Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 33 ตอนที่ 65-66
ตอนที่ 65 จำหน่ายหรือ
Ink Stone_Fantasy
“ท่านชายฉื้อเฟิง” ผู้ท่องธุลีฝนที่อยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ กลับถ่ายเสียงเตือนอย่างหาได้ยากว่า “รีบผนึกมิติเร็วเข้า”
“ได้”
ในมือของท่านชายฉื้อเฟิงมีม้วนสาส์นม้วนหนึ่งปรากฏขึ้น เขากระตุ้นมัน มิติอันเรืองรองร่อนลงมาปกคลุมทั้งตำหนักลัทธิกระบี่สวรรค์เอาไว้ทันที เทพมารร้อยสงครามฝานฉู่ฮู่ ผู้แกร่งกล้าอาภรณ์ดำ ผู้ท่องธุลีฝนและทูตวารีและทูตเพลิงซึ่งอยู่ในที่นั้นต่างก็มั่นใจขึ้นมา แม้ตงป๋อเสวี่ยอิงจะสำแดงเคล็ดผนึกห้าภาพออกมาลงมือกับพวกเขา แต่หากยอดฝีมืออย่างพวกเขาร่วมมือกันแล้ว พลังก็คงสามารถต้านทานได้
แต่สิ่งที่น่ากลัวก็คือ ตงป๋อเสวี่ยอิงออกกระบวนท่ามาได้เร็วพอแล้วลงมือกับใครสักคนเดี่ยวๆ!
ต้องยอมรับว่า ยอดฝีมือขั้นอลวนชั้นที่สิบ ณ ที่นี้ ไม่ว่าคนใดหากต่อสู้ตัวต่อตัวก็ล้วนมิใช่คู่ต่อสู้ของอิงซานเสวี่ยอิผู้นี้ทั้งสิ้น ความแตกต่างนั้นมากมายเสียเหลือเกิน!
“น่ากลัวจริงๆ เขาฝึกเคล็ดผนึกห้าภาพสำเร็จได้ตั้งแต่ยังเป็นขั้นอลวน!” ผู้ท่องธุลีฝนรักสันโดษมาก แต่ยามนี้กลับพูดอย่างตื่นตระหนก
“น่ากลัวจริงๆ นั่นแหละ” ท่านชายฉื้อเฟิงผู้หยิ่งผยองเงยหน้าขึ้นมองดูมังกรมารขนาดมหึมาซึ่งขดตัวอยู่กลางฟากฟ้า มองดูชายหนุ่มอาภรณ์ขาวบนหลังมังกรมารผู้นั้น และเกิดความรู้สึกเทิดทูนอิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้เป็นครั้งแรก! โลกของผู้บำเพ็ญนั้นไม่ง่ายเลย แม้จะมีเบื้องหลังความเป็นมาที่ควรค่าแก่การหยิ่งผยอง แต่ ‘พลัง’ จึงจะเป็นแก่นแท้! เมื่อพลังถูกก้าวข้ามไปอย่างสิ้นเชิงนั้น โดยทั่วไปก็จะเคารพผู้แกร่งกล้า
นี่คือการเคารพด้านพลัง!
“เคล็ดผนึกห้าภาพ หากข้าฝึกวิถีตรีภพได้อย่างสมบูรณ์ จึงจะมีหวังก้าวข้ามเขาได้กระมัง” ท่านชายฉื้อเฟิงลอบพึมพำ “แต่ข้าบำเพ็ญอย่างยากลำบากก็ฝึกได้แค่ม้วนอดีตของวิถีตรีภพเท่านั้น ท่านพี่ที่มั่นใจในตนเองและเย่อหยิ่งถึงของข้าคนนั้น ฝึกม้วนอดีตสำเร็จก็บำเพ็ญม้วนอนาคตต่อ…จนลุ่มหลงอยู่กับอนาคต และเสียสติไปแล้ว”
ม้วนอดีตนั้นง่ายดายที่สุด
ม้วนอนาคตมีภัยทำให้ลุ่มหลงอยู่ ทันทีที่ลุ่มหลงกับอนาคต ก็บ้าคลั่งไปแล้วจริงๆ
ที่ยากที่สุดก็คือ ‘ม้วนปัจจุบัน’ ทั้งสามภพรวมเป็นหนึ่ง ก็ยากยิ่งนัก ในประวัติศาสตร์ก็มีหลายคนที่เสียสติหรือปลิดชีพตนเองไป ดังนั้นเมื่อพูดถึงวิถีตรีภพจึงต้องหน้าถอดสี โดยทั่วไปจะต้องสำเร็จเป็นเทพจักรวาลเสียก่อนจึงค่อยๆ ฝึกฝนม้วนอนาคตไปได้ และถึงขั้นต้องสำเร็จเป็นเทพจักรวาลระดับชั้นที่สองเสียก่อนจึงจะกล้าย่างกรายเข้าสู่ ‘ม้วนปัจจุบัน’ หากสามภพรวมเป็นหนึ่งเมื่อใด…
พลังยุทธ์ก็น่าหวาดหวั่นแล้ว
ไม่อยู่ในอดีต ไม่อยู่ในอนาคต ไม่อยู่ในปัจจุบัน ศัตรูโจมตีก็มิอาจแตะต้องตนได้ วิธีการพรรค์นี้นั้นไม่แพ้การกลายเป็นอากาศธาตุครบสมบูรณ์ขั้นสุดเลย อานุภาพการต่อสู้ก็ยิ่งเยี่ยมยอดเข้าไปใหญ่
“เคล็ดสืบทอดลับอันน่าหวาดหวั่นพรรค์นี้ แม้จะถูกคิดค้นขึ้นมา แต่โดยทั่วไปก็ต้องเป็นเทพจักรวาลจึงจะกล้าฝึกฝนอย่างแท้จริง” ท่านชายฉื้อเฟิงทอดถอนใจ
เคล็ดผนึกห้าภาพ!
วิถีตรีภพ!
และเคล็ดสืบทอดลับอันน่าหวาดหวั่นอย่างยิ่งอื่นๆ จำพวกเดียวกัน โดยทั่วไปผู้ที่บรรลุถึงขั้น ‘ไร้ศัตรู’ ดังเช่นบรรดาสิ่งมีชีวิตระดับอย่างบรรพชนฝาน เมื่อพวกเขาบรรลุถึงขั้นสุดแล้วก็หันกลับมาค้นคว้าเส้นทางของตนเอง เช่นการผลักดันระดับขั้นอลวน คิดค้นวิธีการขั้นสุดขึ้นมา นี่คือสิ่งที่สามารถทำให้สำเร็จได้ตามหลักการ
อย่าง ‘เคล็ดผนึกห้าภาพ’ ตามหลักแล้วขั้นอลวนนั้นสามารถบรรลุได้ แต่จะมีขั้นอลวนสักกี่คนกันที่สามารถทำให้เส้นทางทั้งห้าสายบรรลุถึงขั้นสุดได้เล่า
‘ตามหลัก’ แล้วสามารถทำได้ แต่ในความเป็นจริงนั้น ความเป็นไปได้ที่จะฝึกสำเร็จนั้นต่ำนัก
ส่วนผู้ที่ยืนอยู่ในระดับที่ไร้ศัตรูที่สุดของดินแดนจิตโลกาอย่างแท้จริงนั้น พวกเขาไม่สนใจว่าชนรุ่นหลังฝึกสำเร็จได้หรือไม่ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องคิดค้นขึ้นมาก่อน! เคล็ดวิชาอยู่ตรงนี้ หากเก่งพอก็มาฝึกให้สำเร็จ
“ยิ่งมีพลังแกร่งกล้าเท่าใด ก็ยิ่งต้องทนรับความยากลำบากมากขึ้นเท่านั้น” ท่านชายฉื้อเฟิงเงยหน้ามอง ในใจรู้สึกอิจฉา แม้การฝึกให้สำเร็จนั้นจะยาก แต่เมื่อสำเร็จแล้วก็เหนือกว่าคนในระดับเดียวกันอย่างแท้จริง
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงเหลือบมองลงมาเบื้องล่าง ก็เห็นยอดฝีมือขั้นอลวนชั้นที่สิบในตำหนักกระบี่สวรรค์กลุ่มนั้นหวาดผวาเสียจนต้องใช้สมบัติลับตัดขาดมิติ ทำให้มุมปากของเขากระดกขึ้นเป็นรอยยิ้มน้อยๆ จากนั้นก็พูดเสียงดังกังวานว่า “ข้า อิงซานเสวี่ยอิงมาท้าทายยอดฝีมือลัทธิกระบี่สวรรค์อยู่ที่นี่ โม่เฉาผู้นี้มีพลังธรรมดาเกินไป แม้แต่กระบวนท่าเดียวของข้าก็ยังมิอาจต้านทานได้ หรือว่าลัทธิกระบี่สวรรค์มีพลังเพียงเท่านี้”
เสียงนั้นดุจระลอกคลื่นที่แพร่สะพัดออกไปทั่วทุกทิศทุกทาง
ท้าทาย
ตบหน้า!
ตงป๋อเสวี่ยอิงอาศัยสิ่งนี้โจมตีชื่อเสียงของลัทธิกระบี่สวรรค์ครั้งใหญ่
……
ภายในตำหนักลัทธิกระบี่สวรรค์
ท่านชายฉื้อเฟิงและคนอื่นๆ มิได้รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจสักเท่าใดนัก เพราะพวกเขามิใช่ศิษย์ของลัทธิกระบี่สวรรค์
“เคล็ดผนึกห้าภาพศิษย์ลัทธิกระบี่สวรรค์ ในการต่อสู้อันทรงเกียรติ ไหนเลยจะมีผู้ที่เป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้” เทพมารร้อยสงครามฝานฉู่ฮู่พูดพลางส่ายหน้า
“อย่าว่าแต่การต่อสู้อันทรงเกียรติเลย ต่อให้ตามหายอดฝีมือทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา ขั้นอลวนที่สามารถเอาชนะอิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้ได้ก็มีน้อยเสียจนยกนิ้วนับได้ ไม่มีสักคนที่มิใช่ไข่ในหินของขุมอำนาจใหญ่ทั้งหลาย ลัทธิกระบี่สวรรค์มิอาจเชื้อเชิญมาได้เลย” ท่านชายฉื้อเฟิงกล่าว
พูดถึงเคล็ดวิชาแล้ว
เคล็ดผนึกห้าภาพ นับได้ว่าเป็นอันดับต้นๆ ของระดับขั้นอลวนแล้ว แต่หากจะตามหาวิชาที่แข็งแกร่งกว่าจริงๆ ก็มีสิบกว่าวิชา
แต่ยิ่งแข็งแกร่งเท่าใด ความยากในการฝึกฝนก็จะยิ่งเพิ่มสูงขึ้นเท่านั้น
ในประวัติศาสตร์ ผู้ที่ฝึกสำเร็จนั้นมีน้อยเสียจนน่าอนาถ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้ที่ฝึกสำเร็จใน ‘โลกปัจจุบัน’ เลย เนื่องจากผู้ที่สามารถฝึกเคล็ดสืบทอดลับอันไร้เทียมทานระดับนั้นได้ โดยทั่วไปก็ล้วนต้องเป็นผู้มีพรสวรรค์ซึ่งมีการรับรู้และทรัพยากรสั่งสมมาอย่างน่าหวาดหวั่นมาก ไม่นานเท่าใดนักก็จะก้าวเข้าสู่ขั้นเทพจักรวาลได้ อย่างตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถฝึกเคล็ดผนึกห้าภาพได้สำเร็จ ก็เท่ากับว่าขาข้างหนึ่งก้าวเข้าไปอยู่ในธรณีประตูของเทพจักรวาลแล้ว วันที่จะสำเร็จเป็นเทพจักรวาลก็อยู่ห่างออกไปไม่มากนัก
ดังนั้น ผู้ที่ฝึกฝนเคล็ดสืบทอดลับอันน่าหวาดหวั่นได้สำเร็จในประวัติศาสตร์ก็สำเร็จเป็นเทพจักรวาลแทบทั้งสิ้น
ผู้ที่เป็นขั้นอลวนในโลกปัจจุบันนี้ และสามารถออกมาเอาชนะตงป๋อเสวี่ยอิงได้ก็มีน้อยยิ่งนัก และล้วนแต่เป็นไข่ในหินของขุมอำนาจใหญ่ทั้งสิ้น! ยิ่งไปกว่านั้น ในการต่อสู้อันทรงเกียรติ หากมิใช่คนของลัทธิกระบี่สวรรค์ก็ไม่มีสิทธิ์ออกไปต่อสู้
******
“กระบวนท่าเดียวก็ยังมิอาจต้านทานได้รึ”
“พลังนี้น่าหวาดหวั่นเกินไปแล้ว เกรงว่าเทพจักรวาลใหม่บางคนอาจจะยังต้านทานมิได้เลยกระมัง”
“อื้ม เทพจักรวาลก็ต้องบำเพ็ญมานานและสั่งสมทรัพยากร จึงจะสามารถเอาชนะอิงซานเสวี่ยอิงได้! เทพจักรวาลใหม่พวกนั้นน่ะหรือ ก็แค่ขั้นอลวนชั้นที่สิบเท่านั้น ไหนเลยจะเป็นคู่ต่อสู้ของอิงซานเสวี่ยอิงคนนี้ได้”
ทั่วสารทิศมีผู้ชมอยู่จำนวนนับไม่ถ้วน
เกี้ยวคันแล้วคันเล่าอยู่กลางฟากฟ้า ผู้แกร่งกล้าจำนวนมากพูดคุยกันอยู่ประปราย แม้แต่บรรดาขั้นอลวนก็ยังรู้สึกคร้ามเกรงต่อชายหนุ่มอาภรณ์ขาวที่อยู่บนหลังของมังกรมารไกลออกไป! พลังเช่นนี้ช่างน่าหวาดหวั่นอย่างแท้จริง หากสำแดง ‘เคล็ดผนึกห้าภาพ’ ออกไป ขั้นอลวนชั้นที่สิบก็หนีไม่พ้น เทพจักรวาลใหม่ก็ต้องถูกจับกุม ขั้นอลวนอย่างพวกเขาเหล่านี้ยิ่งต้องถูกกวาดล้าง ราวกับมดปลวกในกำมือ
“พลังระดับนี้ ต่อให้เป็นผู้ไร้เทียมทานที่สุดของที่สุดซึ่งได้รับการชี้แนะจากสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรู ในหกรัฐโบราณ เกรงว่าก็คงอยู่ในระดับนี้กระมัง” แต่ละคนรู้สึกชื่นชมระคนอิจฉา
“ขั้นอลวนในสี่รัฐมารทมิฬของพวกเราก็มียอดฝีมือที่น่าหวาดหวั่นเช่นนี้ปรากฏขึ้นมาด้วยหรือนี่”
“ร้ายกาจ”
“ชื่อเสียงคงจะเลื่องลือไปทั่วดินแดนจิตโลกาอย่างรวดเร็ว”
คนจำนวนมากก็รู้สึกเป็นเกียรติไปด้วยเช่นกัน
ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ล้วนแต่อยู่ในขอบเขตของสี่รัฐมารทมิฬ ในดินแดนจิตโลกาอันยิ่งใหญ่ สี่รัฐมารทมิฬเป็นเพียงแค่บริเวณเล็กๆ ตรงชายขอบเท่านั้น! สถานที่เล็กๆ พรรค์นี้ช่างไม่สะดุดตาเอาเสียเลย ขุมอำนาจต่างๆ เช่นรัฐโบราณคิมหันตวายุไม่ค่อยเห็นสถานที่เช่นนี้อยู่ในสายตาสักเท่าใดนัก จึงย่อมมีความรู้สึกเหยียดหยามเป็นธรรมดา แต่เมื่อให้กำเนิด คนอย่าง ‘อิงซานเสวี่ยอิง’ ซึ่งฝึกเคล็ดผนึกห้าภาพสำเร็จขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นขั้นอลวนของรัฐโบราณแห่งใดก็ล้วนแต่ไม่กล้าดูแคลนทั้งสิ้น
……
แม้ผู้ที่ล้อมวงดูอยู่จะมีจำนวนมาก และวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา
แต่อันที่จริงแล้วยังมีเทพจักรวาลหลายคนที่ลอบชมการต่อสู้อยู่ห่างๆ เพราะถึงอย่างไรนี่ก็เป็นการลับเหลี่ยมเฉือนคมระหว่างลัทธิกระบี่สวรรค์และสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์! โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วีรบุรุษแห่งโลกปัจจุบันอย่าง ‘ประมุขรัฐกระบี่สวรรค์’ และ ‘ประมุขรัฐเมฆทักษิณา’ ก็ลอบชมทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นอย่างเงียบๆ
“เสวี่ยอิง”
ตงป๋อเสวี่ยอิงได้ยินเสียงของอาจารย์ดังก้องขึ้นข้างหู
“ท่านอาจารย์” ตงป๋อเสวี่ยอิงตอบรับ
“เจ้าจับตัวเจ้าคนที่ขื่อว่าโม่เฉามา หากเจ้าไม่คัดค้าน ข้าก็จะให้ประมุขรัฐกระบี่สวรรค์ไถ่ตัวกลับไปล่ะนะ” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาถ่ายเสียงพูด
“ข้าไม่คัดค้านแน่นอนอยู่แล้วขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงจับมาทั้งเป็นก็เพื่อเรียกค่าไถ่
หากสังหารทิ้งเสียเลย ก็คงได้สมบัติลับมาเล็กน้อยเท่านั้น
ไถ่ตัว
จึงจะสามารถได้แก้วผลึกจักรวาลจำนวนมา! ตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้เห็นอ๋องอสนีบาตโม่เฉาเป็นคู่ต่อสู้เลย และก็มิได้มีความชิงชังอันใดต่อกัน เพราะต่างคนต่างก็ทำเพื่อสำนักของตนเองทั้งสิ้น
“ดีมาก เจ้าทำได้ดีพอ ขวางประตูต่อไป!” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาถ่ายเสียงกำชับ
“ขอรับ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เข้าใจว่าพลังของตนทำให้แผนการยกทัพเข้าสู่สี่รัฐมารทมิฬของลัทธิกระบี่สวรรค์ต้องพบอุปสรรคอันหนักหน่วง เห็นได้ชัดว่าทั้งสองฝ่ายเริ่มเจราจากันแล้ว
“ครั้งก่อนลัทธิกระบี่สวรรค์ส่งอ๋องชางซูและคนอื่นๆ ไปขวางประตูตำหนักทิพย์เมฆทักษิณาของเรา ทั้งยังสังหารศิษย์นอกสำนักไปหลายต่อหลายคนด้วย วิธีการช่างอำมหิตนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนหลังมังกรมารขนาดมหึมา เสียงนั้นสะท้อนก้องไปทั่วฟ้าดิน “ข้ายังคิดว่าลัทธิกระบี่สวรรค์จะมียอดฝีมือที่ร้ายกาจสักเท่าใดกันเชียว โม่เฉาผู้นี้ก็ยังนับว่าพอจะมีความกล้าหาญอยู่บ้าง เพียงแต่พลังอ่อนด้อยไปหน่อยเท่านั้น ตอนนี้ไม่มีผู้ที่กล้าประมือกับข้า อิงซานเสวี่ยอิงแม้แต่คนเดียวเลยหรือ”
ระลอกอากาศที่โหมซัดโอบล้อมทั่วทั้งตำหนักลัทธิกระบี่สวรรค์เอาไว้
ขวางประตูต่อไป
ท่าทางที่ดูเหมือนจะขวางประตูไปเป็นร้อยล้านปีทำให้ยอดฝีมือลัทธิกระบี่สวรรค์จำนวนมากโกรธเสียจนเนื้อเต้นไปหมด แต่กลับมิมีผู้กล้าต่อกรด้วยเลยสักคน พวกเขาล้วนรู้สึกหวาดหวั่นครั่นคร้ามต่อพลังของ ‘อิงซานเสวี่ยอิง’ ผู้นี้กันถ้วนหน้า!
ตอนที่ 66 กำไรยกใหญ่
Ink Stone_Fantasy
ร่างกายอันใหญ่โตของมังกรมารคดเคี้ยว นัยน์ตามหึมาดุจทะเลสาบเหลือบมองลงไปเบื้องล่าง มันเองก็รู้สึกลำพองใจนัก ตอนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของประมุขรัฐเมฆทักษิณาก็เป็นแค่สัตว์เดรัจฉานที่เป็นพาหนะหรือคอยลากเกี้ยวเท่านั้น แต่เมื่อติดตาม ‘อิงซานเสวี่ยอิง’ เจ้านายคนปัจจุบันกลับเฉิดฉายเพียงใดกัน!
ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนหลังมังกรมารอันกว้างขวาง ในใจก็ลอบครุ่นคิดว่า “ในดินแดนจิตโลกาก็อาจจะมีขั้นอลวนที่แข็งแกร่งกว่าข้า แต่ศิษย์ของลัทธิกระบี่สวรรค์จะต้องไม่มีแน่! นอกจากนี้พวกขั้นอลวนที่แกร่งกว่าข้าก็คงจะแค่เอาชนะข้าได้เท่านั้น แต่กลับมิอาจสังหารข้าได้” เขาก็มั่นอกมั่นใจในตนเอง พลังอันแข็งแกร่งของตน ด้านเขตลวงโลกเทียมของตนก็บรรลุถึงขั้นอลวนขั้นสุดเช่นกัน ด้านวิญญาณก็ไม่มีข้อบกพร่องเลยแม้แต่น้อย
“ถึงสู้ต่อไป ลัทธิกระบี่สวรรค์ก็ไม่มีโอกาสชนะเลยแม้แต่น้อย เกรงว่าคงจะต้องยอมศิโรราบ”
“ก็ไม่รู้ว่า…อ๋องอสนีบาตโม่เฉาจะขายได้สักเท่าไหร่กัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ ตนยังต้องอาศัยสิ่งนี้เพื่อซื้อสมบัติล้ำค่าเขตลวงโลกเทียม!
ถึงแม้ว่าหากตนเอ่ยปาก อาจารย์ประมุขรัฐเมฆทักษิณาก็คงจะให้ตนหยิบยืมได้ก็ตามที
แต่ทว่า…
ตงป๋อเสวี่ยอิงมิใช่คนที่ ‘ไร้ยางอาย’ พรรค์นั้น หากเรื่องนั้นก็เอ่ยปาก เรื่องโน้นก็เอ่ยปาก เกรงว่าประมุขรัฐเมฆทักษิณาก็คงรู้สึกเดือดแค้นในใจกระมัง ‘ลูกแก้วห้าภาพ’ เป็นสิ่งที่อาจารย์มอบให้เอง นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง นอกจากนี้ ‘ลูกแก้วห้าภาพ’ ก็มีราคาราวสองพันล้านแก้วผลึกจักรวาลแล้ว นี่ก็เพราะลูกแก้วห้าภาพหลอมแปรสำเร็จมานานแสนนานจนนับปีไม่ถูกแล้ว ผู้ใต้บังคับบัญชาของประมุขรัฐเมฆทักษิณาก็มิมีผู้ใดฝึกสำเร็จอีก จึงได้มอบให้ตงป๋อเสวี่ยอิง ตนก็ได้เปรียบมามากแล้ว จึงมิกล้า ‘ละโมบเอ่ยปากขอ’ อีก
“วิ้ง”
ตงป๋อเสวี่ยอิงกำหนดจิตคราหนึ่ง ปณิธานสายหนึ่งร่อนลงไปยังโลกอากาศของลูกแก้วห้าภาพซึ่งจองจำอ๋องอสนีบาตโม่เฉาเอาไว้
……
นี่คือโลกปิดผนึกแห่งหนึ่ง ในฐานะสมบัติลับระดับยอดจึงมั่นคงหาใดเปรียบ ต่อให้เทพจักรวาลถูกขังเอาไว้ ก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถหนีออกไปได้
“หมดกัน”
บุรุษอาภรณ์สีม่วงโม่เฉานั่งขัดสมาธิอยู่กลางอากาศพลางมองดูรอบด้าน รอบด้านมีแต่มิติปิดผนึกอันเวิ้งว้าง
นัยน์ตาของโม่เฉาฉายแววสิ้นหวังเขาดิ้นรนก็แล้ว คิดหาวิธีจนสิ้นก็แล้ว แต่ก็ยังหนีออกไปมิได้ มิอาจสั่นคลอนมิติปิดผนึกนี้ได้เลยแม้แต่น้อย
“ข้า โม่เฉาจะจบสิ้นแค่นี้เองน่ะหรือ ไม่ ไม่ อิงซานเสวี่ยอิงมิได้สังหารข้า ข้ายังมีหวังรอดชีวิตต่อไปได้!” ในใจของโม่เฉาสับสนไปหมด ในดินแดนจิตโลกามีขุมอำนาจมากมายชิงดีชิงเด่นกัน ผู้แกร่งกล้าจะล้มตายก็พบเห็นได้เป็นประจำ เทพจักรวาลที่สิ้นใจก็มีไม่น้อย ขั้นอลวนชั้นที่สิบคนหนึ่งมิอาจก่อระลอกคลื่นขึ้นมาได้สักนิดด้วยซ้ำไป
“ข้าผ่านความยากลำบากมาตั้งมากมายเท่าไหร่ ตอนนั้นก็ยังมุ่งหน้ามายังรัฐโบราณสหโลกาเพียงลำพัง ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีผู้คอยดูแลให้ดี ก็ยังสามารถบุกฝ่าสะพานสิบกัลป์ได้ จึงได้มีพลังและสถานะเช่นทุกวันนี้” โม่เฉาขบกรามกรอด
ไม่ยอมจำนน
ไม่ยอมจำนนจริงๆ
เส้นทางการบำเพ็ญยากเข็ญเพียงใด สามารถบรรลุถึงระดับเช่นทุกวันนี้ได้ ก็ไม่ง่ายดายขนาดไหน แต่วันใดที่ล้มเหลว ก็อาจสูญสิ้นทุกสิ่งไปจนหมดได้!
“ฟิ้ว” เงาร่างอันเลือนรางสายหนึ่งรวมตัวกันขึ้นมา เป็นตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวนั่นเอง
“อิงซานเสวี่ยอิง” โม่เฉารีบผุดลุกขึ้นมาพลางจับจ้องตงป๋อเสวี่ยอิง นัยน์ตาฉายแววระแวดระวัง
“เอาสมบัติล้ำค่าทั้งหมดของเจ้าออกมาให้ข้าดูซิ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปากพูด
“เจ้าจะทำอะไรน่ะ” โม่เฉาแตกตื่นและระวังตัวขึ้นมา
“ฮ่าฮ่า ทำไมรึ มาถึงขั้นนี้แล้วเจ้ายังคิดจะขัดขืนอีกหรือ หากข้าจะสังหารเจ้า ผนึกห้าภาพก็เำียงพอจะกดดันเจ้าให้ถึงตายได้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย
โม่เฉาก็เข้าใจในข้อนี้ดี เขาได้ลิ้มรสเคล็ดผนึกห้าภาพด้วยตนเองมาแล้ว ตอนนั้นก็แค่พันธนาการตนเอาไว้ แต่พละกำลังช่างยิ่งใหญ่เกินต้านทาน ‘พละกำลังกดดันพันธนาการมิติ’ ที่เขาพยายามดิ้นรนสุดกำลังก็ยังมิอาจต้านทานได้นั้นทำให้เขาเข้าใจว่า ขอเพียงกดดันลงมาทั้งหมด ก็เพียงพอจะบีบเขาให้ตายได้แล้ว!
แม้ร่างกระบี่สวรรค์ไร้ทลายของเขาจะครบสมบูรณ์มานานแล้ว อย่างมากที่สุดก็แค่ต้านทานได้ไม่กี่ครั้งก็เท่านั้นเอง
“เอาไป” โม่เฉาโบกมือคราหนึ่ง
ทันใดนั้นสมบัติล้ำค่าเก็บวัตถุ อาวุธและอื่นๆ ล้วนลอยออกมาจนสิ้น
ตงป๋อเสวี่ยอิงชี้ออกไปไกลๆ คลื่นระลอกหนึ่งก็แทรกเข้าไปภายในกายของโม่เฉา แม้โม่เฉาอยากจะขัดขวาง แต่กลับมิกล้า ทำได้เพียงปล่อยให้ตงป๋อเสวี่ยอิงตรวจสอบแต่โดยดี
“มิได้ซ่อนเร้นเอาไว้” ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงนำสมบัติล้ำค่ามาตรวจสอบดู
สมบัติลับอันยอดเยี่ยมที่โม่เฉาครอบครองมีทั้งหมดสองชิ้นด้วยกัน น่าเสียดายที่ต่างก็เป็นขั้นอลวนชั้นที่สิบเท่านั้น! อันที่จริงนี่จึงเป็นสถานการณ์ปกติทั่วไป สำหรับขั้นอลวนแล้ว หากได้สมบัติลับเทพจักรวาลที่แข็งแกร่งเกินไปมาก็มิอาจสำแดงอานุภาพออกมาได้ และอาจถึงขั้นถูกเทพจักรวาลละโมบเอาไปก็เป็นได้! ดังนั้นสถานการณ์อย่างโม่เฉาก็ถือเป็นเรื่องปกติมาก สถานการณ์อย่างตงป๋อเสวี่ยอิงต่างหากที่ไม่ค่อยจะปกติสักเท่าใดนัก
ชิ้นหนึ่งคือหอกเทพเมฆาแดงซึ่งเขาค้นพบเอง สกุลฝานก็เคยจะมาขอซื้อก่อนหน้านี้
ลูกแก้วห้าภาพ มีอาจารย์ประมุขรัฐเมฆทักษิณาเป็นผู้หลอมขึ้น เขารู้สึกว่าศิษย์ฝึกฝนเคล็ดผนึกห้าภาพได้สำเร็จ จึงน่าจะปกป้องเอาไว้ได้ จึงมอบให้เขา สิ่งที่ประมุขรัฐเมฆทักษิณามอบให้นั้น เขาก็เชื่อว่าไม่มีเทพจักรวาลหน้าไหนอาจหาญมาแย่งไปขากศิษย์เขาแน่! เพราะถึงอย่างไรเพื่อจะรักษารากฐานของสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ในตอนนั้น เขาก็ได้ประมือกับบรรดาสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูทั้งหลาย
“ข้าจะนำสมบัติล้ำค่าไปแล้ว ส่วนชีวิตน้อยๆ ของเจ้า ก็ขึ้นอยู่กับว่าประมุขรัฐกระบี่สวรรค์จะทำใจยอมไถ่ตัวหรือไม่” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “หากเขาให้ราคาต่ำ เมื่ออาจารย์ของข้าออกคำสั่งมาคำหนึ่ง ข้าก็ได้แต่สังหารเจ้าทิ้งก็เท่านั้นเอง”
“ข้าเข้าใจแล้ว” โม่เฉาพยักหน้า เขารู้ว่าตอนนี้ชีวิตน้อยๆ ของตนอยู่ระหว่างการเจรจาของประมุขรัฐกระบี่สวรรค์และประมุขรัฐเมฆทักษิณา
หากราคาค่าไถ่สูงเกินไปจนประมุขรัฐกระบี่สวรรค์ไม่ยอมจ่าย เขาก็ต้องตาย!
หากในการเจรจาสงครามระหว่างสำนักทั้งสอง ลัทธิกระบี่สวรรค์ไม่ยอมถอยสักเท่าใดนัก เขาก็ต้องตายเช่นเดียวกัน!
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนหลังมังกรมาร ปิดผนึกทั้งตำหนักลัทธิกระบี่สวรรค์เอาไว้ เขาขวางประตูเช่นนี้เอง แม้ไกลออกไปจะมีผู้ชมจำนวนนับไม่ถ้วนอยู่เขาก็ไม่แยแส
สีของท้องฟ้าเปลี่ยนจากกลางวันเป็นยามราตรี
ในที่สุดก็เปลี่ยนจากยามราตรีกลับมาเป็นกลางวันอีกครา
……
“ฮ่าฮ่าฮ่า พี่กระบี่สวรรค์ ครั้งนี้จะโทษท่านมิได้เลย หากจะโทษ ก็ต้องโทษโชคชะตาเท่านั้น ที่โชคมาอยู่กับข้า ท่านแพ้ไม่น่าอนาถหรอก”
“ข้ามิได้โกรธเลย เพราะถึงอย่างไรก็มีหนุ่มน้อยมากที่เยี่ยมยอดเช่นนี้ปรากฏขึ้นมา ไม่ว่าผู้ใดก็ทำอะไรไม่ถูก”
ปณิธานอันยิ่งใหญ่สองสายปะทะกันและเจรจากันอยู่ห่างๆ
พวกเขาทั้งสองเจรจาตกลงกันเรียบร้อย
ลัทธิกระบี่สวรรค์เตรียมการส่งทัพเข้าสู่สี่รัฐมารทมิฬมานานแสนนาน เพิ่งจะเริ่มต้นก็ยุติลงเสียแล้ว! แม้ตัว ‘ประมุขรัฐเมฆทักษิณา’ เองจะยอดเยี่ยมและน่าหวาดหวั่น แต่ประมุขรัฐกระบี่สวรรค์ก็มิได้ด้อยกว่ากันมากนัก ทั้งยังมีผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลังมากกว่าด้วย เดิมทีครั้งนี้เตรียมการเอาไว้พร้อมสรรพมาก แม้จะมีการส่งผู้แกร่งกล้าชุดหนึ่งเช่น ‘ท่านชายฉื้อเฟิง ฝานฉู่ฮู่และผู้ท่องธุลีฝน’ มา ก็เป็นแค่เพียงช่วงเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น
ลัทธิกระบี่สวรรค์เตรียมการต่อสู้อันยาวนานระหว่างทั้งสองฝ่ายมานานแสนนานแล้ว
เนื่องจากภายใต้สถานการณ์ปกติ ยากมากที่ขั้นอลวนชั้นที่สิบจะแตกต่างกันมากมายนัก พวกเขาล้วนแต่อาศัยการสั่งสมด้วยการต่อสู้ต่างๆ ตลอดคืนวันอันยาวนาน
แต่ครั้งนี้ ‘อิงซานเสวี่ยอิง’ กลับโผล่ออกมา! ทั้งยังท้าทายอย่างเอิกเกริกอีกด้วย ต่อให้มีผู้สนับสนุนเบื้องหลังมากกว่านี้ก็มิอาจเป็นตัวแทนศิษย์ลัทธิกระบี่สวรรค์ออกมาต่อสู้ได้ ประมุขรัฐกระบี่สวรรค์ก็ได้แต่ยอมแพ้เท่านั้น!
ไม่เพียงแต่ยอมแพ้เท่านั้น
นอกจากนี้แม้แต่การต่อกรกันของทั้งสองฝ่ายภายใน ‘รัฐโบราณเสียดฟ้า’ ก่อนหน้านี้ ประมุขรัฐกระบี่สวรรค์ก็ต้องเสียสละไปไม่น้อย! ช่วยไม่ได้ เพราะหากไม่ยอมก้มหัวแล้ว เกรงว่าอิงซานเสวี่ยอิงก็คงจะไปยังตัวเมืองอื่นในดินแดนจิตโลกาและทำการ ‘ขวางประตู’ ต่อไป ‘ขวางประตู’ แห่งแล้วแห่งเล่า…
แต่ ‘ประมุขรัฐเมฆทักษิณา’ ก็เข้าใจว่า มิอาจบีบบังคับมากเกินไปได้!
แม้ศิษย์ขั้นอลวนจะฟาดฟันกัน แต่ระดับสูงสุดก็จะไม่สังหารกัน นี่คือกฎเกณฑ์ที่แฝงอยู่ แต่หากบีบบังคับมากเกินไป จะสั่นคลอนรากฐานของทั้งลัทธิกระบี่สวรรค์ เช่นนั้นประมุขรัฐกระบี่สวรรค์ไปจนถึงสิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดหวั่นกว่าซึ่งอยู่เบื้องหลังก็จะถูกฉีกหน้า
ดังนั้น…
ฉวยโอกาสหาประโยชน์ให้มากหน่อยก็ใช้ได้แล้ว!
******
ฟ้าสว่างรำไรขึ้นมาแล้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งนั่งอยู่บนหลังมังกรมารเงยหน้ามองไปยังขอบฟ้าไกลออกไป “วันที่สองแล้ว ไม่รู้ว่าการเจรจาเป็นเช่นไรบ้าง”
เพียงชั่วครู่เดียว
“เสวี่ยอิง ทุกอย่างเจรจากันเรียบร้อยแล้ว ประมุขรัฐกระบี่สวรรค์ยอมจ่ายแปดพันล้านแก้วผลึกจักรวาลเพื่อไถ่ตัวโม่เฉาและสมบัติลับขั้นอลวนชั้นที่สิบทั้งสองชิ้นของเขากลับไป ตอนนี้เจ้าก็ปล่อยเขาเสียเถิด แล้วก็ภารกิจของเจ้าลุล่วงแล้ว กลับมาเถอะ ไม่จำเป็นต้องรั้งอยู่ในรัฐประกายเพลิงอีกแล้วล่ะ” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาถ่ายเสียงพูด
“ขอรับ ท่านอาจารย์” จากนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็กำหนดจิตคราหนึ่งทันที
เมื่อโบกมือคราหนึ่ง
ด้านข้างก็มีบุรุษอาภรณ์สีม่วงโม่เฉาผู้นั้นปรากฏกายขึ้น โม่เฉามองท้องฟ้ารอบกายด้วยความตกตะลึง มองดูมังกรสีดำขนาดใหญ่ตรงหน้า รวมทั้งอิงซานเสวี่ยอิงที่กำลังจ้องมองตนเองอยู่
“นี่คือสมบัติลับของเจ้า” ตงป๋อเสวี่ยอิงโบกมือคราหนึ่งก็ขว้างสมบัติลับขั้นอลวนชั้นที่สิบสองชิ้นนั้นออกไป
สมบัติลับสองชิ้นนั้น มูลค่าอยู่ที่ราวห้าร้อยล้านแก้วผลึกจักรวาล
…เท่ากับกล่าวว่า
ชีวิตของโม่เฉาแลกมาด้วยแก้วผลึกจักรวาลหกพันห้าร้อยล้านก้อน! นี่ก็คือข้อดีของการจับทั้งเป็น แน่นอนว่านี่เมื่อเทียบกับความมั่งคั่งของประมุขรัฐกระบี่สวรรค์แล้วก็ยังถือว่าธรรมดาทั่วไป หากเป็นผู้ที่ร่ำรวยอย่าง ‘ประมุขรัฐเมฆทักษิณา’ โดยทั่วไปแล้วหากจะไถ่ตัวศิษย์ขั้นอลวนชั้นที่สิบหรือผู้ใต้บังคับบัญชากลับมา ราคาที่ศัตรูกำหนดก็คงสูงกว่ามากทีเดียว เพราะผู้ใดก็รู้ว่าประมุขรัฐเมฆทักษิณานั้นมั่งคั่ง!
ถึงอย่างไรประมุขรัฐกระบี่สวรรค์ก็ถูกรัฐโบราณสองแห่งบีบคั้น เมื่อเทียบกันแล้วก็ออกจะยากจนอยู่บ้าง
“ไปกันเถิด”
ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งอยู่บนหลังมังกรมาร เมื่อถ่ายทอดคำสั่งลงไป มังกรมารก็เลื้อยคดเคี้ยวไปมาทันที ก่อนจะทะลุอากาศจากไป
โม่เฉาเห็นฉากนี้เข้าก็ลอบทอดถอนใจ นับว่าครั้งนี้ลัทธิกระบี่สวรรค์แพ้อย่างน่าอนาถ ทว่าเขาก็ยังแอบโชคดีที่อย่างน้อยเขาก็มีชีวิตรอดมาได้
“ครั้งนี้ลัทธิกระบี่สวรรค์เข้าสู่สี่รัฐมารทมิฬ เพิ่งจะเริ่มต้นก็พ่ายแพ้เสียแล้ว” ท่านชายฉื้อเฟิงและคนอื่นๆ ภายในตำหนักลัทธิกระบี่สวรรค์ เมื่อได้เห็นโม่เฉารอดชีวิตและถูกปล่อยตัวออกมา ก็เข้าใจว่าลัทธิกระบี่สวรรค์นั้นเจรจากับสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์เรียบร้อยแล้ว
“ช่วยไม่ได้ ผู้ใดจะไปคิดเล่าว่าอิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้จะโผล่ออกมา ทั้งยังร้ายกาจถึงขั้นฝึกเคล็ดผนึกห้าภาพสำเร็จเช่นนี้ได้”
พวกเขาแต่ละคนต่างก็ทอดถอนใจ
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงเพียงแค่ส่งสารให้โหวชวีหมิง จากนั้นก็ตรงกลับไปยังนครหลวงรัฐเมฆทักษิณาทันที
ณ สถานที่สำหรับบำเพ็ญภายในวังหลวง
ประมุขรัฐเมฆทักษิณานั่งขัดสมาธิอยู่บนผืนหญ้าสีดำ เหนือทะเลสาบลึกด้านหลังมีหมอกขาวม้วนตัวอยู่ เขากำลังหัวเราะอย่างเบิกบานพลางมองดูชายหนุ่มอาภรณ์ขาวซึ่งโดยสารมังกรมารร่อนลงมาอยู่ลิบๆ เขาพึงพอใจเป็นอย่างมาก เขาถึงขั้นสามารถทำนายได้ว่า…อิงซานเสวี่ยอิงศิษย์ผู้ก้าวขาข้างหนึ่งเข้าสู่เทพจักรวาลแล้ว เมื่อสำเร็จเป็นเทพจักรวาล เกรงว่าคงมีหวังจะฝึกเคล็ดผนึกห้าภาพให้สำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ได้ ถึงตอนนั้น ศิษย์คนนี้ก็จะเป็นยอดฝีมืออันดับสองของรัฐเมฆทักษิณา และกลายเป็นผู้ช่วยของตนอย่างแท้จริงแล้ว
เพราะถึงอย่างไรขุมอำนาจของเขาก็อ่อนแอไปหน่อย หากผู้แกร่งกล้าที่เก่งกาจพอจะสวามิภักดิ์ ก็สวามิภักดิ์ต่อรัฐโบราณ!
“เอ๊ะ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงบินลงจากหลังมังกรมาร เพียงมองปราดเดียวก็เห็นว่าด้านข้างอาจารย์ที่อยู่ไกลออกไปมีคนกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ ทั้งจ้าวฉุนอวี้ จ้าวทานเผิง รวมไปถึงบรรดาอ๋องที่ได้รับการแต่งตั้งขั้นอลวนชั้นที่สิบทั้งหลาย และยังมีเหล่าศิษย์ถ่ายทอดเองด้วย พวกเขาล้วนรอคอยตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ที่นี่ แม่เฒ่าอิงซานยิ้มจนตาหยี เห็นได้ชัดว่าเบิกบานใจอย่างยิ่ง อย่างศิษย์คนที่สี่ฟู่หลิงอวิ๋นและศิษย์น้องสี่ฟู่หลิงเซียวซึ่งอิจฉาริษยาในตอนแรก ก็ไม่มีจิตคิดริษยาอีกต่อไป เพราะแม้พวกเขาจะได้รับการบ่มเพาะจากอาจารย์อย่างสุดกำลังก็เป็นได้เพียงขั้นอลวนชั้นที่เก้าเท่านั้น
บัดนี้ศิษย์น้องอิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้แข็งแกร่งเสียจนเหนือกว่าศิษย์พี่กงเหลียงอี้และศิษย์พี่หญิงกุ่ยลี่ที่พวกเขาเคยนับถือเสียอีก
ในวันนี้ ชื่อเสียงอันเกรียงไกรของอิงซานเสวี่ยอิงได้แพร่สะพัดไปทั่วในบรรดาบุคคลระดับสูงของดินแดนจิตโลกา ทำให้บรรดาผู้แกร่งกล้าจำนวนนับไม่ถ้วนจับตามองดินแดนเล็กๆ ทางตอนใต้ของรัฐโบราณคิมหันตวายุแห่งนี้ ส่วนภายในรัฐเมฆทักษิณาก็ยิ่งเดือดพล่านเข้าไปใหญ่
“ศิษย์ขอคารวะอาจารย์” ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินมุ่งหน้าไปแล้วทำความเคารพ
ตอนที่ 67 สมบัติลับ
Ink Stone_Fantasy
“ดี” สายตาของประมุขรัฐเมฆทักษิณาที่มองตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความชื่นชม เขาพูดพลางพยักหน้า “สำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ของเราต่อสู้กับลัทธิกระบี่สวรรค์มาตลอดคืนวัยอันยาวนาน และตกเป็นรองมาโดยตลอด ครั้งนี้พวกเขาบุกเข้ามาในรัฐประกายเพลิงด้วยท่าทีอันองอาจ ทว่าการที่เสวี่ยอิงฝึกฝน ‘เคล็ดผนึกห้าภาพ’ ได้สำเร็จกลับทำให้พวกเขารู้ว่ายากลำบากจึงล่าถอยไป และเป็นฝ่ายยอมแพ้เสียเอง ยอมขาดทุนไปบ้าง ฮ่าฮ่า เสวี่ยอิงคุณูปการใหญ่หลวงยิ่งนัก ครั้งนี้คำนวณได้หกหมื่นคุณูปการ”
หากพูดอย่างจริงจังแล้ว
ผลประโยชน์ที่สำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ได้มาในครั้งนี้ กลับมิใช่สิ่งที่ ‘หกหมื่นคุณูปการ’ สามารถเทียบได้ ทว่าเนื่องจากก่อนหน้านี้ได้มอบ ‘ลูกแก้วห้าภาพ’ ให้ นับได้ว่าเป็นการลอบชดเชยให้ตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว เพราะนั่นเป็นถึงสมบัติลับระดับยอดขั้นเทพจักรวาลชิ้นหนึ่งเลยทีเดียว
“ขอบคุณท่านอาจารย์ขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว
“ดีใจกับศิษย์น้อง ยินดีกับศิษย์น้องด้วย” จ้าวทานเผิงพูดยิ้มๆ “รับคำสั่งของอาจารย์ไปปฏิบัติภารกิจเป็นครั้งแรกก็ได้มาถึงหกหมื่นคุณูปการ ข้าลองคำนวณดูแล้ว หลังจากเทพจักรวาลข้าจึงรวบรวมได้หกหมื่นคุณูปการ”
“ศิษย์พี่ใหญ่ จวบจนบัดนี้ข้าและศิษย์พี่กงเหลียงยังมีไม่ถึงหกหมื่นคุณูปการเลย” ท่านหญิงกุ่ยลี่กล่าวขึ้นบ้าง ขณะเดียวกัน แววตาของนางที่มองตงป๋อเสวี่ยอิงก็เปล่งประกาย นางเป็นคนเย่อหยิ่งมากจนเข้ากระดูก แม้จะมีบุรุษรูปงามไว้หาความสำราญบ้าง แต่นางก็เห็นเป็นของเล่นเท่านั้น ไม่มีสักคนที่ได้กลายเป็นสหายร่วมวิถีอย่างแท้จริง ยามนี้กลับรู้สึกว่าหากสามารถผูกสัมพันธ์กับศิษย์น้องเล็กผู้นี้และกลายเป็นสหายร่วมวิถีได้ก็คงไม่เลวเลย!
กงเหลียงอี้มองดูตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วกลับลอบทอดถอนใจ
เขาคิดมาตลอดว่าตนเป็นศิษย์ที่เยี่ยมยอดที่สุดของอาจารย์
ส่วนศิษย์พี่ใหญ่ทานเผิงน่ะหรือ เดิมทีทานเผิงเป็นผู้ติดตามของประมุขรัฐเมฆทักษิณา เนื่องจากในตอนที่ประมุขรัฐยังน่าอนาถอยู่นั้นก็ไม่เคยห่างหายไปไหน ประมุขรัฐให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์จึงบ่มเพาะอย่างสุดกำลัง อันที่จริงแล้วจ้าวทานเผิงมิได้ฝึกฝนเคล็ดวิชาทางสายอากาศเสียด้วยซ้ำ! ส่วนกงเหลียงอี้…กลับฝึกฝนเคล็ดวิชาทางสายอากาศ และเป็นผู้ที่ยอดเยี่ยมที่สุดด้วย
“ศิษย์น้องเล็กคนนี้ รุ่งโรจน์ได้รวดเร็วเสียจนทำให้คนปากอ้าตาค้างจริงๆ” กงเหลียงอี้รำพึงในใจ
“ศิษย์น้องเสวี่ยอิง พวกเรารู้ว่าเคล็ดผนึกห้าภาพของเจ้าเพียงกระบวนท่าเดียวก็สามารถจับกุมผู้พิทักษ์วิถีของลัทธิกระบี่สวรรค์คนนั้นได้แล้ว แต่ละคนล้วนยินดีกันถ้วนหน้า แม้จะรู้อยู่ก่อนแล้วว่าสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์เรามีศาสตร์ลับวิชาหนึ่ง แต่ก็ยังไม่เคยเห็นผู้ใดสำแดงออกมามาก่อน” ฟู่หลิงเซียวกล่าว ยามนี้เขาไม่มีความเย่อหยิ่งเลยแม้แต่น้อย มีเพียงความกระตือรือร้นเท่านั้น
“ศิษย์น้องเสวี่ยอิง ถึงตอนนั้นจะต้องให้พวกเราเปิดหูเปิดตาบ้างล่ะ”
พวกเขาพากันเอ่ยวาจา
“เอาล่ะ เอาล่ะ พวกเจ้าศิษย์พี่ทั้งหลาย อีกประเดี๋ยวงานเลี้ยงเริ่มต้นค่อยมาสนทนากันดีๆ เถอะ” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาพูดพลางหัวเราะฮิฮิ
“ขอรับ”
จ้าวทานเผิง ตงป๋อเสวี่ยอิง กงเหลียงอี้ ท่านหญิงกุ่ยลี่ฟู่หลิงอวิ๋นและฟู่หลิงเซียวต่างก็ขานรับโดยพร้อมเพรียงกัน
จากนั้นผู้คนทั้งหลายก็ทยอยกันจากไป เพื่อไปเข้าร่วมงานเลี้ยงทีกำลังจะเริ่มต้นขึ้น เพราะถึงอย่างไรตอนนี้ก็คว้าชัยอย่างใหญ่หลวง สำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ได้รับผลประโยชน์มากมายจากรัฐโบราณเสียดฟ้า ย่อมต้องเฉลิมฉลองเป็นธรรมดา
“เสวี่ยอิงอยู่ต่อก่อน” ประมุขรัฐเมฆทักษิณากำชับ
ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ต่อเพียงคนเดียว ที่นี่เหลือเพียงพวกเขาศิษย์และอาจารย์สองคนเท่านั้น
“นี่คือแก้วผลึกจักรวาลแปดพันล้านก้อนที่ทางประมุขรัฐกระบี่สวรรค์มอบให้” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาขว้างกำไลวงหนึ่งออกมามอบให้ตงป๋อเสวี่ยอิง
ตงป๋อเสวี่ยอิงรับไว้แล้วก็ตรวจดูคราหนึ่ง มองดูแก้วผลึกจักรวาลซึ่งกองเป็นภูเขาเลากาอยู่ภายใน เขาเอ่ยปากพูดว่า “ท่านอาจารย์ ช่วยข้าแลกหกหมื่นคุณูปการของข้าเป็นสามพันล้านแก้วผลึกจักรวาลด้วยเถิด”
คุณูปการของศิษย์ถ่ายทอดเอง หนึ่งหมื่นคุณูปการสามารถแลกเป็นสมบัติล้ำค่าชนิดต่างๆ ซึ่งมีมูลค่าหนึ่งพันล้านแก้วผลึกจักรวาลได้ หรือถึงขั้นแลกเป็นแก้วผลึกจักรวาลโดยตรงได้ด้วย
“หา เจ้าต้องการแก้วผลึกจักรวาลมากมายถึงเพียงนั้นเชียวหรือ” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาตกตะลึง แต่กลับพลิกมือคราหนึ่งแล้วขว้างสมบัติล้ำค่าเก็บวัตถุอีกอันหนึ่งออกมา แก้วผลึกจักรวาลจำนวนมากที่ตำหนักย่อยในบริเวณต่างๆ ของดินแดนจิตโลกาได้มานั้น ท้ายที่สุดก็ต้องมาถึงมือของประมุขรัฐเมฆทักษิณา ดังนั้นจำนวนแก้วผลึกจักรวาลที่เขามีจึงมากเสียจนน่าหวาดผวา
“ศิษย์อยากจะซื้อสมบัติลับเขตลวงโลกเทียมสักชิ้นน่ะขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว เพราะถึงอย่างไรอีกไม่นานเขาก็จะซื้ออยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องปิดบังอาจารย์เลย
“อย่างนั้นรึ” ประมุขรัฐเมฆทักษิณานัยน์ตาเป็นประกาย “เจ้าเชี่ยวชาญด้านเขตลวงโลกเทียม ตอนที่เจ้าลงมือกับอ๋องชางซูผู้นั้นสิ่งที่สำแดงออกมาก็คือเขตลวงโลกเทียมรึ”
“ขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
“บรรลุถึงขั้นสุดแล้วหรือ” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาถาม
“ขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าอีก
ประมุขรัฐเมฆทักษิณาเบิกตาโพลง หัวใจเขาเต้นรัวแรงขึ้นมาก จากนั้นจึงค่อยๆ สงบลง เขาประเมินศิษย์ของตนคนนี้ต่ำเกินไปแล้ว
เคล็ดผนึกห้าภาพนั้นยากมาก
แต่ทางด้านวิญญาณก็ได้ขึ้นชื่อว่ายาก ลำพังแค่ต้องผลักดันเขตลวงโลกเทียมให้ถึงระดับชั้นที่เก้า ความยากก็ไม่แพ้เคล็ดผนึกห้าภาพแล้ว เนื่องจากวิชาที่พุ่งเป้าไปที่วิญญาณล้วนแต่เลือนราง ยากจะสัมผัสได้ อย่าง ‘โลกเขตลวง’ ที่ตงป๋อเสวี่ยอิงคิดค้นขึ้นมานั้น อันที่จริงก็คือโลกอีกใบหนึ่งซึ่งเลือนรางกว่าบ้างนั่นเอง ภายในก็มีสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วน ซึ่งแต่ละชีวิตล้วนคิดว่าตนเองมีอยู่จริง แต่ละคนล้วนมีนิสัยของตนเอง มีเส้นทางชีวิตเป็นของตนเอง…
วิธีการระดับนี้นั้นช่างน่าหวาดหวั่นเป็นอย่างมาก ตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นถึงผู้มีพรสวรรค์ทางด้านเขตลวงโลกเทียมที่ยอดเยี่ยมที่สุดตั้งแต่เคยมีมาในโลกกำเนิดของอากาศอันสับสนอลหม่านแห่งนี้!
เขาก็บำเพ็ญมานานแสนนาน หลังจากคิดค้น ‘บุปผาผลาญทำลายเก้าใบ’ ขึ้นมาแล้ว ก็ได้ผ่านการสั่งสมเป็นเวลานับล้านล้านปี ท้ายที่สุดจึงได้คิดค้น ‘โลกเขตลวง’ ซึ่งเป็นระดับชั้นที่เก้าขึ้นมา ผู้มีพรสวรรค์ด้านการรับรู้เช่นเขาก็ยังต้องใช้เวลาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ จะเห็นได้ว่ายากเย็นเพียงใด
“ด้านเขตลวงโลกเทียมของเจ้ามีพรสวรรค์ถึงเพียงนี้” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาทอดถอนใจ
ยังดี
ดินแดนจิตโลกา มีผู้ที่กลับชาติมาจุติจากโลกกำเนิดอื่นหลายต่อหลายคน ดังนั้นจึงมีผู้ที่มีพรสวรรค์ไร้เทียมทานกว่าตงป๋อเสวี่ยอิงเสียด้วยซ้ำ! บวกกับที่ดินแดนจิตโลกมีทรัพยากรล้ำลึกกว่า ถึงขั้นมีสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูหลายท่านคอยอบรมบ่มเพาะ การทำให้เขตลวงโลกเทียมบรรลุถึงระดับชั้นที่เก้านั้นง่ายดายกว่าทางอากาศอันสับสนอลหม่านมากทีเดียว
เช่นในอากาศอันสับสนอลหม่านไม่มีคัมภีร์! ตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นผู้บุกเบิกเส้นทางเองทั้งสิ้น
แต่ที่นี่ ลำพังแค่คัมภีร์ทางด้านเขตลวงโลกเทียมสิบแปดเล่มที่เขาได้รับจากสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ก็มีหลายเล่มที่บรรลุถึงขั้นอลวนระดับชั้นที่เก้า ทั้งยังมีสองเล่มที่บรรลุถึงระดับเทพจักรวาลอีกด้วย! หากในอากาศอันสับสนอลหม่านก็มีคัมภีร์เหล่านี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงถามตนเองว่า เวลาที่ตนใช้ในการคิดค้นโลกเขตลวงขึ้นมาก็คงจะลดลงเป็นสิบเท่า!
ตนบุกเบิกขึ้นมาเอง กับมีบรรพชนชี้แนะ ย่อมแตกต่างกันเป็นธรรมดา
ทว่าเมื่ออาศัยตนเองอย่างสิ้นเชิง บนเส้นทางนั้นลำบากยากเข็ญอย่างยิ่ง ก็ทำให้รากฐานด้านเขตลวงโลกเทียมของตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นแน่นหนาหาใดเปรียบ
“เจ้าเตรียมจะไปซื้อสมบัติลับเขตลวงโลกเทียมเมื่อใดกันเล่า” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาถามยิ้มๆ
“หลังงานเลี้ยงแล้วกันขอรับ ออกเดินทางเร็วหน่อย ศิษย์แทบจะอดใจรอไม่ไหวแล้วขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ
ประมุขรัฐเมฆทักษิณาพยักหน้ายิ้มๆ เขาก็เข้าใจแล้วว่า ขณะที่ศิษย์ของตนคนนี้สังหารอ๋องชางซูนั้น เกรงว่าคงจะถึงขีดสุดของเขตลวงโลกเทียมแล้ว เพียงแต่ไม่เคยเอ่ยปากขอยืมแก้วผลึกจักรวาลจากตนมาโดยตลอด เรื่องนี้ทำให้ประมุขรัฐเมฆทักษิณาโปรดปรานศิษย์คนนี้มากขึ้นไปอีก เขายิ่งเข้าใจว่าทางสายอากาศและทางสายเขตลวงโลกเทียมล้วนไร้เทียมทานเช่นนี้ หากกล่าวว่าก่อนหน้านี้ ในหกรัฐโบราณยังมีขั้นอลวนที่ร้ายกาจจำนวนน้อยเสียจนยกนิ้วนับได้ที่ถูกบ่มเพาะอย่างสุดกำลังจนสามารถเอาชนะศิษย์ของตนคนนี้ได้ เช่นนั้นตอนนี้ เมื่อทั้งสองสายควบคู่กัน ประมุขรัฐเมฆทักษิณาก็รู้สึกว่าเมื่อทอดสายตามองไปทั้งดินแดนจิตโลกา ในบรรดาขั้นอลวนทั้งหมด เกรงว่าศิษย์ของตนคงยากจะหาคู่ต่อกรด้วยได้แล้ว!
“อย่าหยิ่งผยองล่ะ” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาอดเตือนไม่ได้ “ผู้ที่เก่งกาจพออย่างแท้จริงก็ได้สำเร็จเป็นเทพจักรวาลไปตั้งนานแล้ว อย่างผู้เคารพเจียลัวแห่ง ‘รัฐโบราณเสียดฟ้า’ ก็เป็นเพียงคนเดียวก่อนหน้าเจ้าที่ฝึกเคล็ดผนึกห้าภาพสำเร็จตั้งแต่ยังเป็นขั้นอลวน บัดนี้เขาก็ได้กลายเป็นผู้เคารพของทางรัฐโบราณเสียดฟ้าไปแล้ว”
“ข้าเข้าใจขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
สายตาของเขาจับจ้องเทพจักรวาลอยู่ตลอดเวลา และถึงขั้นจับจ้อง ‘จอมเทพศักดิ์สิทธิ์’ เลยทีเดียว!
……
หลังงานเลี้ยงฉลองผ่านพ้นไป
ตงป๋อเสวี่ยอิงเก็บงำกลิ่นอายและจากรัฐโบราณเมฆทักษิณาไปเพียงลำพัง และเริ่มตรวจดูสมบัติลับเขตลวงโลกเทียมตามที่ต่างๆ
ทั้งดินแดนจิตโลกา ผู้ที่ยินดีขายสมบัติลับเขตลวงโลกเทียมระดับขั้นอลวนชั้นที่สิบนั้น ทั้งหมดก็มีเพียงแปดชิ้นเท่านั้น! ราคาที่ขายสู่ภายนอกนั้นอยู่ที่ระหว่างหนึ่งหมื่นสองพันล้านถึงสองหมื่นล้านแก้วผลึกจักรวาล สุดท้ายแล้วตงป๋อเสวี่ยอิงก็ต้องตรสจสอบดูด้วยตนเอง จึงจะรู้ว่าเหมาะสมกับตนเองหรือไม่!
เนื่องจากสำหรับเขาแล้ว นอกจากสมบัติลับเขตลวงโลกเทียมชิ้นนี้จะสามารถทำให้พลังของเขาเพิ่มพูนขึ้นเป็นอันมากแล้ว…อีกด้านหนึ่งก็คือสามารถสำแดงพลังระดับชั้นที่สิบออกมาได้ล่วงหน้า นี่เป็นกระบวนท่าระดับเทพจักรวาล ได้สำแดงล่วงหน้า ได้รับรู้ล่วงหน้า ก็มีส่วนช่วยในการสำเร็จเป็นเทพจักรวาลเป็นอย่างมาก! เขาคิดจะสำเร็จเป็นเทพจักรวาลทางด้านอากาศ ทางด้านเขตลวงโลกเทียมเขาก็ต้องทุ่มเทสุดกำลังเช่นเดียวกัน
ตรวจดูแห่งแล้วแห่งเล่า
เพียงพริบตาเดียวตงป๋อเสวี่ยอิงก็มาถึงกลางทะเลกาฬอเวจี ที่เขาดัั้นด้นมาถึง ‘รัฐถูฮวา’ ประเทศเกาะแห่งหนึ่งซึ่งก่อตัวขึ้นจากเกาะหลายแสนเกาะ ก็เพื่อมาดูสมบัติลับเขตลวงโลกเทียมชิ้นที่สามนั่นเอง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น