Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 33 ตอนที่ 56-58

 ตอนที่ 56 เคล็ดผนึกห้าภาพ

Ink Stone_Fantasy

ประมุขรัฐเมฆทักษิณานั่งอยู่ตรงนั้น แต่สายตากลับมองทะลุผ่านอุปสรรคในอากาศอันไร้ที่สิ้นสุด แล้วหยุดลงที่นอกตำหนักทิพย์เมฆทักษิณาแห่งรัฐประกายเพลิง


ทันใดนั้นนับน์ตาทั้งคู่ของเขาก็มีภาพแล้วภาพเล่าวาบผ่านไป ในจำนวนนั้นก็มีภาพที่ตงป๋อเสวี่ยอิงลงมือจัดการอ๋องชางซูอยู่ด้วย อันที่จริงเดิมทีพลังของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ส่งผลกระทบต่อกาลมิติอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากวิญญาณของเขาดูดซับกลิ่นอายโลกาอันเร้นลับระดับที่สูงขึ้นนอกดินแดนจิตโลกา วิญญาณเกิดการวิวัฒน์ไป แม้จะมีศาสตร์การสะกดรอยมากมาย ก็มิอาจตามรอยตงป๋อเสวี่ยอิงได้


ดังเช่นตอนนั้นร่างแยกของจ้าวภูเขาฉื้อเหมยซ่อนตัวอยู่ จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็หาไม่พบ วิธีการ ‘เจ้าศิลา’ นั้นออกจะพิเศษอยู่บ้าง จึงสามารถหาร่างแยกของจ้าวภูเขาฉื้อเหมยพบได้


ด้วยพลังของประมุขรัฐเมฆทักษิณา ก็มิอาจตามรอย ‘ตงป๋อเสวี่ยอิง’ ได้


ทว่าศึกครั้งนั้น เขารู้อยู่ก่อนแล้วว่าอยู่ที่ใด! จึงได้จับตามองตรงนั้นอยู่ก่อน และตรวจสอบดูเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้าทั้งหมดก็ใช้ได้แล้ว


“น่าแปลกนัก”


“ที่แท้แล้วใช้วิธีการอันใด จึงสามารถจัดการอ๋องชางซูได้อย่างไร้ร่องรอยโดยไม่เหลือร่องรอยแม้แต่น้อย” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาลอบพึมพำ หากเป็นวิธีการต่อสู้อื่นๆ ก็มีความเคลื่อนไหวใหญ่โตมาก แต่เขตลวงพุ่งเป้าไปที่วิญญาณ โดยไม่มีความเคลื่อนไหวใดแม้แต่น้อย


“เป็นวิธีการจำพวกวิญญาณรึ หรือว่ามีสมบัติลับวิเศษอันใดกันแน่” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาคาดเดา จากนั้นก็ยิ้มออกมา


ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม


ยิ่งศิษย์ร้ายกาจเพียงใด ก็ยิ่งเป็นเรื่องดีมากขึ้นเท่านั้น ผู้บำเพ็ญที่แข็งแกร่ง ก็มักมีความลับของตนเองอย่างยากจะหลีกเลี่ยง ประมุขรัฐเมฆทักษิณาก็ไม่อยากจะตามขุดค้นต่อไป


“ลัทธิกระบี่สวรรค์มีทรัพยากรน้อยกว่าสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ของเราอยู่บ้าง แต่เมื่อมีสองรัฐโบราณลอบช่วยเหลือ ในการประมือหลายครั้ง สำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์เราจึงค่อนข้างเสียเปรียบ ศิษย์ของข้าคนนี้ร้ายกาจกว่าที่ข้าคาดไว้มากทีเดียว” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาตั้งตารอคอย การที่สองรัฐโบราณลอบส่งยอดฝีมือไปช่วยเหลือลัทธิกระบี่สวรรค์นั้น เป็นเรื่องที่ ‘มิอาจทำในที่แจ้ง’ ได้ ต่อให้ยอดฝีมือเร้นลับของรัฐโบราณสหโลกาปรากฏกายอย่างเปิดเผยและโจมตีตงป๋อเสวี่ยอิงจนพ่ายแพ้ จะอธิบายว่าอย่างไรได้เล่า


ยอดฝีมือเร้นลับมิใช่คนของลัทธิกระบี่สวรรค์


ชนะแล้วก็มิได้หมายความว่า ศาสตร์ลับของ ‘ลัทธิกระบี่สวรรค์’ ร้ายกาจกว่า!


ดังนั้นเมื่อคนของสองลัทธิต่อกรกัน จึงจะสามารถพิสูจน์ความแข็งแกร่งและอ่อนแอของทั้งสองลัทธิได้มากกว่า ตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นศิษย์ถ่ายทอดเองของประมุขรัฐเมฆทักษิณา! การคว้าชัยของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเอาชนะได้ด้วยวิธีการทางด้านอากาศ ก็ยิ่งพิสูจน์ได้ถึงความแข็งแกร่งของสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ ทำให้ผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนเชื่อว่า “อิงซานเสวี่ยอิงคารวะเข้าอยู่ในสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ ก็มีกลเม็ดร้ายกาจเช่นนี้ ข้าจะคารวะเข้าอยู่ในสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ต้องไม่พลาดแน่ ได้ศึกษาสักเศษเสี้ยวหนึ่งก็เพียงพอแล้ว”


ยิ่งในสำนักหนึ่งมีผู้มีพรสวรรค์และผู้แกร่งกล้ามากเท่าไหร่ ก็ย่อมมีแรงดึงดูดมากขึ้นเท่านั้น


******


ภายในตำหนักทิพย์เมฆทักษิณาแห่งรัฐประกายเพลิง


ตงป๋อเสวี่ยอิงสลัดผู้ติดตามออกไปหมดแล้ว และบำเพ็ญอยู่เพียงลำพัง


“ฟิ้วๆๆ”


กลางโถงตำหนักที่ปิดผนึกอย่างสิ้นเชิงกลับมีลมพัดหวีดหวิว ชายหนุ่มอาภรณ์สีขาวทั้งร่างกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะรองนั่ง เหนือร่างของเขามีลำแสงสามสายพาดข้ามท้องฟ้ามา ลำแสงสายหนึ่งเป็นความสับสนอลหม่านดำมืดอันหนักแน่นหาใดเปรียบ กลางอากาศราวกับแข็งค้างอยู่ ส่วนลำแสงอีกสายหนึ่งกลับบางเบา คล้ายจะมีแต่ก็คล้ายไม่มี ลำแสงสายสุดท้ายคือกระแสคลื่นอากาศที่โหมซัดอย่างรุนแรง


บัดนี้เสียงลมพัดรอบด้านกลับมีลำแสงสี่สายรวมตัวกัน


ดุจเส้นไหมดุจสายหมอก…


รวมตัวกันก็เป็นเส้นไหม แยกจากกันกลับกลายเป็นหมอก


สิ่งที่รวมกันและสลายไปนี้ก็คืออากาศ อากาศถูกกดันโดยตรงจนกลายเป็นเส้นสาย หรือเมื่อแยกออกจากกันอย่างสิ้นเชิงราวกับแตกสลายก็มิได้สลายไปจริงๆ


“กระบวนท่านี้มักจะบกพร่องเล็กน้อยอยู่เรื่อย” ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งอยู่ตรงนั้นพลางหน้านิ่วคิ้วขมวด ลำแสงสี่สายที่พยายามรวมตัวกันอยู่กลางอากาศสลายหายไปทันที


“สวบ”


ตงป๋อเสวี่ยอิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่เคลื่อนไหวแล้ว


จู่ๆ เขาก็เคลื่อนที่มาอยู่กลางอากาศ เพียงแต่ร่างกายของเขากลับแบนราบไปอย่างสิ้นเชิง กลายเป็นภาพแผ่นหนึ่ง ทั้งร่างของเขานั่งขัดสมาธิอยู่ในภาพแผ่นนี้ จากนั้นภาพนี้ก็สลายหายไปราวกับไอหมอก ร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่พลันกะพริบวาบคราหนึ่ง ก่อนจะกลายเป็นร่างหลายร้อยร่างนั่งขัดสมาธิอยู่แน่นขนัดไปหมด


“ห้าภาพ ห้าภาพ ‘ภาพหมอก’ นี้มักจะบกพร่องเล็กน้อยอยู่เสมอ…” ตงป๋อเสวี่ยอิงหลายร้อยคนที่นั่งขัดสมาธิอยู่ต่างก็พึมพำเสียงเบา


“ใช่แล้ว”


ตงป๋อเสวี่ยอิงหลายร้อยร่างนัยน์ตาเป็นประกายพร้อมกัน ความรู้สึกในครั้งนี้สมบูรณ์แบบเป็นอันมาก เขามั่นใจเต็มเปี่ยม เมื่อเขากำหนดจิตคราหนึ่ง ด้านบนก็มีลำแสงสี่สายปรากฏขึ้นอีกครั้ง ลำแสงสี่สายนี้ช่างดุจเส้นไหมดุจสายหมอกโดยแท้ ทั้งสองสับเปลี่ยนกันอย่างเป็นธรรมชาติ สถานะอากาศเปลี่ยนแปลงไปอย่างเป็นธรรมชาติราวกับสายน้ำก็มิปาน หากใช้มันพันธนาการผู้คน ขณะที่เหมือนเส้นไหมนั้นก็เกรงว่าคงจะสามารถตัดเฉือนศัตรูได้ในพริบตา ขณะที่เหมือนหมอกก็สามารถปกคลุมและรัดรึงศัตรูเอาไว้ได้เช่นเดียวกัน


“ฮ่าฮ่าฮ่า วันแรกที่มายังรัฐประกายเพลิง ภาพหมอกก็สำเร็จแล้ว รัฐประกายเพลิงนี่เป็นสถานที่มงคลของข้าจริงๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงอดหัวเราะเสียงดังมิได้


ทางสายอากาศ


ก่อนหน้าจะคารวะประมุขรัฐเมฆทักษิณาเป็นอาจารย์ เขาก็ก็ค้นคว้าทั้งสองทิศทางคือวิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่าและหอกเทพเมฆาแดงอยู่แล้ว ซึ่งทั้งสองทิศทางนี้แทบจะบรรลุถึงขีดสุดขั้นอลวนอยู่แล้ว จะสำเร็จเป็นเทพจักรวาล เขาก็ย่อมต้องค้นคว้าทิศทางที่แตกต่างกันของอากาศต่อไป เมื่อค้นคว้ามากเข้าแล้วผสานเข้าด้วยกัน ความหวังที่จะสำเร็จเป็นเทพจักรวาลก็จะเพิ่มขึ้นมาก


ดังนั้นหลังจากคารวะประมุขรัฐเมฆทักษิณาเป็นอาจารย์ได้ไม่นานเท่าใดนัก เขาก็ฝึกฝนศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาจนสำเร็จทั้งหมด แล้วเลือกศาสตร์ลับจำพวกอากาศอีกวิชาหนึ่งจากสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ในทันที…เคล็ดผนึกห้าภาพนั่นเอง


เคล็ดผนึกห้าภาพ


คือศาสตร์ลับอากาศที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ครอบครองเอาไว้!


ใช่แล้ว


แข็งแกร่งที่สุด!


แม้ตามการแลกเปลี่ยนด้วยคุณูปการจะยังมีวิถีตรีภพ ศาสตร์ร่างแยกและศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกาที่เหนือกว่ามันก็ตามที


ทว่าวิถีตรีภพนั้นเป็นศาสตร์ลับจำพวกกาลมิติ ศาสตร์ร่างแยกก็เป็นเพียงวิธีการรักษาชีวิต เนื่องจากหาได้ยากและการรักษาชีวิตนั้นสำคัญมากจึงสูงค่า ส่วนศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกานั้นเป็นวิธีการท่องอากาศอันล้ำเลิศชนิดหนึ่ง อาศัยวิชานี้สามารถออกจากโลกกำเนิดแห่งหนึ่งแล้วมุ่งหน้าไปยังโลกกำเนิดอันไกลโพ้นอีกแห่งหนึ่งได้! แต่มันบำเพ็ญได้ยากมาก จะต้องสำเร็จเป็นเทพจักรวาลทางสายอากาศ ทั้งยังต้องบรรลุถึงเทพจักรวาลระดับที่สองเสียก่อนจึงจะมีสิทธิ์บำเพ็ญได้ นอกจากนี้ ความเป็นไปได้ที่จะบำเพ็ญได้สำเร็จก็มีไม่มากนัก ตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นไม่มีแม้แต่คุณสมบัติที่จะได้บำเพ็ญเสียด้วยซ้ำ


ไม่เหมือนกับการรักษาชีวิตและการท่องอากาศ


เคล็ดผนึกห้าภาพนั้นเป็นศาสตร์ลับสำหรับการต่อสู้ซึ่งหน้า! ทั้งยังเป็นศาสตร์ลับการต่อสู้ที่น่าหวาดหวั่นอย่างยิ่งอีกด้วย


เคล็ดผนึกห้าภาพ!


ภายในมีเส้นทางของอากาศที่แตกต่างกันถึงห้าสาย และถูกเรียกว่าเป็น‘ห้าภาพ’


ได้แก่ ‘ภาพฟ้า’ ‘ภาพดิน’ ‘ภาพปะทุ’ ‘ภาพหมอก’‘ภาพแก่น’ เป็นสถานะที่แตกต่างกันของอากาศ เป็นเส้นทางที่แตกต่างกัน หากฝึกเข้าที่แล้วก็จะกลายเป็นขั้นอลวนระดับชั้นที่เก้า


ห้าภาพนั้น หากมีภาพใดภาพหนึ่งสำเร็จสักเล็กน้อย ก็จะเป็นขั้นอลวนชั้นที่เก้าแล้ว


หากฝึกสำเร็จทั้งห้าภาพ!


สามารถส่งเสริมกันและกันได้…‘เคล็ดผนึกห้าภาพ’ คนผู้หนึ่งสำแดงกระบวนท่าชั้นที่เก้าออกมาห้าวิชาพร้อมกัน กระบวนท่าทั้งห้ารวมกันเป็นหนึ่ง พลังรบก็จะปะทุออกมาอย่างดุเดือด น่ากลัวกว่าวิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่ามากนัก แม้แต่เคล็ดสืบทอดลับบางอย่างของประมุขรัฐเมฆทักษิณาก็ยังเทียบไม่ได้เลย จึงเป็นศาสตร์ลับที่แข็งแกร่งที่สุด และฝึกฝนได้ยากที่สุดของสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์อย่างไร้ข้อกังขา!


แต่นี่ยังมิใช่ศาสตร์ที่โหดเหี้ยมที่สุด


คนผู้หนึ่งจะฝึกกระบวนท่าระดับชั้นที่เก้าสักวิชาหนึ่งให้สำเร็จก็ยากมากแล้ว เส้นทางของอากาศที่แตกต่างกันห้าสาย แต่ละสายล้วนต้องฝึกให้สำเร็จระดับชั้นที่เก้า เกรงว่าความยากก็คงจะน่ากลัวมาก! ทันทีที่ฝึกสำเร็จ ประมุขรัฐเมฆทักษิณาก็จะมอบสมบัติลับล้ำค่าอย่าง ‘ไข่มุกห้าภาพ’ ให้ทันที! เมื่ออาศัยไข่มุกห้าภาพ ‘ระดับชั้นที่เก้า’ ทั้งห้าก็ล้วนสามารถสำแดงอานุภาพระดับชั้นที่สิบออกมาได้


กระบวนท่าระดับชั้นที่สิบ กระบวนท่าทั้งห้าชนิดยังสามารถผสานกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ เมื่อออกกระบวนท่าไป จึงจะเรียกได้ว่าน่าหวาดหวั่น ถึงตอนนั้น ‘เคล็ดผนึกห้าภาพ’ ก็สามารถปิดผนึกได้แม้แต่ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา! ผู้ที่พลังอ่อนแอก็ถูกจองจำไปจนถึงบี้ให้ตายได้อย่างง่ายดาย!


ศาสตร์ลับที่เหิมเกริมเป็นอันมาก!


และฝึกได้ยากยิ่งนัก


เพราะถึงอย่างไรก็เป็นห้าเส้นทางที่มีทิศทางแตกต่างกัน อันที่จริงยิ่งเป็นศาสตร์ลับที่ไร้เทียมทานมากเท่าใด ก็ยิ่งยากขึ้นเท่านั้น อย่างความยากในการฝึกวิถีตรีภพนั้น ก็ยังมากกว่าเคล็ดผนึกห้าภาพเสียอีก ผู้ที่ฝึกฝนศาสตร์ลับนั้นแล้วเสียสติหรือปลิดชีพตนเองก็มีให้เห็น


“นับตั้งแต่คารวะอาจารย์มาจนถึงปัจจุบัน บัดนี้เคล็ดผนึกห้าภาพของข้าก็ฝึกสำเร็จไปถึงสี่ภาพแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ เคราะห์ดีที่เขาสั่งสมทรัพยากรมาอย่างหนาแน่น ชาติก่อนก็ได้ค้นคว้าทิศทางที่แตกต่างกันของอากาศ ชาตินี้ก็ยังค้นคว้าวิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่าและทางสายเมฆาแดงด้วย


“ขาดแต่ภาพสุดท้าย…ภาพแก่นเท่านั้น!”


ตงป๋อเสวี่ยอิงครุ่นคิด สายตาก็มองดูอากาศตรงหน้า ในสายตาของเขา อากาศขยายตัวขึ้นอย่างไม่ขาดสาย จนท้ายที่สุดก็ถึงแก่นของอากาศ…ผนังเยื่อที่ก่อให้เกิดลูกกลมหมอกดำจำนวนนับไม่ถ้วนชั้นแล้วชั้นเล่า


“ภาพแก่น…ชาติก่อนข้าก็มองเห็นภาพแก่นของมันแล้ว ชาตินี้ยังใช้ทลายเวหาทำลายกรงของสกุลฝาน ฝึกฝนศาสตร์ร่างแยก แต่ความเข้าใจของข้าที่มีต่อมันก็ช่างตื้นเขินเกินไป” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ


ตอนที่ 57 โรงสุราและแมลงพิษ

Ink Stone_Fantasy

“ยังดีที่ข้าต้องการเพียงสำเร็จเล็กน้อย ไม่จำเป็นต้องสำเร็จมาก และยิ่งไม่ต้องครบสมบูรณ์ด้วย!” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ ศาสตร์ลับวิชานี้แบ่งเป็นสามระดับชั้น สำเร็จเล็กน้อย สำเร็จมาก และครบสมบูรณ์!


ตงป๋อเสวี่ยอิงทุ่มเทความคิดจิตใจไปไม่น้อยกับเคล็ดผนึกห้าภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากคิดค้นเขตลวงอากาศระดับชั้นที่เก้าขึ้นมาแล้ว ความคิดจิตใจกว่าครึ่งก็อยู่กับด้านอากาศแล้ว


เขาสั่งสมทรัพยากรมาอย่างหนาแน่น


‘ภาพฟ้า’ นั้นเป็นเส้นทางที่บรรพชนห้วงอากาศเลือกเดินในชาติก่อน ทางสาย ‘ผู้ท่องอากาศ’ นั้นเป็นลูกรักของอากาศอย่างแท้จริง ถึงขั้นที่ว่าแม้ท่านอาจารย์กู่ฉีจะมิได้รู้แจ้ง ‘ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา’ แต่กลับสามารถทำการเคลื่อนย้ายขนานใหญ่เป็นระยะทางอันไกลโพ้นได้! แม้จะห่างออกไปไกลลิบหาใดเปรียบ ก็สามารถควบคุมอากาศผืนใหญ่ได้อย่างพอถูไถ การควบคุมอากาศนั้นบรรลุถึงขั้นที่เกินจริงไปมาก ภาพฟ้าก็คือการควบคุมอากาศเป็นวงกว้างเช่นนี้นั่นเอง


‘ภาพดิน’ นั้นเป็นเส้นทางที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง มันคือการกลายเป็นสิ่งที่จับต้องได้จริง ทว่าตอนนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงท่องไปใน ‘ทางเดินโลกาพิศวง’ เป็นล้านล้านปี และได้ชมดูโครงสร้างภายในทางเดินโลกาพิศวงอยู่ตลอด อากาศกลายเป็นต้นไม้โบราณแห่งห้วงอากาศต้นแล้วต้นเล่าที่จับต้องได้จริง ถึงขั้นฟักเป็นไข่ออกมา ฝูงมารผลาญทำลายตนแล้วตนเล่าถือกำเนิดขึ้นมา เขารับรู้เป็นล้านล้านปีจึงสั่งสมด้านนี้อย่างลึกซึ้งนัก จึงฝึกภาพดินสำเร็จได้ค่อนข้างรวดเร็ว


‘ภาพปะทุ’ กลับมีหลายจุดที่เหมือนกับยุทธวิธีเมฆาแดง เพราะเป็นเส้นทางเดียวกัน บัดนี้ยุทธวิธีเมฆาแดงของตงป๋อเสวี่ยอิงบรรลุถึงขีดสุดขั้นอลวนแล้ว จนก้าวหน้าต่อไปไม่ได้อีกแล้ว! ภาพนี้จึงย่อมสำเร็จได้เพียงรอเงื่อนไขบางอย่าง


‘ภาพหมอก’ นั้นออกจะยุ่งยากกว่าอยู่บ้าง บางส่วนนั้นคล้ายคลึงกับ ‘งามดั่งภาพวาด’ ของวิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่า จึงได้ฝึกฝนมาจนทุกวันนี้


มีเพียง ‘ภาพแก่น’…เท่านั้นที่ยังฝึกไม่สำเร็จ!


อันที่จริงเมื่อบำเพ็ญมาจนถึงระดับอย่างตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว ห่างจากเทพจักรวาลเพียงเส้นบางๆ เท่านั้น ต่อให้ขณะนี้วิถีอากาศแบ่งออกเป็นหลายเส้นทาง จำนวนก็ไม่เกินกว่าสองมือจะนับได้


ดังนั้นห้าภาพก็ได้รวมถึงเส้นทางส่วนใหญ่ของทางสายอากาศเอาไว้แล้ว!


******


ณ จวนแห่งหนึ่งภายในตำหนักลัทธิกระบี่สวรรค์แห่งรัฐประกายเพลิงซึ่งกินพื้นที่กว้างขวางมาก


“ทั้งสองท่าน ลัทธิกระบี่สวรรค์เราเสียหายไปไม่น้อย อ๋องที่ได้รับการแต่งตั้งท่านหนึ่งต้องสิ้นใจอยู่ที่นั่น!” อ๋องอสนีบาต ‘โม่เฉา’ ในอาภรณ์สีม่วงทั้งร่างนั่งขัดสมาธิอยู่ สายตากวาดมองอีกสองคนที่นั่งอยู่ด้านข้าง  สองคนนั้น คนหนึ่งมีผิวกายสีแดงเข้ม บนศีรษะมีเขาโค้ง เขากำลังกินโลหะและก้อนหินวิเศษชนิดต่างๆ คำโตลงไป สำหรับเขาแล้ว โลหะและก้อนหินก็คืออาหาร ส่วนอีกคนหนึ่งยิ่งแปลกประหลาดเข้าไปใหญ่ ทั้งร่างปกคลุมด้วยอาภรณ์สีดำ ภายในอาภรณ์สีดำล้วนเป็นหมอกสีดำทั้งสิ้น ภายในหมอกดำนั้นมีแมลงจำนวนหนึ่งบินว่อนอยู่ นัยน์ตาทั้งคู่ของเขาเกิดจากแมลงสีแดงจำนวนหนึ่งรวมตัวกันขึ้นมา


ทั้งสองคนนี้ก็คือทูตพิเศษสองคน


คนที่กินโลหะและก้อนหินอันแปลกประหลาดลงไปในนั้น ก็คือคนสกุลฝานที่มาจากรัฐโบราณคิมหันตวายุ! ในบรรดาสามตระกูลอันน่าหวาดหวั่นของรัฐโบราณคิมหันตวายุ ก็มีเพียงสกุลฝานเท่านั้นที่ให้ความสำคัญกับโลกภายนอก ส่วนอีกสองตระกูลใหญ่ต่างก็คร้านที่จะสนใจโลกภายนอก


ส่วนผู้แกร่งกล้าที่มีอาภรณ์สีดำปกคลุมผู้นั้น มาจากรัฐโบราณสหโลกา


“ก่อนหน้านี้ข้าได้ไปดูภาพนั้นมาแล้ว” ผู้แกร่งกล้าอาภรณ์ดำเปล่งเสียงต่ำแหบแห้ง “อ๋องชางซูแห่งรัฐกระบี่สวรรค์ของพวกท่านได้กลายเป็นภาพแผ่นหนึ่งไปแล้วจริงๆ งามดั่งภาพวาด งามดั่งภาพวาดเชียวนะ”


‘อ๋องอสนีบาต’ โม่เฉาซึ่งเป็นอ๋องที่ได้รับการแต่งตั้งแห่งรัฐกระบี่สวรรค์อดแค้นเคืองไม่ได้


“งามดั่งภาพวาดทำไม่ได้ถึงขั้นนี้หรอก อาจจะเป็นวิธีการทางด้านวิญญาณหรือสมบัติลับพิเศษบางอย่างมากกว่า” ยอดฝีมือผิวหนังสีแดงเข้มพูดอย่างสบายๆ พลางเคี้ยวโลหะและก้อนหินเสียงดังกร้วมกร้าม “ถ้าจะให้ข้าพูดล่ะก็ หากก่อนหน้านี้รัฐกระบี่สวรรค์ของพวกท่านส่งยอดฝีมือขั้นอลวนชั้นที่สิบคนหนึ่งไปสู้สักยก ข้าไม่เชื่อหรอกว่ายอดฝีมือขั้นอลวนชั้นที่สิบคนหนึ่งจะคลำตื้นลึกหนาบางของเขามิได้”


โม่เฉามิได้ตอบโต้อะไร


ส่งไปหรือ


เสียยอดฝีมือชั้นที่เก้าก็เสียไป ลัทธิกระบี่สวรรค์ยังพอรับได้ หากเสียยอดฝีมือขั้นอลวนชั้นที่สิบไปสักคน มูลค่าก็มากเกินไปแล้ว


“ลัทธิกระบี่สวรรค์เราเสียหายมากมายถึงเพียงนี้ พวกท่านสองคนควรจะลงมือได้แล้วกระมัง” โม่เฉาเร่งเร้า


“ข้าจะส่งลูกๆ ออกไปก่อน เพื่อคลำดูตื้นลึกหนาบางของพวกเขา” ผู้แกร่งกล้าอาภรณ์ดำพูดเสียงเรียบ


“ใช่ๆๆ จะต้องรู้ตื้นลึกหนาบางเสียก่อนจึงจะสามารถวางแผนได้ และเอาชนะได้ในรวดเดียว” ยอดฝีมือผิวหนังสีแดงเข้มกินเสียงดังกร้วมกร้าม “ไม่ต้องรีบร้อนๆ ตามความเคยชินของตาเฒ่าประมุขรัฐเมฆทักษิณาผู้นั้น ซ่อนตัวก่อน ค่อยๆ ถ่วงเวลาออกไป แล้วค่อยส่งมือสังหารจำนวนหนึ่งออกไป เป็นการเก็บเล็กผสมน้อยจนชนะอย่างยิ่งใหญ่ อิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้อ่อนเยาว์เกินไป เขาถูกส่งมาเป็นคนแรก คาดว่าคงจะเป็นแค่ทัพหน้าคนหนึ่งเท่านั้นเอง”


“อื้ม”


โม่เฉาและผู้แกร่งกล้าอาภรณ์ดำต่างก็เห็นด้วย


คิดจะแทรกซึมเข้าไปในสี่รัฐมารทมิฬ เดิมทีก็ยากมากอยู่แล้ว ครั้งนี้พวกเขาเตรียมการไว้พร้อมสรรพ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่า ‘ทัพหน้า’ ที่ประมุขรัฐเมฆทักษิณาส่งมาจะร้ายกาจถึงเพียงนี้!


……


ตงป๋อเสวี่ยอิงจะบำเพ็ญเขตลวงโลกเทียมก็ก้าวหน้าไปไม่ได้ชั่วคราว ทั้งยังไม่มีสมบัติลับ เคล็ดผนึกห้าภาพของวิถีอากาศขาดไปเพียงภาพเดียวเท่านั้น ส่วน ‘การกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุด’ ก็ยิ่งยากขึ้นไปอีก


การบำเพ็ญเข้าสู่ช่วงคอขวดเสียแล้ว


ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินออกจากตำหนักทิพย์เมฆทักษิณาแล้วเดินเล่นในนครหลวงรัฐประกายเพลิง


“ในนครหลวงรัฐประกายเพลิง หากพูดถึงอาหารรสเลิศและสุราชั้นยอดแล้ว มีสถานที่ใดที่มีชื่อเสียงบ้าง” ก่อนตงป๋อเสวี่ยอิงจะออกมาก็ได้สอบถามโหวชวีหมิง ซึ่งโหวชวีหมิงก็เข้าใจเรื่องนี้อย่างดียิ่ง เขาได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับอาหารรสเลิศและสุราชั้นยอดแก่ตงป๋อเสวี่ยอิง


“หากมีเรื่องอันใดก็ส่งสารให้ข้าแล้วกัน”


เขาพาบ่าวรับใช้มังกรมารออกไปเดินเล่นข้างนอกเช่นนี้เอง


เขาไปยังสถานที่ต่างๆ ซึ่งมีอาหารรสเลิศ


โรงสุราขนาดย่อมข้างทาง หรือหอสุราอันกว้างใหญ่สูงตระหง่าน ไปจนถึงสถานเริงรมย์อันคึกคักรุ่งเรืองต่างๆ ขอเพียงมีอาหารรสเลิศและสุราชั้นยอด ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ล้วนต้องไปลิ้มรส


“แห่งที่ห้า” ตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งลิ้มรสอาหารรสเลิศและสุราชั้นยอดนานาชนิดจนอารมณ์ดียิ่งมาถึงหน้าโรงสุราแห่งหนึ่ง ความว้าวุ่นใจที่ต้องติดอยู่ที่คอขวดก่อนหน้านี้ได้จางหายไปแล้ว ยามนี้เขาผ่อนคลายและสุขสราญนัก


“รสเยี่ยม”


“ไม่แล้ว จุ๊ๆ สุรานี้ต้องซื้อติดไปด้วยมากหน่อย” ตงป๋อเสวี่ยอิงลิ้มรสอย่างดื่มด่ำ


บ่าวรับใช้มังกรมารก็ถูกตงป๋อเสวี่ยอิงขอร้องแกมบังคับให้นั่งอยู่ข้างๆ และกินไปด้วยกัน


โรงสุรานับว่ามิได้มีพื้นที่มากนัก และมีเพียงชั้นเดียวเท่านั้น แต่การค้ากลับดีมาก มีแขกเหรื่อมากมาย หลังจากร่างเมฆทักษิณาทิพย์ของตงป๋อเสวี่ยอิงครบสมบูรณ์แล้ว ก็เก็บงำกลิ่นอายจนเหมือนกับมนุษย์ธรรมดา แม้บ่าวรับใช้มังกรมารจะเก็บงำกลิ่นอายเช่นเดียวกัน แต่วิธีการเก็บงำของเขาก็อ่อนกว่าอยู่บ้าง ผู้แกร่งกล้าขั้นรวมเป็นหนึ่งก็สามารถสัมผัสถึงกลิ่นอายของมังกรมารได้แล้ว ผู้ดูแลโรงสุราแห่งนี้จึงคร้ามเกรงเป็นอันมาก เขาจัดที่นั่งด้านในซึ่งดีที่สุดเอาไว้ให้


เมื่อกินไปได้ครึ่งหนึ่ง


“ไสหัวไป”


“รีบไสหัวไป ไสหัวไปไกลๆ เสีย”


“เจ้านายของเราเหมาโรงสุรานี้เอาไว้แล้ว คนอื่นรีบไสหัวไปให้หมด”


จู่ๆ ยอดฝีมือขั้นรวมเป็นหนึ่งกลุ่มหนึ่งก็เข้ามาในโรงสุราแห่งนี้พลางตะคอกด้วยความโมโห แขกเหรื่อด้านในเห็นเข้า ก็พากันกลัวจนรีบหนีจากไปทันที


“ขั้นรวมเป็นหนึ่งกลุ่มหนึ่งเชียวหรือนี่ ดูท่าแล้วเหมือนจะเป็นพวกทหารองครักษ์”


“เกรงว่าเจ้านายของพวกเขาคงจะมีที่มาใหญ่โตมากทีเดียว”


บรรดาแขกเหรื่อส่วนใหญ่เป็นผู้บำเพ็ญทั่วไป ขั้นรวมเป็นหนึ่งนั้นมีน้อยมาก จึงย่อมรีบหนีไปเป็นธรรมดา หากคิดจะอยู่รอดในนครหลวงรัฐประกายเพลิงให้นานๆ ตาก็ต้องมีแวว เวลาที่ควรจะหลบก็ต้องหลบ!


“พวกเจ้าสองคนรีบไปเสีย” ขั้นรวมเป็นหนึ่งเหล่านั้นชี้ไม้ชี้มือมาทางตงป๋อเสวี่ยอิงและบ่าวรับใช้มังกรมารที่ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น


ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้วเล็กน้อย


บ่าวรับใช้มังกรมารยืนขึ้นทันที กลิ่นอายเหนือผิวกายพลันปะทุออกมา กลิ่นอายอันโหดเหี้ยมพวยพุ่งและโหมซัดออกไป มังกรมารซึ่งปะทุออกมานั้นบรรลุถึงระดับขั้นอลวนชั้นที่เก้า กลิ่นอายที่โหมซัดออกไปนั้นทำเอาขั้นรวมเป็นหนึ่งเหล่านั้นกลัวจนหน้าซีดขาว มังกรมารซึ่งมีท่าทีแข็งแกร่งยังตะคอกออกไปว่า “ไสหัวไป!”


“ฟิ้ว…”


เวลานี้เอง กลางอากาศก็มีเรือบินอันหรูหราลำหนึ่งร่อนลงมาอย่างช้าๆ


“เจ้านายมาแล้ว”


“ยุ่งยากแล้ว”


ขั้นรวมเป็นหนึ่งเหล่านั้นมีสีหน้าไม่น่ามอง ทว่าแต่ละคนก็ยังรีบออกไปต้อนรับที่ด้านหน้าโรงสุราด้วยความเคารพทันที ก็เห็นบุรุษสองคนนั่งอยู่บนเกี้ยวอันหรูหราโดยมีองครักษ์กลุ่มหนึ่งคอยคุ้มกันและมีสาวงามกลุ่มหนึ่งคอยปรนนิบัติ บุรุษผู้งามสง่าแฝงแววร้ายกาจแผ่กลิ่นอายขั้นอลวนออกมา ส่วนอีกคนหนึ่งคือบุรุษอาภรณ์เขียวอันงดงามหรูหรากลับเป็นเพียงขั้นรวมเป็นหนึ่งเท่านั้น


“เกิดอะไรขึ้น” บุรุษอาภรณ์เขียวอันงดงามหรูหราพูดเสียงเรียบ


“ฝ่าบาท แขกด้านในไม่ยอมหลีกไป หนึ่งในนั้นเป็นยอดฝีมือขั้นอลวนพ่ะย่ะค่ะ” บ่าวรับใช้ด้านล่างตอบ


“ขั้นอลวนรึ ในนครหลวงรัฐประกายเพลิง ขั้นอลวนคนหนึ่งก็กล้าบังอาจอย่างนั้นหรือ” บุรุษอาภรณ์เขียวอันงดงามหรูหรายิ้มหยัน แน่นอนว่าเขารังเกียจ เขาเป็นถึงองค์ชายเจ็ดแห่งรัฐประกายเพลิงและผู้ที่เขาเชื้อเชิญมาในครั้งนี้ก็เป็นถึงศิษย์ถ่ายทอดเองคนหนึ่งของ ‘เจ้าลัทธิมารโลหิต’ แห่งทะเลสาบมารทมิฬ บัดนี้มีพลังระดับขั้นอลวนชั้นที่เก้าแล้ว


ส่วนบุรุษผู้งามสง่าแฝงแววร้ายกาจข้างกายเขากลับหรี่ตาลง พลางมองดูบุรุษร่างกำยำซึ่งยืนอยู่ในโรงสุราและชายหนุ่มอาภรณ์ขาวซึ่งนั่งอยู่ แล้วกลับรู้สึกประหวั่นใจขึ้นมา!


“เป็นเขาหรือ” บุรุษผู้งามสง่าแฝงแววร้ายกาจรู้สึกประหวั่นใจ!


แม้ประมุขรัฐเมฆทักษิณาและเจ้าลัทธิทั้งสามแห่งทะเลสาบมารทมิฬจะปรองดองกัน


แต่การต่อสู้และเข่นฆ่าระหว่างทั้งสองฝ่ายกลับไม่เคยหยุดยั้งมาตลอด ทะเลสาบมารทมิฬมักจะลงมือเป็นประจำ ไปจนถึงการกวาดล้างเพื่อบูชาโลหิต! และเมื่อรัฐโบราณคิมหันตวายุเป็นผู้นำ รัฐเมฆทักษิณา รัฐเพรียกหิมะและรัฐวอเฟิงก็มักจะตอบโต้กลับเป็นประจำ


“คิดไม่ถึงว่าจะเป็นพี่เสวี่ยอิง รบกวนแล้ว” บุรุษผู้งามสง่าแฝงแววร้ายกาจพูดเสียงดังกังวาน ขณะเดียวกันก็ถ่ายเสียงให้องค์ชายเจ็ดด้านข้าง “รีบไปเร็วๆ นั่นคืออิงซานเสวี่ยอิง”


“อะไรนะ”


องค์ชายเจ็ดผู้นี้กลัวเสียจนหน้าซีดขาว


เมื่อพวกเขากำลังเตรียมตัวจะจากไปอย่างเงียบเชียบนั้น มีแมลงซึ่งมีสีสันแตกต่างกันสามตัวมาจากกลางอากาศ แล้วแทรกเข้าไปในร่างขององครักษ์สามคนซึ่งยืนอยู่ตรงริมขอบโรงสุรา ทันใดนั้นร่างกายก็สั่นสะท้านน้อยๆ จากนั้นก็หันหน้ามองไปทางชายหนุ่มอาภรณ์ขาวซึ่งกำลังนั่งดื่มสุราอย่างสงบด้านในโรงสุราผู้นั้น


ตงป๋อเสวี่ยอิงที่มีท่าทีสบายๆ มิได้สนใจโลกภายนอกมาตลอดก่อนหน้านี้ ยามนี้กลับขมวดคิ้วขึ้นมาพลางมองไปทางองครักษ์สามคนนั้น


ด้วยการสัมผัสรับรู้อากาศของเขา จึงย่อมรู้ว่าเมื่อแมลงประหลาดสามตัวนั้นเข้าไปในร่างขององครักษ์ทั้งสาม ยามนี้องครักษ์ทั้งสามก็ได้สิ้นใจไปแล้ว น่าเสียดาย แมลงพิษเข้ามาอย่างกะทันหันและรวดเร็วเกินไป เขาคิดจะช่วยเหลือองครักษ์ที่น่าหวาดหวั่นทั้งสามก็ไม่ทันกาลเสียแล้ว


“เจ้านายบอกให้เจ้าไป เจ้ายังไม่ไปอีกรึ”


“รีบไสหัวไป”


องครักษ์ทั้งสามแค่นเสียงด้วยความโมโห แล้วเดินตรงเข้าไปในโรงสุรา


องค์ชายเจ็ดและบุรุษผู้งามสง่าแฝงแววร้ายกาจที่อยู่บนเกี้ยวเตรียมตัวจะจากไปผู้นั้นเห็นเข้าก็ตะลึงงันไป


“เจ้าทึ่มทั้งสาม ยังไม่รีบไปอีกรึ ไปเร็ว!” องค์ชายเจ็ดถ่ายเสียงตะคอก บุรุษผู้งามสง่าแฝงแววร้ายกาจด้านข้างกลับสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากล “ไม่ดีแล้ว”


“ไม่เห็นแก่หน้าเจ้านายข้าเลย เจ้าอยากรนหาที่ตายรึ” ปากขององครักษ์ทั้งสามยังคงตะคอกอยู่ แม้จะกำลังก้าวเดิน แต่เนื่องจากรวดเร็วอย่างยิ่ง เพียงไม่กี่ก้าวก็ตรงมาถึงบริเวณที่ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่แล้ว


ตงป๋อเสวี่ยอิงเงยหน้าขึ้นแล้ววางจอกสุราลง สายตาจับจ้องไปที่ร่างขององครักษ์ทั้งสาม


“วิ้ง”


ระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างพลันกวาดออกไป


ปัง! ปัง! ปัง!


ร่างขององครักษ์ทั้งสามพลันแหลกสลายไปอย่างสิ้นเชิงแล้วสลายหายไปในฟ้าดิน เผยให้เห็นแมลงสามตัวที่มีสีสันแตกต่างกันออกไป แมลงสามตัวนี้กลับไม่เสียหายเลยแม้แต่น้อย สามารถต้านทานการเข่นฆ่าของบริเวณเมฆาแดงของตงป๋อเสวี่ยอิงได้อย่างสิ้นเชิง


ตอนที่ 58 แมลงพิษประหลาด

Ink Stone_Fantasy

ระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างที่น่าหวาดหวั่นกวาดออกไปคราหนึ่ง แมลงสามตัวซึ่งมีกลิ่นอายที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงกลับไม่เสียหายเลยแม้แต่น้อย ชั่วขณะที่พวกมันปรากฏขึ้นมานั้น ทำเอาเหล่าองครักษ์หน้าโรงสุรารวมทั้งองค์ชายเจ็ดและบุรุษผู้งามสง่าแฝงแววร้ายกาจที่นั่งอยู่บนเกี้ยวต่างก็สั่นสะท้านอย่างมิอาจควบคุม เกิดความรู้สึกหวาดหวั่นและคร้ามเกรงขึ้นมา


แมลงทั้งสามตัวนี้ ตัวหนึ่งคล้ายจะมีแต่ก็คล้ายไม่มี เป็นแมลงพิษสีเงินที่ดูเหมือนกึ่งโปร่งใส


ส่วนอีกตัวหนึ่งเป็นแมลงสีดำที่ดูแล้วธรรมดามาก


ตัวสุดท้ายจึงจะเป็นแมลงที่ทำให้ผู้บำเพ็ญรอบด้านหวาดหวั่น มันเป็นแมลงสีเขียวเข้มตัวหนึ่งซึ่งแผ่ไอหมอกอันน่าหวาดหวั่นออกมา ไอหมอกเหล่านี้ย่อมแผ่ออกไปยังตงป๋อเสวี่ยอิงและบ่าวรับใช้มังกรมารที่อยู่ใกล้ที่สุดก่อนเป็นธรรมดา


“ไม่ดีแล้ว”


“เป็นแมลงพิษที่น่าหวาดหวั่นถึงเพียงนี้”


บุรุษผู้งามสง่าแฝงแววร้ายกาจสีหน้าเปลี่ยนแปรครั้งใหญ่ ทั้งดินแดนจิตโลกา เคยให้กำเนิดสิ่งมีชีวิตที่เรียกได้ว่าไร้ศัตรูผู้หนึ่งซึ่งมีความสามารถด้านการเพาะเลี้ยงแมลง มีนามว่า ‘จักรพรรดิกลืนโลกา’ เขาได้บุกเบิกมิติพิเศษแห่งหนึ่งขึ้นมา และได้แต่งตั้งผู้ใต้บังคับบัญชากลุ่มใหญ่ และได้มอบแมลงพิษที่ร้ายกาจจำนวนหนึ่งให้กับผู้ใต้บังคับบัญชา แมลงพิษรวมเป็นหนึ่งเดียวกับผู้ใต้บังคับบัญชา ทำให้พวกผู้ใต้บังคับบัญชาที่มีฝีมือค่อนข้างอ่อนแอ กลายเป็นยอดฝีมือระดับสุดยอดของฝั่งหนึ่งทันที


นั่นยังเป็นยุคก่อนสงครามรัฐโบราณครั้งที่หนึ่งเสียอีก ดินแดนจิตโลกานั้นวุ่นวายหาใดเปรียบ ยอดฝีมือจำนวนมากกระจัดกระจายกันไปทั่วทุกทิศทุกทาง ประวัติศาสตร์บันทึกเอาไว้อย่างเลือนรางมาก ทว่าถึงอย่างไรจักรพรรดิกลืนโลกาผู้นั้นก็เทียบกับสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูอย่างแท้จริงเช่นบรรพชนฝานได้ บันทึกเกี่ยวกับเขาก็มีมากมายนัก ทั้งบันทึกประวัติศาสตร์ต่างๆ และตำนานก็มากมายนัก จวบจนบัดนี้ก็มีผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนตามหาโบราณสถานของจักรพรรดิกลืนโลกาผู้นี้อยู่


ใช่แล้ว


จักรพรรดิกลืนโลกานั้นสู้จนตัวตายตั้งแต่ก่อนสงครามรัฐโบราณครั้งที่หนึ่งแล้ว! สาเหตุที่สู้จนตัวตายนั้นเลือนรางมาก เบื้องหลังมีเงาของรัฐโบราณสหโลกาอยู่รางๆ เนื่องจากศาสตร์ลับคัมภีร์เขมือบโลกาสำหรับเพาะเลี้ยงและควบคุมแมลงอสูรที่จักรพรรดิกลืนโลกาคิดค้นขึ้นเองนั้นบัดนี้อยู่ในเงื้อมมือของ ‘อ๋องสัตว์โลกา’ หนึ่งในห้าบรรพชนแห่งรัฐโบราณสหโลกา ทุกวันนี้ผู้ที่เชี่ยวชาญด้านการควบคุมแมลงพิษ ก็มาจากรัฐโบราณสหโลกาแทบทั้งหมด


“ยอดฝีมือรัฐโบราณสหโลกา ลงมือกับอิงซานเสวี่ยอิงแห่งสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์รึ” บุรุษผู้งามสง่าแฝงแววร้ายกาจหนาวเหน็บไปถึงขั้วหัวใจ ตอนนี้เขาอยากจะหนีไปให้ไกลจากยอดฝีมือทั้งสองนี้ยิ่งไกลเท่าไหร่ก็ยิ่งดี


ถึงอย่างไรการต่อสู้ก็รวดเร็วเกินไป สารพิษก็แผ่กระจายออกไปเร็วมาก มิติโดยรอบก็ยังถูกผนึกไปด้วย เขาหนีไม่ทันเอาเสียเลย


……


“แมลงพิษหรือ เป็นของรัฐโบราณสหโลการึ”


ตงป๋อเสวี่ยอิงยังนั่งอยู่ตรงนั้น ในมือกลับมีพลองสั้นเล่มหนึ่งปรากฏขึ้น ทันใดนั้นพลองสั้นก็ฟาดออกไปโจมตีโจมตีตามอำเภอใจ


แม้จะยังคงนั่งอยู่ที่เดิม แต่หัวพลองกลับเคาะลงบนทุกจุดที่มีแมลงอย่างน่าประหลาด


ปังๆๆ!!!


เสียงเคาะที่ดูเหมือนจะเรื่อยเปื่อยสามครั้ง แต่บริเวณที่ถูกเคาะกลับมีกลิ่นอายเร้นลับสายหนึ่งแผ่ออกมา  แมลงพิษสามตัวนั้นมีเพียงตัวสีเขียวเข้มที่แผ่หมอกพิษออกมาเท่านั้นที่แตกสลายกลายเป็นเถ้าธุลีไปทันที ส่วนแมลงพิษอีกสองตัว แม้จะถูกกระแทกเสียจนกระเด็นหวือไป แต่กลับไม่เสียหายเลยแม้แต่น้อย


“เอ๊ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึงเหลือแสน


เขาดูเหมือนจะเคาะออกไปเรื่อยเปื่อย แต่อันที่จริงแล้วสิ่งที่สำแดงออกไปก็คือ ‘ทลายเวหา’ หนึ่งในเคล็ดสืบทอดลับวิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่า


นี่เป็นกระบวนท่าที่เปี่ยมอานุภาพยิ่งใหญ่และเหิมเกริมโดยแท้


กระบวนท่านี้ผสานกับ ‘บริเวณเมฆาแดง’ เพื่อหลีกเลี่ยงจุดอ่อนที่กระบวนท่านี้สามารถต้านทานได้โดยตรงอย่างง่ายดาย มันปรากฏขึ้นที่บริเวณของศัตรูทันที อานุภาพปะทุออกไปอย่างสิ้นเชิง แต่กลับสังหารแมลงพิษได้เพียงตัวเดียวเท่านั้น


“แมลงพิษนี้มีร่างกายแข็งแกร่งนัก วิถีแมลงอสูรช่างน่ากลัวโดยแท้” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบตกใจ อย่างผู้บำเพ็ญฝึกฝนร่างกายนั้นก็ต้องระมัดระวังเป็นอันมาก มิให้ทำร้ายร่างกายตนเองได้ หากวิญญาณของตนได้รับบาดเจ็บหรือถึงขั้นแตกสลาย ก็ต้องตายไปแล้ว! แต่ ‘แมลงอสูร’ นั้นไม่เหมือนกัน แมลงอสูรผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเป็นจำนวนมาก แม้แมลงพิษที่เพาะเลี้ยงจนถึงระดับที่น่าหวาดหวั่นอย่างยิ่งจะหาได้ยากมาก แต่หากตายไปแล้ว ก็แค่สูญเสียวัตถุภายนอกไปบ้างก็เท่านั้นเอง


ดังนั้นทางสายแมลงอสูรจึงสามารถค้นคว้าไปได้อย่างไม่ขาดสาย เพื่อเพาะเลี้ยงแมลงพิษซึ่งเชี่ยวชาญในด้านที่แตกต่างกันออกมา!


“ทลายเวหาสามารถทำลายกรงของสกุลฝานได้ แต่ข้ากลับสามารถทำลายแมลงพิษได้เพียงตัวเดียวเท่านั้น คัมภีร์เขมือบโลกาช่างร้ายกาจจริงๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ ‘ห้าบรรพชน’ ผู้สูงส่งแห่งรัฐโบราณสหโลกาแต่ละท่านล้วนน่าเกรงกลัวอย่างยิ่ง แม้แต่รัฐโบราณคิมหันตวายุซึ่งมีท่าทีแข็งแกร่งปานนั้นก็ยังต้องถูกกดดัน


“ตายเสียเถอะ”


ตงป๋อเสวี่ยอิงกวัดแกว่งพลองสั้นอีกครั้ง


แมลงสองตัวที่ถูก ‘ทลายเวหา’ กระแทกจนหมุนกลิ้งแล้วมึนงงไปหมดนั้นถูกพลองสั้นแทงเข้าไปอีกครั้ง พลองสั้นดูเหมือนจะธรรมดาสามัญ แต่อันที่จริงคือหอกเทพเมฆาแดงแปลงมา! เมื่อเผชิญหน้ากับแมลงพิษพรรค์นี้ เขาก็ยังไม่ถึงกับต้องเข้าต่อสู้ประชิดตัว


“ฟึ่บ” “ฟึ่บ”


พลองสั้นแทงถูกอีกครั้ง


แม้แมลงพิษสีเงินซึ่งคล้ายจะมีแต่ก็คล้ายไม่มีนั้นจะสั่นไหว แต่กลับยังคงมิได้รับความเสียหายแม้แต่น้อย


ส่วนแมลงสีดำถูกกระแทกเสียจนร่างกายสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ปากและจมูกของมันมีโลหิตพรั่งพรูออกมา กลิ่นอายอ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัด


“ข้าเพิ่งจะใช้ ‘ทะลุอากาศ’ ระดับชั้นที่สิบกับศัตรูเป็นครั้งแรก ฆ่าแมลงไม่กี่ตัวช่างยากเย็นถึงเพียงนี้” ดวงตาของตงป๋อเสวี่ยอิงกลับเปล่งประกายขึ้นมา


ทะลุอากาศเป็นท่าไม้ตายที่ดุเดือดและรับมือได้ยากที่สุดของยุทธวิธีเมฆาแดง ต่อให้เป็นค่ายกลรบ เมื่ออยู่ต่อหน้ามันก็ไร้ประโยชน์ หรือแม้จะสวมสมบัติลับอันแข็งแกร่งคุ้มกายเอาไว้ ทะลุอากาศก็สามารเพิกเฉยต่อสมบัติลับและแทรกซึมเข้าไปในกายเพื่อทำลายล้างได้…


“ปังๆๆ”


พลองสั้นในมือของตงป๋อเสวี่ยอิงกลายเป็นเงาราง ก่อนจะจิ้มลงไปบนร่างของแมลงสีดำสิบเก้าครั้งต่อเนื่องกันแทบจะในชั่วพริบตาเดียว ทำให้แมลงสีดำระเบิดออกในท้ายที่สุด


ส่วนแมลงพิษสีเงินซึ่งคล้ายจะมีแต่ก็คล้ายไม่มีตัวนั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงแค่จิ้มลงไปสองครั้ง ทำให้มันมิอาจเข้าใกล้ตัวได้อีกต่อไป และมิอาจหลบหนีไปได้


“ยังมีแมลงวิเศษเช่นนี้ด้วย” นัยน์ตาเปล่งประกายของตงป๋อเสวี่ยอิงจ้องมองแมลงพิษสีเงินซึ่งคล้ายจะมีแต่ก็คล้ายไม่มีตัวนั้น แมลงพิษสีเงินหมายจะบุกโจมตีเข้ามา แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับสกัดกั้นมันเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย


“ฟิ้ว”


เขาโบกมือคราหนึ่งก่อน


มิติหนึ่งก็แบนราบลงกลายเป็นภาพแผ่นหนึ่งจนสิ้น แมลงพิษสีเงินก็กลายเป็นภาพแผ่นหนึ่งในนั้น แต่จากนั้นม้วนภาพก็แตกสลายเป็นผุยผง แมลงพิษสีเงินก็บินออกมาอีก


“ฆ่าไม่ตาย จับก็ไม่ได้ ต้องสำแดงเขตลวงออกมาหรือไร” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ เขารู้ว่าเจ้านายของแมลงพิษเหล่านี้สามารถอาศัย ‘แมลงพิษ’ เพื่อให้เข้าใจความเป็นไปของการต่อสู้ได้ หากสำแดงเขตลวงออกไปเมื่อใดความก็จะแตกทันที แม้ครั้งก่อนเขาจะสำแดงออกไปเพื่อรับมืออ๋องชางซู…แต่อ๋องชางซูกลับถูกสังหารทันที จึงไม่มีผู้ใดพบเข้า


ทว่าในเมื่อครั้งก่อนกล้าสำแดงออกมา เขาก็มิได้ใส่ใจสักเท่าใดนัก เพราะถึงอย่างไรบัดนี้เขาก็ฝึกศาสตร์ร่างแยกสำเร็จแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไรอีกต่อไป


“เป็นแมลงที่พิเศษเช่นนี้ เพื่อจะจับมัน สำแดงเขตลวงออกไปก็ไม่เป็นไรหรอก” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูแมลงพิษสีเงินซึ่งคล้ายจะมีแต่ก็คล้ายไม่มีตรงหน้า นับน์ตาแฝงแววรอคอย เพียงชั่วความคิดเดียวของเขา


วิ้ง


เขตลวงอันไร้รูปร่างแผ่กำจายออกไป


ต่อให้แมลงพิษตัวหนึ่งร้ายกาจยิ่งกว่านี้ ปณิธานก็มิอาจต้านทานเขตลวงของตงป๋อเสวี่ยอิงได้ มันมึนงงและหยุดชะงักลงกลางท้องฟ้าในทันใด ก่อนจะเริ่มร่วงหล่นลงมา


“สวบ” ตงป๋อเสวี่ยอิงโบกมือเบาๆ คราหนึ่งก็คว้าเอาแมลงพิษสีเงินที่ถูกเขาทำลายสติรับรู้ไปเอาไว้ได้


“พิสดารนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูโดยละเอียด ด้วยระดับขั้นทางอากาศของเขา ภายใต้การสำรวจของเขา ร่างกายที่คล้ายจะมีแต่ก็คล้ายไม่มีของแมลงพิษสีเงินขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว กลายเป็นเหมือนกับผืนดินอันใหญ่โตแห่งหนึ่ง บนแมลงพิษสีเงินนี้มีอักขระลับจำนวนนับไม่ถ้วนหมุนเวียนอยู่ ซึ่งนี่เป็นอักขระลับที่เกิดขึ้นมาเองตามธรรมชาติระหว่างการเพาะเลี้ยงแมลงพิษ ทำให้แมลงพิษสีเงินนี้ผสานกับอนุภาคลูกกลมหมอกดำจำนวนนับไม่ถ้วนของแก่นห้วงอากาศโดยกำเนิด ทุกการกระทำล้วนสามารถทำให้อนุภาคของลูกกลมหมอกดำเหล่านั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ทั้งสิ้น


ต่อให้ประสบกับการโจมตี ก็แทบจะสามารถอาศัยแก่นห้วงอากาศถ่ายแรงออกไปได้หมด


แม้มันจะมิได้บรรลุถึง ‘การกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุด’ แต่การ ‘ทะลุอากาศ’ อันแปลกประหลาดอย่างยิ่งและยากจะปลดเปลื้องได้ของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ถูกแมลงพิษสีเงินนี้ถ่ายอานุภาพออกไปได้ราวเก้าส่วน และส่วนที่เหลืออยู่นั้น ร่างกายที่น่าหวาดหวั่นอยู่แต่เดิมของมันก็สามารถต้านทานเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย


“ความสามารถในการการกลายเป็นอากาศธาตุและความสามารถในการผสานและปรับเปลี่ยนแก่นห้วงอากาศระดับนี้ก็ช่างพิสดารจริงๆ” หลายปีมานี้ตงป๋อเสวี่ยอิง พยายามรับรู้ ‘ภาพแก่น’ ของเคล็ดผนึกห้าภาพด้วยความยากลำบากมาโดยตลอด บัดนี้เมื่อได้เห็นสิ่งมีชีวิตประหลาดชนิดหนึ่งที่สามารถปรับเปลี่ยนอนุภาคลูกกลมหมอกดำได้ จึงย่อมต้องจับเอาไว้อย่างอดมิได้


แม้การบำเพ็ญจะแปลกพิสดาร


แต่โลกกำเนิดก็แปลกพิสดารเช่นกัน อย่างฝูงมารผลาญทำลายซึ่งถือกำเนิดขึ้นมาใน ‘อากาศอันสับสนอลหม่าน’ แห่โลกกำเนิด ก็มีคนอย่างแม่ทัพโม่กู่ที่เกิดมาก็บรรลุถึงการกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดแล้ว


ภายในโลกกำเนิดของดินแดนจิตโลกาแห่งนี้ สามารถเพาะเลี้ยงแมลงอสูรได้น่าหวาดหวั่นถึงเพียงนี้!


คิดจะบำเพ็ญให้ตนไปถึงขั้นนี้ได้ก็ยากเสียยิ่งกว่ายาก!


“ไป พวกเราไปกันเถอะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยืดกายขึ้น เมื่อแมลงพิษสีเงินมาถึงมือ เขาก็ไม่มีกะจิตกะใจลิ้มรสอาหารชั้นเลิศอีกต่อไป คิดอยากจะเก็บตัวเพื่อค้นคว้าแก่นห้วงอากาศเท่านั้น


“ขอรับ” บ่าวรับใช้มังกรมารก็รับคำ


ว่าไปแล้วก็เหมือนจะเชื่องช้า


แต่อันที่จริงตงป๋อเสวี่ยอิงเพียงแค่นั่งอยู่ตรงนั้น ระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างก็ทำลายองครักษ์สามนายที่ถูกควบคุมเอาไว้ จากนั้นก็หยิบพลองสั้นขึ้นมาฟาดแมลงพิษสามตัว ไม่ว่าแมลงพิษทั้งสามจะบินไปอย่างไร ทุกครั้งพลองสั้นก็จบลงบนร่างของพวกมันได้อย่างน่าประหลาด สองตัวถูกทำลาย อีกตัวหนึ่งถูกจับตัวเอาไว้ ส่วนหมอกพิษที่หลงเหลืออยู่นั้น เขาก็ควบคุมบริเวณอากาศคราหนึ่งแล้วเคลื่อนย้ายออกไปหลายล้านลี้กลางฟากฟ้า เมื่อไม่มีแมลงพิษต้นกำเนิดคอยควบคุม อานุภาพของหมอกพิษก็ก็ย่อมลดลงอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งสลายไปในที่สุด


คนกลุ่มหนึ่งนอกโรงสุราแห่งนั้นต่างก็มองดูชายหนุ่มอาภรณ์ขาวพาบ่าวรับใช้จากไปด้วยความเคารพนบนอบ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)