Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 33 ตอนที่ 62-64
ตอนที่ 62 ท่านอาจารย์ยื่นมือเข้าช่วย
Ink Stone_Fantasy
“แย่แล้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเผชิญหน้ากับค้อนใหญ่ที่ดูเหมือนจะแสนสามัญธรรมดา และฝ่ามือขนาดยักษ์สีทองแดงที่มีพลังคุกคามล้นฟ้าแล้วหัวใจก็อดที่จะขมวดรัดแน่นโดยไม่รู้ตัวมิได้ ความรู้สึกถูกคุกคามพุ่งทะยานขึ้นท่ามกลางความมืดมิด เช่นก่อนหน้านี้ถึงแม้ว่าจะได้รับผลกระทบของ ‘เขตพลังกาลเวลา’ มาก่อนแล้ว อีกทั้งยังประสบกับการล้อมโจมตีของเคล็ดวิชาน้ำและไฟระดับชั้นที่สิบที่ตรงข้ามกัน ถึงแม้ร่างกายจะรับไว้ได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วเขาก็มิได้รู้สึกถึงภัยคุกคามแต่อย่างใด
ทว่าในขณะนี้เขากลับรู้สึกได้เสียแล้ว
นี่จึงจะเป็นมือสังหารที่แท้จริงของการโจมตีในครั้งนี้
“เป็นผู้ท่องธุลีฝนผู้อยู่ภายใต้สำนักของ ‘คนพเนจร’ หนึ่งในห้าบรรพชนรัฐโบราณสหโลกา นั่นคือฝานฉู่ฮู่ผู้เป็นหนึ่งในเทพมารร้อยสงครามอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็ระบุตัวอีกฝ่ายขึ้นมาได้ แล้วถึงกับถ่ายเสียงขอความช่วยเหลือในทันที “ท่านอาจารย์ ข้าเผชิญกับการลอบโจมตีขอรับ”
ในขณะที่เขตพลังกาลเวลามาถึงบริเวณโดยรอบนั้น ก็ได้ทำการตัดขาดห้วงมิติร้อยล้านลี้บริเวณรอบๆ ก็เหมือนกับตอนที่ทำการบูชาโลหิตเมืองอัคคีโชติ เมืองอัคคีโชติก็ถูกตัดขาดโดยสิ้นเชิง สมบัติลับล้ำค่าที่สามารถทำการตัดขาดและปิดผนึกเช่นนี้ได้ล้วนมีราคาสูงลิบลิ่ว เทพจักรวาลทั่วๆ ไปล้วนไม่สามารถซื้อได้ไหว ‘ประมุขรัฐกระบี่สวรรค์’ ได้มอบให้เป็นการชั่วคราวเพื่อการเคลื่อนไหวในครั้งนี้โดยเฉพาะ
เห็นได้ชัดว่าเพื่อขัดขวางมิให้ตงป๋อเสวี่ยอิงอาศัย ‘ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา’ ในการหลบหนี
แน่นอนว่าถึงแม้ตงป๋อเสวี่ยอิงจะมีร่างแยกทิ้งไว้ที่นครหลวง ก็ยังสามารถขอความช่วยเหลือได้อยู่ดี!
“ครืน…”
การคุกคามอันน่าหวาดหวั่นสองชนิดเคลื่อนเข้ามาพร้อมๆ กัน ถึงแม้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงจะสำแดงวิชาหอกเพื่อต้านรับอย่างสุดกำลัง แต่การเคลื่อนของเวลาของตนนั้นก็เนิ่นช้าเหลือเกิน การเคลื่อนไหวจึงเชื่องช้าเกินไป ค้อนใหญ่นั้นหลบเลี่ยงหอกยาวของตงป๋อเสวี่ยอิง แล้วแทรกผ่านบันไดเกลียวคลื่นกระแสอากาศสามสายที่ล้อมรอบกายเอาไว้ ก่อนจะปะทะบนร่างของตงป๋อเสวี่ยอิง ‘เคล็ดคุ้มร่าง’ ของยุทธวิธีเมฆาแดงนี้ทนรับการโจมตีของเคล็ดวิชาไม้ตายน้ำและไฟทั้งสองอยู่ตลอดเวลา พลังคุกคามของตนก็ลดต่ำลงอย่างมหาศาล
ค้อนที่ดูแสนจะธรรมดาอันนี้ถูกเคล็ดคุ้มร่างทำให้อ่อนแอลงเพียงแค่สามสี่ส่วนเท่านั้น ที่เหลือล้วนปะทะลงบนร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งสิ้น
“หืม” ผู้ท่องธุลีฝนเองก็รู้สึกได้ถึงความรู้สึกที่ปะทะอยู่กลางอากาศ “การกลายเป็นอากาศธาตุหรือนี่”
“โครม”
แทบจะในขณะเดียวกัน
ฝ่ามือใหญ่สีทองแดงฟาดปะทะลงมา บันไดเกลียวคลื่นที่หมุนวนคุ้มกันร่างแหลกสลายไปในทันที หอกยาวในมือถูกปะทะจนกระแทกลงบนร่างกาย จากนั้นฝ่ามือใหญ่ก็ซัดลงบนร่างเต็มๆ จนร่างกายส่งเสียงคำราม…
ค้อนใหญ่ของผู้ท่องธุลีฝนสะท้านเบาๆ แต่กลับมีแรงโน้มถ่วงอันหนักอึ้งโจมตีเข้าสู่ร่างกายหรือแม้กระทั่งดวงวิญญาณ ทำให้ร่างกายที่เดิมทีก็ถูกน้ำไฟโจมตีอยู่แล้วยากที่จะรับได้ จากนั้นก็เป็นการโจมตีของฝ่ามือใหญ่สีทองแดงที่สำแดงความกดดัน! เป็นถึงเทพมารร้อยสงคราม ‘ฝานฉู่ฮู่’ เป็นของผู้แกร่งกล้าระดับสุดยอดที่ร่างกายถูกแปลงร่างออกมา แต่มิได้อาศัยตนเองในการบำเพ็ญไปถึงขั้นอลวนชั้นที่สิบอย่างแท้จริง
ดังนั้นเขาจึงมีส่วนคล้ายมารรับใช้อยู่บ้าง แน่นอนว่าถึงอย่างไรเขาก็ยังเป็นผู้บำเพ็ญ ไม่จำเป็นต้องมีเจ้านาย
แต่เคล็ดวิชาของเขา ระดับขั้นโดยทั่วไปก็ไม่นับว่าสูง ราวๆ ระดับชั้นที่แปดที่เก้า แต่ความรวดเร็วของพละกำลังเพียงอย่างเดียวล้วนๆ นั้นกลับน่าหวาดหวั่นอย่างที่สุด เหนือกว่าเทพจักรวาลทั่วๆ ไปเสียอีก บวกกับร่างกายร่างนั้นของเขา ทำให้ระหว่างการต่อสู้นั้นเชี่ยวชาญการบุกสังหารเป็นที่สุด
“หึ่งๆ”
ภายใต้การโจมตีอันหนักหน่วงอย่างต่อเนื่อง ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าห้วงสมองกำลังส่งเสียงคำราม
“อะไรกัน ยังไม่ตายอีกหรือ”
“เป็นไปได้อย่างไรกัน”
ท่านชายฉื้อเฟิง ผู้ท่องธุลีฝน ฝานฉู่ฮู่ กับสองทูตวารีและทูตเพลิง รวมทั้งพวกผู้แกร่งกล้าอาภรณ์ดำและอ๋องอสนีบาตโม่เฉาที่ลอบชมดูการต่อสู้อยู่ต่างก็พรั่นพรึงกันเป็นอย่างยิ่ง
นี่คือเคล็ดวิชาที่ร่วมมือกันที่พวกเขามั่นใจในแผนการว่าเพียงพอที่จะกำจัดอิงซานเสวี่ยอิงทิ้งไปได้แล้ว
ภายใต้เขตพลังกาลเวลา ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าเป็นที่สุด แทบจะมิอาจต้านทานได้ สามารถทำได้เพียงแค่ทนรับเท่านั้น
การร่วมมือโจมตีของน้ำและไฟ ทั้งสองล้วนเป็นเคล็ดวิชาระดับชั้นที่สิบ อีกทั้งยังตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง พอรวมกันขึ้นมาแล้วพลังคุกคามก็น่าหวาดหวั่นอย่างที่สุด พวกเขาถึงกับคาดการณ์เอาไว้ว่าจะสามารถปลิดชีพอิงซานเสวี่ยอิงได้ในคราวเดียว
ภายหลังเมื่อเทพมารร้อยสงคราม ‘ฝานฉู่ฮู่’ และผู้ท่องธุลีฝนร่วมมือกันก็ยิ่งร้ายกาจขึ้นไปอีก พวกเขาสองคนมีชื่อเสียงในด้านการบดขยี้ซึ่งๆ หน้า ก่อนหน้านี้ต่อให้ไม่ตาย เมื่อเทียบกันแล้วร่างกายก็ต้องอ่อนแอลงเป็นอย่างมาก เผชิญกับการโจมตีบดขยี้อันยิ่งใหญ่สองทาง ร่างกายก็ย่อมต้องพังทลายสูญสลายอย่างแน่นอน
“โครม”
พื้นถนนถูกปะทะจนกลายเป็นหลุมลึกขนาดมหึมาไปแล้ว เงาร่างสายหนึ่งกลางหลุมลึกโค้งเอวพลางเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาทั้งคู่เต็มไปด้วยเพลิงโทสะ
“สมควรตาย”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเดือดดาลและคับข้องใจ
มิได้คับข้องใจเช่นนี้มาเนิ่นนานเหลือเกินแล้ว เห็นได้ชัดว่ามีพลังยุทธ์อัดแน่นอยู่เต็มร่างแท้ๆ แต่ภายใต้เขตพลังกาลเวลา อัตราเร็วก็เชื่องช้ากว่าคู่ต่อสู้มากมายเหลือเกิน มิอาจต้านทานเคล็ดวิชาของคู่ต่อสู้ได้เลย
ระลอกคลื่นพลังอันหนักหน่วงสายแล้วสายเล่าสะท้อนอยู่ภายในร่างกายอย่างไม่หยุดหย่อน
“พรวด” ตงป๋อเสวี่ยอิงกระอักโลหิตสดๆ ออกมาจากปาก แม้กระทั่งผิวนอกของร่างกายก็ยังมีหยาดโลหิตไหลซึมออกมา
มีเคล็ดคุ้มร่างของยุทธวิธีเมฆาแดง และร่างเมฆทักษิณาทิพย์ชั้นที่สิบอันสมบูรณ์แบบ ภายใต้การล้อมโจมตีเช่นนี้ เกรงว่าก็ยังต้องเอาชีวิตไปทิ้ง โชคดีที่ตนได้วิวัฒน์การกลายเป็นอากาศธาตุไปจนถึงระดับที่เหนือจินตนาการได้แล้ว ทางสายห้วงอากาศแมลงอสูรที่เหนือกว่าระดับอลวนขั้นสุดยอดที่มีอยู่ทั้งหมดก็สามารถเทียบเคียงได้กับปรมาจารย์กู่ฉีแล้ว ห่างกับการกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอดอันสมบูรณ์แบบเพียงแค่ก้าวสุดท้ายเท่านั้นเอง
ความสามารถในการกลายเป็นอากาศธาตุเช่นนี้เมื่อประสบกับการโจมตีทั้งหมดทั้งมวลก็ลดทอนลงไปมากมายเหลือเกิน ในท้ายที่สุดก็ยังคงได้รับบาดเจ็บอยู่ดี
“ฆ่ามัน”
“บุกต่อไป เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้ว”
“เร็วเข้า”
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะตื่นตระหนกที่ความร่วมมือล้มเหลว แต่พวกเขาก็เข้าใจดีว่าเวลาเป็นสิ่งล้ำค่า
“ปัง…”
“ตายเสีย!”
ท่านชายฉื้อเฟิงควบคุมเขตพลังกาลเวลามาโดยตลอด สองทูตวารีและทูตเพลิงก็ร่วมมือกันโจมตีอย่างต่อเนื่อง ส่วนฝานฉู่ฮู่และผู้ท่องธุลีฝนกลับรู้สึกถึงความอัปยศอดสู เดือดดาลอย่างสิ้นเชิง
“กรงเล็บซือเทียน” ฝานฉู่ฮู่คำราม ฝ่ามือทั้งสองเปลี่ยนแปรกลายเป็นกรงเล็บ ฟ้าดินล้วนฉีกขาด นี่ก็คือเคล็ดกรงเล็บอันร้ายกาจชุดหนึ่งในเคล็ดการต่อสู้ที่คิดค้นขึ้นที่ ‘มหาเคารพซือเทียน’ เจ้านายของพวกเขาถ่ายทอดให้กับพวกเขาเทพมารร้อยสงครามเหล่านี้
“ธุลีหวนสู่ธุลี ดินหวนสู่ดิน สูญสลายไปเสียเถิด” ผู้ท่องธุลีฝนก็โมโหเสียแล้ว เป็นถึงผู้ท่องภายใต้สำนักของคนพเนจร เขาก็มีเกียรติภูมิของตัวเขาเอง
ค้อนใหญ่เหวี่ยงออกมา
ฮืม…
กระแสอากาศที่เคลื่อนผ่านเวหาก่อให้เกิดเสียงอันแปลกประหลาดราวกับเป่าขลุ่ย เสียงนั้นถึงกับแฝงไว้ด้วยความทรงเสน่ห์ร้ายกาจ ทำให้คนหลับใหลสู่ห้วงนิทรา ทำให้คนเกิดความรู้สึกจมดิ่งสู่ความมืดมิดชั่วนิรันดร์
……
โครม…
ผู้แกร่งกล้าห้าคนลงมืออย่างต่อเนื่องกัน โจมตีอย่างต่อเนื่องถึงสามรอบ
“กลิ่นอายของร่างกายเขาไม่มีจุดอ่อนที่ชัดเจน อย่างน้อยพลังชีวิตก็ยังคงเหลืออยู่เกินกว่าครึ่ง ไม่ทันการณ์เสียแล้ว รีบไปเร็วเข้าเถิด” ท่านชายฉื้อเฟิงที่ควบคุมเขตพลังกาลเวลามาโดยตลอดตะโกนขึ้นทันควัน
“ไป” ไป” ไป”
ถึงแม้ว่าแต่ละคนจะไม่ยอมจำนน ทว่าต่างก็ไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
สวบ สวบ สวบ
ทั้งหมดหายตัวจากไป
พวกเขาต่างก็กระจ่างแจ้งแก่ใจดีเป็นอย่างยิ่งว่าศิษย์ของตนเผชิญกับภยันตรายถึงชีวิต ถึงแม้ว่าประมุขรัฐเมฆทักษิณาจะมีสถานะอันสูงส่งพอ แต่ก็ยังอาจจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือได้อยู่ดี ยามที่ยื่นมือเข้าช่วยนี้เพียงแค่ ‘โบกมือ’ อย่างลวกๆ คราหนึ่ง พวกเขาห้าคนก็อาจจะจบเห่ได้แล้ว ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้นมิอาจนับได้ว่า ‘ผู้ใหญ่รังแกผู้น้อย’ นับได้เพียงว่าเป็นการระบายอารมณ์เล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นเอง
แต่ถ้าหากหลบหนีไปแล้ว ประมุขรัฐเมฆทักษิณายังไล่ตามไปจัดการ เช่นนั้นก็น่าขายหน้าแล้ว
ผู้แกร่งกล้าระดับสุดยอดอย่างแท้จริงที่ดินแดนจิตโลกา ก็มีกฎเกณฑ์แฝงบางอย่างที่เป็นที่รู้กันอยู่
ถึงอย่างไรแต่ละฝ่ายต่างก็มีผู้แกร่งกล้าระดับสุดยอดอยู่ เหมือนที่รัฐโบราณสหโลกาและรัฐโบราณคิมหันตวายุแข็งแกร่งกว่าประมุขรัฐเมฆทักษิณามากมายนัก! นี่ยังเป็นเพราะทุกฝ่ายต่างก็มีศีลธรรมจรรยาอยู่จึงได้มีกฎเกณฑ์แฝงขึ้นมา ถ้าหากเป็นขุมอำนาจที่อ่อนแออย่างแท้จริงมาทำการกวาดล้าง จะมีสิทธิ์ที่ไหนมาถกเรื่อง ‘กฎเกณฑ์แฝง’ อันใดกับขุมอำนาจระดับรัฐโบราณสหโลกาเล่า
มีสิทธิ์มาถกเรื่องกฎเกณฑ์แฝงได้ ก็ควรค่าแก่การภาคภูมิใจแล้ว
ประมุขรัฐเมฆทักษิณาก็ย่อมต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์แฝงอยู่แล้ว
“ปัง…”
บริเวณสนามรบมีควันหลงจากการต่อสู้แผ่ไปทั่วทุกทิศทุกทาง
ท้องฟ้าเต็มไปด้วยรัศมีหนาทึบ นั่นคือรัศมีจากการโคจรค่ายกลรักษาการณ์ของรัฐประกายเพลิงต้านทานควันหลงเหล่านั้น
“แค่กๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกระอักเอาโลหิตสดจำนวนหนึ่งออกมาจากคออีก แล้วเหินขึ้นมาจากกลางหลุมลึก ก่อนจะทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้วมองไปยังบริเวณโดยรอบ อาณาบริเวณโดยรอบที่ได้รับลูกหลงก็ไม่นับว่าใหญ่โตนัก แต่ก็ยังมีบ้านเรือนของผู้บำเพ็ญจำนวนหนึ่งที่ถูกทำลาย
“ลงมือในนครหลวง ก็ยังไม่ออมมือถึงเพียงนี้เชียวหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงได้เห็นเหตุการณ์แล้วก็ยิ่งทวีความเดือดดาล
คราวนี้คับข้องใจเหลือเกินจริงๆ
ตนเองไม่สามารถต้านทานได้เลยตั้งแต่ต้นจนจบ แน่นอนว่าเวลาก็รวดเร็วเหลือเกิน ยอดฝีมือขั้นอลวนระดับชั้นที่สิบทุกคนต่างก็สำแดงออกมาเพียงแค่สามกระบวนท่าเท่านั้น เป็นอัตราเร็วที่รวดเร็วสักเพียงใดกัน แล้วตนเองยังติดอยู่ภายในเขตพลังกาลเวลา การเคลื่อนไหวก็ยิ่งเนิ่นช้าเข้าไปอีก
“เสวี่ยอิง เจ้ากลับไปพักผ่อนก่อนเถิด ลัทธิกระบี่สวรรค์นี่ถึงกับเคลื่อนไหวเอายอดฝีมือมากมายถึงเพียงนี้มาจัดการเจ้า ยอดเยี่ยม ถ้าหากข้าไม่ตอบโต้กลับ ก็คงถูกดูแคลนเสียแล้วล่ะ” เสียงของประมุขรัฐเมฆทักษิณาดังขึ้นที่ข้างหูของตงป๋อเสวี่ยอิง น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความโกรธเคือง
“ท่านอาจารย์ รอให้เวลาผ่านไปอีกสักพัก ข้าจะกลับไปหาพวกเขาเองขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
“เจ้าไม่จำเป็นต้องยุ่งเรื่องนี้อีกแล้ว เจ้ามาพักผ่อนให้ดีๆ ก่อนเถิด” ประมุขรัฐเมฆทักษิณายืนหยัดอยู่ที่ตำแหน่งสูงสุดของดินแดนจิตโลกา ก็ย่อมมีแนวทางการจัดการเรื่องราวต่างๆ เป็นของตัวเองอยู่แล้ว
เพิ่งเอ่ยวาจาออกไป
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายอันไร้รูปร่างจากไป
“ท่านอาจารย์จะยื่นมือเข้ามาเสียแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ การตอบโต้กับเรื่องที่ลัทธิกระบี่สวรรค์เคลื่อนพลรัฐประกายเพลิง ตนเองก็ตอบโต้มาโดยตลอดมาหลายแสนปีแล้ว ประมุขรัฐเมฆทักษิณาก็มองดูเรื่องราวดำเนินไปอย่างเรียบเรื่อย ถ้าหากตกที่นั่งลำบาก เขาก็ย่อมยื่นมือเข้าช่วยอยู่แล้ว! เห็นได้ชัดว่าเขาคิดว่าลำพังอาศัยแค่ลูกศิษย์เพียงคนเดียว เผชิญกับทางฝั่งลัทธิกระบี่สวรรค์ก็ไม่เพียงพอเสียแล้ว
ตอนที่ 63 ไหนเจ้าพูดอีกทีสิ
Ink Stone_Fantasy
ด้านนอกประตูตำหนักของตำหนักทิพย์เมฆทักษิณาในนครหลวงรัฐประกายเพลิง โหวชวีหมิงและศิษย์คนอื่นๆ จำนวนหนึ่งรออยู่ที่นี่อยู่ก่อนแล้ว
เพราะว่าตัดขาดและปิดผนึกสนามรบอย่างสมบูรณ์ ยามที่เผชิญกับการโจมตีก็มิได้ก่อให้เกิดระลอกคลื่นใหญ่โตแต่อย่างใด แต่หลังจากที่คู่ต่อสู้หลบหนีไปแล้ว ควันหลงจากการต่อสู้นั้นกลับเป็นภัยกับยอดฝีมือในเมืองกว่าครึ่ง
“ศิษย์พี่เสวี่ยอิง” บรรดาศิษย์กลุ่มหนึ่งเอ่ยเรียกอย่างเคารพ
โหวชวีหมิงมองตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างกังวล
“ข้าไม่เป็นไร”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดประโยคหนึ่งแล้วย่างเท้าเข้าสู่ด้านในตำหนักทิพย์เมฆทักษิณา พวกโหวชวีหมิงมองดูเงาหลังของตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วก็มิกล้าพูดอะไรมาก พวกเขาต่างก็รู้สึกได้ว่าในขณะนี้ ‘อิงซานเสวี่ยอิง’ ผู้มีพรสวรรค์ล้ำเลิศอารมณ์มิสู้ดีสักเท่าใดนัก
ภายในห้องเงียบ ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิอยู่ตามลำพังคนเดียว
ถึงแม้ว่าคราวนี้ยอดฝีมือห้าคนที่มาโจมตีต่างก็พรั่นพรึงที่ไม่สามารถสังหารอิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้ได้ รู้สึกว่าอิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้ยากจะรับมือด้วยเกินไปเสียแล้ว แต่ตัวตงป๋อเสวี่ยอิงเองกลับรู้สึกคับข้องใจนัก เพราะว่าตั้งแต่ต้นจนจบเขาก็รับการโจมตีแต่เพียงอย่างเดียว นึกอยากจะสำแดง ‘ทลายเวหา’ หรือ ‘ทะลุอากาศ’ ใส่ศัตรูสักกระบวนหนึ่งก็ทำไม่ทันเพราะการเคลื่อนไหลของเวลาเป็นเหตุ
“ด้วยพลังยุทธ์ของข้า ถึงกับถูกกักเอาไว้ภายในเขตพลังกาลเวลา มิอาจทลายเปิดออกได้โดยตลอด” ตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็ตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง ยอดฝีมือขั้นอลวนชั้นที่สิบทางสายกาลเวลาธรรมดาๆ คนหนึ่ง ไม่มีทางล้ำเลิศเช่นนี้อย่างแน่นอน “ท่านชายฉื้อเฟิง ศิษย์หัวแก้วหัวแหวนของ ‘สกุลฉื้อ’ หนึ่งในสองตระกูลใหญ่แห่งรัฐโบราณสหโลกาอย่างนั้นหรือ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงย่อมรู้จักชายหนุ่มผมแดงสะดุดตาผู้นั้นอยู่แล้ว เปลวเพลิงที่กลางหว่างคิ้วของอีกฝ่ายนั้นช่างสะดุดตาเสียเหลือเกิน
ศิษย์หัวแก้วหัวแหวนของสกุลฉื้อ สายโลหิตเข้มข้นพอ ต่างก็สามารถตื่นรู้พรสวรรค์อันล้นฟ้าได้ทั้งสิ้น บวกกับพรสวรรค์และการบำเพ็ญตำราศาสตร์ลับที่เกี่ยวข้อง พลังรบก็ย่อมน่าหวาดหวั่นเป็นธรรมดาอยู่แล้ว
สำหรับผู้ที่มิอาจตื่นรู้ได้นั้นน่ะหรือ ก็มิอาจนับได้ว่าเป็นศิษย์หัวแก้วหัวแหวนแล้ว
เหตุผลที่สามารถมีพรสวรรค์ล้นฟ้าได้นั้นก็เป็นเพราะประมุขตระกูลของสกุลฉื้อเป็นคนเดียวในห้าบรรพชนรัฐโบราณสหโลกาที่บำเพ็ญร่างกายไปจนถึงระดับที่ไร้เทียมทาน
“เทพมารร้อยสงครามหรือ ผู้ท่องธุลีฝนหรือ”
เมื่อครู่ตงป๋อเสวี่ยอิงมีความรู้สึกเฉียดใกล้ความตายอย่างแท้จริง
การโจมตีทุกครั้ง ร่างกายของเขาก็เสื่อมถอยลงไปเกือบหนึ่งส่วน คาดว่าการโจมตีสิบเอ็ดสิบสองครั้ง เขาก็ต้องสิ้นชีพแล้ว! ผู้แกร่งกล้าที่เชี่ยวชาญน้ำและไฟสองคนนั้นดูเหมือนว่าจะอ่อนแอที่สุด แต่พวกเขาร่วมมือกันขึ้นมาแล้ว พลังที่ตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิงนั้นก็ทำให้ร่างเมฆทักษิณาทิพย์ของตนกลายเป็นอ่อนแอ ก็เหมือนกับอาวุธชิ้นหนึ่งที่เผชิญกับน้ำและไฟ ก็กลายเป็นเปราะหักเสียแล้ว อีกทั้งยังเผชิญกับการโจมตีอย่างหนัก ก็ยิ่งเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้แหลกสลายได้โดยง่าย
เผชิญกับการคุกคามของน้ำและไฟ ถึงแม้ว่าเขาจะมิได้สูญเสียพลังขัวิต แต่ร่างกายก็กลายเป็นอ่อนแอ ทำให้การโจมตีของเทพมารร้อยสงครามและผู้ท่องธุลีฝนมีผลลัพธ์ที่ดีมากยิ่งขึ้น
การโจมตีทุกครั้งทำให้เขา ‘ได้กลิ่น’ ของความตาย ก็ทำให้เขาสำแดง ‘การกลายเป็นอากาศธาตุ’ อย่างสุดกำลัง ทำให้เหนี่ยวนำพละกำลังเข้าสู่ความว่างเปล่ามากยิ่งขึ้น ถ้าหากสามารถไปถึงการกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอดได้ ร่างกายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับแก่นห้วงอากาศ เช่นนั้นการโจมตีเหล่านี้ก็จะมิอาจทำร้ายตนได้เลยแม้แต่น้อย
“เป็นหนึ่งเดียวกันกับแก่นห้วงอากาศ ก็ยังเหลืออีกเพียงนิดเดียวเท่านั้นกระมัง”
ตงป๋อเสวี่ยอิงรวบรวมความคิดจิตใจใคร่ครวญ
……
ท่านอาจารย์ประมุขรัฐเมฆทักษิณาลงมืออย่างรวดเร็วมากจริงๆ เพียงแค่กลางวันของวันที่สองที่ตนเองประสบกับการลอบโจมตี ก็มียอดฝีมือกลุ่มหนึ่งบุกตรงเข้าไปสังหารภายในตำหนักลัทธิกระบี่สวรรค์แล้ว
เพราะว่าท่านชายฉื้อเฟิง ผู้ท่องธุลีฝนและคนอื่นๆ อีกกลุ่มหนึ่งต่างก็รู้กระจ่างดีว่าเป็นไปได้ที่จะมีการตอบโต้กลับ แต่ละคนก็ย่อมพากันหลบซ่อนตัวอยู่ภายในตำหนักลัทธิกระบี่สวรรค์! ถ้าหากมิใช่เพราะขุมอำนาจเบื้องหลังมีบัญชาให้ช่วยเหลือลัทธิกระบี่สวรรค์ เกรงว่าพวกเขาแต่ละคนก็คงจะหลบหนีกันไปหมดแล้ว
“ผลลัพธ์เป็นเช่นไรหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยังรอจนออกจากการปลีกวิเวกอีกครั้งหนึ่ง
“ต่อตีกันอย่างรุนแรงยิ่งนัก เดือดร้อนกันไปทั่วทั้งนครหลวงแล้ว พระราชวงศ์และเหล่ามารแห่งทะเลสาบมารทมิฬพวกนั้นต่างก็ดูกันอยู่ห่างๆ หลังจบการต่อสู้ ตำหนักลัทธิกระบี่สวรรค์ก็ได้ถูกทำลายไปกว่าครึ่งเลยทีเดียว” โหวชวีหมิงเล่า
ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึงอยู่บ้าง
ตั้งแต่ลัทธิกระบี่สวรรค์ยกพลมาที่รัฐประกายเพลิง ค่ายกลของตำหนักทิพย์ที่นครหลวงแห่งนี้ก็ย่อมสร้างไว้อย่างร้ายกาจเป็นที่สุดอยู่แล้ว น่าจะอยู่ในระดับเดียวกันกับตำหนักทิพย์เมฆทักษิณาเลยทีเดียว ยอดฝีมือขั้นอลวนชั้นที่สิบธรรมดาทั่วไปย่อมไม่สามารถเจาะทำลายได้อยู่แล้ว ถึงขนาดที่ต่อตีจนวังยังเสียหายไปกว่าครึ่ง ไม่สงสัยเลยแม้แต่น้อยว่าค่ายกลจะต้องสลายไปแล้วอย่างแน่นอน ถ้าหากค่ายกลยังสมบูรณ์อยู่ วังก็ไม่มีทางเสียหายได้แน่
“ยอดฝีมือที่ท่านอาจารย์ส่งไปช่างร้ายกาจโดยแท้เลยทีเดียว โจมตีเสียจนค่ายกลก็แหลกสลายไปด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบรำพึง เขาเองก็เข้าใจและรู้กระจ่างดีถึงพลังของทางฝั่งลัทธิกระบี่สวรรค์ ผู้ที่ประมุขรัฐเมฆทักษิณาส่งไปจะต้องแข็งแกร่งกว่ายอดฝีมือห้าคนนั่นเท่านั้น มิฉะนั้นก็มีแต่จะทำให้ขายหน้า
ถึงแม้ว่าจะซ่อนเร้นพลังยุทธ์ก็ยังแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง
ลูกน้องของตัวประมุขรัฐเมฆทักษิณาเองก็มีบางส่วนที่ซ่อนเร้นพลังยุทธ์ แม้กระทั่งสามารถ ‘ยืมทหาร’ ได้ เพียงแต่ว่าคนเหล่านี้ล้วนมิใช่ยอดฝีมือของสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ ไม่สามารถเปิดเผยตัวตนได้อย่างกระจ่างแจ้ง ยอดฝีมือที่ใช้เคล็ดวิชาของสำนักอื่นจำนวนหนึ่งโจมตีลัทธิกระบี่สวรรค์ ก็มิอาจพิสูจน์ได้ว่าเคล็ดวิชาที่สำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์บำเพ็ญนั้นล้ำเลิศ! ดังนั้นนี่ก็เป็นได้แค่เพียงวิธีการลับๆ ของทั้งสองฝ่ายเท่านั้น
ในด้านที่เปิดเผย ก็ยังต้องการศิษย์ประเภทเดียวกับอ๋องอสนีบาตโม่เฉา กงเหลียงอี้ และอิงซานเสวี่ยอิง
******
หลังจากที่เข้าใจการต่อสู้นี้ขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ปลีกวิเวกต่อไป
ถึงแม้ว่าความเข้าใจในแก่นห้วงอากาศจะลึกล้ำยิ่งขึ้น ‘การกลายเป็นอากาศธาตุ’ ห่างจากระดับสุดยอดขั้นสุดท้ายอยู่อีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้น แต่ก้าวเดียวนี้ก็มีระดับความยากไม่น้อยไปกว่าขั้นอลวนระดับสุดยอดกลายเป็นเทพจักรวาลเลย! ตลอดมาตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิเคยก้าวออกจากจุดนี้ได้เลย ช่วยไม่ได้ ขั้นอลวนจะก้าวไปถึงขั้นนี้ได้ก็ยากเย็นเกินไปเสียแล้ว โชคดีที่เขาเคยเห็นชุดเกราะของแม่ทัพโม่กู่แล้ว ถ้าหากไม่เคยเห็นมาก่อน ให้เขานึกคิดเอาเองจากความว่างเปล่า การที่ขั้นอลวนจะก้าวมาถึงจุดนี้ได้ก็เป็นแค่เพียงความฝันแล้ว
ถึงอย่างไรที่ดินแดนจิตโลกา ขั้นอลวนที่สามารถไปถึงศาสตร์การกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอดได้ ก็มีอยู่เพียงแค่สองศาสตร์เท่านั้น
หนึ่งคือที่รัฐโบราณสหโลกา
ส่วนอีกหนึ่งอยู่ที่รัฐโบราณคิมหันตวายุ
รัฐโบราณอื่นๆ รวมถึงผู้ที่ทางด้านห้วงอากาศไปถึงระดับขั้นสูงสุดจำนวนหนึ่ง อย่างเช่นประมุขรัฐเมฆทักษิณาเป็นต้น ต่างก็ไม่สามารถคิดค้นศาสตร์ที่สามารถกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอดตั้งแต่ยังเป็นขั้นอลวนได้เลย
……
ทางด้านการกลายเป็นอากาศธาตุยากที่จะก้าวหน้ากว่านี้ได้แล้ว ในทางกลับกันตงป๋อเสวี่ยอิงกลับมีความก้าวหน้าใน ‘เคล็ดผนึกห้าภาพ’ อย่างไม่หยุดหย่อน
ในที่สุดก็ต้องการเพียงแค่ความสำเร็จอีกเล็กน้อยเท่านั้นเอง
หลังจากเผชิญกับการโจมตีมาเพียงแค่สามเดือนเท่านั้น ช่างแสนสั้นนัก
“ภาพแก่น”
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูห้วงอากาศเบื้องหน้าแล้วปัดมือเบาๆ คราหนึ่ง ภายใต้การเคลื่อนไหวของเขา อนุภาคทรงกลมหมอกดำของแก่นห้วงอากาศจำนวนนับไม่ถ้วนต่างก็เกิดความเคลื่อนไหวแปรเปลี่ยนขึ้นมา ทั้งหมดล้วนตามความคิดของตงป๋อเสวี่ยอิง ‘ผ้าสีดำ’ ชั้นแล้วชั้นเล่า อนุภาคทรงกลมหมอกดำจำนวนมากของผ้าสีดำชั้นหนึ่งในนั้นหมุนกลิ้งแล้วกลายสภาพเป็นทรงกลมอันหนึ่ง แล้วกลายเป็นลูกบาศก์ขนาดมหึมาอันหนึ่ง
“ในที่สุดก็ทำมาจนถึงขั้นนี้ได้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยรอยยิ้มออกมา ทรงกลมหมอกดำมีขนาดเล็กเกินไป ยากที่จะสัมผัสได้ กระทั่ง ‘ทลายเวหา’ ที่อาศัยร่างเมฆทักษิณาทิพย์สำแดงออกมาก็ฝืนทำให้อนุภาคทรงกลมหมอกดำไม่กี่อนุภาคชนกันเท่านั้น อยากที่จะควบคุมนั้นเป็นเรื่องที่ยากเย็นเพียงใด จำเป็นจะต้องอาศัยความเร้นลับของห้วงอากาศมา ‘เหนี่ยวนำ’ เมื่อฝึกเคล็ดวิชาการเหนี่ยวนำชนิดนี้ได้สำเร็จแล้ว ก็คือความสำเร็จเล็กๆ ของ ‘ภาพแก่น’ ก็เป็นขั้นอลวนระดับชั้นที่เก้าขั้นสุดยอดแล้ว
ไม่อาศัยวัตถุภายนอกก็เป็นขั้นอลวนระดับสุดยอดแล้ว
“พรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ!”
ตงป๋อเสวี่ยอิงจิตใจวูบไหว
ฟากฟ้าเบื้องบนมีลำแสงห้าสายปรากฏขึ้น เป็นตัวแทนของการควบคุมที่แตกต่างกันห้าชนิดของห้วงอากาศ มีลำแสงที่เป็นความอลวนสีดำอันหนักหน่วงหาใดเปรียบสายหนึ่ง มีลำแสงที่เป็นภาพลวงตาวับแวมคล้ายมีคล้ายไม่มี มีสายที่ราวกับกระแสคลื่นอากาศอันปั่นป่วนพลุ่งพล่าน มีสายที่แปรเปลี่ยนโดยธรรมชาติราวกับเส้นไหมราวกับไอหมอก ส่วนสายสุดท้ายกลับเป็นลำแสงอันขมุกขมัวสายหนึ่ง
“เคล็ดผนึกห้าภาพ!” ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยสีหน้ายินดี “ถ้าหากข้าบำเพ็ญได้สำเร็จก่อนแล้ว จะยังต้องกลัวเขตพลังกาลเวลาของเขาเสียที่ไหนกัน”
เขตพลังกาลเวลา ยิ่งเผชิญกับพลังที่แข็งแกร่ง การโจมตีที่ได้รับก็จะยิ่งใหญ่ขึ้น
เคล็ดผนึกห้าภาพ…
ศาสตร์ลับห้วงอากาศที่แข็งกร้าวและกล้าแกร่งที่สุดของสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ ถ้าหากมี ‘ลูกแก้วห้าภาพ’ อยู่ในมือ สามารถสำแดงเคล็ดวิชาระดับชั้นที่สิบห้าชนิดออกมาได้ในขณะเดียวกัน ก็จะรวมเข้าด้วยกันแล้วส่งเสริมซึ่งกันและกัน สร้างเป็น ‘เคล็ดผนึกห้าภาพ’ ออกมาได้ พลังคุกคามก็ย่อมเหนือกว่าที่จะจินตนาการได้ แข็งกร้าวอย่างที่สุด
“ท่านอาจารย์ขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่งสารติดต่อประมุขรัฐเมฆทักษิณาในทันที
“เสวี่ยอิง มีเรื่องอันใดหรือ” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาถาม
“ข้าบำเพ็ญเคล็ดผนึกห้าภาพสำเร็จแล้วขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
“อะไรนะ ไหนเจ้าพูดอีกทีสิ”
ตอนที่ 64 จับกุม!
Ink Stone_Fantasy
หลังจากนั้นติดๆ
แคว่กกก…
ภายในห้องเงียบซึ่งเป็นสถานที่เก็บตัวของตงป๋อเสวี่ยอิงแห่งนี้ มีเงาร่างสายหนึ่งเดินออกมาจากกลางอากาศ ซึ่งก็คือประมุขรัฐเมฆทักษิณาในอาภรณ์สีดำทั้งร่าง
“อาภรณ์สีดำรึ นี่คือร่างแยกของท่านอาจารย์อย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบคาดเดา เขาคิดค้นศาสตร์ร่างแยกขึ้นมา ร่างแยกของประมุขรัฐเมฆทักษิณาจะต้องมีกลเม็ดเกินธรรมดาอย่างแน่นอน
“เจ้าฝึกเคล็ดผนึกห้าภาพสำเร็จแล้วหรือ เร็วเข้า สำแดงให้ข้าดูหน่อยสิ” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาเร่งเร้า
“ขอรับ ท่านอาจารย์”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า ทันใดนั้นก็มีลำแสงห้าสายปรากฏขึ้นเหนือร่าง บดบังห้องเงียบไปกว่าครึ่ง
ประมุขรัฐเมฆทักษิณาแหงนหน้ามองลำแสงห้าสายนั้น นัยน์ตาฉายแววลุ่มหลง เขาพึมพำเสียงต่ำว่า “ผนึกห้าภาพ ผนึกห้าภาพ ขั้นอลวนก็ฝึกสำเร็จได้แล้วจริงๆ”
เขารู้ว่าศิษย์ของตนคงไม่ถึงกับพูดปด แต่เมื่อได้ยินสิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงส่งสารบอก เขาก็อดสงสัยว่าฟังผิดไปมิได้
เนื่องจากเคล็ดผนึกห้าภาพเป็นเคล็ดสืบทอดลับทางสายอากาศซึ่งแข็งแกร่งที่สุดในการต่อสู้ของเขา เคล็ดสืบทอดลับวิชานี้ ในบรรดาหกรัฐโบราณมีสี่รัฐที่ได้ครอบครอง ในรัฐโบราณเหล่านั้น มีเคล็ดสืบทอดลับมากมายจึงอาจมิได้ใส่ใจสักเท่าใดนัก แต่รัฐเมฆทักษิณา…ถึงอย่างไรก็เป็นรัฐชั้นรองเล็กๆ เคล็ดผนึกห้าภาพย่อมมีความหมายแตกต่างออกไป นอกจากนี้มันยังฝึกฝนได้ยากยิ่งนัก
“ในขั้นอลวน เส้นทางสายหนึ่งจะบรรลุถึงขีดสุดก็ยากมากแล้ว นี่เป็นเส้นทางห้าสายที่แตกต่างกัน” หัวใจของประมุขรัฐเมฆทักษิณาเต้นรัว หลังจากที่เขาบรรลุถึงระดับยอดสุดแล้วจึงได้เคล็ดผนึกห้าภาพมา และฝึกฝนมันจนถึงขั้นครบสมบูรณ์
เขาถามตนเองว่า หากอยู่ในขั้นอลวน เกรงว่าก็คงจะฝึกไม่สำเร็จ
เท่าที่เขารู้ รัฐโบราณเสียดฟ้าเคยมีผู้ทีพรสวรรค์คนหนึ่งซึ่งฝึกเคล็ดผนึกห้าภาพสำเร็จตั้งแต่ยังเป็นขั้นอลวน เพียงแค่คนเดียวเท่านั้น
“ประเสริฐ ประเสริฐ” ประมุขรัฐเมฆทักษิณามองตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยความชื่นชมเต็มเปี่ยม
“นี่คือลูกแก้วห้าภาพ” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาหยิบสร้อยข้อมือเส้นหนึ่งออกมา บนสร้อยข้อมือมีลูกแก้วสีดำอยู่ห้าลูก แต่ละลูกเปล่งแสงรำไรออกมา และแผ่กลิ่นอายที่แตกต่างกันไป ประมุขรัฐเมฆทักษิณาเผยสีหน้าโล่งใจออกมา “ตั้งแต่ข้าได้เคล็ดผนึกห้าภาพมาไม่นานนัก ข้าก็หลอม ‘ลูกแก้วห้าภาพ’ นี้ขึ้นมา ข้าอยากจะมอบสมบัติลับชิ้นนี้ต่อไปมาโดยตลอด แต่รอแล้วรอเล่าจนมาถึงวันนี้ ในที่สุดลูกแก้วห้าภาพก็รอจนได้พบเจ้านายของมันเสียที”
ลูกแก้วห้าภาพลองมาถึงตรงหน้าตงป๋อเสวี่ยอิง
ตงป๋อเสวี่ยอิงยื่นมือออกไปรับไว้
เมื่อสัมผัสดูเล็กน้อย
“วิ้ง”
ลูกแก้วแต่ละลูกล้วนมีโลกใบหนึ่งแฝงอยู่ภายใน ซึ่งสัมพันธ์กับ ‘ภาพ’ หนึ่งในนั้น
เมื่อสัมผัสได้ถึงความพิสดารของอักขระลับที่แฝงเอาไว้ในลูกแก้วห้าภาพ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็พลันเงยหน้าขึ้นมาด้วยความตกตะลึง “ท่านอาจารย์ นี่ นี่มัน…”
เดิมทีเขาคิดว่านี่น่าจะเป็นเพียงแค่สมบัติลับขั้นอลวนชั้นที่สิบเท่านั้น แต่เมื่อเขาสัมผัสกลับพบว่าระดับความพิสดารของ ‘ลูกแก้วห้าภาพ’ นี้ยังเหนือกว่าชั้นที่สิบเสียอีก ความล้ำค่านั้นไม่แพ้หอกเทพเมฆาแดงเลยแม้แต่น้อย หรือถึงขั้นเหนือกว่าเสียด้วยซ้ำ! เนื่องจากลูกแก้วทั้งห้าลูก แต่ละลูกล้วนเทียบเท่ากับสมบัติลับอันแข็งแกร่งชิ้นหนึ่ง
ต้องรู้ไว้ว่า โดยทั่วไปแล้วสมบัติลับขั้นอลวนชั้นที่สิบ ราคาก็จะอยู่ระหว่างห้าร้อยล้านถึงหนึ่งพันล้านแก้วผลึกจักรวาล
สมบัติลับเทพจักรวาล โดยทั่วไปราคาก็จะอยู่ระหว่างห้าพันล้านถึงหนึ่งหมื่นล้านแก้วผลึกจักรวาล
‘ลูกแก้วห้าภาพ’ แต่ละลูกต่างก็เป็นสมบัติลับชิ้นหนึ่ง หากเป็นขั้นอลวนชั้นที่สิบ เนื่องจากเป็นสิ่งที่อาจารย์หลอมขึ้นมา ลำพังแค่ต้นทุนวัสดุ คาดว่าก็คงต้องใช้แก้วผลึกจักรวาลราวสองพันล้านก้อนแล้ว
แต่บัดนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงค้นพบแล้วว่าลูกแก้วห้าภาพนี้มิใช่แค่สมบัติล้ำค่าระดับชั้นที่สิบ เกรงว่าราคาคงจะมากขึ้นเป็นสิบเท่าแล้ว
“ฮ่าฮ่า…” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาหัวเราะ “ข้าก็คิดไม่ถึงว่าคนแรกที่ฝึกเคล็ดผนึกห้าภาพสำเร็จในสำนักเราจะเป็นขั้นอลวนคนหนึ่งไปได้”
ตงป๋อเสวี่ยอิงกระจ่างแจ้งขึ้นมา
คาดว่าเทพจักรวาลคงจะสามารถฝึกห้าเส้นทางพร้อมกันได้ง่ายกว่า
“แต่มันล้ำค่าเกินไปนะขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดขึ้นอย่างอดไม่ได้
“รับไว้เถอะ เจ้าเป็นศิษย์ของข้า” ประมุขรัฐเมฆทักษิณายิ้มน้อยๆ “เจ้าแข็งแกร่ง ก็เท่ากับสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์เราแข็งแกร่ง ยิ่งไปกว่านั้น…เส้นทางทั้งห้าสายของเจ้าสามารถบรรลุถึงระดับขั้นนี้ได้ คิดจะก้าวเข้าสู่เทพจักรวาลก็พอมีโอกาสอยู่”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
“นอกจากนี้ ในเมื่อฝึกเคล็ดผนึกห้าภาพสำเร็จแล้ว เรื่องที่ลัทธิกระบี่สวรรค์จะเข้ามาในสี่รัฐมารทมิฬของเรา ก็ขอมอให้เป็นหน้าที่ของเจ้าทั้งหมดก็แล้วกัน” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาพูดยิ้มๆ “เจ้าพยายามทำให้เต็มที่ เบื้องหลังยังมีข้าอยู่”
“ขอรับ ท่านอาจารย์” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
******
วันต่อมา
“แฮ่…”
มังกรมารซึ่งเต็มไปด้วยเกราะเกล็ดสีดำทั้งร่างเปล่งเสียงคำรามออกมา มันขดเลื้อยอยู่กลางฟากฟ้าเหนือตำหนักทิพย์เมฆทักษิณา บนหลังของมังกรมารที่ใหญ่โตหาใดเปรียบ ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวผู้หนึ่งกำลังยืนอยู่
“ไป ไปตำหนักลัทธิกระบี่สวรรค์กันเถอะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปาก
“สวบ”
มังกรมารเลื้อยคราหนึ่งก็แทรกเข้าไปในอากาศอย่างรวดเร็ว
ไม่นานนัก
ณ อีกบริเวณหนึ่งในนครหลวงรัฐประกายเพลิง กลางอากาศของตำหนักลัทธิกระบี่สวรรค์ มังกรมารที่ขดเลื้อยไปมาตัวหนึ่งโผล่ออกมากลางอากาศแล้วลอยคว้างอยู่ ส่วนชายหนุ่มอาภรณ์ขาวอีกคนหนึ่งก็ยืนอยู่บนหลังของมังกรมารพลางเหลือบมองลงไปเบื้องล่าง
“ยังสร้างอยู่อีกหรือนี่” เมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงเหลือบมองลงไป ทั้งตำหนักลัทธิกระบี่สวรรค์ก็เหมือนจะสมบูรณ์ดี ไร้ซึ่งความเสียหาย ทว่าเขากลับเห็นว่ามีผู้บำเพ็ญจำนวนไม่น้อยที่กระจัดกระจายกันไปตามทิศต่างๆ และกำลังประทับรอยอักขระค่ายกลลงไป ต้องรู้ไว้ว่าในฐานะที่เป็นตำหนักทิพย์ของนครหลวง ค่ายกลนั้นต้องต้านทานผู้แกร่งกล้าขั้นอลวนชั้นที่สิบได้ หากพูดถึงอานุภาพแล้ว เพียงพอที่จะเทียบกับ ‘เมืองหิมะเหิน’ ของตงป๋อเสวี่ยอิงได้เลยทีเดียว
ตอนแรกเมืองหิมะเหินนั้นสร้างมานานถึงเกือบร้อยล้านปีแล้ว ก็มีค่ายกลเป็นหลัก
สิ่งก่อสร้างของตำหนักลัทธิกระบี่สวรรค์เองนั้นสร้างขึ้นอย่างง่ายๆ ด้วยวิธีการของผู้แกร่งกล้าขั้นอลวน เพียงชั่วข้ามคืนก็สามารถสร้างสำเร็จได้อย่างง่ายดาย มีเพียงค่ายกลที่ต้องใช้วัสดุและความตั้งใจในการประทับตราเป็นอย่างมาก!
“นั่นใครกันน่ะ”
“กล้าอยู่กลางอากาศเหนือตำหนักลัทธิกระบี่สวรรค์อย่างนั้นหรือ”
“เจ้าจะไปรู้อะไรเล่า มังกรมารตัวนั้นมีราคากว่าพันล้านแก้วผลึกจักรวาล ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวผู้นั้นก็คือ ‘อิงซานเสวี่ยอิง’ ยอดฝีมือผู้มีพรสวรรค์แห่งสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์”
เมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏกายขึ้นมา ไม่นานนักก็ดึงดูดความสนใจของผู้บำเพ็ญโดยรอบทั่งหลายได้ กลางอากาศไกลออกไป เกี้ยวจำนวนหนึ่งหยุดลงและมองออกมา ยังดีที่ ‘สายตา’ ของบรรดาผู้บำเพ็ญล้วนดียิ่งนัก
“ตู้มมม…”
ตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งยืนอยู่บนหลังมังกรมารขนาดมหึมาราวกับเด็กน้อยที่เหลือบมองลงมาเบื้องล่าง เสียงสะท้อนก้องไปทั่วบริเวณนับร้อยล้านลี้ “ข้า อิงซานเสวี่ยอิงขอท้ายอดฝีมือลัทธิกระบี่สวรรค์ ระหว่างช่วงเวลานี้ หวังว่าทุกท่านจะไม่เข้าออกตำหนักลัทธิกระบี่สวรรค์ เพื่อป้องกันมิให้ถูกลูกหลง” ขณะเดียวกับที่เปล่งวาจานั้น ระลอกคลื่นมิติที่โหมซัดก็ปกคลุมทั้งรอบนอกของตำหนักลัทธิกระบี่สวรรค์
ระลอกคลื่นมิติโหมซัดสาด เกรงว่ายอดฝีมือขั้นอลวนชั้นที่แปดโดยทั่วไปเข้ามาแล้วก็ต้องถูก ‘บริเวณเมฆาแดง’ สังหาร
พูดเสียน่าฟังว่า ‘ป้องกันมิให้ถูกลูกหลง’
แต่อันที่จริงแล้วสิ่งที่ทำก็คือการ ‘ขวางประตู’ ต่างหาก!
เรียบง่ายมาก
หากมีความสามารถพอก็มาสังหารข้าเสีย มิเช่นนั้นแล้ว พวกเจ้าก็อย่าได้รับศิษย์หรือสั่งสอนศิษย์เลย ภายใต้ระลอกคลื่นมิติอันน่าหวาดหวั่นพรรค์นี้ ก็มิมีผู้ใดกล้ามาร่วมด้วย! สิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงทำก็นับว่าเมตตามากแล้ว อย่างพวกอ๋องชางซูนั้น ในตอนแรกมิได้สำแดงบริเวณออกมา แต่เมื่อมีศิษย์จะเข้าไปในตำหนักทิพย์เมฆทักษิณาจึงสังหารทันที! ทำให้ศิษย์นอกสำนักของสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์บางคนที่ไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์สักเท่าใดนักต้องเสียชีวิตไป
“โอ้”
“ขวางประตูเสียแล้ว”
“อิงซานเสวี่ยอิงขวางประตูตำหนักลัทธิกระบี่สวรรค์แล้ว ช่างอาจหาญนัก”
“รีบมาเร็วๆ”
“อิงซานเสวี่ยอิงโดยสารมังกรมารมาขวางประตูตำหนักลัทธิกระบี่สวรรค์แล้ว” ผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่ไกลออกไปพากันส่งสารให้กับเหล่าสหายของตนทันที ฟิ้วๆ ยอดฝีมือจำนวนมากต่อมากเร่งเข้ามาจากทุกทิศทุกทาง คนของตระกูลจักรพรรดิและตระกูลอ๋องโหวต่างๆ พากันโดยสารเกี้ยวอันหรูหรามาด้วยกัน พวกเขาล้วนจับตามองอย่างสนอกสนใจอยู่ห่างๆ
อ๋องชางซูขวางประตู เพียงเพื่อท้าทายเท่านั้น เพราะถึงอย่างไรก็เป็นเพียงยอดฝีมือระดับชั้นที่เก้าเท่านั้น
ตงป๋อเสวี่ยอิงขวางประตู จึงจะเป็นการปะทะของทั้งสองฝ่ายอย่างแท้จริง!
……
ด้านนอกคึกคักเป็นอย่างมาก ผู้แกร่งกล้าจำนวนนับไม่ถ้วนมาชมดูเรื่องสนุก อยากจะเห็นลัทธิกระบี่สวรรค์ปะทะกับสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์! เพราะถึงอย่างไรก็ล้วนแต่เป็นหนึ่งในสิบสำนักใหญ่แห่งดินแดนจิตโลกา ซึ่งส่งตัวแทนของพรรคออกมาท้าทายอย่างทรงเกียรติและโจ่งแจ้ง เพื่อรักษาหน้าของแต่ละฝ่ายเอาไว้ ผู้ที่ส่งออกไปก็ล้วนแต่มีพลังแข็งแกร่งอย่างยิ่ง หากพ่ายแพ้แล้วก็มิใช่ตนที่เสียหน้า แต่เป็นสำนักต่างหากที่เสียหน้า
“เขากล้าได้อย่างไรกัน เขากล้าทำเช่นนี้ได้อย่างไรกัน” บุรุษอาภรณ์สีม่วง ‘อ๋องอสนีบาต’ โม่เฉามองท้องฟ้าด้วยความโกรธแค้น “ต่อให้เขาศึกษายุทธวิธีเมฆาแดงแล้วอย่างไรเล่า”
ฟิ้วๆๆ
ด้านข้างก็มีเงาร่างสายแล้วสายเล่าปรากฏขึ้น ซึ่งได้แก่ท่านชายฉื้อเฟิง ผู้ท่องธุลีฝน ผู้แกร่งกล้าอาภรณ์ดำ เทพมารร้อยสงคราม ‘ฝานฉู่ฮู่’ ทูตวารีและทูตเพลิงเป็นต้น พวกเขาเงยหน้ามอง
“ทุกท่านคิดว่าควรทำอย่างไรดี” อ๋องอสนีบาตโม่เฉามองไปด้านข้าง
“อย่าถามพวกเราเลย” ท่านชายฉื้อเฟิงส่ายหน้ารัวพลางพูดยิ้มๆ เสียงเบาว่า “พวกเรามิใช่ศิษย์ของลัทธิกระบี่สวรรค์ ผู้อื่นท้าทายยอดฝีมือลัทธิกระบี่สวรรค์ พวกเราจะลงมือไปก็ไม่ดีหรอก”
“พวกเรามิอาจลงมือได้ หากยอดฝีมือสกุลฝานเราลงมือ จะนับว่าเป็นอะไรกัน” ฝานฉู่ฮู่ก็ส่ายศีรษะเช่นกัน
“พวกเราก็ไม่ได้” ทูตวารีและทูตเพลิงส่ายหน้า พวกเขาอยู่ในความคุ้มครองของประมุขรัฐกระบี่สวรรค์ แต่การบำเพ็ญก็มิใช่ทางสายของลัทธิกระบี่สวรรค์อยู่ดี
สงครามระหว่างสำนัก
การท้าทายอย่างทรงเกียรติและโจ่งแจ้ง ต้องให้ศิษย์ของตนลงมือ หากคนนอกลงมือ ก็รังแต่จะถูกหัวเราะเยาะว่าสำนักไร้ผู้มีฝีมือเท่านั้นเอง
“การรักษาชีวิตของเขาร้ายกาจ วิถีกายก็ร้ายกาจ ข้าเอาชนะเขาไม่ได้” อ๋องอสนีบาตโม่เฉาขมวดคิ้ว เขาเป็นหนึ่งในสองผู้พิทักษ์วิถีของลัทธิกระบี่สวรรค์ ในบรรดายอดฝีมือขั้นอลวนชั้นที่สิบนั้น เขามีชื่อเสียงเกรียงไกร ทั้งยังคารวะเข้าเป็นศิษย์ในนามของบรรพชนรัฐโบราณสหโลกาท่านหนึ่ง แต่ด้วยความหยิ่งผยองของเขา ก็จะไม่ออกศึกเลย หรือถ้าออกศึกก็ต้องคว้าชัยเท่านั้น
แต่ยุทธวิธีเมฆาแดงของอีกฝ่าย สะกดรอยและเปลี่ยนแปลงได้นับพันนับหมื่น จึงอยู่ในสถานะที่ไม่แพ้ ไปแล้ว ถึงแม้หากอาศัยพลัง ตนจะไม่มีทางพ่ายแพ้ แต่หากถูกกลั่นแกล้งขึ้นมา หน้าตาก็จะไม่น่ามองนัก
“ท่านประมุขรัฐ” โม่เฉาส่งสารติดต่อประมุขรัฐกระบี่สวรรค์
“ในเมื่อขวางประตูแล้ว เช่นนั้นก็มีแต่ต้องรับศึกเท่านั้น ไปเถิด แม้จะมิอาจคว้าชัยได้ แต่ก็ต้องทำให้สนามรบน่ามองเสียหน่อย อย่าให้เสียหน้าก็พอแล้ว” ประมุขรัฐกระบี่สวรรค์ส่งสาร
“ขอรับ”
โม่เฉาเข้าใจแล้ว
ช่วยไม่ได้
ในที่แจ้งดูเหมือนสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์จะมีศิษย์ระดับชั้นที่สิบอยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น รวมถึงรัฐที่อยู่ภายนอกด้วย ก็มีราวสิบคนเท่านั้น ลัทธิกระบี่สวรรค์ก็เป็นเช่นนี้ ศิษย์ระดับชั้นที่สิบที่แท้จริงนั้นมีน้อยมาก ผู้ที่สามารถประมือกับอิงซานเสวี่ยอิงได้อย่างสูสีนั้นพอมี แต่จะเอาชนะได้ก็ไม่มีเลยจริงๆ! ยุทธวิธีเมฆาแดงเป็นเคล็ดสืบทอดลับของทางสกุลฝาน ย่อมมีเหตุผลของมันเป็นธรรมดา
……
มังกรมารร่างกายใหญ่โตคดเคี้ยวหมอบพังพาบอยู่กลางอากาศ ระลอกคลื่นอากาศรอบด้านม้วนตัว ‘ตงป๋อเสวี่ยอิง’ ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวบนหลังมังกรมารเหลือบมองลงไปเบื้องล่างแค่นเสียงเฮอะด้วยความโมโห “หรือลัทธิกระบี่สวรรค์จะไม่มีผู้ใดมีน้ำยาพอจะรับศึกเลยหรือ” เสียงนั้นสะท้อนก้องไปทั่วฟากฟ้าทั้งสี่ทิศ
เบื้องล่างเงียบงันลงไป
“อิงซานเสวี่ยอิง เจ้าก็อย่าอวดดีเกินไปหน่อยเลย” ในที่สุดก็มีเสียงตะคอกเสียงหนึ่งดังขึ้น
บุรุษอาภรณ์สีม่วงคนหนึ่งทะยานขึ้นมา ใบหน้าของเขาเย็นชา เขาลอยคว้างอยู่กลางอากาศ ประจันหน้ากับชายหนุ่มอาภรณ์ขาวที่อยู่บนหลังมังกรมารอันคดเคี้ยวอยู่ห่างๆ
“มาแล้วๆ”
“จะประมือกันแล้ว”
“เป็นอ๋องอสนีบาตโม่เฉา”
“โม่เฉาเป็นถึงหนึ่งในสองผู้พิทักษ์วิถีแห่งลัทธิกระบี่สวรรค์ เขาเคยเอาชนะ ‘ประมุขมารหยกศิลา’ ได้ ได้ยินมาว่าเขายังเคยบุกฝ่า ‘สะพานสิบกัลป์’ ในรัฐโบราณสหโลกาและประสบโอกาสครั้งใหญ่ด้วย”
แต่ละแห่งวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา
การรับหน้าที่เป็นผู้ดำเนินการรุกโจมตีสี่รัฐมารทมิฬในครั้งนี้ ทำให้ชื่อเสียงของอ๋องอสนีบาตโม่เฉาขจรขจายไปไกลอย่างแท้จริง ต่อให้เป็นท่านชายฉื้อเฟิงและคนอื่นๆ ก็ยังต้องเห็นแก่หน้าเขา
“เจ้าก็คือโม่เฉาหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปาก
“ถึงกับกล้าขวางประตูตำหนักลัทธิกระบี่สวรรค์ของเรา ช่างบังอาจเสียจริง พูดไร้สาระให้น้อยหน่อย รับกระบวนท่าเสียเถอะ” โม่เฉาพลันตะคอกเสียงดัง ขณะเดียวกันร่างกายของเขาก็กลายเป็นสายน้ำอสนีบาตที่ม้วนตัว กลายเป็นเงาร่างของสายน้ำอสนีบาตอันเลือนราง ในมือของเขาถือกระบี่เทพเล่มหนึ่งซึ่งราวกับสายน้ำเช่นกัน เขากะพริบวาบคราหนึ่งแล้วพุ่งตรงไปทางอิงซานเสวี่ยอิง
“ไม่ประมาณตนเองเลย” เสียงของตงป๋อเสวี่ยอิงดังก้อง พลิกมือคราหนึ่ง
ฝ่ามือพลันขยายออก ลำแสงอันเรืองรองห้าสายอยู่เหนือนิ้วมือ ก่อร่างเป็นฝ่ามือใหญ่เทียมฟ้า ตะปบตรงไปทางโม่เฉา!
โม่เฉาซึ่งแปรเป็นเงาร่างของสายน้ำอสนีบาตพลันใจสั่นขึ้นมา หมายจะหลบหนีไป
แต่มือใหญ่เทียมฟ้าก็ตะปบลงมาเบื้องล่างแล้วบดบังเอาไว้!
ผนึกห้าภาพ!
มิติ ปิดผนึก!
ต่อให้ส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นก็หนีไม่พ้น เคล็ดวิชาหลบหนีอันใดก็ไร้ประโยชน์ ฝ่ามือมหึมาซึ่งเปล่งแสงเรืองรองคว้าโม่เฉาเอาไว้ในคราวเดียว
“ไม่ ไม่…” โม่เฉาดิ้นรนอย่างสิ้นหวัง ทันใดนั้นร่องนิ้วของฝ่ามือมหึมาก็มีอสนีบาตจำนวนนับไม่ถ้วนแลบแปลบปลาบขึ้นมา
“เปิดทางให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
อสนีบาตฟันฟาด ประกายกระบี่เจิดจ้า
ฝ่ามือมหึมาของตงป๋อเสวี่ยอิงดูเหมือนจะมีร่องระหว่างนิ้วมือ แต่อันที่จริงแล้วเคล็ดผนึกห้าภาพได้ผนึกทั้งมิติเอาไว้โดยไม่เหลือช่องโหว่เลยแม้แต่น้อย กระบวนท่าระดับชั้นที่สิบทั้งห้าชนิดส่งเสริมและผสายกันอย่างสมบูรณ์แบบ อานุภาพนี้เพียงพอจะทำให้ยอดฝีมือขั้นอลวนชั้นที่สิบคนอื่นๆ สิ้นหวังได้เลยทีเดียว! ทั้งดินแดนจิตโลกา ยอดฝีมือขั้นอลวนที่สามารถแก้กระบวนท่านี้ได้อาจจะพอมี แต่โม่เฉายังห่างชั้นอีกไกลโข
“สวบ”
ผู้แกร่งกล้าจำนวนนับไม่ถ้วนที่ล้อมวงดูอยู่นั้นปากอ้าตาค้าง ตงป๋อเสวี่ยอิงเก็บฝ่ามือกลับมา บนข้อมือขวาของเขามีลูกแก้วห้าภาพลอยขึ้นมาก่อนแล้ว ลูกแก้วห้าภาพเปล่งแสงเรืองรองออกมา ทันใดนั้นมิติขนาดใหญ่เท่ากำปั้นก็ลอยเข้าไปในลูกแก้วลูกหนึ่งอย่างรวดเร็ว ภายในมิติขนาดใหญ่เท่ากำปั้นมีเงาร่างมนุษย์สายฟ้าถือกระบี่ดิ้นรนและร่ำร้องอยู่ อานุภาพกระบวนท่ากระบี่น่าหวาดหวั่นผิดธรรมดา แต่ยังคงถูกลูกแก้วลูกหนึ่งในลูกแก้วห้าภาพเก็บเข้าไปอยู่ดี
ไม่ว่าจะเป็นลูกแก้วใดในลูกแก้วห้าภาพ ก็ล้วนแต่มีมิติของโลกใบหนึ่งบรรจุเอาไว้ เหมาะแก่การจองจำศัตรูเอาไว้เป็นที่สุด
ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าการจับขังเอาไว้ทั้งเป็น มีประโยชน์กับตนมากกว่าสังหารทิ้ง
“นี่ นี่มัน…” ผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนที่ชมดูอยู่โดยรอบตะลึงงันกันไปหมด พวกเขาหลายคนมีพลังแข็งแกร่งและมีสถานะสูงส่งมาก และเข้าใจดีว่าอ๋องอสนีบาตโม่เฉาเป็นบุคคลที่ร้ายกาจเพียงใด
หนึ่งในสองผู้พิทักษ์วิถีแห่งลัทธิกระบี่สวรรค์ผู้เอาชนะประมุขมารหยกศิลาด้วยกระบี่และบุกฝ่าสะพานสิบกัลป์ได้!
ถูกฝ่ามือหนึ่งจับเอาไว้เช่นนี้เองน่ะหรือ
“ผนึกห้าภาพรึ” สีหน้าของท่านชายฉื้อเฟิงซึ่งอยู่ในตำหนักลัทธิกระบี่สวรรค์เปลี่ยนแปรไป “เคล็ดผนึกห้าภาพ เป็นไปได้อย่างไรกัน เคล็ดผนึกห้าภาพปรากฏขึ้นมาแล้วหรือนี่”
“ฝึกเคล็ดผนึกห้าภาพสำเร็จแล้วหรือ ขั้นอลวนคนหนึ่งสามารถฝึกเคล็ดผนึกห้าภาพสำเร็จได้ด้วยหรือ”เทพมารร้อยสงครามฝานฉู่ฮู่ก็เงยหน้ามองเช่นกัน ครั้งก่อนที่เขาได้เห็นเคล็ดสืบทอดลับวิชานี้ ก็คงเป็นสมัยสงครามรัฐโบราณครั้งที่สองโน่นกระมัง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น