Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 33 ตอนที่ 31-36
ตอนที่ 31 ตระกูลเฉี่ยนอีและสกุลฝาน
Ink Stone_Fantasy
“เจ้านายขอรับ เขาชื่อว่าอิงซานเสวี่ยอิง เป็นศิษย์ตระกูลอิงซานแห่งรัฐเมฆทักษิณา” บุรุษที่คุกเข่าอยู่ด้านนอกเอ่ยเตือน “แม่เฒ่าอิงซานกับตระกูลเฉี่ยนอีของข้ามีความแค้นต่อกันนะขอรับ”
“หึ ตระกูลเฉี่ยนอีของข้ามิได้เห็นแม่เฒ่าอิงซานผู้นั้นอยู่ในสายตาอยู่แล้ว ก็เป็นความแค้นที่แม่เฒ่าอิงซานจดจำเอาไว้มาตลอดเท่านั้นแหละ” หญิงสาวอาภรณ์ม่วงในเรือนไม้ไผ่แค่นหัวเราะเบาๆ “ไม่จำเป็นจะต้องไปสนใจอะไรหญิงชราผู้นั้นเลย เจ้าไปส่งเทียบเชิญของข้าไปเชิญอิงซานเสวี่ยอิงผู้นั้นมาเหมือนเดิมนั่นแหละ ส่วนเขาจะมาหรือไม่นั้นก็เป็นเรื่องของเขาแล้วล่ะ”
“ขอรับ” ชายหนุ่มรับคำอย่างเคารพนบนอบ
……
ณ สำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ที่หน้าคูหาของตนเอง นั่งขัดสมาธิอยู่ที่ยอดเขาริมผา ดูดซับกลิ่นอายอันเย็นฉ่ำของฟ้าดินของ รวบรวมสมาธิวิวัฒน์เคล็ดการบำเพ็ญ
หมดหนทาง
ภายในสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ เขาย่อมมิกล้าขัดเกลาเคล็ดวิชาให้สูงส่งลึกล้ำจนเกินไป ต้องรู้ไว้ว่าเขาสำเร็จวิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่าสิบกระบวนแรกแล้ว เหลือเพียงแค่สองกระบวนท่าสุดท้ายเท่านั้น หากเขาจะหยั่งรู้ ก็ต้องหยั่งรู้สองกระบวนท่าสุดท้าย… เมื่อใดที่ทดลองขัดเกลา ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีความมั่นใจเกือบเต็มร้อยว่าจะต้องถูกวิญญาณค่ายกลที่ประมุขรัฐเมฆทักษิณาจัดวางเอาไว้สังเกตพบได้อย่างแน่นอน!
ไม่ว่าจะเป็นนครหลวงรัฐเมฆทักษิณา หรือว่าจะเป็นสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ ต่างก็มีความสำคัญต่อประมุขรัฐเป็นอย่างยิ่ง เป็นที่มั่นที่เขาจัดการดูแลมาเป็นระยะเวลาอันยาวนาน
การรักษาการณ์ของที่นี่จะต้องเข้มงวดมากอย่างแน่นอน ไม่มีข้อบกพร่องใดๆ เลยแม้แต่น้อย
แม้กระทั่งห้องเงียบของศิษย์ ก็อาจมีวิญญาณค่ายกลตรวจสอบ เมื่อใดที่ทิ้ง ‘รูรั่ว’ ไว้ ในอนาคตก็อาจถูกศัตรูหลอกใช้ได้ เป็นสถานที่ที่เป็นข้อบกพร่องของทั้งนครหลวงรัฐเมฆทักษิณา วีรบุรุษดังเช่นประมุขรัฐเมฆทักษิณา ย่อมไม่มีทางทิ้งข้อบกพร่องเช่นนี้เอาไว้แน่…ต้องรู้ไว้ว่าอย่างวังทวีสูญนั้น ทุกหนทุกแห่งสามารถตรวจสอบได้
ภายใต้สถานการณ์ปกติ เหล่าศิษย์ก็จะบำเพ็ญกันอยู่ภายในห้องเงียบ ประมุขรัฐเมฆทักษิณาก็มิได้ไปยุ่งวุ่นวายอยู่แล้ว
นอกเสียจากว่าจะเกิดสถานการณ์ที่ผิดปกติขึ้น!
เด็กน้อยที่ใช้เวลาเพียงห้าล้านปีคนหนึ่ง ถึงกับเริ่มบำเพ็ญเจาะลึกเคล็ดวิชาระดับชั้นที่เก้าของวังปฐมเทพแล้วอย่างนั้นหรือ นี่มันน่าอัศจรรย์เกินไปแล้ว! จะต้องถูกวิญญาณค่ายกลรายงานให้ท่านประมุขรัฐทราบอย่างแน่นอน
“ด้วยสถานะของประมุขรัฐเมฆทักษิณา คงจะทราบว่ามีผู้แกร่งกล้าจากโลกกำเนิดภายนอกกลับชาติมาเกิดกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดพึมพำ “ไม่รู้ว่าท่านประมุขรัฐมีอุปนิสัยเช่นไร”
จะใจดีมีเมตตา
หรือว่าโหดเหี้ยมอำมหิต
‘จอมเทพศักดิ์สิทธิ์’ ผู้แกร่งกล้าอันดับหนึ่งของอากาศอันสับสนอลหม่าน จะมีความเกี่ยวข้องกับดินแดนจิตโลกาหรือไม่
สถานะของตงป๋อเสวี่ยอิงในตอนนี้ยังไปไม่ถึงระดับนั้น ยังรู้อะไรน้อยเกินไป ดังนั้นเขาก็ไม่กล้าเสี่ยง! ไม่กล้าฝากชะตาชีวิตของตนเอาไว้ในมือผู้อื่น ทางที่ดีที่สุดก็คือ… ทำให้ตนเองเป็นเหมือนผู้มีพรสวรรค์ล้ำเลิศธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น! ขอบเขตการยกระดับพลังยุทธ์ของเขาอ้างอิงจากผู้มีพรสวรรค์ล้ำเลิศทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา
มิอาจนับเป็นผู้ที่ร้ายกาจที่สุดในหกรัฐโบราณได้ แต่ว่ามีคุณสมบัติพอที่จะนับได้ว่าเป็นผู้ที่ร้ายกาจที่สุดในรัฐเมฆทักษิณาก็เพียงพอแล้ว!
“ข้าได้ศึกษาเคล็ดวิชาในตำราล้ำค่ามากมายภายในสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ ความจริงก็สามารถไปจากที่นี่แล้วกลับไปยังเมืองอัคคีโชติได้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดพึมพำ สถานที่เล็กๆ อย่างเมืองอัคคีโชตินั้นมีความปลอดภัยกว่ามาก ความเข้มงวดของการรักษาการณ์ต่างๆ ห่างชั้นกับนครหลวงรัฐเมฆทักษิณาเป็นอย่างมาก! นอกจากนี้ด้วยระดับขั้นของตน ท่านโหวหั่วเลี่ยย่อมไม่สามารถค้นพบความลับของตนได้อย่างแน่นอน
ที่เมืองอัคคีโชติ จึงจะเหมาะสำหรับให้ตนเองบำเพ็ญได้มากเท่าที่ต้องการ บำเพ็ญเจาะลึกเคล็ดวิชาอันกล้าแกร่ง
“ฟิ้ว”
เงาร่างสายหนึ่งเหาะเหินมาจากที่ไกลๆ
“มาแล้ว” ในใจตงป๋อเสวี่ยอิงปิติยินดีขึ้นมาเล็กน้อย
ได้รับตำรามาแล้วไม่เร่งร้อนจากไป ก็เพื่อรอวันนี้!
“ศิษย์น้องเสวี่ยอิง” บุรุษอาภรณ์ดำที่อยู่ด้านนอกคนหนึ่งเอ่ยยิ้มๆ “ข้าชื่อว่าเถียนฉุนเซวี่ย คารวะเข้าสู่สำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ก่อนหน้าเจ้าเล็กน้อย”
“ศิษย์พี่เถียน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
“ข้ารับบัญชาของเจ้านายบ้านข้ามา เชิญศิษย์น้องเสวี่ยอิงไปงานเลี้ยง” บุรุษอาภรณ์ดำโบกมือคราหนึ่ง เทียบเชิญสีม่วงอ่อนอันหนึ่งก็ลอยมา
ตงป๋อเสวี่ยอิงรับเทียบเชิญมา เมื่อได้เห็นตัวอักษร ‘เฉี่ยนอี’ สองตัวที่เขียนอยู่บนนั้นแล้วก็ขมวดคิ้วน้อยๆ แม้กระทั่งสีหน้าก็เย็นชาลงเป็นอย่างมาก เขาเปิดดูเนื้อหาภายในเทียบเชิญ หลังจากนั้นก็โบกมือคราหนึ่ง ปัดเทียบเชิญนี้กลับไป “นำกลับไปเสียเถิด”
บุรุษอาภรณ์ดำขมวดคิ้ว “อะไรกัน ไม่ไว้หน้าเจ้านายบ้านข้าเลยหรือ”
“ตอนนั้นตระกูลเฉี่ยนอีของพวกเจ้าลอบสังหารท่านบรรพชนบ้านข้า พวกเจ้าลืมเลือนเสียแล้วหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดอย่างเย้ยหยัน
“เอาล่ะ”
บุรุษอาภรณ์ดำส่งเสียงเฮอะเยียบเย็นคราหนึ่งแล้วหมุนกายเดินไป ก่อนจะจากไปอย่างรวดเร็ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูอย่างเงียบๆ
เขารั้งอยู่ที่สำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์จนถึงตอนนี้ก็เพื่อรอพบคน แต่ที่รออยู่มิใช่ตระกูลเฉี่ยนอี
ภายในนครหลวงรัฐเมฆทักษิณา มีสามขุมอำนาจใหญ่ที่ชมชอบการผูกไมตรีกับยอดฝีมือทุกหนทุกแห่งเป็นอย่างยิ่ง คนหนึ่งคือองค์ชายใหญ่! องค์ชายใหญ่เป็นบุตรชายที่ประมุขรัฐเมฆทักษิณามีตอนที่ยังอ่อนแอ ถึงแม้ว่าพรสวรรค์จะอ่อนแอไปสักหน่อย แต่ประมุขรัฐเมฆทักษิณาก็รักใคร่เขาเป็นอย่างยิ่ง นี่กลับทำให้ ‘องค์ชายใหญ่’ มีนิสัยโอหัง! เขาหน้าใหญ่ใจโต ชมชอบการผูกไมตรีกับยอดฝีมือทุกหนทุกแห่ง
แต่ว่าองค์ชายใหญ่มีวิสัยทัศน์สูงส่งกว้างไกลเป็นอย่างยิ่ง ผู้ที่เขาเชื้อเชิญ ตามปกติแล้วอย่างน้อยล้วนต้องเป็นขั้นอลวน! นอกจากนี้ต่างก็เป็นขั้นอลวนระดับกลางที่ร้ายกาจ หรือไม่ก็มีภูมิหลังอันยิ่งใหญ่ ส่วนผู้ที่อ่อนแอนั้นเขาก็มิได้เห็นอยู่ในสายตาเลย
ตงป๋อเสวี่ยอิงมาจากตระกูลอิงซาน อีกทั้งยังเป็นเพียงแค่ขั้นรวมเป็นหนึ่งเท่านั้น เกรงว่าคงจะไม่เข้าตาของ ‘องค์ชายใหญ่’ ผู้โอหังผู้นั้นเลยแม้แต่น้อย
ส่วนอีกสองขุมอำนาจใหญ่ที่ชมชอบการผูกไมตรีกับยอดฝีมือ…ก็มาจากหกรัฐโบราณ
หนึ่งก็คือตระกูลเฉี่ยนอีแห่งรัฐโบราณจันทร์บุปผา รัฐโบราณจันทร์บุปผาก็ค่อนข้างมีพลังยุทธ์ต่ำต้อยในบรรดาหกรัฐโบราณ พอๆ กันกับรัฐโบราณเสียดฟ้า! แต่ไม่เหมือนกันกับรัฐโบราณเสียดฟ้าที่กบดานอย่างถ่อมตนมาโดยตลอด รัฐโบราณจันทร์บุปผามีเส้นสายมากมาย คล้ายกับว่าสามารถพบเห็นยอดฝีมือของรัฐโบราณจันทร์โรจน์ได้ทั่วทุกหนแห่งในดินแดนจิตโลกา พวกเขาแทรกซึมไปทั่วทุกหนทุกแห่ง ไปตรวจตราโบราณสถานอันโบร่ำโบราณและแกร่งกล้าทั่วทุกที่ เสาะหาสมบัติลับล้ำค่าและตำราศาสตร์ลับต่างๆ มากมาย
ตระกูลเฉี่ยนอีก็คือตระกูลใหญ่ที่มีเทพจักรวาลอยู่แปดคน!
‘เฉี่ยนอีเสี่ยว’ ก็คือผู้ดำเนินการของตระกูลเฉี่ยนอีที่รัฐเมฆทักษิณา เป็นยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่ขั้นอลวนระดับชั้นที่เก้าคนหนึ่ง ผูกมิตรไมตรีไปทั่วทุกสารทิศ ทั้งยังเพิ่มการส่งผลกระทบอันไร้รูปร่างในรัฐโบราณจันทร์โรจน์และรัฐโบราณเมฆทักษิณาด้วย
น่าเสียดาย…
เพราะการสืบค้นโบราณสถานครั้งหนึ่ง ตระกูลเฉี่ยนอีลอบทำร้ายแม่เฒ่าอิงซานเพื่อสมบัติลับล้ำค่า แม่เฒ่าอิงซานมีนิสัยดุร้าย ทั้งสองฝ่ายก็ห้ำหั่นกันอย่างรุนแรงยกหนึ่ง แต่ถึงอย่างไรรัฐโบราณจันทร์บุปผาก็เป็นหนึ่งในหกรัฐโบราณ พลังยุทธ์เหนือกว่ารัฐเมฆทักษิณา ตระกูลเฉี่ยนอีเพียงตระกูลเดียวก็มีเทพจักรวาลแปดคนแล้ว ในที่สุดประมุขรัฐเมฆทักษิณาก็สอดมือยุ่งเกี่ยว แม่เฒ่าอิงซานก็ได้แต่อดทนต่อความชิงชังนี้
“มาแล้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเห็นเงาร่างสตรีที่เหินลอยมาอยู่ไกลๆ
นั่นคือหญิงสาวในอาภรณ์สีฟ้าอ่อนคนหนึ่ง พอเหินลอยมสถึงแล้วก็พูดยิ้มๆ ว่า “ศิษย์น้องเสวี่ยอิง ข้าชื่อว่าฝานเฟยฉี แต่ศิษย์พี่ของเจ้ารับบัญชาของศิษย์พี่ข้ามา ให้มาเชิญเจ้าไปงานเลี้ยงน่ะ” พูดแล้วเทียบเชิญสีทองหม่นอันหนึ่งก็ลอยมา
ตงป๋อเสวี่ยอิงรับเทียบเชิญเอาไว้
บนเทียบเชิญมีตัวอักษร ‘ฝาน’ อยู่ตัวหนึ่ง
สกุลฝาน…
นี่ต่างหาก จึงจะเป็นบุคคลที่ตนอยากพบมากที่สุด!
นครหลวงรัฐเมฆทักษิณาสร้างมิตรไมตรีไปทั่วทุกสารทิศ เช่นเดียวกันกับสามขุมอำนาจใหญ่ องค์ชายใหญ่ ‘เฉี่ยนอีเสี่ยว’ ของตระกูลเฉี่ยนอีแห่งรัฐโบราณจันทร์โรจน์ และ ‘ฝานเทียนฉ่ง’ ของสกุลฝานแห่งรัฐโบราณคิมหันตวายุ
องค์ชายใหญ่ค่อนข้างวางอำนาจ ส่วนมากก็ทำเพื่อหน้าตากระทำการอย่างถือดีตามอำเภอใจกว่า
เฉี่ยนอีเสี่ยวและฝานเทียนฉ่งจึงจะผูกมิตรไมตรีกับยอดฝีมือที่มีศักยภาพทั้งหมดอย่างแท้จริง ตงป๋อเสวี่ยอิงใช้เพียงแค่ห้าล้านปีก็บุกผ่านชั้นที่หกของวังปฐมเทพ เห็นได้ชัดว่าเข้าตาพวกเขา คิดว่าในอนาคตจะต้องเป็นบุคคลระดับสูงแห่งรัฐเมฆทักษิณาอย่างแน่นอน
“ฝานเทียนฉ่ง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดพึมพำ
ฝานเทียนฉ่งเป็นถึงผู้ดำเนินการที่รัฐเมฆทักษิณาของสกุลฝาน ขอเพียงแค่ผูกไมตรีกับเขา พอถึงเวลาก็ขอให้เขาช่วยออกหน้าให้… ให้ตนดูหัวหอกชิ้นนั้น เพียงแค่ดูเท่านั้น เชื่อว่าฝานเทียนฉ่งไม่มีทางปฏิเสธอย่างแน่นอน
“ข้ารั้งอยู่ที่สำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์จนถึงบัดนี้ ก็เพื่อให้สามารถดูหัวหอกนั้นได้อย่างละเอียด ได้ตรวจดูความเร้นลับภายในหัวหอกนั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดพึมพำ ถึงแม้ว่าตรวจดูเพียงแค่ครั้งเดียว แต่ก็สามารถจดจำเอาไว้ได้ไม่น้อย อ้างอิงจาก ความเร้นลับของหอกยาวที่สมบูรณ์เล่มนั้นของ ‘นายท่านฉื้ออวิ๋น’ ตนเองก็คงจะสามารถตระหนักรู้ได้มากยิ่งขึ้น ถึงแม้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงจะตระหนักรู้บางส่วน แต่กลับคิดว่าศาสตร์ลับที่แฝงอยู่ในหอกนั้น เกรงว่าจะไม่ด้อยไปกว่าวิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่าฉบับสมบูรณ์เลย
แน่นอนว่าการเรียนรู้วิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่านั้นง่ายกว่า ถึงอย่างไรก็มีศาสตร์ลับฉบับสมบูรณ์อยู่
ความเร้นลับภายในหอกยาว ศึกษาขึ้นมาแล้วก็ยากกว่าสิบเท่าร้อยเท่า ต้องการให้ตนตระหนักรู้ แต่ด้วยพื้นฐานของตน แล้ว ต้องการจะตระหนักรู้ก็ยังทีความมั่นใจ สิ่งที่สำคัญก็คือหากใช้อาวุธล้ำค่าอย่างหอกยาวนี้สำแดง พลังคุกคามก็จะยิ่งใหญ่ขึ้นอีก!
“เอาล่ะ คืนนี้ข้าจะไปร่วมงานเลี้ยง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดพลางยิ้มน้อยๆ
“ศิษย์น้องเสวี่ยอิง คืนนี้ข้าจะมารับเจ้า” ฝานเฟยฉี หญิงสาวอาภรณ์สีฟ้าอ่อนพูดยิ้มๆ นางมีความรู้สึกอันดีต่อหนุ่มน้อยตรงหน้าผู้นี้เป็นอย่างยิ่ง
ตอนที่ 32 งานเลี้ยง
Ink Stone_Fantasy
ราตรีมาเยือน
บนรถม้า ฝานเฟยฉีนั่งเคียงบ่ากับตงป๋อเสวี่ยอิง ด้านข้างก็มีองครักษ์และข้ารับใช้ยืนอยู่ ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงพาเพียงแค่มารรับใช้จื่อไป๋ไปด้วย
“ศิษย์น้องเสวี่ยอิง ถึงแล้วล่ะ” ฝานเฟยฉีชี้ไกลออกไป
“สมกับที่เป็นสกุลฝานจริงๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปไกลๆ เรือนที่อยู่ไกลออกไปกว้างใหญ่หรูหรา “ใหญ่โตยิ่งกว่าจวนท่านโหวหั่วเลี่ยที่นครหลวงรัฐเมฆทักษิณาเสียอีก”
สกุลฝาน หนึ่งในสามตระกูลใหญ่แห่งรัฐโบราณคิมหันตวายุ
อีกสองตระกูลใหญ่ของรัฐโบราณคิมหันตวายุต่างก็สันโดษกว่าอยู่พอสมควร ไม่ค่อยสนใจรัฐประเทศอื่นๆ อยู่แล้ว แล้วยิ่งไม่สนใจที่จะตั้งฐานย่อยในรัฐประเทศอื่นๆ เลย! แล้ว ‘สกุลฝาน’ ก็ขยายอิทธิพลของตนแทรกผ่านเข้าไปทุกหนแห่งในดินแดนจิตโลกาอย่างบ้าคลั่ง ในความเป็นจริงแล้วสามารถจัดเป็นสิบตระกูลใหญ่แถวหน้าในดินแดนจิตโลกาได้…
ล้วนมีความหยิ่งยโส นี่ก็เป็นเรื่องปกติอย่างยิ่ง ถึงอย่างไรพลังของแต่ละคนก็แกร่งกล้าเกินไป ทำให้พวกเขาไม่สนใจที่จะไปผูกมิตรกับบรรดารัฐเล็กๆ เลย! เท่าที่พวกเขาดู มีบางเวลาที่พลังยังมิสู้สงบจิตบำเพ็ญหยั่งรู้ ทำให้ตนเองยิ่งแกร่งกล้า!
ปรารถนาจะแทรกซึมผูกมิตรกับตระกูลใหญ่ระดับสูงทุกฝ่ายอย่างบ้าคลั่งนั้นมีน้อยยิ่งกว่าน้อย
“ตระกูลหนึ่ง มีความสามารถกดดันรัฐโบราณเสียดฟ้า ถ้าหากปรารถนาแล้วล่ะก็ เกรงว่าจะสามารถทำลายทั้งรัฐเมฆทักษิณาได้อย่างง่ายดาย มีเพียงแค่ท่านประมุขรัฐที่สามารถหนีเอาชีวิตรอดได้กระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ
สกุลฝาน…
แข็งแกร่งเหลือเกิน ตนเองอยู่ที่โลกหนังสือสะสมของสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ ได้อ่านหนังสือเบ็ดเตล็ดมากมายเหลือเกิน ก็ยิ่งมีความเข้าใจใน ‘สกุลฝาน’ มากยิ่งขึ้น
สกุลฝาน
แสดงถึง ‘ความโอหัง’ ‘โหดเหี้ยม’ ‘เลวทราม’ ‘การสังหาร’…เป็นหนึ่งเดียวในสามตระกูลใหญ่แห่งรัฐโบราณคิมหันตวายุที่ชมชอบการขยายออกไปภายนอก วีรบุรุษผู้ล้ำเลิศเช่นประมุขรัฐเมฆทักษิณา ก็ยังต้องยิ้มต้อนรับ ไม่กล้าล่วงเกินสกุลฝานเลย
ผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์จำนวนมากมายมาอาศัยหลบภัยในสกุลฝาน เป็นเค่อชิงของสกุลฝาน สวามิภักดิ์ต่อสกุลฝาน ต่อสู้เพื่อสกุลฝาน!
……
ภายในโถงตำหนักอันใหญ่โตหรูหรา
มีผู้บำเพ็ญหลายคนอยู่ที่นี่ก่อนแล้ว นั่งกระจายตัวกันอยู่ พูดคุยหัวร่อต่อกระซิกกันอย่างติดลมบน ผู้ที่นั่งอยู่ที่ตำแหน่งประธานก็คือบุรุษรูปร่างอ้วนสูงใหญ่คนหนึ่ง
“พี่ใหญ่เทียนฉ่ง” ฝานเฟยฉีเหยียบย่างเข้าไปภายในตำหนักแล้วก็ตะโกนด้วยเสียงอันดังยิ่งขึ้นว่า “ศิษย์น้องเสวี่ยอิงของข้ามาแล้ว”
ฝานเทียนฉ่งนั่งอยู่ที่นั่นพลางมองตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วหัวเราะฮ่าๆ พลางพูดยิ้มๆ ว่า “คุณชายเสวี่ยอิง ข้าได้ยินมานานแล้วว่ารัฐเมฆทักษิณามีผู้มีพรสวรรค์ล้ำเลิศถือกำเนิดขึ้นมาคนหนึ่ง ถ้าหากไม่รังเกียจก็เรียกข้าว่าพี่ใหญ่เทียนฉ่งสักคำหนึ่งก็แล้วกัน มาๆๆ รีบเข้ามานั่งเร็วเข้าสิ อีกประเดี๋ยว ‘งานเลี้ยงสัตว์มารโอษฐ์เหิน’ ก็จะเริ่มต้นขึ้นแล้ว เนื้อสัตว์มารโอษฐ์เหินนี้ล้วนเป็นแบบทำไปพลางกินไปพลาง ถ้าหากระยะเวลาเนิ่นช้าออกไป รสชาติก็จะแย่ลงไปพอสมควรเลยทีเดียว”
“ขอบคุณพี่ใหญ่เทียนฉ่งแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงคารวะอย่างถ่อมตน
อีกฝ่ายเกรงอกเกรงใจ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิกล้าชักช้า
เขาเข้าใจกระจ่างดียิ่งว่า…
ฝานเทียนฉ่ง ผู้ดำเนินการของสกุลฝานที่รัฐเมฆทักษิณา เป็นผู้นำสูงสุดของสกุลฝานที่รัฐเมฆทักษิณา ตัวเขาเองมีพลังยุทธ์ขั้นอลวนชั้นที่สิบ สามารถเผชิญกับเทพจักรวาลซึ่งๆ หน้าได้! สิ่งที่สำคัญก็คือเขาสามารถเคลื่อนย้ายกำลังมหาศาลอันเป็นของสกุลฝานได้ หากพูดว่า ‘ประมุขรัฐเมฆทักษิณา’ คือผู้มีพลังอันแข็งแกร่งที่สุดอย่างไร้ข้อโต้แย้งของรัฐเมฆทักษิณา สกุลฝานก็จัดเป็นลำดับที่สองแล้ว
ถือได้ว่าฝานเทียนฉ่งเป็นบุคคลผู้ทรงอำนาจลำดับสองของรัฐเมฆทักษิณา
“ฝานเทียนฉ่ง สิ่งที่บำเพ็ญคือ คัมภีร์มารซือเทียนวิชาลับที่ไม่เผยแพร่ของสกุลฝาน พลังกล้าแกร่งหาใดเปรียบ ร่างกายแข็งแกร่งเทียบเคียงได้กับอาวุธลับล้ำค่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบรำพึง อ้างอิงจากข้อมูลที่เขาเข้าใจ ความแข็งแกร่งของร่างกายของฝานเทียนฉ่งนั้นยังเหนือกว่าร่างเมฆทักษิณาทิพย์ขั้นที่สิบอันสมบูรณ์แบบอยู่พอสมควร น่าเสียดายที่สกุลฝานไม่มีทางเผยแพร่ออกสู่ภายนอก
“พลังยุทธ์ของตัวเขาเองแข็งแกร่งเป็นที่สุด ว่ากันว่ายังเป็นศิษย์รักของ ‘มหาเคารพซือเทียน’ แห่งสกุลฝานอีกด้วย ได้รับความรักใคร่เป็นอย่างยิ่ง นี่จึงทำให้เขามาจัดการดูแลรัฐเมฆทักษิณาที่มีความสำคัญยิ่ง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดพึมพำ
“ฮ่าฮ่า…”
ภายในโถงตำหนักมีเสียงหัวเราะก้องสะท้อน ผู้ที่มาเข้าร่วมงานเลี้ยงต่างก็กำลังพูดคุยสนทนากัน
“นั่นก็คือตาเฒ่าโง่เง่าแห่งรัฐเพรียกหิมะ ถือว่าตนเองเป็นเทพจักรวาล ไม่เห็นข้าที่เป็นขั้นอลวนคนหนึ่งอยู่ในสายตาเลย ถึงขนาดที่ต่อตีกับข้าซึ่งๆ หน้า ข้าจึงสามารถบดขยี้จนเขาบาดเจ็บสาหัสได้” ฝานเทียนฉ่งแย้มยิ้ม “น่าเสียดายที่เขาวิ่งเร็วเกินไป มิฉะนั้นข้าจะบดขยี้เขาจนตายเลยทีเดียว”
“โง่เง่านัก กล้าประมือกับพี่ใหญ่เทียนฉ่ง ก็มิใช่เป็นการหาเรื่องให้ตนเองอับอายหรือไร”
“เทพจักรวาลแล้วอย่างไร ก็มิได้ถูกพี่ใหญ่เทียนฉ่งตีเสียจนต้องหนีหัวซุกหัวซุนเหมือนกันหรือ”
“เจ้าพวกบ้าจากรัฐเพรียกหิมะนั่นก็ช่างรนหาที่ตายนัก ทำไมจะต้องมาทำลายเรื่องดีๆ ของพวกเราด้วย”
เหล่าผู้บำเพ็ญในที่นั้นหลายคนต่างก็พากันประจบสอพลอ
ฝานเทียนฉ่งพูดยิ้มๆ “รัฐเพรียกหิมะหรือ ในบรรดาสี่รัฐมารทมิฬ รัฐเพรียกหิมะก็ไม่ประมาณกำลังตนที่สุดแล้ว เป็นอริกับรัฐโบราณคิมหันตวายุของข้าครั้งแล้วครั้งเล่า เป็นอริกับสกุลฝานของข้าครั้งแล้วครั้งเล่า! หึ ไม่แน่ว่าวันใดวันหนึ่งก็จะสั่งสอนเขาให้หนักๆ สักคราหนึ่ง”
ฝานเทียนฉ่งเผยรอยยิ้มออกมาในทันใดแล้วมองออกไปยังบริเวณไกลๆ
เตาขนาดใหญ่มหึมาถูกส่งขึ้นมา ภายในเตาก็มีสัตว์ประหลาดที่ใกล้สุกแล้วอยู่ตัวหนึ่ง มีพ่อครัวกำลังหั่นแล่เนื้อ ปะปนกับคนอื่นๆ อีกจำนวนหนึ่งที่กำลังปรุงรสสุราส่งขึ้นมา
“มาลิ้มรสดูเร็วเข้า คุณชายเสวี่ยอิง เจ้าเพิ่งมาหาข้าที่นี่เป็นครั้งแรก สัตว์มารโอษฐ์เหินนี้เป็นสิ่งที่ข้าชอบกินที่สุดเลย น่าเสียดายนักที่ช่างจับยากเสียเหลือเกิน” ฝานเทียนฉ่งลอบพูดยิ้มๆ “สัตว์มารโอษฐ์เหินที่ค้นพบในสี่รัฐมารทมิฬ เกรงว่าคงจะมีสักครึ่งหนึ่งที่ตกมาเป็นของข้าที่นี่ แต่ก็มีลาภปากเป็นครั้งคราวเท่านั้นแหละ”
พูดแล้วฝานเทียนฉ่งก็โบกมือคราหนึ่ง เนื้อสัตว์มารโอษฐ์เหินที่แล่เสร็จแล้วจานแรกก็ลอยมาทางตงป๋อเสวี่ยอิง
ถึงแม้ว่าวันนี้จะมีแขกเหรื่อมากพอสมควร แต่ความจริงแล้วก็จัดงานเลี้ยงครั้งนี้ขึ้นเพื่อเอาใจตงป๋อเสวี่ยอิง! เพราะตงป๋อเสวี่ยอิงมาเป็นครั้งแรก ถึงแม้ว่าฝานเทียนฉ่งจะมีสถานะสูงส่งพอแล้ว แต่ก็ยังคงผูกไมตรีกับผู้ที่มีศักยภาพทุกคนอยู่เช่นเดิม สำหรับเขาแล้วผู้ที่มีศักยภาพอย่างตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้ ในอนาคตการเป็นขั้นอลวนระดับชั้นที่เก้าก็คงจะไม่มีปัญหาแต่อย่างใดเลย
สำหรับชั้นที่สิบน่ะหรือ
นี่ก็พูดยากแล้ว! จากความยากในการบำเพ็ญนั้นก็เทียบเคียงได้กับเคล็ดวิชาระดับชั้นที่เก้าที่อากาศอันสับสนอลหม่านสร้างขึ้น สิ่งที่สำคัญก็คือยังต้องรวมกับเคล็ดลับบางอย่าง หรือแม้กระทั่งจำเป็นต้องใช้ร่วมกับอาวุธล้ำค่าที่สืบทอดกันมาจึงจะสามารถสำแดงพลังรบระดับชั้นที่สิบได้
“ขอบคุณพี่ใหญ่เทียนฉ่ง” ตงป๋อเสวี่ยอิงรับจานมา
งานเลี้ยงดำเนินต่อไป
ด้านข้างก็มีนักดนตรีกำลังบรรเลง คนกลุ่มหนึ่งสนทนาพูดคุยกัน ฝานเทียนฉ่งพูดกับตงป๋อเสวี่ยอิงหลายประโยคอยู่เป็นระยะๆ
“คุณชายเสวี่ยอิง ได้ยินมาว่าเจ้าบุกผ่านชั้นที่หกของวังปฐมเทพแล้ว ข้าก็เป็นพลังยุทธ์ระดับชั้นที่หกของวังปฐมเทพเช่นเดียวกัน พวกเรามาประลองกันสักหน่อยดีไหมเล่า” องครักษ์หนุ่มที่ยืนอยู่ข้างกายของแขกคนหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยเสียงอันดัง
“บังอาจนัก! ที่นี่เป็นสถานที่ที่ให้เจ้ามาส่งเสียงดังเอะอะได้หรืออย่างไร” แขกผู้หนึ่งที่กำลังนั่งลิ้มรสเนื้อสัตว์มารโอษฐ์เหินอยู่ที่นั่นเช่นกันตะโกนด้วยสีหน้าเข้มในทันใด
ฝานเทียนฉ่งพูดพลางหัวเราะฮ่าๆ “พี่ผางป๋อ เป็นวันแห่งความเบิกบานใจ ประลองกันให้ครึกครื้นมีชีวิตชีวาสักหน่อยก็เป็นเรื่องดีเหมือนกันนะ แต่ก็ไม่รู้ว่าคุณชายเสวี่ยอิงจะมีความสนใจหรือไม่”
ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งฟังอยู่ตรงนั้นแล้วก็เข้าใจ
การท้าทายนี้เกรงว่าจะเป็นฝานเทียนฉ่งที่จัดการ เกรงว่าคงอยากจะอาศัยสิ่งนี้เพื่อดูชั้นเชิงของตนโดยละเอียด
“กล้ามาท้าทายกันที่นี่ ดูท่าทางคงจะมีที่พึ่งพิง แต่เช่นนี้ก็ยิ่งน่าสนใจกว่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงลุกขึ้นยืนพูดด้วยรอยยิ้ม มารรับใช้จื่อไป๋ที่อยู่ด้านข้างถ่ายเสียงพูด “คุณชาย ข้าว่าเขาน่าจะเชี่ยวชาญเคล็ดมีด เคล็ดมีดมีความดุร้ายโหดเหี้ยม คุณชายจะต้องระวังด้วยนะขอรับ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงแย้มยิ้ม
สายตาของเขาสูงส่งกว่ามารรับใช้จื่อไป๋มากมายนัก ทันใดนั้นก็ก้าวยาวๆ ก้าวหนึ่ง ไปถึงยังจุดศูนย์กลางโถงตำหนัก
“เอาล่ะ” ฝานเทียนฉ่งและคนอื่นๆ พากันส่งเสียงโห่ร้อง พลางชมดูอยู่ข้างๆ
“คุณชายเสวี่ยอิง ท่านต้องระวังด้วยล่ะ” องครักษ์หนุ่มผู้นั้นก็ก้าวมายังจุดศูนย์กลางโถงตำหนักอย่างเต็มไปด้วยแววต่อสู้ ยืนประจันหน้ากับตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ห่างๆ
“ลงมือเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
“ท่านไม่ใช้อาวุธหรือ” องครักษ์หนุ่มถาม
“ยังไม่จำเป็นชั่วคราวก่อน ถ้าหากเจ้าสามารถบีบคั้นจนข้าต้องใช้อาวุธได้ ข้าก็จะใช้อย่างแน่นอน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
“ได้”
องครักษ์หนุ่มม่านตาหดเล็กลง อันที่จริงแล้วเขาคือศิษย์ในนามของ ‘ผางป๋อ’เค่อชิงกลุ่มหนึ่งของสกุลฝาน เพราะว่าพลังยุทธ์เหมาะสมกันพอดี ผางป๋อจึงเลือกเขามาท้าทายคุณชายเสวี่ยอิงผู้นี้ในขณะนี้
นี่คือโอกาสอันหาได้ยากที่เขาจะได้สำแดงพลังยุทธ์ต่อหน้าระดับสูงของสกุลฝานที่สาขารัฐเมฆทักษิณา
“รับกระบวนท่า” องครักษ์หนุ่มตะโกน
พรึ่บ
ร่างกะพริบวาบคราหนึ่งก็กลายเป็นเงารางสีแดงโลหิตสายหนึ่งพุ่งไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง ตรงกลางของเงารางสีแดงโลหิตนั้นมีประกายมีดสีแดงโลหิตสายหนึ่งเจืออยู่รางๆ
“พี่ผางป๋อ เจ้าเด็กผู้นี้ฝึกวิชามีดมายาเงาโลหิตของท่านได้ไม่เลวเลยนะ”
“ใช้ได้เลยทีเดียว”
บรรดาแขกเหรื่อในที่นั้นพูดคุยไปพลาง ชื่นชมไปพลาง
“ปึง”
ตงป๋อเสวี่ยอิงที่ยืนอยู่ที่เดิมยื่นนิ้วมือออกไปแล้วชี้เบาๆ คราหนึ่ง ประกายมีดก็แข็งค้างไปในทันที นิ้วมือของตงป๋อเสวี่ยอิงชี้ไปยังจุดที่แหลมคมที่สุดของใบมีดนั้นพอดี จุดที่แกร่งที่สุดก็เป็นจุดที่พลังคุกคามรวมตัวกันอยู่มากที่สุด ”ปัง…” ชี้แล้วก็เกิดเสียงระเบิด ใบมีดถูกระเบิดโจมตีจนสั่นไหว องครักษ์หนุ่มผู้นั้นก็ถูกทำให้สั่นสะท้านจนต้องโซซัดโซเซบินถอยหลังไปอย่างมิอาจควบคุมตนเองได้
“เป็นไปได้อย่างไรกัน เป็นไปได้อย่างไรกัน ภายใต้เคล็ดมีดมายาของข้า แต่สามารถชี้จุดที่แกร่งที่สุดได้ทันทีเลยอย่างนั้นหรือ” องครักษ์หนุ่มหัวใจสั่นสะท้าน “เป็นไปไม่ได้ จะต้องเป็นเรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน”
มีดมายา เดิมทีก็ขึ้นชื่อในเรื่องความพิสดารอยู่แล้ว เป็นถึงพลังยุทธ์ระดับชั้นที่หกของวังปฐมเทพ เขาย่อมไม่เชื่ออยู่แล้วว่าคู่ต่อสู้ที่พลังยุทธ์ใกล้เคียงกันจะสามารถมองทะลุชั้นเชิงของเคล็ดมีดของเขาได้อย่างง่ายดาย
“พรึ่บ”
องครักษ์หนุ่มแปลงเป็นเงารางพุ่งเข้าไปอีกครั้ง คราวนี้เงาร่างของเขาเปลี่ยนแปลงอย่างแปลกพิสดารยิ่งกว่าเดิม ประกายมีดก็ยิ่งส่งเสียงหวีดหวิวอย่างต่อเนื่อง เงามีดจำนวนนับไม่ถ้วนเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องราวกับกระแสน้ำ เปลี่ยนแปรอย่างที่สุด
ตงป๋อเสวี่ยอิงยังคงยืนอยู่ที่เดิม ยามที่ประกายมีดปกคลุมเข้ามาก็ยังคงชี้นิ้วออกไปเช่นเก่า
ตอนที่ 33 เคล็ดร่างกาย
Ink Stone_Fantasy
ปลายนิ้วชี้ส่วนขอบของใบมีดอีกครั้ง ทั้งหมดล้วนราวกับหยุดนิ่ง ตำแหน่งที่นิ้วมือของตงป๋อเสวี่ยอิงชี้นั้น อากาศก็ล้วนระเบิดออก! พลานุภาพทำให้องครักษ์หนุ่มผู้นั้นลอยโซซัดโซเซถอยหลังไปอย่างไม่รู้ตัว
สำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์สามารถอาศับวิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่าจนชื่อเสียงเลื่องลือทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา กลายเป็นสิบสำนักใหญ่ได้ พลังคุกคามของศาสตร์ลับศาสตร์นี้ก็ย่อมใหญ่โตมากพออยู่แล้ว
“เป็นไปได้อย่างไร เป็นไปได้อย่างไรกัน กระบวนท่านี้ของเขาง่ายดายตรงไปตรงมาแล้วทำลายมีดมายาของข้าได้อย่างไรกันเล่า” องครักษ์หนุ่มบินเข้าไปครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไม่อยากจะเชื่อ แต่ทุกครั้งตงป๋อเสวี่ยอิงกลับเพียงแค่ชี้ปลายนิ้วออกมาเท่านั้น ไม่ว่าเขาจะโจมตีเช่นไร ทุกครั้งล้วนถูกโจมตีจนลอยกระเด็นออกไป ทำอย่างต่อเนื่องเช่นนี้มาถึงเก้าครั้งแล้ว
“คุณชายเสวี่ยอิงผู้นี้ช่างร้ายกาจเสียจริง ทางด้านระดับขั้นของเขาไปถึงพลังยุทธ์ระดับชั้นที่หกของวังปฐมเทพแล้วจริงๆ แทนที่จะใช้ร่างเมฆทักษิณาทิพย์ฝืนสำแดงออกมา”
“ใช่ ดูเหมือนว่าจะล้ำเลิศทางด้านห้วงอากาศเป็นที่สุด สามารถทำลายเคล็ดมีดมายาได้ครั้งแล้วครั้งเล่า”
“ร้ายกาจกว่าที่คาดการณ์เอาไว้เสียอีก”
แต่ละคนถ่ายเสียงสนทนากัน
งานเลี้ยงคราวนี้จัดขึ้นเพื่อตงป๋อเสวี่ยอิง แล้วก็อาศัยสิ่งนี้เพื่อประเมินศักยภาพของคุณชายเสวี่ยอิงผู้นี้ด้วย
วิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่ามีหนทางที่จะสำแดงได้สองแบบ แบบแรกคือการอาศัยระดับขั้นเพียงอย่างเดียวล้วนๆ แม้ว่าจะมิได้บำเพ็ญร่างทิพย์ก็ยังคงสามารถสำแดงเคล็ดวิชาอันแกร่งกล้าออกมาได้เช่นเดิม! ส่วนอีกแบบหนึ่งนั้นระดับขั้นอ่อนแอกว่า ก็คืออาศัยร่างทิพย์ฝืนสำแดงออกมา
อย่างเช่นเคล็ดวิชาขั้นรวมเป็นหนึ่งระดับชั้นที่แปด
ตามเหตุผลแล้วอย่างมากที่สุดขั้นรวมเป็นหนึ่งก็สามารถเป็นได้เพียงแค่พลังยุทธ์ชั้นที่เจ็ดเท่านั้น ที่อากาศอันสับสนอลหม่านก็เป็นเช่นนี้!
แต่ถ้าหากอาศัย ‘ร่างเมฆทักษิณาทิพย์ที่ไปถึงระดับชั้นที่แปด’ สำแดงเคล็ดวิชาระดับชั้นที่แปดออกมาก็จะผ่อนคลายลงได้เป็นอย่างมากแล้ว เพียงแค่ตระหนักรู้ส่วนเล็กๆ ก็ใช้ได้แล้ว!
เหตุผลเดียวกัน!
ขั้นอลวนต้องการจะสำแดงพลังรบระดับชั้นที่สิบ ก็ต้องอาศัยร่างเมฆทักษิณาทิพย์ระดับชั้นที่สิบอันสมบูรณ์ การอาศัยระดับขั้นเพียงอย่างเดียวก็ย่อมไม่สามารถสำแดงออกมาได้อยู่แล้ว เพราะว่าเคล็ดวิชาพลังรบระดับชั้นที่สิบนั้น…ตัวมันเองก็แฝงเอาไว้ด้วยความเร้นลับของระดับเทพจักรวาลอยู่แล้ว แต่ร่างเมฆทักษิณาทิพย์ระดับชั้นที่สิบอันสมบูรณ์นั้นยามที่สำแดงออกมาก็ผ่อนคลายลงได้เป็นอย่างมาก เพียงแค่ตระหนักรู้ส่วนนั้นก็สามารถฝืนผลักดันขึ้นไปได้แล้ว
ร่างเมฆทักษิณาทิพย์และวิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่านั้นเติมเต็มส่งเสริมซึ่งกันและกัน การเปลี่ยนเคล็ดวิชาหลอมแปรร่างกายต่างก็ไม่มีประโยชน์กับวิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่าเลย
……
“ก็คือวิธีการเหล่านี้เองหรือ เจ้าก็รับกระบวนท่าข้าอีกหลายกระบวนบ้างก็แล้วกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวเราะเสียงดังแล้วบุกสังหารออกไปในทันใด
เขาจงใจใช้นิ้วมือทำลายอย่างต่อเนื่องถึงเก้าครั้ง ก็เพราะตั้งใจให้พวกฝานเทียนฉ่งได้เห็น!
วัตถุประสงค์ที่แท้จริงที่เขามาเข้าร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้…ก็เพื่อจะได้มาดูหัวหอกเล่มนั้นสักหน่อยต่างหาก!
“พรึ่บ”
เงาร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงพุ่งออกไปแล้วแปรเปลี่ยนเป็นเงาร่างเก้าสายอย่างน่าอัศจรรย์ คล้ายกับพุ่งเข้าไปสังหารองครักษ์หนุ่มจากทิศทางที่แตกต่างกัน
“อะไรกันนี่” องครักษ์หนุ่มตื่นตระหนกอยู่บ้าง ในความรู้สึกของเขา เงาร่างเก้าสายนี้ล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น
แต่ในความเป็นจริงแล้ว
เงาร่างเก้าสายล้วนเป็นความจริง เพียงแต่ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงมีความรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง เพียยงชั่วอึดใจ ‘ร่างกาย’ ก็ตัดอากาศถึงเก้าครั้ง จึงจะแสดงผลลัพธ์เป็นเงาร่างเก้าสายได้สำเร็จ
ด้วยการใช้ร่างกายเป็นอาวุธตัดขาด ก็คือการทำให้เคล็ดวิชาการโจมตีของวิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่าแปรเปลี่ยนเป็นเคล็ดร่างกายจนหมดสิ้นแล้ว
“พรึ่บ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเคลื่อนผ่านองครักษ์หนุ่มผู้นั้น เขาโบกมือคราหนึ่ง เงาร่างเก้าสายก็เคลื่อนผ่าน บนร่างขององครักษ์หนุ่มพลันถูกตัดขาดเก้าครั้งในทันใด แต่ว่าก็หายดีอย่างสมบูรณ์ในทันทีทันใด
สวบ
ตงป๋อเสวี่ยอิงถอยกลับไปอยู่ที่เดิมแล้วมองดูองครักษ์หนุ่มผู้นั้น
สีหน้าขององครักษ์หนุ่มเดี๋ยวแดงเดี๋ยวซีดขาว เดิมทีสกุลฝานก็เป็นตระกูลที่โอหังดุร้ายเหี้ยมโหดอยู่แล้ว ‘ผางป๋อ’ ท่านอาจารย์ของเขาสวามิภักดิ์ต่อสกุลฝาน ยามที่สั่งสอนชี้แนะศิษย์ก็บอกว่าผู้อ่อนแอเป็นเหยื่อของผู้แข็งแกร่ง ผู้ที่อ่อนแอก็ตายไป ส่วนผู้แกร่งกล้าก็มีชีวิตรอด คัดกรองกันอยู่ตลอดเวลา… ยากนักที่เขาจะมีโอกาสได้สู้เพื่อหน้าตาของท่านอาจารย์ตนสักครั้งหนึ่ง แต่ถึงกับพ่ายแพ้อย่างน่าอนาถเช่นนี้เสียได้
“ยังไม่ถอยไปอีก” ผางป๋อที่นั่งอยู่ที่นั่นตะโกนขึ้นมา
“ขอรับ” องครักษ์หนุ่มร่นถอยไปในทันใด
“คุณชายเสวี่ยอิง การตระหนักรู้นี่ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ นะ” ผางป๋อเอ่ยชม “แต่สามารถสำแดงเคล็ดวิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่าออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ นอกจากนี้ยังดัดแปลงเคล็ดการโจมตีให้กลายเป็นเคล็ดร่างกายอีกด้วย นี่ก็คิดค้นเคล็ดวิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่าออกมาเป็นของตัวเองแล้วด้วย ช่างเปี่ยมพรสวรรค์จริงๆ”
ผางป๋อก็ชื่นชมตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นอย่างยิ่ง
เขามีลูกศิษย์เป็นจำนวนมาก ศิษย์ถ่ายทอดเองก็มีมากพอสมควร แต่ไม่มีเลยแม้แต่คนเดียวที่การตระหนักรู้สามารถเทียบกับคุณชายเสวี่ยอิงผู้อยู่ตรงหน้าผู้นี้ได้เลย
น่าเสียดายนัก…
คุณชายเสวี่ยอิงผู้นี้ช่างระยับจับตาเสียเหลือเกิน เค่อชิงผู้หนึ่งอย่างเขา ผางป๋อ ไม่มีสิทธิ์จะรับผู้มีพรสวรรค์เช่นนี้เป็นศิษย์ได้
“เคล็ดการโจมตีก็กลายเป็นเคล็ดร่างกายด้วย ร้ายกาจนัก” ฝานเทียนฉ่งก็ชื่นชมเช่นเดียวกัน
“งดงาม”
“เห็นคุณชายเสวี่ยอิงแล้วก็นึกถึงช่วงเวลาที่ข้าบำเพ็ญห้าล้านปี จำได้ว่าเวลานั้น ข้ายังเป็นเพียงแค่ศิษย์ธรรมดาๆ ของสำนักวิชาเล็กๆ แห่งหนึ่งในรัฐโบราณคิมหันตวายุเท่านั้นเอง” บรรดาแขกเหรื่อเหล่านี้ต่างก็พากันชื่นชม
พวกเขาล้วนเข้าใจกันเป็นอย่างดี
ห้าล้านปีก็สามารถมาถึงระดับขั้นเช่นนี้ได้ นอกจากนี้ยังมิได้ถูกเคล็ดวิชาต้นฉบับผูกมัด ถึงขนาดที่ดึงแก่นแท้ภายในเคล็ดวิชาแล้วดัดแปลงเป็นเคล็ดวิชาใหม่ออกมาได้ พรสวรรค์เช่นนี้ทำให้พวกเขาต่างก็จนคำพูด! ขอเพียงแค่ไม่ตายตกไป ในอนาคตก็ดูเหมือนว่าจะต้องไปถึงขั้นอลวนระดับชั้นที่เก้าอย่างแน่นอน
ต้องรู้ไว้ว่าพวกเขาผู้เป็นเค่อชิงและแขกเหรื่อเหล่านี้ ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดก็ยังเป็นเพียงแค่ขั้นอลวนระดับชั้นที่เก้าเท่านั้น
สำหรับระดับชั้นที่สิบนั้นน่ะหรือ
ฝานเทียนฉ่งก็มิอาจเรียกมาได้ตามใจชอบเพียงเพื่อมาร่วมงานเลี้ยงธรรมดาๆ ของตงป๋อเสวี่ยอิงพรรค์นี้
……
งานเลี้ยงเสร็จสิ้นลงในที่สุด
บรรดาแขกเหรื่อเริ่มพากันกลับ ฝานเทียนฉ่งและฝานเฟยฉีมาส่งตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยตนเอง
“คุณชายเสวี่ยอิง ในภายหน้าหากมีเรื่องยุ่งยากอันใดก็มาหาข้าได้เลยนะ ไม่ว่าจะเป็นที่รัฐเมฆทักษิณา หรือว่ารัฐประเทศอื่นๆ เรื่องราวที่สกุลฝานของข้าจัดการมิได้ก็มีอยู่ไม่มากนักหรอก” ฝานเทียนฉ่งพูดยิ้มๆ
“พี่ใหญ่เทียนฉ่ง” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยขึ้นทันควัน “พูดขึ้นมาแล้วข้าก็ยังมีเรื่องหนึ่งอยากจะให้พี่ใหญ่เทียนฉ่งช่วยเหลือจริงๆ”
ฝานเฟยฉีที่อยู่ข้างๆ สะดุ้งคราหนึ่ง
ฝานเทียนฉ่งก็ประหลาดใจเล็กน้อยเช่นกัน
เขาเพิ่งพูดว่า ‘มีเรื่องยุ่งยากอันใดก็มาหาได้เลย’ คุณชายเสวี่ยอิงผู้นี้ก็เอ่ยปากขอความช่วยเหลือในทันที จริงๆ แล้วก็ออกจะ ‘หนังหน้าหนา’ อยู่บ้าง ต้องรู้ไว้ว่าถึงจะขอให้สกุลฝานไปจัดการเรื่องราวบางอย่างให้ ก็ต้องจ่ายเป็นมูลค่าพอสมควร
“เจ้าว่ามาสิ” ฝานเทียนฉ่งยังคงรักษารอยยิ้มเอาไว้
ถึงแม้ว่าในใจเขาจะไม่พอใจอยู่บ้าง แต่ก็เป็นเพียงเพราะเห็นคุณชายเสวี่ยอิงผู้นี้เยาว์วัยเกินไป
“พูดแล้วก็ช่างน่าละอายนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “ตอนข้าอยู่ที่ร้านค้าสกุลฝานในนครหลวงรัฐเมฆทักษิณา ได้เห็นหัวหอกอันหนึ่ง ได้ยินมาว่ายังเป็นศาสตราวุธหัวหอกที่นายท่านฉื้ออวิ๋นทิ้งเอาไว้อีกด้วย หัวหอกนั้นคล้ายว่าจะเป็นสมบัติลับล้ำค่าทางด้านห้วงอากาศ ข้าดูแล้วก็ช่างน่าอัศจรรย์ใจนัก ตอนนั้นก็นึกอยากจะดูต่อไปให้ละเอียดด้วยตนเองสักหน่อย น่าเสียดายที่ผู้จัดการของที่นั่นไม่ยอมให้ข้าดู ดังนั้นข้าจึงได้บากหน้ามาขอให้พี่ใหญ่เทียนฉ่งช่วยเหลือ ให้ข้าได้ดูหัวหอกนั้นอย่างละเอียดสักหน่อยจะได้หรือไม่”
“เรื่องนี้เองหรือ” ฝานเทียนฉ่งหัวเราะอย่างว่างเปล่า
เขายังคิดว่าอีกฝ่ายจะขออะไรที่มากเกินไปเสียอีก
เพียงแค่จะดูสมบัติลับล้ำค่าที่วางขายในร้านเท่านั้นเองน่ะหรือ หัวหอกนั้นเขาก็รู้จักอยู่ ถึงแม้ว่าจะร้ายกาจ แต่ก็เป็นเพียงแค่สิ่งที่ไม่สมบูรณ์เท่านั้น มูลค่าก็ไม่สูง ราคาก็เพียงแค่สามร้อยล้านแก้วผลึกจักรวาลเท่านั้นเอง
“ฮ่าฮ่า เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ จำเป็นจะต้องมาพูดกับข้าด้วยหรือ” ฝานเทียนฉ่งรู้สึกว่าคุณชายเสวี่ยอิงผู้อยู่ตรงหน้าช่างน่าเอ็นดูนัก เรื่องเล็กน้อยพรรค์นี้ก็ยัง ‘บากหน้ามาพูด’
“ตอนนี้เจ้าเป็นสหายของข้า ฝานเทียนฉ่งแล้ว เจ้าก็เป็นแขกพิเศษของร้านรวงทั้งหลายของสกุลฝานของข้าแล้ว สมบัติลับล้ำค่าเหล่านั้น แม้กระทั่งค้อนเมฆเวหาที่แพงกว่าเป็นสิบเท่า หากเจ้าอยากจะดูก็เป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้นเอง” ฝานเทียนฉ่งพูด “เพียงแค่เจ้าไป ผู้จัดการนั่นก็ไม่กล้าขัดขวางเจ้าหรอก”
ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังแล้วค่อยคลายใจ
ค้อนเมฆเวหาอันเป็นสิ่งล้ำค่าของร้าน เขาก็มิได้สนใจมันเลย! หัวหอกเล่มนั้นจึงจะเป็นสิ่งที่เขาต้องการมากที่สุด เขาซื้อไม่ไหว แล้วก็ย่อมมิได้โง่เง่าไปร้องขอให้อีกฝ่ายยกให้… ถึงแม้ว่าฝานเทียนฉ่งจะให้ความสำคัญกับเขา แต่สมบัติลับล้ำค่ามูลค่าหลายร้อยล้านแก้วผลึกจักรวาล เกรงว่าคงต้องให้ตนขายตัวให้กับสกุลฝาน สกุลฝานจึงจะสามารถมอบให้ตนได้กระมัง
ตอนนี้ซื้อไม่ไหว หยั่งรู้หัวหอกอย่างละเอียดสักคราก็เพียงพอแล้ว
“ขอบคุณพี่ใหญ่เทียนฉ่ง เช่นนั้นตอนนี้ข้าก็ขอไปก่อนล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมีความอดรนทนไม่ไหวอยู่บ้าง
“เจ้านี่นะ เจ้านี่นะ ฮ่าฮ่าฮ่า ไปเถิดๆ” ฝานเทียนฉ่งหัวเราะ คุณชายเสวี่ยอิงผู้นี้ช่างน่าสนใจเสียจริง
ตอนที่ 34 กลับเมืองอัคคีโชติ
Ink Stone_Fantasy
เพียงครึ่งชั่วยามให้หลัง
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็พามารรับใช้จื่อไป๋ไปถึงสถานที่ตั้งของร้านค้าสกุลฝาน แม้จะเป็นยามราตรี แต่ทั้งชุมชนของล้ำค่าก็ยังมีแสงไฟเจิดจ้า สว่างไสวยิ่งนัก
“คุณชายเสวี่ยอิง เจ้านายข้ามีคำสั่งลงมาก่อนแล้วว่าให้ข้าคอยคุณชายเสวี่ยอิงขอรับ” ณ ประตูร้านค้าสกุลฝานก็มีชายชราร่างอ้วนท้วนผู้นั้นตั้งใจรอต้อนรับอยู่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม หากเป็นผู้บำเพ็ญที่มีพลังทัดเทียมกัน…ก็คงต้องเห็นแก่หน้าตนเองมากกว่านี้ ไม่มีทางมายืนต้อนรับผู้มีพรสวรรค์ขั้นรวมเป็นหนึ่งอยู่หน้าประตูด้วยความกระตือรือร้นเช่นนี้แน่นอน
แต่ชายชราร่างอ้วนท้วนผู้นี้เป็นมารรับใช้ จึงทำตามคำสั่งของเจ้านายอย่างเคร่งครัด
“ต้องรบกวนท่านผู้ดูแลแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว
“คุณชายเสวี่ยอิง เชิญขอรับ” ชายชราร่างอ้วนท้วนนำทางด้วยความกระตือรือร้น ไม่นานนักก็มาถึงชั้นสาม ถึงอย่างไรตอนนี้ก็เป็นยามดึกสงัด แขกเหรื่อก็มิได้นับว่ามากมายอะไรนัก ชั้นสามแห่งนี้ก็ยิ่งว่างเปล่าไม่มีแขกคนอื่นๆ อีก
ครั้งนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้เสียเวลาอีก หากแต่พุ่งตรงไปหน้าหัวหอกอันนั้น หัวหอกนั้นล่องลอยอยู่ ปลายหอกมีระลอกอากาศสายแล้วสายเล่าแผ่ออกมา ค่ายกลชั้นแล้วชั้นเล่าสกัดกั้นเอาไว้ ห่อหุ้มหัวหอกนี้เอาไว้ราวกับเปลือกไข่ก็มิปาน
“โปรดรอสักครู่”
ชายชราร่างอ้วนท้วนพูดประโยคหนึ่งแล้วก็เริ่มควบคุมค่ายกลที่สกัดกั้นเอาไว้ ทันใดนั้นค่ายกลที่สกัดกั้นอยู่ชั้นแล้วชั้นเล่าก็ขยายออก แล้วห่อหุ้มตงป๋อเสวี่ยอิงที่ยืนอยู่ใกล้ๆ เข้าไปในนั้นด้วย หลังผ่านไปหลายชั่วลมหายใจ ค่ายกลอันเหมือนเปลือกไข่ที่สกัดกั้นเอาไว้ก็แผ่ขยายออกไปเป็นขอบเขตหลายจ้าง ตงป๋อเสวี่ยอิงก็อยู่ในนั้นด้วย
“คุณชายเสวี่ยอิง เรียบร้อยขอรับ” ชายชราร่างอ้วนท้วนพูดยิ้มๆ
“ต้องขอบคุณท่านแล้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดประโยคหนึ่ง จากนั้นก็มองไปทางหัวหอกที่ลอยคว้างอยู่ตรงหน้า เดิมที ‘นายท่านฉื้ออวิ๋น’ เจ้าของหัวหอกที่ธรรมดาสามัญอันนี้ได้สิ้นใจไปตั้งแต่ก่อนสงครามรัฐโบราณครั้งที่หนึ่งแล้ว ซึ่งหมายความว่าหอกยาวนี้ดำรงอยู่มาเป็นเวลายาวนานกว่าหกรัฐโบราณเสียอีก! เพียงแต่ไม่ทราบว่าไปประสบกับเรื่องราวพรรค์ไหนมา จึงทำให้หัวหอกและด้ามหอกของหอกยาวซึ่งเดิมสมบูรณ์ดีต้องแยกออกจากกัน
ฟึ่บๆๆ ตรงปลายหอกทำให้มิติรอบด้านบิดเบี้ยวอบู่ตลอดเวลา ทำให้เกิดระลอกคลื่นที่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าสายแล้วสายเล่า
เมื่อยื่นมือออกไป ตงป๋อเสวี่ยอิงก็คว้าหัวหอกตรงหน้าเอาไว้ได้
หัวหอกเย็นเฉียบดุจน้ำแข็ง มีความคมกริบอันไร้ที่สิ้นสุด ราวกับจะฉีกทึ้งมือออกมาอย่างไรอย่างนั้น ทว่าถึงอย่างไรตงป๋อเสวี่ยอิงก็ฝึกร่างเมฆทักษิณาทิพย์จนถึงชั้นที่หกแล้ว สมบัติลับที่บกพร่องชิ้นหนึ่งไหนเลยจะทำให้มือเขาบาดเจ็บได้เล่า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเดิมทีเขาก็ควบคุมอากาศได้อย่างร้ายกาจอยู่แล้วด้วย
“วิ้ง”
ตงป๋อเสวี่ยอิงหลับตาลง สติรับรู้แทรกซึมเข้าไป
“ตู้ม!”
เสียงดังกัมปนาทพลันดังก้องขึ้นในสติรับรู้ของเขา เขาสามารถสัมผัสรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าบันไดน้ำวนอันลึกล้ำเกินหยั่งที่สลับซับซ้อนกำลังรวมตัวกันที่ใจกลางอย่างรวดเร็ว ตอนนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงเพียงแค่รับรู้ด้ามหอกและค้นบุปผากลางม่านหมอกเท่านั้น! แต่บัดนี้เมื่อรับรู้หัวหอก…กลับพบบันไดน้ำวนอันซับซ้อนซึ่งสุดท้ายแล้วสามารถแบ่งออกเป็นบันไดได้ถึงสามแห่ง บันไดสามแห่งหมุนคว้าง ก่อนจะรวมตัวกันเป็นจุดเดียวในท้ายที่สุด
จุดนั้นคือจุดสิ้นสุดของบันไดน้ำวน แต่ก็เหมือนกับการเริ่มต้นอีกแบบหนึ่ง!
ตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถสัมผัสได้ว่า ท้ายที่สุดบันไดน้ำวนรวมตัวกันเป็นจุดเดียว รวมตัวกันจนถึงที่สุด จากนั้นก็ปะทุออกมา! หัวหอกและปลายหอก…ต่อให้ไม่มีเจ้าของควบคุมอยู่ อักขระลับก็มิได้ถูกกระตุ้น แต่ก็ทำให้อากาศบิดเบี้ยวจนเกิดระลอกคลื่นขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าการรวมตัวกันเป็นจุดเดียวในท้ายที่สุดนั้นมีพลังทำลายล้างอันน่าหวาดหวั่นต่ออากาศ
“หากรวมตัวกับอักขระลับบนด้ามหอกขึ้นมา…”
ห้วงสมองของตงป๋อเสวี่ยอิงประมวลผลอย่างรวดเร็ว
หากนำอักขระลับที่ได้พบและรับรู้บนด้ามหอก และสิ่งที่ได้ค้นพบและรับรู้ในยามนี้เข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์
ก็จะเป็นอักขระลับของสมบัติลับอันสมบูรณ์
“เมื่อมีข้าเป็นศูนย์กลาง ก็จะเป็นจุดกำเนิดมิติ! สิ่งอื่นๆ ทั้งหมดก็จะถูกข้าควบคุม”
“หอกหนึ่งแทงออกไป อานุภาพรวมตัวกัน อานุภาพก็ช่างไม่กล้าจินตนาการเลยจริงๆ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ่งผลักดันต่อไป ก็ยิ่งพบว่าลึกล้ำเกินหยั่งเป็นอันมาก
ด้วยระดับขั้นของเขา เขาก็สามารถวิเคราะห์ได้ว่าอักขระลับที่แฝงเอาไว้ในด้ามหอกยาวน่าจะมีสองกระบวนท่าแฝงอยู่ หนึ่งคือตนเองเป็นจุดกำเนิดมิติ แล้วอาศัยมันควบคุมอากาศรอบด้าน นี่คือกระบวนท่าทางด้านบริเวณ ส่วนอีกกระบวนท่าหนึ่งก็คือการรวมตัวกันของมิติอันสับสนอลหม่าน รวมตัวกันเป็นจุดกำเนิดสุดท้าย จนทำให้มีพละกำลังทำลายล้างทุกสิ่ง ตงป๋อเสวี่ยอิงมิกล้าจินตนาการถึงพละกำลังพรรค์นั้นเลย
แม้บัดนี้เขาจะได้วิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่าฉบับสมบูรณ์มาแล้ว เป็นเคล็ดสืบทอดลับสองกระบวนท่าซึ่งแฝงไว้ด้วยขั้นอลวนชั้นที่สิบ
ทว่าเคล็ดสืบทอดลับสองกระบวนท่า…
หากพูดถึงจินตภาพ ก็แข็งแกร่งและเหิมเกริมสู้จินตภาพในหอกยาวมิได้ แม้เขาจะไม่เข้าใจทั้งหมด แต่ระดับขั้นของตัวเขาก็สูงส่งพอ จึงสามารถวิเคราะห์แรงกดดันและแรงคุกคามที่ทั้งสองสิ่งมอบให้ตนออกมาได้
“ร้ายกาจ”
“อักขระลับในหอกยาว มิใช่แค่ขั้นอลวนชั้นที่สิบเท่านั้น แต่สูงยิ่งกว่านั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจในจุดนี้ดี มหาเคารพลู่เทียนแห่งสกุลฝานเองก็ยังยอมรับว่านายท่านฉื้ออวิ๋นมีพลังไม่ด้อยไปกว่าเขาเลย จากตรงนี้ก็พอจะเห็นอะไรบ้างแล้ว
มหาเคารพลู่เทียน…
ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจดีมากว่า เทพจักรวาลจำนวนมากของสกุลฝานล้วนแต่เป็นสิ่งมีชีวิตอันดับต้นๆ ทั้งสิ้น
“จำเอาไว้”
“พยายามจำเอาไว้ให้ได้มากที่สุด” ตงป๋อเสวี่ยอิงเริ่มพยายามจดจำ
แต่กระนั้นอักขระลับในหัวหอกก็ยังซับซ้อนและพิสดารเกินไป อาวุธที่นายท่านฉื้ออวิ๋นใช้กำแหงไปทั่วดินแดนจิตโลกานั้น ไหนเลยจะเป็นสิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิง หนุ่มน้อยซึ่งในตอนนี้ยังไม่บรรลุชั้นที่เก้าเสียด้วยซ้ำจะจดจำได้
เขาจำได้เพียงบางส่วนอย่างพอถูไถเท่านั้น
จากนั้นก็พยายามรับรู้ รับรู้และเข้าใจให้มากอีกหน่อย จึงจะสามารถจดจำได้ลึกซึ้งขึ้นบ้าง
……
ชายชราร่างอ้วนท้วนยืนอยู่ข้างหนึ่ง แล้วรอคอยด้วยใจอดทนเป็นอย่างมาก เมื่อเวลาค่อยๆ ล่วงเลยไป ระหว่างนั้นก็มีแขกคนอื่นมาถึงชั้นสาม ชายชราร่างอ้วนท้วนก็ยังตั้งใจเข้าไปต้อนรับด้วยตนเอง
“ตั้งสองชั่วยามแล้ว ยังดูอีกหรือนี่” ชายชราร่างอ้วนท้วนลอบอึดอัดใจ เขามองดูชายหนุ่มอาภรณ์ขาวที่ถือหัวหอกเอาไว้ “คุณชายเสวี่ยอิงผู้นี้ชอบสมบัติลับที่บกพร่องชิ้นนี้มากถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ต่อให้ดูนานกว่านี้ จะมองอะไรออกกันหนอ”
รับรู้สมบัติลับแล้วเคี่ยวกรำศาสตร์ลับขึ้นมาอย่างนั้นหรือ
ชายชราร่างอ้วนท้วนไม่เคยใส่ใจมาก่อน เนื่องจากการรับรู้สมบัติลับเพื่อค้นคว้าศาสตร์ลับนั้นยากลำบากกว่าการได้คัมภีร์ศาสตร์ลับมาแล้วบำเพ็ญเป็นสิบเป็นร้อยเท่า! ยิ่งไปกว่านั้น ยังต้องรับรู้ตลอดคืนวันอันยาวนาน ซึ่งนั่นต้องใช้เวลาเป็นร้อยล้านปี…เมื่ออยู่ในร้านค้า ต่อให้มองทั้งวันแล้วจะได้อะไรขึ้นมาหรือ อักขระลับอันแข็งแกร่งนั้นไม่มีทางจำได้หมด มีแต่ต้องรับรู้และเข้าใจเท่านั้นจึงจะสามารถจดจำได้มากขึ้นบ้าง
“ฟิ้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงลืมตาขึ้นมา นัยน์ตามีแววเสียใจอยู่เล็กน้อย ตัดใจจากหัวหอกในมือมิได้เป็นอย่างมาก
“ขอบคุณท่านผู้ดูแล” ตงป๋อเสวี่ยอิงปล่อยหัวหอก หัวหอกก็ล่องลอยอยู่ตรงนั้นต่อไป
“ฮ่าฮ่า เรื่องเล็กขอรับ” ชายชราร่างอ้วนท้วนควบคุมค่ายกลที่สกัดกั้นชั้นแล้วชั้นเล่าทันที ทำให้ค่ายกลที่สกัดกั้นหดเล็กลง ผ่านไปหลายสิบชั่วลมหายใจ ค่ายกลที่สกัดกั้นทั้งหมดก็หดเล็กลงแล้วห่อหุ้มหัวหอกเอาไว้อย่างสิ้นเชิง
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองหัวหอกแวบหนึ่ง
เนื่องจากอาศัยด้ามหอกก็สามารถรับรู้กระบวนท่าจำพวกบริเวณได้ ครั้งนี้ยังได้ตรวจสอบดูอักขระลับที่สมบูรณ์ เชื่อว่าการคิดค้นบริเวณระดับชั้นที่แปดขึ้นมาก็คงไม่ยากนัก อาศัยด้ามหอกอาจจะสามารถบรรลุถึงอานุภาพระดับชั้นที่เก้าได้
แต่การโจมตีน่ะหรือ
ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจการโจมตีของหอกยาวนี้ดี มันไม่เหมือนกับอีกทิศทางหนึ่งของวิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่า นอกจากนี้อานุภาพก็ยังน่าหวาดหวั่นเป็นอย่างยิ่ง
น่าเสียดายที่ตนมีเพียงด้ามหอกเท่านั้น หัวหอกของหอกยาวมิอาจจดจำได้ในระยะเวลาสั้นๆ เกรงว่าหากสามารถรับรู้กระบวนท่าที่มีอานุภาพชั้นที่หกหรือเจ็ดได้ก็ไม่เลวแล้ว
“ไม่ว่าอย่างไร ก็นับว่าได้รับรู้อักขระลับของหอกยาวทั้งเล่มโดยสมบูรณ์แล้ว หากข้าจะรับรู้ต่อไปก็มีทิศทางที่ชัดเจนขึ้นแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ อย่างบริเวณนั้น เขาก็มีจินตภาพเพียงแค่ว่า ‘ตนคือจุดกำเนิด’ เท่านั้น หากไม่ได้ดูหัวหอก ให้เขารับรู้ด้ามหอกเพียงอย่างเดียว ก็เกรงว่าไม่รู้ว่านานเท่าไหร่จึงจะสามารถเข้าถึงจินตภาพระดับนั้นได้
“จื่อไป๋ พวกเราไปกันเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว
“ขอรับคุณชาย” มารรับใช้จื่อไป๋ก็มองหอกยาวแวบหนึ่ง เขาก็ลอบพึมพำเบาๆ เหตุใดคุณชายของตนจึงชมชอบสมบัติลับหัวหอกที่บกพร่องนั้นถึงเพียงนั้นกันหนอ
……
เช้าวันต่อมา
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็พามารรับใช้จื่อไป๋ เถียนอี้จือและสาวใช้เหยียนอวี๋เดินทางออกจากสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์เพื่อกลับไปยังเมืองอัคคีโชติ!
คัมภีร์ศาสตร์ลับต่างๆ ที่เขาอยากได้ ทั้งอากาศและเขตลวงโลกเทียมเขาก็ได้มาหมดแล้ว หัวหอกก็เคยรับรู้แล้วเช่นกัน
เมื่ออยู่ในสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ก็มิอาจปะทุพลังทั้งหมดของกระบวนท่าที่ฝึกฝนออกมาได้ แน่นอนว่ายิ่งกลับไปยังเมืองอัคคีโชติเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี!
“วันที่ข้ามายังนครหลวงครั้งหน้า ก็คือเวลาที่ข้าจะซื้อหัวหอกอันนั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ ไม่ว่าจะเพื่ออาวุธสมบัติลับอันแข็งแกร่งเล่มหนึ่งที่เหมาะสมกับตน หรือเพื่อรับรู้ศาสตร์ลับของนายท่านฉื้ออวิ๋น เขาก็ต้องได้หัวหอกนั้นมาให้ได้!
ตอนที่ 35 ความตระหนกของตงป๋อเสวี่ยอิง
Ink Stone_Fantasy
ณ เมืองอัคคีโชติ วันนี้จวนของท่านโหวหั่วเลี่ยคึกคักเป็นอันมาก เพราะพวกเขาได้ข่าวมาก่อนแล้วว่าวันนี้คุณชายเสวี่ยอิงจะกลับมา!
“คุณชายเสวี่ยอิงออกมาจากค่ายกลส่งถ่ายแล้ว อีกไม่นานก็จะมาถึงจวนโหวแล้ว”
ช่าวแพร่ออกไปได้รวดเร็วมาก
ณ ประตูของจวนโหว ผู้อาวุโสทั้งหมดของจวนโหวเร่งมาถึงก่อนแล้ว รวมทั้งอิงซานเลี่ยฮู่และหรงซิงหลันด้วย พวกเขาต่างก็ชะเง้อชะแง้แลมอง แม้แต่ท่านโหวหั่วเลี่ยก็ยังปรากฏกายด้วยตนเอง แล้วรอคอยอยู่ที่ประตูหน้าของจวนโหว ส่วนคนอื่นๆ ภายในจวนโหวทั้งหลายก็เร่งมาต้อนรับแต่เนิ่นๆ เช่นกัน รวมทั้ง ‘อิงซานจงฝู’ บุตรชายของฉานอวี้เยี่ยนเจินด้วย
“เลี่ยฮู่เอ๋ย บุตรชายคนนี้ของเจ้าเก่งกาจอย่างไม่ธรรมดาทีเดียว ได้ยินมาว่าเพิ่งบุกฝ่าพลังยุทธ์ระดับชั้นที่หกของวังปฐมเทพได้ เขาเพิ่งจะเข้าร่วมสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ได้นานสักเท่าไหร่กันเชียว”
“ความสามารถในการรับรู้นี้ พรสวรรค์นี้…เก่งกาจ เก่งกาจ ในภายหน้าอาจจะได้รับการแต่งตั้งเป็นอ๋องด้วยก็ได้ ถึงตอนนั้นตระกูลอิงซานเราก็จะมีอ๋องที่ได้รับการแต่งตั้งถึงสองคนแล้ว”
ผู้อาวุโสซึ่งเคยหยิ่งผยองมาแต่เดิม ต่างพากันพูดคุยกับอิงซานเลี่ยฮู่ด้วยความกระตือรือร้น
อิงซานเลี่ยฮู่หัวเราะคิกคักพลางยิ้มกว้าง
เบิกบานใจ สุขสราญ!
ความรู้สึกว่าได้รับการเคารพเช่นนี้ ทำให้อิงซานเลี่ยฮู่เปี่ยมไปด้วยความปีติยินดีจนล้นใจ
“มาแล้ว”
รอบด้านพลันสงบลงทันที ทุกคนล้วนมิกล้า พูดคุยเสียงดังอึกทึกตามอำเภอใจ พวกเขาต่างก็มองเห็นชายหนุ่มอาภรณ์ขาวผู้งามสง่าคนหนึ่งและบุรุษชุดดำที่สะบัดพัดจีบคนหนึ่งบินเข้ามาพร้อมกัน ด้านหลังยังมีเถียนอี้จือ สาวใช้เหยียนอวี๋และสิงห์เมฆาทะมึนสองตนรวมทั้งผู้ใต้บังคับบัญชาจำนวนมากอีกด้วย
พวกเขาได้ยินมาก่อนแล้วว่า บุรุษชุดดำที่สะบัดพัดจีบผู้นั้น…ก็คือ ‘ผู้อาวุโสจื่อไป๋’ แห่งเรือนประจำตระกูลผู้มีชื่อเสียงโด่งดังนั่นเอง ว่ากันว่าเป็นมารรับใช้ที่แข็งแกร่งถึงขั้นอลวน สถานะสูงส่งกว่าผู้อาวุโสประจำตระกูลทั่วไปเสียอีก
“ให้มารรับใช้ขั้นอลวนตนหนึ่งมาเป็นองครักษ์ ไม่เสียทีที่เป็นคุณชายเสวี่ยอิงจริงๆ”
“เมื่อไหร่ข้าถึงจะมีมารรับใช้ขั้นอลวนมาเป็นองครักษ์บ้างหนอ ชั่วชีวิตหนึ่งสามารถรุ่งโรจน์ได้ถึงเพียงนี้ ต่อให้ตายก็คุ้มค่าแล้ว”
แต่ละคนเห็นแล้วก็รู้สึกอิจฉาตาร้อนเป็นอันมาก
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูฝูงชนที่มารอต้อนรับที่ประตูของจวนโหวแล้วก็เร่งเข้าไปทันที เขาร้องเรียกว่า “ท่านโหว ท่านแม่ ท่านพ่อ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า เสวี่ยอิง เจ้าทำให้ตระกูลอิงซานเราได้หน้ามากทีเดียว ข้าอยู่ในเมืองอัคคีโชติก็มีสหายตั้งหลายคนส่งสารมาถึงข้า ว่าเจ้ามีพลังบรรลุระดับชั้นที่หกของวังปฐมเทพแล้ว!” ท่านโหวหั่วเลี่ยหัวเราะเสียงดังกังวานด้วยความปีติยินดีเป็นอันมาก “สหายพวกนั้นของข้าล้วนบอกว่า ด้วยความสามารถในการรับรู้ของเจ้าแล้ว ในภายหน้าก็มีหวังที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นอ๋องเลยทีเดียว ทว่าอย่าได้หยิ่งผยองเป็นอันขาด เพราะถึงอย่างไรตอนนี้เจ้าก็ยังมิได้เป็นแม้แต่ขั้นอลวนเสียด้วยซ้ำ”
“เสวี่ยอิงเข้าใจแล้วขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว
“อื้ม” ท่านโหวหั่วเลี่ยพยักหน้าพลางพูดยิ้มๆ ว่า “ไปๆๆ ภายในจวนโหวจัดเตรียมงานเลี้ยงเอาไว้แล้ว เพื่อฉลองที่เจ้าได้เป็นศิษย์ภายใต้สำนัก ทั้งยังบุกฝ่าชั้นที่หกของวังปฐมเทพได้ จะว่าไปแล้ว ข้ายังมิใช่ศิษย์ของสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์เสียด้วยซ้ำไป”
ศิษย์อย่างเป็นทางการของสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ เดิมทีก็มีน้อยเสียจนน่าสงสารอยู่แล้ว
คนในรัฐของตนเองก็ยิ่งมีน้อยเข้าไปใหญ่
โดยทั่วไปแล้วหากมิใช่ผู้มีพรสวรรค์ไร้เทียมทาน ก็จะต้องเป็นขั้นอลวนทางสายอากาศ แน่นอนว่าผู้ที่มีพลังแกร่งกล้าอย่าง ‘แม่เฒ่าอิงซาน’ นั้น ก็ถูกเชื้อเชิญให้เป็นหนึ่งในผู้อาวุโสของสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ด้วยเช่นกัน! แต่พลังอย่างท่านโหวหั่วเลี่ยยังไม่มีคุณสมบัติพอจะได้รับการเชื้อเชิญให้ไปเป็นผู้อาวุโสเลย
สำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์…อันที่จริงแล้วก็เป็นสำนักประจำรัฐเมฆทักษิณา คนในสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์นั้นรวมถึงเทพจักรวาลสามท่านและอ๋องที่ได้รับการแต่งตั้งจำนวนมาก
******
ขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองของจวนโหวนั้น ในเรือนประจำตระกูลของตระกูลอิงซาน
“ฟิ้ว ฟิ้ว…”
ลมพายุพัดคลั่ง
ณ ยอดภูเขาหิมะ
แม่เฒ่าอิงซานนั่งขัดสมาธิอยู่บนศิลาก้อนใหญ่ จิตวิญญาณของนางหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับเมืองอิงซานอันกว้างใหญ่ไพศาล และหายใจไปพร้อมกับเมืองอิงซาน ยามนี้ทุกแห่งหนของเมืองอิงซานล้วนแต่อยู่ภายใต้การสัมผัสรับรู้ของนางทั้งสิ้น
“แม่เฒ่า คุณชายกลับมายังจวนโหวแล้ว เมื่อคืนนี้เขาไปร่วมงานเลี้ยง ซึ่งจัดเตรียมขึ้นโดย ‘ฝานเทียนฉ่ง’ แห่งสกุลฝานด้วยขอรับ” มารรับใช้จื่อไป๋เริ่มรายงานเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ให้ทราบ
“รีบเล่าให้ข้าฟังโดยละเอียดเร็วเข้า”
“ขอรับ ในงานเลี้ยงมีองครักษ์คนหนึ่งท้าทายคุณชาย…”
แม่เฒ่าอิงซานตั้งใจฟังเรื่องที่มารรับใช้จื่อไป๋เล่า เมื่อได้ยินว่าตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงพลังออกมาระหว่างการต่อสู้ รอยยิ้มก็อดผุดขึ้นมามิได้ ประเสริฐ! มิได้อาศัยร่างเมฆทักษิณาทิพย์ฝืนสำแดงออกมา แต่แค่ระดับขั้นเองก็เพียงพออยู่แล้ว ทั้งยังเปลี่ยนกระบวนท่าวิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่าให้กลายเป็นวิถีกายอีกด้วย การรับรู้ระดับนี้ช่างน่ากลัวเสียจริง ทว่ายิ่งน่ากลัวเท่าไหร่ แม่เฒ่าอิงซานก็ยิ่งเบิกบานใจมากขึ้นเท่านั้น เพราะเป็นคนของตระกูลอิงซาน
“ตระกูลอิงซานเราก็มีผู้มีพรสวรรค์ไร้เทียมทานระดับนี้ถือกำเนิดขึ้นมาด้วย” แม่เฒ่าอิงซานเบิกบานใจนัก
นางกลับไม่รู้ว่า
ตามแผนการของตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว ก็คือต้องการจะหล่อหลอมให้ตนกลายเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ของทั้งรัฐเมฆทักษิณา ช่วยไม่ได้ เขาไม่อยากจะปิดบังเอาไว้โดยไม่แสดงออกมาอยู่เรื่อยนี่นา ทว่าก็ต้องค่อยเป็นค่อยไปหน่อย…เพราะเมื่อเทียบกันแล้ว เขาก็ยังอ่อนแอกว่าบรรดาผู้มีพรสวรรค์ที่เยี่ยมยอดที่สุดในหกรัฐโบราณอยู่บ้าง
ในประวัติศาสตร์ของหกรัฐโบราณแห่งดินแดนจิตโลกานั้นมีผู้มีพรสวรรค์ถือกำเนิดขึ้นมาอยู่บ้าง บางคนก็เกินจริงไปกว่าตงป๋อเสวี่ยอิงมาก ทว่าตงป๋อเสวี่ยอิงสงสัยว่าผู้ไร้เทียมทานเหล่านั้น คงจะมีบางคนที่กลับชาติไปจุติ ดังนั้นตนจึงต้องควบคุมบ้าง แค่เป็นผู้มีพรสวรรค์อันดับหนึ่งของรัฐเมฆทักษิณาก็เพียงพอแล้ว
“หลังจบงานเลี้ยง เขาขอให้ฝานเทียนฉ่งช่วยเหลือ เพราะอยากไปดูสมบัติลับหัวหอกที่บกพร่องอันหนึ่งในร้านค้าสกุลฝาน” มารรับใช้จื่อไป๋พูดต่อไป
“สมบัติลับหัวหอกที่บกพร่องรึ” แม่เฒ่าอิงซานออกจะงุนงงอยุ่บ้าง
“ขอรับ คุณชายชอบสมบัติลับหัวหอกนั้นมาก ตอนแรกที่ไปยังนครหลวงรัฐเมฆทักษิณาก็ชอบสมบัติลับที่บกพร่องชิ้นนั้นมากแล้ว! ได้ยินมาว่าเป็นสมบัติลับที่บกพร่องซึ่ง ‘นายท่านฉื้ออวิ๋น’ ผู้แกร่งกล้าที่ไร้เทียมทานทิ้งเอาไว้ตั้งแต่ก่อนสงครามรัฐโบราณครั้งที่หนึ่งแล้ว ตอนนั้นผู้ดูแลร้านค้าสกุลฝานกลับไม่อนุญาตให้คุณชายตรวจดูหัวหอกนั้นโดยละเอียดเลย”
“ครั้งนี้คุณชายหยิบหัวหอกขึ้นมาแล้วกูอยู่ถึงสองชั่วยามเต็มๆ ท้ายที่สุดจึงจากมา วันต่อมาก็กลับมายังเมืองอัคคีโชติแล้ว”
แม่เฒ่าอิงซานงุนงง “เขาชอบสมบัติลับที่บกพร่องชิ้นนั้นมากอย่างนั้นหรือ”
“ขอรับ ในชุมชนของล้ำค่าแห่งนครหลวงรัฐเมฆทักษิณ มีเพียงหัวหอกเล่มนั้นที่เป็นสิ่งที่คุณชายชมดูอยู่นานที่สุด! คุณชายเข้าร่วมงานเลี้ยงของสกุลฝาน ถึงขั้นเอาชนะองครักษ์ผู้นั้นและเปิดเผยพลังระดับนั้นออกมา ในสายตาข้า ก็เพื่อทำให้ฝานเทียนฉ่งให้ความสำคัญมากขึ้นก็เท่านั้น ท้ายที่สุดฝานเทียนฉ่งก็เอ่ยปากพูดเองว่า หากมีเรื่องยุ่งยากให้ไปหาเขาได้ คุณชายก็รีบขอความช่วยเหลือทันที เขาต้องการดูหัวหอกอันนั้น” เนื่องจากมารรับใช้จื่อไป๋ติดตามตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นเขาจึงสำรวจโดยละเอียดยิบ เขาสามารถสัมผัสรับรู้ได้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงชอบสมบัติลับหัวหอกที่บกพร่องเล่มนั้นจากใจจริง
“อย่างนั้นหรือ” แม่เฒ่าอิงซานราวกับครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
……
หน้าร้านค้าสกุลฝานในชุมชนของล้ำค่าแห่งนครหลวงรัฐเมฆทักษิณา
หญิงชรานางหนึ่งมาถึงหน้าร้านค้า
“แม่เฒ่ามาถึงร้านเรา ช่างหาได้ยากจริงๆ” ชายชราร่างอ้วนท้วนผู้นั้นรีบออกมาต้อนรับด้วยตนเองทันที ต่อให้เป็นอ๋องที่ได้รับการแต่งตั้ง ก็ยังมีการแบ่งระดับแข็งแกร่งและอ่อนแอ เห็นได้ชัดว่าแม่เฒ่าอิงซานเป็นหนึ่งในผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด
“อื้ม” แม่เฒ่าอิงซานพยักหน้าแล้วสาวเท้าตรงเข้าไปข้างในทันที
ไม่นานนักก็มาถึงชั้นสาม
แม่เฒ่าอิงซานก็มาถึงตรงหน้าหัวหอก สมบัติลับที่บกพร่องชิ้นนั้น นัยน์ตาทั้งสองของนางมีภาพที่เคยเกิดขึ้นฉากแล้วฉากเล่าปรากฏขึ้นมา ก็เห็นภาพที่เมื่อคืนชายหนุ่มอาภรณ์ขาวผู้นั้นถือหัวหอกเอาไว้นานแสนนาน มุมปากของแม่เฒ่าอิงซานก็มีรอยยิ้มสายหนึ่งผุดขึ้นมา
“นี่คือสมบัติลับที่บกพร่องซึ่งนายท่านฉื้ออวิ๋นทิ้งเอาไว้หรือ” แม่เฒ่าอิงซานเอ่ยถาม
“ขอรับ คุณชายเสวี่ยอิงแห่งตระกูลอิงซานของแม่เฒ่าก็เคยมาดูเช่นกัน” ชายชราร่างอ้วนท้วนพูดยิ้มๆ
“ราคาเล่า” แม่เฒ่าอิงซานเอ่ยถาม
“ห้าร้อยล้านแก้วผลึกจักรวาลขอรับ” ชายชราร่างอ้วนท้วนเหยียดนิ้วทั้งห้าออกไป มุมปากยกเป็นรอยยิ้ม
“ราคาต่ำสุดเล่า” แม่เฒ่าอิงซานพูดต่อ
“แม่เฒ่าเป็นแขกผู้มีเกียรติของสกุลฝานเรา นายท่านของข้าเคยกำชับเอาไว้ ข้าย่อมมิกล้าหลอกลวงแม่เฒ่าอยู่แล้ว ภายในตระกูลให้ราคาต่ำสุดที่สามร้อยล้านแก้วผลึกจักรวาล จะต่ำกว่านี้สักเล็กน้อยก็มิได้เด็ดขาด” ชายชราร่างอ้วนท้วนกล่าว
แม่เฒ่าอิงซานพยักหน้าเบาๆ
นางเองก็เข้าใจดี
สมบัติลับของร้านค้าสกุลฝาน โดยทั่วไปแล้วราคาต่ำสุดและราคาที่แจ้ง บ้างก็ลดเหลือสักเก้าส่วน สิบส่วน จะลดลงจนเหลือหกส่วนได้ก็มีน้อยยิ่งนัก นี่คือสมบัติลับที่บกพร่องชิ้นหนึ่ง ดังนั้นราคาต่ำสุดของสกุลฝานจึงเหลือหกส่วนได้
“เอาล่ะ ข้าจะเอา” แม่เฒ่าอิงซานพยักหน้า
“ได้ขอรับๆๆ” ชายชราร่างอ้วนท้วนกล่าว “ไม่ทราบว่าจะให้เป็นแก้วผลึกจักรวาลหรือสมบัติล้ำค่าดีขอรับ”
“สมบัติล้ำค่าก็แล้วกัน” แม่เฒ่าอิงซานเอ่ย
ในฐานะผู้แกร่งกล้า ต่อให้พเนจรและเข่นฆ่าช่วงชิงอยู่ภายนอก ของที่มาถึงมือก็ล้วนแต่เป็นวัสดุหรือสมบัติล้ำค่าทั้งหลาย ไปจนถึงขั้นมีหลาชิ้นที่แปรเป็นสมบัติล้ำค่าที่แข็งแกร่งมาใช้กับตนเอง ผู้ใดจะทิ้งแก้วผลึกจักรวาลหลายร้อยล้านก้อนไว้กับตัวกันเล่า เทพจักรวาลที่แข็งแกร่งบางท่านอาจจะทำเช่นนี้ แต่แม่เฒ่าอิงซานไม่มีทางฟุ่มเฟือยถึงเพียงนี้
“ฟิ้ว” แม่เฒ่าอิงซานโบกมือคราหนึ่ง ก็มีอาวุธทรงกระสวยสีดำปรากฏขึ้น
ชายชราร่างอ้วนท้วนรับไปแล้วตรวจดูโดยละเอียดก่อนจะเงยหน้าขึ้นมา “อย่างมากที่สุดก็นับได้สองร้อยสิบล้านแก้วผลึกจักรวาลเท่านั้นขอรับ”
แม่เฒ่าอิงซานขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะโบกมืออีกครา ก็มีเศษวัสดุล้ำค่ายิบย่อยต่างๆ มากมายถึงหลายสิบชิ้น
ชายชราร่างอ้วนท้วนตรวจดูโดยละเอียดแล้วคำนวณออกมา ก่อนจะเงยหน้าพูดขึ้นว่า “ยังขาดแก้วผลึกจักรวาลอีกยี่สิบล้านก้อนขอรับ”
“ยังขาดอีกรึ”
แม่เฒ่าอิงซานพูดพลางขมวดคิ้ว
“หลังจากพวกเรารับซื้อแล้วยังต้องขายออกไปอีก! อยู่ในมืออีกตั้งไม่รู้นานเท่าใดจึงจะสามารถขายออกไปได้ แน่นอนว่าราคาที่รับซื้อก็ต้องต่ำกว่าราคาที่ขายออกไปอยู่บ้างน่ะขอรับ” ชายชราร่างอ้วนท้วนหัวเราะฮิฮิ
แม่เฒ่าอิงซานจึงโบกมืออีกครา แก้วผลึกจักรวาลถึงยี่สิบล้านก้อนลอยออกไป สมบัติล้ำค่าที่ไร้ประโยชน์ในมือนางนั้นมีไม่มากนัก ที่สูงค่าที่สุดนางก็ใช้ไปกับตนเองตั้งนานแล้ว ครั้งนี้พยายามเก็บรวบรวมก็สามารถรวมได้ครบในที่สุด
“ประเสริฐๆๆ” ชายชราร่างอ้วนท้วนรับมาแล้วพูดยิ้มๆ ว่า “สมบัติลับหัวหอกชิ้นนี้ นับแต่นี้ไปก็เป็นของแม่เฒ่าแล้วขอรับ”
ฟิ้ว
ชายชราร่างอ้วนท้วนเก็บสมบัติล้ำค่าทั้งหมดขึ้นมา ขณะเดียวกันก็คลายค่ายกลที่สกัดกั้นเอาไว้ สมบัติลับหัวหอกชิ้นนั้นก็ลอยมาทางแม่เฒ่าอิงซาน แม่เฒ่าอิงซานยื่นมือออกไปรับเอาไว้ ใบหน้าจึงเผยรอยยิ้มสายหนึ่งออกมาได้ แม้แม่เฒ่าอิงซานจะทุ่มเทไปมากมายถึงเพียงนี้ ถึงขั้นต้องนำ ‘กระสวยเมฆาเหิน’ อาวุธของตนในอดีตออกมาขายด้วย แต่ในใจของแม่เฒ่าอิงซานกลับเบิกบานเป็นอย่างมาก
เพราะยากนักที่ตระกูลอิงซานจะมีลูกหลานที่ไร้เทียมทานหาใดเปรียบปรากฏขึ้นมาสักคน ผู้มีพรสวรรค์ไร้เทียมทานระดับตงป๋อเสวี่ยอิงนี้ หากปรากฏกายขึ้นในตระกูลที่น่าหวาดหวั่นอย่างสกุลฝาน ก็คงได้รับทรัพยากรต่างๆ ทุ่มเทมาให้ตั้งนานแล้ว
“ยายเฒ่าอย่างข้ามิอาจเทียบกับตระกูลใหญ่พรรค์นั้นได้ แต่ก็ต้องพยายามทำหน่อย ด้วยพรสวรรค์ของเจ้าหนุ่มเสวี่ยอิงแล้ว คงจะได้รับการแต่งตั้งเป็นอ๋องได้ไม่ยากเลย” แม่เฒ่าอิงซานตั้งตารอคอยเป็นอันมาก
……
ณ จวนโหวเมืองอัคคีโชติ
บัดนี้ภายในจวนโหวกำลังจัดงานเลี้ยงอันคึกคักเป็นอย่างมาก
ท่านโหวหั่วเลี่ยนั่งในตำแหน่งประธาน ตงป๋อเสวี่ยอิงก็นั่งอยู่ตรงที่นั่งแรกทางด้านซ้าย ส่วนฝั่งตรงข้ามคือที่นั่งแรกด้านขวานั้นก็คือฉุนอวี้เว่ยอีที่รีบเข้ามาเอง
“ฟิ้ว”
เงาร่างของหญิงชรานางหนึ่งรวมตัวกันขึ้นมาเป็นจริงจากความว่างเปล่า แล้วปรากฏขึ้นภายในโถงตำหนัก เหล่าผู้อาวุโสภายในโถงตำหนักรวมทั้งลูกหลานทั้งหลายของตระกูลต่างก็ยืนขึ้นทันที ท่านโหวหั่วเลี่ยซึ่งนั่งในตำแหน่งประธานยืนขึ้นก่อนใครก่อนจะเดินลงมาต้อนรับ“ ท่านบรรพชน”
“แม่เฒ่า” ฉุนอวี้เว่ยอีก็รีบคารวะทันที
“ท่านบรรพชน” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว รอบด้านเต็มไปด้วยเสียงเรียก “ท่านบรรพชน” ด้วยความเคารพ ผู้อาวุโสทั้งหลายและคนของตระกูล อิงซานเลี่ยฮู่ หรงซิงหลันและคนอื่นๆ ต่างก็เคารพนบนอบเหลือแสน
แม่เฒ่าอิงซานก็คือผู้ที่เป็นรากฐานให้ตระกูลอิงซานมีสถานะเช่นทุกวันนี้ได้
แม่เฒ่าอิงซานเดินยิ้มแย้มเข้ามาหาตงป๋อเสวี่ยอิง “เจ้าหนูเสวี่ยอิง สามารถบุกฝ่าชั้นที่หกของวังปฐมเทพได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ ไม่เลวเลย ทว่าก็ยังต้องตั้งใจบำเพ็ญให้ดีๆ เจ้าเคยไปยังนครหลวงแล้วก็น่าจะรู้ว่า…พลังน้อยนิดเช่นเจ้ายังห่างไกลอีกมากโข”
“เสวี่ยอิงเจ้าใจขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงรับคำ
“อื้ม” แม่เฒ่าอิงซานโยนกำไลวงหนึ่งออกไป “บำเพ็ญให้ดีๆ เถิด ข้ารอวันที่เจ้าจะได้รับการแต่งตั้งเป็นอ๋องอยู่นะ” แม่เฒ่าอิงซานพูดจบก็หันหน้าจากไปทันที
ตงป๋อเสวี่ยอิงรับกำไลเก็บวัตถุมา
เมื่อตรวจสอบดู…
หัวหอกอันธรรมดาสามัญล่องลอยอยู่ภายใน ตรงปลายหอกทำให้พื้นที่เก็บวัตถุเกิดระลอกมิติสายแล้วสายเล่าขึ้นมา
“นี่มัน…” ตงป๋อเสวี่ยอิงเงยหน้าขึ้นมาด้วยความตื่นตระหนก แต่ก็เห็นเพียงเงาร่างของแม่เฒ่าอิงซานที่ค่อยๆ สลายหายไปเท่านั้น
ตอนที่ 36 บรรลุขั้นอลวน
Ink Stone_Fantasy
เมื่อได้สัมผัสรับรู้หัวหอกที่ลอยคว้างอยู่ในกำไลเก็บวัตถุนั้น ยามนี้รสชาติภายในใจของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ซับซ้อนนัก
แม้เขาจะกลับชาติมาจุติในดินแดนจิตโลกา แต่ภายในใจของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังคงผูกพันกับภรรยาและลูกๆในอากาศอันสับสนอลหม่าน ในหัวใจของเขา อากาศอันสับสนอลหม่านจึงจะเป็นรากเหง้าของเขา! เขาพยายามหาวิธียกระดับพลังให้ได้โดยเร็วที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการหล่อหลอมให้ตนกลายเป็นผู้มีพรสวรรค์ไร้เทียมทาน หรือการคารวะเข้าสู่สำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์เพื่อที่จะได้รับคัมภีร์ล้ำค่าจำนวนมาก สิ่งเหล่านี้ล้วนทำไปเพื่อสั่งสมรากฐานของตนเอง เพื่อจะได้มีหวังสำเร็จเป็นเทพจักรวาลมากขึ้น
เพราะว่า…
มีแต่สำเร็จเป็นเทพจักรวาลเท่านั้น ตนจึงจะสามารถกลับไปยังจักรวาลบ้านเกิดได้
ตามแผนการของตงป๋อเสวี่ยอิง ในภายหน้าจะศึกษา ‘ศาสตร์ร่างแยก’ และย่อมส่งร่างแยกบางส่วนกลับไปยังบ้านเกิด ร่างแยกที่หลงเหลืออยู่ก็เสาะหาโอกาสยกระดับพลังอยู่ใน ‘ดินแดนจิตโลกา’ ต่อไป เพื่อให้ตนแข็งแกร่งขึ้น เพื่อจะได้รับมือฝูงมารผลาญทำลายได้ง่าย เขาถึงขั้นหวังว่าจะสามารถสังหารจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นได้ ไปจนกระทั่งหาวิธีรับมือกับหายนะอย่างการทำลายล้างครั้งใหญ่ของอากาศอันสับสนอลหม่านได้
ส่วน ‘ดินแดนจิตโลกา’ เดิมทีเขาคิดว่าที่นี่เป็นเพียงสถานที่ซึ่งจะทำให้เขามีโอกาสแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น ตัวเขาดูแลตระกูลอิงซานเล็กน้อย ดูแลพวกมารดาและพี่สาวให้ดีๆ ก็ใช้ได้แล้ว
แต่ในยามนี้…
“แม่เฒ่าอิงซาน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ
แม่เฒ่าอิงซานเป็นอ๋องที่ได้รับการแต่งตั้งอันดับต้นๆ ของรัฐเมฆทักษิณา นางเป็นสิ่งมีชีวิตระดับขั้นอลวนชั้นที่สิบอย่างไร้ข้อโต้แย้ง ความสามารถเทียบกับเทพจักรวาลได้เลยทีเดียว! ดังนั้นจึงกล้าต่อสู้ห้ำหั่นกับตระกูลเฉี่ยนอีแห่งรัฐโบราณจันทร์โรจน์ บวกกับการที่ประมุขรัฐเมฆทักษิณาคุ้มครองแขนขาที่สำคัญเป็นอย่างดี ตระกูลเฉี่ยนอีจึงยิ่งทำอะไรแม่เฒ่าอิงซานไม่ได้เข้าไปใหญ่
“ถึงระดับแม่เฒ่าแล้ว เกรงว่าคงจะไม่เคยคิดว่าในภายหน้าข้าจะช่วยนางได้อย่างไรกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ
เพราะถึงอย่างไรเมื่อพิจารณาจากความสามารถที่ซ่อนอยู่ของตน เกรงว่าคนภายนอกคงคิดเพียงว่าตนสามารถสำเร็จเป็นอ๋องที่ได้รับการแต่งตั้งขั้นอลวนชั้นที่เก้าก็เก่งกาจมากแล้ว
ส่วนขั้นอลวนชั้นที่สิบน่ะหรือ
ยากเกินไปแล้ว
มีเพียงตนเองเท่านั้นที่เข้าใจว่าตนมีโอกาสมากที่จะสำเร็จเป็นขั้นอลวนชั้นที่สิบ แม้จะเป็นเช่นนี้ ก็แค่ทัดเทียมกับแม่เฒ่าอิงซานเท่านั้น ส่วนจะสำเร็จเป็นเทพจักรวาลน่ะหรือ ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจดีมากว่า เรื่องนี้ในดินแดนจิตโลกาก็ไม่ง่ายเอามากๆ ประวัติศาสตร์ของดินแดนจิตโลกายาวนานกว่าอากาศอันสับสนอลหม่านมากมาย แต่ทั้งหมดก็มีเทพจักรวาลเพียงหยิบมือหนึ่งเท่านั้น
ครอบครัวสกุลฝาน ฝานเทียนฉ่งก็นับว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ไร้เทียมทาน ได้รับการบ่มเพาะอย่างสุดกำลังจากสกุลฝาน ก็เป็นเพียงขั้นอลวนชั้นที่สิบเท่านั้น
“ไม่เคยคิดเลยว่าข้าจะสามารถช่วยเหลือนางได้ เพียงเพราะข้าเป็นลูกหลานตระกูลอิงซานอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำเบาๆ
ความเข้าอกเข้าใจทางสายโลหิต
ความรักใคร่ที่มอบให้ชนรุ่นหลังทั้งตระกูล
ตงป๋อเสวี่ยอิงสัมผัสได้ถึงความเอาใจใส่โดยไม่หวังผลตอบแทนของแม่เฒ่าอิงซาน เป็นความรักใคร่ลูกหลานรุ่นหลัง เป็นความปรารถนาที่จะให้ชนรุ่นหลังได้ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่
“ข้าย่อมไม่มีทางทำให้ท่านผิดหวังแน่นอน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำเบาๆ ความรู้สึกนี้ทำได้เพียงจดจำเอาไว้ที่ส่วนลึกของหัวใจเท่านั้น
******
หลังงานเลี้ยงฉลองผ่านไป ตงป๋อเสวี่ยอิงก็กลับไปยังจวนของตน
อิงซานเลี่ยฮู่และหรงซิงหลันต่างก็ปีติยินดี เบิกบานใจเป็นอย่างมาก
“ท่านพ่อท่านแม่” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “วันนี้ข้าเตรียมตัวจะเก็บตัวแล้ว ข้าได้รับคัมภีร์มาจากสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์มากมาย ข้าจะสงบจิตสงบใจศึกษาให้ดีๆ น่ะขอรับ การเก็บตัวครั้งนี้อาจจะนานมาก”
“พวกเราเข้าใจ” อิงซานเลี่ยฮู่พยักหน้า
ตนนั้นกำลังจะได้รับแต่งตั้งเป็นโหวเชียวนะ
“อื้ม” หรงซิงหลันก็พยักหน้ารัว บัดนี้บุตรชายของตนบุกฝ่าชั้นที่หกของวังปฐมเทพได้แล้ว ตามกฎหมายของรัฐเมฆทักษิณา หากบุกฝ่าชั้นที่เจ็ดของวังปฐมเทพได้ก็จะได้รับการแต่งตั้งเป็นโหวแล้ว!
“จื่อไป๋ ผู้อาวุโสเถียน” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปทางองครักษ์ด้านข้างแล้วกำชับว่า “หากไม่มีเรื่องใหญ่ที่สำคัญอันใด ก็สกัดเอาไว้ให้หมด อย่าให้มารบกวนข้าล่ะ”
“จอรับ”
มารรับใช้จื่อไป๋และเถียนอี้จือต่างก็รับคำ
“อื้ม”
จากนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็เดินมุ่งหน้าไปทางเจดีย์เทพอากาศ
บรรดาองครักษ์และบ่าวรับใช้เหล่านี้มองดูชายหนุ่มอาภรณ์ขาวเดินเข้าไปในประตูเจดีย์เทพอากาศเพียงลำพัง พวกเขาก็พากันทอดถอนใจ เกรงว่าตอนที่คุณชายออกมานั้น ก็คงจะถึงเวลาได้รับแต่งตั้งเป็นโหวแล้วกระมัง ช่างน่ากลัวเสียจริง…การแต่งตั้งเป็นโหว สำหรับคุณชายช่างง่ายดายถึงเพียงนี้ หรือว่าจะเหมือนกับในตำนานจริงๆ คุณชายของตนมีหวังที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นอ๋องอย่างนั้นหรือ
……
ภายในเจดีย์เทพอากาศ
ศิลาก้อนใหญ่ลอยคว้าง ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิอยู่
“ดูหอกยาวเล่มนี้สิ” เขาพลิกมือคราหนึ่งด้วยความตื่นเต้นอยู่บ้าง แล้วหยิบหอกยาวเล่มนั้นออกมาก่อน เขากำหนดจิตคราหนึ่ง ระหว่างด้ามหอกและหัวหอกก็ค่อยๆ เริ่มหมุนคว้าง ค่ายกลมากมายที่สกัดกั้นอยู่ภายในเริ่มถูกกระตุ้นขึ้นมา ด้ามหอกและหัวหอกแบกออกจากกันอย่างรวดเร็ว
พลิกมือคราหนึ่งก็นำหัวหอกสีม่วงเข้มซึ่งแผ่กลิ่นอายคลุ้งคาวเลือดอันชั่วร้ายขึ้นมา หัวหอกนี้ดูน่าซื้อก็จริง แต่อันที่จริงแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับไม่เห็นอยู่ในสายตาเลย
ในสายตาของเขา ด้ามหอกสีเทาอันเรียบง่ายนี้ ล้ำค่ากว่าหัวหอกสีม่วงเข้มตั้งไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่
“ฟิ้ว”
เขาพลิกมือคราหนึ่ง แล้วหยิบหัวหอกที่แม่เฒ่าอิงซานมอบให้ตนในครั้งนี้ออกมา
“ได้มาไม่ง่ายเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูหัวหอกที่ธรรมดาสามัญมากเช่นกัน ระลอกอากาศอันบิดเบี้ยวสายแล้วสายเล่าที่ปลายหอกดึงดูดเข้ามาจึงจะสามารถพิสูจน์ความไม่ธรรมดาของมันได้
“หากมิใช่เพราะแม่เฒ่า ข้าจะหาแก้วผลึกจักรวาลหลายร้อยล้านก้อนก็มิใช่เรื่องง่ายเลย” จากนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็กำหนดจิตคราหนึ่ง
วิ้ง
หัวหอกอันธรรมดาสามัญนี้เริ่มค่อยๆ หลอมรวมเข้ากับด้ามหอกอันธรรมดาสามัญ อักขระลับตรงบริเวณที่เชื่อมต่อกันถูกกระตุ้นขึ้นมา วิ้ง ทั้งสองส่วนเริ่มหลอมรวมกัน เมื่ออักขระลับของทั้งหอกยาวสว่างวาบขึ้นมา อากาศรอบด้านก็สั่นสะเทือนขึ้นมา และยังมีเสียงหอกดังก้องขึ้นไปทั่วทั้งเจดีย์เทพอากาศแห่งนี้ หอกเทพซึ่งเคยติดตามนายท่านฉื้ออวิ๋นไปทั่วดินแดนจิตโลกาหวนคืนสู่สภาพเดิมอีกครั้ง
“ในเมื่อเป็นอาวุธของท่านบรรพชนนายท่านฉื้ออวิ๋น ก็เรียกว่าหอกเทพเมฆาแดงก็แล้วกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ
จากนั้นสติรับรู้ของเขาก็เริ่มแทรกซึมเข้าไป ตรวจสอบทั่วทั้งหอกยาว
ตู้มมมม…
บันไดน้ำวนดำมืดอันใหญ่โตหมุนคว้างและแทรกซึมเข้าไปอย่างต่อเนื่อง บันไดน้ำวนอันพิสดารและซับซ้อนนี้สามารถแบ่งออกเป็นบันไดได้สามแห่ง บันไดทั้งสามแห่งนี้รวมตัวกันเป็นจุดเดียวในท้ายที่สุด
ก่อนหน้านี้ตงป๋อเสวี่ยอิงเคยรับรู้ด้ามหอกและหัวหอกแยกกัน อักขระลับที่สมบูรณ์ก็เป็นเพียงการคาดเดาของเขาเท่านั้น บัดนี้เมื่อได้เห็น ‘สภาพทั้งหมด’ ก็พบการผสานกันของอักขระลับที่ด้ามหอกและหัวหอก มันช่างเป็นธรรมชาติและ ครบสมบูรณ์กว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้มากทีเดียว “ฮ่าฮ่า บรรลุเสียก่อนเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวเราะเสียงดัง จากนั้นก็กำหนดจิตคราหนึ่ง
ตู้ม!
สายเลือดอากาศภายในกายพลันถูกกระตุ้นขึ้นมาในทันใด เขาบรรลุจากขั้นรวมเป็นหนึ่งเข้าสู่ขั้นอลวนทันที ทันใดนั้นน้ำวนพลังฟ้าดินก็ก่อตัวขึ้นข้างบนราวกับคูหาดำมืด พลังฟ้าดินจำนวนนับไม่ถ้วนในคูหาดำมืดโหมซัดเข้ามา ก่อนจะรวมตัวกันเข้ามาภายในกายตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างต่อเนื่อง! ทำให้ร่างกายเริ่มพัฒนาและวิวัฒนาการไป สายเลือดภายในกายก็เข้มข้นและแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ นับแต่นี้ไปสายเลือดของเขาก็จะเป็นสายเลือดอากาศระดับขั้นอลวนแล้ว แม้แต่สายเลือดอากาศระดับเทพจักรวาลก็ยังถูกเสริมและสมบูรณ์ขึ้นมากด้วยเหตุนี้ แต่นี่ก็เป็นการกำหนดแน่นอนแล้วว่า เส้นทางการบำเพ็ญจะสิ้นสุดแต่เพียงเท่านี้
เทพจักรวาล ตามระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์นั้นสามารถควบคุมกฎเกณฑ์จักรวาลอันสมบูรณ์ได้!
เทพจักรวาลแต่ละคนนั้น ถึงแม้จะมีเส้นทางที่เหมือนกัน ผลสำเร็จก็แตกต่างกัน
ดังเช่นจักรพรรดิเก้าเมฆาและบรรพชนห้วงอากาศก็ล้วนแต่เป็นเส้นทางอากาศทั้งสิ้น ก็ยังแตกต่างกันมากมายนัก อย่าง ‘ประมุขรัฐเมฆทักษิณา’ หรือ ‘นายท่านฉื้ออวิ๋น’ ก็ล้วนเป็นเส้นทางอากาศ แต่พวกเขาทั้งสี่…แต่ละคนล้วนไม่เหมือนกัน
ดังนั้นเส้นทางของผู้อื่น จึงทำได้เพียงซึมซับผลึกปัญญาของคนยุคก่อน ก้าวสุดท้ายนั้น ตนก็ยังต้องเป็นผู้ก้าวไปเองอยู่ดี
กฎเกณฑ์จักรวาล
สามารถไม่รับผลกระทบจากกฎเกณฑ์สูงสุดได้แล้ว กฎเกณฑ์จักรวาลอันสมบูรณ์แบบ สรรพสิ่งทั้งปวงล้วนรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ดังนั้นกฎเกณฑ์จักรวาลที่ตนรับรู้ ไม่ว่าจะในอากาศอันสับสนอลหม่านหรือดินแดนจิตโลกาก็ล้วนใช้ด้วยกันได้ทั้งสิ้น
ไม่เหมือนกับระดับต่ำๆ อย่างเขตลวงโลกเทียมหรือการรับรู้อากาศของตน เมื่อมาถึงโลกกำเนิดที่แตกต่างออกไป ก็ได้รับผลกระทบอย่างหนักหน่วง จึงต้องเริ่มบำเพ็ญใหม่ตั้งแต่ต้น
ยิ่งระดับต่ำเท่าไหร่…ก็ยิ่งได้รับผลกระทบจากกฎเกณฑ์สูงสุดมากขึ้นเท่านั้น
กฎเกณฑ์ของเทพจักรวาล นั้นสามารถแยกออกมานอกกฎเกณฑ์สูงสุดได้
ส่วนระดับอย่างจอมเทพศักดิ์สิทธิ์นี้ ก็ปรารถนาสูงส่งกว่านั้นแล้ว
“ตู้มมม…”
ร่างกายของตงป๋อเสวี่ยอิงบรรลุ ภายใต้การหล่อเลี้ยง วิญญาณก็ค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้น เขาก้มลงมองหอกยาวในมือเล่มนั้น
แม้จะบรรลุเป็นขั้นอลวนแล้ว แต่เขาก็ไม่เคยคิดจะเปิดเผยออกไปมาก่อนเลย!
ตามแผนการของเขา การเก็บตัวของเขาในครั้งนี้จะยาวนานมาก รอจนถึงตอนที่ตนออกจากการเก็บตัว ก็จะบอกกับคนภายนอกว่าตนบำเพ็ญเป็นร้อยล้านปีจึงสำเร็จเป็นขั้นอลวน อย่างน้อยก็ยังนับว่าอยู่ในขอบเขตของผู้มีพรสวรรค์ไร้เทียมทานตามปกติได้แล้ว! ส่วน ‘การสำเร็จเป็นขั้นอลวนในห้าล้านปี’ นั้น ถึงอย่างไรก็เยี่ยมยยอดเกินไปแล้ว
หากตนไม่ออกไป ก็มิมีผู้ใดล่วงรู้อยู่ดี!
บรรลุเสียก่อน เพื่อให้วิญญาณแข็งแกร่ง วิญญาณระดับขั้นอลวนนั้นบำเพ็ญได้รวดเร็วกว่าวิญญาณของขั้นรวมเป็นหนึ่งมากมายยิ่งนัก
“รอให้ข้าออกจากการเก็บตัวเสียก่อน ก็จะสำแดงพลังได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องปิดบังอย่างเช่นทุกวันนี้” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น