Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 33 ตอนที่ 37-44
ตอนที่ 37 การบูชาโลหิตของทะเลสาบมารทมิฬ
Ink Stone_Fantasy
วิญญาณของขั้นอลวนทำให้ความเร็วในการบำเพ็ญและรับรู้ของตงป๋อเสวี่ยอิงพุ่งทะยานขึ้นเป็นอย่างมาก เขาสงบใจค้นคว้าหอกเทพเมฆาแดงที่เพิ่งได้มาเล่มนี้ ในฐานะที่หอกเทพเมฆาแดงเป็นอาวุธที่นายท่านฉื้ออวิ๋นใช้ขณะที่เป็นระดับยอดสุด จึงเป็นหอกที่สมบูรณ์และมีอานุภาพยอดเยี่ยม…ราคาไม่แพ้ ‘ค้อนเมฆเวหา’ นั้นเลยแม้แต่น้อย นอกจากนี้ค้อนเมฆเวหายังเป็นสิ่งที่ ‘ผู้เคารพผอหนู’ ทอดทิ้งไป แล้วหลอมสมบัติลับที่ เหมาะสมกับตนเองมากกว่าขึ้นมา ส่วนหอกเทพเมฆาแดงเล่มนี้ไม่เคยถูกทอดทิ้งมาก่อน…หากจะซื้อขายกันจริงๆ ไม่แน่ว่าว่าราคาอาจจะสูงกว่าค้อนเมฆเวหาอยู่เล็กน้อย
โดยสรุปแล้ว นี่เป็นอาวุธที่มีเพียงเทพจักรวาลที่ทุ่มเทสมบัติล้ำค่าอย่างเต็มที่เท่านั้นจึงจะสามารถซื้อได้ ด้วยความโชคดีของตงป๋อเสวี่ยอิง แน่นอนว่าเขาอาศัยระดับขั้นจึงได้ด้ามหอกมาจากสถานที่เล็กๆ อย่างเมืองอัคคีโชติได้
จากด้ามหอก เขาก็ได้พบหัวหอกในนครหลวง และหัวหอกก็เป็นแม่เฒ่าอิงซานที่ช่วยซื้อมาอีกต่างหาก
เช่นนี้ จึงได้หอกยาวมาอยู่ในมืออย่างแท้จริง
อันที่จริงแล้ว…
ดินแดนจิตโลกามีประวัติศาสตร์ยาวนานยิ่งนัก โบราณสถานก็มากมายอย่างยิ่ง ผู้แกร่งกล้าจำนวนมากที่สิ้นใจไปในสงครามรัฐโบราณครั้งที่หนึ่งและครั้งที่สองก็มากเสียจนน่าตกใจ สมบัติล้ำค่าต่างๆ ที่สูญหายไปภายนอกแล้วถูกกลบอยู่ใต้ธุลีดินก็มีมากมาย บางส่วนต้องอาศัยโชค บางส่วนก็ต้องใช้เวลา
“ฟิ้วๆ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ภายในเจดีย์เทพอากาศ พยายามสำแดงหอกยาวออกมาอย่างเต็มที่และฝึกฝนกระบวนท่า บางครั้งก็สงบจิตใจสำแดงและรับรู้
เมื่อเวลาเคลื่อนคล้อยไป เขาก็ยิ่งตกใจกับหอกยาวเล่มนี้
“ผิดแล้วๆ เดิมทีข้าคิดว่าอักขระลับภายในหอกเทพเมฆาแดงแค่สามารถสำแดงออกมาได้สองกระบวนท่าเท่านั้น กระบวนท่าหนึ่งคือบริเวณ อีกกระบวนท่าหนึ่งก็คือท่าไม้ตายโจมตี แต่นั่นคือการรับรู้ในช่วงต้นของข้า โดยที่ด้ามหอกและหัวหอกยังมิได้ผสานกัน บัดนี้เมื่อตั้งใจรับรู้โดยละเอียดแล้ว…กลับห่างไกลจากแค่สองกระบวนท่ามากนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงตื่นเต้นขึ้นมา
อันที่จริงแล้วในฐานะอาวุธที่นายท่านฉื้ออวิ๋นใช้ทำสงคราม ก็ย่อมนำกระบวนท่าที่ตนเชี่ยวชาญที่สุดหลอมเข้าไปไว้ในอาวุธด้วยเป็นธรรมดา เพื่อจะได้อาศัยอาวุธสำแดงพลังรบที่แข็งแกร่งที่สุดออกมา
ภายในอาวุธชิ้นนี้…สามารถกล่าวได้ว่าแฝงเอาไว้ด้วยวิธีการกว่าครึ่งของนายท่านฉื้ออวิ๋นแล้ว
ทว่า อาวุธนั้นไม่เหมือนกับศาสตร์ลับ มันถูกหลอมขึ้นมาก็เพื่อใช้สำหรับการรบ มิได้มีไว้สำหรับถ่ายทอดให้ศิษย์ จึงยากกว่าการค้นคว้าศาสตร์ลับมากทีเดียว
“ฮ่าฮ่า เป็นโอกาสครั้งใหญ่จริงๆ ครั้งใหญ่จริงๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
ต่อให้เป็นวิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่าที่สมบูรณ์ ก็มีกระบวนท่าต่อสู้เพียงสองชนิดเท่านั้น
หอกเทพเมฆาแดงนี้ บัดนี้ตนรับรู้ในขั้นแรกก็ค้นพบถึงสามชนิดแล้ว
เห็นได้ชัดว่าวิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่าเป็นสิ่งที่ประมุขรัฐเมฆทักษิณาถ่ายทอดออกสู่ภายนอก ศิษย์ภายใต้สำนักล้วนสามารถศึกษาได้ วิชาฉบับง่ายนั้นเป็นสิ่งที่เผยแพร่ไปทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาอีกต่างหาก ถ้าทุ่มเทแก้วผลึกจักรวาลสักหน่อยก็สามารถได้มันมา ส่วนฉบับสมบูรณ์ หากไม่เข้าร่วมสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ ถ้าทุ่มเทมากหน่อยก็มีโอกาสได้มาเช่นกัน
แน่นอนว่าประมุขรัฐเมฆทักษิณาไม่มีทางนำกลเม็ดทั้งหมดไปบรรจุไว้ภายในวิชาที่เผยแพร่สู่ภายนอก
กลเม็ดต่างๆ อย่างศาสตร์ร่างแยก ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา หรือวิถีตรีภพนั้น วิชาใดบ้างที่ไม่ล้ำค่ากว่าวิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่า
ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า
วิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่าถ่ายทอดสู่ภายนอกเท่านั้น แฝงไว้ด้วยกลเม็ดอันร้ายกาจอย่างยิ่งสองชนิดด้วยกัน เมื่อรวมกับวิธีการฝึกกาย ‘ร่างเมฆทักษิณาทิพย์’ ก็นับว่าเป็นสามกลเม็ด
หอกเทพเมฆาแดงกลับแฝงไว้ด้วยกลเม็ดกว่าครึ่งของนายท่านฉื้ออวิ๋น เมื่อเทียบกัน ก็จะรู้ถึงความแตกต่างของทั้งสองแล้ว
*******
ระหว่างที่ตงป๋อเสวี่ยอิงบำเพ็ญอย่างบ้าคลั่งนั้น เวลาก็ล่วงเลยไปอย่างไม่หยุดหย่อนโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
เขาบ้าคลั่งอย่างแท้จริง เนื่องจากขณะอยู่ในบ้านเกิด เขาสามารถคิดค้นกระบวนท่าระดับชั้นที่เก้าได้สองกระบวนท่า และติดอุปสรรคอยู่ก่อนแล้ว ต่อให้นั่งเหี่ยวเฉาไปแสนล้านปีก็ยากนักที่จะได้อะไรมา แต่บัดนี้ไม่ว่าจะเป็นวิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่าหรือรับรู้หอกเทพเมฆาแดงหรือจะบำเพ็ญคัมภีร์อันล้ำค่าที่ตนได้มาจากสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์เป็นจำนวนมาก ก็แทบจะก้าวหน้าได้ตลอดเวลาแล้ว
ความรู้สึกก้าวหน้าเช่นนี้ทำให้เขาลุ่มหลงเป็นอันมาก
“เยี่ยมยอด”
ยิ่งบำเพ็ญก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงความลึกล้ำของทรัพยากรของดินแดนจิตโลกา อย่างในอากาศอันสับสนอลหม่าน ตนก็นับได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งทางด้านเขตลวงอากาศแล้ว ตนไม่มีที่ให้ศึกษา ทำได้เพียงคลำทางด้วยตนเองเท่านั้น แต่ในบรรดาคัมภีร์เขตลวงอากาศที่ได้มาจากสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์นั้น คัมภีร์ที่สำเร็จเป็นเทพจักรวาลก็มีถึงสองเล่มด้วยกัน คัมภีร์อื่นๆ ที่พอจะมีส่วนช่วย ควรค่าให้ตนค้นคว้าก็มีถึงสิบหกเล่มด้วยกัน
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงบอกกับคนอื่นภายนอกว่าจะเก็บตัวนานมาก
แต่อันที่จริงแล้ว ก็เกินกว่าที่พวกท่านโหวหั่วเลี่ย อิงซานเลี่ยฮู่และหรงซิงหลันคาดการณ์เอาไว้ สำหรับผู้บำเพ็ญที่เก่าแก่ทั้งหลาย เวลาการเก็บตัวครั้งนี้ก็ไม่นับว่าเป็นอะไรได้ แต่สำหรับผู้บำเพ็ญวัยเยาว์ซึ่งก่อนหน้านี้เพิ่งจะบำเพ็ญไปเพียงห้าร้อยล้านปีเท่านั้น การเก็บตัวครั้งนี้ก็นับว่านานเกินไปแล้วจริงๆ
……
เพียงพริบตาเดียวก็ผ่านไปหนึ่งพันห้าร้อยล้านปีแล้ว
ณ ทะเลสาบมารทมิฬ
ตัวทะเลสาบเองก็กว้างใหญ่ไม่แพ้รัฐหนึ่งแล้ว ทั้งยังมีมารร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนด้วย หากพูดถึงความแข็งแกร่งของพลัง ทะเลสาบมารทมิฬก็แข็งแกร่งกว่านครหลวงใดๆ ในสี่รัฐมารทมิฬมากทีเดียว หกรัฐโบราณก็ยากที่จะกำจัดพวกมันทิ้งได้ …ถือเป็นแหล่งรวมตัวของมารร้ายอันดับแรกสุดของทั้งดินแดนจิตโลกาเลยทีเดียว
ยามนี้ ภายในพระราชวังอันเรืองรอง ณ ส่วนลึกของทะเลสาบมารทมิฬ
บุรุษอาภรณ์เขียวผู้มีสีหน้าซีดเซียวราวกับคนป่วยนั่งอยู่บนบัลลังก์สูง รอบบัลลังก์มีเงารางสีแดงโลหิตอันคดเคี้ยวปรากฏขึ้น เงารางสีแดงโลหิตแทบจะครองพื้นที่ครึ่งค่อนโถงตำหนัก กลิ่นอายที่แผ่กำจายออกมาก็น่าหวาดหวั่นผิดธรรมดา ทำให้กาลมิติรอบด้านสั่นสะเทือนเล็กน้อย
ถัดลงไปทั้งสองข้างเบื้องล่าง มีเงาร่างนั่งอยู่ข้างละหนึ่งร่าง
ร่างหนึ่งก็คือยักษ์ศิลาซึ่งมีร่างกายขนาดมหึมา เพียงแต่ว่านัยน์ตาทั้งคู่ของเขากลับราวกับมีลูกไฟกำลังแผดเผา ดวงตาไฟแต่ละข้างราวกับดวงดาราเพลิงอย่างไรอย่างนั้น
ส่วนอีกร่างหนึ่งก็คือชายชราผมเขียวร่างผอมซูบ มุมปากของชายชราผมเขียวผู้นี้มีรอยยิ้มระบายอยู่ บนร่างก็มีงูเรียวยาวสีดำรายล้อมรอบกาย
“ตามกฎแล้ว สถานที่สำหรับการบูชาโลหิตในครั้งนี้น่าจะเป็นรัฐเมฆทักษิณา” เสียงของบุรุษอาภรณ์เขียวที่นั่งอยู่ตรงตำแหน่งประธานนั้นเยียบเย็น
“ประมุขรัฐเมฆทักษิณานั้นรังแกไม่ได้ง่ายๆ เลย” เสียงของยักษ์ศิลาดังกึกก้อง
“เฮอะ รังแกไม่ได้ง่ายๆ แล้วอย่างไรกันเล่า ไม่ว่าผู้ใดก็มิอาจขัดขวางการบูชาโลหิตได้ จะต้องทำให้ทั้งสี่รัฐมารทมิฬเข้าใจว่า ผู้ที่สั่งการได้ในสี่รัฐมารทมิฬก็คือทะเลสาบมารทมิฬของพวกเรา!” ชายชราผมเขียวร่างผอมซูบยิ้มเย็น “อย่างรัฐประกายเพลิง พวกเรามักจะไปเข่นฆ่าและทำลายคูเมืองแห่งแล้วแห่งเล่าเป็นประจำ อย่างรัฐเมฆทักษิณา นานๆ ทีจึงจะลงมือสักครั้ง ก็นับว่าไว้หน้าประมุขรัฐเมฆทักษิณาแล้ว”
ยักษ์ศิลาพูดเสียงต่ำว่า “ข้ารู้ว่าควรลงมือได้แล้ว ข้าเพียงแค่พูดว่ารังแกไม่ได้ง่ายๆ ก็เท่านั้น พวกเราควรจะเลือกเมืองเล็กๆ สักแห่งพอเป็นพิธีก็ใช้ได้แล้ว”
“อื้ม” ชายชราผมเขียวร่างผอมซูบก็พยักหน้า “แค่เมืองเล็กก็พอแล้ว หากเป็นเมืองใหญ่ เกรงว่าประมุขรัฐเมฆทักษิณาคงจะต้องคลุ้มคลั่งแน่”
“ทางสายของพวกเราลงมือทั้งที ก็ต้องทำให้งดงามเสียหน่อย” บุรุษอาภรณ์เขียวกล่าว
มารร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนภายในทะเลสาบมารทมิฬก็มีการแบ่งพรรคแบ่งพวกเช่นกัน
การบูชาโลหิตนั้น ก็เป็นสำนักทั้งสามที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป
“เลือกเมืองเล็กสักแห่งหนึ่ง ก็ต้องทำให้งดงามสักหน่อย” ชายชราผมเขียวผอมซูบกล่าว “เมืองเล็กก็ต้องพิเศษสักหน่อย ข้ารู้ว่ามีเมืองเล็กแห่งหนึ่งที่ไม่เลวเลย มีนามว่า ‘เมืองอัคคีโชติ’ ก่อนหน้านี้เมืองอัคคีโชติแห่งนี้ก็ให้กำเนิดผู้มีพรสวรรค์ที่เยี่ยมยอดอย่างยิ่งคนหนึ่งขึ้นมา อยู่ในนครหลวงรัฐเมฆทักษิณาก็นับว่าเก่งกาจมากทีเดียว การทำลายเมืองเล็กๆ ซึ่งมีผู้มีพรสวรรค์ไร้เทียมทานพรรค์นี้…ก็นับว่าสะท้านสะเทือนไปทั่วรัฐเมฆทักษิณา! ทำให้ทั้งนครหลวงรัฐเมฆทักษิณารู้จักชื่อเสียงอันเกรียงไกรของทะเลสาบมารทมิฬของเรา”
“ขอรับ ถูกต้อง” ยักษ์ศิลาก็เห็นด้วย
“เช่นนั้นเมืองอัคคีโชติก็แล้วกัน พวกเจ้าสองคนไปเตรียมตัว ต้องทำให้งดงามหน่อยล่ะ ทั้งเมืองอัคคีโชติต้องบูชาโลหิตให้หมด” บุรุษอาภรณ์เขียวพยักหน้ากำชับ สหายทั้งสองย่อมไม่ขัดเรื่องอย่างสถานที่ของการบูชาโลหิตอยู่แล้ว
……
“ท่านบรรพชน”
เงาร่างบึกบึนที่มีเขาโค้งสีดำมองชายชราผมเขียวร่างผอมซูบที่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงหน้าด้วยความเคารพ บนร่างของชายชราผมเขียวร่างผอมซูบมีงูสีดำเรียวยาวตัวนั้นพันพาดอยู่ ทำให้เงาร่างบึกบึนที่มีเขาโค้งสีดำสัมผัสได้ถึงความหวั่นเกรง
“วางใจเถิด เรื่องที่เจ้าขอร้องข้า ข้าได้เตรียมการเอาไว้อย่างเหมาะเจาะแล้ว” ชายชราผมเขียวร่างผอมซูบกล่าว “นานแสนนาน ทะเลสาบมารทมิฬของเราจึงจะบูชาโลหิตที่รัฐเมฆทักษิณาสักครั้งหนึ่ง ครั้งนี้เวียนมาถึงทางสายตระกูลของพวกเราแล้ว ข้าจึงยอมช่วยเจ้า กำหนดสถานที่แล้วคือที่เมืองอัคคีโชติ ถึงตอนนั้นเจ้าก็สามารถล้างแค้นครั้งใหญ่ได้แล้วล่ะ”
“ขอบคุณท่านบรรพชนขอรับ” เงาร่างบึกบึนที่มีเขาโค้งสีดำตื่นเต้นหาใดเปรียบ
เขาพยายามเอาอกเอาใจท่านบรรพชนมาโดยตลอด แม้แต่พิษต่างๆ ที่ท่านบรรพชนชอบ เขาก็ทุ่มเทสมบัติที่สั่งสมไว้กว่าครึ่งเพื่อเก็บรวบรวมและซื้อมามอบให้ท่านบรรพชน ท่านบรรพชนจึงรับปากเขา
เพราะถึงอย่างไรจะแก้แค้นด้วยตนเองก็ยากเกินไปแล้ว
ตัวเมืองของรัฐเมฆทักษิณา มิใช่สิ่งที่ผู้ใดก็กล้ามาโจมตีได้ คิดจะทำให้สำเร็จก็ยิ่งนานเข้าไปใหญ่ จะต้องใช้ทั้งทะเลสาบมารทมิฬจึงจะได้! ทะเลสาบมารทมิฬกวาดล้างตัวเมืองแห่งแล้วแห่งเล่า ข้อแรกก็เพื่อให้ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วหล้า อีกด้านหนึ่งก็คือเพื่อ ‘การบูชาโลหิต’
“เฉินอู่ ครั้งนี้เจ้าก็จะร่วมศึกด้วย อย่าทำให้ข้าผิดหวังล่ะ” ชายชราผมเขียวร่างผอมซูบกล่าว “บูชาโลหิตให้หมดทั้งเมืองอัคคีโชติ ไม่ให้เหลือไว้แม้แต่คนเดียว”
“ขอรับ” ยามนี้เงาร่างบึกบึนที่มีเขาโค้งสีดำตื่นเต้นหาใดเปรียบ นัยน์ตาฉายแววรอคอยและความกระหายสงคราม เขารอวันนี้มานานแสนนานแล้ว เขาอยากเห็นโหวหั่วเลี่ยโกรธแค้นจนตาแทบถลนออกนอกเบ้าเป็นอย่างมาก เขาอยากเห็นความสิ้นหวังของอีกฝ่าย และท้ายที่สุด ตนก็จะได้สังหารโหวหั่วเลี่ยด้วยมือของตนเอง
ตอนที่ 38 การบูชาโลหิตเมืองอัคคีโชติ
Ink Stone_Fantasy
นอกเมืองอัคคีโชติ ฟ้าสว่างรำไร
เงาร่างสองสายยืนอยู่บนผืนดิน พลางทอดสายตามองออกไปยังเมืองอัคคีโชติอันตระหง่านง้ำ แม้ในรัฐเมฆทักษิณา เมืองอัคคีโชติจะจัดได้ว่าเป็นเมืองเล็กๆ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นตัวเมืองที่มีร่างแปรของเทพจักรวาลและขั้นอลวนประจำการอยู่ ในฐานะตัวเมืองที่มีผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนรวมตัวกัน…ก็มีขอบเขตกว้างใหญ่ไพศาลถึงแสนล้านลี้ จำนวนของผู้บำเพ็ญในเมืองก็มีนับล้านล้านคน
“ตัวเมืองของรัฐเมฆทักษิณสร้างขึ้นมาได้ฟุ่มเฟือยนัก” ชายชราผมเขียวร่างผอมซูบมองดูตัวเมืองพลางพูดยิ้มๆ ด้วยน้ำเสียงเย็นชา “น่าเสียดายที่อีกไม่นานก็จะกลายเป็นเมืองร้างไปเสียแล้ว”
“ถูกทะเลสาบมารทมิฬของเราทำการบูชาโลหิต ก็นับว่าเป็นโชคดีของพวกเขาแล้ว” บุรุษในอาภรณ์ขาวพิสุทธิ์ด้านข้างยิ้มน้อยๆ รอยยิ้มของเขาเจิดจ้า แฝงไว้ด้วยพลังที่ทำให้คนอบอุ่นหัวใจ นัยน์ตาทั้งคู่ก็ยิ่งฉายแววเย้ายวนอันถึงแก่ชีวิตได้ ราวกับเป็นสิ่งที่งดงามที่สุดในฟ้าดินนี้ เป็นดวงตาที่ดึงดูดให้ผู้คนมองมาทางเขาอย่างมิอาจควบคุมตนเองได้
“ประมุขมารเมฆาขาว ครั้งนี้ต้องรบกวนท่านแล้ว” ชายชราผมเขียวร่างผอมซูบพูดฝากฝัง
“ฮ่าฮ่า ก็แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ท่านเจ้าลัทธิกำชับด้วยตนเองทั้งที ข้าย่อมไม่รอช้าอยู่แล้ว” บุรุษในอาภรณ์ขาวพิสุทธิ์พูดยิ้มๆ
ชายชราผมเขียวร่างผอมซูบโบกมือคราหนึ่ง
ฟิ้ว
กลางท้องฟ้าด้านข้างมียอดฝีมือกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างแน่นขนัด มียักษ์ใหญ่ขั้นอลวนถึงยี่สิบคน และมีขั้นรวมเป็นหนึ่งนับหมื่นคน เมื่อมีคนเรือนหมื่น ก็ช่างให้ความรู้สึกเหมือนทะเลมนุษย์อย่างแท้จริง ยอดฝีมือขั้นรวมเป็นหนึ่งเหล่านี้ แต่ละคนสวมเกราะเอาไว้ เห็นได้ชัดว่าสามารถวางเป็นค่ายกลรบได้
“คารวะท่านบรรพชน คารวะประมุขมารเมฆาขาว” ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนทั้งยี่สิบคนกล่าวขึ้นด้วยความเคารพ จากนั้นกองกำลังขั้นรวมเป็นหนึ่งนับหมื่นเคยก็กล่าวขึ้นด้วยความเคารพโดยพร้อมเพรียงกัน พวกเขาเข้าใจสถานะของคนตรงหน้าทั้งสองเป็นอย่างดีว่าเป็นบุคคลระดับสูงของลัทธิทั้งสิ้น ท่านบรรพชนก็ไม่จำเป็นต้องพูดแล้ว เพราะนั่นเป็นถึงเทพจักรวาล ส่วน ‘ประมุขมารเมฆาขาว’ ด้านข้างก็เป็นหนึ่งในประมุขมารทั้งหลายของลัทธิ ผู้ที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นระดับ ‘ประมุขมาร’ แต่ละคนล้วนเป็นขั้นอลวนชั้นที่สิบ สามารถเทียบได้กับเทพจักรวาลเลยทีเดียว
อย่างในดินแดนจิตโลกา มีรัฐระดับสามบ่างแห่งที่มีเทพจักรวาลเพียงคนเดียวเท่านั้น ทะเลสาบมารทมิฬแค่ส่งประมุขมารออกมาเพียงคนเดียว ก็เพียงพอจะทำให้รัฐหนึ่งวุ่นวายได้แล้ว
“อื้ม”
ชายชราผมเขียวร่างผอมซูบพยักหน้า “การบูชาโลหิตครั้งนี้ จะนำโดยประมุขมารเมฆาขาว การบูชาโลหิตที่ตัวเมืองรัฐเมฆทักษิณาจะต้องทำให้งดงาม ให้สะท้านสะเทือนไปทั่วรัฐเมฆทักษิณาและรัฐรอบด้านทั้งสี่”
“ขอรับ” ทุกคนรับคำโดยพร้อมเพรียงด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม
ทุกคนรวมทั้งผู้แกร่งกล้าร่างบึกบึนที่มีเขาโค้งสีดำ ‘เฉินอู่’ ผู้นั้นล้วนตื่นเต้นเป็นอันมาก “รัฐเมฆทักษิณาค่อนข้างแข็งแกร่ง ทะเลสาบมารทมิฬก็ให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง อย่างตอนที่ทำลายตัวเมืองรัฐประกายเพลิงนั้น ส่งขั้นอลวนออกไปคนสองคนก็ใช้ได้แล้ว ครั้งนี้กลับนำโดยประมุขมารเมฆาขาวเอง รวมทั้งข้าและขั้นอลวนรวมยี่สิบท่าน ในหมู่พวกเราขั้นอลวนทั้งยี่สิบคน มีผู้ที่บรรลุถึงระดับเก้าถึงห้าคนด้วยกัน! ดีมาก ประเสริฐมาก ต้องทำให้ทั้งเมืองอัคคีโชติไร้แรงตอบโต้ เพื่อที่จะทำลายล้างพวกเขาได้อย่างง่ายดาย โหวหั่วเลี่ยเอ๋ย…ข้ารอวันนี้มานานแสนนานแล้ว ใกล้แล้ว จวนจะเริ่มแล้ว! อยากจะเห็นความสิ้นหวังบนใบหน้าของเจ้าจริงเชียว”
“อื้ม”
บุรุษในอาภรณ์ขาวพิสุทธิ์กำชับเสียงเรียบว่า “ตามรายงาน ผู้ที่นับได้ว่าเป็นยอดฝีมือภายในเมืองอัคคีโชติมีเพียงโหวหั่วเลี่ยและร่างแปรของจ้าวฉุนอวี้เท่านั้น”
“โหวหั่วเลี่ยอยู่ในจวนโหว ส่วนร่างแปรของจ้าวฉุนอวี้อยู่ในตำหนักทิพย์เมฆทักษิณา พวกเขาทั้งสองล้วนมีพลังชั้นที่แปดระดับยอด บวกกับมีค่ายกลเสริมความแข็งแกร่ง ก็นับได้ว่าเป็นชั้นที่เก้าอย่างพอถูไถ”
“เซวี่ยฝู เฉินอู่ พวกเจ้าสองคนนำผู้ใต้บังคับบัญชาขั้นอลวนไปล้อมโจมตีโหวหั่วเลี่ย แล้วสังหารเขาโดยเร็วที่สุด”
“ขั้นอลวนที่เหลือล้อมโจมตีร่างแปรของจ้าวฉุนอวี้! เมื่อสำเร็จแล้ว พวกเข้าก็ไปสนับสนุนอีกฝ่ายทันที”
“ขั้นรวมเป็นหนึ่งคนอื่นๆ…กระจายตัวกันออกไป กวาดล้างทั้งเมืองอัคคีโชติ”
“ส่วนข้าจะเป็นผู้ทำการบูชาโลหิต”
บุรุษในอาภรณ์ขาวพิสุทธิ์กล่าว
สถานะของเขาสูงส่งเพียงใดจึงย่อมรังเกียจที่จะลงมือด้วยตนเอง ตามหลักแล้ว การบูชาโลหิตที่ตัวเมืองหนึ่งๆ ไม่จำเป็นต้องส่งกองกำลังที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ออกมา แต่ครั้งนี้ก็เพื่อ ‘แสดงแสนยานุภาพ’ เป็นหลัก ทำให้นครหลวงทั้งสี่รอบด้านเชื่อฟังมากขึ้นสักหน่อย เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด จึงให้ประมุขมารคนหนึ่งนำกองกำลังด้วยตนเอง เห็นได้ชัดว่าทะเลสาบมารทมิฬนั้นไม่ยอมให้เกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นเด็ดขาด
“ขอรับ” ทุกคนในที่นั้นรับคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง
“ฮ่าฮ่า เช่นนั้นข้าก็จะเริ่มแล้วนะ” ชายชราผมเขียวร่างผอมซูบด้านข้างพูดกลั้วหัวเราะ บุรุษในอาภรณ์ขาวพิสุทธิ์ก็พยักหน้า
ชายชราผมเขียวร่างผอมซูบพลิกมือคราหนึ่ง ในมือก็มีภาพม้วนหนึ่งปรากฏขึ้น เขาโบกมือคราหนึ่ง
ฟิ้ว
ม้วนภาพพลันอันตรธานไปแล้วปรากฏขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะกลายเป็นม้วนภาพขนาดมหึมากลางท้องฟ้าเหนือเมืองอัคคีโชติ พละกำลังอันไร้รูปร่างก็โอบล้อมเมืองอัคคีโชติเอาไว้อย่างสิ้นเชิง แน่นอนว่าชายชราผมเขียวร่างผอมซูบและคนอื่นๆ นอกเมืองก็ย่อมอยู่ในขอบเขตที่ครอบคลุมไว้ด้วยเป็นธรรมดา
มิติปิดผนึก!
อาศัยสมบัติลับ บัดนี้มิติรอบเมืองอัคคีโชติล้วนถูกปิดผนึกไปสิ้น แม้แต่ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาก็มิอาจเข้าไปได้
ม้วนภาพขนาดมหึมาค่อยๆ อันตรธานไปในความเวิ้งว้างว่างเปล่า มิติทั่วทั้งเมืองอัคคีโชตินี้ก็มลายหายไปเช่นกัน นับแต่นี้เป็นต้นไป ก็จะมองเมืองอัคคีโชติไม่เห็น สัมผัสก็มิได้ ทั้งยังเข้าไปไม่ได้ด้วย! ราวกับอยู่ในมิติพิเศษอีกแห่งหนึ่งซึ่งเป็นเอกเทศจากทั้งดินแดนจิตโลกา เหมือนกับคูหาของจักรพรรดิเก้าเมฆาที่แม้แต่จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ยังหาไม่พบ
บัดนี้เมืองอัคคีโชติ มิติถูกปิดผนึกและตัดขาดขากภายนอกแล้ว
ส่วนภายในบริเวณที่ถูกปิดผนึก
นอกเมือง บุรุษในอาภรณ์ขาวพิสุทธิ์มองฉากนี้แล้วก็ออกคำสั่งเสียงเรียบว่า “เคลื่อนไหว”
สวบๆๆ…
กองกำลังกองแล้วกองเล่าเคลื่อนที่ในพริบตาไปอย่างรวดเร็ว ในจำนวนนั้น กองกำลังขั้นอลวนที่แข็งแกร่งที่สุดสองกอง แบ่งกันมุ่งหน้าไปยังคูหาของท่านโหวหั่วเลี่ยและตำหนักทิพย์เมฆทักษิณา
******
ภายในโถงตำหนักอันค่อนข้างมืดทึมแห่งหนึ่งในวังหลวงแห่งนครหลวงรัฐเมฆทักษิณา
“สวบๆๆๆ…”
เงาร่างสายแล้วสายเล่าปรากฏขึ้นภายในโถงตำหนักอย่างรวดเร็ว แต่ละคนสาวเท้าเข้าไปข้างในแล้วต่างคนต่างนั่งลง
ผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์กษัตริย์ ก็คือบุรุษร่างผอมเล็กในอาภรณ์สีเหลืองอ่อน จมูกเขาโด่งมาก นัยน์ตาทั้งคู่ลึกล้ำ แม้จะตัวผอมเล็ก ราวกับร่างกายหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับอากาศโดยรอบอย่างสิ้นเชิง เขาก็คืออากาศ อากาศก็คือเขา ทำให้เกิดอานุภาพกดดันอันไร้รูปร่าง ทำเอาผู้แกร่งกล้าทั้งหมดในที่นั้นล้วนต้องกลั้นหายใจ เขา ก็คือประมุขแห่งสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ หนึ่งในสิบสำนักใหญ่แห่งดินแดนจิตโลกานั่นเอง
“ท่านประมุขรัฐ”
บรรยากาศที่นั่นอึดอัด แต่ละคนล้วนมองไปทางประมุขรัฐ
นัยน์ตาลึกล้ำของประมุขรัฐเมฆทักษิณามองไกลออกไป โบกมือคราหนึ่ง กระจกทรงกลมบานหนึ่งก็ลอยคว้างอยู่กลางท้องฟ้า แล้วสะท้อนกาลมิติอันไร้ที่สิ้นสุด ไม่นานนักเหนือกระจกทรงกลมก็มีภาพของเมืองอัคคีโชติปรากฏขึ้น
“การบูชาโลหิต”
“เป็นการบูชาโลหิตของทะเลสาบมารทมิฬ”
จ้าวทั้งสามและอ๋องที่ได้รับการแต่งตั้งทั้งห้าล้วนมีสีหน้าไม่น่ามอง อ๋องที่ได้รับการแต่งตั้งทั้งห้าที่สามารถมาที่นี่ได้…ล้วนแต่เป็นขั้นอลวนระดับชั้นที่สิบ
“ไม่นะ”
ร่างแปรของแม่เฒ่าอิงซานก็ประจำอยู่ที่นครหลวง ยามนี้นางมองภาพเหนือกระจกทรงกลมด้วยความร้อนรน กระจกทรงกลมนี้มีนามว่า ‘กระจกยลฟ้า’ สามารถอาศัยสิ่งนี้สอดส่องดูทุกบริเวณทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาได้ สถานที่ซึ่งสามารถสกัดกั้นการสอดส่องของมันได้มีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย ต่อให้มิติปิดผนึกและถูกตัดขาด แม้แต่สถานที่ซึ่งมิอาจส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นได้ ก็สามารถสำรวจได้ด้วยเช่นกัน
นี่ก็คือสมบัติลับที่ราคาสูงลิ่วชิ้นหนึ่ง
“ท่านประมุขรัฐ” แม่เฒ่าอิงซานรีบยืดกายขึ้นแล้วพูดอย่างร้อนรนว่า “นี่คือเมืองอัคคีโชติ เมืองอัคคีโชติของตระกูลอิงซานของข้า จะมัวแต่มอง…”
ประมุขรัฐเมฆทักษิณาเงียบงัน นัยน์ตาลึกล้ำจับจ้องแต่กระจกยลฟ้า
“‘อิงซานเสวี่ยอิง’ ลูกหลานของตระกูลอิงซานเราก็อยู่ในเมืองอัคคีโชติด้วยเช่นกัน พรสวรรค์ของเขาสูงส่งอย่างยิ่ง ต้องได้รับการแต่งตั้งเป็นอ๋องอย่างแน่นอน” แม่เฒ่าอิงซานพูดอย่างร้อนรน
“ทำอย่างไรได้บ้าง”
ประมุขรัฐเมฆทักษิณาเอ่ยปากขึ้นในที่สุด น้ำเสียงทุ้มต่ำและเยียบเย็น “ลงมือหรือ หากข้าทำลายความปรองดองนี้ลงไป เช่นนั้นก็เท่ากับตบหน้าท่านเจ้าลัทธิทั้งสามแห่งทะเลสาบมารทมิฬ! เจ้าลัทธิทั้งสามแห่งทะเลสาบมารทมิฬล้วนแต่สามารถลงมือได้ ถึงตอนนั้นก็จะเกิดสงครามใหญ่ซึ่งแผ่คลุมไปทั่วทั้งรัฐเมฆทักษิณาขึ้นได้ ผู้บาดเจ็บล้มตายก็ยากที่จะประมาณได้”
แม่เฒ่าอิงซานพูดอะไรไม่ออกในทันใด
นางรู้
และนางก็เข้าใจ
แม้ประมุขรัฐเมฆทักษิณาจะปกครองทั้งรัฐเมฆทักษิณาให้เจริญรุ่งเรืองเป็นอันมาก แต่โดยเนื้อแท้ของทั้งดินแดนจิตโลกาแล้ว ก็ยังนับถือผู้แกร่งกล้า! ท่านเจ้าลัทธิทั้งสามแห่ง ‘ทะเลสาบมารทมิฬ’ แต่ละคนล้วนเป็นมารร้ายที่น่าหวาดหวั่นซึ่งเป็นภัยต่อทั้งดินแดนจิตโลกา แม้แต่หกรัฐโบราณก็ยังมิอาจกำจัดพวกเขาทิ้งได้ สี่รัฐมารทมิฬล้วนถูกปกคลุมอยู่ใต้เงามืดของพวกเขา!
เมื่อเทียบกันแล้ว รัฐเมฆทักษิณาก็นับว่าดีที่สุดแล้ว
รัฐประกายเพลิง…จำนวนครั้งในการกวาดล้างมากมายนัก ทะเลสาบมารทมิฬก็กวาดล้างบ้างเป็นครั้งคราว ทว่าก็ไม่มีทาง ‘วิดน้ำออกเพื่อจับปลา’ บรรดาเทพจักรวาลของรัฐประกายเพลิงก็มิกล้าต้านทาน
รัฐเพรียกหิมะนั้นกล้างัดข้อกับหกรัฐโบราณ นิสัยของประมุขรัฐก็มุทะลุดุดัน เขายังงัดข้อกับทะเลสาบมารทมิฬด้วย แต่ว่าหกรัฐโบราณและทะเลสาบมารทมิฬมิได้ถูกฉีกหน้าได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น ดังนั้นในประวัติศาสตร์ รัฐเพรียกหิมะก็ประสบกับหายนะใหญ่หลายครั้ง ทว่าทะเลสาบมารทมิฬก็ปวดหัวอยู่เช่นกัน เพราะถึงอย่างไรก็เป็นกระดูกแข็งที่ยากจะขบ ดังนั้นโดยทั่วไปก็จะไม่ลงมือ เมื่อลงมือแล้วก็ต้องให้บทเรียนอย่างหนักหน่วง
รัฐวอเฟิงอยู่ใกล้รัฐโบราณคิมหันตวายุที่สุด อันที่จริงก็สวามิภักดิ์ต่อรัฐโบราณคิมหันตวายุมานานแล้ว มีการคุ้มกันของรัฐโบราณคิมหันตวายุอยู่จึงดีกว่าอยู่บ้าง จำนวนครั้งที่ทะเลสาบมารทมิฬไปก่อเรื่องก็ค่อนข้างน้อย แต่ก็มีอยู่กหลายครั้ง
เพราะถึงอย่างไร…
ทะเลสาบมารทมิฬก็ไม่กลัวรัฐโบราณคิมหันตวายุอยู่แล้ว พวกเขากล้าไปทำตัวเป็นภัยในรัฐโบราณคิมหันตวายุเช่นกัน
มีเพียง ‘รัฐเมฆทักษิณา’ เท่านั้นที่นับว่ามีจำนวนครั้งน้อยที่สุด ตัวประมุขรัฐเมฆทักษิณาเองก็แข็งแกร่ง ทั้งยังผูกสัมพันธ์ไปทั่วสารทิศ ทั้งยังลอบสร้างสัมพันธ์อันดีกับท่านเจ้าลัทธิทั้งสามของทะเลสาบมารทมิฬอย่างลับๆ อีกด้วย! แต่ตอให้มีความสัมพันธ์ดีกว่านี้…ถึงอย่างไรทะเลสาบมารทมิฬก็บูชาโลหิตบ้างเป็นครั้งคราว โดยทั่วไปล้วนแต่เลือก เมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งในรัฐเมฆทักษิณาเท่านั้นเอง
นี่คือกฎเกณฑ์ที่แฝงอยู่
ซึ่งทั้งสองฝ่ายก็ล้วนทำตาม! ทะเลสาบมารทมิฬมีหน้ามีตา รัฐเมฆทักษิณาก็รักษาความรุ่งเรืองและมั่นคงเอาไว้ได้
“แต่ แต่ว่า…” แม่เฒ่าอิงซานมองดูกระจกที่ลอยคว้างอยู่กลางฟ้าบานนั้น มองดูภาพสะท้อนของบุรุษในอาภรณ์ขาวพิสุทธิ์ซึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิบำเพ็ญอยู่กลางอากาศจากในกระจก แม่เฒ่าอิงซานมองปราดเดียวก็จำได้ว่า นั่นคือประมุขมารเมฆาขาว สิ่งมีชีวิตระดับประมุขมารแห่งทะเลสาบมารทมิฬ แต่ลูกหลานตระกูลอิงซานเรา ยังมีเจ้าหนูเสวี่ยอิง…”
แม่เฒ่าอิงซานเจ็บปวดใจจริงๆ
นอกจากเรือนประจำตระกูลของตระกูลอิงซานแล้ว ก็ยังมีเรือนย่อยอีกหกแห่ง อย่างเมืองอัคคีโชตินี้ก็มีเรือนย่อยอยู่หลังหนึ่ง! ลูกหลานตระกูลอิงซานมากมายถึงเพียงนั้น ยังมีเจ้าหนูเสวี่ยอิงที่ยอดเยี่ยมไร้เทียมทานคนนั้นด้วย…
“เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไรกัน เป็นไปได้อย่างไรกัน” แม่เฒ่าอิงซานเจ็บปวดใจและแค้นเคือง นางอยากจะบุกเข้าไปนัก
แต่นางรู้ว่า
ภายใต้มิติที่ปิดผนึก นางก็หาเมืองอัคคีโชติไม่พบ! ผู้ที่มีพลังพอจะเข้าไปในรัฐเมฆทักษิณาได้ มีเพียงประมุขรัฐเมฆทักษิณาซึ่งสามารถสำแดง ‘ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา’ ออกมาได้เท่านั้น แต่ประมุขรัฐเมฆทักษิณาไม่มีทางฉีกหน้าท่านเจ้าลัทธิทั้งสามของทะเลสาบมารทมิฬเพียงเพราะเรื่องนี้อย่างแน่นอน
“สมควรตาย สมควรตาย” นัยน์ตาลึกล้ำของประมุขรัฐเมฆทักษิณาเงียบสงบมาก ราวกับมหาสมุทรใหญ่อันไร้ที่สิ้นสุดซึ่งไร้ระลอกคลื่น เบื้องล่างกลับมีคลื่นอาฆาตอันไร้ที่สิ้นสุด
ตัวเมืองใต้บังคับบัญชาของเขา
ไพร่ฟ้าของเขา
บัดนี้กำลังจะถูกกวาดล้าง ถูกบูชาโลหิต
แล้วเขาจะไม่โกรธแค้นได้อย่างไรกัน
แต่ว่า…บางครั้งก็ต้องอดทน! เมื่อเผชิญหน้ากับทะเลสาบมารทมิฬ บางครั้งเขาก็ต้องอดทน! กับหกรัฐโบราณ บางครั้งเขาก็ต้องอดทนเช่นเดียวกัน!
ตอนที่ 39 พบตัวอิงซานเสวี่ยอิงแล้ว!
Ink Stone_Fantasy
สิบสำนักใหญ่แห่งดินแดนจิตโลกา ก็เป็นของหกรัฐโบราณถึงแปดแห่งแล้ว!
สำนักวิชาที่เขาบุกเบิกสามารถขึ้นชื่อว่าเป็นสิบสำนักใหญ่ได้ ก็สามารถเห็นได้ถึงพลังยุทธ์และทักษะของประมุขรัฐเมฆทักษิณาแล้ว เขาไม่เห็นประมุขรัฐเพรียกหิมะอยู่ในสายตาเลย ถึงแม้ว่าประมุขรัฐเพรียกหิมะจะแข็งแกร่งมากเช่นเดียวกัน ทว่าสนใจแต่ตนเองมากยิ่งกว่า ภายใต้ความโมโหก็ปะทะกับหกรัฐโบราณและทะเลสาบมารทมิฬ… เมื่อประสบภัยพิบัติทุกครั้ง ทั่วทั้งรัฐเพรียกหิมะต่างก็พากันบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน
แต่รัฐเมฆทักษิณากลับเป็นรัฐที่มั่นคงและมั่งคั่งที่สุดในสี่รัฐมารทมิฬแล้ว
“ทะเลสาบมารทมิฬ ไม่รู้จริงๆ เลยว่าเมื่อใดจึงจะสามารถทำลายให้มันย่อยยับหมดสิ้นไปได้เสียที” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาเอ่ยพึมพำ
เขามองกระจกยลฟ้าที่ลอยอยู่อย่างเงียบเชียบ
จ้าวสามท่านและเฟิงอ๋องห้าท่านที่อยู่ที่นั่นต่างก็มองดูอยู่เช่นกัน “ร่างแปรของข้าถูกขั้นอลวนสิบสองคนล้อมเอาไว้ ในบรรดานั้นมีอยู่สามคนที่ไปถึงขั้นอลวนระดับชั้นที่เก้าแล้ว” จ้าวฉุนอวี้สรหน้าเย็นชา เขาเอ่ยปากพูดว่า “ร่างแปรของข้าต้านทานได้อีกไม่นานเท่าไหร่แล้ว”
ร่างแปรของเขาปักหลักนิทรารักษาการณ์อยู่ที่นั่น
อาศัยร่างแปร เขาก็ยังรักษาสติรับรู้อยู่ได้
แต่เมื่อใดที่ร่างแปรถูกทำลาย จ้าวฉุนอวี้ก็ย่อมมิอาจรับสัมผัสถึงเมืองอัคคีโชติที่ถูกห้วงมิติผนึกเอาไว้ได้! รับสัมผัสมิได้เลย ก็ย่อมมิอาจส่งร่างแปรไปได้อีก!
เหมือนปกติ เมื่อปราการเมืองทุกแห่งเผชิญกับการโจมตี ร่างแปรเทพจักรวาลต่างก็สามารถไปได้อย่างง่ายดาย หรือแม้กระทั่งทำการส่งถ่ายผู้แกร่งกล้ากลุ่มใหญ่ผ่านระยะทางอันไกลโพ้นไปช่วยเหลือ… ดังนั้นโดยทั่วไปแล้วก็ไม่มีใครกล้ากำเริบเสิบสานทำการสังหารภายในปราการเมืองของรัฐประเทศอันแข็งแกร่ง ทว่านี่เป็นทะเลสาบมารทมิฬลงมือ ก่อนการลงมือก็ได้ทำการผนึกห้วงมิติเอาไว้ก่อนแล้ว
“เพราะอะไร เพราะอะไร ศิษย์ตระกูลอิงซานของข้าจำนวนนับไม่ถ้วน ทั้งยังมีเจ้าตุ๊กตาน้อยเสวี่ยอิง จึงไม่สามารถให้เวลาเขาอีกสักหน่อยได้ ให้เขาเติบโตอีกสักหน่อยมิได้เลยหรือ” แม่เฒ่าอิงซานเจ็บปวดใจเป็นที่สุด นางเดือดดาลจนแทบคลั่ง ด้วยนิสัยของนางคงจะไปสังหารเรียบร้อยแล้ว แต่น่าเสียดายที่ไม่สามารถเข้าไปได้
“แม่เฒ่า” ท่านหญิงกุ่ยลี่ที่อยู่ด้านข้างก็ถ่ายเสียงปลอบประโลม
******
ส่วนที่ทะเลสาบมารทมิฬ ณ วังที่กว้างขวางอลังการแห่งหนึ่ง ภายในหรูหราเป็นอย่างยิ่ง ประดับประดาด้วยอัญมณีล้ำค่านานาชนิด ทั้งยังมีค่ายกลหลายแห่งเต็มกำแพง
ทั่วทั้งวังมีพลานุภาพอันไร้ที่สิ้นสุดแผ่กระจายอยู่
ในขณะนี้ ณ ตำแหน่งสูงสุด มีบุคคลตำแหน่งสูงสามคนนั่งอยู่ หนึ่งในนั้นก็คือบุรุษวัยกลางคนในอาภรณ์สีดำ ด้านหลังเขามีภาพวงแหวนหกชั้นอันน่าอัศจรรย์ขนาดมหึมาปรากฏชัดอยู่ ภาพวงแหวนหกชั้นนั้นเคลื่อนหมุนอย่างเนิ่นช้าอยู่ตลอดเวลา ภายในภาพวงแหวนหกชั้นคล้ายกับมีพลานุภาพแห่งความตายอันไร้ที่สิ้นสุดอยู่ แม้กระทั่งเหล่าเทพจักรวาลในที่แห่งนี้ต่างก็ไม่กล้าพินิจดูภาพวงแหวนหกชั้นนั้นอย่างละเอียด เหลือบดูแวบหนึ่งก็รู้สึกได้ว่าจิตวิญญาณถูกเหนี่ยวนำจนเกิดความหวาดหวั่นในหัวใจ
คนที่อยู่ทางด้านซ้ายก็คือชายชราที่นั่งยิ้มตาหยี เมื่อมองดูก็ทำให้คนเกิดความรู้สึกอันดี ไม่เกิดกลิ่นอายอันกดดันใดๆ เลย
คนที่อยู่ทางด้านขวา กลับเป็นบุรุษชุดเขียวสีหน้าซีดเซียวคนหนึ่ง รอบกายเขามีเงารางสีแดงโลหิตขนาดมหึมาวนเวียนอยู่
พวกเขาทั้งสาม…
ก็คือเจ้าลัทธิทั้งสามแห่งทะเลสาบมารทมิฬ พญามารที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา เมื่อตระกูลมากมายในหกรัฐโบราณได้ยินชื่อของเขา ต่างก็รู้สึกได้ถึงความหวาดหวั่นขวัญผวา
“ฮ่าฮ่า ลงมือกับรัฐเมฆทักษิณา ช่างหาได้ยากยิ่ง พอถึงเวลาที่เปิดฉากการบูชาโลหิต เกรงว่าคงจะมีรัฐประเทศให้ความสนใจกันเป็นจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว” เบื้องล่างมีเทพจักรวาลนั่งอยู่ทั้งสิ้นเจ็ดคน ทั้งยังมีเหล่าประมุขมารคนอื่นๆ อยู่อีกกลุ่มหนึ่ง ผู้ที่มีสิทธิ์นั่งภายในทั้งโถงตำหนักก็มีอยู่เพียงแค่ยี่สิบกว่าคนเท่านั้น
แน่นอนว่าพวกเขาส่วนใหญ่ล้วนเป็นเพียงแค่ร่างแปรเท่านั้น
“เช่นบรรดาประเทศเล็กๆ ทั้งยังเป็นประเทศที่ถูกบูชาโลหิต ก็ไม่ควรค่าแก่การพูดถึง เมืองที่ถูกบูชาโลหิตในรัฐเมฆทักษิณาจึงจะนับได้ว่าเป็นข่าวใหญ่ สี่รัฐมารทมิฬจะต้องจับจ้องอย่างแน่นอน บรรดารัฐประเทศที่อยู่ใกล้ๆ เกรงว่าก็ต้องให้ความสนใจเช่นเดียวกัน”
“ต้องทำให้งดงามหน่อย”
ทุกคนยิ้มจางๆ
พวกเขาล้วนเป็นมารกันทั้งสิ้น!
พูดจากใจจริง พวกเขาล้วนชมชอบการใช้ชีวิตในสถานที่หรูหรา จะชมชอบการหลบซ่อนอยู่ใน ‘ทะเลสาบมารทมิฬ’ อันเป็นสถานที่แปลกประหลาดยากคาดเดาเสียที่ไหนกัน แต่ก็หมดหนทาง หกรัฐโบราณจำเป็นต้องมีเสถียรภาพ จำเป็นต้องทวีคูณผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วน ดังนั้นเหล่ามารเหล่านี้ก็ต้องเผชิญกับการตามล่าสังหาร! ต้องสวามิภักดิ์เป็นเค่อชิงของตระกูลใหญ่ที่พลังยุทธ์แข็งแกร่งบางตระกูล
มีบางคนที่ถูกขุ่นเคือง ไม่มีตระกูลใหญ่เต็มใจรับ ก็ได้แต่หลบหนีเท่านั้น! หลบหนีไปยังสถานที่รวมตัวของเหล่ามาร ที่ที่ทุกคนมารวมตัวกัน
ล้างผลาญเมือง ทำการบูชาโลหิต ก็ทำให้เหล่ามารเหล่านี้รู้สึกเปรมปรีดิ์ เพราะว่าหลบหนีซ่อนตัวกันมานานแล้ว ก็อยากจะเผยเขี้ยวเล็บกับบรรดารัฐประเทศเหล่านี้บ้างเป็นครั้งคราว!
“หึหึ…รัฐเมฆทักษิณาแล้วอย่างไรเล่า คราวก่อนหาโอกาสทำการบูชาโลหิตที่เมืองแห่งหนึ่งของรัฐโบราณคิมหันตวายุ ช่างสุขสันต์นัก”
“อย่าได้รีบร้อนไปเลย มีโอกาสอยู่แล้วล่ะ”
“มาๆ มาดื่มกันสักจอกหนึ่ง”
เหล่าเทพจักรวาลและเหล่าประมุขมารจำนวนมากสรวลเสเฮฮากัน
ส่วนเจ้าลัทธิทั้งสามที่นั่งอยู่ในตำแหน่งสูงสุดก็เปิดปากพูดบ้างเป็นครั้งคราว บรรยากาศภายในทั้งโถงตำหนักร่าเริงเป็นอย่างยิ่ง
……
ณ เจดีย์เทพอากาศภายในเรือนพักของตงป๋อเสวี่ยอิงที่จวนโหว ภายในเมืองอัคคีโชติ
บนก้อนหินใหญ่ที่ลอยอยู่ก้อนหนึ่ง
หนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวรูปโฉมหล่อเหลานั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่น บนตักมีหอกยาววางนิ่งอยู่เล่มหนึ่ง
“ครืน…”
ห้วงมิติภายในเจดีย์เทพอากาศพรั่งพรูราวกับระลอกคลื่น และแฝงไว้ด้วยคลื่นใต้น้ำฉีกกระชากอีกเป็นจำนวนมาก การฉีกกระชากนี้ก็คุกคามอย่างน่าหวาดหวั่นเหนือธรรมดา ขั้นอลวนทั่วๆ ไปที่กล้าปรากฏตัวขึ้นที่นี่ เกรงว่าร่างกายอาจถูกฉีกกระชากจนกระจุยกระจาย เอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่ในทันทีทันใดเสียแล้ว
แต่ถึงอย่างไรตงป๋อเสวี่ยอิงก็บำเพ็ญจนเคยชินเสียแล้ว ปลีกวิเวกครั้งหนึ่งหมื่นล้านปีก็มิอาจนับเป็นอะไรได้ ตอนนี้เพิ่งจะหนึ่งพันห้าร้อยล้านปีเท่านั้น เขายังจมดิ่งอยู่ในนั้นอย่างสิ้นเชิง
อ้างอิงจากความคุ้นเคยในชาติก่อน ตามปกติแล้วก็ต้องถึงเวลาที่เข้าสู่จุดคอขวดจนมิอาจไปต่อได้อีกแล้วจึงค่อยออกจากการปลีกวิเวก ปกติแล้วระหว่างที่หยั่งรู้ เขาก็ไม่เร่งร้อนที่จะออกไปเลย
“เสวี่ยอิง รีบออกมาเร็วเข้า รีบออกมาเร็วเข้าสิ!!!” ท่านโหวหั่วเลี่ยถ่ายเสียงอย่างเร่งร้อน
“คุณชาย คุณชายรีบออกมาเถิดขอรับ” มารรับใช้จื่อไป๋ถ่ายเสียงพูด
“คุณชายรีบออกมาเถิดขอรับ เร็วเข้าๆ จะไม่ทันแล้วนะขอรับ!” เถียนอี้จือถ่ายเสียงเร่งเร้า
“ให้มารรับใช้จื่อไป๋ปกป้องเจ้า ทางข้านี้ก็มีเรื่องยุ่งยากอยู่ จะปกป้องตนเองก็ยังยากเลย เจ้าอย่าได้มาหาข้าที่นี่ล่ะ” ท่านโหวหั่วเลี่ยถ่ายเสียงพูดต่อไป
การถ่ายเสียงอย่างต่อเนื่องทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงที่ยังอยู่ระหว่างการบำเพ็ญหยุดยั้งลงในทันใด เขาก็ตกตะลึงอยู่บ้าง การถ่ายเสียงอย่างต่อเนื่องนี้ทำให้หัวใจของตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดรัดแน่น
“ท่านโหวยากที่จะปกป้องตนเองอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตระหนกตกใจ
เขาไม่สนใจสิ่งอื่นใดแล้ว
สวบ
เขาคว้าหอกเทพเมฆาแดงเอาไว้ พร้อมกันนั้นก็ก้าวยาวๆ ก้าวหนึ่งก็ไปถึงบริเวณทางออกของตำหนักเทพอากาศ โครม ประตูตำหนักที่ผนึกปิดเอาไว้ก็เริ่มเปิดออก ประตูเพิ่งจะเปิดออกเป็นรอยแยกเล็กๆ สายหนึ่งเท่านั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็พุ่งตัวออกไปเสียงดังสวบในทันที
ฟิ้ว
มาถึงด้านนอกของตำหนักเทพอากาศ ที่บริเวณประตู มารรับใช้จื่อไป๋มิได้ผ่อนคลายดังเช่นยามปกติแล้ว พัดจีบในมือก็มิได้โบกอีกต่อไปแล้ว หากแต่เอ่ยอย่างเร่งรัดว่า “อย่าได้ขัดขืนเลย ข้าจะพาท่านไปเอง” พูดแล้วก็เตรียมตัวจะเก็บตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าไปในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ แต่ทันใดนั้นมารรับใช้จื่อไป๋ก็หยุดยั้งลงเสียแล้ว เขามองตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างตะลึงงันอยู่บ้าง
กลิ่นอายของคุณชายบ้านตน…
ขั้นอลวนอย่างนั้นหรือ
“คุณชาย ท่านบรรลุไปถึงขั้นอลวนแล้วหรือขอรับ” มารรับใช้จื่อไป๋ตกตะลึง คุณชายบ้านตนเป็นสายห้วงอากาศ ถ้าหากสำเร็จขั้นอลวน การหนีเอาชีวิตรอดในห้วงอากาศก็ต้องแกร่งกล้ากว่ามารรับใช้คนหนึ่งอย่างเขามากมายอยู่แล้ว
“อืม”
ตงป๋อเสวี่ยอิงรับปากอย่างส่งๆ คำหนึ่ง แต่กลับพินิจดูออกไปบริเวณไกลๆ อย่างละเอียด
แววตาของเขาทะลุผ่านการสกัดกั้นของห้วงอากาศ สามารถมองเห็นตำแหน่งสูงสุดของทั้งศูนย์กลางเมืองอัคคีโชติได้จากที่ไกลๆ ที่นั่นมีบุรุษอาภรณ์ขาวผู้ศักดิ์สิทธิ์นั่งขัดสมาธิอยู่กลางอากาศคนหนึ่ง เบื้องหน้ามีขวดสีดำอันแปลกประหลาดใบหนึ่งลอยอยู่ ขวดสีดำแผ่ระลอกคลื่นจางๆ ขอบเขตของระลอกคลื่นแผ่ปกคลุมห่อหุ้มไปทั่วทุกหนแห่งในเมืองอัคคีโชติ
“ระลอกคลื่นอะไร มีประโยชน์อย่างไรหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงสงสัย ระลอกคลื่นนี้ดูคล้ายจะไม่มีอันตรายแต่อย่างใด
แต่ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจแล้ว
“ฆ่ามัน”
ด้วยระดับขั้นของเขา สายตาของเขาสามารถมองไปทุกหนทุกแห่งทั่วทั้งปราการเมืองได้ เขามองเห็นเมืองอัคคีโชติอันใหญ่โต พลทหารที่สวมชุดเกราะทำการสังหารไปทั่วทุกหนแห่งตามอำเภอใจ พลพรรคที่ประกอบขึ้นด้วยขั้นรวมเป็นหนึ่ง กองกำลังย่อยทุกกองต่างก็สามารถสำแดงพลังรบระดับชั้นที่หกของวังปฐมเทพออกมาได้ บรรดาประชากรในเมืองเมืองอัคคีโชติจะสามารถต้านทานได้เสียที่ไหนกัน ถูกสังหารหมู่ได้อย่างง่ายดาย
ยามที่ถูกสังหารหมู่ ก็มีระลอกคลื่นพลังอันไร้รูปร่างถูกกวาดเข้าไปภายในขวดสีดำใบนั้น
“การบูชาโลหิตหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจแล้ว
เขาอ่านตำราในสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์มามากมาย รู้จักการบูชาโลหิตของทะเลสาบมารทมิฬ
เหมือนกับที่อากาศอันสับสนอลหม่าน สังหารฝูงมารผลาญทำลาย พลังที่แผ่ออกมาหลังจากที่ฝูงมารผลาญทำลายตายแล้วก็ถูกดูดซับ สามารถหล่อเลี้ยงดวงวิญญาณได้! ทว่าฝูงมารผลาญทำลายสังหารผู้บำเพ็ญก็สามารถได้รับการหล่อเลี้ยง พลังยุทธ์ยกระดับขึ้นได้เช่นเดียวกัน
ดังนั้นยามที่วิญญาณผู้บำเพ็ญตายแล้วก็มีพลังพิเศษแผ่กระจาย… เพียงแค่อยู่ที่อากาศอันสับสนอลหม่าน เหล่าผู้บำเพ็ญก็ไม่มีทางดูดซับได้ด้วยตนเอง มีเพียงแค่ฝูงมารผลาญทำลายที่สามารถดูดซับได้
แต่ที่ ‘ดินแดนจิตโลกา’
ก็ค้นพบพลังพิเศษของวิญญาณสิ่งมีชีวิตทุกดวง นั่นก็คือพลังสายหนึ่งที่เป็นรากฐานที่สุดของทั้งโลกกำเนิด สามารถเก็บเกี่ยวได้อย่างสมบูรณ์
‘การบูชาโลหิต’ ก็เพื่อรวบรวมพลังที่เป็นรากฐานที่สุดในดวงวิญญาณของผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วน แต่แก่นสำคัญที่สุดของการบูชาโลหิตก็คือขวดมารบูชาโลหิตขวดนั้น… ในดินแดนจิตโลกา เทพจักรวาลที่รู้จักหลอมวัตถุบูชาโลหิตนั้นมีอยู่น้อยจนสามารถนับนิ้วได้! ตอนนี้ในหกรัฐโบราณมีเพียงสามรัฐโบราณเท่านั้นที่รู้จักการหลอมวัตถุบูชาโลหิต จะเห็นได้ว่าเคล็ดวิชานี้ยากเย็นเพียงใด!
ส่วน ‘เจ้าลัทธิเหยียนโม๋’ หนึ่งในเจ้าลัทธิทั้งสามแห่งทะเลสาบมารทมิฬก็หลอมวัตถุบูชาโลหิตเป็นด้วยเช่นกัน
“การบูชาโลหิตหรือ”
“บูชาโลหิตเมืองอัคคีโชติหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตื่นตระหนก ทันใดนั้นเพลิงโทสะอันไร้ที่สิ้นสุดก็เต็มปรี่ไปทั้งทรวงในทันใด เพียงชั่วครู่นัยน์ตาของเขาก็แดงก่ำเสียแล้ว
พูดไปก็ยืดยาว แต่ในใจของตงป๋อเสวี่ยอิงก็เคลื่อนไหวอย่างรัวเร็วยิ่ง อันที่จริงแล้วก็เพิ่งจะออกจากการปลีกวิเวกมาเป็นเวลาเพียงแค่ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้นเอง
“คุณชาย พวกเราไปกันเร็วเข้าเถิด ข้าได้พาตัวฮูหยินและอิงซานซีเยว่เข้าไปในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์แล้ว แต่อิงซานเลี่ยฮู่ บิดาของคุณชายน่าจะยังอยู่ที่หอม่านเมฆ ห่างไกลเกินไป มิอาจไปช่วยได้ทันการณ์” มารรับใช้จื่อไป๋เอ่ยอย่างกระวนกระวาย
“พบตัวอิงซานเสวี่ยอิงแล้ว!” บริเวณไกลออกไปมีเสียงตื่นเต้นยินดีดังขึ้น
ตอนที่ 40 การต่อสู้ยกแรก
Ink Stone_Fantasy
เป็นถึงตระกูลย่อยตระกูลหนึ่งของตระกูลอิงซานที่เพิ่มทวีมานับล้านล้านปี ภายในจวนโหวก็มีผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วน อาณาเขตก็ยิ่งกว้างใหญ่ไพศาล ก็มีพลพรรคมารขั้นรวมเป็นหนึ่งหลายกลุ่มกำลังทำลายล้าง พวกเขาทุกกลุ่มก็มีพลพรรคอยู่ร้อยคน สามารถสำแดงพลังรบระดับชั้นที่เจ็ดของวังปฐมเทพออกมาได้อย่างสมบูรณ์ พวกเขาทำการสังหารตามอำเภอใจ ภายใต้สถานการณ์ที่ผู้ที่พลังยุทธ์แข็งแกร่งที่สุดในจวนโหวเผชิญกับการล้อมโจมตีของขั้นอลวนแปดคน พลพรรคมารเหล่านี้ก็ย่อมไร้ซึ่งศัตรูอยู่แล้ว
“พบตัวอิงซานเสวี่ยอิงแล้ว” มีพลพรรคมารกลุ่มหนึ่งยินดีขึ้นมาในทันใด พลางมองดูหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวที่ปรากฏตัววาบขึ้นมาจากกลางเจดีย์เทพอากาศคนนั้นอยู่ไกลๆ
หนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวหันหน้ามามองพลพรรคมารกลุ่มนี้อย่างเย็นชาปราดหนึ่ง
“อย่าได้ขัดขืนเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงโบกมือคราหนึ่งแล้วก็เก็บตัวมารรับใช้จื่อไป๋เข้าไปในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์
“คุณชาย” มารรับใช้จื่อไป๋กลับต้านทานขัดขืนพลางถ่ายเสียงเร่งรัดว่า “ข้าสามารถช่วยท่านได้นะขอรับคุณชาย” ตัวเขาเองคิดว่าเมื่อใดที่สำแดงออกมา อย่างน้อยก็ต้องมีพลังรบขั้นอลวนระดับชั้นที่แปด
ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้วเล็กน้อยมองดูมารรับใช้จื่อไป๋ที่อยู่ข้างกายปราดหนึ่ง
พรึ่บ
หลังจากนั้นสายตาก็มองจับไปที่พลพรรคมารที่อยู่ใกล้ที่สุดกลุ่มนั้น พลพรรคมารกลุ่มนั้นกำลังไล่สังหารผู้คนตระกูลอิงซานที่หลบหนีไปทั่วทุกทิศทาง ถึงแม้ว่าพวกเขาจะพบตัวตงป๋อเสวี่ยอิง แต่ก็เพียงแค่รายงานขึ้นไปเท่านั้น ถึงอย่างไรมองเพียงปราดเดียวก็สามารถประเมินได้แล้วว่า…คุณชายเสวี่ยอิงผู้นี้เป็นถึงขั้นอลวน พวกเขาพลพรรคขั้นรวมเป็นหนึ่งกลุ่มหนึ่งก็ไม่มีความมั่นใจว่าจะรับมือได้
“ตายเสียเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยเสียงเย็น
“ตึง!” ห้วงอากาศบริเวณที่พลพรรคมารกลุ่มนั้นอยู่พลันบิดเบี้ยวในทันใด บนร่างของมารขั้นรวมเป็นหนึ่งทุกตนต่างก็มีรอยฉีกขาดจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น
ทันใดนั้นมารกว่าร้อยตนก็หายวับไปจนหมดสิ้นราวกับฝุ่นควันก็มิปาน หายลับไปกลางอากาศ
“ไม่นะ”
“เร็ว ไปเร็วเข้า ข้ามาต้านทานพวกเขา”
เหล่าผู้คนตระกูลอิงซานที่ถูกไล่สังหารเหล่านั้น มีบางคนหนีเอาชีวิตรอด มีบางคนต่อต้านเพื่อคนใกล้ชิด แต่ทันใดนั้นพวกเขาก็ค้นพบด้วยความตกตะลึงว่ามารกว่าร้อยตนที่กำลังทำการสังหารอย่างอุกอาจอยู่นั้น ร่างกายของพวกเขาทั้งหมดมีรอยฉีกขาดจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น จากนั้นก็สูญสลายหายไป
“อะไรกันนี่” มารรับใช้จื่อไป๋มองดูฉากนี้อย่างตกตะลึง “ระยะทางก็ห่างจากข้าถึงสิบล้านลี้ แต่คุณชายถึงกับสามารถสังหารผลาญพวกเขาได้ภายในพริบตาอย่างนั้นหรือ”
ดีร้ายอย่างไรก็สามารถสำแดงค่ายกลรบที่มีพลังรบระดับชั้นที่เจ็ดของวังปฐมเทพได้ ถึงแม้ว่าจะเป็นการต่อสู้ประชิดตัว ถึงจะสุดกำลังก็ยังต้องใช้เคล็ดวิชาบางอย่างจึงจะสามารถจัดการให้เรียบได้ คุณชายบ้านตนอยู่ห่างออกไปถึงสิบล้านลี้แต่กลับสามารถสังหารพวกเขาได้อย่างง่ายดาย พลังยุทธ์นี้จะต้องไปถึงระดับขั้นใดกัน
“อย่าได้ต้านทานอีกเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดอีกครั้งแล้วโบกมือปกคลุมตัวมารรับใช้จื่อไป๋
“ถ้าหากต้องการข้า คุณชายก็สั่งมาได้ทันทีเลยนะขอรับ” มารรับใช้จื่อไป๋ถ่ายเสียงพูดต่อไป คราวนี้เขามิได้ขัดขืนอีกต่อไปแล้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงเก็บตัวมารรับใช้จื่อไป๋ลงไป ตัดสินใจแน่วแน่ เพราะว่ามารดาและพี่สาวต่างก็ถูกมารรับใช้จื่อไป๋เก็บตัวเอาไว้แล้ว ดังนั้นเขาจึงยืนกรานจะเก็บตัวมารรับใช้จื่อไป๋ สำหรับการช่วยเหลือนั้นน่ะหรือ พลังยุทธ์ของมารรับใช้จื่อไป๋ สำหรับตงป๋อเสวี่ยอิงในตอนนี้ นอกจากจะไม่ได้ช่วยแล้วยังจะทำให้เขาจิตใจไขว้เขวอีกต่างหาก
“ถึงแม้ว่าท่านโหวจะตกอยู่ในอันตราย แต่ก็คงยังสามารถยื้อเอาไว้ได้เป็นเวลาหลายอึดใจอยู่” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองปราดหนึ่งอยู่ห่างๆ
ท่านโหวหั่วเลี่ย บัญชาการทหารอัคคีโชติห้าพันคนที่ยอดเยี่ยมที่สุด อีกทั้งยังมีค่ายกลจวนโหวคุ้มครอง
ถึงแม้ว่าจะเผชิญกับขั้นอลวนแปดคนจนการร่วมแรงตกเป็นรองอย่างสิ้นเชิง แต่ก็น่าจะสามารถต้านทานเอาไว้ได้เป็นระยะเวลาหนึ่ง
“ช่วยด้วย”
ทั่วทั้งจวนโหวในตอนนี้ยังมีพลพรรคมารอยู่ถึงเจ็ดกอง ทุกกองต่างก็มีอยู่ร้อยคน พลพรรคมารเหล่านี้ต่างก็สังหารผู้คนตระกูลอิงซานนับพันนับหมื่นคนอยู่ทุกขณะ ตงป๋อเสวี่ยอิงจำเป็นจะต้องจัดการพวกเขาให้หมดก่อน การจะจัดการพวกเขาได้นั้นต้องการเพียงแค่การเคลื่อนที่ในพริบตาก่อน หลังจากนั้นก็ค่อยสำแดง ‘เขตพลังเมฆาแดง’ ล้างผลาญสังหาร สำแดงต่อเนื่องกันเจ็ดครั้งเป็นใช้ได้ ภายในระยะเวลาชั่วอึดใจเดียวก็เพียงพอแล้ว!
……
ณ รัฐเมฆทักษิณา ภายในพระราชวังหลวง
ประมุขรัฐ จ้าวสามท่าน และเฟิงอ๋องห้าท่าน ต่างก็มองดูกระจกกลมที่ลอยอยู่กลางอากาศ
“เจ้าตุ๊กตาน้อยเสวี่ยอิง” แม่เฒ่าอิงซานมองเห็นหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวที่ปรากฏอยู่บนกระจกกลมแล้วก็อดหัวใจขมวดรัดแน่นมิได้
ทันใดนั้นเอง หนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวบนกระจกกลมก็ตะโกนเสียงเย็นว่า ‘ตายเสีย’ พลพรรคมารกองหนึ่งกว่าร้อยคนที่อยู่ห่างออกไปสิบล้านลี้ก็สูญสลายไปจนสิ้นกลายเป็นความว่างเปล่า
“เจ้าตุ๊กตาน้อยเสวี่ยอิงได้กลายเป็นขั้นอลวนแล้ว นอกจากนี้ยังสำเร็จเคล็ดวิชาเขตพลังที่ร้ายกาจเป็นอย่างยิ่งแล้วอีกด้วยอย่างนั้นหรือ” แม่เฒ่าอิงซานทั้งสุขทั้งเศร้า สิ่งที่ทำให้สุขใจก็คือเจ้าตุ๊กตาน้อยเสวี่ยอิงไม่ทำให้นางผิดหวังเลยจริงๆ แต่การผลาญสังหารขั้นรวมเป็นหนึ่งตัวเล็กๆ กลุ่มหนึ่งนั้นจะนับเป็นอะไรได้ เคล็ดวิชาเขตพลังนี้ก็เป็นเพียงพลังรบชั้นที่แปดเท่านั้นกระมัง ถึงแม้ว่าอิงซานเสวี่ยอิงจะเป็นขั้นอลวนระดับชั้นที่แปดชั้นที่แปดขั้นสุดยอด หรือแม้กระทั่งชั้นที่เก้าแล้วอย่างไรเล่า
ศัตรูในยามนี้ก็คือมารขั้นอลวนถึงสิบสองคน ในบรรดานั้นมีอยู่ห้าคนที่เป็นขั้นอลวนระดับชั้นที่เก้า นอกจากนี้ยังมิใช่ต่างคนต่างสู้ หากแต่ประกอบกันเป็นค่ายกลรบ!
ไม่เห็นร่างแปรของจ้าวฉุนอวี้อาศัยค่ายกลในการคุ้มกัน มีพลังรบระดับชั้นที่เก้าก็จบแล้วอย่างนั้นหรือ
ท่านโหวหั่วเลี่ย มีทหารอัคคีโชติชั้นยอดถึงห้าพันคนประกอบกันเป็นค่ายกล ทั้งยังมีค่ายกลคุ้มครอง แต่ก็ถูกปรามอย่างสิ้นเชิงเช่นกัน
แล้วเจ้าตุ๊กตาน้อยเสวี่ยอิงจะทำอย่างไรได้เล่า
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าศัตรูยังมีขั้นอลวนระดับชั้นที่สิบที่แกร่งกล้าหาใดเปรียบอยู่ตนหนึ่ง…ประมุขมารเมฆาขาว! นั่นก็เทียบเคียงได้กับเทพจักรวาล หรือแม้กระทั่งเทพจักรวาลที่ถือกำเนิดใหม่บางคนต่างก็อาจถูกประมุขมารเมฆาขาวกดดันหรือโจมตีอย่างสิ้นเชิง พลังยุทธ์เช่นนี้เป็นสิ่งที่เด็กน้อยคนหนึ่งสามารถต้านทานได้หรืออย่างไรกัน
“เป็นผู้มีพรสวรรค์คนหนึ่ง อย่างน้อยเคล็ดเขตพลังก็เป็นระดับชั้นที่แปด” จ้าวเทียนยินเอ่ยเสียงต่ำ
“น่าเสียดาย” จ้าวทานเผิงก็ส่ายหน้าเล็กน้อย
ประมุขรัฐเมฆทักษิณายังคงดูอย่างเงียบสงบเช่นเดิม มองดูกระจกกลมที่ลอยอยู่กลางอากาศนั้นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ถ้าหากเป็นยามปกติ เมื่อได้เห็นเด็กน้อยผู้ล้ำเลิศคนหนึ่ง เขาก็อาจจะเผยรอยยิ้ม แต่ตอนนี้เขารู้สึกถึงเพียงแค่ความละอายเท่านั้น! เพราะว่าเขาผู้เป็นประมุขรัฐผู้นี้ทำได้เพียงแค่มองดูทั้งหมดนี้เกิดขึ้น มองดูทั้งเมืองอัคคีโชติถูกสังหารบูชาโลหิต มองดูเด็กน้อยเปี่ยมพรสวรรค์ผู้นี้ตายภายใต้เงื้อมมือของฝูงมารขั้นอลวนภายใต้การนำของประมุขมารเมฆาขาว
……
ณ สถานที่อีกแห่งในนครหลวงรัฐเมฆทักษิณา คฤหาสน์สกุลฝาน
ก็มียอดฝีมือสิบกว่าคนนั่งชมดูการต่อสู้อยู่ภายในโถงตำหนัก กลางท้องฟ้าในโถงตำหนักก็มีกระจกยลฟ้าบานหนึ่งแขวนลอยอยู่เช่นกัน ผู้ที่นั่งอยู่ตรงตำแหน่งประธานก็ย่อมต้องเป็น ‘ฝานเทียนฉ่ง’ บุรุษร่างอ้วนตัวสูงใหญ่ผู้นั้น
“ทะเลสาบมารทมิฬก็ยังคงกำเริบเสิบสานเช่นเดิม” ฝานเทียนฉ่งเอ่ยเสียงต่ำ “รัฐโบราณคิมหันตวายุของข้าก็ทำสงครามกับทะเลสาบมารทมิฬมาหลายครั้ง แต่น่าเสียดายที่ถึงแม้รัฐโบราณคิมหันตวายุของข้าจะได้อะไรมาบ้างเป็นครั้งคราว สามารถอาศัยข้อได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ เหล่ามารของทะเลสาบมารทมิฬก็ทำให้รัฐโบราณคิมหันตวายุของข้าสูญเสียไปมิใช่น้อย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสี่รัฐมารทมิฬเลย…รัฐเมฆทักษิณาก็นับว่าดีแล้ว แต่ก็ยังเป็นเมืองที่ถูกบูชาโลหิตเป็นครั้งคราว โอ้ อิงซานเสวี่ยอิงหรือ”
“เป็นอิงซานเสวี่ยอิงผู้นั้นแหละ”
“เขามีศักยภาพมหาศาล จะต้องได้เป็นเฟิงอ๋องอย่างแน่นอน สำเร็จเป็นขั้นอลวนระดับชั้นที่เก้าก็มิใช่เรื่องยากแต่อย่างใดเลย”
“น่าเสียดาย”
ผู้อื่นที่ชมดูการต่อสู้อยู่ภายในโถงตำหนักพูดขึ้น
ฝานเทียนฉ่งก็พยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “น่าเสียดายจริงๆ ฝูงมารขั้นอลวนที่ประมุขมารเมฆาขาวนำทัพ เขาย่อมมิอาจต้านทานได้อย่างแน่นอน” ฝานเทียนฉ่งส่ายศีรษะเล็กน้อย ถึงแม้ว่าจะเสียใจที่เห็นเด็กน้อยเปี่ยมพรสวรรค์คนหนึ่งตกต่ำ แต่เขาก็มิได้ใส่ใจนัก เพราะว่าที่ดินแดนจิตโลกาอันกว้างใหญ่ก็มีผู้มีพรสวรรค์มากมายที่ตายตกไปก่อนจะสำเร็จเป็นผู้แกร่งกล้าเลิศล้ำ
……
ภายในเรือนไม้ไผ่ที่มีกระแสน้ำไหลล้อมรอบ
หญิงสาวอาภรณ์ม่วงผู้งดงามนั่งอยู่บนพื้น กำลังถือเข็มเย็บปักปักภาพอย่างช้าๆ
“เมืองอัคคีโชติเผชิญกับการบูชาโลหิตของทะเลสาบมารทมิฬ ร่างแปรของจ้าวฉุนอวี้เกือบจะสลาย ทหารอัคคีโชติชั้นยอดห้าพันคนภายใต้การนำของท่านโหวหั่วเลี่ยกำลังต้านทาน ก็ต้านทานได้อีกไม่นานสักเท่าใด อิงซานเสวี่ยอิงออกจากการปลีกวิเวก สำเร็จเป็นขั้นอลวนแล้ว ได้สังหารผลาญพลพรรคมารขั้นรวมเป็นหนึ่งกองหนึ่งด้วยเคล็ดเขตพลัง” ข้อมูลชุดหนึ่งส่งมาให้เฉี่ยนอีเสี่ยวอย่างรวดเร็ว
เฉี่ยนอีเสี่ยวคือผู้ดำเนินการของตระกูลเฉี่ยนอีแห่งรัฐโบราณจันทร์โรจน์ที่รัฐเมฆทักษิณา ก็ย่อมได้รับข้อมูลอย่างละเอียดในทันทีอยู่แล้ว
แต่นางไม่มีกระจกยลฟ้า กระจกยลฟ้าเป็นสิ่งฟุ่มเฟือยเกินไป ภายในอาณาเขตของทั้งรัฐเมฆทักษิณาก็มีเพียงแค่ประมุขรัฐเมฆทักษิณาและสกุลฝานเท่านั้นที่มีกระจกยลฟ้าสองบานนั่น! ขณะนี้คือภายในตระกูลเฉี่ยนอี ตรวจดูภายในรัฐโบราณจันทร์โรจน์อยู่ห่างๆ อีกทั้งยังส่งข้อมูลข่าวสารมาอีกด้วย
“อิงซานเสวี่ยอิงออกจากการปลีกวิเวกแล้วหรือ เจ้าเด็กน้อยที่น่าสงสาร ช่างน่าเศร้าเสียจริง” หญิงสาวอาภรณ์ม่วงเฉี่ยนอีเสี่ยวหัวเราะเยาะเสียงต่ำ
นางมิได้สนใจเลยสักนิด
ถึงจะเป็นเรื่องของเมืองอัคคีโชติก็มิได้ส่งผลกระทบกับความสนใจในการปักภาพของนางเลย
******
ณ เมืองอัคคีโชติ
“สวบ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเคลื่อนที่ในพริบตาคราหนึ่งก็มาปรากฏตัวยังบริเวณไม่ห่างจากพลพรรคมารขั้นรวมเป็นหนึ่ง พลพรรคมารกองนั้นก่อตัวกันเป็นค่ายกลรบ สมาชิกกำลังทำการสังหารไปทั่วทุกทิศ ด้วยพลังยุทธ์ของพวกเขาก็สามารถปะทะกับผู้อาวุโสของจวนโหวและเหล่าเค่อชิง จนพากันตายไปอย่างง่ายดาย พวกเขาทุกคนต่างก็ทำการสังหารอย่างอุกอาจ เคล็ดวิชาใดที่มีพลังคุกคามยิ่งใหญ่ กินอาณาเขตกว้างขวาง ก็สำแดงเคล็ดวิชานั้น
โครม…
สถานที่ต่างๆ มากมายเบื้องล่างต่างก็ถูกทำลายจนทลายกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เหล่าผู้คนตระกูลอิงซานหนีกระจัดกระจายไปทุกทิศทุกทาง แต่ก็ยังคงจบชีวิตลงกันเป็นกลุ่มใหญ่อีกมากมายเหลือเกิน
“ตายเสียเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงกระวนกระวายใจ แต่เขาก็รู้ดีว่าถ้าหากแบ่งร่างแปรออกมา ร่างแปรก็จะมิได้รับความช่วยเหลือจากหอกเทพเมฆาแดง การจะสังหารพลพรรคมารสักกองร้อยหนึ่งก็ยากเย็นอย่างยิ่ง
พรึ่บ
ห้วงอากาศโดยรอบพลันสั่นสะท้าน มารขั้นรวมเป็นหนึ่งกว่าร้อยคน แต่ละคนต่างก็มีแผลรอยฉีกขาดจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นตามร่างกาย จากนั้นก็สลายกลายเป็นเถ้าธุลีจนหมดสิ้น
“ตายแล้วหรือ พวกเขาตายแล้วหรือ”
“ตายแล้ว”
เหล่าผู้คนตระกูลอิงซานที่กำลังหลบหนีท่ามกลางความสิ้นหวังต่างก็อดที่จะหยุดลงมิได้ แล้วมองดูเหล่ามารเหล่านั้นสลายกลายเป็นเถ้าธุลีอย่างพรั่นพรึง หลังจากนั้นพวกเขาก็ค้นพบหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวผู้แผ่กลิ่นอายของขั้นอลวนออกมาผู้นั้น
“เป็นคุณชายเสวี่ยอิงนั่นเอง”
“เป็นคุณชายเสวี่ยอิงที่สังหารมารเหล่านั้น” เหล่าผู้คนตระกูลอิงซานพลันยินดีจนแทบคลั่ง ความภาคภูมิใจของพวกเขาตระกูลอิงซาน ศิษย์ผู้เปี่ยมพรสวรรค์ที่เล่าขานกันผู้นั้น… อิงซานเสวี่ยอิงสำเร็จเป็นยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนแล้ว กำลังสังหารมารเหล่านั้น
“ต้องได้อย่างแน่นอน คุณชายเสวี่ยอิงต้องสามารถสังหารมารเหล่านั้นจนหมดสิ้นได้อย่างแน่นอน”
“ร้ายกาจเกินไปแล้ว”
ผู้คนตระกูลอิงซานมองเห็นความหวัง พากันตั้งหน้าตั้งตารอให้ศัตรูที่มีอยู่ถูกฆ่าตายจนหมดสิ้น บรรดาผู้คนธรรมดาเหล่านี้ย่อมไม่รู้แน่ชัดว่าศัตรูในครั้งนี้น่าหวาดหวั่นสักเพียงใด!
“ไปอีกที่หนึ่ง” หลังจากที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสังหารศัตรูแล้วก็มิได้รั้งรอเลยแม้แต่น้อย เขาเคลื่อนที่ในพริบตามุ่งหน้าไปยังสถานที่อีกแห่งหนึ่ง
……
‘เฉินอู่’ บุรุษร่างกำยำผู้มีเขาโค้งสีดำเป็นผู้นำขั้นอลวนสามคน บริเวณโดยรอบมีเมฆสีดำขนาดมหึมาปรากฏขึ้นรางๆ พวกเขาราวกับเป็นหนึ่งเดียวกัน เฉินอู่เป็นผู้นำ พลานุภาพก็ต้องยิ่งน่าหวาดหวั่นไม่ธรรมดา ถึงอย่างไรตัวเองก็เป็นถึงขั้นอลวนระดับชั้นที่เก้า ในขณะนี้ยังนำขั้นอลวนสามคนประกอบเป็นค่ายกลรบสนับสนุน พวกเขากองหนึ่งเผชิญหน้ากับท่านโหวหั่วเลี่ยก็ย่อมครองความได้เปรียบอยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพลพรรคอีกกลุ่มหนึ่งที่อยู่ด้านข้างเลย
‘เซวี่ยฝู’ คือชายชราผู้เย็นชาคนหนึ่ง เขาก็เป็นผู้นำขั้นอลวนสามคน ประกอบเป็นค่ายกลรบเช่นเดียวกัน
เห็นเพียงแค่เงารางของสัตว์ประหลาดหยาดโลหิตสีดำขนาดมหึมาปรากฏตัวอยู่กลางอากาศ อุณหภูมิรอบๆ ก็ลดต่ำลงอย่างฉับพลัน มีน้ำค้างแข็งจำนวนหนึ่งปรากฏขึ้น
“น้องเซวี่ยฝู” ถึงแม้ว่าเฉินอู่จะมีแววสังหารล้นฟ้า แต่มองปราดเดียวก็สังเกตเห็นหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวที่อยู่ห่างออกไป “เป็นคุณชายน้อยเสวี่ยอิงผู้นั้นนั่นเอง เขากำลังสังหารลูกมือของพวกเรา เจ้าไปเถิด พลพรรคของพวกเจ้าจัดการเขาได้รวดเร็วที่สุด”
“ได้เลย” ชายชราผู้เย็นชามองตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ห่างๆ ปราดหนึ่ง พลพรรคของพวกเขาเชี่ยวชาญการจัดการผู้อ่อนแอ สังหารได้สำเร็จในชั่วพริบตา
“พวกเราไปกันเถิด” ชายชราผู้เย็นชาถ่ายเสียงออกคำสั่ง
ตอนที่ 41 สังหารสี่คนรวด!
Ink Stone_Fantasy
“เสวี่ยอิงหนีเร็ว หนีเร็วเข้า” ท่านโหวหั่วเลี่ยถ่ายเสียงพูดอย่างกระวนกระวาย ในเวลานี้เขาเดือดดาลจนตาแทบถลน เขานำทัพทหารอัคคีโชติชั้นยอดห้าพันคน ก่อตัวเป็นมังกรยักษ์สีแดงเพลิงตนหนึ่งที่กำลังสู้รบอย่างสุดกำลัง เหล่าพลทหารอัคคีโชติทุกคนก็ทุ่มเทอย่างสุดตัว พวกเขาต่างก็เข้าใจดีว่าหากพ่ายแพ้ ดูจากการที่เหล่ามารเหล่านี้กำลังรังควานไปทั่วทุกหนแห่งในเมืองอัคคีโชติอย่างอุกอาจแล้ว ย่อมไม่มีทางละเว้นพวกเขาอยู่แล้ว
ไม่มีทางอื่น พลทหารทั้งหมดต่างก็กำลังเสี่ยงชีวิต
“วิตกเสียแล้วหรือ คลั่งเสียแล้วหรือ ไม่มีประโยชน์หรอก ฮ่าฮ่าฮ่า ท่านโหวหั่วเลี่ย ตอนนั้นพวกเราสร้างเผ่ากันอยู่ท่ามกลางความรกร้าง กระเสือกกระสนคว้าฟางเส้นสุดท้าย ใช้ชีวิตกันอย่างระแวดระวัง ถึงแม้ว่าจะเอาชีวิตรอดอย่างยากเข็ญ แต่ก็สามัคคีกลมเกลียวกัน นั่นคือบ้านของพวกเรา! ก็เพราะท่านไล่สังหารมารตนหนึ่ง เพียงแค่กระบวนท่ามังกรเพลิงสวรรค์เคลื่อนเพียงกระบวนท่าเดียว! มารก็หลบเลี่ยงกระบวนท่านั้นของท่าน แต่เผ่าของพวกเรากลับถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ด้วยเหตุนี้ ที่โชคดีมีชีวิตรอดมาได้ก็มีเพียงแค่สิบกว่าคนเท่านั้นเอง พวกเราหลบหนีไปทั่วทุกหนแห่ง เพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ตายไปคนแล้วคนเล่า ข้าเข้าไปสู่ทะเลสาบมารทมิฬ ก็ได้ประสบกับภัยพิบัติจำนวนนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว”
“ระหว่างภัยดักแด้นับล้าน ข้าคือหนึ่งในสิบราชันย์ดักแด้ที่มีชีวิตรอดมาได้ จึงมีคุณสมบัติได้เป็นสมาชิกชั้นล่างของทะเลสาบมารทมิฬคนหนึ่ง”
“ในบรรดาสมาชิกชั้นล่างจำนวนนับไม่ถ้วน ข้าดิ้นรนต่อสู้จนได้คารวะเข้าสู่สำนักของขั้นอลวนท่านหนึ่ง”
“มาร แม้กระทั่งศิษย์พี่ศิษย์น้องก็ยังฆ่ากันเองได้”
“มีเพียงผู้ที่มีชีวิตรอดเป็นคนสุดท้ายเท่านั้นจึงจะเป็นมารที่แกร่งกล้าที่สุด ข้าสำเร็จเป็นขั้นอลวนแล้ว ทั้งยังไปถึงชั้นที่เก้าแล้วด้วย ตอนนี้ข้าแข็งแกร่งยิ่งกว่าท่านเสียอีก น่าเสียดายที่ท่านมีตระกูลอิงซานคอยอารักขา มีรัฐเมฆทักษิณาคอยปกป้อง ข้าก็ได้แต่รอ ฮ่าฮ่าฮ่า ในที่สุดก็รอมาจนถึงวันนี้จนได้”
“เหตุใดในตอนนั้นท่านจึงไม่ควบคุมสักหน่อย ให้หลีกเลี่ยงไปจากชนเผ่าของพวกเรา”
“เพียงแค่ความนึกคิดเดียวของท่าน ชนเผ่าของข้าก็สามารถมีชีวิตรอดปลอดภัยได้แล้ว แต่ท่านกลับมิได้ทำ ใช่แล้ว พวกเรามันเป็นมดปลวก มดปลวก ผู้อ่อนแอก็คือมดปลวก ก็สมควรตายแล้วนี่ สมควรตายแล้ว”
นัยน์ตาของบุรุษร่างกำยำผู้มีเขาโค้งสีดำเต็มไปด้วยความวิปลาส ขณะเดียวกันก็ส่งเสียงดังขึ้นภายในห้วงสมองของท่านโหวหั่วเลี่ยสายแล้วสายเล่าอย่างต่อเนื่อง
นี่คือความคิดอันฝังใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในใจของมาร ‘เฉินอู่’…
ความคิดอันฝังใจซึ่งทำให้เขาอยู่ที่ทะเลสาบมารทมิฬที่ราวกับฝันร้ายแห่งนั้น ปีนป่ายจากสถานะอันต่ำต้อยที่สุดมาจนถึงสถานะในปัจจุบัน ในที่สุดตอนนี้ก็จะได้ล้างแค้นแล้ว เขาก็ย่อมพูดทุกสิ่งทุกอย่างออกมาจนหมด อยากจะทำให้ท่านโหวหั่วเลี่ยได้เข้าใจ! ให้เขาตาย ให้ทั้งเมืองอัคคีโชติของเขาแหลกสลายไปจนสิ้น ก็เพราะในตอนนั้นเขาก่อให้เกิดผลกระทบกับชนเผ่าหนึ่ง
“รัฐเมฆทักษิณามีเมืองมากมาย เดิมทีก็ไม่แน่ว่าจะเป็นเมืองอัคคีโชติของพวกท่าน ก็เป็นเพราะข้าเอง ข้านี่แหละ! เป็นข้าเองที่คิดหาทุกวิถีทางทำให้พวกท่านบรรพชนตัดสินใจเลือกเมืองอัคคีโชติในท้ายที่สุด”
“ฮ่าฮ่า…”
“ท่านล้างผลาญชนเผ่าข้า วันนี้ข้าก็จะฆ่าท่าน ล้างผลาญเผ่าของท่าน ผลาญทำลายเมืองของท่าน ในภายหน้าทั้งตระกูลอิงซานของพวกท่านก็จะต้องวอดวายจนสิ้น ฮ่าฮ่าฮ่า…”
การถ่ายเสียงดังขึ้นภายในห้วงสมองของท่านโหวหั่วเลี่ยสายแล้วสายเล่าอย่างต่อเนื่อง
ท่านโหวหั่วเลี่ยขบกราม
เดิมทีเขาก็เป็นคนเย็นชา ต่อสู้อยู่ข้างนอก จะไปสนใจว่าทุกกระบวนท่าจะส่งผลกระทบต่อพวกที่อ่อนแอหรือไม่เสียที่ไหนกัน เพียงแต่ในขณะนี้เขาก็ยังจ้องมองบุรุษร่างกำยำผู้มีเขาโค้งสีดำตรงหน้าผู้นี้อย่างเดือดดาล
“เสวี่ยอิง หนีเร็วเข้า หนีเอาชีวิตรอดอย่างสุดกำลังเลยนะ พวกเขาร้ายกาจเกินไป ร้ายกาจเกินไป! เพียงแค่ประคับประคองเอาไว้ได้เป็นเวลาหนึ่งวัน พวกเขาก็น่าจะล่าถอยกลับไปแล้วล่ะ” ท่านโหวหั่วเลี่ยถ่ายเสียงพูดกับตงป๋อเสวี่ยอิง เขารู้ว่าตนเองเอาชีวิตไม่รอดแล้ว ดังนั้นจึงคาดหวังว่าตงป๋อเสวี่ยอิงจะสามารถเอาชีวิตรอดต่อไปได้ เป็นถึงขั้นอลวนทางสายห้วงอากาศ เชี่ยวชาญการหนีเอาชีวิตรอด บางทีอาจจะสามารถกุมความหวังในการประคับประคองเอาไว้ในเมืองอัคคีโชติได้วันหนึ่ง
ระยะเวลาหนึ่งวัน
นี่ก็คือความตกลงโดยปริยายระหว่างทะเลสาบมารทมิฬกับประมุขรัฐเมฆทักษิณา ระยะเวลาอย่างมากที่สุดของการบูชาโลหิตก็คือหนึ่งวัน ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะก็ต้องล่าถอยไป!
แต่ว่าเผชิญหน้ากับพลพรรคที่ประมุขมารเมฆาขาวนำทัพ… เกรงว่าเพียงครึ่งชั่วยาม ทั้งเมืองอัคคีโชติก็อาจถูกสังหารหมู่จนหมดสิ้น ถูกบูชาโลหิตจนหมด หลักๆ นี้ก็เป็นเพราะทั้งเมืองอัคคีโชติกว้างใหญ่เกินไป มีประชากรมากมายเหลือเกินเป็นเหตุ แม้กระทั่งท่านโหวหั่วเลี่ย ร่างแปรของจ้าวฉุนอวี้ และอิงซานเสวี่ยอิง… ในแผนการของทะเลสาบมารทมิฬ จะต้องจัดการภายในระยะเวลาอันสั้น
……
ถึงแม้ว่าจะมีน้ำเสียงอันกระวนกระวายของท่านโหวหั่วเลี่ยก้องสะท้อนอยู่ข้างหู แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังคงเคลื่อนที่ในพริบตาเช่นเดิม
“ตายเสีย” เขามองดูพลพรรคมารขั้นรวมเป็นหนึ่งกองร้อยหนึ่งที่อยู่บริเวณใกล้ๆ อย่างเย็นชา บนร่างกายของมารเหล่านั้นแต่ละคนมีแผลฉีกขาดจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น หลังจากนั้นก็สลายกลายเป็นเถ้าถ่านไปจนหมดสิ้น
“คุณชายเสวี่ยอิง”
“คุณชายเสวี่ยอิงมาช่วยเหลือพวกเราแล้ว”
“มีทางรอดแล้ว!”
“พวกเราจวนโหวมีทางรอดแล้ว เมืองอัคคีโชติมีทางรอดแล้ว”
เหล่าผู้คนตระกูลอิงซานที่ได้รับความช่วยเหลือมองเห็นความหวังท่ามกลางความสิ้นหวัง สำหรับพวกเขาแล้วคุณชายเสวี่ยอิงผู้แผ่กลิ่นอายของขั้นอลวน เดิมทีก็แกร่งกล้าหาใดเปรียบอยู่แล้ว มารเหล่านั้นพลันถูกล้างสังหารจนหมดสิ้นในชั่วพริบตา เกรงว่าน่าจะมีความหวังในการช่วยเหลือทั้งเมืองอัคคีโชติได้
หมดหนทาง สำหรับพวกเขาผู้เป็นประชากรธรรมดาแล้ว ขั้นอลวนทุกคนนั้นช่างสูงส่งเสียเหลือเกิน
“ข้าไม่ยอมจำนนใจ ข้าไม่ยอมจำนนใจหรอก ข้าเพิ่งจะบรรลุไปถึงเทพอากาศ มีคุณสมบัติจะนับได้ว่าเป็นศิษย์ตระกูลอิงซานแล้ว ข้าสามารถทำให้ท่านแม่มีชีวิตที่ดีได้แล้ว เพราะเหตุใด เพราะเหตุใดจึงจะต้องมาตายในตอนนี้ด้วยเล่า ไม่นะ…” ศิษย์ตระกูลอิงซานคนหนึ่งบรรลุไปถึงขั้นรวมเป็นหนึ่งในขณะที่เผชิญกับความตาย แต่การเผชิญหน้ากับพลพรรคมารที่สังหารเข้ามาจากที่ไกลๆ กลับทำให้หัวใจเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
ปัง
ระหว่างที่หลบหนีเขาก็สังเกตพลพรรคมารที่อยู่ด้านหลังตลอดเวลา แต่ทันใดนั้นเอง เหล่ามารแต่ละคนนั้นต่างก็มีรอยฉีกขาดจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นบนร่าง แล้วกลายเป็นเถ้าธุลีจนหมดสิ้น
ศิษย์ตระกูลอิงซานผู้นี้หยุดฝีเท้าลงด้วยความตกตะลึง เขามองดูหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวที่อยู่กลางอากาศไกลออกไปผู้นั้น
หนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวยืนอยู่กลางอากาศ กลิ่นอายขั้นอลวนแผ่กระจายก่อให้เกิดความกดดัน ทำให้เขาเกิดความรู้สึกยกย่องขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
“คุณชายเสวี่ยอิงหรือ” ศิษย์ตระกูลอิงซานตระหนักขึ้นมาได้แล้ว
ความภาคภูมิใจของเชื้อสายท่านโหวหั่วเลี่ย
ความภาคภูมิใจของทั้งตระกูลอิงซาน ผู้มีพรสวรรค์อันน่าอัศจรรย์!
“เป็นคุณชายเสวี่ยอิงนั่นเอง” ศิษย์ตระกูลอิงซานผู้นี้ตื่นเต้นยินดีจนแทบคลั่ง แต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่เคยจินตนาการได้เลยว่าตอนนี้จะเคารพคุณชายเสวี่ยอิงได้ถึงเพียงนี้! ในขณะนี้คุณชายเสวี่ยอิงมีรัศมีอันสูงส่งในใจเขา สถานะสูงส่งยิ่งกว่าท่านโหวหั่วเลี่ยเสียอีก เป็นรองเพียงแค่แม่เฒ่าอิงซานเท่านั้น
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่มีทางทนให้บรรดาคนตัวเล็กๆ ที่อ่อนแอจำนวนนับไม่ถ้วนถูกสังหารหมู่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้ที่เป็นคนของตระกูลอิงซานเช่นกันเหล่านี้เลย
“ท่านเคลื่อนที่ในพริบตาได้อย่างรวดเร็วเหลือเกิน!”
พรึ่บ
ในขณะเดียวกันกับที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงเคล็ดเขตพลังสังหารโจมตีพลพรรคมารกองที่สี่นั้นเอง
บริเวณรอบๆ ก็มีขั้นอลวนสี่คนปรากฏตัวขึ้น ที่เป็นผู้นำก็คือชายชราผู้เย็นชาคนหนึ่ง หลังจากที่ชายชราผู้เย็นชาเคลื่อนที่ในพริบตาปรากฏตัวขึ้นแล้ว ฟ้าดินบริเวณรอบๆ ก็มีอาณาเขตกฎเกณฑ์อันไร้รูปร่างเคลื่อนที่เข้ามาในทันใด กาลมิติบริเวณรอบๆ ก็ถูกกดดันจนหมดสิ้น เป็นถึงอาณาเขตกฎเกณฑ์ของผู้แกร่งกล้าขั้นอลวนระดับชั้นที่เก้า ก็ย่อมต้องสมบูรณ์แบบเป็นที่สุดอยู่แล้ว
อาณาเขตกฎเกณฑ์ของผู้แกร่งกล้าขั้นอลวน ต่างก็นับได้ว่าเป็นกฎเกณฑ์จักรวาลขนาดย่อส่วน เดิมทีก็แกร่งกล้าอยู่แล้ว ‘เซวี่ยฝู’ ชายชราผู้เย็นชายิ่งเป็นถึงขั้นอลวนระดับชั้นที่เก้า ภายใต้แรงกดดันของอาณาเขตกฎเกณฑ์ของเขา ต่อให้เป็นเทพจักรวาลก็ยังยากที่จะสอดแทรกเข้ามาได้
ภายใต้แรงกดดันของอาณาเขตกฎเกณฑ์ ผู้ใดก็มิอาจเคลื่อนที่ในพริบตาได้
“หึ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปทางขั้นอลวนสี่คนตรงหน้านี้
มีความสำเร็จทางด้านห้วงอากาศของเขาอยู่ ขณะที่อีกฝ่ายเคลื่อนที่ในพริบตาเขาก็รับสัมผัสได้แล้ว ว่ากันตามเหตุผลก็ควรจะเคลื่อนที่ในพริบตาในทันที สามารถหลบหนีได้โดยสมบูรณ์
แต่เขาก็มิได้ทำ หากแต่ยังคงลงมือสังหารพลพรรคมารเหล่านั้นอยู่
“เสวี่ยอิง เจ้า ทำไมเจ้าไม่หนีไปเล่า” ท่านโหวหั่วเลี่ยที่สังเกตดูฉากนี้อยู่ไกลๆ ก็ยิ่งร้อนใจเสียแล้ว “พลังยุทธ์ทางด้านห้วงอากาศของเจ้าก็ย่อมหนีได้ทันอย่างแน่นอนอยู่แล้วล่ะ อย่าได้สนใตผู้คนอีกเลย ทั่วทั้งเมืองอัคคีโชติ เกรงว่าคงจะมีเพียงแค่เจ้าเท่านั้นที่พอมีหวังที่จะเอาชีวิตรอดได้อย่างพอถูไถ ส่วนผู้อื่นนั้นคงไม่มีความหวังอีกแล้ว”
ท่านโหวหั่วเลี่ยเห็นตงป๋อเสวี่ยอิงยังคงช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ในเวลานี้ ก็ทั้งซาบซึ้งทั้งกระวนกระวายใจ
“ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว”
ลมหนาวก่อตัวขึ้น
อุณหภูมิบริเวณรอบๆ ลดต่ำลงอย่างฉับพลัน กลางอากาศก็มีเกล็ดน้ำแข็งและเกล็ดหิมะจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น ‘เซวี่ยฝู’ ชายชราผู้เย็นชาและลูกน้องขั้นอลวนอีกสามคนรักษาค่ายกลรบเอาไว้ เห็นเพียงแค่เงามายาสีดำขนาดมหึมาของเซวี่ยฝูปรากฏขึ้น บนร่างของเซวี่ยฝูนี้มีลวดลายสีแดงโลหิตอยู่รางๆ ดวงตาทั้งคู่ก็เป็นสีแดงโลหิตเช่นเดียวกัน อุณหภูมิบริเวณรอบๆ หนาวเย็นเป็นที่สุด ขั้นรวมเป็นหนึ่งธรรมดาๆ ก็ต้องแข็งตาย
ลมหนาวพัดปะทะใบหน้า แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับกุมหอกเทพเมฆาแดงในมือแน่น
“น่าเสียดายนัก”
“ผู้มีพรสวรรค์คนหนึ่งอย่างเจ้า ถ้าหากให้เวลากับเจ้าอย่างเพียงพอก็มีหวังที่จะมาถึงพลังยุทธ์เช่นเดียวกันกับข้า แต่น่าเสียดายที่วันนี้เจ้าต้องตายอย่างแน่นอนแล้ว” เซวี่ยฝู ชายชราผู้เย็นชาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น
ขั้นอลวนสามคนที่อยู่ข้างๆ ต่างก็มองตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างเวทนา
“ฆ่าเขาเสีย” ชายชราผู้เย็นชาเอ่ยปาก
“ลงมือ”
“ฆ่ามัน”
พวกเขาทุกคนต่างก็ผ่อนคลายกันเป็นอย่างยิ่ง แต่พอสังหารขึ้นมากลับมิได้ออมมือเลยแม้แต่น้อย ถึงอย่างไรก็เป็นพญามารที่สำเร็จเป็นขั้นอลวน พวกเขายังคิดว่าหลังจากที่สังหารโดยเร็วที่สุดแล้วก็จะไปร่วมมือกันกำจัดท่านโหวหั่วเลี่ยโดยเร็วที่สุด
“แคว่ก!”
เสียงแปลกประหลาดดังขึ้น
“เสียงอะไรกัน” ชายหนุ่มกลิ่นอายมารผู้สวมอาภรณ์สีทองคนหนึ่งในบรรดาขั้นอลวนสี่คนตกอกตกใจอยู่บ้าง หลังจากนั้นพอก้มหน้าลงมองก็เห็นว่าทรวงอกมีโพรงขนาดใหญ่โพรงหนึ่งปรากฏขึ้น
ภายใต้เสียงแปลกประหลาด ระลอกคลื่นอันแปลกพิกลก็แผ่ไปทั่วสรรพางค์กาย
ร่างกายของชายหนุ่มอาภรณ์สีทองผู้นี้แหลกสลายไปจนสิ้นแล้วปลิวสลายหายไปราวกับผงแป้งก็มิปาน
แคว่ก! แคว่ก! แคว่ก!
ขั้นอลวนสามคนต่างก็มีเงาหอกอันเลือนรางวาบผ่าน กลางอกมีโพรงเลือดปรากฏขึ้น ร่างกายของแต่ละคนแหลกสลายกลายเป็นฝุ่นละอองอณูละเอียด จากนั้นก็ปลิวสลายหายไป
“ปัง ปัง ปัง” เหลือเพียง ‘เซวี่ยฝู’ ชายชราผู้เย็นชาเท่านั้น เขาส่งเสียงคำรามท่ามกลางความตื่นตระหนก “เฉินอู่!!!”
เขาหมายจะต้านทานอย่างสุดกำลัง
ทว่าหัวหอกที่ดูเหมือนจะเรียบง่ายธรรมดากลับแฝงไว้ด้วยพลังคุกคามอันน่าหวาดหวั่น ปรากฏขึ้นที่ด้านหลังของเขาอย่างน่าประหลาดแล้วแทงทะลุตรงเข้าสู่ร่างกายของเขา ทำให้ร่างของเขาแหลกสลายกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยในทันใด เป็นการผลาญทำลายอันเงียบงันไร้สุ้มเสียง ในใจของชายชราผู้เย็นชาผู้นี้หวาดหวั่นเป็นอย่างยิ่ง “วิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่า บดขยี้อากาศอย่างนั้นหรือ แต่การบดขยี้อากาศแปลกประหลาดเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน ข้าจะต้านก็ต้านไม่อยู่เลย!” ถึงแม้ว่าเขาจะต้านทานอย่างสุดกำลัง แต่อากาศบริเวณรอบๆ ก็บิดหมุนอย่างน่าประหลาด แทงหอกสามครั้งรวด ทุกฝีหอกล้วนแทงทะลุเข้าสู่ร่างกายของเขา ทำให้ร่างกายของเขาแหลกสลาย
ฝีหอกสุดท้ายแทงทะลุตรงเข้าสู่คอหอยของเขา
กะโหลกศีรษะของเขาก็เริ่มแหลกสลายไปในทันที
เขาเบิกตากว้างมองดูหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวผู้กุมหอกยาวด้วยสีหน้าเยียบเย็นตรงหน้า
ไม่อยากจะเชื่อ… เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะต้องมาตายด้วยน้ำมือของหนุ่มน้อยคนหนึ่งเช่นนี้
“เป็นไปได้อย่างไรกัน” จากนั้นสติรับรู้ของเขาก็แหลกสลายไปจนสิ้น
เงียบงัน
ก่อนหน้านี้ยามที่พลพรรคมารขั้นรวมเป็นหนึ่งถูกสังหารหมู่ พลพรรคมารอื่นๆ ที่ท้องฟ้าเบื้องบนของจวนโหวกำลังดูที่แห่งนี้อยู่ห่างๆ แม้กระทั่ง ‘เฉินอู่’ บุรุษร่างกำยำผู้มีเขาโค้งสีดำ ที่นำทัพขั้นอลวนสามคนต่อกรกับท่านโหวหั่วเลี่ยก็กำลังสังเกตการณ์ดูที่แห่งนี้ ท่านโหวหั่วเลี่ยเองก็สังเกตการณ์ดูที่แห่งนี้อย่างกระวนกระวายอยู่เช่นเดียวกัน
แต่ในขณะนี้ ต่างก็พากันเงียบงันไปเสียแล้ว
ใคร ไม่ว่าจะเป็นใครต่างก็คิดไม่ถึงว่าจะมีผลลัพธ์เช่นนี้
ค่ายกลรบที่ประกอบขึ้นโดยขั้นอลวนระดับชั้นที่เก้าคนหนึ่งนำทัพขั้นอลวนสามคน ผู้ใต้บังคับบัญชาสามคนแหลกสลายกลายเป็นผุยผงจำนวนนับไม่ถ้วน จากนั้นก็กลายเป็นเถ้าธุลี เพียงแค่สามฝีหอก ‘เซวี่ยฝู’ ผู้แกร่งกล้าขั้นอลวนระดับชั้นที่เก้าเพียงหนึ่งเดียวก็ถูกสังหารจนสิ้นชีวิต มิได้ต้านทานเลยแม้แต่ฝีหอกเดียว!
……
ณ รัฐเมฆทักษิณา ภายในพระราชวังหลวง
ภายในโถงตำหนักที่เดิมทีมีบรรยากาศอันกดดันน่าอึดอัด แม่เฒ่าอิงซาน ท่านหญิงกุ่ยลี่ กงเหลียงอี้ และเฟิงอ๋องอีกห้าคน รวมทั้งจ้าวเทียนยิน จ้าวฉุนอวี้ และจ้าวทานเผิง พวกเขาแต่ละคนมองดูภาพเหตุการณ์ที่ปรากฏบนกระจกกลมนี้อย่างตกตะลึง เดิมทีในใจของพวกเขาคิดว่าจะต้องเห็นผู้มีพรสวรรค์ล้ำเลิศถูกสังหาร แต่ทว่าในยามนี้เมื่อได้เห็นฉากนี้ก็ทำให้พวกเขาพากันตะลึงงันไปในทันใด ต่างก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
ประมุขรัฐเมฆทักษิณาที่เดิมทีนัยน์ตาทั้งคู่เยียบเย็น สีหน้าสงบราบเรียบ ไม่มีอารมณ์เลยแม้แต่น้อย นัยน์ตาเกิดประกายสว่างไสวขึ้นมาในทันใด เขาจ้องมองกระจกกลมที่อยู่กลางอากาศพลางตะโกนว่า “ดี!”
ตอนที่ 42 นามของอิงซานเสวี่ยอิง
Ink Stone_Fantasy
ตามคำว่า ‘ดี’ คำหนึ่งของประมุขรัฐเมฆทักษิณา ผู้คนภายในโถงตำหนักที่เดิมทีตกตะลึงกันอยู่แต่ละคนต่างก็มีปฏิกริยาตอบสนองขึ้นมา มิอาจตำหนิพวกเขาได้ ด้วยภาพเหตุการณ์ที่ปรากฏบนกระจกกลมเมื่อครู่นั้นน่าพรั่นพรึงเกินไป
“ร้ายกาจ ร้ายกาจ ค่ายกลรบที่ประกอบด้วยขั้นอลวนสี่คน ถึงกับถูกเขาทำลายลงเสียเช่นนี้ได้เลยหรือ” จ้าวเทียนยินเอ่ยอย่างตกตะลึง
“ใช่แล้ว นี่มันค่ายกลรบที่มารเฒ่าเซวี่ยฝูเป็นผู้บัญชาการเชียวนะ พูดถึงพลานุภาพในการป้องกัน เกรงว่าคงจะเป็นชั้นที่เก้าขั้นสุดยอดเลยทีเดียวกระมัง ต่อให้ข้าลงมือ การจะทำลายก็ยังไม่ง่ายดายเช่นนี้เลย” จ้าวฉุนอวี้ที่อยู่ด้านข้างอุทาน ค่ายกลรบที่ร้ายกาจอย่างแท้จริง ต่อให้เป็นการโจมตีประเภทวิญญาณ ก็ต้องเป็นผู้แกร่งกล้าที่สุดในบรรดาทั้งค่ายกลรบไปต้านทาน
ดังนั้นการโจมตีของผู้อ่อนแอที่สุดในค่ายกลรบ และการโจมตีของผู้แกร่งกล้าที่สุด ก็ดูเหมือนจะมิได้แตกต่างกันเลย
แน่นอนว่าในประวัติศาสตร์อันยาวนานของดินแดนจิตโลกาก็มีวิธีการอันพิเศษอยู่บ้าง สามารถตั้งเป้าหมายจำเพาะสมาชิกแต่ละบุคคลในค่ายกลรบได้ ทำให้ค่ายกลรบแทบจะไร้ผล อย่างเช่นพวก ‘เคล็ดคำสาป’ หรือ ‘เคล็ดการพยากรณ์’ หรืออย่างเช่น ‘เคล็ดสังหารกรรมผลาญ’ และ ‘เคล็ดสังหารหยินหยางโคจร’ เป็นต้น
“เขาสำแดงเคล็ดวิชาหอกสองชนิดต่อเนื่องกัน” จ้าวทานเผิงก็ยังเอ่ยชื่นชม “เคล็ดวิชาหอกชนิดแรกร้ายกาจเป็นอย่างยิ่ง มิได้ฉีกทำลายค่ายกลรบ แต่กลับมีเงาหอกไปแทงทะลุทรวงอกของขั้นอลวนคนหนึ่ง ทรวงอกของอีกฝ่ายมีโพรงโลหิตปรากฏขึ้นมาในทันใด อีกทั้งยังทำให้ร่างกายกลายเป็นผุยผงจำนวนนับไม่ถ้ว จากนั้นก็กระจัดกระจายหายไปในระหว่างห้วงฟ้าดิน ขั้นอลวนที่อ่อนแอสามคนนั้นต่างก็พากันตายไปด้วยวิธีเช่นนี้”
“อืม ถูกต้อง”
“หอกยาวของเขามิได้ทำลายค่ายกลรบอย่างแท้จริง แต่มีเงาหอกอันเลือนรางวาบผ่าน ขั้นอลวนสามคนต่างก็มีโพรงโลหิตปรากฏขึ้นที่ทรวงอก ร่างกายสลายกลายเป็นผุยผงจำนวนนับไม่ถ้วน”
พลังยุทธ์นั้นก็ไม่ธรรมดาเลย
มิใช่เทพจักรวาล เป็นบุคคลขั้นอลวนระดับชั้นที่สิบก็สามารถทำการประเมินอย่างถูกต้องได้แล้ว
“วิชาหอกชนิดที่สองก็คือ ‘บดขยี้อากาศ’ กระบวนท่าที่สิบสองของวิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่าของพวกเรา สามฝีหอกโจมตีบนร่างของมารเฒ่าเซวี่ยฝูอย่างต่อเนื่อง” จ้าวทานเผิงพูด “บดขยี้อากาศเป็นเพียงแค่ระดับชั้นที่เก้าของวังปฐมเทพ พลานุภาพมหาศาล เพียงแต่ค่อนข้างจะโง่เง่าตรงไปตรงมาอยู่สักหน่อย สามารถต้านทานได้อย่างง่ายดายยิ่ง! แต่ยามที่ปรากฏบนหัวหอกในมือของคุณชายเสวี่ยอิง แล้วไปถึงข้างกายของมารเฒ่าเซวี่ยฝู มารเฒ่าเซวี่ยฝูกลับมิอาจต้านทานได้เลยแม้แต่กระบวนท่าเดียว ถูกโจมตีเต็มๆ”
“ถึงแม้ว่า ‘บดขยี้อากาศ’ จะมีพลังคุกคามมหาศาล มารเฒ่าเซวี่ยฝูไม่นับว่าแข็งแกร่งทางด้านการหลอมร่างกาย แต่เพียงแค่สามฝีหอกก็สิ้นลมแล้วนั้น หอกยาวในมือของคุณชายเสวี่ยอิงด้ามนี้… จะต้องเป็นอาวุธลับล้ำค่าอันร้ายกาจอย่างที่สุดเป็นแน่! ทำให้ ‘บดขยี้อากาศ’ สำแดงพลานุภาพที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นออกมาได้” จ้าวทานเผิงพูด
ทุกคนในที่นั้นพยักหน้า
ทำลายค่ายกลรบก่อน
พอไม่มีค่ายกลรบคุ้มกัน ความสามารถในการปกป้องชีวิตของมารเฒ่าเซวี่ยฝูก็ลดลงอย่างมหาศาล แต่เพียงแค่สามฝีหอกก็สิ้นชีวิตแล้วนั้นก็ออกจะเกินจริงไปเสียแล้ว มีเพียงคำอธิบายเดียวเท่านั้นก็คือ หอกยาวด้ามนั้นคืออาวุธลับล้ำค่าอันน่าหวาดหวั่น
“นี่ยังมิได้ร้ายกาจที่สุดหรอก”
บนใบหน้าของประมุขรัฐเมฆทักษิณาปรากฏรอยยิ้มขึ้น เขาพูดพลางยิ้มน้อยๆ “วิธีการทำลายค่ายกลรบ อาวุธลับล้ำค่าหอกยาวในมือ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นรองทั้งสิ้น …สิ่งที่ร้ายกาจที่สุดเจ้าเด็กน้อยอิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้ก็คือเคล็ดเขตพลังของเขา! อาณาเขตกฎเกณฑ์ของมารเซวี่ยฝูสมบูรณ์แบบเพียงใด กดดันระลอกคลื่นทั้งหมด แต่อิงซานเสวี่ยอิงยังคงสามารถควบคุมอากาศได้เช่นเดิม ทำให้หอกยาวไปปรากฏข้างกายมารเซวี่ยฝูได้อย่างง่ายดาย ปรากฏขึ้นเฉยๆ ก็แล้วไปเถิด ว่ากันตามเหตุผลแล้ว มารเซวี่ยฝูควรจะสามารถรับสัมผัสร่องรอยของการเปลี่ยนแปลงห้วงอากาศได้ ก็ควรจะต้านรับได้ทันการณ์! แต่ในความเป็นจริงแล้วเขาผู้เป็นถึงยอดฝีมือขั้นอลวนระดับชั้นที่เก้า ยอดฝีมือที่มีความร้ายกาจที่สุดในด้านการต่อสู้ประชิดตัว ถึงกับมิได้ต้านรับเลยแม้แต่กระบวนท่าเดียว เห็นได้ชัดว่าการควบคุมอากาศก็ร้ายกาจเหลือเกิน สำแดงได้ในพริบตา ไร้ซึ่งร่องรอยในทุกๆ ครั้ง!”
“อืม”
“ใช่”
ทุกคนในที่นั้นยอมรับ
ใช่แล้ว
ทำให้ยอดฝีมือขั้นอลวนระดับชั้นที่เก้าคนหนึ่ง มิได้ป้องกันเลยแม้แต่กระบวนท่าเดียว เคล็ดเขตพลังเช่นนี้ช่างน่าหวาดหวั่นโดยแท้
ก็เพราะเขตพลังอันน่าหวาดหวั่นนี้เป็นเหตุ ทำให้ ‘บดขยี้อากาศ’ ที่เดิมทีทึ่มทื่อตรงไปตรงมาเกิดผลลัพธ์อันน่าอัศจรรย์ขึ้น!
“จะต้านก็ต้านไม่อยู่ ช่างน่าหวาดหวั่นเสียจริง”ทุกคนในที่นั้นพากันประหลาดใจ
“แม่เฒ่า ยินดีด้วย” ท่านหญิงกุ่ยลี่เอ่ยชม
“ฮ่าฮ่าฮ่า แม่เฒ่า ตระกูลอิงซานมีเจ้าเด็กน้อยที่ล้ำเลิศโผล่ขึ้นมาคนหนึ่งเสียแล้วสิ” จ้าวเทียนยินพูดยิ้มๆ
แม่เฒ่าอิงซานเองก็ยิ้มตาหยี ในใจของนางกลับมีการคาดการณ์บางอย่างรางๆ ในบันทึกที่ฉีกขาดกระจัดกระจายเกี่ยวกับดินแดนจิตโลกาในตอนแรกเริ่มจำนวนหนึ่งของ ‘นายท่านฉื้ออวิ๋น’ หนึ่งในบรรดาผู้แกร่งกล้าที่มีชื่อเสียงในด้านการไม่กลัวเกรงการต่อสู้ตะลุมบอนและมีเขตพลังห้วงอากาศอันน่าหวาดหวั่นเป็นที่สุด ผู้เคารพผู้ยิ่งใหญ่ที่มีสถานะสูงส่งเป็นที่สุดของสกุลฝานในตอนนี้ กระทั่งปัจจุบันยังพูดกันว่านายท่านฉื้ออวิ๋นมิได้ด้อยไปกว่าเขาเลย จนใจที่ในช่วงเวลานั้นยังเป็นช่วงก่อนหน้าสงครามประเทศโบราณครั้งแรก เคล็ดวิชาจำนวนมากก็มิได้ถูกคิดค้นออกมา นายท่านฉื้ออวิ๋นดึงดันเกินไปจนถึงแก่ความตายในที่สุด ถ้าหากเป็นยุคปัจจุบันนี้ ยิ่งสามารถครอบครองเคล็ดลับรักษาชีวิตไว้ได้มากเท่าใด การจะตายนั้นก็ยิ่งเป็นไปได้ยากแล้ว ผู้หยิ่งยโสอย่างประมุขรัฐเพรียกหิมะนั้นจะมิได้ยังคงมีชีวิตอยู่หรือไร
“เจ้าตุ๊กตาน้อยเสวี่ยอิง ตอนนั้นก็อยากจะได้หัวหอกนี้มาครอบครองมาโดยตลอด ก็เป็นเพราะเหตุผลนี้ใช่หรือไม่” แม่เฒ่าอิงซานแอบคาดเดา ทันใดนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าชราก็ยิ่งสว่างไสว เพียงแค่สามร้อยล้านแก้วผลึกจักรวาลเท่านั้นเอง ทำให้ ‘อิงซานเสวี่ยอิง’ ศิษย์บ้านตนศึกษาเคล็ดวิชาเช่นนี้ได้สำเร็จ จนไปถึงระดับพลังยุทธ์เช่นนี้ได้ก็คุ้มค่าเหลือเกินแล้ว!
……
นครหลวงรัฐเมฆทักษิณา ณ คฤหาสน์สกุลฝาน
“นี่มัน…” ฝานเทียนฉ่งถลึงตาจนเบิกโพลง คนอื่นๆ ที่อยู่ด้านข้าง ที่ดีหน่อยก็ผุดลุกขึ้นยืนในทันใด ต่างก็มองดูภาพเหตุการณ์บนกระจกยลฟ้าอย่างตื่นตะลึง
“เด็กดี นี่ นี่มันชวนให้คนตกตะลึงเกินไปแล้ว” ฝานเทียนฉ่งลอบพึมพำ แววตาของเขาชั่วช้าเป็นอย่างยิ่ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเคล็ดสืบทอดทางสายนายท่านฉื้ออวิ๋นเลย กระทั่งปัจจุบันทั่วทั้งดินแดนจิตโลกานั้นมีเพียงที่เดียวที่มี ก็คือภายในสกุลฝาน นั่นคือเคล็ดสืบทอดลับภายใน ไม่เผยแพร่ออกสู่ภายนอก! เพราะพวกเขาล้วนเข้าใจกันเป็นอย่างดียิ่งว่ายุทธวิธีเมฆาแดงนั้นแกร่งกล้าสักเพียงใด
“เขาต้องการหัวหอกนั่นมาโดยตลอดเลยเช่นนั้นหรือ เพื่ออาศัยสิ่งนี้ตระหนักรู้ยุทธวิธีของนายท่านฉื้ออวิ๋นอย่างนั้นหรือ” ฝานเทียนฉ่งลอบบ่นพึมพำ “การตระหนักรู้นี้ก็ชวนให้คนตกตะลึงเกินไปแล้ว”
อาศัยเพียงแค่ร่องรอยลับของอาวุธลับล้ำค่า ก็ตระหนักรู้ยุทธวิธีได้แล้ว
เทียบกับการให้ตนไปคิดค้นจากศูนย์ ระดับความยากก็คงจะต่างกันไม่มากสักเท่าใดเลย ถ้าหากมีศาสตร์ลับที่สมบูรณ์ทำการเหนี่ยวนำชี้แนะ เช่นนั้นก็น่าจะผ่อนคลายกว่าเป็นอย่างมากเลยทีเดียว
“ยังดี ยังดี อย่างมากเขาก็แค่ตระหนักรู้ยุทธวิธีบางส่วนที่ค่อนข้างอ่อนแอของนายท่านฉื้ออวิ๋น ส่วนที่สูงส่งล้ำลึกอย่างแท้จริงนั้นก็มิได้หยั่งรู้ได้อย่างง่ายดายนักหรอก” ฝานเทียนฉ่งลอบบ่นพึมพำ
……
ความมืดแผ่ปกคลุมภายในโถงตำหนักอันกว้างขวางหรูหรา
เจ้าลัทธิทั้งสามผู้เลื่องชื่อของดินแดนจิตโลกาต่างก็นั่งอยู่ในตำแหน่งสูงสุด เบื้องล่างมีเทพจักรวาลเจ็ดคนและเหล่าประมุขมารกลุ่มหนึ่งนั่งอยู่ เดิมทีทุกคนอยู่ในบรรยากาศผ่อนคลาย มองดูภาพเหตุการณ์ที่ปรากฏบนกระจกยลฟ้าด้วยรอยยิ้ม สำหรับพวกเขาแล้ว นี่คืองานเลี้ยงอันรื่นเริงงานหนึ่ง พวกเขามองดูผู้ใต้บังคับบัญชาของตนบูชาโลหิตที่รัฐเมฆทักษิณาอย่างเบิกบานใจยิ่ง
“หืม”
“นี่ นี่มัน…”
“เป็นไปได้อย่างไรกัน”
ทุกคนตะลึงงันไปเสียแล้ว
เจ้าลัทธิทั้งสามผู้นั่งอยู่ที่ตำแหน่งสูงด้านบนต่างก็ตกตะลึง เพียงชั่วพริบตาบรรยากาศอันสุขสันต์ภายในโถงตำหนักก็ไม่มีอีกต่อไปแล้ว แปรเปลี่ยนเป็นความเงียบสงัดแทน
“เด็กหนุ่มผู้นี้เป็นใครกัน เหตุใดจึงมีพลังยุทธ์เช่นนี้ได้เล่า เป็นยอดฝีมือขั้นอลวนระดับชั้นที่สิบของดินแดนจิตโลกาคนใดให้ที่พักพิงในเมืองอัคคีโชติ” ในบรรดาเจ้าลัทธิทั้งสามด้านบน เจ้าลัทธิเหยียนโม๋ผู้นั่งอยู่ตรงกลางเอ่ยขึ้นอย่างเรียบเรื่อย เห็นได้ชัดว่าเขาไม่รู้จักอิงซานเสวี่ยอิงเลย ถึงอย่างไรด้วยสถานะของเขา ก็ย่อมไม่สนใจที่จะรู้ข่าวคราวพวกนี้อยู่แล้ว
“เรียนท่านเจ้าลัทธิ เด็กหนุ่มผู้นี้มีนามว่าอิงซานเสวี่ยอิงขอรับ” ร่างแปรของชายชราผมเขียวรูปร่างซูบผอมยืดกายลุกขึ้นในทันใด แล้วเริ่มเอ่ยตอบอย่างเคารพนบนอบ “เขาเป็นศิษย์ตระกูลอิงซาน ยามที่ถือกำเนิดนั้น…”
******
การสอดแนมทุกหนทุกแห่งของโลกภายนอกอยู่ห่างๆ รวมถึงภายในรัฐโบราณคิมหันตวายุ รัฐเพรียกหิมะ รัฐวอเฟิง และรัฐประเทศโดยรอบ การสอดแนมจำนวนหนึ่งในรัฐโบราณจันทร์โรจน์ ถึงแม้ว่าพวกเขาต่างก็สังเกตพบหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวผู้นี้ได้ในทันที แล้วก็ต้องพรั่นพรึงด้วยพลังยุทธ์ของเด็กหนุ่มผู้นี้ เริ่มต้นรวบรวมข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับเขาในทันที
แต่ที่เมืองอัคคีโชติ การต่อสู้กลับยังคงดำเนินต่อไป
“อะไรนะ!”
เดิมทีมีแววสังหารล้นฟ้า ‘เฉินอู่’ บุรุษร่างกำยำผู้มีเขาโค้งผู้ที่กำลังนำลูกน้องสามคนล้อมโจมตีกลุ่มคนของท่านโหวหั่วเลี่ยตกใจจนสีหน้าแปรเปลี่ยนไปเสียแล้ว เขาสามารถป่ายปีนจากระดับล่างสุดของทะเลสาบมารทมิฬขึ้นมาทีละก้าวๆ จนถึงตำแหน่งสูงในปัจจุบันนี้ดูคล้ายว่าการ ‘เสาะหาลาภ หลีกเลี่ยงภัย’ จะเป็นสัญชาตญาณของเฉินอู่
“ไปเร็ว!” เฉินอู่ถ่ายเสียงตะโกนพูด
“ไป” มารขั้นอลวนคนอื่นๆ อีกสามคนล้วนตื่นตระหนก พวกเขาตกใจกลัวอย่างสิ้นเชิงเสียแล้ว!
มารเฒ่าเซวี่ยฝูนำทัพลูกน้อง แต่ก็มิได้ด้อยไปกว่าพวกเขาเลยแม้แต่น้อย เพียงพริบตาก็ถูกผลาญไปเสียแล้ว
“ปัง”
พวกเขาขั้นอลวนสี่คนถอยหลังกรูดในทันใด รักษาเขตพลังเอาไว้ ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงมิอาจเคลื่อนที่ในพริบตาพาตัวเข้ามาใกล้ได้ในทันที หลังจากที่อยู่ห่างจากท่านโหวหั่วเลี่ยเป็นระยะทางหนึ่งแสนลี้แล้วก็ถอนแรงกดดันของอาณาเขตกฎเกณฑ์ของตนไปในทันที จากนั้นก็เคลื่อนที่ในพริบตาคราหนึ่งจากไปอย่างรวดเร็ว
……
“ไป”
“น่ากลัว น่ากลัวเกินไปแล้ว”
“ไปเร็วเข้า”
“ถ้าสายเกินก็ต้องตายอย่างแน่นอนแล้ว”
พลพรรคมารขั้นรวมเป็นหนึ่งกองอื่นๆ อีกสี่กองร้อยที่อยู่ภายในจวนโหว แต่ละคนต่างก็พากันเคลื่อนที่ในพริบตาหลบหนีด้วยสัญชาตญาณ มารเฒ่าเซวี่ยฝูผู้สูงส่งนำทัพขั้นอลวนสามคนก็ถูกผลาญในชั่วพริบตา แล้วใครจะไปต้านหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวผู้นั้นกันเล่า
……
บุรุษอาภรณ์ขาวผู้ศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นที่เดิมทีนั่งขัดสมาธิอยู่ที่เบื้องสูงของทั้งศูนย์กลางเมืองอัคคีโชติ ในขณะนี้ก็มีสีหน้าเปลี่ยนแปรเล็กน้อยเช่นกัน เขาเก็บขวดมารบูชาโลหิตตรงหน้าขึ้นมาโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย พร้อมกันนั้นก็ถ่ายเสียงออกคำสั่งว่า “หยุดการบูชาโลหิตเอาไว้ชั่วคราว ห้ามสังหารเป็นการชั่วคราว”
“ขอรับ”
พลพรรคมารกองแล้วกองเล่าที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วทุกหนแห่งของเมืองอัคคีโชติพากันรับคำสั่งกันจนสิ้น ทำให้บรรดาผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนที่กำลังหลบหนีอย่างสิ้นหวังเหล่านั้นต่างก็พากันงงงันอยู่บ้าง พลพรรคมารเหล่านั้นถึงกับหยุดมือเสียแล้วอย่างนั้นหรือ
เก็บขวดมารขึ้นมาเป็นการชั่วคราว
ต่อให้ทำการสังหารในตอนนี้ พลังงานอันเป็นพื้นฐานที่สุดสายนั้นที่หลบหนีภายในวิญญาณก็จะเป็นการสิ้นเปลือง จึงให้ผู้บำเพ็ญเหล่านั้นได้มีชีวิตอยู่ต่อไปอีกระยะเวลาหนึ่งเป็นการชั่วคราวก่อน
“อิงซานเสวี่ยอิงหรือ” ประมุขมารเมฆาขาวเก็บขวดมารบูชาโลหิตขึ้นมา แววตาจับอยู่บนร่างของหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวผู้อยู่กลางท้องฟ้าเบื้องบนของจวนโหวผู้นั้นอย่างรางๆ
ตอนที่ 43 ประมุขมารเมฆาขาวปะทะคุณชายเสวี่ยอิง (1)
Ink Stone_Fantasy
กลางจวนท่านโหวหั่วเลี่ย เหล่าผู้คนตระกูลอิงซานที่เดิมทีหลบหนีกระจัดกระจายไปทั่วทุกทิศต่างก็หยุดยั้งลง พวกเขามองเห็นหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวที่อยู่กลางอากาศแล้วเคลื่อนที่ในพริบตามาถึงยังข้างกายท่านโหวหั่วเลี่ย
“เหตุใดพวกมารจึงไปกันหมดแล้วเล่า”
“เป็นคุณชายเสวี่ยอิง! เมื่อครู่คุณชายเสวี่ยอิงฟันฉับๆๆ ก็กำจัดมารขั้นอลวนสี่คนได้เรียบร้อยแล้ว”
“อะไรนะ ขั้นอลวนสี่คนหรือ นั่นมิใช่ผู้ที่มีคุณสมบัติเป็นเฟิงโหวกันทั้งสิ้นหรือไร”
“ถูกต้อง เพียงชั่วพริบตาก็ถูกผลาญจนสิ้นเสียแล้วมารทั้งหมดที่มีอยู่ก็ถูกทำให้ตกใจจนหนีกระเจิดกระเจิงกันไปหมดแล้ว”
เหล่าทหารข้างกายท่านโหวหั่วเลี่ย รวมถึงเหล่าผู้คนตระกูลอิงซานที่ได้เห็นการต่อสู้นั้นต่างก็พากันกระจายข่าวกันอย่างบ้าคลั่ง
สายตาที่บรรดาผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนภายในจวนโหวมองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงล้วนเต็มไปด้วยความยกย่องชื่นชม
ร้ายกาจเกินไปแล้ว
แม้กระทั่งทหารอัคคีโชติชั้นยอดห้าพันคนที่นำโดยท่านโหวหั่วเลี่ย ต่างก็ถูกกดดันโดยสมบูรณ์
‘คุณชายเสวี่ยอิง’ เพียงแค่ฟันฉับๆๆ ก็จัดการขั้นอลวนสี่คนได้เรียบแล้ว ทำเอามารทั้งหมดที่มรอยู่พากันตกใจจนหนีไปหมดอย่างนั้นหรือ
ในขณะนี้
ในใจผู้คนตระกูลอิงซานจำนวนนับไม่ถ้วนของจวนโหว สถานะของคุณชายเสวี่ยอิงนั้นสูงส่งเป็นอย่างยิ่ง เหนือกว่าสถานะของท่านโหวหั่วเลี่ยเสียอีก
ร้ายกาจล้นฟ้าเกินไปเสียแล้ว!
“นี่คือผู้แกร่งกล้าล้ำเลิศของตระกูลอิงซานของพวกเรา” เหล่าศิษย์ตระกูลอิงซานจำนวนนับไม่ถ้วนรู้สึกภาคภูมิใจ ในใจเต็มไปด้วยความทระนง แต่ละคนมองเงาร่างที่อยู่กลางอากาศสายนั้นอย่างเคารพเทิดทูน…
“เสวี่ยอิง พลังยุทธ์ของเจ้านี้มันช่าง…” ท่านโหวหั่วเลี่ยมองดูหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวตรงหน้าอย่างไม่อยากที่จะเชื่อ
“ท่านโหว สงครามครั้งนี้ยังไม่สิ้นสุด ในบรรดาพวกเขายังมีประมุขมารเมฆาขาวอยู่ด้วยคนหนึ่ง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “เพื่อป้องกันมิให้พวกเขาทำอะไรท่านเมื่อถึงเวลานั้น จนรบกวนจิตใจข้า! ข้าก็จะเก็บพวกท่านเข้าไปในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์เป็นการชั่วคราว”
“ได้สิ” ท่านโหวหั่วเลี่ยพยักหน้า
เขาเข้าใจดีว่า…ท่ามกลางการปะทะในระดับนี้ระหว่างอิงซานเสวี่ยอิงและประมุขมารเมฆาขาว เขาก็ทำได้เพียงแค่ร่นถอยเท่านั้น
“พรึ่บ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงโบกมือคราหนึ่ง
ท่านโหวหั่วเลี่ยกับทหารอัคคีโชติชั้นยอดห้าพันคนที่อยู่ข้างกาย ถูกเก็บตัวเข้าไปภายในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์จนหมดสิ้นโดยที่แต่ละคนก็มิได้ต้านทาน
จากนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็หายตัวไปกลางอากาศ มิอาจเห็นได้อีก
******
“จัดวางค่ายกลรบมารทมิฬ” ทางฝั่งตำหนักทิพย์เมฆทักษิณา ขั้นอลวนสิบสองคนร่วมมือกันล้อมโจมตีร่างแปรของจ้าวฉุนอวี้ เพิ่งจะบุกสังหาร แต่ในขณะนี้ ‘เฉินอู่’ ก็นำทัพขั้นอลวนสามคนมา พวกเขาต่างก็รู้สึกได้ถึงความน่าหวาดหวั่นของหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวผู้นั้น ทันใดนั้นก็นึกอยากจะจัดวาง ‘ค่ายกลรบมารทมิฬ’ ขึ้นมา
ค่ายกลรบมารทมิฬมีความซับซ้อนเป็นที่สุด โดยทั่วไปแล้วต้องเป็นขั้นอลวนจึงจะสามารถจัดวางได้
สี่คนที่ล้วนเป็นขั้นอลวนร่วมมือกัน
ถ้าหากเป็น ‘ค่ายกลรบมารทมิฬ’ ทั้งยังเป็น ‘ค่ายกลรบมารทมิฬ’ สี่แห่งประกอบเข้าด้วยกัน ก็เท่ากับเป็นขั้นอลวนสิบหกคน ขณะนี้ที่นี่ก็มีอยู่สิบหกคนพอดิบพอดี
“พวกเราขั้นอลวนระดับชั้นที่เก้าที่นี่ก็มีอยู่สี่คน ทั้งยังมีขั้นอลวนคนอื่นๆ อีกสิบสองคน ประกอบกันเป็นค่ายกลรบมารทมิฬ ก็น่าจะสามารถกดดันประมุขมารได้บ้างแล้ว” บรรดาขั้นอลวนเหล่านี้ต่างก็มีความมั่นใจอย่างเต็มที่กันทุกคน
ประมุขมารเมฆาขาวเคลื่อนที่ในพริบตาปรากฏกายขึ้น
“ท่านประมุขมารขอรับ” มารขั้นอลวนสิบหกคนต่างก็พากันทักทายอย่างเคารพ
“พวกเซวี่ยฝูถูกสังหารในชั่วพริบตา หรือว่าพวกเจ้ายังดูไม่ออกอีกหรือ ต่อหน้าคุณชายเสวี่ยอิง ค่ายกลรบก็คือเรื่องน่าขัน วิชาหอกของเขาสามารถโจมตีผู้อ่อนแอภายในค่ายกลรบได้อย่างสมบูรณ์” ประมุขมารเมฆาขาวพูดเสียงเย็น
ทุกคนในที่นั้นตกตะลึง
อะไรนะ โจมตีผู้อ่อนแออย่างนั้นหรือ
กลวิธีที่สามารถหลีกเลี่ยงให้ค่ายกลรบโจมตีผู้อ่อนแอได้ ล้วนมิอาจเผยแพร่สู่ภายนอกได้โดยง่าย อีกทั้งการศึกษาให้สำเร็จได้นั้นก็ยังยากเย็นเป็นอย่างยิ่งอีกด้วย
“พวกเจ้าสี่คนรั้งอยู่ที่นี่ ส่วนขั้นอลวนคนอื่นๆ ก็ร่นถอยไปเป็นการชั่วคราวก่อน” ประมุขมารเมฆาขาวโบกมือคราหนึ่งแล้วเก็บตัวขั้นอลวนคนอื่นๆ สิบสองคนเข้าไปในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ บรรดามารเหล่านั้นต่างก็มิได้ต้านทาน พวกเขาก็เต็มใจจะหลบซ่อนตัวเป็นการชั่วคราว เพราะการหลบอยู่กับประมุขมารเมฆาขาวที่นี่นั้นพวกเขาต่างก็วางใจเป็นอย่างยิ่ง
ถึงอย่างไรหากค่ายกลรบไร้ประโยชน์ บรรดาขั้นอลวนชั้นที่เจ็ดชั้นที่แปดเหล่านี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าคุณชายเสวี่ยอิง ผลลัพธ์ที่จะเกิดได้ก็คือถูกสังหารหมู่
“พวกเจ้าสี่คนร่วมมือกันจัดวางค่ายกลรบแล้วก็ดูอยู่ข้างๆ ด้วย” ประมุขมารเมฆาขาวพูด
“ขอรับ” พวกเฉินอู่ ขั้นอลวนระดับชั้นที่เก้าสี่คนจัดวางค่ายกลรบจนสำเร็จในทันที ชั่วขณะนั้นพวกเขาทุกคนสำแดงเคล็ดวิชาที่เชี่ยวชาญ บริเวณรอบๆ มีเพลิงอัสนีคุกรุ่น อีกทั้งยังมีระลอกคลื่นอันแปลกประหลาดโคจรอยู่ด้วย แล้วยังมีเมฆดำแผ่ปกคลุม… ทุกกระบวนท่าของพวกเขามิได้ด้อยไปกว่าเซวี่ยฝูเลย สี่คนร่วมมือกัน ผลลัพธ์ก็ยิ่งล้ำเลิศ แน่นอนว่าสามารถอยู่ข้างๆ อย่างเงียบสงบได้
“คุณชายเสวี่ยอิงผู้นี้ ก็ยกให้ข้าเสียเถิด” ประมุขมารเมฆาขาวยืนอยู่หน้าตำหนักทิพย์เมฆทักษิณาอย่างเงียบเชียบ
……
ภายในตำหนักทิพย์เมฆทักษิณา ทุกส่วนงานล้วนปิดสนิท
ภายในห้องเงียบที่อยู่ด้านในสุดแห่งหนึ่ง
ฉุนอวี้เว่ยอีและคนกลุ่มหนึ่งต่างก็ซ่อนตัวกันอยู่ที่นี่
“อิงซานเสวี่ยอิงหรือ” ฉุนอวี้เว่ยอีก็ควบคุมค่ายกลย่อยทั่วทั้งเมืองอัคคีโชติ รับสัมผัสทั่วทั้งเมืองอัคคีโชติอยู่ตลอดเวลา ก็ได้เห็นตงป๋อเสวี่ยอิงสังหารผลาญมารเฒ่าเซวี่ยฝูและขั้นอลวนสี่คนอย่างง่ายดาย
“พวกเรามีความหวัง มีความหวังในการใช้ชีวิตต่อไปแล้ว” ฉุนอวี้เว่ยอีดวงตาเปล่งประกาย
“ท่านประมุขตำหนัก ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนข้างนอกต่างก็ร่ำลือกันว่าคุณชายเสวี่ยอิงสังหารขั้นอลวนสี่คน เหล่ามารต่างก็พากันตกใจกลัวจนหยุดมือเลยทีเดียว” คนอื่นๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ในห้องเงียบพูด
ฉุนอวี้เว่ยอีพยักหน้าอย่างตื่นเต้นอยู่บ้าง “ยังจำเป็นต้องรอก่อน”
ด้วยสถานะของเขา แน่นอนว่าต้องรู้กระจ่างดีอย่างยิ่งอยู่แล้วว่าบุรุษอาภรณ์ขาวผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ด้านนอกตำหนักในยามนี้ผู้นั้นเป็นบุคคลที่น่าหวาดหวั่นสักเพียงใด นั่นก็คือประมุขมารท่านหนึ่งในทะเลสาบมารทมิฬเลยทีเดียว!
******
ณ หอม่านเมฆ
“อะไรนะ เหล่ามารหยุดมือกันหมดแล้วอย่างนั้นหรือ”
“พี่เลี่ยฮู่ ได้ยินว่าคุณชายอิงซานเสวี่ยอิงบุตรชายท่านออกจากการปลีกวิเวกแล้วก็สังหารขั้นอลวนสี่คนในพริบตาเดียว ทำให้มารเหล่านั้นตกใจจนนิ่งงันกันไปหมด”
ที่บริเวณหน้าต่างของห้องรับแขกแห่งหนึ่งในหอม่านเมฆ ประมุขหอฉุนอวี้เฟิงและอิงซานเลี่ยฮู่มองดูที่หน้าต่างไกลออกไปอย่างหลบๆ ซ่อนๆ กันสองคน
พวกเขาเห็นเพียงแค่ว่ากลางอากาศไกลออกไปมีพลพรรคมารอยู่หลายกอง
ขณะนี้พลพรรคมารต่างก็หยุดมือ มิได้ทำการสังหารอีก
“เป็นบุตรชายข้าอย่างนั้นหรือ” อิงซานเลี่ยฮู่กะพริบตาปริบๆ
“ข้าจะกล้าโป้ปดได้อย่างไร เป็นพี่ใหญ่ข้าบอกข้าด้วยตนเอง ท่านก็ระวังสักหน่อยล่ะ พี่ใหญ่กำชับข้ามาว่าจะต้องปกป้องท่านให้ดี” ฉุนอวี้เฟิงผู้อ้วนพีก็ตื่นเต้นเช่นกัน พลางมองไปข้างนอกอย่างระมัดระวัง
พรึ่บ
หนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ
อิงซานเลี่ยฮู่มองดูหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวที่ปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศด้านนอกหน้าต่างอย่างตกตะลึง
ฉุนอวี้เฟิงที่อยู่ด้านข้างก็ยิ่งตะลึงตาค้าง “คุณชายเสวี่ยอิง”
“ท่านพ่อ ไม่จำเป็นต้องขัดขืนเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
“อืม” อิงซานเลี่ยฮู่พยักหน้าอย่างรวดเร็ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงโบกมือเก็บตัวบิดาเข้าไปภายในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ จากนั้นก็หันหน้าทอดสายตามองออกไปยังที่ห่างไกล เขาสามารถมองเห็นได้ว่ามี บุรุษอาภรณ์ขาวผู้ศักดิ์สิทธิ์คนหนึ่งยืนอยู่ที่บริเวณไกลที่สุด อีกฝ่ายกำลังยืนอย่างสงบอยู่ที่นั่น ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจดีว่าอีกฝ่ายกำลังรอเขาอยู่
พรึ่บ
ตงป๋อเสวี่ยอิงเคลื่อนที่ในพริบตาจากไป
……
ด้านหน้าตำหนักทิพย์เมฆทักษิณา
ขั้นอลวนระดับชั้นที่เก้าสี่คนรวมทั้งเฉินอู่ยืนอยู่ข้างๆ ส่งกลิ่นอายงามสง่าไปทั่ว ทุกคนมองหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวที่ปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศตรงหน้าอย่างเย็นชา
“คุณชายเสวี่ยอิงแห่งตระกูลอิงซานผู้นี้แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน ท่านโหวหั่วเลี่ยโชคดีเกินไปแล้ว เดิมทีข้ากับเซวี่ยฝูร่วมมือกัน ไม่ต้องนานสักเท่าใดก็สามารถสังหารท่านโหวหั่วเลี่ยจนตายได้แล้ว” เฉินอู่เอ่ยพึมพำ “ไม่ต้องรีบร้อน รอให้จัดการคุณชายเสวี่ยอิงผู้นี้เรียบร้อยเสียก่อน ถึงเวลานั้นการสังหารท่านโหวหั่วเลี่ยให้ตายก็เป็นเรื่องง่ายดายแล้ว”
ส่วนอีกฝั่งหนึ่งนั้น
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มองดูคู่ต่อสู้ที่อยู่ตรงหน้า
มารขั้นอลวนสี่คนที่อยู่ห่างออกไปนั้นเขาก็มิอาจดูแคลนได้เลย เพราะว่าทั้งสี่คนนั้น สมาชิกทุกคนต่างก็แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ภายใต้การร่วมมือกันประกอบเป็นค่ายกลรบก็ยิ่งน่าหวาดหวั่น แน่นอนว่า…ผู้ที่มีพลังคุกคามยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือประมุขมารเมฆาขาวตรงหน้าผู้นี้ นามอันน่าเกรงขามของประมุขมารเมฆาขาวในสี่รัฐมารทมิฬก็เพียงพอที่จะทำให้ตระกูลจำนวนนับไม่ถ้วนหวาดหวั่น นามอันน่าเกรงขามของเขานั้นเพียงพอที่จะส่งแรงกดดันเทพจักรวาลที่ถือกำเนิดใหม่ได้เลยทีเดียว
ถ้าหากเป็นชาติก่อน ยามที่ตนไปถึงจุดสูงสุดก็ยังมิใช่คู่ต่อสู้ของประมุขมารเมฆาขาวเลย แต่ในชาตินี้ตนเองโชคดีที่ได้ครอบครองหอกเทพเมฆาแดงอันสมบูรณ์นี้ เก็บตัวเพื่อบำเพ็ญหมื่นห้าพันล้านปี ก็มิได้หวาดเกรงเขาเลย
“คุณชายเสวี่ยอิง” ประมุขมารเมฆาขาวเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงสงบเงียบ
“ประมุขมารเมฆาขาว” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็พูดขึ้น หอกเทพเมฆาแดงในมือปลายด้ามหอกกระแทกลงกับพื้น เกิดเสียง ‘ตึง’ กึกก้องไปทั่วบริเวณรอบๆ
ประมุขมารเมฆาขาวพูดพลางยิ้มน้อยๆ “คุณชายเสวี่ยอิง คิดไม่ถึงเลยจริงๆ รัฐเมฆทักษิณามียอดฝีมือผู้เปี่ยมพรสวรรค์อย่างท่านถือกำเนิดขึ้นมา ถ้าหากเป็นยามปกติ ข้าก็คงจะเชื้อเชิญท่านให้ร่วมดื่มกันสักหลายจอก มาถึงระดับพลังยุทธ์เช่นท่าน น้อยนักที่จะต้องมาตายจริงๆ! น่าเสียดายนัก คราวนี้เป็นวันบูชาโลหิต หมายถึงหน้าตาของทะเลสาบมารทมิฬของข้า! ข้าจำเป็นจะต้องฆ่าเจ้า ช่างน่าเสียดายจริงๆ ผู้มีพรสวรรค์เช่นนี้เพิ่งปรากฏตัวขึ้นมาแต่กลับต้องมาตายเสียแล้ว”
“โอ้ ประมุขมารเมฆาขาว ช่างปากกล้าเสียเหลือเกิน กล้าแกร่งยิ่งกว่าพลังยุทธ์ของท่านเสียอีก” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
ขุมอำนาจแต่ละฝ่ายที่ชมดูการต่อสู้อยู่ห่างๆ ในสถานที่แต่ละแห่งของดินแดนจิตโลกาต่างก็พากันลอบทอดถอนใจ
คุณชายเสวี่ยอิงผู้นี้ใจกล้าใช้ได้เลยทีเดียว
“ฮ่าฮ่า…” ประมุขมารเมฆาขาวไม่โกรธเคืองเลยแม้แต่น้อย กลิ่นอายอันศักดิ์สิทธิ์ก็ยิ่งทวีความเข้มข้น “ถ้าหากให้เวลาเจ้ามากพอ ให้เจ้าได้ทำให้พลังยุทธ์ของตนเองสมบูรณ์แบบ การที่ข้าจะสังหารเจ้าได้นั้นเกรงว่าคงจะยากเย็นเป็นอย่างยิ่ง สำหรับตอนนี้น่ะหรือ เทพจักรวาลที่เพิ่งบรรลุใหม่แล้วยังมิได้มีพลังยุทธ์อันสมบูรณ์แบบ เกรงว่าคงมิใช่คู่ต่อสู้ของข้าด้วยกันทั้งสิ้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตัวเจ้าเลย”
“จะทำให้จิตใจข้าสั่นไหวหรือ เสียแรงเปล่าแล้วล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
“ก็ดี”
ประมุขมารเมฆาขาวพยักหน้าน้อยๆ “เชื่อว่าในขณะนี้ ขุมอำนาจของดินแดนจิตโลกาที่กำลังชมดูการต่อสู้คงจะมีไม่น้อย ตายไปในการต่อสู้เช่นนี้ ก็คงมิได้นับว่าเป็นการดูแคลนเจ้าหรอกนะ รับกระบวนท่าเถิด”
เพิ่งเอ่ยวาจาออกไป
ปัง… อาณาบริเวณสิบล้านลี้โดยรอบพลันมีเมฆหมอกจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น เมฆหมอกทุกสายต่างก็ขยับพลิกม้วนตัว เมฆหมอกที่ดูเหมือนอ่อนแอ แต่กลับมีพลานุภาพอันน่าหวาดหวั่นไร้ที่สิ้นสุด บริเวณที่เคลื่อนผ่านไป อาคารบ้านเรือนเหล่านั้นต่างก็ล้มลงมาบนพื้นดินเสียงดังโครมคราม ถึงแม้ว่าเหล่าผู้บำเพ็ญที่อยู่ไกลออกไปจะหลบหนีไปไกลไม่กล้าเข้าใกล้ จนใจที่อาณาบริเวณสิบล้านลี้นั้นใหญ่โตเกินไป ผู้ที่อ่อนแอสักหน่อยยังมิได้หนีไปไกลสักเท่าใดนัก ก็ถูกเมฆหมอกจำนวนนับไม่ถ้วนแผ่ปกคลุมแล้วผลาญทำลายจนหมดสิ้น
ในระยะสิบล้านลี้ แม้กระทั่งอาคารรอบนอกของตำหนักทิพย์เมฆทักษิณาก็ยังแหลกละเอียดไปจนสิ้น เหลือเอาไว้เพียงแค่ประกายค่ายกลที่กะพริบวับวาบของวังที่เป็นแก่นสำคัญทางด้านในเท่านั้น ยากที่จะต้านทานได้
เมฆหมอกนี้ก็แผ่กระจายมาถึงตงป๋อเสวี่ยอิงเช่นเดียวกัน
ตอนที่ 44 ประมุขมารเมฆาขาวปะทะคุณชายเสวี่ยอิง (2)
Ink Stone_Fantasy
ผู้ที่อ่อนแอเหล่านั้นถูกลูกหลงจนสลายไป ตงป๋อเสวี่ยอิงเห็นเข้าม่านตาก็หดลงเล็กน้อย เขาคิดอยากจะช่วยก็ไม่ทันการเสียแล้ว เพราะถึงอย่างไรบริเวณของศัตรูก็สำแดงออกมาได้ภายในชั่วความคิดเดียวเท่านั้น
“อย่าได้เห็นว่าก่อนหน้านี้คุณชายเสวี่ยอิงผู้นี้ร้ายกาจ ไม่แน่ว่า ภายใต้บริเวณของประมุขมาร อาจจะกลายเป็นผุยผงไปก็เป็นได้
“เขา เขาเก็บตัวพันห้าร้อยล้านปี เกรงว่าหากไม่มีสมบัติลับคุ้มกาย และร่างเมฆทักษิณาทิพย์ของเขามิได้ฝึกจนบรรลุถึงระดับขั้นที่สูงสักเท่าใดนัก ก็คงจะต้านทานบริเวณของประมุขมารไม่ได้จริงๆ”
ผู้แกร่งกล้าขั้นอลวนชั้นที่เก้าสี่คนซึ่งยืนชมอยู่บ้างๆ ไม่ไกลออกไปนักวิพากษ์วิจารณ์กัน
พวกเขาเต็มไปด้วยความมั่นอกมั่นใจต่อประมุขมารเมฆาขาว
“ตู้มมมม…”
เมฆหมอกม้วนตัวแล้วโจมตีมายังตงป๋อเสวี่ยอิง
“แตก” ตงป๋อเสวี่ยอิงกุมหอกเทพเมฆาแดงเอาไว้ในมือ เพียงชั่วความคิดเดียว บริเวณเมฆาแดงก็พลันปะทุออกมา
ทันใดนั้นภายในบริเวณสิบล้านลี้โดยรอบ อากาศก็พัดโหมเข้ามาราวกับกระแสคลื่นที่ซัดสาด ภายในกระแสคลื่นอากาศแต่ละสายล้วนมีระลอกคลื่นจำนวนนับไม่ถ้วนอยู่ แล้วโจมตีเข้าที่เมฆหมอกนั้นอย่างรุนแรง เมฆหมอกที่ม้วนตัวนี้ปะทะเข้ากับกระแสคลื่นอากาศอย่างรุนแรง แทบจะในพริบตาเดียว กระแสคลื่นอากาศก็อ่อนกำลังลงไป อานุภาพของเมฆหมอกที่ม้วนตัวอยู่ก็ยังคงเหลือเพียงห้าถึงหกชั้นแล้วแผ่ไปทั่วบริเวณ
“ไม่เสียทีที่เป็นม้วนเมฆาแห่งสิบม้วนทิพย์ซึ่งมีชื่อเสียงเรื่องความเหิมเกริม บริเวณเมฆาแดงของข้าเชี่ยวชาญทางด้านควบคุมอากาศมากกว่า การกดดันซึ่งหน้าออกจะด้อยกว่าอยู่บ้าง” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ
โครมมม…
เมฆหมอกที่ม้วนตัวปะทะเข้ากับร่างของตงป๋อเสวี่ยอิง แต่กระนั้นอากาศรอบด้านก็บิดเบี้ยว เมฆหมอกเหล่านี้ถูกบิดเบี้ยวไปตามบริเวณต่างๆ รอบด้าน บวกกับที่รอบผิวกายของตงป๋อเสวี่ยอิงมีระลอกน้ำวนมิติอันแปลกประหลาด ราวกับมีบันไดอากาศสามแห่งรายล้อมอยู่รอบกาย ทำให้พละกำลังทั้งหมดที่เข้ามาโจมตีพลิกหมุนและถูกตัดขาดออกไป เรียกได้ว่าหมื่นวิชามิอาจแตะต้อง
“อะไรกัน!” ขั้นอลวนชั้นที่เก้าทั้งสี่คนที่ชมดูอยู่ด้านข้างแตกตื่นกันไปหมด
“ต้านทานเอาไว้ได้อย่างนั้นหรือ”
“นี่เป็นถึงเคล็ดวิชาภายในสิบม้วนทิพย์เชียวนะ”
หากพูดถึงความยากในการบำเพ็ญแล้ว วิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่าก็มีชื่อเสียงว่าบำเพ็ญได้ค่อนข้างง่าย แต่หากพูดถึงอานุภาพแล้ว แม้จะนับได้ว่าเป็นระดับยอด แต่ที่อานุภาพบรรลุถึงขั้นอลวนชั้นที่สิบก็มีเพียงเคล็ดสืบทอดลับสองกระบวนท่าเท่านั้น อย่างในหกรัฐโบราณก็มีเคล็ดสืบทอดลับหลายวิชาที่เหนือกว่าวิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่า! แน่นอนว่าสิ่งที่ต้องแลกมาในการบำเพ็ญก็สูงกว่าด้วยเช่นกัน
วิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่าจะบรรลุถึงพลังรบระดับขั้นอลวนชั้นที่สิบได้ ก่อนอื่นก็ต้องทำให้ร่างเมฆทักษิณาทิพย์ครบสมบูรณ์ถึงชั้นที่สิบเสียก่อน นี่ก็เทียบได้กับการฝึกร่างกายให้เทียบกับสมบัติลับได้ ลำพังแค่วัสดุล้ำค่าต่างๆ ก็มีราคาสูงราวสองพันล้านแก้วผลึกจักรวาลแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าสมบัติล้ำค่าเหล่านี้พบเห็นได้ยากยิ่งนัก แม้มีแก้วผลึกจักรวาล คิดจะหาซื้อก็ยากมากอยู่ดี
ส่วนเคล็ดวิชาที่ประมุขมารเมฆาขาวฝึกฝนนั้น ต้นกำเนิดก็ยิ่งใหญ่กว่ามากแล้ว
เพราะเป็นถึงม้วนเมฆาในคัมภีร์สิบม้วนทิพย์อันสูงส่งของ ‘รัฐโบราณสหโลกา’ แห่งหกรัฐโบราณซึ่งแข็งแกร่งกว่ารัฐโบราณคิมหันตวายุอยู่ขุมหนึ่ง ลำพังแค่ศึกษาส่วนของขั้นอลวนชั้นที่สิบ วัสดุล้ำค่าที่ต้องใช้ก็ต้องเสียไปถึงห้าพันล้านแก้วผลึกจักรวาลแล้ว เมื่อฝึกสำเร็จ ไม่เพียงแค่ความสามารถในการรักษาชีวิตเท่านั้นที่สำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ไม่แพ้ร่างเมฆทักษิณาทิพย์ แต่ยังมีท่าไม้ตายหลายชนิด เช่นเคล็ดวิชาบริเวณที่อานุภาพบรรลุถึงขั้นอลวนชั้นที่สิบอีกด้วย!
……
“สิ่งที่เจ้าสำแดงออกมามิใช่วิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่านี่” ประมุขมารเมฆาขาวยิ้มพลางสาวเท้าเข้ามา
“เจ้าก็รับข้าสักกระบวนท่าหนึ่งเถิด”
ตงป๋อเสวี่ยอิงออกหอกไปในทันใด
ฟิ้ว
ลำพังแค่พลังกดดันของบริเวณเมฆาแดงก็อ่อนแอกว่าอีกฝ่ายอยู่บ้าง แต่อากาศอันบิดเบี้ยวนั้นกลับแข็งแกร่งกว่ามากทีเดียว เห็นได้ชัดว่าห่างกันลิบลับ แต่หลังจากหอกยาวของตงป๋อเสวี่ยอิงแทงออกไปแล้ว กลับตรงไปถึงบริเวณหว่างคิ้วของประมุขมารเมฆาขาวอย่างน่าประหลาด
“ฟิ้ว” ฝ่ามือของประมุขมารเมฆาขาวขวางไว้ตรงหน้าหว่างคิ้ว ปลายหอกแทงลงกลางฝ่ามือ
บริเวณปลายหอกเต็มไปด้วยการถล่มทลายและยุบสลาย
ปัง!
แม้แต่ฝ่ามือของประมุขมารเมฆาขาวก็ยังระเบิดออกไปกว่าครึ่ง หัวคิ้วของเขาขวดเล็กน้อย เมฆหมอกบริเวณฝ่ามือโหมซัดแล้วรวมตัวกันจนสมบูรณ์ดีอย่างรวดเร็ว
“เป็นบริเวณอากาศที่ร้ายกาจนัก แม้แต่ข้าก็มิอาจควบคุมได้ ทำได้เพียงสัมผัสรับรู้ร่องรอยหอกยาวของเจ้าได้อย่างพอถูไถเท่านั้น” ประมุขมารเมฆาขาวพูดอย่างผ่อนคลายต่อไป ฝ่ามือพลันโบกคราหนึ่ง ฟิ้ว ฝ่ามือขยายใหญ่ขึ้นจนมีขอบเขตหลายหมื่นลี้ทันที ราวกับฝ่ามือที่ก่อตัวขึ้นจากเมฆขนาดใหญ่แล้วกดดันมาทางตงป๋อเสวี่ยอิงเสียงดังกึกก้อง
“แตก” ตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้หลบ หากแต่แทงหอกหนึ่งอย่างรุนแรงออกไปทางฝ่ามือมหึมานั้น
ตู้มมม…
ฝ่ามือตะปบลงบนพื้นอย่างรุนแรง หลุมลึกขนาดมหึมาหลายหมื่นลี้ปรากฏขึ้นบนพื้น ทว่าบนฝ่ามือสีขาวดุจเมฆนี้ก็มีหลุมปรากฏขึ้นแล้วรวมตัวกันจนสมบูรณ์ดีอย่างรวดเร็ว
เหนือหลุมลึกขนาดมหึมา กลับมีคูหาที่ลึกจนไม่เห็นก้นแห่งหนึ่งอยู่
“มิได้ถูกข้าตะปบจนตายกระมัง” ประมุขมารเมฆาขาวยิ้มเย็นพลางมองดูหลุมนั้น จากนั้นเมฆหมอกซึ่งส่งเสียงดังกึกก้องนั้นก็ทำลายส่วนลึกของผืนดินอย่างบ้าคลั่ง
“ฟิ้ว”
ทันดใดนั้นเงาหอกสายหนึ่งก็พาดผ่านท้องฟ้ามาแล้วแทงตรงลงไปบนผิวดิน จากนั้นก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าแผ่นอกของประมุขมารเมฆาขาวอย่างน่าประหลาด เขามิทันได้สกัดกั้น หอกยาวเล่มนั้นก็แทงเข้าที่แผ่นอกของเขา วิ้ง…ทั้งร่างของประมุขมารเมฆาขาวก็สั่นสะท้านคราหนึ่ง ฝ่ามือมหึมาซึ่งสำแดงออกมาแต่เดิมนั้นพลันสั่นสะท้าน
“รวดเร็วนัก” สีหน้าของประมุขมารเมฆาขาวเปลี่ยนแปลงคราหนึ่ง เขาสูดลมหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง ทันใดนั้นเมฆหมอกที่ม้วนตัวก็โหมซัดไปทางปากเขา อานุภาพของร่างกายเขายกระดับขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ทะลุออกจากใต้ดินแล้วร่อนลงบนผืนดินด้านข้าง “ถึงอย่างไรอากาศผุยผงก็เป็นกระบวนท่าระดับชั้นที่เก้า ต่อให้อาศัยหอกเทพเมฆาแดงสำแดงออกมา ก็เป็นเพียงชั้นที่เก้า ระดับยอดเท่านั้น! แม้จะมีชื่อเสียงด้านอานุภาพ ลำพังแค่ด้านอานุภาพเพียงอย่างเดียวก็สามารถเทียบกับกระบวนท่าชั้นที่สิบได้อย่างพอถูไถแล้ว แต่ต่อให้อาศัยบริเวณเมฆาแดง ประมุขมารเมฆาขาวก็ยังคงสามารถสกัดกั้นได้อยู่ดี ร่างกายของเขารวมตัวและสลายได้อย่างผิดธรรมดาโดยไม่ส่งผลกระทบต่อพลังของเขาเลยแม้แต่น้อย กลับเป็น ‘ทะลุอากาศ’ ซึ่งเป็นชั้นที่เก้าระดับยอดเช่นเดียวกัน แม้อานุภาพอ่อนแอกว่าเล็กน้อย แต่พิสดารมากกว่า อีกฝ่ายไม่สามารถสกัดกั้นได้”
เขาได้หอกเทพเมฆาแดงมาหนึ่งพันห้าร้อยล้านปีแล้ว และค้นคว้าท่าไม้ตายออกมาได้ห้ากระบวนท่าด้วยกัน
หนึ่งในนั้นมีเคล็ดการร่วมโจมตี บัดนี้ไม่มีร่างแยก ย่อมมิอาจสำแดงออกมาได้
ส่วนอีกสี่ท่าไม้ตายที่เหลือ…
ที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือ ‘บริเวณเมฆาแดง’ เขารับรู้อักขระลับของหอกเทพ บริเวณเมฆาแดงที่รับรู้นั้นบรรลุถึงระดับชั้นที่เก้า! ความยากนี้ไม่แพ้กระบวนท่าชั้นที่เก้าที่คิดค้นขึ้นมาเองเลย อาศัยหอกยาวเมฆาแดง ก็ยิ่งสามารถปะทุอานุภาพชั้นที่สิบออกมาได้! และนี่ก็คือกระบวนท่าชั้นที่สิบเพียงหนึ่งเดียวของตงป๋อเสวี่ยอิงในตอนนี้
ส่วนท่าไม้ตายอื่นๆ แต่ละท่าล้วนแต่เป็นชั้นที่แปดระดับยอดทั้งสิ้น! อาศัยหอกยาว อานุภาพก็ทำได้เพียงถึงชั้นที่เก้าระดับยอดเท่านั้น
ช่วยไม่ได้
ชาติก่อนเขาก็คิดค้นกระบนท่าระดับชั้นที่เก้าขึ้นมาได้เพียงสองกระบวนท่าเท่านั้น ต่อให้มีหอกเทพเมฆาแดง ต่อให้เป็นทางสายอากาศ แต่ถึงอย่างไรหนึ่งพันห้าร้อยล้านปีก็ยังคงสั้นเกินไปอยู่ดี สามารถผลักดันกระบวนท่าชั้นที่เก้าออกมาได้สักกระบวนหนึ่งก็ถือว่าเยี่ยมยอดมากแล้ว
ส่วนวิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่า เนื่องจากตนมีสมบัติล้ำค่าน้อยเกินไป ร่างเมฆทักษิณาทิพย์จึงเป็นเพียงชั้นที่แปดเท่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงมิอาจฝึกฝนเคล็ดสืบทอดลับสองกระบวนท่าได้! พลังเพียงระดับชั้นที่เก้า แม้สมบัติลับหอกยาวจะมีอานุภาพใหญ่หลวงยิ่งนัก แต่กลับทำได้เพียงสำแดงอานุภาพชั้นที่เก้าระดับยอดออกมาได้เท่านั้น เพราะหอกเทพเมฆาแดงและยุทธวิธีเมฆาแดงจึงจะสอดคล้องกันอย่างสมบูรณ์แบบที่สุด
ท่าไม้ตายทั้งห้าที่ตงป๋อเสวี่ยอิงผลักดันขึ้นมานั้น อันที่จริงก็เป็นเพียงส่วนเล็กน้อยอย่างยิ่งของยุทธวิธีเมฆาแดงเท่านั้นเอง
“ตายเสียเถอะ” เมื่อล้มเหลวอย่างต่อเนื่อง ประมุขมารเมฆาขาว ก็โมโหขึ้นมา เขาดูดกลืนเมฆขาวอันไร้ที่สิ้นสุดลงไป ร่างกายรวมตัวกันเป็นจริงจนถึงขั้นสุด ซึ่งนี่ก็เป็นวิธีการต่อสู้อีกอย่างหนึ่งของม้วนเมฆา
“ตายเสียเถอะ”
เขาบุกตรงเข้ามาสังหารด้วยความเร็วถึงขั้นสุด หมัดหนึ่งต่อยออกมาด้วยเสียงดังกัมปนาท
หอกยาวเล่มหนึ่งโจมตีลงบนกำลังนั้นซึ่งหน้า เห็นได้ชัดว่าตงป๋อเสวี่ยอิงต้องการตาต่อตาฟันต่อฟัน แต่ผลกลับกลายเป็นว่า พละกำลังที่โหมซัดสาดระลอกหนึ่งถูกส่งผ่านเข้ามาตามหอกยาว แม้หอกยาวในมือตงป๋อเสวี่ยอิงจะสะเทือนเล็กน้อย และหอกยาวก็มีน้ำวนอากาศจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น แต่ก็แค่ถ่ายแรงออกไปส่วนหนึ่งเท่านั้น ทั้งร่างของเขากลายเป็นลำแสงสายหนึ่งกระเด็นลอยออกไปยังไม่อาจควบคุมตนเองได้
ตู้ม ร่างกายกระทบกับผืนดินอย่างรุนแรง ก่อนจะไถไปจนเกิดเป็นธารลึกหลายร้อยลี้สายหนึ่งขึ้นมา
“หากให้เวลาเจ้าเพียงพอ ก็อาจจะสู้ข้าได้ก็เป็นได้ แต่ตอนนี้น่ะหรือ เจ้ามิใช่คู่ต่อสู้ของข้าหรอก!” เงาร่างของประมุขมารเมฆาขาวกะพริบวาบคราหนึ่งก่อนจะไล่ตามตงป๋อเสวี่ยอิงไป ฝ่ามือตะปบเข้ามาอย่างดุเดือดอีกครั้ง
ปัง ปัง ปัง…
แม้ตงป๋อเสวี่ยอิงจะสำแดงหอกยาวออกไป แต่เมื่อฝ่ามือเฉียดผ่านก็กลิ้ง กระทบถูกก็กระเด็น ยามนี้ประมุขมารเมฆาขาวโหดร้ายไร้ปรานี
“ฟึ่บ”
แม้ผิวกายของตงป๋อเสวี่ยอิงจะมีบันไดน้ำวนสามชั้นรายล้อมอยู่รอบกาย แต่สุดท้ายก็กระอักโลหิตสดๆ ออกมาอย่างทนไม่ไหว
“ตาต่อตาฟันต่อฟันกับเจ้าก็ยังคงด้อยกว่าอยู่บ้าง” ตงป๋อเสวี่ยอิงแสยะยิ้ม นับได้ว่าเขาได้ลิ้มรสพลังของยอดฝีมือระดับขั้นอลวนชั้นที่สิบของดินแดนจิตโลกาอย่างแท้จริงแล้ว
ประมุขมารเมฆาขาวสะดุ้งเฮือก
“ไม่เล่นเป็นเพื่อนเจ้าแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงหมุนกายจากไป
“หนีรึ” ประมุขมารเมฆาขาวพลันอ้าปากกว้าง ศีรษะของเขาขยายใหญ่ขึ้นทันที เมื่ออ้าปากก็ราวกับจะกลืนกินทั้งฟ้าดินลงไป เขากลืนกินมาทางตงป๋อเสวี่ยอิง! เห็นได้ชัดว่าต้องการจะกลืนกินลงไปให้หมดในคำเดียว เขามองออกว่าคุณชายเสวี่ยอิงผู้นี้ก็แค่มีวิชาคุ้มกายอันร้ายกาจเท่านั้น ร่างกายเองก็มิได้นับว่าแข็งแกร่งสักเท่าใดนัก ขอเพียงกินลงไป ด้วยสาสตร์ลับของตนที่ ‘หลอมแปร’ อย่างไม่หยุดหย่อน ท้ายที่สุดก็จะหลอมจนตงป๋อเสวี่ยอิงแหลกเป็นจุณไปอยู่ดี
เขาเคยกลืนยอดฝีมือระดับขั้นอลวนชั้นที่สิบของรัฐประกายเพลิงคนหนึ่งซึ่งเพิ่งจะบรรลุลงไปในท้องแล้วกักขังไว้ในร่างกาย ศัตรูก็หนีไม่พ้น ร่างทิพย์เมฆาขาวพยายามหลอมแปรและบีบให้แตกเป็นผุยผงไปเป็นเวลาหลายหมื่นปี ศัตรูก็ต้านทานเอาไว้ไม่ไหว…ประมุขรัฐประกายเพลิงมาเจรจากับทะเลสาบมารทมิฬด้วยตนเอง และทุ่มเทไปไม่น้อย ประมุขมารเมฆาขาวจึงยอมอ้าปากปล่อยศัตรูออกมาในที่สุด
“สวบ” ตงป๋อเสวี่ยอิงย่อมรู้จักท่าไม้ตาย ‘หลอมแปรกลืนสวรรค์’ ของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี เขาขยับร่างกายคราหนึ่งแล้วไปปรากฏอีกครั้งห่างออกไปหลายหมื่นลี้ ตรงบริเวณที่ขั้นอลวนชั้นที่เก้าทั้งสี่คนนั้นอยู่
ภายใต้บริเวณเมฆาแดง
ต่อให้มิอาจเคลื่อนที่ในพริบตา เขาก็สามารถทำให้อากาศบิดเบี้ยวแล้วก้าวออกไปก้าวหนึ่งเป็นระยะทางไกลลิบได้
“สมควรตาย” สีหน้าของประมุขมารเมฆาขาวเปลี่ยนแปรไป “บริเวณของอิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้พิสดารเกินไปแล้ว คิดจะรบก็รบ คิดจะหนีก็หนี”
บริเวณเมฆาแดงซึ่งอานุภาพบรรลุถึงระดับชั้นที่สิบ เห็นได้ชัดว่าน่าหวาดหวั่นเป็นอันมาก
อย่างศาสตร์ม้วนเมฆานั้น รัฐโบราณสหโลกายังยอมที่จะเผยแพร่สู่ภายนอก ขอเพียงจ่ายในราคาที่สูงพอ แต่ยุทธวิธีเมฆาแดงกลับเป็นสิ่งที่มีเฉพาะสกุลฝานในรัฐโบราณคิมหันตวายุ ต่อให้จ่ายราคาสูงเพียงใดก็มิอาจศึกษาได้ ว่ากันว่ามีเพียงภายในสามตระกูลใหญ่แห่งรัฐโบราณคิมหันตวายุเท่านั้นที่หากยอมจ่ายในราคาที่สูงพอก็อาจจะได้ศึกษา ส่วนรัฐอื่นๆ ภายนอกน่ะหรือ ไม่มีทางยอมให้ศึกษาเด็ดขาด
ยิ่งเป็นผู้ที่เก่งกาจเท่าไหร่ คิดอยากศึกษาก็ยิ่งยากเท่านั้น
“สังหารเมฆาขาวมิได้ สังหารพวกเจ้าได้ก็พอแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปยังขั้นอลวนชั้นที่เก้าทั้งสี่คนตรงหน้าพลางแสยะยิ้ม
“บังอาจ”
“จองหอง”
มารร้ายขั้นอลวนชั้นที่เก้าทั้งสี่ตนนี้โกรธเกรี้ยวเป็นอันมาก พวกเขารวมตัวกันเป็นค่านกลรบตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว ต่อให้เผชิญหน้ากับประมุขมารเมฆาขาวก็ไม่หวั่นเกรง ไหนเลยจะเกรงกลัวอิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้กันเล่า
“ร่วมมือกันฆ่าเขาเสีย” ประมุขมารเมฆาขาวก็แค่นเสียงดังลั่น แม้เขาจะหยิ่งผยองอย่างยิ่ง แต่กลับเข้าใจดีว่า ตนเพียงลำพังคนเดียวนั้นมิอาจสังหารคุณชายเสวี่ยอิงผู้นี้ได้
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น