้จำนวนเทพจักรวาลใต้บังคับบัญชาของเขามีอยู่มากมายเป็นที่สุด”


โลหิตธาตุหยดหนึ่งของบรรพชนนิจรัตติกาล นอกจากจะดูดซับเข้าไปโดยตรงแล้วก็ยังมีประโยชน์อื่นๆ อยู่อีกมากมาย อย่างเช่นการเพาะเลี้ยงแมลงอสูร และการเปลี่ยนแปลงร่างกายของตนเอง เป็นต้น ราคาที่ซื้อขายกันข้างนอกล้วนเป็นหมื่นล้านแก้วผลึกจักรวาล แพงจนน่ากลัว


“ถึงแล้วล่ะ”


ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูอาคารสีทองอันระยิบระยับจับตาตรงหน้าแห่งนี้ บนอาคารสีทองมีดวงดาวสิบห้าดวงสลักอยู่ นี่มิได้ด้อยไปกว่า ‘วังนิจรัตติกาล’ ของร้านค้าสกุลฝานเลย


ตอนที่ 71 สมบัติลับล้ำค่าแปดชิ้น

Ink Stone_Fantasy

วังนิจรัตติกาลเป็นขุมอำนาจทางการค้าที่จัดอยู่ในห้าลำดับแรกของดินแดนจิตโลกา


และที่วังนิจรัตติกาลแห่ง ‘เมืองนิจรัตติกาล’ หนึ่งในสองเมืองทิพย์แห่งรัฐโบราณบรรพชนอันเป็นที่ตั้งของศูนย์บัญชาการนั้นก็หรูหราหาใดเทียม


“ใต้เท้าอิงซานเสวี่ยอิง เชิญขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเพิ่งเดินไปถึงด้านนอกวังนิจรัตติกาล ก็มีผู้ดูแลขั้นอลวนคนหนึ่งมาต้อนรับ ไม่ต้องพูดอะไรก็ล่วงรู้ถึงตัวตนของตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว


“ข้าต้องการดู ‘ดวงจิตเปี่ยมกิเลส’ โดยไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียง


ผู้ดูแลคนนี้ถ่ายเสียงพูดด้วยสีหน้าสงบเงียบว่า “ใต้เท้าอิงซานเสวี่ยอิงวางใจได้เต็มที่เลยขอรับ ตั้งแต่วังนิจรัตติกาลของข้าก่อตั้งมา แต่ไหนแต่ไรก็มิเคยมีความลับรั่วไหลมาก่อนเลยขอรับ!”


ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า


พูดถึงผลกระทบ


วังนิจรัตติกาลนับได้เพียงว่าเป็นขุมอำนาจทางการค้าห้าอันดับแรก แต่หากพูดถึงความน่าเชื่อถือ ที่นี่และร้านค้าสกุลฝานนั้นกลับจัดได้ว่าเป็นอันดับหนึ่ง สมบูรณ์แบบเป็นที่สุด! แต่ไหนแต่ไรก็มิเคยมีความลับรั่วไหลจนส่งผลกระทบต่อลูกค้า


เช่นขุมอำนาจทางการค้าอื่นๆ ล้วนมีประวัติอันด่างพร้อยมาก่อน ถึงอย่างไร แม้ว่ากฎเกณฑ์จะเข้มงวดกว่านี้  ผู้กุมอำนาจทางการค้าที่แท้จริงก็ยังเป็นเทพจักรวาลที่แกร่งกล้าจำนวนหนึ่ง เนื่องด้วยความเห็นแก่ตัว ก็ย่อมใช้ประโยชน์จากความลับบางประการภายในแหล่งการค้า


แต่ร้านค้าสกุลฝานและวังนิจรัตติกาลนั้นไม่เหมือนกัน


ความไว้วางใจของพวกเขานั้นสมบูรณ์แบบเป็นที่สุด! จะเห็นได้จากสิ่งนี้ว่า ‘บรรพชนนิจรัตติกาล’ และ ‘บรรพชนฝาน’ เจ้าของผู้อยู่เบื้องหลังสองขุมอำนาจใหญ่ทางการค้านี้มีความร้ายกาจในด้านการควบคุมลูกน้องมากเพียงใด! เช่นมหาเคารพซือเทียน มหาเคารพลู่เทียนและผู้ร้ายกาจคนอื่นๆ เมื่ออยู่ต่อหน้าบรรพชนฝานกลับประพฤติตนดีงามกันเป็นอย่างยิ่ง ส่วนบรรพชนนิจรัตติกาลนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงดูดซับโลหิตธาตุของเขาแล้วก็ย่อมต้องสวามิภักดิ์


“ใต้เท้าอิงซานเสวี่ยอิง โปรดรออยู่ที่นี่สักครู่” ผู้ดูแลนำตงป๋อเสวี่ยอิงเข้ามาในห้องโถงแห่งหนึ่ง “อีกประเดี๋ยวจะส่งดวงจิตเปี่ยมกิเลสมาให้นะขอรับ”


“ได้สิ” ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งลงขัดสมาธิพลางดื่มสุราชั้นเลิศที่เพิ่งอุ่นร้อนมาใหม่ตรงหน้า


เพียงชั่วครู่


ผู้ดูแลอาภรณ์ดำก็กลับเข้ามาอีกครั้ง เขาพลิกมือคราหนึ่ง ไม้เท้าอันหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าตงป๋อเสวี่ยอิง บนไม้เท้าประดับด้วยก้อนหินสีดำขนาดเท่าฝ่ามือก้อนหนึ่ง


“สามารถหยิบมาดูในมือได้หรือไม่” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยถาม


“ย่อมได้” ผู้ดูแลอาภรณ์ดำอมยิ้ม สมบัติล้ำค่ามูลค่ากว่าหมื่นล้านแก้วผลึกจักรวาล ขั้นอลวนธรรมดาๆ ย่อมไม่มีสิทธิ์ได้ดูอยู่แล้ว แต่อิงซานเสวี่ยอิงมิได้อยู่ในแถวหน้าอย่างแน่นอน


ตงป๋อเสวี่ยอิงคว้าคทาที่ดูเหมือนไม้เท้าธรรมดาๆ อันหนึ่งนี้เอาไว้ ไม้เท้านี้ธรรมดาก็จริง สายตาของเขาจับอยู่บนก้อนหินสีดำที่ประดับอยู่บนไม้เท้า เพียงแค่สายตาได้เห็นก็รู้สึกว่า ‘ก้อนหินสีดำ’ มีพลังดึงดูดอันแรงกล้า ทำให้เขาจ้องมองดูอย่างมิอาจควบคุมตนเองได้ มีความรู้สึกอยากจะจ่อมจมเข้าไปชนิดหนึ่ง แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นยอดฝีมือที่เขตลวงโลกเทียมไปถึงขั้นอลวนชั้นที่เก้า ก็สามารถควบคุมจิตใจเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย


“วิ้ง”


สติรับรู้แทรกผ่านความรู้สึก


ก้อนหินสีดำ จึงจะเป็น ‘ดวงจิตเปี่ยมกิเลส’ ส่วนไม้เท้าก็เอาไว้เพื่อปกป้องก้อนหินสีดำเท่านั้นเอง


“กึกๆ…”


ขณะที่สติรับรู้แทรกผ่านเข้าสู่ก้อนหินสีดำนั้นเอง ก็รู้สึกได้ว่าก้อนหินสีดำเหมือนจะขยายและหดตัวราวกับหัวใจเต้น ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่ไหวติง อย่างช้าๆ …เขาก็ ‘ได้เห็น’ โลกขนาดใหญ่ที่อยู่ภายใต้ไอหมอกสีชมพูแล้ว ภายในโลกใบนี้มีสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังทวีคูณและใช้ชีวิตกันอยู่ แต่ความปรารถนาภายในโลกนั้นช่างแรงกล้าเหลือเกิน


เพื่อความรัก ชัง ละโมบ หลงใหล ตื่นเต้น มีความสุข… ความปรารถนาทางอารมณ์ชนิดต่างๆ ก็ก่อให้เกิดความขัดแย้งจำนวนนับไม่ถ้วนขึ้นทั่วทั้งโลก


“โลกา”


“กิเลส”


ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยสีหน้ายินดี


ยามที่ไปถึงขั้นอลวนระดับสุดยอดมุ่งสู่เทพจักรวาล ดังเช่นทางสายห้วงอากาศก็เพียงแค่แบ่งออกเป็นเส้นทางหลายสายเท่านั้น เขาบำเพ็ญเคล็ดผนึกห้าภาพสำเร็จ ก็ได้ครอบครองวิถีทางส่วนใหญ่แล้ว


เหตุผลเดียวกัน


เขตลวงโลกเทียมก็แบ่งออกเป็นเส้นทางหลายสาย สายหลักของเขาก็คือเส้นทาง ‘โลกา’ อีกทั้งยังค่อนข้างเชี่ยวชาญเส้นทาง ‘สังหาร’ อีกด้วย ถึงอย่างไรวิชา ‘บุปผาเก้าใบ’ ของเขาก็คือท่าไม้ตายอันน่าหวั่นเกรงที่โลกเทียมและโลกเขตลวงกลั่นกรองออกมา เพียงแค่หลอมรวมเข้าไปในความเร้นลับของวิถีเข่นฆ่าบางส่วนเท่านั้น


“ดวงจิตเปี่ยมกิเลสนี้ก็คือเส้นทางสองสาย สายหนึ่งคือเส้นทางโลกา ส่วนอีกสายหนึ่งคือเส้นทางกิเลส” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ


กิเลส ก็คือเส้นทางสายหนึ่งของเขตลวงโลกเทียมที่พบเห็นได้บ่อยมาก


เมื่อติดเข้าไปในห้วงกิเลส ก็จะจ่อมจมเข้าไปในโลกมายา…


“สมบัติล้ำค่าชิ้นนี้ไม่เลวเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบปิติยินดี “มีเส้นทางโลกา แน่ใจว่าข้าหยั่งรู้เป็นระยะเวลาสักช่วงหนึ่งก็สามารถสำแดงพลังรบชั้นที่สิบออกมาได้แล้ว แม้กระทั่งข้าสำเร็จเป็นเทพจักรวาล ก็ยังส่งผลดึงดูดอยู่ดี! ส่วน ‘เส้นทางกิเลส’ นั้น… รอให้ข้าสำเร็จเป็นเทพจักรวาลแล้วก็ต้องการที่จะศึกษาเส้นทางอื่นๆ ด้วยเช่นเดียวกัน”


“ตึง”


ตงป๋อเสวี่ยอิงวางไม้เท้าในมือลงบนโต๊ะ


“ใต้เท้าอิงซานเสวี่ยอิง เป็นอย่างไรบ้างขอรับ” ผู้ดูแลที่อยู่ด้านข้างถามยิ้มๆ เพียงแต่ในใจก็แอบประหลาดใจ ถึงขนาดที่มีสติรับสัมผัส แต่ไม่ได้รับผลกระทบเลยแม้แต่น้อยอย่างนั้นหรือ พวกที่วิญญาณอ่อนแอเหล่านั้น ถึงแม้ว่าจะสามารถต้านทานได้ ก็คงจะได้รับผลกระทบอยู่บ้าง


“ดวงจิตเปี่ยมกิเลสนี้ ใต้เท้าอิงซานเสวี่ยอิงชมชอบหรือไม่” ผู้ดูแลแย้มยิ้ม


ชมชอบ


แน่นอนว่าย่อมต้องชมชอบอยู่แล้ว! สามารถทำให้ตนเองสำเร็จเคล็ดวิชาเขตลวงโลกเทียมระดับชั้นที่สิบได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังทำให้ตนเองสอดแนม ‘เส้นทางกิเลส’ ของเขตลวงโลกเทียมได้อีกด้วย


“คิดราคาอย่างไรหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม


ผู้ดูแลอาภรณ์ดำยิ้มแยกเขี้ยว “สองหมื่นล้านแก้วผลึกจักรวาล”


“อย่าพูดราคาสูงส่งเดชเช่นนี้เลย ราคาต่ำสุดเท่าใดหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม


“สิ่งนี้เป็นการรวมกันของเคล็ดวิชาระดับขั้นอลวนชั้นที่สิบสองชนิด” ผู้ดูแลอาภรณ์ดำพูด “นอกจากนี้ หนึ่งกิเลส หนึ่งโลกา ภายใต้การสำแดงของสองอย่าง… แม้กระทั่งเทพจักรวาลทั่วไปก็ยังยากที่จะต้านทานได้ ต่อให้ต้านทานก็เกรงว่าคงจะสูญเสียพลังยุทธ์ไปอย่างมหาศาล”


ตงป๋อเสวี่ยอิงยอมรับ


ทั้งสองส่งเสริมสนับสนุนกันอย่างแท้จริง


‘โลกา’ เดิมทีก็ดึงดูดจิตวิญญาณคนอยู่แล้ว ส่งผลฉุดลากศัตรูเข้าไปภายในโลก อย่างเช่นเมื่อโลกเขตลวงของเขาสำแดงออกมา วิญญาณก็อ่อนแอเสียจนจ่อมจมเข้าไปภายในโลกเขตลวงแล้ว


แต่ถ้าหากมีเคล็ดวิชา ‘กิเลส’ อันแข็งแกร่งอย่างที่สุดเช่นเดียวกัน ภายใต้การเหนี่ยวนำของกิเลส พลังต้านทานของศัตรูก็จะอ่อนแอลงอย่างฉับพลัน อีกทั้งยังติดเข้าสู่โลกเขตลวง นึกอยากจะดิ้นรนออกมานั้น ระดับความยากก็ย่อมสูงขึ้นไปหลายเท่า


“ถึงแม้ว่าจะมีเคล็ดวิชาระดับขั้นอลวนชั้นที่สิบสองชนิด แต่ก็ต้องสามารถสำแดงออกมาได้จึงจะมีประโยชน์” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “เคล็ดวิชาชนิดหนึ่งก็ยากมากแล้วที่จะสำแดงออกมาได้ เคล็ดวิชาสองชนิดอย่างนั้นหรือ บางทีอาจจะมีผู้มีพรสวรรค์ล้ำเลิศสักคนหนึ่งที่สามารถเดินออกมาบนเส้นทางวิถีสองสายทางด้าน ‘เขตลวงโลกเทียม’ ไปจนถึงระดับสุดยอดทั้งคู่ได้ตั้งแต่ยังเป็นขั้นอลวน! ทว่าเส้นทางสองสายนี้ ก็คือความเป็นไปได้ของกิเลสและโลกา แต่กลับต่ำเป็นที่สุดแล้ว”


“แม้กระทั่งเทพจักรวาลทางด้านเขตลวงโลกเทียม ก็ยังสำเร็จเป็นเทพจักรวาลแล้ว สำหรับสมบัติลับล้ำค่าระดับชั้นที่สิบ ก็มิใคร่จะใส่ใจสักเท่าใดแล้ว ถึงอย่างไรสิ่งที่สำแดงก็คือเคล็ดวิชาระดับชั้นที่สิบ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยอย่างราบเรียบ “ถ้าหากเสนอราคาสูงมาส่งเดช ก็มิอาจเจรจากันได้แล้วล่ะ”


“เจ้าของสมบัติลับล้ำค่าที่ฝากขายบอกมาแล้วว่าราคาต่ำสุดคือหนึ่งหมื่นหกพันล้าน” ผู้ดูแลอาภรณ์ดำพูด


“เช่นนั้นก็ปล่อยมันเอาไว้ที่เดิมนั่นแหละ”


ตงป๋อเสวี่ยอิงยืดกายลุกขึ้น


“วางใจเถิด ข้าจะไปลองถามเจ้าของสมบัติลับล้ำค่าดูอีกที” ผู้ดูแลอาภรณ์ดำพูด


“สมบัติลับล้ำค่าไม่เลวเลย แต่ราคาแพงเกินไป ตอนนี้ที่ขายอยู่บนดินแดนจิตโลกาอย่างเปิดเผยมีอยู่แปดชิ้น มีจำนวนหนึ่งที่ถูกกว่านี้มากทีเดียว ข้าจะไปดูชิ้นอื่นๆ ก็แล้วกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงลุกขึ้นตั้งท่าจะเดินออกไป เขามิได้เจรจากับผู้ดูแลอาภรณ์ดำมากมายเกินไปนัก เพราะว่าผู้ดูแลไม่มีสิทธิ์ตัดสินราคา เขาก็เพียงแค่ถ่ายทอดคำพูดมาเท่านั้น ยังต้องให้เจ้าของสมบัติลับล้ำค่าผู้นั้นตัดสินใจอยู่ดี


……


ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินเล่นในดินแดนจิตโลกา ในขณะที่ไปตรวจดูสมบัติลับล้ำค่าของเขตลวงโลกเทียมที่สถานที่แต่ละแห่งนั้นก็ได้เปิดหูเปิดตาไปพร้อมกันด้วย


เขาถึงขนาดเคยไปที่รัฐโบราณหิมะน้ำแข็งมารอบหนึ่ง ได้เห็นผู้แกร่งกล้าที่ยิ่งใหญ่แห่งรัฐโบราณหิมะน้ำแข็งหลายคน พูดถึง ‘สำนักหลอมกาย’ นั้นรัฐโบราณหิมะน้ำแข็งก็แข็งแกร่งที่สุดอย่างไร้ข้อโต้แย้ง! เพราะว่ารัฐโบราณหิมะน้ำแข็งมีบรรพชนที่ไปถึงขั้นไร้เทียมทานอยู่ถึงสามท่าน บรรพชนสามท่านนั้น แต่ละคนต่างก็ไปถึงระดับสุดยอดทางด้านการหลอมกาย ดังนั้นนึกอยากจะหลอมร่างกายที่กล้าแกร่งออกมา สำนักวิชาของรัฐโบราณหิมะน้ำแข็งก็มีความเชี่ยวชาญกว่ามากนัก น่าเสียดายที่รัฐโบราณหิมะน้ำแข็งนั้นปิดกั้นกว่าอยู่พอสมควร ค่อนข้างต่อต้านรัฐประเทศภายนอก


“ยังเหลือชิ้นสุดท้ายอยู่”


สองเดือนกว่าให้หลัง


ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มาถึงรัฐถูฮวา สมบัติลับล้ำค่าที่นครหลวงรัฐถูฮวาชิ้นนี้เป็นสมบัติลับล้ำค่าของเขตลวงโลกเทียมชิ้นสุดท้ายที่เขาดู


สมบัติลับล้ำค่าก่อนหน้านี้ที่มีราคาถูกที่สุดก็คือแปดพันห้าร้อยล้านแก้วผลึกจักรวาล ที่แพงที่สุดก็ยังคงเป็นหนึ่งหมื่นหกพันล้าน ที่ต้องใจตงป๋อเสวี่ยอิงที่สุดในตอนนี้ก็คือ ‘ดวงจิตเปี่ยมกิเลส’ ชิ้นนั้น น่าเสียดายที่จนถึงตอนนี้ก็ยังต้องการราคาถึงหนึ่งหมื่นห้าพันล้านอยู่ดี ราคานี้มีแรงกดดันมากเกินไปสำหรับตน ต้องแลกเปลี่ยน ‘หกหมื่นแต้มความดีความชอบ’ ที่ท่านอาจารย์ให้ตนเป็นแก้วผลึกจักรวาลจนหมดสิ้นจึงจะเพียงพอ


เช่นนั้นร่างแยกของตนก็จะไม่มีทางบำเพ็ญร่างเมฆทักษิณาทิพย์ได้แล้ว


“ใต้เท้าเสวี่ยอิง” ร้านค้าสกุลฝานภายในรัฐถูฮวา ภายใต้การขอให้รักษาความลับของตงป๋อเสวี่ยอิง ผู้ดูแลก็นำเขามายังห้องโถงแห่งหนึ่ง


“นี่คือ ‘กระดิ่งจิตมาร’ ขอรับ” ผู้ดูแลวางกระดิ่งสีทองอันหนึ่งลงตรงหน้าตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยรอยยิ้มน้อยๆ


ตงป๋อเสวี่ยอิงจ้องมองกระดิ่งสีทองตรงหน้า นี่คือชิ้นสุดท้ายแล้ว ตนเองดูหมดแล้วก็ต้องรีบตัดสินใจว่าจะซื้อชิ้นไหนโดยเร็วที่สุดแล้ว


ทันใดนั้นเขาก็ยื่นมือออกไปคว้ากระดิ่งจิตมารชิ้นนี้เอาไว้

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)