Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 33 ตอนที่ 54-55

 ตอนที่ 54 ภาพแผ่นหนึ่ง

Ink Stone_Fantasy

“ท่านอาจารย์ ลัทธิกระบี่สวรรค์คงไม่ส่งเทพจักรวาลมาหรอกกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม


“เจ้าวางใจเถิด” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาพูดยิ้มๆ “การแก่งแย่งชิงดีระหว่างสำนัก ก็คือการแย่งชิงชื่อเสียง หากเทียบกับยอดฝีมือขั้นอลวนเหมือนกัน พวกเราสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์แข็งแกร่งกว่า ย่อมทำให้ผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนคิดว่าเหมาะที่จะคารวะเข้ามาอยู่ในสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ของเรามากกว่า อย่างการต่อสู้พรรค์นี้ หากเป็นเทพจักรวาลรังแกขั้นอลวนคนหนึ่ง แม้จะชนะแล้ว ก็มิได้แปลว่าสำนักของเจ้าร้ายกาจ หากแพ้แล้ว เช่นนั้นก็เป็นการเสียหน้า”


ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจแจ่มแจ้ง


ในการเผยแพร่สำนักนั้น ชื่อเสียงเป็นสิ่งสำคัญมาก ดังนั้นยอดฝีมือที่ประจำการอยู่จึงสำคัญอย่างยิ่ง


แม้สำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์จะนับได้ว่ามียอดฝีมือมากมาย นอกจากรัฐของตนเองแล้ว ก็ยังมียอดฝีมือรัฐอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก ดินแดนจิตโลกาใหญ่โตเกินไปแล้ว! ยอดฝีมือที่ประจำการอยู่ตามที่ต่างๆ จึงย่อมมีหนักเบาแตกต่างกันไปเป็นธรรมดา


“สี่รัฐมารทมิฬเป็นสถานที่เผยแพร่สำคัญของสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์มาโดยตลอด แม้ก่อนหน้านี้ลัทธิกระบี่สวรรค์จะเผยแพร่อยู่ที่นี่ แต่กลับไม่มีอิทธิพลอันใด และมิได้ส่งยอดฝีมือที่เก่งกาจมาประจำอยู่ที่นี่ด้วย ดังนั้น แต่ไหนแต่ไรมา ยอดฝีมือของสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์เราจึงประจำการอยู่ต่างถิ่นมาโดยตลอด เพื่อขยายอิทธิพลของสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์เรา” ประมุขรัฐเมฆทักษิณากล่าว “ไหนเลยจะไปคิดว่าครั้งนี้พวกเขาจะเหิมเกริมเข้ามาในรัฐประกายเพลิงแห่งสี่รัฐมารทมิฬ! เฮอะ ในเมื่อพวกเขากล้ามา ก็ต้องสั่งสอนพวกเขาให้หนักหน่อย”


“สังหารได้หรือขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม


“เจ้าลงมือให้เต็มที่เถิด” ประมุขรัฐเมฆทักษิณากล่าว “ทว่าเจ้าก็ระวังหน่อยล่ะ พวกเขามาหาเรื่องเจ้าในที่แจ้ง จะต้องเป็นยอดฝีมือลัทธิกระบี่สวรรค์แน่นอน! แต่ในที่ลับอาจจะมียอดฝีมือรัฐโบราณสหโลกาไปจนถึงรัฐโบราณคิมหันตวายุบางคนลอบลงมือกับเจ้าอย่างลับๆ ก็เป็นได้ แน่นอนว่า…คงไม่มีเทพจักรวาลปรากฏกาย เพราะหากปรากฏขึ้นเมื่อใด ก็จะเป็นการฝ่าฝืนกฎ ข้าก็จะลงมือทันที”


“ขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงวางใจแล้ว


ท่านอาจารย์มีสถานะเช่นใดกัน


เป็นตำนานแห่งวีรบุรุษของทั้งดินแดนจิตโลกา ในฐานะเจ้าสำนัก ก็ไม่มีทางลงมือตามอำเภอใจได้ มิเช่นนั้นก็จะเป็นการลดตัวเกินไปแล้ว! เพราะหากขั้นอลวนคนหนึ่งมารังแกถึงหน้าประตู ก็ต้องให้เจ้าสำนักลงมือแล้วล่ะก็ เมื่อผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนเห็นเข้า…ก็จะคิดได้เพียงว่าสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ไม่มีคน ขั้นอลวนที่บ่มเพาะออกมาอ่อนแอเกินไป


แต่หากเทพจักรวาลกล้าลงมือ ประมุขรัฐเมฆทักษิณาจะลงมือโดยตรง กลับทำได้อย่างเต็มภาคภูมิ


“โหวชวีหมิงจะเตรียมการเรื่องรายละเอียดให้ สิ่งที่เจ้าต้องทำก็คือลงมือในคราวคับขัน” ประมุขรัฐเมฆทักษิณามองไปทางบุรุษวัยกลางคนร่างผอมสูง “ชวีหมิง เรื่องจิปาถะอื่นๆ เจ้าค่อยเล่าให้เสวี่ยอิงฟังระหว่างทางก็แล้วกัน”


“ขอรับ” โหวชวีหมิงเอ่ยอย่างเคารพ


“เสวี่ยอิง ในเมื่อเจ้าฝึกร่างแยกสำเร็จแล้ว ก็ให้ร่างแยกอยู่ที่นครหลวงไปชั่วคราวก่อน สถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดในรัฐเมฆทักษิณาก็คือที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดลงมือ ข้าก็มั่นใจว่าจะสามารถรักษาชีวิตของเจ้าเอาไว้ได้” ประมุขรัฐเมฆทักษิณามั่นใจในตนเองมาก หากเป็นสถานที่อื่นๆ หากเขาเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูเช่นบรรพชนฝาน ก็ทำได้เพียงหนีเอาชีวิตรอดเท่านั้น แต่ในนครหลวงซึ่งเขาปกครองมานานแสนนานและมีสมบัติล้ำค่าจำนวนนับไม่ถ้วน หากต่อสู้ตัวต่อตัวแล้ว เขาก็ไม่เกรงกลัวผู้ใดทั้งนั้น


“ขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า


เมืองหิมะเหินปลอดภัยไร้กังวล


เนื่องจากเมืองหิมะเหินเป็นเมืองใหญ่ แม้แต่การบูชาโลหิตของทะเลสาบมารทมิฬก็ยังมิกล้าเข้ามายังเมืองระดับนี้ เพราะนี่คือสิ่งที่ประมุขรัฐเมฆทักษิณาไม่มีทางยอมให้เกิดขึ้นแน่นอน หากผู้ใดอาจหาญลงมือ เกรงว่าร่างแยกร่างหนึ่งของประมุขรัฐเมฆทักษิณาก็คงจะตรงไปสังหารทันที! แม้เขาจะปรองดองกับทะเลสาบมารทมิฬ แต่กลับเป็นเพียงเมืองเล็กๆ เท่านั้น นอกจากนี้นานแสนนานจึงจะมีสักครั้งหนึ่ง


……


ตงป๋อเสวี่ยอิงพาบ่าวรับใช้มังกรมารออกเดินทางไปพร้อมกับโหวชวีหมิง พวกเขาอาศัยการศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาตรงไปยังทุ่งร้างนอกนครหลวงรัฐประกายเพลิงก่อน


“แม้รัฐประกายเพลิงจะวุ่นวาย แม้จะอ่อนแอ แต่ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นนครหลวงของรัฐประกายเพลิง หากใช้ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาตรงเข้าไป…รัฐประกายเพลิงจะต้องตรวจพบทันที่ และจะเกิดเรื่องยุ่งยากตามมาอย่างแน่นอน” โหวชวีหมิงอธิบาย


ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า


ในอากาศอันสับสนอลหม่านซึ่งค่ายกลค่อนข้างอ่อนแอ ตอนนั้น ‘วังทวีสูญ’ สำนักของตนก็ยังสามารตรวจสอบการสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาได้ จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงรัฐประกายเพลิงเลย


ทั้งสองทะยานไปด้วยกัน บ่าวรับใช้มังกรมารติดตามไปอย่างเชื่อฟัง พวกเขามุ่งหน้าออกไปนอกประตูเมือง


“โหวชวีหมิง ต้องการให้ข้าทำสิ่งใด ท่านก็เตรียมการเอาไว้ก่อนแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “เรื่องการเผยแพร่สำนัก ข้าก็ไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าใดนัก”


“ฮ่าฮ่า วางใจเถิด สิ่งที่ต้องการให้น้องเฟยเสวี่ยทำจริงๆ ข้าก็ย่อมกำหนดเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ส่วนตามปกติน่ะหรือ ทุกสิ่งสามารถทำได้ตามใจ ขอเพียงสามารถทำให้ชื่อเสียงของสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์เราขจรขจายออกไปได้ ล้วนเป็นเรื่องดีทั้งสิ้น แม้กระทั่งการเผยวิธีการและพลังอันที่ทำให้ผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนหวั่นเกรงออกมาก็เป็นเรื่องดี พวกเขาก็จะยินดีเข้าร่วมสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์มากขึ้น” โหวชวีหมิงกล่าว


ตงป๋อเสวี่ยอิงกระจ่างแจ้งขึ้นมา


ไม่ทำให้สำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์เสียหน้าก็ไม่ผิดแล้ว หากเพิ่มพูนชื่อเสียงได้ ก็จะยิ่งดีขึ้นไปอีก


ช่างเรียบง่ายนัก


ทั้งสองเข้าไปในนครหลวงรัฐประกายเพลิงเคียงข้างกัน


“เอ๊ะ” ทันทีที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้ามา ด้วยการสัมผัสรับรู้อากาศของเขา ก็สามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายเข่นฆ่าอันนองเลือดที่หลงเหลืออยู่โดยรอบ


“อันที่จริงแล้วรัฐประกายเพลิงอ่อนแอที่สุด มารร้ายจำนวนมากในทะเลสาบมารทมิฬอาศัยอยู่ที่นี่” ท่านโหวชวีหมิงพูดอธิบาย “แม้จะเป็นนครหลวง แต่ก็มักจะเกิดการเข่นฆ่าขึ้นเป็นประจำ ขอเพียงหนีได้เร็วพอ มิได้ถูกกองทัพพบเข้าในทันทีก็ไม่เป็นไรแล้ว หากผู้ที่มีความเป็นมายิ่งใหญ่หรือเบื้องหลังใหญ่โตสังหาร กองทัพพบเข้าก็จะไม่ไล่ล่า แน่นอนว่ามีมารร้ายทะเลสาบมารทมิฬจำนวนมากอาศัยอยู่ที่นี่ พวกเขาก็ไม่อยากให้วุ่นวายมากเกินไป จึงย่อมจำกัดผู้ใต้บังคับบัญชาเอาไว้ ในภาพรวมก็ยังนับว่าดี สำหรับทั้งรัฐประกายเพลิงแล้ว นับว่าที่นี่เป็นตัวเมืองที่มั่นคงที่สุดแห่งหนึ่งแล้ว”


“แต่ก็เพราะวุ่นวายนี่เอง จึงทำให้ผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนที่นี่ปรารถนาจะแข็งแกร่งขึ้นมากกว่า” โหวชวีหมิงยิ้มน้อยๆ


ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า


ผู้แกร่งกล้าจำนวนมากมีสายเลือดเช่นเดียวกับภายในกายตน ดินแดนจิตโลกามีผู้แกร่งกล้ามากมายดุจเมฆ ผลัดเปลี่ยนกันไปตลอดคืนวันอันยาวนาน แม้จะเป็นทายาทจองเหล่าเทพจักรวาล ผู้ที่อ่อนแอก็จะกลายเป็นคนธรรมดา เมื่อสมรสและเผยแพร่ออกไปอย่างต่อเนื่อง ก็ทำให้ภายในกายของคนธรรมดาจำนวนนับไม่ถ้วนมีสายเลือดที่ร้ายกาจกว่าอยู่บ้าง เพียงแต่บางเบาเสียยิ่งกว่าบางเบาเท่านั้นเอง


การบำเพ็ญสายโลหิตของพวกเขา วิถีอากาศก็ได้ วิถีอื่นๆ ที่พบเห็นได้บ่อยก็สามารถสำเร็จได้เช่นกัน


ยามนี้ก็ขึ้นกับแรงดึงดูดของสำนักแล้ว


……


ณ สำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ ตำหนักทิพย์ภายในนครหลวงรัฐประกายเพลิง ซึ่งกว้างใหญ่ที่สุดในรัฐประกายเพลิง


ถึงอย่างไรนครหลวงก็เป็นตัวเมืองที่ใหญ่ที่สุด ประชากรก็มากที่สุด ครองจำนวนเกือบครึ่งหนึ่งของทั้งรัฐ ตำหนักทิพย์แห่งนี้กินพื้นที่กว้างใหญ่อย่างยิ่งและเหิมเกริมเป็นอันมากแต่ในยามนี้…


“ฮ่าฮ่า สำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ พวกเจ้าทำได้แค่มุดหัวหลบอยู่ข้างในอย่างนั้นหรือ”


“เมื่อเผชิญกับลัทธิกระบี่สวรรค์ของข้า ก็กลัวเสียจนไม่กล้าออกมาแล้ว”


“น่าสงสารๆ”


นอกตำหนักทิพย์เมฆทักษิณามีผู้บำเพ็ญกลุ่มหนึ่งราวสิบกว่าคนกำลังตะโกนด่าว่า น้ำเสียงดังกังวาน สะท้อนก้องไปทั่วฟ้าดินโดยรอบ


ส่วนตำหนักทิพย์เมฆทักษิณาก็กระตุ้นค่ายกลขึ้นมา ค่ายกลโดยรอบชั้นแล้วชั้นเล่าคุ้มกันเอาไว้ ปิดตายโดยไม่ออกมา


“เหตุใดตำหนักทิพย์เมฆทักษิณาจึงปิดเสียแล้วเล่า ข้ายังจะเข้าไปขอคำชี้แนะเรื่องการบำเพ็ญจากท่านอาจารย์เสียหน่อย” ผู้บำเพ็ญวัยเยาว์คนหนึ่งมองอยู่ห่างๆ แล้วก็มึนงงไปหมด ผู้ที่ชมดูอยู่รอบด้านก็มากมายยิ่งนัก ชายชราด้านข้างคนหนึ่งเอ่ยขึ้นว่า “อย่าไปนะ ขอเพียงเป็นคนของสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ที่จะเข้าไปบำเพ็ญ หากถูกคนของลัทธิกระบี่สวรรค์เหล่านี้พบเข้าก็จะถูกสังหารถึงตายทันที”


“อะไรนะ สังหารถึงตายทันทีเลยหรือ” ผู้บำเพ็ญวัยเยาว์คนนี้ตกตะลึง


“ตายไปตั้งหลายคนแล้ว ตอนเริ่มแรกมีศิษย์หลายคนไม่รู้ จะเข้าไปบำเพ็ญ ก็ถูกยอดฝีมือลัทธิกระบี่สวรรค์เหล่านี้สังหาร” ชายชราด้านข้างกล่าว


“หรือว่าสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ทนรับเช่นนี้เสียแล้วเล่า”


“ทำอย่างไรได้บ้างเล่า ไม่เห็นหรือว่าทั้งตำหนักทิพย์ปิดสนิทไปหมดแล้ว ค่ายกลถูกกระตุ้นจนทั้งเมืองปิดตายไปแล้วหรือไร” ชายชรายิ้มหยัน


“นี่ก็น่าสมเพชเกินไปแล้ว” ชายหนุ่มรู้สึกอดสูใจ “อยู่ในสี่รัฐมารทมิฬก็ถูกลัทธิกระบี่สวรรค์รังแก สำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ใช้ไม่ได้แล้วใช่หรือไม่ ข้าต้องเสียแก้วผลึกจักรวาลจึงจะบำเพ็ญในสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ได้นะ”


บรรดาศิษย์เหล่านี้ที่มีอยู่ทั่วดินแดนจิตโลกาล้วนแต่เป็นศิษย์นอกสำนัก


พวกเขาเข้ามาบำเพ็ญแล้วหลั่งไหลไปสำนักอื่นก็เป็นเรื่องปกตินัก ศิษย์นอกสำนัก…สำนักใหญ่ต่างๆ ทำได้เพียงดึงดูดพวกเขาเข้ามาเท่านั้น


“ยอดฝีมือลัทธิกระบี่สวรรค์ร้ายกาจนัก เดี๋ยวจะต้องลองไปดูที่ลัทธิกระบี่สวรรค์สักหน่อย ไม่แน่ว่าหากบำเพ็ญอยู่ที่นั่น ในภายหน้าพลังอาจแข็งแกร่งยิ่งขึ้นก็เป็นได้”


ทุกหนแห่งวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา


เดิมทีรัฐประกายเพลิงก็วุ่นวายอยู่แล้ว ผู้ที่อ่อนแอย่อมตกเป็นเหยื่อของผู้ที่แข็งแกร่ง


เมื่อเห็นสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ถูกรังแก ถูกโจมตีเสียจนตำหนักทิพย์ต้องปิดตาย จึงย่อมคิดว่าเจ้าไม่แข็งแกร่งพอ


หากเวลาสั่นๆ ก็ยังพอไหว แต่หากนานไป…ผลกระทบก็จะยิ่งรุนแรงขึ้น


“เอ๊ะ”


ไกลออกไป ตงป๋อเสวี่ยอิงพาบ่าวรับใช้มังกรมารและโหวชวีหมิงเดินเข้ามา พวกเขาดูเหมือนจะมีท่าทีสบายๆ แต่อันที่จริงกลับรวดเร็วยิ่งนัก เพียงก้าวเดียวก็มาถึงบริเวณใกล้ๆ แล้ว


“เขาเป็นใครกัน”


ในบรรดายอดฝีมือลัทธิกระบี่สวรรค์กลุ่มนั้น คนอื่นๆ ล้วนแต่เป็นขั้นรวมเป็นหนึ่ง และนำโดย ‘อ๋องชางซู’ ยอดฝีมือขั้นอลวนระดับชั้นที่เก้าคนหนึ่ง เขาฝึกฝน ‘ร่างกระบี่สวรรค์ไร้ทลาย’ ซึ่งเป็นเคล็ดสืบทอดลับของลัทธิกระบี่สวรรค์จนครบสมบูรณ์ถึงชั้นที่สิบ จึงอาจหาญพาคนมาตะโกนด่าอย่างเป็นอริได้! เรื่องอย่างการตะโกนด่านี้…ยอดฝีมือชั้นที่เก้าออกหน้าก็พอแล้ว ผู้ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเบื้องหลังเขาคร้านที่จะทำเรื่องยิบย่อยพรรค์นี้


“ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวผู้นี้หรือ” อ๋องชางซูจำได้ทันที “คืออิงซานเสวี่ยอิงผู้นั้นเองน่ะหรือ”


แม้อ๋องชางซูจะตกใจ แต่ก็ไม่หวั่น


ลัทธิกระบี่สวรรค์สามารถเผยแพร่ออกไปได้กว้างไกลเช่นนี้ ‘ร่างกระบี่สวรรค์ไร้ทลาย’ นั้นร้ายกาจอย่างยิ่ง เมื่อบำเพ็ญจนครบสมบูรณ์ถึงชั้นที่สิบ เทพจักรวาลจะสังหารก็ยากมากทีเดียว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้เลย


“เป็น ‘อิงซานเสวี่ยอิง’ ศิษย์ถ่ายทอดเองของประมุขรัฐเมฆทักษิณาหรือ” อ๋องชางซูพูดเสียงดังกังวาน ยอดฝีมือขั้นรวมเป็นหนึ่งของลัทธิกระบี่สวรรค์กลุ่มนั้นมายืนอยู่ด้านหลังเขาทันที


“อิงซานเสวี่ยอิงรึ”


“ศิษย์ถ่ายทอดเองของประมุขรัฐเมฆทักษิณาน่ะหรือ”


“อิงซานเสวี่ยอิงที่สำเร็จเป็นขั้นอลวนชั้นที่สิบในพันห้าร้อยล้านปีแล้วใช้กำลังต่อสู้กับประมุขมารเมฆาขาวคนนั้นน่ะหรือ”


ไกลออกไปวิพากษ์วิจารณ์กันต่างๆ นานา อิงซานเสวี่ยอิงมีชื่อเสียงโด่งดังในสี่รัฐมารทมิฬมากทีเดียว


“เจ้าก็ได้ยินชัดแล้ว สำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ของเจ้าถอยออกไปจากรัฐประกายเพลิงนี้โดยเร็วเสียเถอะ มิเช่นนั้นแล้วจะมิใช่แค่สังหารพวกศิษย์ทั่วไปเหมือนก่อนหน้านี้แล้วนะ” อ๋องชางซูพูดเสียงดังกังวาน เสียงนั้นสะท้อนก้องไปรอบด้าน “พวกเราไปกันเถิด”


พูดจบก็จากไปทันที


เขาเข้าใจดีมากว่า เขามิใช่คู่ต่อสู้ของอิงซานเสวี่ยอิง แต่จะจากไปก็ยังพอมีหวัง


“ไปรึ”


ตงป๋อเสวี่ยอิงแค่นเสียงเย็นชา


น้ำเสียงกลับอื้ออึงไปทั่วห้วงสมองของอ๋องชางซู เพียงครู่เดียวก็ถูกเขตลวงหอบม้วนเข้าไปในนั้น


แม้เขาจะเป็นยอดฝีมือขั้นอลวนชั้นที่เก้าคนหนึ่ง แต่ถึงอย่างไรก็ต้องใช้ร่างกระบี่สวรรค์ไร้ทลายจึงจะสามารถทำถึงขั้นนี้ได้อย่างพอถูไถ วิญญาณของเขาหากอยู่ในอากาศอันสับสนอลหม่านก็เป็นเพียงขั้นอลวนระดับชั้นที่แปดเท่านั้น เมื่อเผชิญหน้ากับเขตลวงที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงออกมา ก็ต้องจมดิ่งลงไปในทันที ภายใต้สภาพที่ไร้การต่อต้าน เพียงชั่วความคิดเดียวของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ทำลายวิญญาณของอ๋องชางซูจนทำให้เขาสิ้นใจในทันที!


กลเม็ดเขตลวง เปิดฉากอย่างงดงาม!


แน่นอนว่ามีเพียงเผชิญหน้ากับยอดฝีมือที่อาศัยพลังภายนอกจึงมีพลังระดับชั้นที่เก้าเช่นนี้ได้เท่านั้นจึงจะเกิดผลอัศจรรย์เช่นนี้ได้ หากเผชิญหน้ากับยอดฝีมือขั้นอลวนชั้นที่สิบ กลเม็ดเขตลวงของตนก็ไม่เพียงพอแล้ว


……


ว่าไปแล้วเหมือนจะเชื่องช้า แต่อันที่จริงเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น


ปากของอ๋องชางซูตะโกนว่า “พวกเราไปกันเถิด” ยอดฝีมือขั้นรวมเป็นหนึ่งของลัทธิกระบี่สวรรค์กลุ่มนั้นก็เตรียมตัวถูกพาไปทันที


จากนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็ใช้เขตลวงสังหารอ๋องชางซูทันที ชั่วขณะที่สังหารนั่นเอง ก็โบกมือคราหนึ่ง


ฟิ้ว!


ฝ่ามือของตงป๋อเสวี่ยอิงเปล่งแสงรำไร ฝ่ามือประหนึ่งหยกขาวใสกระจ่าง ทันใดนั้นอากาศเบื้องหน้าก็พลันถูกดึงยืดออก อ๋องชางซูและผู้ใต้บังคับบัญชาสิบกว่าคนนั้นกลายเป็นแบนราบไปในพริบตา…ทันใดนั้นมิติตรงหน้าก็กลายเป็นม้วนภาพไปในทันใด


ภาพแผ่นนั้นลอยมาทางตงป๋อเสวี่ยอิง ภายในม้วนภาพก็คืออ๋องชางซูพร้อมลูกน้องสิบกว่าคน พวกเขาแต่ละคนติดอยู่ในนั้น แต่กลับไม่มีกลิ่นอายเลยแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่าสิ้นใจไปหมดแล้ว และกลายเป็นส่วนหนึ่งของภาพวาดไป! หากวิญญาณของอ๋องชางซูยังสมบูรณ์ดี ด้วยร่างกระบี่สวรรค์ไร้ทลายของเขาแล้ว ต่อให้ถูกกดดันอยู่ภายในก็ไม่ถึงตาย และถึงขั้นสามารถต้านทานและดิ้นรนออกมาได้เสียด้วยซ้ำ


ทว่าก่อนหน้าที่เขาจะถูกกดด้น ก็ได้สิ้นใจไปก่อนแล้ว


สมบัติล้ำค่าหลายชิ้นยังลอยออกมาจากภาพแผ่นนี้และตกอยู่ในมือตงป๋อเสวี่ยอิง


“เอาไปแขวนบนผนังด้านนอกตำหนักทิพย์เมฆทักษิณาดีกว่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงหยิบภาพแผ่นนี้ส่งให้โหวชวีหมิงซึ่งอ้าปากค้างนัยน์ตาแทบถลนอยู่ตรงนั้น


“ดี ดี” โหวชวีหมิงพยักหน้ารัว ดวงตาเบิกกว้างพลางมองดูม้วนภาพในมือ ร้ายกาจและแข็งแกร่งเกินไปแล้ว


“จำเอาไว้ เพื่อให้ค่ายกลคุ้มกันเอาไว้ จะต้องแขวนเอาไว้บนผนังตลอด หากลัทธิกระบี่สวรรค์กล้ามาเหิมเกริมที่สำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ นี่ก็คือผลที่จะเกิดขึ้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว เมื่อมีค่ายกลคุ้มกัน ต่อให้เป็นขั้นอลวนชั้นที่สิบก็ยังมิอาจทำลายได้ เมื่อนำไปไม่ได้ ภาพนี้ก็จะแขวนอยู่ที่นี่ตลอดไป!


วิธีการเขตลวง


บวกกับเคล็ดสืบทอดลับวิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่า…งามดั่งภาพวาด!


ตอนที่ 55 สะท้านสะเทือน

Ink Stone_Fantasy

หลังจากตงป๋อเสวี่ยอิงกำชับจบแล้ว ก็พาบ่าวรับใช้มังกรมารเดินมุ่งหน้าไปยังประตูใหญ่ของตำหนักทิพย์เมฆทักษิณา


“ยังไม่รีบเปิดประตูอีก!” โหวชวีหมิงตะคอกเสียงดัง


โครมมมมม…ประตูบานใหญ่สูงตระหง่านทั้งสองฝั่งเปิดออกเสียงดังโครมคราม อันที่จริงยอดฝีมือภายใน ‘ตำหนักทิพย์เมฆทักษิณา’ แห่งนครหลวงรัฐประกายเพลิงล้วนเห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นภายนอกกันเต็มตา เพียงแต่พวกเขาก็ถูกการที่ ‘อ๋องชางซู’ ยอดฝีมือระดับขั้นอลวนชั้นที่เก้าคนนี้และผู้ใต้บังคับบัญชาทำเอาขวัญผวาไปหมด อ๋องชางซูนั้นเป็นผู้ฝึกร่างกระบี่สวรรค์ไร้ทลายจนครบสมบูรณ์ถึงชั้นที่สิบ แม้เทพจักรวาลจะสังหาร ก็เกรงว่าคงต้องทุ่มเทความคิดจิตใจเป็นอันมาก


กระบวนท่าเดียวหรือ


ในพริบตาเดียวก็กลายเป็นภาพวาดแผ่นหนึ่งไปแล้วหรือ


ประตูบานใหญ่เปิดออกเสียงดังโครมคราม ยอดฝีมือตำหนักทิพย์เมฆทักษิณากลุ่มหนึ่งยืนอยู่หน้าประตูอย่างพร้อมเพรียง นำโดยยอดฝีมือขั้นอลวนสองคน ผู้คนหลายร้อยคนทำความเคารพอยู่ตรงนั้นโดยพร้อมเพรียงกัน “ศิษย์พี่เสวี่ยอิง!”


ตามกฎของสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์


เมื่อศิษย์นอกสำนักทั้งหมดพบหน้าศิษย์ภายใต้สำนัก ก็ต้องเรียกว่าศิษย์พี่หรือศิษย์พี่หญิงทั้งสิ้น ส่วนศิษย์ภายใต้สำนัก เมื่อพบหน้าศิษย์ถ่ายทอดเอง…ก็ต่ำกว่าระดับหนึ่ง จึงต้องเรียกว่าศิษย์พี่หรือศิษย์พี่หญิงเช่นเดียวกัน


“อื้ม” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้ารับคำเสียงหนึ่ง จากนั้นก็พาบ่าวรับใช้เดินเข้าไป


“พี่ฉุนฉี ยังไม่รีบเตรียมที่พำนักให้พี่เสวี่ยอิงอีกหรือ” โหวชวีหมิงร้องบอก


“ขอรับๆ”


บุรุษขั้นอลวนผิวดำเมี่ยมท่าทางเยียบเย็นคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้นำกล่าวว่า “ศิษย์พี่เสวี่ยอิง เชิญตามข้ามา”


ศิษย์ทั้งหมดในที่นั้น หรือแม้กระทั่งผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนซึ่งกำลังจับตามองที่นี่อยู่ไกลออกไป ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ล้อมวงดูธรรมดา หรือว่ายอดฝีมือตระกูลกษัตริย์รัฐประกายเพลิงซึ่งชมดูสองสำนักใหญ่ต่อสู้กันด้วยเจตนาอื่น หรือบรรดามารร้ายผู้ยิ่งใหญ่ในทะเลสาบมารทมิฬ ขณะที่มองเห็นชายหนุ่มอาภรณ์ขาวซึ่งถูกศิษย์สำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ห้อมล้อมผู้นั้น ก็รู้สึกหนาวเหน็บจากก้นบึ้งของหัวใจ


“อิงซานเสวี่ยอิงตัวดีเอ๋ย ไม่เสียทีที่สำเร็จเป็นขั้นอลวนชั้นที่สิบในพันห้าร้อยล้านปี เป็นยอดฝีมือที่ใช้กำลังต่อสู้กับประมุขมารเมฆาขาว คารวะประมุขรัฐเมฆทักษิณามานานปีถึงเพียงนี้ก็ยิ่งน่าหวาดหวั่นมากขึ้นไปอีก” มารเฒ่าขั้นอลวนคนหนึ่งกำลังร่ำสุราดื่มกินเพียงลำพังอยู่ในหอสุราซึ่งห่างจากที่นี่ไปหลายล้านลี้จับตามองอยู่โดยตลอด


เขารู้ว่าหากลัทธิกระบี่สวรรค์บีบบังคับ สำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์จะต้องมีการตอบโต้อย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงมาดู เมื่อเห็นตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏกาย เขาก็แค่ตกตะลึงเท่านั้น แต่เมื่อได้เห็นว่า ‘งามดั่งภาพวาด’ เพียงกระบวนท่าเดียวก็ทำให้อ๋องชางซูและยอดฝีมือคนอื่นๆ กลายเป็นภาพวาดหนึ่งไป ทั้งยังแขวนไว้บนผนังอีก เขาก็ขวัญผวาไปหมด


“งามดั่งภาพวาด เป็นหนึ่งในสองเคล็ดสืบทอดลับของวิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่า ซึ่งเป็นกระบวนท่าขั้นอลวนชั้นที่สิบ แต่ว่ากดดันอ๋องชางซูเอาไว้มิได้เลย” มารเฒ่าขั้นอลวนผู้นี้หนาวเหน็บไปถึงขั้วหัวใจ “ไร้สุ้มไร้เสียง แม้แต่ข้าก็ยังมองไม่ออก อ๋องชางซูก็จบเห่แล้วหรือนี่ น่ากลัวๆ น่ากลัวยิ่งกว่าตอนบูชาโลหิตเสียอีก”


……


“อิงซานเสวี่ยอิงแข็งแกร่งถึงเพียงนี้แล้วหรือนี่” ยอดฝีมือตระกูลกษัตริย์รัฐประกายเพลิงเห็นแล้วก็รู้สึกหนาวเหน็บ แม้รัฐประกายเพลิงจะวุ่นวายที่สุดในสี่รัฐมารทมิฬ แต่เนื่องจากเข่นฆ่ากันวุ่นวายไปหมดนั่นเอง จึงทำให้ผู้แกร่งกล้าที่รุ่งโรจน์ขึ้นที่นี่บ้าคลั่งมากขึ้น คนใดบ้างที่มิได้รุ่งโรจน์ขึ้นท่ามกลางการเข่นฆ่ากันเล่า


หากลัทธิกระบี่สวรรค์และสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ซึ่งเป็นหนึ่งในสิบสำนักใหญ่จะสู้กันขึ้นมาจริงๆ แล้วล่ะก็ แน่นอนว่าพวกเขาก็ต้องชมดูความวุ่นวายอย่างสนุกสนาน


เพียงแต่อิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้ก็โหดเหี้ยมเกินไปแล้วกระมัง


กระบวนท่าดูเหมือนจะแผ่วดุจลมโชยเบาดุจเมฆอันผ่อนคลาย…แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ ก็ยิ่งทำให้เหล่าผู้แกร่งกล้าที่ลอบชมดูอยู่เหล่านี้ขวัญหนีดีฝ่อไปหมด


……


“แขวนไว้ให้เห็นชัดๆ หน่อย ถูกต้องๆ ตรงนี้แหละ” เพื่อจะแขวนภาพนี้ โหวชวีหมิงก็ต้องดิ้นรนยกหนึ่ง เรื่องราวที่ง่ายดายเช่นนี้ แต่เขากลับจงใจดิ้นรน ถึงขั้นตั้งใจประดับประดาให้บนกรอบรูปมีค่ายกลอันเรียบง่ายหมุนเวียนอยู่ ทำให้ภาพนี้เปล่งแสงออกมาตลอดเวลา โดดเด่นสะดุดตาเป็นอันมาก


“พวกเจ้าสองคนรักษาการอยู่ที่นี่ คอยเฝ้าให้ดีล่ะ” โหวชวีหมิงจัดผู้ใต้บังคับบัญชาสองคนคอยดูแล


อันที่จริงเหนือผิวผนังด้านนอกของตำหนักทิพย์เมฆทักษิณาก็มีค่ายกลปกคลุมอยู่แล้ว จึงสามารถปกป้องภาพนี้ไว้ได้โดยไม่จำเป็นต้องกังวลเลย โหวชวีหมิงทำเช่นนี้ เท่ากับตบหน้า ‘ลัทธิกระบี่สวรรค์’ เลยทีเดียว


การต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายโหดร้ายยิ่งนัก


ในที่แจ้งพวกเขากล้าขวางประตู และทำให้ศิษย์นอกสำนักของอีกฝ่ายถึงแก่ชีวิต ในที่ลับก็ยิ่งอำมหิตขึ้นไปอีก! เพราะถึงอย่างไรสำหรับ ‘ประมุขรัฐเมฆทักษิณา’ และ ‘ประมุขรัฐกระบี่สวรรค์’ ผู้สูงส่งเหนือใครแล้ว สำนักใหญ่ทั้งสองนั้นสามารถหาแก้วผลึกจักรวาลจำนวนมหาศาลให้แก่พวกเขาได้ แก้วผลึกจักรวาลก็หมายถึงทรัพยากร จึงย่อมมิอาจถอยได้


“โอ้”


“กลายเป็นภาพแผ่นหนึ่งไปแล้ว”


“จริงหรือ นั่นมันยอดฝีมือขั้นอลวนเชียวนะ”


หลังจากโหวชวีหมิงแขวนภาพเอาไว้และกลับมายังตำหนักทิพย์เมฆทักษิณาแล้ว ผู้ที่ชมดูอยู่โดยรอบจำนวนมากก็พากันเร่งตรงเข้ามา ผู้แกร่งกล้าหลายคนถึงกับเคลื่อนที่ในพริบตามาเพื่อชมภาพนั้นด้วยความตกตะลึง


อย่าว่าแต่พวกเขาเลย


เมื่อข่าวแพร่ออกไป บรรดาลูกหลานของอ๋องและโหวต่างๆ ของรัฐประกายเพลิงต่างพากันโดยสารเกี้ยวมาจากทั่วสารทิศ พวกเขาต่างมองดูอยู่ห่างๆ พลางชมเชยไม่ขาดปาก เพราะ ‘อ๋องชางซู’ ก็นับว่ามีชื่อเสียงอยู่มากในลัทธิกระบี่สวรรค์ เพื่อเผยแพร่ลัทธิกระบี่สวรรค์ เขาก็ได้ทุ่มเทหยาดเหงื่อแรงกาย บุคคลที่เก่งกาจพรรค์นี้กลับกลายเป็นภาพแผ่นหนึ่งแขวนอยู่ตรงนั้นเสียแล้วหรือ


“เป็นอิงซานเสวี่ยอิงผู้นั้นน่ะรึ”


“เคล็ดสืบทอดลับ‘งามดั่งภาพวาด’ ของวิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่ามิได้ร้ายกาจถึงเพียงนี้กระมัง สามารถกำจัดอ๋องชางซูได้อย่างง่ายดายเพียงนี้เชียวหรือ”


ทุกแห่งหนวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆนานา


แม้แต่ในสถานเริงรมย์ บรรดาลูกหลานของอ๋องโหวเหล่านั้นก็ยังวิจารณ์กัน พวกเขาล้วนมีภูมิหลังใหญ่โต โดยทั่วไปก็ล้วนรู้จักตำนานเคล็ดสืบทอดลับสองกระบวนท่า ‘ทลายเวหา’ และ ‘งามดั่งภาพวาด’ กันทั้งนั้น แต่ละคนพากันคุยโว อันที่จริงพลังของพวกเขาหลายคนก็เป็นเพียงขั้นรวมเป็นหนึ่งเท่านั้น บางคนเป็นเพียงเทพอากาศเสียด้วยซ้ำไป


ยิ่งเป็นผู้ที่มีพลังต่ำต้อยเท่าไหร่ ก็ยิ่งชมชอบการคุยโวโอ้อวดและสนทนาถึงสิ่งมีชีวิตในตำนานมากขึ้นเท่านั้น


เห็นได้ชัดว่า สำหรับพวกเขาแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงคือยอดฝีมือผู้ไร้เทียมทานในตำนาน


******


ห่างจากตำหนักทิพย์เมฆทักษิณาออกไปกว่าร้อยล้านลี้


เงาร่างสองสายยืนอยู่กลางอากาศ พลางทอดสายตามองไปทางตำหนักทิพย์เมฆทักษิณา บนใบหน้าของบุรุษอาภรณ์สีม่วงท่าทางเย็นชาคนหนึ่งรางกับมีน้ำแข็งชั้นหนึ่งฉาบไว้ สตรีผมแดงรูปร่างเย้ายวนคนหนึ่งข้างกายเขาพูดเสียงต่ำว่า “นายท่าน”


“เจ้าอิงซานเสวี่ยอิงตัวดี” นัยน์ตาของบุรุษอาภรณ์สีม่วงฉายแววหนาวเหน็บ “บรรพชนฝานในตำนานก็ยังต้องรับเขาเป็นศิษย์ กลเม็ดใช้ได้ทีเดียว”


เขา ‘อ๋องอสนีบาต’ โม่เฉา คือผู้ดำเนินการโจมตีเข้าสู่สี่รัฐมารทมิฬของลัทธิกระบี่สวรรค์


เขาเป็นเพียงศิษย์ภายใต้สำนักคนหนึ่งของลัทธิกระบี่สวรรค์เท่านั้น แต่สถานะกลับสูงส่งกว่าศิษย์ถ่ายทอดเองเสียอีก เพราะเขาคือหนึ่งในสอง ‘ผู้พิทักษ์วิถี’ ของลัทธิกระบี่สวรรค์ ท่านอาจารย์ของเขาก็ยิ่งลึกลับเข้าไปใหญ่ แม้จะมิได้เปิดเผย แต่สำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ก็พอจะคาดการณ์และล่วงรู้ได้ว่าอาจารย์ของ ‘อ๋องอสนีบาต’ โม่เฉาแห่งรัฐกระบี่สวรรค์ผู้นี้น่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดหวั่นคนหนึ่งของรัฐโบราณสหโลกา


“นายท่าน พวกเราทำเช่นใดกันดีเจ้าคะ” สตรีรูปร่างเย้ายวนด้านข้างพูดเสียงต่ำ “ต้องเชิญทูตพิเศษทั้งสองมาช่วยเหลือหรือไม่”


การยกทัพบุกสี่รัฐมารทมิฬในครั้งนี้ มีความสำคัญต่อลัทธิกระบี่สวรรค์เป็นอย่างมาก


ดังนั้นรัฐโบราณสหโลกาและรัฐโบราณคิมหันตวายุต่างก็ส่งยอดฝีมือขั้นสุดยอดคนหนึ่งมาลอบช่วยเหลือ เพราะถึงอย่างไรรัฐโบราณทั้งสองนี้ก็ได้รับผลประโยชน์จาก ‘ลัทธิกระบี่สวรรค์’ เป็นจำนวนมหาศาลมาอย่างยาวนาน ในคราวคับขันก็ต้องออกแรงบ้าง


“พวกเขาสองคนหรือ อิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้แค่พลิกมือคราเดียวก็สังหารอ๋องชางซูได้แล้ว ข้ามองไม่ออกเลยว่าเขาใช้ลูกไม้อันใดกันแน่” บุรุษอาภรณ์สีม่วงยิ้มเย็น “ในสถานการณ์ที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของอิงซานเสวี่ยอิง รัฐโบราณทั้งสองไม่มีทางทุ่มเทแรงเป็นแน่”


แม้จะพึ่งพิงรัฐโบราณทั้งสอง


แต่ยอดฝีมือลัทธิกระบี่สวรรค์ก็ยังมองรัฐโบราณทั้งสองในแง่ร้ายอยู่บ้าง เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็เผยแพร่ลัทธิอย่างเอาเป็นเอาตาย แก้วผลึกจักรวาลจำนวนมากที่หามาได้กลับถูกรัฐโบราณทั้งสองเอาไป แม้จะมาอวดดีต่อหน้าตน ก็ยังต้องอดทนเอาไว้! แล้วจะไม่อดสู ไม่มองในแง่ร้ายได้หรือ แต่ช่วยไม่ได้…พวกเขาไหนเลยจะไปยั่วยุรัฐโบราณทั้งสองได้กันเล่า


“ประมุขรัฐเมฆทักษิณา ไม่ลงมือก็แล้วไป แต่หากลงมือขึ้นมาก็ร้ายกาจถึงเพียงนี้ ต่อไปต้องทุ่มเทกำลังให้มากหน่อยแล้ว” บุรุษอาภรณ์สีม่วงโม่เฉาขมวดคิ้ว


เขากลับไม่รู้


ประมุขรัฐเมฆทักษิณาก็ไม่รู้ว่าศิษย์ของเขาจะเก่งกาจถึงเพียงนี้ เมื่อข่าวเรื่องสิ่งที่เกิดขึ้นในรัฐประกายเพลิงแพร่สะพัดกลับไป ประมุขรัฐเมฆทักษิณาก็ถึงขั้นตกตะลึงไปเสียด้วยซ้ำ


……


ณ สถานที่สงบจิตบำเพ็ญในนครหลวงรัฐเมฆทักษิณา


“เจ้าหนุ่มเสวี่ยอิงคนนี้ มีพลังร้ายกาจถึงเพียงนี้เชียวหรือ” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาตะลึงพรึงเพริด ข้างกายเขายังมีคนชุดดำยืนอยู่สามคน หนึ่งในคนชุดดำพูดเสียงต่ำว่า “ท่านประมุขรัฐ พวกเราสามคนยังต้องออกเดินทางหรือไม่ขอรับ”


“ครั้งนี้ลัทธิกระบี่สวรรค์มาด้วยท่าทียิ่งใหญ่ รับมือไม่ได้ง่ายๆ เดิมทีข้าแค่คิดจะอาศัยโอกาสนี้เคี่ยวกรำเสวี่ยอิงสักหน่อยเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าข้าประเมินศิษย์คนนี้ต่ำเกินไปแล้ว” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาพูดยิ้มๆ “ตอนนี้เขาทำได้ดีมากในรัฐประกายเพลิง เช่นนั้นก็ให้เขาทำต่อไปก่อนก็แล้วกัน พวกเจ้าสามคน…ไปพักผ่อนก่อนเถิด รอให้เรื่องวุ่นวายเสียก่อน พวกเจาสามคนค่อยออกเดินทาง ถอยออกไปเถิด”


“ขอรับ” คนชุดดำทั้งสามคนขานรับอย่างพร้อมเพรียงกัน จากนั้นเมื่อไอหมอกสลายหายไป พวกเขาสามคนก็อันตรธานไปแล้ว


นัยน์ตาลึกล้ำของประมุขรัฐเมฆทักษิณาเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น


เขามั่งคั่งถึงเพียงนี้ พละกำลังที่มีอยู่ในมือก็มิได้มีเพียงแค่เท่าที่สำแดงออกมาภายนอกเท่านั้น รัฐโบราณทั้งหกคิดจะ แย่งชิงผลประโยชน์จากเขา หลายปีมานี้เขาก็สามารถต้านทานเอาไว้ได้ ก็ย่อมมีหลักประกันที่ทำให้เขามั่นอกมั่นใจ


 ………………………………….

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)