Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 33 ตอนที่ 45-50
ตอนที่ 45 ล้อมโจมตี
Ink Stone_Fantasy
ยามนี้ผู้แกร่งกล้าขั้นอลวนชั้นที่เก้าทั้งสี่รวมตัวกันเป็นค่ายกลรบ อานุภาพร้ายกาจเทียมฟ้า ต่อให้พวกเขาเผชิญหน้ากับประมุขมารก็กล้ากดดันโจมตี จึงย่อมมั่นใจเต็มเปี่ยม จากนั้นชายชราผมขาวอาภรณ์สีโลหิตคนหนึ่งในจำนวนนั้นก็สะบัดแขนเสื้อเบาๆ คราหนึ่ง
ดูเหมือนจะแผ่วเบาดุจลมโชยดั่งเมฆปลิว แต่อันที่จริงกลับเป็นท่าไม้ตาย
ถึงอย่างไรก็มิใช่ขั้นอลวนทุกคนที่ชมชอบการต่อสู้ประชิดตัว อย่างชาติก่อนตงป๋อเสวี่ยอิงรับรู้เขตลวงโลกเทียม จึงต่อสู้ประชิดตัวน้อยมาก
“เอ๊ะ”
สีหน้าของตงป๋อเสวี่ยอิงเปลี่ยนแปรไปเล็กน้อย
บริเวณเมฆาแดงที่เขาคงเอาไว้ตลอดเวลานั้นพลันสัมผัสได้ถึงระลอกคลื่นอันเล็กละเอียดอย่างยิ่ง ชายชราผมขาวอาภรณ์สีโลหิตผู้นั้นเพียงสะบัดแขนเสื้อเบาๆ ระลอกคลื่นก็เกิดขึ้น แล้วส่งถ่ายเข้ามายังบริเวณที่ตนอยู่ในพริบตา ต่อให้เป็น ‘บริเวณเมฆาแดง’ ของตนก็มิอาจเคลื่อนย้ายหนีไปได้ทัน เห็นได้ชัดว่าหลังจากอาศัยค่ายกลรบจนบรรลุถึงอานุภาพชั้นที่สิบแล้ว ก็ย่อมเพิ่มความไม่ธรรมดาขึ้นไปอีก
“วิ้ง” ระลอกคลื่นพลันบุกเข้ามาโจมตี
บันไดน้ำวนสามสายที่รายล้อมรอบผิวกายตงป๋อเสวี่ยอิงได้ตัดขาดอานุภาพออกไปราวเจ็ดแปดส่วน อานุภาพที่หลงเหลืออยู่ก็ได้รุกรานเข้าไปทั่วร่าง ทำให้ร่างกายอื้ออึงไปหมดในทันใด ห้วงสมองและวิญญาณก็อึงอลไปหมด!
ร่างเมฆทักษิณาทิพย์ชั้นที่แปด…ในการประมือระดับนี้ก็ยังคงอ่อนแอเกินไปบ้าง! เคราะห์ดีที่ระดับขั้นของตงป๋อเสวี่ยอิงสูงส่งพอ การรับรู้ ‘การกลายเป็นอากาศธาตุนั้นสูงส่งลึกล้ำอย่างยิ่ง อย่างผู้บำเพ็ญสายโลหิตทั่วไปนั้นอาศัยศาสตร์ลับเป็นหลัก ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงก็บำเพ็ญระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ไปควบคู่กัน ต่อให้ร่างกายอ่อนแอมาก เขาก็สามารถสำแดง กลเม็ด ‘การกลายเป็นอากาศธาตุ’ อันสูงส่งลึกล้ำอย่างยิ่งออกมาได้
เพราะชาติก่อน ให้ความสำคัญกับเคล็ดวิชาสืบทอดของจักรพรรดิเก้าเมฆาและวิชาลับผู้ท่องล้วนให้ความสำคัญกับ ‘การกลายเป็นอากาศธาตุ’ เป็นอันมาก ตนก็รับรู้เกราะของแม่ทัพโม่กู่ ตอนนั้นเขาอยากจะบรรลุ ‘การกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุด’ ตั้งแต่ยังเป็นขั้นอลวน น่าเสียดายที่ได้เกราะเกล็ดมาไม่นานเท่าใดนักก็เผชิญหน้ากับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์แล้วถูกบีบบังคับให้กลับชาติมาจุติ
แต่ทางด้านการกลายเป็นอากาศธาตุ พื้นฐานของเขาหนาแน่นอย่างยิ่ง อาศัยวิธีการความเร้นลับของกฎเกณฑ์ก็ทำให้อ่อนกำลังลงได้ถึงเก้าส่วน ร่างเมฆทักษิณาทิพย์จึงสามารถต้านทานเอาไว้ได้
“เอ๊ะ ร่างกายของเขาน่าจะค่อนข้างอ่อนแอ แต่กลับต้านทานเอาไว้ได้อย่างนั้นหรือ” ชายชราผมขาวอาภรณ์สีโลหิตซึ่งสำแดงท่าไม้ตายออกมาเห็นเข้าก็ขบกรามกรอด จากนั้นก็สะบัดอาภรณ์หลายครั้ง
ฟิ้วๆๆ
ระลอกคลื่นเล็กน้อยอย่างยิ่งโจมตีเข้ามาครั้งแล้วครั้งเล่า แม้ตงป๋อเสวี่ยอิงจะรู้สึกว่าร่างกายอื้ออึงไปหมด แต่ก็มิได้ส่งผลกระทบต่อการต่อสู้ของเขาเลย
“ดินแดนจิตโลกานั้นไม่เหมือนกับอากาศอันสับสนอลหม่าน ที่นี่มีวิธีการต่อสู้มากกว่า! ดังนั้นคิดจะมีชีวิตรอด ก็ต้องเสริมทุกจุดอ่อนเอาไว้ให้ได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจในจุดนี้ บัดนี้สิ่งที่อ่อนแอที่สุดของตนก็คือร่างกายนั่นเอง ร่างเมฆทักษิณาทิพย์ชั้นที่แปดและชั้นที่สิบนั้นแตกต่างกันถึงสองระดับขั้น นี่ก็เป็นความแตกต่างจากแก่นแท้แล้ว
สองระดับขั้น โดยทั่วไปก็สามารถก่อให้เกิดผลของการกวาดล้างขนานใหญ่ได้แล้ว
ยามนี้ไม่ว่าจะเป็นประมุขมารเมฆาขาว หรือว่าค่ายกลรบของขั้นอลวนชั้นที่เก้าทั้งสี่คน ก็ล้วนสำแดงพลังรบขั้นอลวนชั้นที่สิบออกมา
“ตายเสียเถิด” ประมุขมารเมฆาขาวกลับลอบโจมตีเข้ามาอย่างไม่สนใจหน้าตาตนเอง เขาอ้าปากกว้างใหญ่ดุจแอ่งโลหิตบีบเข้าไปใกล้อย่างหนักหน่วง หมายจะกลืนเข้าไปในคำเดียว
ตงป๋อเสวี่ยอิงรีบหลบไปหลายพันลี้ ขณะเดียวกันหอกยาวในมือเล่มหนึ่งก็ฟันตรงออกไปอย่างดุเดือด โบกมือคราหนึ่ง ตอนที่หอกยาวร่อนลงไปก็มาถึงข้างปากใหญ่ของประมุขมารเมฆาขาว ตู้มมม…ประมุขมารเมฆาขาวถูกกระแทกแต่ร่างกายกลับไม่เสียหายเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ร่างกายสะท้านสะเทือนไปเล็กน้อย และอานุภาพการโจมตีก็ได้รับผลกระทบบ้าง
“ตู้ม!”
อสนีบาตสายหนึ่งพลันร่อนลงมา
แม้ความเร็วจะสู้ระลอกคลื่นนั้นมิได้ แต่กลับทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงหลบหลีกไม่ทันจนถูกกระบวนท่าเข้าไป เพลิงอัสนีสายหนึ่งฟันตรงลงบนร่างของเขา ทว่าร่างกายของเขาราวกับอยู่ในโลกอีกใบหนึ่ง เพลิงอัสนีก็กระทบลงกับพื้นเสียงดังตู้ม ทำเอาผืนดินมีหลุมลึกจนมองไม่เห็นก้นปรากฏขึ้นมา
“ถูกโจมตีสองกระบวนท่าต่อเนื่องกันหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกร่างกายชาหนึบขึ้นมา ประมุขมารเมฆาขาวเข้ามาโจมตีอีกครั้ง
“แฮ่…”
ในบรรดาขั้นอลวนชั้นที่เก้าทั้งสี่คน ท้ายที่สุดเฉินอู่ก็เป็นผู้ที่บัญชาการทั้งค่ายกลรบและออกกระบวนท่า
เนื่องจากอานุภาพของค่ายกลรบจะต้องรวมกันเป็นร่างเดียวจึงจะสามารถปะทุอานุภาพชั้นที่สิบออกมาได้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงออกกระบวนท่ามาอย่างต่อเนื่อง หากออกกระบวนท่าพร้อมกัน อานุภาพก็จะลดลงเป็นอันมาก
ในมือของเฉินอู่มีขวานมหึมาเล่มหนึ่งปรากฏขึ้น แล้วฟันเข้ามาอย่างดุเดือด เขาเป็นคนจำพวกต่อสู้ประชิดตัวคนหนึ่ง
“ยังดีที่อีกสองคนที่เหลือโจมตีช้ากว่าอยู่บ้าง” ตงป๋อเสวี่ยอิงถอนหายใจเล็กน้อย เขาเข้าใจมารร้ายขั้นอลวนชั้นที่เก้ามาก่อนแล้ว จึงรู้จักกระบวนท่าที่พวกเขาเชี่ยวชาญเป็นอย่างดี
บางกระบวนท่านั้นมิอาจหลีกเลี่ยงได้
เช่นกระบวนท่าเขตลวงของตน ไปจนถึงเคล็ดวิชาบุปผาผลาญทำลายในตอนนั้น ล้วนแต่ร่อนลงไปในทันที มิอาจหลบได้พ้น ทำได้เพียงทนรับเท่านั้น!
มารร้ายขั้นอลวนชั้นที่เก้าทั้งสี่ตนในครั้งนี้นั้น คนหนึ่งเชี่ยวชาญวิชาระลอกคลื่นล้างสังหารซึ่งเป็นวิชาที่มาถึงตัวทันที มิอาจหลบหลีกได้! ‘เพลิงอัสนี’ นั้นก็มีหวังจะหลบหลีกได้ แต่มันรวดเร็วเกินไป กายหยาบของตนร่างนี้ยังคงอ่อนแอเกินไป ยังมิทันได้ขยับเขยื้อนก็ถูกกระบวนท่าเข้าเสียแล้ว แต่สองคนถัดมาก็ดีกว่าอยู่บ้าง
“ตู้ม” “ตู้ม” “ตู้ม”
เฉินอู่บัญชาการค่ายกลรบและประมุขมารเมฆาขาวก็เข้าโจมตีประชิดตัว กระบวนท่าสับเปลี่ยนไปร้อยแปดพันประการ ทั้งยังสามารถผสานซึ่งกันและกันได้ ทำให้อานุภาพยกระดับขึ้นเป็นอย่างมาก
แต่กระนั้นเงาร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ว่องไวดุจปีศาจ อีกทั้งหอกยาวเล่มหนึ่งก็กวัดแกว่งขึ้นมา อากาศและสายน้ำอันแปลกพิสดารสายแล้วสายเล่าปรากฏขึ้นมารายล้อมหอกยาวเอาไว้ หอกยาวราวกับสายน้ำซึ่งโจมตีอย่างรุนแรง ใช้หนึ่งโจมตีสอง…แต่กลับโจมตีอย่างสุขสราญนัก
“พันธนาการ”
เฉินอู่ถอยไป แล้วสลับเอาชายหนุ่มท่าทางเย็นชาขึ้นมาบัญชาการค่ายกลรบแทน
ตู้ม
ทันใดนั้นอสรพิษตัวใหญ่สีเขียวเข้มตัวหนึ่งก็รวมตัวกันแล้วปรากฏขึ้นมา หมายจะพันธนาการตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้
“จะถูกพันธนาการไม่ได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจข้อนี้ดี เพราะหากถูกพันธนาการขึ้นมา แล้วประมุขมารเมฆาขาวกลืนตนลงไปในคำเดียวแล้วล่ะก็ คงต้องยุ่งยากมากทีเดียว
……
ยอดฝีมือทั้งสี่ซึ่งรวมกันเป็นค่ายกลรบนั้นต่างคนต่างก็มีท่าไม้ตายหลายกระบวนท่า ยามนี้ท่าไม้ตายหลายกระบวนท่าล้วนแต่ปะทุอานุภาพชั้นที่สิบระดับยอดออกมา และร่วมมือกับประมุขมารเมฆาขาวอย่างต่อเนื่องเพื่อล้อมสังหารตงป๋อเสวี่ยอิง
ภายในจวนสกุลฝานในนครหลวงรัฐเมฆทักษิณา
“พลังระดับนี้จะต้องเป็นขั้นอลวนชั้นที่สิบอย่างไร้ข้อกังขาแล้ว” ฝานเทียนฉ่งมองดูกระจกยลฟ้า ในใจรู้สึกชื่นชม
หนึ่งพันห้าร้อยล้านปีก็เข้าถึงกระบวนท่าระดับขั้นอลวนชั้นที่สิบได้แล้ว
แม้ในดินแดนจิตโลกาจะมีผู้แกร่งกล้าจำนวนนับไม่ถ้วน เคล็ดวิชาที่ร้ายกาจก็มีมากมายอย่างยิ่ง และอบรมศิษย์ได้ร้ายกาจเป็นอย่างมากด้วย ก็นับได้ว่ายอดเยี่ยมไร้เทียมทานแล้ว ผู้ยอดเยี่ยมไร้เทียมทานจำนวนนับไม่ถ้วนภายในรัฐโบราณคิมหันตวายุและรัฐโบราณสหโลกาอาจจะดีกว่าอยู่บ้าง แต่ภายในรัฐเมฆทักษิณากลับนับได้ว่าเป็นผู้ที่ยอดเยี่ยมที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์แล้ว
“เขาสำแดงยุทธวิธีเมฆาแดงออกมาจริงๆ ทว่า ไม่รู้ว่าเขารับรู้ไปถึงขั้นไหนแล้ว” ฝานเทียนฉ่งลอบคิด ถึงอย่างไรเขาก็มิใช่ผู้บำเพ็ญทางสายอากาศ จึงทำได้เพียงมองผ่านกระจกยลฟ้าเท่านั้น ยากนักที่จะมีการคาดการณ์ที่แม่นยำอย่างยิ่ง
เขาส่งสารให้ภายในตระกูล
ไม่นานนัก ก็มีข่าวหนึ่งส่งมาจากในตระกูล
“ตามการคาดการณ์ หอกยาวในมืออิงซานเสวี่ยอิงเล่มนั้นน่าจะเป็นหอกมารเมฆาแดงซึ่งเป็นของนายท่านฉื้ออวิ๋นในตอนนั้น เขาน่าจะรับรู้หอกมารเมฆาแดงแล้วเคี่ยวกรำศาสตร์พิฆาตเหล่านี้ขึ้นมา บัดนี้เขาสำแดงศาสตร์พิฆาตทั้งสี่ของยุทธวิธีเมฆาแดงออกมาแล้ว ในเมื่อรับรู้ถึงสี่วิชา ด้วยการรับรู้ของเขา คาดว่าคงจะรับรู้ ศาสตร์พิฆาตวิชาที่ห้า ‘เคล็ดการร่วมโจมตี’ แล้วเช่นกัน เมื่อเทียบกับยุทธวิธีเมฆาแดงที่สมบูรณ์แล้ว ก็ขาดเพียงแค่ร่างมารเมฆาแดงเพียงร่างเดียวเท่านั้น”
ร่างมารเมฆาแดงนั้นมีชื่อเสียงว่าหมื่นกัลป์ไม่แตกสลาย
“แต่ทว่า…เขาน่าจะผลักดันบริเวณจนบรรลุถึงอานุภาพระดับชั้นที่เก้า แล้วอาศัยหอกมารเมฆาแดงสำแดงอานุภาพชั้นที่สิบออกมา ส่วนเคล็ดสังหารทั้งสามที่เหลือ อาศัยหอกมารเมฆาแดงก็เป็นเพียงชั้นที่เก้าระดับยอดเท่านั้น”
“ด้วยการรับรู้ของเขาแล้ว หากเวลาเพียงพอ ต้องสามารถรับรู้เคล็ดสังหารทั้งห้าแห่งยุทธวิธีเมฆาแดงซึ่งเป็นส่วนของขั้นอลวนได้จนหมดอย่างแน่นอน”
“หอกมารเมฆาแดงเล่มนั้น สำหรับเขาแล้วก็ออกจะฟุ่มเฟือยอยู่บ้าง เทียนฉ่ง เจ้าลองดูสิ ลองดูว่าจะซื้อหอกมารเมฆาแดงมาจากอิงซานเสวี่ยอิงได้หรือไม่”
ฝานเทียนฉ่งไตร่ตรองสารที่ในตระกูลส่งมาให้
ตระกูลก็มิได้ใส่ใจสักเท่าใดนัก
เพราะทั้งดินแดนจิตโลกา ผู้ที่กำหนดฐานของขุมอำนาจก็คือบรรดาเทพจักรวาลเป็นหลัก! ดังนั้นส่วนที่ล้ำค่าที่สุดของยุทธวิธีเมฆาแดงก็คือส่วนของเทพจักรวาลนั่นเอง
เทพจักรวาลทั้งหลาย หากไร้ซึ่งศาสตร์ลับที่ร้ายกาจก็อาจถึงขั้นสำแดงออกมาได้เพียงพลังชั้นที่สิบเท่านั้น คิดจะแข็งแกร่งกว่าคนระดับพวกประมุขมารเมฆาขาวหรือตงป๋อเสวี่ยอิงน่ะหรือ ส่วนเทพจักรวาลของศาสตร์ลับอันแข็งแกร่งนั้น…คิดจะได้ศึกษาก็ยากเกินไปแล้ว บรรดาเทพจักรวาลโดยทั่วไปล้วนถูกบังคับให้สวามิภักดิ์ต่อขุมอำนาจใหญ่แต่ละฝ่าย เช่นสวามิภักดิ์ต่อหกรัฐโบราณ
จากนั้นก็ต้องโรมรันทำสงครามเพื่อหกรัฐโบราณ เช่นนี้แล้วจึงจะได้รับส่วนที่สูงส่งลึกล้ำได้
ดังเช่นม้วนเมฆาของสิบม้วนทิพย์สามารถเผยแพร่ต่อภายนอกได้ แต่ก็เพียงแค่ส่วนของขั้นอลวนชั้นที่สิบซึ่งสูงที่สุดเท่านั้น คิดจะสูงส่งลึกล้ำกว่านี้น่ะหรือ ออกรบและเข่นฆ่าเพื่อ ‘รัฐโบราณสหโลกา’ ของเราเถิด เทียบได้กับการขายตัวเอง เมื่อสวามิภักดิ์แล้ว ก็มีเคล็ดลับชนิดต่างๆ พันธนาการเอาไว้ ยากนักที่จะทรยศได้
“มอบหอกมารเมฆาแดงให้อิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้ก็ออกจะสิ้นเปลืองเกินไปหน่อยแล้วกระมัง” ฝานเทียนฉ่งพึมพำ “สมบัติลับที่แกร่งกล้าระดับนี้สามารถให้เทพจักรวาลที่บำเพ็ญยุทธวิธีเมฆาแดงไปใช้ได้เลยทีเดียว”
ภายในรัฐโบราณคิมหันตวายุ
เทพจักรวาลที่บำเพ็ญยุทธวิธีเมฆาแดงก็มีอยู่หลายคนด้วยกัน
แน่นอนว่าเมื่อบำเพ็ญจนบรรลุถึงขั้นครบสมบูรณ์แล้ว พลังก็จะไม่แพ้นายท่านฉื้ออวิ๋นในตอนนั้นเลย แต่กลับมีเพียงคนเดียวเท่านั้นก็คือ ผู้วิเศษ คนหนึ่งของ ‘ครอบครัวสกุลชาง’ หนึ่งในสามตระกูลใหญ่แห่งรัฐโบราณคิมหันตวายุ หากพูดอย่างจริงจังแล้วล่ะก็ ผู้วิเศษยังแข็งแกร่งกว่านายท่านฉื้ออวิ๋นในตอนนั้นอยู่เล็กน้อย เพราะถึงอ่างไรหลังจากผ่านสงครามรัฐโบราณถึงสองครั้ง บัดนี้ศาสตร์ลับและเคล็ดลับต่างๆ ก็มีมากมายขึ้น วิธีการรักษาชีวิตก็มากขึ้น ผู้วิเศษท่านนั้นก็ไม่ต้องการหอกมารเมฆาแดงนี้แล้ว เพราะเขาก็ได้หลอมสมบัติลับที่แข็งแกร่งซึ่งเหมาะสมกับตนเองมากกว่าขึ้นมาแล้ว
แต่ภายในรัฐโบราณก็ยังคงมีเทพจักรวาลคนอื่นอีกหลายคนที่ต้องการ
“ต้องได้มาอยู่ในมือให้ได้”
“ทว่าจะไปแย่งชิงอย่างโจ่งแจ้งมิได้” ฝานเทียนฉ่งครุ่นคิด “เพราะถึงอย่างไรเขาก็มีพลังระดับขั้นอลวนชั้นที่สิบ ประมุขรัฐเมฆทักษิณาจะต้องสั่งให้พลีชีพเพื่อปกป้องเขาแน่นอน”
รัฐเมฆทักษิณา มีจ้าวสามท่านและขั้นอลวนชั้นที่สิบซึ่งเป็นอ๋องที่ได้รับการแต่งตั้งรวมห้าท่าน พวกเขาเหล่านี้ล้วนแต่เป็นพลังรบที่สำคัญที่สุดภายใต้บังคับบัญชาของประมุขรัฐเมฆทักษิณาซึ่งต้องได้รับการปกป้องโดยไม่เสียดายอะไรทั้งสิ้น จึงไม่ยอมให้สกุลฝานไปแย่งชิงได้ง่ายๆ อยู่แล้ว
หากตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นเพียงโหวที่ได้รับการแต่งตั้งที่อ่อนแอคนหนึ่ง สกุลฝานก็คงแย่งชิงไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว
“ต้องคิดหาวิธีเสียหน่อยแล้ว” ฝานเทียนฉ่งพึมพำ
……
ภายในกระท่อมไม้ไผ่ซึ่งมีธารน้ำรายล้อมแห่งหนึ่ง
‘เฉี่ยนอีเสี่ยว’ สตรีอาภรณ์สีม่วงซึ่งเดิมทีกำลังปักผ้าอยู่อย่างสงบสะดุ้งอยู่ตรงนั้น นางตกใจจนเข็มปักผ้าในมือร่วงหล่นลงบนพื้น
“อะไรนะ” เฉี่ยนอีเสี่ยวไม่อยากจะเชื่อ
“พลังระดับขั้นอลวนชั้นที่สิบอย่างนั้นหรือ” เฉี่ยนอีเสี่ยวตกตะลึง ตระกูลเฉี่ยนอีของนางในนครหลวงรัฐเมฆทักษิณานั้นไม่มีพลังรบระดับชั้นที่สิบ ในคราวคับขันก็ต้องโยกย้ายยอดฝีมือมาจากในรัฐโบราณจันทร์บุปผา
พลังระดับชั้นที่สิบ…
ทั้งสี่รัฐมารทมิฬและทะเลสาบมารทมิฬก็ล้วนจัดเป็นยอดฝีมือระดับสุดยอด อย่างแม่เฒ่าอิงซานนั้นกล้าหักหน้าตระกูลเฉี่ยนอี ขั้นอลวนทั่วไปจะกล้าเสียที่ไหนกันเล่า
“อิงซานเสวี่ยอิงผู้นั้นแข็งแกร่งถึงเพียงนี้แล้วหรือ” เฉี่ยนอีเสี่ยวเลิกคิ้ว บัดนี้ตระกูลอิงซานมีขั้นอลวนระดับชั้นที่สิบถึงสองคนแล้ว นับจากนี้ไปกลยุทธ์ที่ใช้ปฏิบัติต่อตระกูลอิงซานต้องปรับเปลี่ยนใหม่เสียแล้ว
……
ระหว่างที่ตงป๋อเสวี่ยอิง ประมุขมารเมฆาขาวและค่ายกลรบขั้นอลวนชั้นที่เก้าทั้งสี่คนกำลังห้ำหั่นกันนั้น แต่ละฝ่ายก็วิเคราะห์พลังของตงป๋อเสวี่ยอิงโดยละเอียดตามภาพการต่อสู้ ไม่ว่าอย่างไรรัฐรอบด้านก็ล้วนเข้าใจว่า ยอดฝีมือขั้นอลวนชั้นที่สิบผู้ไร้เทียมทานถือกำเนิดขึ้นอีกคนแล้ว
ตอนที่ 46 ถอนกำลัง!
Ink Stone_Fantasy
ทางฝ่ายทะเลสาบมารทมิฬล้อมโจมตีตงป๋อเสวี่ยอิง ดูเหมือนจะครองความได้เปรียบ แต่อันที่จริงในใจกลับขมขื่นนัก
“ประมุขมาร เขาจ้องมองข้าโจมตีมาตลอด วิถีหอกนั่นพิสดารเกินไปแล้ว ร่างกายข้าเสียหายไปมากกว่าห้าส่วนแล้ว” ชายหนุ่มท่าทางเย็นชาคนหนึ่งถ่ายเสียงพูดอย่างร้อนรน
“ฟิ้ว”
หอกยาวในมือตงป๋อเสวี่ยอิงพลิกม้วน ราวกับมังกรตัวหนึ่ง อากาศรอบด้านบิดเบี้ยว หอกยาวราวกับมังกรเทวะที่เห็นหัวแต่มองไม่เห็นหาง บางครั้งหัวหอกก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศตรงหน้ามารร้ายขั้นอลวน
หอกหนึ่งแทงออกไป
แม้เหนือผิวกายจะมีค่ายกลรบป้องกันอยู่ แต่ที่แผ่นอกของชายหนุ่มท่าทางเย็นชากลับมีจุดหนึ่งที่เกิดจากบันไดน้ำวนรวมตัวกันอย่างน่าประหลาดปรากฏขึ้น ‘น้ำวนอากาศ’ ที่หมุนวนอยู่นี้ อันที่จริงแล้วคือเศษเสี้ยวของอากาศจำนวนนับไม่ถ้วนที่กำลังหมุนวนอยู่แล้วแทรกเข้าไปในร่างของชายหนุ่มท่าทางเย็นชา พร้อมทั้งพลิกหมุนและเชือดเฉือนร่างกายของเขา ต่อให้ร่างกายของเขาฟื้นฟูตนเองอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังคงสูญเสียพลังชีวิตไปบางส่วน
“เป็นวิถีหอกที่พิสดารนัก” ประมุขมารเมฆาขาวก็ร้อนรน “ก่อนหน้านี้พวกเซวี่ยฝูทั้งสี่คนรวมตัวกันเป็นค่ายกลรบก็ถูกวิถีหอกอันพิสดารเช่นนี้แทงทะลุค่ายกลรบแล้วสังหารขั้นอลวนที่อ่อนแอทั้งสามคนได้อย่างง่ายดาย คิดไม่ถึงว่าบัดนี้ขั้นอลวนชั้นที่เก้าทั้งสี่คน อานุภาพของค่ายกลรบตะยกระดับขึ้นเป็นอันมาก อานุภาพของวิถีหอกนี้ของเขายังคงสามารถแทรกซึมเข้าไปได้อย่างพอถูไถ ทั้งยังทำให้ ‘ยินฟู’ ได้รับบาดเจ็บอีกด้วย”
“ไป”
เงาร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงราวปีศาจ หอกยาวพลิกม้วน โจมตีออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า
ด้วยวิธีการทำให้อากาศบิดเบี้ยวของเขา คิดจะจากไปก็ทำได้ง่ายดายนัก ไยจึงต้องทุ่มเทโจมตีกลับต่อไปจนถูกล้อมโจมตีด้วยเล่าต้องบีบให้มารร้ายเหล่านี้ถอยไปอย่างแท้จริง มิเช่นนั้นหากตนหนีจากไปแล้ว บรรดามารร้ายก็จะสามารถเข่นฆ่าและบูชาโลหิตตามอำเภอใจต่อไปได้แล้ว
“มารเฒ่ายินฟูเป็นผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอที่สุดในบรรดาขั้นอลวนชั้นที่เก้าทั้งสี่คน! จากกระบวนท่า ‘ทะลุอากาศ’ ที่หอกเทพเมฆาแดงรับรู้นี้ แม้จะมีค่ายกลรบขัดขวาง แต่ก็แค่ทำให้อานุภาพอ่อนกำลังลงเพียงสามส่วนเท่านั้น อานุภาพที่เหลืออีกเจ็ดส่วนก็ทำให้มารเฒ่ายินฟูได้รับบาดเจ็บอย่างต่อเนื่อง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ “เขาต้านทานเอาไว้ไม่ได้นานสักเท่าใดหรอก”
น่าเสียดาย
ตามกระบวนท่าทั้งห้าที่รับรู้จากหอกเทพเมฆาแดงนั้น นอกจาก ‘บริเวณเมฆาแดง’ จะสามารถสำแดงพลังรบระดับขั้นอลวนชั้นที่สิบออกมาได้แล้ว กระบวนท่าอื่นๆ ก็ล้วนแต่เป็นชั้นที่เก้าระดับยอด
หากอานุภาพของกระบวนท่า ‘ทะลุอากาศ’ นี้ บรรลุถึงชั้นที่สิบด้วยแล้วล่ะก็ เกรงว่าเพียงหนึ่งหอก มารเฒ่ายินฟูผู้นั้นก็ต้องบาดเจ็บสาหัส สามหอกก็เพียงพอที่จะทำลายชีวิตของเขาได้แล้ว! เกรงว่าบรรดามารเฒ่าเหล่านี้คงจะหนีไปในเวลาไม่นานนัก
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไม่สนใจว่าศัตรูยากจะโรมรันด้วยอีกต่อไป แต่กลับมองว่านี่คือโอกาสอันหาได้ยาก เพราะถึงอย่างไรการสู้สุดชีวิตท่ามกลางความเป็นความตายเช่นนี้ก็หาได้ยากมาก จึงมีประโยชน์ต่อการเคี่ยวกรำวิถีหอกเป็นอย่างมาก
ระหว่างที่ห้ำหั่นอยู่นั้น เขาจึงสามารถรับรู้ความเร้นลับต่างๆ ของวิถีหอกได้ชัดแจ้งมากขึ้น
“ร่างกายข้าได้รับบาดเจ็บเกินเจ็ดส่วนแล้ว” มารเฒ่ายินฟูถ่ายเสียงพูดด้วยความร้อนรน
“ฆ่าเขามิได้”
“บริเวณของเขารับมือยากเกินไปแล้ว วิถีหอกก็ร้ายกาจเกินไป”
มารเฒ่าคนอื่นๆ ก็ร้อนใจขึ้นมา
พวกเขาก็พยายามทุกวิถีทาง ใช้วิธีต่างๆ ร่วมมือกับประมุขมารเมฆาขาว คิดจะพยายามจัดการอิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้ให้ได้โดยเร็วที่สุดก่อนที่มารเฒ่ายินฟูจะต้านทานเอาไว้ไม่ไหว
“หรือจะพ่ายแพ้แล้ว” ประมุขมารเมฆาขาวมองชายหนุ่มอาภรณ์ขาวที่เค้าร่างเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร้ที่สิ้นสุดตรงหน้าผู้นี้ก็พอจะเข้าใจรางๆ ว่า ต่อให้มีค่ายกลรบช่วยล้อมโจมตีก็เอาชนะมิได้ แค่เขาเพียงคนเดียวก็ยิ่งเอาชนะมิได้เข้าไปใหญ่
อันที่จริงโดยทั่วไปหากพลังบรรลุถึงขั้นอลวนชั้นที่สิบระดับยอด ข้าก็ทำอะไรเจ้ามิได้ เจ้าก็ทำอะไรข้ามิได้เช่นเดียวกัน
ยามนี้ก็ต้องประชันศาสตร์ลับแล้ว
ยิ่งเป็นศาสตร์ลับที่ร้ายกาจมากเท่าไหร่…วิธีการก็ยิ่งยอดเยี่ยมมากขึ้นเท่านั้น
“เดิมทีเห็นว่าอิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้บำเพ็ญเป็นระยะเวลาสั้นนัก ทั้งยังรังแกเพราะพลังของเขายังไม่สมบูรณ์แบบ คิดไม่ถึงว่ายังคงล้มเหลวอยู่ดี” ประมุขมารเมฆาขาวลอบทอดถอนใจ ‘บริเวณเมฆาแดง’ หนึ่งในกระบวนท่าของขั้นอลวนชั้นที่สิบก็ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ในตำแหน่งที่ไม่พ่ายแพ้แล้ว การที่นายท่านฉื้ออวิ๋นมีชื่อเสียงเรื่อง ‘ไม่เกรงกลัวการต่อสู้เป็นกลุ่มและบริเวณอากาศอันเยี่ยมยอด’ แน่นอนว่าย่อมมีเหตุผล
แน่นอนว่าวิชาที่ทำลายเคล็ดลับของ ‘บริเวณเมฆาแดง’ ก็มีเช่นเดียวกัน แต่กลับมิใช่สิ่งที่ประมุขมารเมฆาขาวมีคุณสมบัติพอจะศึกษาได้
“ข้าต้านทานเอาไว้ไม่ได้แล้ว ทนไม่ไหวแล้ว” มารเฒ่ายินฟูถ่ายเสียงพูดอย่างร้อนรน
“เอาเถอะ”
มารร้ายอีกสามตนก็มิได้คัดค้าน
ประมุขมารเมฆาขาวก้าวขึ้นไปข้างหน้าแล้วโบกมือคราหนึ่ง มือเมฆหมอกขนาดมหึมาปกคลุมพวกเขาทั้งสี่เอาไว้ พวกเขาทั้งสี่ก็มิได้ต่อต้าน จึงถูกเก็บลงไปในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ทันที
“เจ้าลัทธิ ทำอย่างไรดี”
ประมุขมารเมฆาขาวติดต่อ ‘เจ้าลัทธิมารโลหิต’ เจ้าลัทธิอันดับสามแห่งทะเลสาบมารทมิฬทันที
ทะเลสาบมารทมิฬแบ่งออกเป็นสามสำนักใหญ่ เจ้าลัทธิทั้งสาม แต่ละคนล้วนเป็นมารร้ายตัวฉกาจอันน่าหวาดหวั่นซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วดินแดนจิตโลกา หกรัฐโบราณก็ยากที่จะกำจัดได้ ประมุขมารเมฆาขาวก็อยู่ในสำนักของ ‘เจ้าลัทธิมารโลหิต’
“อิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้ควบคุมอากาศได้ร้ายกาจอย่างยิ่ง เขาสามารถพัวพันร่างจริงของข้าได้! ข้าส่งร่างแปรลงไปกวาดล้างทั่วทิศ…แต่เขาก็สามารถส่งร่างแปรลงไปทั่วทิศแล้วเก็บชาวบ้านจำนวนนับไม่ถ้วนลงไปในคูหาสวรรค์สมบัติล้ำค่าอย่างรวดเร็วได้เช่นเดียวกัน นอกจากนี้โหวหั่วเลี่ยผู้นั้นและคนอื่นๆ ก็ต้องถูกปล่อยออกมาให้ช่วยกันเก็บชาวบ้านจำนวนนับไม่ถ้วนลงไปด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ เกรงว่ากองกำลังขั้นรวมเป็นหนึ่งที่ข้านำมาเหล่านั้นคงจะต้องถูกสังหารไปกว่าครึ่ง”
“หากถอนกำลัง อิงซานเสวี่ยอิงผู้นั้นก็คงจะรู้จักการรุกและถอย คงไม่บีบบังคับข้าและคนอื่นๆ หรอกกระมัง”
ประมุขมารเมฆาขาวถามเจ้าลัทธิ
เนื่องจากยามนี้มิอาจควบคุมขวดมารบูชาโลหิตได้ ต่อให้กวาดล้างไป ก็เพียงเพื่อ ‘ระบายความโกรธ’ เท่านั้น แต่เนื่องจากอิงซานเสวี่ยอิงควบคุมอากาศได้ร้ายกาจยิ่งกว่า เขาจึงเกรงว่าคงทำได้เพียงกวาดล้างชาวบ้านในตัวเมืองได้เพียงส่วนน้อยนิดเท่านั้น
“ถอนกำลัง” เจ้าลัทธิมารโลหิตให้คำตอบ
“ขอรับ”
ประมุขมารเมฆาขาวรับบัญชาทันที
“ถอนกำลัง!”
เขาออกคำสั่ง ถ่ายเสียงให้ผู้ใต้ยังคับบัญชาทั้งปวง
“ขอรับ”
กองกำลังมารร้ายขั้นรวมเป็นหนึ่งทั้งหลายที่กระจายตัวกันอยู่แต่ละส่วนของเมืองอัคคีโชติเริ่มเคลื่อนที่ในพริบตาล่าถอยไปทันที กองกำลังมารร้ายขั้นรวมเป็นหนึ่งเหล่านี้เคลื่อนที่ในพริบตาเป็นระยะทางค่อนข้างสั้น การถอนกำลังย่อมช้ากว่าบ้างเป็นธรรมดา
เมื่อประมุขมารเมฆาขาวหยุดมือลง
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็หยุดมือลงเช่นกัน เขายืนกุมหอกยาวอยู่เหนือกองซากปรักหักพังอันยุ่งเหยิง
“อิงซานเสวี่ยอิง คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าการบูชาโลหิตที่ข้าเป็นผู้ดำเนินการในครั้งนี้จะล้มเหลวด้วยน้ำมือเจ้า” ประมุขมารเมฆาขาวยิ้ม “มียอดฝีมือขั้นอลวนชั้นที่สิบคนหนึ่งสอดมือเข้ามายุ่งเกี่ยว การบูชาโลหิตจะล้มเหลวก็สมควรแล้ว”
ในประวัติศาสตร์ ทะเลสาบมารทมิฬกวาดล้างตัวเมืองต่างๆ เพื่อบูชาโลหิตครั้งแล้วครั้งเล่า
เมื่อจำนวนครั้งเพิ่มมากขึ้น บางครั้งก็พบความยุ่งยากอยู่บ้าง เช่นยอดฝีมือขั้นอลวนชั้นที่สิบบางคนพำนักอยู่ในเมืองนั้นชั่วคราวพอดี หรือเทพจักรวาลของหกรัฐโบราณบางคนผ่านมาพอดี เพื่อรักษาหน้าตนเองจึงไม่ยอมก้มหัว ย่อมต้องสอดมือเข้ายุ่งเกี่ยวเป็นธรรมดา
ดังนั้นบางครั้งการบูชาโลหิตก็ล้มเหลว
“เจ้าเป็นคนของสี่รัฐมารทมิฬ ข้าเป็นคนของทะเลสาบมารทมิฬ ในภายหน้าต้องมีโอกาสประมือกันอีก” ประมุขมารเมฆาขาวพูดยิ้มๆ
ฟิ้ว
ร่างกายของเขาพลันอันตรธานไป
จากนั้นเมฆหมอกจำนวนนับไม่ถ้วนบนกำแพงเมืองอัคคีโชติก็พลันรวมตัวกัน เงาร่างของประมุขมารเมฆาขาวปรากฏขึ้นอีกครา กองกำลังมารร้ายขั้นรวมเป็นหนึ่งทั้งหลายก็ไปรวมตัวกันที่นั่นอย่างรวดเร็ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูอยู่ห่างๆ ส่วนที่สำคัญที่สุดที่ยังหลงเหลืออยู่ของตำหนักทิพย์เมฆทักษิณาด้านข้างก็คือโถงตำหนักนั้นเปิดออก ฉุนอวี้เว่ยอีและคนอื่นๆ เดินออกมาจากในนั้น พวกเขาก็ทอดสายตามองออกไปไกล ความกลัวยังคงหลงเหลืออยู่
“ยังดีที่มิได้คลุ้มคลั่ง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ
หากอีกฝ่ายกวาดล้างเพื่อระบายอารมณ์โกรธแล้วล่ะก็ เกรงว่าชาวเมืองอัคคีโชติคงต้องตายไปกว่าครึ่ง แม้ตนจะสามารถสังหารกองกำลังมารร้ายขั้นรวมเป็นหนึ่งไปได้หลายคนเช่นเดียวกัน แต่เห็นได้ชัดว่าตงป๋อเสวี่ยอิงมิชอบผลเช่นนี้สักเท่าใดนัก
……
ภายในพระราชวังอันโอ่โถงแห่งหนึ่งของทะเลสาบมารทมิฬ
เจ้าลัทธิทั้งสามนั่งอยู่บนตำแหน่งอันสูงส่ง
“ฮ่าฮ่า น้องสาม การบูชาโลหิตที่เจ้ารับผิดชอบล้มเหลวเสียแล้ว” บุรุษชุดดำวัยกลางคนพูดพลางหัวเราะเสียงเบา ด้วยสถานะของพวกเขาแล้ว ก็ดูเหมือนจะไม่สนใจการได้เสียเล็กๆ น้อยๆ สักเท่าใดนัก เพราะมียอดฝีมือขั้นอลวนชั้นที่สิบคนหนึ่งสอดมือยุ่งเกี่ยวจนนำไปสู่ความล้มเหลว ก็ไม่นับว่าเสียหน้าสักเท่าใดนัก
“น้องสามอารมณ์เย็นนัก มิได้ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาลงมือกวาดล้างเลยหรือนี่” ชายชราที่ยิ้มจนตาหยีทางด้านซ้ายก็พูดยิ้มๆ
“พี่ใหญ่ พี่รอง”
บุรุษอาภรณ์เขียวที่ซีดเซียวเหมือนคนป่วยก็พูดพลางยิ้มเจื่อนๆ ว่า “ในเมื่อล้มเหลวแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องทำการกวาดล้างนั่นอีก”
“น้องสามช่างเมตตา” บุรุษชุดดำวัยกลางคนพูดประโยคหนึ่ง เขาเข้าใจดีว่าความเมตตาของน้องสามของตนนั้นมิได้พุ่งเป้าไปที่ผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนเหล่านั้น หากแต่เป็นกองกำลังมารร้ายขั้นรวมเป็นหนึ่งทั้งหลายต่างหาก
แม้พวกเขาเจ้าลัทธิทั้งสามจะชอบให้ท้าย เพราะต้องให้ท้ายจึงจะทำให้เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชายินดีติดตาม
แต่ระดับการให้ท้ายก็แตกต่างกันออกไป ในบรรดาเจ้าลัทธิทั้งสาม ‘เจ้าลัทธิมารโลหิต’ นั้นชอบให้ท้ายที่สุด
“อิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้มีบริเวณที่ร้ายกาจมากอย่างนั้นหรือ”
“ิวิถีหอกก็ร้ายกาจ จนสามารถทำลายค่ายกลรบได้อย่างนั้นหรือ”
ภายในโถงตำหนักแห่งนี้ เทพจักรวาลและบรรดาประมุขมารคนอื่นๆ พากันวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นานา
……
ภายในวังหลวงแห่งรัฐเมฆทักษิณา
ประมุขรัฐเมฆทักษิณามองดูความเป็นไปของการต่อสู้ มองดูมารร้ายทางฝ่ายประมุขรัฐเมฆาขาวพากันล่าถอยไป ใบหน้าก็ฉายรอยยิ้มออกมา “ฮ่าฮ่าฮ่า ชาวบ้านจำนวนนับไม่ถ้วนของเมืองอัคคีโชติแห่งนี้ ต้องขอบคุณอิงซานเสวี่ยอิงแล้ว เขาช่วยเหลือเมืองแห่งนี้เอาไว้ และรักษาหน้าของรัฐเมฆทักษิณาเราเอาไว้ได้”
ตอนที่ 47 ความในใจ
Ink Stone_Fantasy
“การบูชาโลหิตของทะเลสาบมารทมิฬในครั้งนี้ล้มเหลว พวกเขาจากไปไกลลิบๆ แล้ว ช่างสุขสราญจริงเชียว” จ้าวฉุนอวี้ก็พูดพลางหัวเราะฮ่าฮ่า
จ้าวทานเผิงที่อยู่อีกด้านหนึ่งกลับหัวเราะจนตาหยี “ก่อนหน้านี้อิงซานเสวี่ยอิงเก็บตัวบำเพ็ญมาโดยตลอด แลละไม่สามารถรวบรวมวัสดุล้ำค่าได้มากพอ ตามที่ท่านอาจารย์พูดก่อนหน้านี้ ร่างเมฆทักษิณาทิพย์ของอิงซานเสวี่ยอิงเป็นเพียงแค่ระดับชั้นที่แปดเท่านั้น แต่เขากลับสามารถสำแดง ‘อากาศผุยผง’ ออกมาได้ เห็นได้ชัดว่าเข้าถึงกระบวนท่าระดับชั้นที่เก้านี้แล้ว ทั้งยังมิได้อาศัยพลังของร่างเมฆทักษิณาทิพย์อีกด้วย หากแต่รู้แจ้งกระบวนท่านี้จริงๆ เห็นทีด้วยระดับขั้นของเขา เมื่อร่างเมฆทักษิณาทิพย์บรรลุถึงชั้นที่สิบจนครบสมบูรณ์แล้ว ก็คงมีหวังที่จะเข้าถึงเคล็ดสืบทอดลับสองกระบวนท่าด้วย”
“ใช่”
“ถูกต้อง”
แต่ละคนในที่นั้นพากันพยักหน้า
อาศัยร่างเมฆทักษิณาทิพย์ การเข้าถึงกระบวนท่าในระดับเดียวกันก็สบายขึ้นนับสิบเท่า และนี่ก็คือเหตุผลที่ศาสตร์ลับนี้เผยแพร่ออกไปได้อย่างกว้างขวาง
ประมุขรัฐเมฆทักษิณามีสายตาเฉียบคมระดับใด เพียงมองปราดเดียวก็ตัดสินได้แล้วว่า ร่างเมฆทักษิณาทิพย์ของตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นเพียงระดับแปดเท่านั้น
“สามารถเข้าถึง ‘อากาศผุยผง’ และ ‘ดาบจิตโลกา’ ทั้งสองกระบวนท่านี้ได้โดยไม่อาศัยร่างทิพย์” นัยน์ตาลึกล้ำของประมุขรัฐเมฆทักษิณาแฝงไว้ด้วยความพึงพอใจ เขาเอ่ยชมว่า “นอกจากนี้บริเวณอากาศที่เขาสำแดงออกมาก็น่าจะเป็นสิ่งที่รับรู้จากสมบัติลับหอกเทพเล่มนั้น พลังรบก็สามารถบรรลุถึงชั้นที่สิบได้อีกด้วย วิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่ามีคำชี้แนะโดยละเอียด สำหรับเขาแล้วระดับความยากก็คงจะต่ำกว่า ทันทีที่ร่างทิพย์ครบสมบูรณ์ จะเข้าถึงเคล็ดสืบทอดลับสองกระบวนท่าก็น่าจะรวดเร็วแล้ว”
“ยินดีกับท่านอาจารย์ด้วยขอรับ” จ้าวทานเผิงกล่าว “ต่อไปข้าก็จะมีศิษย์น้องเล็กที่เก่งกาจคนหนึ่งแล้ว”
จ้าวคนอื่นๆ และอ๋องที่ได้รับการแต่งตั้งคนอื่นในที่นั้นได้ยินแล้วก็ลอบร่ำร้องในใจทันทีว่าจ้าวทานเผิงผู้นี้มีปฏิกิริยาฉับไวนัก
“อิงซานเสวี่ยอิงเป็นถึงผู้มีพรสวรรค์ไร้เทียมทานทางสายอากาศ หากคารวะเข้าอยู่ในสำนักของประมุขรัฐ เกรงว่าคงมีหวังจะสำเร็จเป็นเทพจักรวาลได้”
“หากพูดถึงทางสายอากาศแล้ว เมื่อทอดสายตามองไปทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา ผู้ที่สามารถเทียบกับประมุขรัฐได้ก็มีน้อยเสียจนยกนิ้วนับได้ อิงซานเสวี่ยอิงสามารถคารวะเข้าอยู่ในสำนักของประมุขรัฐได้ก็นับว่าเป็นเกียรติของเขาแล้ว”
“ยินดีกับประมุขรัฐด้วย”
แต่ละคนกล่าวขึ้นมา
แม้แต่แม่เฒ่าอิงซานก็แสดงความยินดีอยู่ข้างๆ ด้วยเช่นเดียวกัน พวกเขาล้วนแต่มองออกว่า ประมุขรัฐเมฆทักษิณามีรอยยิ้มระบายเต็มหน้า เห็นได้ชัดว่ามีความสุขกับเรื่องนี้เป็นอันมาก
ประมุขรัฐเมฆทักษิณายิ้มน้อยๆ “ฮ่าฮ่า อาจารย์เลือกศิษย์ ศิษย์ก็เลือกอาจารย์เช่นเดียวกัน ข้ามีใจอยาก แต่ก็ต้องดูความคิดของอิงซานเสวี่ยอิงด้วยเช่นกัน! เพราะถึงอย่างไรศึกนี้ เกรงว่ารัฐรอบด้านก็คงทราบเรื่องเช่นกัน อย่างรัฐโบราณคิมหันตวายุก็ต้องล่วงรู้ ก็ต้องมีคนมารับเขาเป็นศิษย์อย่างหลีกเลี่ยงมิได้เช่นกัน”
แม่เฒ่าอิงซานรู้แจ้งแก่ใจดี นางกล่าวขึ้นทันทีว่า “ท่านประมุขรัฐ ข้าจะไปถามเจ้าเด็กเสวี่ยอิงผู้นั้นว่าเขาคิดเห็นอย่างไรบ้าง”
“จะไปบังคับมิได้ล่ะ” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาเอ่ยขึ้นประโยคหนึ่ง
บำเพ็ญหนึ่งพันห้าร้อยล้านปี บัดนี้ก็มีพลังรบระดับขั้นอลวนชั้นที่สิบแล้ว ยอดฝีมือผู้มีพรสวรรค์ไร้เทียมทานเช่นนี้ ไม่ว่าจะอยู่ในรัฐโบราณแห่งใดในหกรัฐโบราณ ก็สามารถถูกรับเข้าสู่ระดับหัวใจสำคัญของขุมอำนาจใหญ่ที่สุดได้แล้ว
……
สี่รัฐมารทมิฬต่างก็ใส่ใจการบูชาโลหิตของทะเลสาบมารทมิฬเป็นที่สุด
รัฐประกายเพลิง รัฐวอเฟิงและรัฐเพรียกหิมะส่องดูผ่านกระจกยลฟ้าอยู่ห่างๆ
“เฮอะ ประมุขรัฐเมฆทักษิณาผู้นั้นก็โชคดีเกินไปแล้ว เหตุใดรัฐเพรียกหิมะของข้าจึงไม่มียอดฝีมือผู้เปี่ยมพรสวรรค์เช่นนี้ถือกำเนิดขึ้นมาบ้างเล่า โอกาสที่จะบ่มเพาะจนสำเร็จเป็นเทพจักรวาลได้นั้นสูงนัก ถึงตอนนั้นก็มีผู้ช่วยเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่งแล้ว” ประมุขรัฐเพรียกหิมะนั่งขัดสมาธิอยู่บนบัลลังก์หยก ตรงกลางโถงตำหนักมีหลุมลึกขนาดมหึมาอยู่หลุมหนึ่ง ในนั้นมีอสรพิษและแมลงพิษจำนวนมากกัดกินอยู่ภายใน
ประมุขรัฐเพรียกหิมะโยนสมบัติล้ำค่าของฟ้าดินลงไปบ้างเป็นครั้งคราว เพื่อทำให้พิษภายในหลุมลึกนั้นบ้าคลั่งมากยิ่งขึ้น
……
“สถานที่เล็กๆ อย่างรัฐเมฆทักษิณานั่นก็มียอดฝีมือผู้ไร้เทียมทานเช่นนี้เกิดขึ้นมาได้ด้วยหรือนี่ หนึ่งพันห้าร้อยล้านปีก็บรรลุขั้นอลวนชั้นที่สิบแล้วหรือ” ภายในรัฐโบราณคิมหันตวายุ นอกจากสามตระกูลใหญ่ที่มีสถานะเหนือธรรมดาที่สุดแล้ว ก็มีตระกูลอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งตระกูลเหล่านี้ มีหลายตระกูลที่พึ่งพิงสามตระกูลใหญ่ หากพูดถึงพลังแล้ว บางตระกูลก็ไม่แพ้ทั้งรัฐเมฆทักษิณาเลย จึงย่อมมีความรู้สึกว่าเหนือกว่ารัฐเมฆทักษิณาเป็นธรรมดา
ผู้ที่สามารถทำให้พวกเขาเห็นอยู่ในสายตาได้มีไม่มากนัก โดยทั่วไปผู้ที่บรรลุถึงขั้นอลวนชั้นที่สิบอย่างแม่เฒ่าอิงซานจึงจะสามารถได้รับความเคารพขากพวกเขา ส่วน ‘ประมุขรัฐเมฆทักษิณา’ น่ะหรือ ถึงอย่างไรก็เป็นหนึ่งในสิบเจ้าสำนักใหญ่แห่งดินแดนจิตโลกา ภายในหกรัฐโบราณก็มีผู้บำเพ็ญมากมายที่เคารพประมุขรัฐเมฆทักษิณาเป็นอันมาก
ตงป๋อเสวี่ยอิงโผล่ออกมาในครั้งนี้ ก็ย่อมดึงดูดความสนใจมากมายเป็นธรรมดา ความเร็วในการบำเพ็ญเช่นนี้ ก็มีคุณสมบัติพอจะจัดอยู่ในยี่สิบอันดับแรกในประวัติศาสตร์ของรัฐโบราณคิมหันตวายุได้แล้ว
******
ณ เมืองอัคคีโชติ
แม้ภายในจวนโหวจะเพิ่งผ่านการกวาดล้างมาหมาดๆ ทั้งจวนก็มีผู้ที่บาดเจ็บล้มตายไปบ้าง แต่ถึงอย่างไรเป็นล้านล้านปี ทางสายนี้ก็มีลูกหลานผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันนับล้านล้านคน บัดนี้จะล้มตายไปบ้าง ก็เป็นเพียงจำนวนน้อยนิดเท่านั้น มีเพียงญาติสนิทมิตรสหายของผู้ที่ตายจากไปเท่านั้นที่รู้สึกโศกเศร้า บรรยากาศทั้งจวนโหวกลับคึกคักเป็นอันมาก ลูกหลานจำนวนนับไม่ถ้วนพากันตื่นเต้นยินดีไปกับพลังที่ล้ำเลิศหาใดเปรียบของ ‘อิงซานเสวี่ยอิง’
“ได้ยินมาว่าคุณชายเสวี่ยอิงจะได้รับการแต่งตั้งเป็นอ๋องแล้ว”
“ได้รับการแต่งตั้งเป็นอ๋องหรือ มิได้บอกว่าได้รับการแต่งตั้งเป็นโหวหรอกหรือ”
“บุกฝ่าวังปฐมเทพ ชั้นที่เก้าก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นอ๋องได้แล้ว คุณชายเสวี่ยอิงต้องได้รับการแต่งตั้งเป็นอ๋องแน่นอน เจ้ารู้หรือไม่ว่าคู่ต่อสู้ของคุณชายเสวี่ยอิงในศึกใหญ่ก่อนหน้านี้คือผู้ใดกัน เป็นประมุขมารคนหนึ่งของทะเลสาบมารทมิฬเชียวนะ!”
“ประมุขมารหรือ”
“ประมุขมารของทะเลสาบมารทมิฬหรือ”
แต่ละแห่งวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา บางครั้งก็มีเสียงอุทานด้วยความตื่นตกใจ
สิ่งมีชีวิตระดับประมุขมาร ผู้ที่พอจะได้พบเห็นอะไรในสี่รัฐมารทมิฬมาบ้าง ก็ล้วนเคยได้ยินถึงความน่ากลัวของ ‘ประมุขมาร’ มาด้วยกันทั้งนั้น! ประมุขมารไม่ว่าคนใดก็ล้วนสามารถกวาดล้างเมืองหนึ่งได้อย่างง่ายดาย สร้างหายนะไปทั่วสารทิศ อย่างหลายคนที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นอ๋อง เมื่ออยู่ต่อหน้าประมุขมารก็สามารถสลายไปได้เพียงพลิกฝ่ามือ! แต่คุณชายเสวี่ยอิงก็ยังสามารถสู้กับประมุขมารคนหนึ่งได้อย่างนั้นหรือ
ช่างน่าเหลือเชื่อเสียจริง!
“ข้าถือเอาคุณชายเสวี่ยอิงเป็นเป้าหมายมาโดยตลอด ทว่าบัดนี้เป้าหมายนี้ก็สูงเกินไปแล้ว” ตอนที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเพิ่งเกิดมานั้น หลังจากลูกหลานตระกูลอ๋องโหวจำนวนมากในเมืองอัคคีโชติล่วงรู้เข้าก็ไม่ยอมจำนน รู้สึกว่าเจ้าเกิดมามีพรสวรรค์สูงส่งแล้วอย่างไรเล่า ข้าก็สามารถบำเพ็ญจนเหนือกว่าเจ้าได้เช่นกัน แต่มาบัดนี้ พวกเขาก็ไม่มีความคิดเช่นนี้อีกต่อไป
เมื่อแตกต่างกันมากจนเทียบไม่ติดแล้ว ก็ไม่มีความริษยาอีกต่อไป ไร้ซึ่งจิตคิดเปรียบเทียบ มีแต่ความคาดหวังเท่านั้น
ใช้กำลังสู้กับประมุขมารอย่างนั้นหรือ
ประมุขมารนั้นสามารถห้ำหั่นกับเทพจักรวาลได้ คุณชายเสวี่ยอิงสามารถทำได้ถึงขั้นนี้เชียวหรือ น่าเหลือเชื่อ! ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ!
……
ด้านนอกวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆนานา
ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับทานอาหารเป็นเพื่อนบิดามารดาและพี่สาวพลางสนทนากันก่อน จากนั้นก็มาสงบใจอยู่ที่ศาลาข้างทะเลสาบเพียงลำพัง
เขานั่งอยู่ในศาลา วางหอกยาวไว้บนตัก ตงป๋อเสวี่ยอิงหลับตาทำสมาธิ ทบทวนเรื่องศึกครั้งนี้
แม้โลกภายนอกจะคึกคัก ว่ากันว่ามีผู้มามอบของกำนัลมากมายนัก มีหลายตระกูลในรัฐเมฆทักษิณาที่มามอบของกำนัลแสดงความยินดีที่ตงป๋อเสวี่ยอิงจะได้รับการแต่งตั้งเป็นอ๋อง! แม้จะยังมิได้รับแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ แต่ทุกคนก็รู้ว่า…นี่เป็นเรื่องแน่นอนดั่งปักหมุดเอาไว้
แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิได้ไปพบด้วยตนเองเช่นเดียวกันทั้งหมด
บัดนี้ด้วยพลังและสถานะของเขา ก็มีคุณสมบัติจะทำเช่นนี้ได้
ที่เขาไม่ไปพบ…ก็เพราะเขาอารมณ์ไม่สู้ดีนัก ครั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นคนของจวนโหวเอง หรือชาวเมืองอัคคีโชติจำนวนนับไม่ถ้วนก็บาดเจ็บล้มตายไปมากมายอย่างยิ่งจริงๆ แม้เมื่อเทียบกับจำนวนประชากรรวมทั้งเมืองอัคคีโชติแล้ว อาจจะเป็นเพียงหนึ่งในพันเท่านั้น แต่เมื่อคิดว่าประชากรรวมทั้งเมืองมีจำนวนมากมาย ก็ยังมีผู้ที่บาดเจ็บล้มตายไปมากทีเดียว เพราะถึงอย่างไรกองกำลังมารร้ายขั้นรวมเป็นหนึ่งนั้น แต่ละคนลงมือสังหารครั้งหนึ่งก็มากมายก่ายกอง…
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็อยากจะสังหารกองกำลังมารร้ายเหล่านั้น แต่หากทำเช่นนั้นก็เกรงว่าจะทำให้ประมุขมารเมฆาขาวโกรธขึ้นมาจริงๆ และประมุขมารเมฆาขาวก็คงจะกวาดล้างอย่างบ้าคลั่ง
“เอ๊ะ” ทันใดนั้นใจของตงป๋อเสวี่ยอิงก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างจึงหันกลับไปมอง
ไม่นานนักกลางอากาศก็มีเงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้น เป็นแม่เฒ่าอิงซานนั่นเอง
“เสวี่ยอิง” แม่เฒ่าอิงซานพูดพลางหัวเราะฮิฮิ ก่อนหน้านี้นางเรียกว่า ‘เจ้าหนูเสวี่ยอิง’ แต่ด้วยพลังของเขาในตอนนี้ ย่อมทำให้แม่เฒ่าอิงซานตัดคำว่า ‘เจ้าหนู’ ออกไปเป็นธรรมดา
“ท่านบรรพชน” ตงป๋อเสวี่ยอิงรีบยืดกายขึ้น เขาเคารพแม่เฒ่าอิงซานเป็นอันมาก
“ครั้งนี้เจ้าทำเอาข้าตกอกตกใจไปหมด” แม่เฒ่าอิงซานพูดยิ้มๆ “ข้ากับท่านประมุขรัฐและจ้าวทั้งสาม รวมทั้งอ๋องที่ได้รับการแต่งตั้งทั้งหลายได้ชมดูทุกสิ่งที่เกิดขึ้นภายในเมืองอัคคีโชติผ่านกระจกยลฟ้า คิดจะช่วยเหลือ แต่กลับมิอาจยื่นมือเข้าช่วยได้เลย ทำได้เพียงร้อนใจเท่านั้น ทว่าเมื่อเห็นเจ้าลงมือ…ก็ทำเอาข้าผวาไปหมด”
“ต้องยกความดีความชอบให้กับหัวหอกที่ท่านบรรพชนช่วยข้าซื้อมาเลยขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “มิเช่นนั้นแล้วครั้งนี้ข้าจะต้องมิใช่คู่ต่อสู้ของประมุขมารเมฆาขาวอย่างแน่นอน”
หากไม่มีหัวหอก
แม้อักขระลับบนด้ามหอกจะครองพื้นที่มากถึงเก้าส่วน แต่ถึงอย่างไรก็บกพร่อง ความยากในการรับรู้ก็พุ่งทะยานสูงขึ้นเป็นอันมาก ตนต้องไม่มีทางยกระดับบริเวณเมฆาแดงจนมีอานุภาพเช่นนี้ได้อย่างแน่นอน เพราะถึงอย่างไรกระบวนท่านี้ก็เป็นสิ่งที่ตนเข้าถึงหลังออกจากการเก็บตัวได้ไม่นานนัก
“คุ้มค่า คุ้มค่าเกินไปแล้ว” แม่เฒ่าอิงซานกล่าว “หอกยาวของเจ้าเล่มนั้นเป็นอาวุธของนายท่านฉื้ออวิ๋นอย่างนั้นหรือ”
“ขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า “หอกยาวเล่มนั้นขาดหัวหอกไป ตอนแรกที่ข้าไปเดินเล่นในชุมชนของล้ำค่าแห่งนครหลวง ข้าก็เกิดการรับรู้ขึ้นมาแล้วพบหัวหอกนั้นเข้า”
“มิน่าเล่า” แม่เฒ่าอิงซานกระจ่างแจ้ง จากนั้นก็เอ่ยขึ้นว่า “ใช่แล้ว ประมุขรัฐมีคำสั่งลงมาแล้ว ว่าสามวันให้หลังจะแต่งตั้งเจ้าอย่างเป็นทางการ”
“ขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า นี่ก็อยู่ในการคาดการณ์ของเขา
“นอกจากนี้ ประมุขรัฐยังตั้งใจจะรับเจ้าเป็นศิษย์อีกด้วย” แม่เฒ่าอิงซานพูดเรื่องสำคัญที่สุดออกมา “นี่จะเป็นศิษย์ถ่ายทอดเอง จนถึงบัดนี้ ประมุขรัฐเพิ่งจะรับศิษย์ทั้งหมดห้าคนเท่านั้น หากเจ้าคารวะเขาเป็นอาจารย์ก็จะเป็นศิษย์คนที่หก ศิษย์ถ่ายทอดเองนั้นไม่เหมือนกัน เมื่อคารวะอาจารย์แล้ว ก็จะได้รับมอบสิ่งต่างๆ มากมาย”
ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังแล้วหัวใจก็หวั่นไหวขึ้นมา
ประมุขรัฐเมฆทักษิณารับศิษย์อย่างนั้นหรือ
ว่ากันว่า ขอเพียงคารวะเป็นอาจารย์ ประมุขรัฐเมฆทักษิณาก็จะถ่ายทอดศาสตร์ร่างแยก ซึ่งเป็นเคล็ดลับรักษาชีวิตระดับยอดสุดซึ่งมีมูลค่าเหนือกว่ายุทธวิธีเมฆาแดงอันสมบูรณ์เสียอีกให้ทันที
ตอนที่ 48 การเรียกตัวของสกุลฝาน
Ink Stone_Fantasy
“ศาสตร์ร่างแยก” ตงป๋อเสวี่ยอิงตั้งตารอคอยเป็นอันมาก
เขามิอาจละทิ้งดินแดนจิตโลกาไปได้ เพราะถึงอย่างไรที่นี่ก็มียอดฝีมือมากมายดุจเมฆ คัมภีร์ศาสตร์ลับก็มากมาย เมื่อบำเพ็ญอยู่ที่นี่จะต้องมีตัวช่วยมากมายอย่างแน่นอน แต่หลังจากสำเร็จเป็นเทพจักรวาลแล้ว เขาก็อยากกลับไปยังอากาศอันสับสนอลหม่านบ้านเกิดเป็นอันมาก เพราะเขากลัวว่าหากเวลาผ่านไปนานเข้า อากาศอันสับสนอลหม่านอาจจะเกิดความวุ่นวายใหญ่หลวงขึ้นมา หากคิดจะทำทั้งสิงสิ่งให้สมบูรณ์ ก็มีเพียง ‘ศาสตร์ร่างแยก’ เท่านั้น ทิ้งร่างแยกเอาไว้ในดินแดนจิตโลกา และมีร่างแยกกลับไปยังอากาศอันสับสนอลหม่านด้วย
“ข้าเดาว่าอีกไม่นานสกุลฝานแห่งรัฐโบราณคิมหันตวายุอาจจะมาเชื้อเชิญเจ้าให้ไปคารวะเข้าร่วมสกุลฝานด้วยตนเอง” แม่เฒ่าอิงซานกล่าว
“สกุลฝานรึ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึง
“ใช่”
แม่เฒ่าอิงซานพยักหน้า “ในบรรดาสามตระกูลใหญ่แห่งรัฐโบราณคิมหันตวายุ อีกสองตระกูลใหญ่นั้นไม่ค่อยเห็นรัฐภายนอกอยู่ในสายตาสักเท่าใดนัก มีเพียง ‘สกุลฝาน’ เท่านั้นที่ยินดีผูกสัมพันธ์ไปทั่วทิศ และดึงดูดให้ผู้มีพรสวรรค์ขากที่ต่างๆ เข้าร่วมสกุลฝานของพวกเขา ดั่งมหาสมุทรใหญ่รวมสายน้ำนับร้อยเอาไว้ พรสวรรค์และการรับรู้ของเจ้าสูงส่งยิ่งนัก หนึ่งพันห้าร้อยล้านปีก็บรรลุถึงขั้นอลวนชั้นที่สิบ สามารถจัดอยู่ในอันดับต้นๆ ในประวัติศาสตร์ของรัฐโบราณคิมหันตวายุได้เลยทีเดียว สกุลฝานจะต้องมาเชิญเจ้าอย่างแน่นอน นอกจากนี้ ข้อเสนอที่มอบให้เจ้าก็น่าจะดีมาก”
“จะคารวะเข้าอยู่ในสำนักของผู้ใด เจ้าก็ตัดสินใจเองเถิด” แม่เฒ่าอิงซานกล่าว
“ข้าเป็นศิษย์ภายใต้สำนักของสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ มิอาจคารวะเข้าสู่ขุมอำนาจอื่นกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว
“สำหรับศิษย์ภายใต้สำนักทั่วไปแล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ทันทีที่เปลี่ยนไปคารวะเข้าสู่ขุมอำนาจอื่น ก็เท่ากับทรยศต่อสำนัก! จะต้องถูกสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ไล่ล่าสังหาร แต่หากเจ้าคารวะเข้าสู่สกุลฝานก็แตกต่างออกไปแล้ว” แม่เฒ่าอิงซานทอดถอนใจ “ในรัฐต่างๆ รอบรัฐโบราณคิมหันตวายุ ไม่ว่าจะเป็นทางฝ่ายสี่รัฐมารทมิฬของพวกเรา หรือว่าเก้ารัฐทางเหนือของรัฐโบราณคิมหันตวายุ ไปจนถึงรัฐชั้นรองหรือรัฐชั้นสามอื่นๆ ที่อยู่ใกล้เคียง…ต่อให้บ่มเพาะผู้มีพรสวรรค์คนหนึ่งออกมา เมื่อเผชิญกับการดึงดูดของสกุลฝาน ผู้มีพรสวรรค์เข้าร่วมสกุลฝาน รัฐรอบด้านก็มิกล้าหาว่าเป็นศิษย์ทรยศ และยิ่งมิกล้าไล่ล่าสังหารเข้าไปใหญ่ แต่กลับต้องไปแสดงความยินดีกับสกุลฝานอีกด้วย”
“หากเจ้าคารวะเข้าสู่สกุลฝาน ประมุขรัฐก็ต้องแสดงความยินดีกับสกุลฝานเช่นกัน” แม่เฒ่าอิงซานทอดถอนใจ “สกุลฝานแข็งแกร่งเกินไป ลำพังแค่พละกำลังของตระกูลเดียวก็แข็งแกร่งกว่าทั้งรัฐโบราณไหนๆ ไม่ว่าจะเป็นรัฐโบราณจันทร์บุปผาหรือรัฐโบราณเสียดฟ้าแล้ว ทรัพยากรก็ลึกล้ำกว่า”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าน้อยๆ
เขาสัมผัสถึงความแข็งแกร่งของสกุลฝานได้แล้ว
ผู้แกร่งกล้าที่ไร้เทียมทานอย่างประมุขรัฐเมฆทักษิณาก็ยังมิกล้าล่วงเกิน เพราะตัวเขาเองสามารถรอดชีวิตจากการไล่สังหารของสกุลฝานได้ แต่คนอื่นๆ ทั้งรัฐเมฆทักษิณานั้นมิอาจต้านทานสกุลฝานได้ นอกเสียจากจะสามารถทำอย่างประมุขรัฐเพรียกหิมะซึ่งไม่สนใจว่าผู้ใต้บังคับบัญชาจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรได้
“ท่านบรรพชน ความหมายของท่านคืออะไรขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองแม่เฒ่าอิงซาน
“ข้าจะให้คำแนะนำอย่างหนึ่งแก่เจ้า”
แม่เฒ่าอิงซานกล่าวว่า “ทางประมุขรัฐนั้นใจกว้างกว่า เมื่อเจ้าคารวะเป็นอาจารย์แล้ว ก็จะได้รับวัสดุล้ำค่าต่างๆ ซึ่งจำเป็นต่อการฝึกร่างเมฆทักษิณาทิพย์ชั้นที่สิบให้ครบสมบูรณ์ทันที สิ้่งนี้มีมูลค่าถึงสองพันล้านแก้วผลึกจักรวาล นอกจากนี้ระหว่างการบำเพ็ญ ประมุขรัฐก็จะตั้งใจกับเจ้ามากกว่า ในด้านวัตถุภายนอก เขาก็จะช่วยเจ้าอย่างสุดกำลัง”
“ส่วนสกุลฝานน่ะหรือ ถึงอย่างไรก็เป็นหนึ่งในขุมอำนาจระดับยอดสุดของดินแดนจิตโลกา ภายในมีกฎระเบียบเคร่งครัด คิดจะได้มาน่ะหรือ ก็จำเป็นต้องทุ่มเทอะไรไปบ้าง! ทว่าเมื่อพลังของเจ้าแข็งแกร่งขึ้น สกุลฝานก็จะเห็นความสำคัญของเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ”
“หากความคิดของเจ้าเพียงแค่สำเร็จเป็นเทพจักรวาลทั่วไปคนหนึ่ง เช่นนั้นประมุขรัฐก็จะช่วยเหลือเจ้าได้มากกว่า เพราะถึงอย่างไรประมุขรัฐก็เป็นหนึ่งในเจ้าสำนักของสำนักใหญ่ทั้งสิบ ยินดีที่จะใช้สมบัติล้ำค่ามากมายทุ่มเทไปกับเจ้า”
“หากเจ้าอยากจะสำเร็จเป็นผู้แกร่งกล้าระดับยอดสุดของทั้งดินแดนจิตโลกาแล้วล่ะก็! จะบรรลุถึงระดับประมุขรัฐ หรือถึงขั้นอยากจะก่อตั้งรัฐโบราณสักแห่งขึ้นมาเองและบรรลุถึงระดับขั้นที่เรียกว่าไร้ศัตรูได้ สกุลฝานก็จะช่วยเหลือเจ้าได้มากกว่า เพราะสกุลฝานมีทรัพยากรลึกล้ำกว่ามากนัก นอกจากนี้สามตระกูลใหญ่แห่งรัฐโบราณคิมหันตวายุก็ยังช่วยเหลือซึ่งกันและกันอีกด้วย”
“เจ้าตัดสินใจเอาเองเถิด” แม่เฒ่าอิงซานกล่าว
แม่เฒ่าอิงซานเองก็รู้สึกหวั่นใจอยู่บ้าง
หากเพื่อตระกูลอิงซานแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงคารวะประมุขรัฐเป็นอาจารย์ย่อมดีกว่า
เพื่อยืนอยู่ในอันดับยอดสุดของดินแดนจิตโลกา คารวะสกุลฝานเป็นอาจารย์ย่อมดีกว่า
ทว่าประมุขรัฐมั่งคั่งมาก ก็สามารถให้วัตถุภายนอกเพื่อช่วยเหลือตงป๋อเสวี่ยอิงได้เช่นกัน นี่ก็นับว่ามีส่วนช่วย
“ต่อให้คารวะเข้าสู่สกุลฝาน ก็คงมิได้มีส่วนช่วยข้ามากมายถึงเพียงนั้นหรอกกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะ “เท่าที่ข้ารู้ ในทั้งสกุลฝาน ผู้ที่สามารถเทียบกับประมุขรัฐได้ก็มีน้อยเสียจนยกนิ้วนับได้กระมัง”
“แน่นอนอยู่แล้ว”
แม่เฒ่าอิงซานพยักหน้า “คิดจะบรรลุถึงระดับประมุขรัฐนั้นยากเย็นเพียงใด อย่างมากสกุลฝานก็ให้คำชี้แนะและคัมภีร์ศาสตร์ลับแก่เจ้าเล็กน้อยเท่านั้น! ท้ายที่สุดก็ยังต้องอาศัยตนเองอยู่ดี ส่วนประมุขรัฐเล่า เกรงว่าคงจะไม่มีคัมภีร์ศาสตร์ลับระดับยอดสุดที่เหมาะจะชี้แนะโดยตรงให้เจ้า ทว่าสามารถมอบวัตถุภายนอกให้เพื่อช่วยเหลือเจ้าได้”
“เช่นนั้นข้าก็คารวะท่านประมุขรัฐเป็นอาจารย์ดีกว่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ
“ยังไม่ต้องรีบตัดสินใจหรอก หลังเจ้าพบคนของสกุลฝาน ค่อยตัดสินใจแล้วบอกข้าก็แล้วกัน” แม่เฒ่าอิงซานเกลี้ยกล่อม “เพราะเมื่อเกี่ยวข้องกับอนาคตการบำเพ็ญของเจ้า ในฐานะผู้บำเพ็ญ ยามนี้ต้องจริงจังเสียหน่อย”
……
รุ่งเช้าวันต่อมา ไอหมอกปกคลุมไปทั่ว
ฝานเทียนฉ่งมาเยี่ยมเยียนด้วยตนเอง ในศาลาข้างทะเลสาบ ทั้งสองนั่งลงตรงข้ามกัน
“พี่เทียนฉ่ง เชิญขอรับ”
“ฮ่าฮ่า สุรานี้แค่ดมก็หอมแล้ว เส้นเอ็นและกระดูกทั้งร่างผ่อนคลายไปหมด น้องเสวี่ยอิงก็เป็นผู้รู้จักสุราชั้นดีนี่นา” ฝานเทียนฉ่งนั่งขัดสมาธิลงไปแล้วรินสุราให้ตนเองจอกหนึ่งทันที ก่อนจะชิมคำหนึ่ง “สุราดี แม้ก่อนหน้านี้จะไม่เคยลิ้มรสมาก่อน และเหมือนจะมิได้มีส่วนประกอบชั้นเลิศอยู่ในนั้นก็ตามที แต่กินแล้วก็สบายอุรานัก”
ตงป๋อเสวี่ยอิงชมชอบอาหารและสุราชั้นเลิศอย่างแท้จริง เมื่อท่องไปทั่วทิศก็มักต้องลิ้มรสอยู่เสมอ จึงย่อมเก็บรวบรวมสุราชั้นเลิศเอาไว้มากมายเป็นธรรมดา “สุรานี้ราคาไม่แพง แค่หนึ่งแก้วผลึกจักรวาลก็สามารถซื้อได้สิบกว่าไหแล้ว”
“รสเยี่ยมก็ใช้ได้แล้ว”
ฝานเทียนฉ่งพูดยิ้มๆ ว่า “ข้าก็มีเรื่องที่ต้องบอกตรงๆ ว่าข้ารับบัญชาของตระกูลมา ท่านบรรพชนของข้าผู้นั้นตกลงยินดีรับเจ้าเป็นศิษย์แล้ว”
“บรรพชนฝานหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวใจบีบแน่น
บรรพชนฝาน…
หนึ่งในสิ่งมีชีวิตที่เรียกได้ว่าไร้ศัตรูของทั้งดินแดนจิตโลกา ตัวเขาเพียงคนเดียวก็เพียงพอจะสร้างรัฐโบราณแห่งหนึ่งขึ้นมาได้แล้ว เคล็ดวิชาต่างๆ ที่เขาสร้างขึ้นมาล้วนแต่เป็น ‘เคล็ดสืบทอดลับ’ ที่มิได้ถ่ายทอดสู่ภายนอกง่ายๆ ต่อให้มอบแก้วผลึกจักรวาลให้เป็นหมื่นล้านก้อนก็อย่าได้คิดจะได้เห็นสักแวบหนึ่ง ศิษย์ของเขามีถึงสามคนที่สามารถเทียบกับประมุขรัฐเมฆทักษิณาได้ อย่าง ‘มหาเคารพลู่เทียน’ ก็เป็นศิษย์ของบรรพชนฝาน
“จวบจนบัดนี้ท่านบรรพชนตระกูลข้าก็เพิ่งจะรับศิษย์เพียงสิบห้าคนเท่านั้น แม้แต่ข้า ท่านบรรพชนก็ยังมิได้เห็นอยู่ในสายตาเลย” ฝานเทียนฉ่งทอดถอนใจ เขาเองก็นับได้ว่าพรสวรรค์ไร้เทียมทาน แต่เห็นได้ชัดว่าสายตาของบรรพชนฝานสูงส่งนัก
“หากเจ้าคารวะเข้าอยู่ในสำนักของท่านบรรพชนข้า ก็จะได้รับเคล็ดสืบทอดลับที่เหมาะสมกับเจ้าที่สุดวิชาหนึ่งทันที แล้วก็จะพุ่งตรงไปสู่จุดยอดสุดทันที” ฝานเทียนฉ่งกล่าว
“อย่างอื่นเล่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยถาม
“อย่างอื่นรึ”
ฝานเทียนฉ่งสะดุ้งแล้วพูดขึ้นอย่างอดมิได้ว่า “หรือเจ้ายังฟังไม่ชัดอีกว่า นี่เป็นการคารวะเข้าอยู่ในสำนักของท่านบรรพชนของข้า เจ้ายังต้องการอะไรอีกเล่า มอบเคล็ดสืบทอดลับที่จะทำให้เจ้าพุ่งตรงไปสู่จุดยอดสุดแล้ว ขอเพียงเจ้าฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ เมื่อเจ้าแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ สกุลฝานเราก็จะบ่มเพาะเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ ในภายหน้าจะบรรลุถึงระดับเดียวกับประมุขรัฐเมฆทักษิณาของพวกเจ้าก็ใช่ว่าจะเป็นไปมิได้”
“มีศาสตร์ร่างแยกหรือไม่” ตงป๋อเสวี่ยอิงถามอีก
ฝานเทียนฉ่งสีหน้าเย็นชาขึ้นมา “อย่าเกินไปหน่อยเลย กฎของสกุลฝานเราก็คือผู้ที่อ่อนแอต้องเป็นเหยื่อของผู้ที่แข็งแกร่งเหมือนกันหมด ทุกสิ่งต้องอาศัยตนเองฝ่าฟัน! เจ้าได้เคล็ดสืบทอดลับที่ทำให้เจ้าพุ่งตรงไปสู่จุดยอดสุดก็เยี่ยมยอดมากแล้ว เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีเทพจักรวาลบางคนขายตนเองให้สกุลฝานเรา ก็ยังมิได้ศึกษาเคล็ดสืบทอดลับระดับนั้นเลย ส่วนศาสตร์ร่างแยกที่เจ้าพูดถึงนั่น ขอเพียงเจ้าสร้างคุณูปการให้สกุลฝานมากพอ ก็ย่อมสามารถแลกเคล็ดลับได้ตามคุณูปการที่มี ภายในสกุลฝานเราก็มีศาสตร์ร่างแยกที่สามารถแลกมาได้เช่นกัน”
“ต้องใช้คุณูปการแลกมาอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าเบาๆ
ยุ่งยากแล้ว
ศาสตร์ร่างแยก ไม่ว่าจะอยู่ในขุมอำนาจใดก็ล้วนแต่มีมูลค่าสูงอย่างยิ่งด้วยกันทั้งนั้น คุณูปการที่ต้องใช้ก็ต้องสูงมากเช่นกัน ขั้นอลวนชั้นที่สิบอย่างตนคนหนึ่งคิดจะสั่งสมคุณูปการให้มากพอ ก็มิได้ง่ายดานถึงเพียงนั้น
“หรือเจ้าไม่มีจิตคิดแย่งชิงเลยแม้แต่น้อย” ฝานเทียนฉ่งแค่นเสียง “ภายในสกุลฝานเรามีผู้แกร่งกล้ามากมายดุจเมฆ ขอเพียงเจ้าปีนขึ้นไปเองแล้วฉายประกายออกมา ก็ย่อมได้ประโยชน์มากมายมาอยู่ในมือ ยังมิทันได้คารวะอาจารย์เลย ก็อยากได้นั่นอยากได้นี่เสียแล้วหรือ”
สกุลฝานยิ่งใหญ่ กิจการก็ใหญ่โต แต่ก็มิอาจล้างผลาญตามอำเภอใจได้
ส่วนสำนักที่ประมุขรัฐเมฆทักษิณาก่อตั้งขึ้นมานั้น ได้กลายเป็นหนึ่งในสิบสำนักใหญ่ ผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนในดินแดนจิตโลกาคารวะเข้าอยู่ในสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ แล้วทุ่มเทแก้วผลึกจักรวาลให้มากมาย เมื่อสั่งสมเป็นจำนวนนับไม่ถ้วนก็น่าหวาดหวั่นแล้ว ดังนั้นประมุขรัฐเมฆทักษิณาจึงมีสิทธิ์ฟุ่มเฟือยได้!
“ข้ามั่นใจ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบส่ายหน้า
แม้จะมั่นใจ
แต่ตามราคาของศาสตร์ร่างแยก ด้วยความที่ภายในสกุลฝานมียอดฝีมือมากมายดุจเมฆ เกรงว่าหลังจากตนสำเร็จเป็นเทพจักรวาลแล้ว จะต้องใช้เวลามากมายจึงจะสามารถสั่งสมคุณูปการได้เพียงพอกระมัง! ตนเสียเวลามิได้ หากตนสำเร็จเป็นเทพจักรวาลเมื่อใด ก็ต้องรีบส่งร่างแยกกลับไปยังบ้านเกิดโดยเร็วที่สุด
“มั่นใจก็ดีแล้ว” ฝานเทียนฉ่งเผยรอยยิ้มออกมา “เตรียมตัวจะไปยังรัฐโบราณคิมหันตวายุกับข้าเมื่อใดดีเล่า”
ตอนที่ 49 บรรพชนฝาน
Ink Stone_Fantasy
“เรื่องนี้มิอาจละเลยได้ เจ้าต้องรีบไปคารวะท่านบรรพชนโดยเร็วที่สุด” ฝานเทียนฉ่งพูดแล้วทอดถอนใจในทันใด “ข้าบำเพ็ญมานานปีถึงเพียงนี้ ก็เพิ่งจะเคยพบท่านบรรพชนเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นเอง เจ้าช่างโชคดีเหลือเกิน ในภายหน้าสามารถไปพบท่านบรรพชนได้บ่อยๆ… ไม่รู้เลยจริงๆ ว่าที่แท้แล้วท่านบรรพชนต้องตาอะไรในตัวเจ้ากันแน่! คงมิใช่แค่เพราะบำเพ็ญได้อย่างรวดเร็วหรอกกระมัง แล้วยังเป็นเพียงแค่ขั้นอลวนชั้นที่สิบเท่านั้นเองอีกด้วย”
ขั้นอลวนชั้นที่สิบที่รัฐประเทศลำดับสองลำดับสามเหล่านั้นก็จะต้องเป็นผู้ปกครองของฝ่ายหนึ่งอย่างแน่นอนแล้ว
แต่สำหรับ ‘บรรพชนฝาน’ ผู้สูงส่ง สามารถทำให้เขารับเป็นศิษย์ได้นั้นก็ช่างยากเย็นแสนสาหัส เทพจักรวาลจำนวนมากมายอยากจะกราบเขาเป็นอาจารย์ก็ไม่สามารถทำได้ การที่เขาจะรับศิษย์นั้น หนึ่งดูจากตัวศิษย์ สองคือดูอารมณ์ของตัวเอง ถ้าหากใจเขาไม่ชอบ ต่อให้ล้ำเลิศล้นฟ้าหรือร้ายกาจเพียงใดเขาก็คร้านที่จะรับ “ถึงแม้ว่าข้าจะมีความมั่นใจ แต่ถึงอย่างไรข้าก็เป็นประชากรของรัฐเมฆทักษิณาอยู่ดี” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “ท่านบรรพชนรักคนผิดเสียแล้วล่ะ”
“รักคนผิดหรือ”
ฝานเทียนฉ่งเบิกตาโพลง
เขาคิดไม่ถึงเลยว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นนี้wfh
“เจ้าเข้าใจหรือไม่ ที่แท้แล้วเจ้าเข้าใจหรือไม่ว่าท่านบรรพชนบ้านข้าเป็นใคร กราบเขาเป็นอาจารย์หมายความว่าอย่างไร” ฝานเทียนฉ่งเบิกตาโพลงพลางเอ่ยอย่างอดมิได้ว่า “กราบเข้าสู่สำนักของท่านบรรพชนบ้านข้าแล้วเจ้าก็สามารถเดินอาดๆ ไปรอบๆ รัฐประเทศทั้งหลายได้เลยนะ! ประมุขรัฐเมฆทักษิณาอะไรนั่นก็ยังมิกล้าละเลยเจ้าเลยแม้แต่น้อย”
ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะเบาๆ เช่นเดิม
“ข้ายอมรับว่าประมุขรัฐเมฆทักษิณานั้นมั่งมี สมบัติล้ำค่าล้นเหลือเป็นอย่างยิ่ง คาดว่าคงจะสามารถมอบให้ท่านได้ไม่น้อยเลย แต่ว่านั่นล้วนเป็นเพียงของนอกกายเท่านั้น!” ฝานเทียนฉ่งตะโกนว่า “สมบัติล้ำค่านั้นได้มาง่าย! จะร้องขอก็ไม่มีทาง! นำไปสู่เคล็ดสืบทอดลับอันสุดยอด นั่นล้วนเป็นสิ่งที่ย่อมไม่มีทางเผยแพร่ออกสู่ภายนอก เช่นประมุขรัฐเมฆทักษิณา ตอนแรกถูกไล่ล่าสังหารเสียจนราวกับสุนัขจนตรอก ระหกระเหินไปทั่วทุกทิศเพียงเพื่อหนีเอาชีวิตรอดเท่านั้น”
“พี่เทียนฉ่ง เกินไปแล้วนะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้ว
ฝานเทียนฉ่งเอ่ยอย่างอดไม่ไหว “เอาล่ะๆ ข้าก็พูดเกินไปหน่อย แต่การระหกระเหินไปทั่วทุกทิศของประมุขรัฐของพวกเจ้าในตอนนั้น ภายหลังยังโชคดีได้เข้าไปในโบราณสถานอันโบร่ำโบราณแห่งหนึ่งแล้วได้รับต้นฉบับศาสตร์ลับเคล็ดวิชาสามชาติภพมา อีกทั้งยังได้รับสมบัติลับล้ำค่า ‘ดาบทวิภพ’ อันแข็งแกร่งเป็นที่สุดมาอีกด้วย อาศัย ‘ดาบทวิภพ’ จึงสามารถมีพลังยุทธ์ มีสถานะดังเช่นในปัจจุบันได้! ถึงแม้ว่าเขาจะได้รับเคล็ดวิชาสามชาติภพมา แต่นั่นคือศาสตร์ลับขั้นสุดยอดทางด้านกาลเวลา ส่วนเจ้า อิงซานเสวี่ยอิงเป็นสายห้วงอากาศ เคล็ดวิชาสามชาติภพมิได้มีประโยชน์อันใดกับเจ้าเลยแม้แต่น้อย”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเคล็ดสืบทอดลับที่มุ่งไปสู่จุดสูงสุดนั้นล้ำค่าเพียงใด ประมุขรัฐของพวกเจ้าโชคดี จึงได้มีสถานะดังเช่นปัจจุบันนี้ ถ้าหากเจ้ากราบเข้าสู่สำนักของท่านบรรพชนก็จะได้รับถ่ายทอดเคล็ดสืบทอดลับที่เหมาะสมกับเจ้าในทันทีเลยนะ” ฝานเทียนฉ่งมองดูตงป๋อเสวี่ยอิง “ตอนนี้เจ้าปฏิเสธเสียแล้ว ด้วยอุปนิสัยของท่านบรรพชนบ้านข้า ในภายหน้าหากเจ้าอยากจะกราบท่านเป็นอาจารย์ก็จะทำไม่ได้แล้วนะ”
“ข้าเข้าใจ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
ฝานเทียนฉ่งมองดูตงป๋อเสวี่ยอิง
ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มน้อยๆ “ท่านบรรพชนรักคนผิดเสียแล้วล่ะ”
“เฮ้อ”
ฝานเทียนฉ่งส่ายศีรษะเบาๆ “ถึงอย่างไรข้าก็ได้พูดในสิ่งที่ข้าควรจะพูดไปหมดแล้ว! ก็นับได้ว่าข้าทำเต็มที่กับเจ้าแล้วนะ น้องเสวี่ยอิงเอ๋ย ในภายหน้าหากเจ้านึกเสียใจก็มิอาจโทษข้าได้นะ”
“ข้าไม่โทษท่านแน่นอนอยู่แล้ว พี่เทียนฉ่ง ล้วนเป็นการตัดสินใจของข้าเองทั้งสิ้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
“จริงๆ เลยนะ ไม่รู้เลยจริงๆ ว่าเจ้า…” ฝานเทียนฉ่งยังคงอดที่จะนึกถึงมันมิได้
ตงป๋อเสวี่ยอิงอมยิ้มเงียบๆ
ไม่กราบบรรพชนฝานเป็นอาจารย์…
เหตุผลที่สำคัญที่สุดก็คือเพื่อศึกษาเคล็ดร่างแยกให้สำเร็จเร็วที่สุด! พอตนเองสำเร็จเป็นเทพจักรวาลแล้วก็จะส่งร่างแยกกลับไป
ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งก็เป็นเพราะตอนนั้นที่ตนยังสำแดงเพียงแค่พลังยุทธ์ขั้นรวมเป็นหนึ่งระดับชั้นที่หก แม่เฒ่าอิงซานก็ได้ส่งหัวหอกเล่มนั้นมาให้! ถึงอย่างไรท่านบรรพชนก็เป็นเพียงแค่ขั้นอลวนชั้นที่สิบคนหนึ่งเท่านั้น นางอาจจะมีสมบัติล้ำค่าบางส่วนสะสมเอาไว้ แต่ว่าตามปกติก็เปลี่ยนเป็นอาวุธที่เหมาะสมกับตนเองที่สุดแล้ว ดังนั้นผู้แกร่งกล้าขั้นอลวนชั้นที่สิบจะบอกว่ามั่งมีก็มั่งมี จะบอกว่ายากจน ก็ยากจนข้นแค้น
ก็เหมือนกับตงป๋อเสวี่ยอิงที่มั่งมีเป็นอย่างยิ่ง หอกเทพเมฆาแดงเล่มหนึ่งก็มีมูลค่าเกือบๆ หมื่นล้านแก้วผลึกจักรวาลแล้ว! แต่หอกยาวเล่มนี้เขาก็ตัดใจขายไม่ลง นอกจากหอกยาวเล่มนี้แล้วสมบัติล้ำค่าอื่นๆ ในตัวเขาก็น้อยเสียจนน่าสงสารแล้ว โชคดีที่การสังหารมารเฒ่าเซวี่ยฝูและขั้นอลวนสี่คนในคราวนี้ จึงนับได้ว่าได้อะไรมาบ้างเล็กน้อย มิฉะนั้นก็คงยากจนยิ่งกว่านี้เสียอีก ดังนั้น…
หัวหอกเล่มนั้นก็เป็นปัจจัยเล็กๆ อย่างหนึ่งเช่นกัน
แน่นอนว่าเป็นเพียงแค่เหตุผลเล็กๆ เท่านั้น ถ้าหากทางสกุลฝานนั้นสามารถมอบเคล็ดร่างแยกให้ได้โดยตรง ต่อให้ตงป๋อเสวี่ยอิงจะรู้สึกผิดต่อแม่เฒ่าอยู่บ้าง ก็จะกราบเข้าสู่สกุลฝานด้วยความเต็มใจ ถึงเวลานั้นค่อยใช้วิธีการอื่นตอบแทนแม่เฒ่าก็ได้
แต่น่าเสียดายที่สกุลฝานเย็นชาเกินไป กฎเกณฑ์เคร่งครัด ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเพียงเพื่อเด็กน้อยคนหนึ่งอย่างเขาได้
สำหรับพวกเขาแล้วบรรพชนฝานเต็มใจรับศิษย์ก็เป็นบุญคุณอันล้นฟ้าแล้ว ต้องรู้ไว้ว่าอีกสองตระกูลใหญ่ของรัฐโบราณคิมหันตวายุนั้นมิได้แยแสสนใจรัฐประเทศภายนอกเลย ต่อให้พรสวรรค์ของเจ้าสูงส่งกว่านี้ก็ไม่มีทางรับ! จะรับเพียงแค่รัฐของตนเท่านั้น
******
ภายในวังหลวงของรัฐเมฆทักษิณา
ประมุขรัฐเมฆทักษิณากำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นหญ้าสีดำ บนพื้นดินมีวัชพืชสีดำอันแปลกประหลาดเจริญอยู่ ที่เบื้องหลังของประมุขรัฐเมฆทักษิณาก็คือสระลึกที่กินอาณาบริเวณราวๆ ร้อยจั้งแห่งหนึ่ง สระลึกมีน้ำสีเขียวครามไหลวน พื้นผิวของสระลึกแผ่กระไอหนาวเหน็บสีขาว ไอหนาวเหน็บแผ่กระจายไปรอบด้าน
“บรรพชนฝานถึงกับจะรับศิษย์เลยหรือ”
ประมุขรัฐเมฆทักษิณาขมวดคิ้ว
เขาใช้สมบัติล้ำค่าจำนวนนับไม่ถ้วนผูกไมตรีไปทั่วทิศ ดูเหมือนว่าเขาจะมีเส้นสายจำนวนมากอยู่ทั่วทั้งหกรัฐโบราณ รัฐโบราณคิมหันตวายุที่อยู่ใกล้กับรัฐเมฆทักษิณามากที่สุดนั้นเขาก็ยิ่งใช้จ่ายเป็นมูลค่ามหาศาลเพื่อสร้างมิตรไมตรีเอาไว้เป็นจำนวนมาก บรรพชนฝานถึงกับพยักหน้าหมายมั่นปั้นมือจะรับอิงซานเสวี่ยอิงเป็นศิษย์… ก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานาในระดับสูงของสกุลฝาน พวกเขามิกล้าทัดทานท่านบรรพชน ในบรรดาคนเหล่านั้นมีบางคนที่นำข่าวมาแจ้งให้ประมุขรัฐเมฆทักษิณาทราบ
“เด็กน้อยขั้นอลวนคนหนึ่ง ต่อให้มีพรสวรรค์ร้ายกาจ แต่ถึงอย่างไรก็มาจากรัฐประเทศภายนอก บรรพชนฝานถึงกับจะรับเป็นศิษย์อย่างนั้นหรือ” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาไม่อยากจะเชื่ออยู่บ้าง
ผู้แกร่งกล้าระดับสุดยอดของรัฐโบราณคิมหันตวายุกลุ่มนั้นออกจะไม่เห็นรัฐประเทศรอบๆ อยู่ในสายตาเลยถึงแม้ว่าสกุลฝานจะสร้างไมตรีไปทั่วทิศ แต่ก็ยังมีความรู้สึกทะนงตนว่าข้าคือรัฐโบราณคิมหันตวายุอยู่ด้วย ถึงแม้บรรดาเค่อชิงเหล่านั้นต่างก็กราบคารวะเข้าสู่สกุลฝานกันหมดแล้ว แต่สกุลฝานก็ยังคงเลือกปฏิบัติกับเค่อชิงเหล่านั้นอยู่ดี
“บรรพชนฝาน”
ประมุขรัฐเมฆทักษิณาเงียบงัน
บรรพชนฝานรับศิษย์ เขาก็มิได้มีความมั่นใจอีกแล้ว
“ท่านประมุขรัฐ ฝานเทียนฉ่งเคยพบเสวี่ยอิงแล้ว แต่เสวี่ยอิงก็ยังตัดสินใจที่จะกราบท่านประมุขรัฐเป็นอาจารย์อยู่ดี” แม่เฒ่าอิงซานถ่ายเสียงแจ้งข่าว นางเองก็มีความไม่สมดุลอยู่บ้าง ถึงอย่างไรนางก็คาดเดาถึงการรวมตัวกันของสกุลฝานได้ แต่กลับมิอาจคาดเดาถึงการที่ ‘บรรพชนฝานรับศิษย์’ ได้เลย อิงซานเสวี่ยอิงตัดสินใจแน่วแน่ที่จะกราบประมุขรัฐเมฆทักษิณาเป็นอาจารย์ นางก็หมดหนทาง
ประมุขรัฐเมฆทักษิณาประหลาดใจอยู่บ้าง
อิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้เทิดทูนเขาถึงเพียงนี้เชียวหรือ อยากจะกราบเขาเป็นอาจารย์อย่างนั้นหรือ เป็นความเยาว์วัยไม่ประสีประสาเกินไป ไม่เคยประสบกับความล้มเหลวหรือไม่
“ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นเรื่องดีเสมอ” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาเผยรอยยิ้มออกมา ผู้ช่วยที่ดีถึงเพียงนี้คนหนึ่ง อย่างน้อยก็ยังอยู่ภายในรัฐ มิฉะนั้นเมื่อใดที่เข้าสู่สกุลฝานก็คงฟังแต่คำสั่งสกุลฝานแล้ว
“ข้ามิได้ห้ามหรอกนะ เป็นเสวี่ยอิงเจ้าเด็กผู้นี้ที่ไม่เต็มใจจะกราบเข้าสู่สกุลฝานของเจ้าเอง” มุมปากของประมุขรัฐเมฆทักษิณาเผยรอยยิ้มสายหนึ่ง
……
ข่าวคราวก็แพร่กลับมายังสกุลฝานอย่างรวดเร็วแล้วรายงานขึ้นไปยังบรรพชนฝานท่านนั้น
บรรพชนฝานกำลังอยู่ที่พื้นดินอันรกร้างว่างเปล่า ขณะนี้กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ที่ริมลำธารสายหนึ่ง ใบหน้าของเขานั้นหากให้คนละคนมาดูก็จะเป็นลักษณะที่แตกต่างกัน
มีบางคนเห็นบรรพชนฝานเป็นหญิงสาวผู้งดงามทรงเสน่ห์ล้ำเลิศ
มีบางคนเห็นบรรพชนฝานเป็นผู้เฒ่าที่เคร่งขรึมคนหนึ่ง
หรือบางทีก็เป็นทารกน้อยน่ารัก หรือแม้กระทั่งเป็นยักษ์ศิลาที่สูงตระหง่านดุจภูผา ส่งกลิ่นอายอันเหนี่ยวนำให้ฟ้าดินสั่นสะท้าน หรือเป็นผู้วิเศษที่เปี่ยมเมตตา…
รูปลักษณ์ต่างๆ นานา
ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเกิดจากจิตวิญญาณ จิตวิญญาณแตกต่างกัน ก็จะเห็นเป็นรูปลักษณ์ที่ไม่เหมือนกัน
พื้นฐานดังเช่นดินแดนจิตโลกา เขาก็เป็นบุคคลที่ยืนอยู่ที่จุดสูงสุดอันไร้ซึ่งศัตรู ร่วมมือกันกับสหายเก่าแก่อีกสองท่านสรรสร้างรัฐโบราณคิมหันตวายุขึ้นมา
“ปฏิเสธแล้วหรือ”
บรรพชนฝานมองดูลำธาร
กลางลำธารปรากฏภาพเหตุการณ์ที่ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังบำเพ็ญ ภาพเหตุการณ์ตั้งแต่เขาเป็นเด็กน้อยเริ่มต้นบำเพ็ญ ทั้งหมดล้วนตกอยู่ภายใต้การสังเกตการณ์ของบรรพชนฝาน ตอนที่เขาซ่อนเร้นพลังยุทธ์ในอดีตก็ล้วนถูกสอดแนมจนหมดสิ้น กระทั่งตงป๋อเสวี่ยอิงบำเพ็ญวิถี ‘เขตลวงโลกเทียม’ ไปถึงระดับขั้นอลวน ก็ล้วนอยู่ภายใต้การสังเกตการณ์ของเขาทั้งสิ้น
“บำเพ็ญอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ตอนนี้ยังบำเพ็ญวิถีอากาศและเขตลวงโลกเทียมไปควบคู่กันอีกด้วย” บรรพชนฝานหัวเราะเบาๆ “เกรงว่าเจ้าเด็กผู้นี้จะเป็นผู้ที่มาจากโลกกำเนิดภายนอก แล้วหยวนอนุญาตให้กลับชาติมาเกิดกระมัง”
การกลับชาติมาเกิด
มิใช่ความลับสำหรับบุคคลระดับบรรพชนฝานเลย
เช่น ‘รัฐโบราณสหโลกา’ รัฐโบราณที่แข็งแกร่งที่สุดในหกรัฐโบราณ ซึ่งยังแข็งแกร่งกว่ารัฐโบราณคิมหันตวายุอยู่พอสมควร ที่รัฐโบราณสหโลกาได้ชื่อว่า ‘สหโลกา’ นั้นก็เป็นเพราะตอนนั้นบรรดาผู้เฒ่าที่ก่อตั้งรัฐโบราณสหโลกาหลายคนต่างก็มาจากการกลับชาติมาเกิดจากโลกกำเนิดอื่นๆ ในตอนเริ่มแรกผู้บำเพ็ญจำนวนหนึ่งก็รักษาความลับเอาไว้ แต่เมื่อพลังยุทธ์ไปถึงระดับหนึ่งแล้วก็ย่อมสามารถเปิดเผยสู่สาธารณะได้
“มาจากโลกกำเนิดภายนอก บางทีชาติก่อนเขาอาจจะได้เป็นเทพจักรวาลแล้วก็เป็นได้ สามารถได้รับอนุญาตจากหยวนได้ พรสวรรค์ก็ต้องไม่เลวเลย” บรรพชนฝานก็มิได้ใส่ใจ ปฏิเสธก็ปฏิเสธไปเถิด
เขาก็ตื่นเต้นอยู่เพียงแค่ชั่วขณะเดียวเท่านั้น
ก็เป็นเพราะเขามีความใส่ใจผู้ที่อยู่นอกรัฐประเทศเหล่านั้นเท่าๆ กัน ปรารถนาจะดึงดูดผู้แกร่งกล้าทั่วสารทิศ จึงจะมีกะจิตกะใจดูสักคราหนึ่ง การดูครั้งนี้ก็ได้ค้นพบความแตกต่างของตงป๋อเสวี่ยอิง
ในเมื่อเขาปฏิเสธก็ช่างเถิด
“พรึ่บ” บรรพชนฝานหลับตาลง แล้วทิ้งเรื่องนี้ออกไปจากสมอง มาถึงระดับขั้นเช่นเขานี้ การรับศิษย์ก็เป็นเพียงแค่สิ่งที่ขึ้นอยู่กับอารมณ์เท่านั้นเอง
ตอนที่ 50 กราบอาจารย์ ส่งมอบของกำนัล
Ink Stone_Fantasy
รัฐเมฆทักษิณาจะมีพิธีแต่งตั้งท่านอ๋องใหม่ท่านหนึ่ง
นี่คือเรื่องใหญ่ของทั้งรัฐ ตระกูลอ๋องโหวจำนวนมากต่างก็ส่งบุคคลระดับสูงมุ่งหน้าไปยังนครหลวง
ทั้งร่างจริงของบรรดาเฟิงโหวและเฟิงอ๋อง หรือไม่ก็ส่งร่างแปรไป
หนึ่งวันก่อนหน้าพิธีแต่งตั้ง
“ไปกันเถิด พวกเราไปพบท่านประมุขรัฐกัน”
แม่เฒ่าอิงซานนั่งอยู่บนรถม้ากันสองคนกับตงป๋อเสวี่ยอิง มังกรมารสีดำถึงเก้าตัวลากจูงรถม้า มังกรมารทุกตัวล้วนเป็นมารรับใช้ที่สามารถสำแดงพลังรบขั้นอลวนระดับชั้นที่เก้าออกมาได้ สูงส่งกว่ามารรับใช้จื่อไป๋มากมายนัก! มังกรมารถึงเก้าตนมาลากจูงรถม้า… ทั่วทั้งรัฐเมฆทักษิณาก็มีเพียงแค่ประมุขรัฐเท่านั้นจึงจะมีเอกลักษณ์เช่นนี้ได้
ถึงอย่างไรมังกรมารตัวหนึ่งก็เพียงพอที่จะทำให้เฟิงอ๋องอย่างแม่เฒ่าอิงซานทุ่มเทสมบัติล้ำค่าจนสิ้นเนื้อประดาตัวแล้ว
พูดถึงความมั่งมีในทั้งดินแดนจิตโลกา ต่างก็ถูกจัดอยู่ในแถวหน้า สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
……
ประมุขรัฐส่งรถม้ามารับด้วยตนเอง ตงป๋อเสวี่ยอิงและแม่เฒ่าอิงซานก็มาถึงภายในพระราชวังอย่างรวดเร็ว มาถึงสถานที่ที่ประมุขรัฐบำเพ็ญอย่างสงบอยู่เป็นประจำ
ตามปกติแล้วมีเพียงเรื่องใหญ่เท่านั้นจึงจะสามารถทำให้ภายในวังยอมรับได้
กิจวัตรตามปกติ ประมุขรัฐเมฆทักษิณาก็จะอยู่ภายในสถานที่บำเพ็ญตลอด ก็สามารถเห็นได้จากสิ่งนี้ว่าเขาทำเหมือนตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นคนกันเองแล้ว
“โฮก…”
มังกรมารเก้าตนคำรามพลางเคลื่อนที่ต่ำลง จากนั้นก็ค่อยๆ หยุดเคลื่อนที่อย่างช้าๆ
ตงป๋อเสวี่ยอิงและแม่เฒ่าอิงซานลงจากรถม้า รถม้าหายลับไปจากสายตาในทันที มังกรมารเก้าตนเดินจากไปในทันใด แล้วบินตรงไปอย่างส่วนลึกของยอดเขาที่ถูกไอสีขาวอันหนาวเหน็บบดบังทางด้านหลังไกลออกไปของประมุขรัฐเมฆทักษิณา
“คารวะท่านประมุขรัฐ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงและแม่เฒ่าอิงซานต่างก็คารวะอย่างเคารพ
นี่คือครั้งแรกที่ตงป๋อเสวี่ยอิงได้พบกับประมุขรัฐเมฆทักษิณา ประมุขรัฐเมฆทักษิณาสวมอาภรณ์สีทองอันหรูหรางดงาม ร่างกายผอมเล็กนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นหญ้าสีดำ ถึงแม้ว่าจะร่างผอมเล็ก แต่กลับรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสมบูรณ์กับห้วงอากาศบริเวณรอบๆ ทำให้คนอดที่จะเกิดความรู้สึกเคารพบูชามิได้
“ช่างเป็นตำนานในบรรดาวีรบุรุษโดยแท้” ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจดีว่าผู้แกร่งกล้าที่มิได้เป็นหกรัฐโบราณคนหนึ่ง ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีเคล็ดสืบทอดลับ อาศัยเพียงแค่สมบัติลับล้ำค่าที่กล้าแกร่งชิ้นหนึ่งแล้วบำเพ็ญมาจนถึงระดับนี้ ก่อตั้งสำนักวิชา อีกทั้งยังขึ้นชื่อว่าเป็นสิบสำนักใหญ่ได้ ความมั่งมีของเขายังเลื่องลือไปทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา มั่งมีจนถึงระดับขั้นนี้ แม้กระทั่งบรรดาบรรพชนของหกรัฐโบราณเหล่านั้นก็ยังอิจฉาตาร้อนกันเป็นอย่างยิ่ง แน่นอนว่าย่อมต้องเคยลงมือกับประมุขรัฐเมฆทักษิณามาก่อนอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่เคยประสบความสำเร็จเลย ก็ได้แต่ยอมแพ้ไปเท่านั้น
แปดสำนักในบรรดาสิบสำนักใหญ่ล้วนมาจากหกรัฐโบราณทั้งสิ้น
ที่มิใช่หกรัฐโบราณ… หนึ่งก็คือสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ ส่วนอีกหนึ่งแห่งก็คือ ‘ลัทธิกระบี่สวรรค์’ ที่ประมุขรัฐกระบี่สวรรค์ก่อตั้งขึ้น
ประมุขรัฐกระบี่สวรรค์ก็เป็นวีรบุรุษแห่งยุคคนหนึ่งเช่นกัน แต่เขากลับมิได้มีความแกร่งดังเช่นประมุขรัฐเมฆทักษิณา เขาทำกำไรเป็นแก้วผลึกจักรวาลจำนวนมหาศาล แต่กลับส่งมอบให้กับรัฐโบราณคิมหันตวายุและรัฐโบราณสหโลกาเป็นจำนวนมาก จึงเพียงพอที่จะทำให้ ‘ลัทธิกระบี่สวรรค์’ แผ่ขยายไปได้ตามอำเภอใจ ถึงขนาดที่ระดับความแพร่หลายร้ายกาจกว่าสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์อยู่เล็กน้อย แต่ถึงอย่างไรก็ยังถูกสองรัฐโบราณกดดัน พูดถึงความมั่งคั่งก็ย่อมห่างชั้น มิอาจเทียบกับประมุขรัฐเมฆทักษิณาได้เลย
ตอนแรกประมุขรัฐเมฆทักษิณาก็สามารถต้านทานการสังหารระลอกแล้วระลอกเล่าได้ นั่งประจำตำแหน่งอย่างมีเสถียรภาพผ่านวันเวลาอันยาวนานมาจนกระทั่งบัดนี้ พื้นฐานของเขาก็ย่อมทวีความลึกล้ำยากหยั่งถึง แน่นอนว่าเขาอยู่อย่างถ่อมตนมาโดยตลอด สร้างมิตรไมตรีไปทั่วทิศ พลังยุทธ์อันแท้จริงของเขาที่แท้แล้วเป็นเช่นไร ตอนนี้ก็ยังคงเป็นความลับอยู่
“ข้าประหลาดใจนัก เหตุใดเจ้าจึงเลือกข้าเป็นอาจารย์ มิใช่บรรพชนฝานเล่า” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาพูดพลางยิ้มน้อยๆ ในขณะนี้ข้างกายของเขามีเงาร่างอื่นๆ อีกห้าสายยืนอยู่ ซึ่งก็คือศิษย์คนอื่นๆ อีกห้าคนของประมุขรัฐเมฆทักษิณา ทุกคนต่างก็มองดูตงป๋อเสวี่ยอิง พวกเขาต่างก็ประหลาดใ
เช่นเดียวกัน…บรรพชนฝานรับศิษย์หรือ แล้วอิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้ยังปฏิเสธอีกด้วยอย่างนั้นหรือ
“ข้าอยากศึกษาเคล็ดร่างแยกให้สำเร็จโดยเร็วที่สุด” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา
“เคล็ดร่างแยกหรือ”
ประมุขรัฐเมฆทักษิณาพยักหน้าน้อยๆ
บรรดาศิษย์พี่ชายหญิงที่ยืนอยู่ข้างๆ เมื่อได้ยินวาจานี้แล้วกลับเกิดความคิดต่างๆ นานาขึ้นมา
“เคล็ดร่างแยกเป็นเคล็ดลับรักษาชีวิตระดับยอดสุดของดินแดนจิตโลกา ยากที่จะศึกษาได้อย่างแท้จริง แต่อาจารย์ก็จะถ่ายทอดให้กับศิษย์โดยตรง”
“ช่างมีบุคลิกระแวดระวังตนยิ่งนัก”
“กลัวตายหรือไร เฮอะ กลัวว่าอยู่ในสกุลฝานแล้วจะตายเสียตั้งแต่ยังมิได้เป็นเทพจักรวาล ศึกษาเคล็ดร่างแยกไม่สำเร็จกระมัง”
พวกเขาคิดกันไปต่างๆ นานา
แต่ประมุขรัฐเมฆทักษิณาก็เพียงแค่ประหลาดใจเท่านั้น เขาย่อมมิได้สนใจเหตุผลของตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่แล้ว เขาก็มิได้เหมือนกับบรรพชนฝานที่เลือกศิษย์ตามอารมณ์เท่านั้น ประมุขรัฐเมฆทักษิณาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้ผู้ช่วยที่ร้ายกาจจำนวนหนึ่ง ถึงอย่างไรไม่ว่าจะเป็นการทำให้รัฐเมฆทักษิณามีเสถียรภาพมั่นคง หรือว่าการเผยแพร่สำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ ก็จำเป็นต้องใช้ยอดฝีมือผู้ร้ายกาจทั้งสิ้น
“เอาล่ะ” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาพยักหน้า “เจ้าคุกเข่าเสียสิ”
“อิงซานเสวี่ยอิงคารวะท่านอาจารย์” ตงป๋อเสวี่ยอิงคุกเข่าลงกราบอาจารย์ในทันที ผู้สำเร็จย่อมมาก่อน ในภายหน้าการบำเพ็ญทางด้านห้วงอากาศของเขายังต้องให้ประมุขรัฐเมฆทักษิณาชี้แนะ ทั่วทั้งดินแดนจิตโลกานั้น ผู้ที่สามารถเทียบเคียงกับประมุขรัฐเมฆทักษิณาทางด้านห้วงอากาศนั้นน้อยจนสามารถนับนิ้วได้ ก็ย่อมมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นอาจารย์ของตนอยู่แล้ว
ประมุขรัฐเมฆทักษิณาอมยิ้มน้อยๆ พลางพยักหน้าเอ่ยว่า “พวกเรามีกฎเกณฑ์น้อยนิด เพียงแค่อย่างเดียวเท่านนั้นก็คือห้ามทรยศหักหลังสำนัก ก่อนหน้านี้เจ้าเป็นเพียงแค่ศิษย์ภายใต้สำนักคนหนึ่ง ที่เรียนได้ก็มีเพียงแค่เคล็ดสืบทอดลับวิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่าเท่านั้น ศาสตร์ลับศาสตร์นี้มีผู้เรียนรู้เป็นจำนวนมาก ถึงเจ้าจะคารวะเข้าสู่ขุมอำนาจอื่นก็ไม่เป็นไร แต่ตอนนี้ในเมื่อเป็นศิษย์ถ่ายทอดเองของข้าแล้วก็ห้ามทรยศสำนัก ถ้าหากหักหลังแล้วข้าก็จะตามล่าสังหารเจ้าโดยไม่เสียดายสิ่งใดเลย”
“ศิษย์เข้าใจดี” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
ประมุขรัฐเมฆทักษิณาอยากจะสังหารผู้ใด…
ต่อให้ตัวเขามิอาจฆ่าให้ตายได้ด้วยตนเอง ด้วยความมั่งมีของเขาก็สามารถเชื้อเชิญบุคคลผู้ไร้เทียมทานระดับบรรพชนฝานไปลงมือให้ได้อยู่แล้ว!
“เอาล่ะ” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาพยักหน้าแล้วพลิกมือขวาคราหนึ่ง ก็มีตำรากึ่งโปร่งแสงสองเล่มปรากฏขึ้น บนตำรามีประกายสีทองระยิบระยับ
“เข้าสู่สำนักของข้า จะต้องศึกษาเคล็ดร่างแยกและศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา สองเคล็ดวิชาการรักษาชีวิตนี้เสียก่อน” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาพูด ตำราสองเล่มในมือลอยไปถึงตรงหน้าตงป๋อเสวี่ยอิง “ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาเป็นเคล็ดวิชาที่ข้าคิดค้นขึ้น ส่วนเคล็ดร่างแยกศาสตร์นี้ของข้า เดิมทีเป็นข้าที่ริเริ่มคิดค้น ต่อมา ‘คนพเนจร’ หนึ่งในห้าบรรพชนของรัฐโบราณสหโลกาได้ช่วยทำให้สมบูรณ์แบบ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงรับมา
“ปัง”
รับสัมผัสเล็กน้อย
ทันใดนั้นประกายจำนวนมหาศาลก็ลอยออกมาจากกลางตำรา ลอยเข้าสู่ส่วนลึกของหว่างคิ้วตงป๋อเสวี่ยอิง
วิชาสืบทอดสองศาสตร์ ด้วยระดับความแข็งแกร่งของวิญญาณเขาก็จดจำลงไปจนหมดสิ้นได้อย่างรวดเร็วยิ่ง
“โอ้” ตงป๋อเสวี่ยอิงประหลาดใจเล็กน้อย
ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาก็แล้วไปเถิด ชาติก่อนตนก็สามารถทำการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นได้ ความจริงแล้วก็คือศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา ถึงแม้ว่าจะเป็นโลกกำเนิดสองแห่งที่แตกต่างกัน ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกามีความแตกต่างกันอยู่บ้าง แต่ก็มีพื้นฐานที่เหมือนกัน เขาเพียงแค่อ่านดูรอบหนึ่งก็เรียนรู้ได้สำเร็จในทันที
ส่วนเคล็ดร่างแยกนั้นแตกต่างไปจากที่เขาคาดคิดเอาไว้
เคล็ดร่างแยกศาสตร์นี้
ถึงอย่างไรก็ต้องบำเพ็ญศาสตร์ ‘ทลายเวหา’ หนึ่งในสองเคล็ดสืบทอดลับของวิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่าให้สำเร็จก่อน! ศาสตร์นี้ก็คือพลังยุทธ์ระดับขั้นอลวนชั้นที่สิบ มีเพียงการฝึกศาสตร์นี้ให้สำเร็จเท่านั้น ด้วยสิ่งนี้ทลายเวหา ก็คือสามารถตีพื้นฐานห้วงอากาศของโลกกำเนิดให้แตกได้แล้ว สัมผัสได้ถึงโลกระดับที่สูงขึ้นของโลกภายนอก หลังจากนี้ด้วยการดึงดูดกลิ่นอายของโลกภายนอกมาบำเพ็ญวิญญาณของตนเอง จึงมีความหวังที่จะสำแดงเคล็ดร่างแยกออกมาได้
“นี่คงจะไม่เหมือนกันกับเคล็ดร่างแยกของจ้าวภูเขาฉื้อเหมย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ
ตัวจ้าวภูเขาฉื้อเหมยเองก็มีพลังยุทธ์ขั้นอลวนชั้นที่เก้า แต่กลับมีเคล็ดร่างแยกแล้ว
เห็นได้ชัดว่าเคล็ดร่างแยกของทั้งสองคนนั้นไม่เหมือนกัน
ตัวประมุขรัฐเมฆทักษิณาเองก็พูดแล้วว่าเป็นเขาที่คิดค้นขึ้นมาก่อน ภายหลังจึงได้ ‘คนพเนจร’ หนึ่งในห้าบรรพชนรัฐโบราณสหโลกามาทำให้สมบูรณ์
“เส้นทางการเข้าสู่สำนักแตกต่างกัน แต่กลับสามารถบำเพ็ญเคล็ดร่างแยกได้สำเร็จเหมือนกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบทอดถอนใจ
“ที่ดินแดนจิตโลกา ผู้ที่มีวิชาสืบทอดเคล็ดร่างแยกนั้นน้อยจนสามารถนับนิ้วได้” ประมุขรัฐเมฆทักษิณามองดูตงป๋อเสวี่ยอิง “เหล่าเทพจักรวาลต่างก็อยากที่จะศึกษา แต่ก็ไม่มีหนทางที่จะศึกษาได้ แม้กระทั่งภายในสกุลฝาน ก็ยังเป็นเคล็ดลับระดับขั้นสูงสุดเลยทีเดียว”
ประมุขรัฐเมฆทักษิณาก็ยังมีความภาคภูมิใจอยู่พอสมควร
“นี่คือวัตถุล้ำค่าที่จำเป็นต้องใช้ในการบำเพ็ญไปถึงร่างเมฆทักษิณาทิพย์ชั้นที่สิบอันสมบูรณ์” แล้วประมุขรัฐเมฆทักษิณาก็โบกมือคราหนึ่ง ก่อนจะส่งกำไลเก็บวัตถุวงหนึ่งมาให้ นี่ก็เป็นเรื่องปกติที่เขาทำเช่นนี้กับศิษย์ทุกคน “บำเพ็ญให้ดีๆ ล่ะ ด้วยพรสวรรค์ของเจ้า การบำเพ็ญเคล็ดสืบทอดลับวิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่าจนสำเร็จก็น่าจะรวดเร็วเช่นกัน ยังมี… มังกรมารตนนี้ ยกให้เป็นพาหนะของเจ้าก็แล้วกัน”
พูดพลางโบกมือคราหนึ่ง
โฮก~~~
ที่ด้านหลังของสระลึกที่อยู่เบื้องหลัง ท่ามกลางทิวเขาที่ปกคลุมด้วยไอหนาวเหน็บ มังกรมารดำตนหนึ่งบินออกมา มันบินมาถึงตรงหน้าตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างฉลาดเฉลียวยิ่ง
พูดแล้วก็มอบลูกแก้วสีแดงโลหิตลูกหนึ่งให้กับตงป๋อเสวี่ยอิง ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจว่านี่ก็คือแก่นที่ใช้ควบคุมมังกรมารดำ เช่นมารรับใช้จื่อไป๋ ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้จะติดตามตนเองอยู่ แร่ในความเป็นจริงแล้วเจ้านายของมันก็คือแม่เฒ่าอิงซาน
“มังกรมารหรือ” ในบรรดาศิษย์ห้าคนที่อยู่ด้านข้าง นอกจากสองคนที่ยังสามารถรักษาความสงบนิ่งเอาไว้ได้ คนอื่นๆ อีกสามคนล้วนมีสีหน้าแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย
สิ่งที่มอบให้ก่อนหน้านี้ล้วนเป็นไปตามปกติทั้งสิ้น
มังกรมาร…
ตอนที่พวกเขากราบอาจารย์ล้วนไม่ได้รับกันทั้งสิ้น! นี่เป็นสิ่งที่เพิ่มให้เป็นพิเศษ! มังกรมารที่จงรักภักดีซึ่งสามารถสำแดงพลังยุทธ์ขั้นอลวนชั้นที่เก้าได้ตนหนึ่ง มูลค่าสูงถึงหนึ่งพันห้าร้อยล้านแก้วผลึกจักรวาลเลยทีเดียว! แล้วจะให้พวกเขาสงบจิตสงบใจได้อย่างไรกัน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น