Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 33 ตอนที่ 19-23
ตอนที่ 19 หิมะโปรยปรายริมทะเลสาบ
Ink Stone_Fantasy
เพื่อการดำรงชีวิตอยู่ ‘กานก้านเสวีย’ ชายร่างอ้วนใหญ่ก็เริ่มต้นเตรียมแผนการสังหาร ถึงขนาดที่เตรียมกระทำการต่างๆ โดยไม่เสียดายแก้วผลึกจักรวาล ซื้อหายาพิษและถึงกับเชื้อเชิญมือสังหารใน ‘ทะเลสาบมารทมิฬ’ ให้ช่วยเหลือ… สิ่งที่เขาจัดเตรียมนั้นเต็มที่มากขึ้นเรื่อยๆ แม้กระทั่งแผนสังหารก็เตรียมไว้มากมายหลายแผนการ แต่ที่ทำให้เขาหูอื้อตาลายก็คือ…
คุณชายน้อยเสวี่ยอิงแห่งจวนท่านโหวหั่วเลี่ยผู้นั้น นับตั้งแต่ซื้ออาวุธลับล้ำค่าหอกยาวอันนั้นมา หลังจากที่กลับมาถึงยังจวนโหวก็มิได้ออกมาอีกเลย!
“ข้าไม่อยากจะเชื่อเลย!”
“เด็กน้อยที่เพิ่งเกิดมาได้ไม่นานสักเท่าใดเลยอย่างเขาคนหนึ่ง จิตใจยังไม่แน่วแน่เลย เหตุใดจึงสามารถสงบจิตใจฝึกฝนได้เล่า จะต้องออกมาอีกเป็นแน่” กานก้านเสวียตั้งหน้าตั้งตารอคอย
สิบปี ร้อยปี พันปี หมื่นปี แสนปี…
กานก้านเสวียงงงันไปเสียแล้ว
‘เจ้านาย’ ผู้บงการเบื้องหลังเขาก็ตกตะลึงเช่นเดียวกัน เพราะสำหรับพวกเขาแล้วต่อให้เกิดมามีสายโลหิตที่สูงศักดิ์ยิ่งกว่านี้ แต่จิตใจก็ยังจำเป็นต้องผ่านการขัดเกลาอย่างมากมายจึงจะค่อยๆ ทวีความไม่ธรรมดาขึ้นมาได้ จึงจะสามารถสงบจิตใจปลีกวิเวกนานหลายแสนหลายล้านปีได้ จะไปมีเด็กน้อยผู้เยาว์วัยเช่นนี้ที่บำเพ็ญเป็นเวลาเนิ่นนานเช่นนั้นได้อย่างไรกันเล่า
“เจ้านาย เขา เขาไม่ออกมา ทำเช่นไรดีเล่าขอรับ” กานก้านเสวียรายงานเจ้านายอย่างตื่นตระหนกไม่เป็นสุข
“รอสิ! หรือว่าความอดทนของเจ้ายังสู้เด็กคนหนึ่งมิได้เลยหรือไร”
“ขอรับ”
กานก้านเสวียก็ทอดถอนใจ
เจ้านายก็นับได้ว่าเฉลียวฉลาด มิได้บีบบังคับให้เขาเข้าไปทำการสังหารภายในจวนโหว ถึงอย่างไรค่ายกลภายในจวนโหวก็มีการคุ้มกันอารักขาอย่างแน่นหนา ต่อให้เป็นเจ้านายของตนอยากจะเข้าไปไล่สังหารก็เกรงว่าอาจจะพ่ายแพ้อยู่ดี
******
ท่านโหวหั่วเลี่ยและหรงซิงหลันผู้เป็นมารดาต่างก็เคยให้คำแนะนำกับตงป๋อเสวี่ยอิงว่าจิตบำเพ็ญนั้นมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ไม่จำเป็นต้องทุ่มเทกับการบำเพ็ญสุดตัวตลอดเวลา ตงป๋อเสวี่ยอิงก็รับปากไปอย่างนั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับ ‘บำเพ็ญอย่างบ้าคลั่ง’ เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ปลีกวิเวกครั้งหนึ่งก็ยาวนานหลายแสนหลายล้านปี เพิ่งออกมาได้เพียงไม่กี่วันก็กลับเข้าไปปลีกวิเวกบำเพ็ญแล้ว
ไม่มีวิธีอื่น
ถึงอย่างไรตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิใช่เด็กน้อยวัยเยาว์คนหนึ่ง เขาเป็นวิญญาณแท้ที่กลับชาติมาเกิด ระดับจิตใจไปถึงขั้น ‘จิตข้าคือจิตฟ้า’ อีกทั้งยังเป็นยอดฝีมือผู้คิดค้นเคล็ดวิชาระดับชั้นที่เก้าขั้นสุดยอดสองศาสตร์ในระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ที่ยากเข็ญที่สุดอีกด้วย! ด้วยนิสัยของเขา การปลีกวิเวกครั้งหนึ่งหมื่นล้านปีก็เป็นเรื่องที่ทำได้สบายๆ กับการขัดเกลาจิตใจน่ะหรือ
หรือว่าจะต้องผ่านความผูกพันรักใคร่เกลียดชัง ความทุกข์โศกและการแยกจาก มาขัดเกลาจิตใจที่ว่ากันอีกครั้งอย่างนั้นหรือ
ตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้มีอารมณ์ผ่อนคลายเช่นนั้นเลยจริงๆ! ในบรรดาผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วน ก็มีบางคนที่บำเพ็ญอย่างบ้าคลั่งอยู่ เขาก็ได้แต่ทำเป็นบำเพ็ญอย่างบ้าคลั่งเท่านั้น
เพียงพริบตาก็ผ่านไปอีกห้าล้านปีให้หลังแล้ว
ณ จวนท่านโหวหั่วเลี่ย ภายในที่พำนักของคุณชายเสวี่ยอิง
“เอี๊ยด…”
ประตูเจดีย์เทพอากาศเปิดออก
หนุ่มน้อยผู้หล่อเหลาในอาภรณ์ขาวผู้หนึ่งเดินออกมาจากประตูนั้น หิมะโปรยปรายลงมาจากฟ้าสู่ดิน แต่ยามที่หนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวผู้นี้เดินออกมา กระแสหิมะกลับเลี่ยงอยู่ห่างจากผิวกายเขาหนึ่งศอก มิอาจเข้าใกล้ร่างกายเขาได้
“คุณชาย”
“คุณชาย”
ข้ารับใช้และองครักษ์ที่อารักขาอยู่ด้านนอกเหล่านั้นต่างก็เอ่ยเรียกอย่างเคารพ ทั่วทั้งจวนคึกคักขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เถียนอี้จือกับสิงห์เมฆาทะมึนสองตนนั้น และองครักษ์ติดตามเก้าคนต่างก็เข้ามา ตอนที่พวกเขาเข้ามา ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับไปถึงริมทะเลสาบที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลแห่งหนึ่งเรียบร้อยแล้ว
ที่ริมทะเลสาบมีศาลาอยู่หลังหนึ่ง
ภายในศาลาวางเบาะรองนั่งเอาไว้อันหนึ่ง ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิลงบนเบาะรองนั่งนั้น สาวใช้เหยียนอวี๋ที่อยู่ด้านข้างนำสุรามาวางบนโต๊ะอย่างนอบน้อม ทั้งยังคอยช่วยอุ่นกาสุราให้ เหยียนอวี๋มองดูคุณชายบ้านตนอย่างประหลาดใจ “คุณชายถือกำเนิดมาอย่างไม่ธรรมดา ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยเห็นเขาชมชอบอิสตรีนางใดเลย ทั้งยังไม่เคยไปเสพสุขที่หอม่านเมฆเลยด้วย เก็บตัวอย่างสงบ ดูเหมือนว่าจะบำเพ็ญอย่างเดียวมาโดยตลอด”
“มิน่าเล่า มิน่าเล่าจึงได้มีผู้บำเพ็ญบางคนแกร่งกล้าล้ำเลิศ ข้าเกิดมาห่างชั้นกับคุณชายมากมายนัก แต่กลับยังเสพสุขหาความสำราญต่างๆ นานา ทว่าคุณชายกลับขยันขันแข็งเช่นนี้” เหยียนอวี๋ลอบเอ่ยขึ้น
“เฮ้อ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงโบกมือซ้ายคราหนึ่ง หอกยาวเล่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในอุ้งมือ เขาวางมันลงบนตัก เป็นถึงอาวุธลับล้ำค่า ลำพังแค่กลิ่นอายอันโหดเหี้ยมที่แฝงอยู่ในหัวหอกก็ทำให้สาวใช้เหยียนอวี๋ที่อยู่ด้านข้างรู้สึกได้ว่าหัวใจแทบหยุดเต้นแล้ว
พรึ่บ!
ระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างขุมหนึ่งที่แผ่กระจายออกไปจากหอกเล่มนี้ราวกับทะเลสาบอันสงบนิ่ง พอโยนหินก้อนหนึ่งลงไปแล้วก็ทำให้เกิดระลอกคลื่นจำนวนนับไม่ถ้วนขึ้นมา
ระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างที่แผ่ออกไปจากหอกนี้ประณีตละเอียดเป็นอย่างยิ่ง แผ่กระจายออกไปยังห้วงอากาศโดยรอบอย่างง่ายดาย เถียนอี้จือ สิงห์เมฆาทะมึน และเหล่าองครักษ์ติดตามที่อยู่ไกลออกไปต่างก็กำลังเดินทางมา เถียนอี้จือนั้นเป็นยอดฝีมือผู้มีพลังยุทธ์ระดับชั้นที่ห้าของวังปฐมเทพ ทั้งยังสามารถเคลื่อนที่ในพริบตาได้อีกด้วย! ด้วยความเฉียบแหลมในการรับสัมผัสอากาศของเขากลับยังมิอาจค้นพบได้เลยว่าห้วงอากาศที่อยู่รอบๆ กำลังถูกควบคุมอยู่
ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น ก็คล้ายกับแมงมุมที่กำลังชักใยแมงมุม ห้วงอากาศโดยรอบถูกควบคุมจนหมดสิ้น ถึงขนาดที่ห้วงอากาศแต่ละบริเวณต่างก็เริ่มที่จะบิดเบี้ยวเปลี่ยนแปร
บิดเบี้ยวเปลี่ยนแปร ต่างก็เล็กน้อยเป็นอย่างยิ่ง
แม้จะอยู่ใกล้ๆ ตรงหน้าก็ยังยากที่จะค้นพบได้ นอกเสียจากสัมผัสถูกร่างกายจึงจะสามารถสัมผัสได้ถึงความพิเศษนี้
“ซ่าๆๆ”
หยาดฝนจำนวนนับไม่ถ้วนโปรยปรายลงมา
ห้วงมิติขนาดเล็กที่บิดเบี้ยวแต่ละแห่งเคลื่อนย้ายหยาดฝนจากตำแหน่งนี้ไปยังบริเวณที่อยู่ไกลออกไปหลายลี้ หยาดฝนจำนวนนับไม่ถ้วนเคลื่อนย้ายไปเพราะการบิดเบี้ยวของห้วงอากาศ ทว่าแม้หยาดฝนจำนวนนับไม่ถ้วนจะเคลื่อนย้ายไปแต่กลับไร้ซึ่งรอยต่อ ราวกับหยาดฝนที่มีอยู่ทั้งหมดมิได้ถูกเคลื่อนย้ายเลยอย่างไรอย่างนั้น ฝนยังคงตกลงมาอย่างต่อเนื่องอยู่ตลอดเวลา
“คุณชาย” เถียนอี้จือ สิงห์เมฆาทะมึนสองตน และองครักษ์ติดตามเก้าคนมาถึงยังด้านข้างศาลา เพราะว่าการควบคุมอากาศของตงป๋อเสวี่ยอิงหลีกเลี่ยงตัวพวกเขา เห็นอยู่ชัดๆ ว่าการควบคุมอยู่ใกล้ๆ ห่างออกไปเพียงแค่ไม่กี่จั้ง แต่พวกเถียนอี้จือกลับมิอาจสังเกตได้เลยแม้แต่น้อย
การควบคุมอันประณีตเช่นนี้ ถ้าหากขั้นอลวนค้นพบเข้าก็ยังต้องพรั่นพรึงจนปากอ้าตาค้าง
ตงป๋อเสวี่ยอิงหยิบจอกสุราขึ้นดื่มสุราอยู่ที่นั่น
ยังคงควบคุมการบิดเบี้ยวของห้วงอากาศจำนวนนับไม่ถ้วนอย่างประณีตเช่นเดิม ยิ่งควบคุมไปเขาก็ยิ่งพึงพอใจ “หอกยาวที่ข้าซื้อมาเล่มนี้ ช่างซื้อมาได้อย่างคุ้มค่าจริงๆ เลยเชียว”
ห้าล้านปีนี้…
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ทุ่มเทจิตใจให้กับการฝึกฝน เพราะว่าวิถีอากาศของโลกกำเนิดทั้งสองแห่งมีความคล้ายคลึงกันเป็นอย่างยิ่ง และหากพูดถึงระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ ก่อนหน้านี้ไม่นาน วิถีอากาศของเขาก็ไปถึงขั้นอลวนแล้ว! ส่วนสายโลหิตนั้นได้บรรลุไปถึงขั้นอลวนก่อนนานแล้ว เพียงแต่ว่าการบรรลุเช่นนี้รวดเร็วเกินไปจริงๆ ต่อให้มีพรสวรรค์ยิ่งกว่านี้ก็ต้องจัดอยู่ใน ‘กลุ่มปกติ’ ของบรรดาผู้มีพรสวรรค์
ถึงแม้ว่าภายนอกจะยังคงเอาไว้ที่ขั้นรวมเป็นหนึ่ง แต่กับการสำรวจหยั่งรู้ห้วงอากาศนั้นกลับมิได้หยุดยั้ง ยิ่งยกระดับไปยังระดับขั้นที่สูงขึ้น เขาก็เริ่มจมดิ่งกับหอกยาวเล่มนี้เสียแล้ว
สำรวจส่วนด้ามของหอกยาวก็คล้ายกับบันไดเวียนดำมืดอันบิดเบี้ยว แต่ละชั้นลึกเข้าไปอย่างต่อเนื่อง บันไดทุกชั้นล้วนเชื่อมโยงกับห้วงอากาศที่แตกต่างกัน ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับทำตรงกันข้าม… ถ้าหากตัวตนมีบันไดเวียนนี้เป็นหลัก ก็จะส่งผลกระทบต่อห้วงมิติอันปั่นป่วนจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่รอบๆ
นอกจากนี้ เดิมทีหอกเล่มนี้ก็แฝงไว้ด้วยเคล็ดวิชาลับเช่นนี้อยู่แล้ว
ถึงแม้ว่าหัวหอกจะหายไป ทำให้ความลึกลับที่แฝงอยู่ในอาวุธลับนี้หายไปบ้าง แต่ก็เพียงพอสำหรับตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว
ด้วยพื้นฐานอันแน่นหนาของเขา เคล็ดวิชาการควบคุมเขตพลังที่ตระหนักรู้จากสิ่งเหล่านั้น เมื่อตระหนักรู้ ก็มีสิทธิ์นับได้ว่าเป็น ‘เคล็ดวิชาระดับชั้นที่เจ็ดของวังปฐมเทพ’ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือถ้าหากอาศัยหอกทำการสำแดง ถึงแม้ว่าตอนนี้เขายังมิได้ตระหนักรู้อะไรอีกมากมาย การสำแดงขึ้นมาเปล่าๆ ก็ย่อมกินแรงอย่างมากเป็นธรรมดา แต่พลังคุกคามกลับพุ่งสูง เพียงพอที่จะนับได้ว่าเป็น ‘เคล็ดวิชาระดับชั้นที่แปดของวังปฐมเทพ’
เคล็ดวิชาเขตพลังระดับชั้นที่แปด
“สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเคล็ดวิชาที่แฝงอยู่ในหอกเล่มนี้เดิมทีก็เป็นระดับเทพจักรวาลอยู่แล้ว ตอนนี้ข้ามองทะลุผ่านได้เพียงแค่เสี้ยวเล็กๆ เท่านั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าเคล็ดห้วงอากาศที่แฝงอยู่ในหอกเล่มนี้เป็นทิศทางที่แตกต่างกันกับวิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่า
“เสียดายที่ขาดหัวหอกไป พอข้าหยั่งรู้แล้วช่างกินแรงเป็นอย่างยิ่ง” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบรำพึง
ภายในเจดีย์เทพอากาศ เขาสามารถสำแดงด้านที่โหดร้ายของเขตพลังนี้ได้ตามอำเภอใจ
ทว่าในยามนี้ ภายใต้ชายคาของศาลาริมฝั่งทะเลสาบ เขากลับสำแดงด้านที่ประณีตที่สุดของเขตพลังนี้ออกมา ทำให้สามารถแแทรกซึมไปทั่วทุกหนแห่งได้อย่างเงียบงันไร้สุ้มเสียง
“ดินแดนจิตโลกามีพื้นฐานอันแกร่งกล้ากว่าอากาศอันสับสนอลหม่านมากมายเหลือเกินจริงๆ ทางฝั่งนั้น วิถีอากาศของจักรพรรดิเก้าเมฆาและบรรพชนห้วงอากาศกับสายของประมุขหอหมื่นโลกาอันลึกลับก็นับได้ว่าร้ายกาจแล้ว แต่ที่ดินแดนจิตโลกา ข้าอยู่ที่สถานที่เล็กๆ อย่างรัฐเมฆทักษิณานี่ก็ได้สัมผัสถึงเคล็ดวิชาที่ยอดฝีมือผู้น่าหวั่นเกรงทิ้งเอาไว้ถึงสองศาสตร์แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบรำพึง
หนึ่งก็คือศาสตร์ที่ประมุขรัฐเมฆทักษิณาคิดค้นขึ้น ส่วนอีกศาสตร์หนึ่งก็คือยอดฝีมือวิถีอากาศที่คิดค้นต้นฉบับหอกยาวนี้ออกมา
“เก็บ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวใจสั่นไหว
เขตพลังถูกเก็บกลับมาจนหมดสิ้นในทันใด หยาดฝนยังคงโปรยปรายอยู่เช่นเดิม เหมือนกันกับก่อนหน้านี้ทุกประการ เถียนอี้จือ สาวใช้เหยียนอวี๋ และเหล่าองครักษ์แต่ละคนที่อยู่ด้านข้างต่างก็มิได้สังเกตพบเลยแม้แต่น้อย
ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่กังวลเลยสักนิดว่าจะถูกค้นพบ ต่อให้เป็นท่านโหวหั่วเลี่ยก็เกรงว่ายังต้องอาศัยเขตพลังกฎเกณฑ์ของตนจึงจะสามารถสังเกตพบได้ มิฉะนั้นการรับสัมผัสจากระยะไกล ด้วยระดับความเฉียบแหลมทางด้านห้วงอากาศของท่านโหวหั่วเลี่ย ต่อให้รับสัมผัสอย่างไรก็ไม่สามารถค้นพบได้ ถึงอย่างไรหากจะวัดกันอย่างจริงจัง ในขณะนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีเป็นยอดฝีมือที่ไม่ด้อยไปกว่าท่านโหวหั่วเลี่ยเลย
คนทั้งสองนี้ใครแข็งแกร่ง ใครอ่อนแอ ต้องประมือกันเท่านั้นจึงจะล่วงรู้ได้
ตอนที่ 20 เยือนหอม่านเมฆเป็นครั้งแรก
Ink Stone_Fantasy
“ห้าล้านปีแล้ว ตอนนี้ข้าสามารถเปิดเผยสู่สาธารณะได้แล้วว่าไปถึงพลังยุทธ์ระดับชั้นที่ห้าของวังปฐมเทพแล้ว อาศัยสิ่งนี้ก็สามารถไปยังเมืองหลวงของรัฐเมฆทักษิณา ไปรับวิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่าฉบับสมบูรณ์ได้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ
เขายังมีความมุ่งมาดเป็นอย่างยิ่งกับฉบับสมบูรณ์ของการที่ขั้นรวมเป็นหนึ่งสามารถสำแดงพลังยุทธ์ระดับชั้นที่แปด ขั้นอลวนสามารถสำแดงพลังยุทธ์ระดับชั้นที่สิบได้
เพราะสำหรับผู้อื่นแล้วการได้มานั้นก็เป็นการสิ้นเปลืองเปล่าๆ ถึงอย่างไรขั้นอลวนชั้นที่เก้าโดยทั่วไปต่างก็ไปไม่ค่อยถึงกันสักเท่าใดนัก
แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นไม่เหมือนกัน เขาจะต้องได้ศาสตร์ลับที่ขั้นอลวนสำแดงชั้นที่สิบนั้นมาให้จงได้! ศาสตร์ลับพรรค์นี้นั้นเขาก็ต้องยอมรับว่าตนเองไม่สามารถคิดค้นออกมาได้ตอนที่เป็นขั้นอลวน อันที่จริงแล้วศาสตร์ลับที่ขั้นอลวนสำแดงพลังยุทธ์ชั้นที่สิบออกมานั้น เหล่าเทพจักรวาลส่วนใหญ่ต่างก็คิดค้นออกมามิได้กันทั้งสิ้น ผู้ที่สามารถคิดค้นออกมาได้นั้นมีอยู่น้อยนิดเหลือเกินในดินแดนจิตโลกา
“ลูกพ่อ” เสียงตะโกนอย่างกระตือรือร้นเสียงหนึ่งดังขึ้น
ตงป๋อเสวี่ยอิงหันหน้าไปมอง อิงซานเลี่ยฮู่และหรงซิงหลันสองสามีภรรยากำลังเข้ามาพร้อมกัน อิงซานเลี่ยฮู่กำลังตะโกนอย่างกระตือรือร้น
ถึงแม้ว่าในตอนแรกจะมิได้มีความรู้สึกอันดีต่อบิดาผู้นี้เลย แต่เขาก็นับถืออิงซานเลี่ยฮู่ผู้นี้ ห้าล้านปีมานี้อิงซานเลี่ยฮู่ก็เอาอกเอาใจหรงซิงหลันมาโดยตลอด เอาใจเสียจนหรงซิงหลันเบิกบานใจเป็นอย่างยิ่ง ต่อให้จงใจแสร้งทำ แต่สามารถเอาอกเอาใจมาได้ถึงห้าล้านปี… ก็สามารถคิดว่าเป็นความจริงได้แล้ว อย่างน้อยความรู้สึกที่หรงซิงหลันมีต่อสามีของตนเองก็ล้ำลึกขึ้นเป็นอย่างมากแล้วจริงๆ
“ท่านพ่อ ท่านแม่” ตงป๋อเสวี่ยอิงลุกขึ้นยืน
ลูกข้าบำเพ็ญอย่างยากลำบากเหลือเกิน พ่อเห็นแล้วช่างเจ็บปวดใจนัก” อิงซานเลี่ยฮู่เอ่ยอย่างอ่อนไหว วาจานี้ของเขามาจากน้ำใสใจจริง ตอนนี้ข้างนอก ผู้ใดไม่ยกย่องเขาอิงซานเลี่ยฮู่ผู้นี้เป็นอย่างยิ่งบ้างเล่า เพราะเหตุใดน่ะหรือ ก็มิใช่เพราะมีบุตรชายที่ล้ำเลิศหาใดเปรียบอยู่คนหนึ่งหรืออย่างไรเล่า
บุตรชายที่จะต้องได้เป็นโหวขั้นอลวนอย่างแน่นอน! อิงซานเลี่ยฮู่เองก็ทระนงในตัวบุตรชายของตนเองเป็นอย่างยิ่ง
คิดๆ ดูแล้วตัวเองเอาแต่เสพสุข แล้วมองดูบุตรชายปลีกวิเวกบำเพ็ญอยู่ตลอดแล้วอิงซานเลี่ยฮู่ก็เจ็บปวดใจอย่างแท้จริง บุตรชายก็ช่างสุดโต่งเหลือเกินจริงๆ
“เสวี่ยอิง ที่ท่านพ่อของเจ้าพูดก็ถูกนะ เจ้าควรจะออกไปเดินเล่นข้างนอกให้มากหน่อย อย่าเอาแต่บำเพ็ญอย่างเดียวสิ” หรงซิงหลันก็พูดขึ้นเช่นนั้น นางเป็นห่วงบุตรชายอย่างแท้จริง
ห้าล้านปีแล้ว
บุตรชายของตนก็ไม่เคยชอบพอสตรีนางใดเลยแม้แต่คนเดียว!
นี่ไม่ปกติเป็นอย่างยิ่ง! ชมชอบบุรุษหรืออย่างไร ก็มิใช่เสียหน่อย!
“ดีๆๆ ออกไปเดินเล่นสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน ข้าจะออกไปเดินเล่นอย่างแน่นอน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด เขาจะออกไปเดินเล่นจริงๆ นอกจากนี้จะยังไปยังนครที่ใหญ่ที่สุดของรัฐเมฆทักษิณาที่อยู่ห่างไกลออกไปอีกด้วย…เมืองหลวง! จะไปศีกษาวิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่าฉบับสมบูรณ์ที่นั่น
“เจ้าอย่ามาหลอกข้าเลย ก่อนหน้านี้ก็รับปากอย่างเดียว พอหันหน้าไปเจ้าก็กลับไปบำเพ็ญอีกแล้ว” หรงซิงหลันพูด “เลี่ยฮู่ ท่านนำทางเสวี่ยอิงที พาเขาออกไปเดินเล่นสักหน่อยสิ”
“ได้สิ” อิงซานเลี่ยฮู่พยักหน้า
ตั้งแต่บุตรชายได้เป็นขั้นรวมเป็นหนึ่ง ชื่อเสียงก็ขจรขจายไปทั่วทั้งรัฐเมฆทักษิณาแล้ว ตระกูลอ๋องโหวจำนวนมากมายของรัฐเมฆทักษิณาต่างก็รู้ว่าตระกูลอิงซานมีเด็กน้อยที่ร้ายกาจเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่ง ทว่าตั้งแต่ได้เป็นขั้นรวมเป็นหนึ่ง ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับไม่เคยออกไปพ้นจวนโหวอีกเลย ถ้าหากพาบุตรชายออกไปจากจวนจะต้องเป็นจุดสนใจอย่างแน่นอน
อิงซานเลี่ยฮู่นั้นชมชอบการเป็นจุดสนใจเป็นอย่างยิ่งเลยทีเดียว
……
เพียงไม่นาน อิงซานเลี่ยฮู่ก็ลากตัวตงป๋อเสวี่ยอิงออกมาจากจวนโหว ทั้งยังนั่งรถม้าที่หรูหราเป็นอย่างยิ่งของอิงซานเลี่ยฮู่อีกด้วย รถม้าของตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นเรียบง่ายกว่าเป็นอย่างมาก อิงซานเลี่ยฮู่นี้มีความโดดเด่นระยับจับตาเป็นอย่างยิ่ง ทำให้ผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนบนท้องถนนต่างก็ไม่กล้ามองตรงๆ สัตว์มังกรก็ยังมีถึงแปดหัวอีกด้วย
“ท่านพ่อ ท่านถึงกลับเปลี่ยนรถม้านี่เชียวหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งลงบนรถม้า โดยมีอิงซานเลี่ยฮู่นั่งอยู่ข้างๆ
รถม้ากว้างใหญ่เป็นอย่างยิ่ง นั่งกันสองคนก็ยังเหลือที่อยู่อีกมาก เถียนอี้จือ องครักษ์ติดตามเก้าคน สิงห์เมฆาทะมึนสองตน และสาวใช้เหยียนอวี๋ก็อยู่บนรถม้ากับสาวใช้และเหล่าองครักษ์ของอิงซานเลี่ยฮู่ด้วยเช่นกัน
“ฮ่าฮ่า อิงซานเสวี่ยอิงลูกพ่อเป็นผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือ ข้าจะนั่งรถม้าธรรมดาๆ ได้อย่างไรกันเล่า” อิงซานเลี่ยฮู่ขยิบตาให้ตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างลำพองใจ “ซื้อรถม้าคันนี้มา ข้าก็เป็นหนี้แก้วผลึกจักรวาลไม่น้อยเลยทีเดียวนะ แต่ช้าๆ ก็ได้ ไม่รีบร้อน แน่นอนว่าถ้าหากลูกพ่อจะช่วยชดใช้ เช่นนั้นก็คงจะดีไม่น้อยเลย”
ตงป๋อเสวี่ยอิงลูบสิงห์เมฆาทะมึนที่นอนหมอบอยู่ข้างๆ โดยไม่มองบิดาของตนเองอีกเลย
อิงซานเลี่ยฮู่เห็นแล้วก็มิได้ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย เขาพูดพลางหัวเราะฮ่าๆ “ไปๆ ออกเดินทางกันเถิด ไปยังหอม่านเมฆ”
โฮก…
สัตว์มังกรแปดตนส่งเสียงคำราม รถม้าอันหรูหราเคลื่อนผ่านท้องฟ้า มุ่งหน้าไปยังหอม่านเมฆ
“ไปหอม่านเมฆหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึง เถียนอี้จือ สาวใช้เหยียนอวี๋ แม้กระทั่งเหล่าองครักษ์และข้ารับใช้คนอื่นๆ ที่อยู่ข้างๆ ต่างก็อดที่จะมองไปทางอิงซานเลี่ยฮู่มิได้
พาบุตรชายไปเยือนหอม่านเมฆอย่างนั้นหรือ
“ต้องไปชมดูสักหน่อย” อิงซานเลี่ยฮู่พูด “ลูกพ่อคงยังไม่เคยไปกระมัง นั่นก็คือสถานที่หาความสำราญที่ใหญ่ที่สุดในเมืองอัคคีโชติ ลูกพ่อก็บำเพ็ญมาถึงห้าล้านปี ก็ควรจะไปดูอะไรๆ สักหน่อย”
ตงป๋อเสวี่ยอิงแย้มยิ้มโดยมิได้พูดอะไรมาก
พรึ่บ…
“คุณชายเสวี่ยอิงหรือ”
“สิงห์เมฆาทะมึน เช่นนั้นข้างบนนั่นก็คือคุณชายเสวี่ยอิงอย่างนั้นหรือ”
“อิงซานเลี่ยฮู่ผู้โชคดีคนนั้นพาคุณชายเสวี่ยอิงมาอย่างนั้นหรือ”
ทุกหนแห่งที่ผ่านไปล้วนเต็มไปด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์
ผู้ที่รู้เห็นมามากบางคนยังสามารถชี้ตัวอิงซานเสวี่ยอิงได้อีกด้วย
เมื่อได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์ อิงซานเลี่ยฮู่ที่นั่งอยู่บนรถม้ากลับยิ้มอย่างเบิกบานใจมากยิ่งขึ้น เป็นจุดสนใจ ช่างเป็นจุดสนใจโดยแท้
……
เพียงไม่นานก็มาถึงหอม่านเมฆ
“ใต้เท้าเลี่ยฮู่” เหล่าผู้ดูแลของหอม่านเมฆมาต้อนรับอย่างคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง แต่เมื่อได้เห็นหนุ่มน้อยผู้หล่อเหลาในอาภรณ์ขาวที่นั่งอยู่ข้างอิงซานเลี่ยฮู่บนรถม้าที่ร่อนลงมาจอดแล้ว
หนุ่มน้อยผู้หล่อเหลานั่นละมุนละไมดุจหยก เพียงแค่พวกเขาได้เห็นก็อดที่จะหัวใจสั่นสะท้านมิได้
“คุณชายเสวี่ยอิงหรือ” พวกเขาล้วนตะลึงงันไปเสียแล้ว
คุณชายเสวี่ยอิงมาแล้ว”
“เร็วเข้าๆ คุณชายเสวี่ยอิงมาแล้ว”
ข่าวแพร่สะพัดไปทั่วหอม่านเมฆอย่างรวดเร็วจนเต็มไปด้วยความโกลาหล นี่คือเรื่องใหญ่โตอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่าหอม่านเมฆจะไม่ธรรมดา แต่ตอนนี้ ‘คุณชายเสวี่ยอิง’ มีสถานะเช่นไร นั่นคือผู้ที่ถูกกำหนดให้เป็นโหวขั้นอลวนเฟิงเลยทีเดียว เป็นผู้ที่มีสถานะจัดเป็นสามลำดับแรกในเมืองอัคคีโชติ! ประมุขตำหนักทิพย์เมฆทักษิณา ‘ฉุนอวี้เว่ยอี’ ก็ยังมิกล้าละเลย ถึงอย่างไรฉุนอวี้เว่ยอีก็เป็นเพียงแค่ตระกูลผู้อาศัยเท่านั้น ตัวตนก็ยังคงเป็นเพียงขั้นรวมเป็นหนึ่งอยู่ดี ผู้ใดจะกล้าละเลยผู้ที่ถูกหมายมั่นให้เป็นโหวกันเล่า
“ตั้งตารอมาเป็นพันปีหมื่นปี มองจนตาล้าไปหมดแล้ว ในที่สุดก็ได้เห็นคุณชายเสวี่ยอิงเสียที”
ประมุขหอฉุนอวี้เฟิงผู้อ้วนพีราวกับลมหอบหนึ่งพัดมา มีความกระตือรือร้นเป็นอย่างยิ่ง
“ฉุนอวี้เฟิง วันนี้ลูกชายข้ามาถึงนี่ ค่าใช้จ่ายที่นี่เจ้าก็ต้องเป็นผู้จัดการแล้วล่ะนะ” อิงซานเลี่ยฮู่เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ
“วางใจเถิด วางใจเถิด ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าเอง” ฉุนอวี้เฟิงหัวเราะจนใบหน้าชราและเนื้อหนังอันอ้วนพีสั่นระริก
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็หัวเราะเพื่อเป็นการหลบเลี่ยงการสนทนาอย่างง่ายๆ
คนทั้งกลุ่มถูกประมุขหอฉุนอวี้เฟิงส่งเข้าไปภายในโถงตำหนักอันใหญ่โตแห่งหนึ่งด้วยตนเอง ภายในโถงตำหนักนี้อยู่ภายใต้การจัดการของฉุนอวี้เฟิง ผู้มีเสน่ห์เปี่ยมพรสวรรค์คนแล้วคนเล่าต่างก็เป็นสตรีงดงามอย่างที่สุดผู้ไม่เคยผ่านมือบุรุษมาก่อนต่างก็เริ่มต้นขึ้นมาร้องรำทำเพลงบนเวที
“มากับข้า ข้าไม่มีทางทำให้เจ้าผิดหวังอย่างแน่นอน เอ้า รับไปก่อนสิ”
ภายในโถงตำหนักอันใหญ่โตแห่งนั้น รอบด้านสี่ทิศมีสมาชิกตระกูลอ๋องโหวจำนวนมากอยู่ก่อนแล้ว สมาชิกตระกูลอ๋องโหวผู้หนึ่งกำลังโยนถุงแก้วผลึกจักรวาลถุงหนึ่งให้กับสตรีในชุดเกราะนักรบตรงหน้า สตรีผู้เย็นชาผู้นั้นรับเอาถุงแก้วผลึกจักรวาลถุงนั้นมา ในใจมีความตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง ในที่สุดตนก็เข้าไปเป็นคนเฝ้าประดูของสมาชิกตระกูลอ๋องโหวคนหนึ่งได้สำเร็จ วันเวลาในภายหน้าก็คงจะผ่านพ้นไปด้วยดีแล้ว การบำเพ็ญของบุตรชายบุตรสาวตนก็จะมีทรัพยากรแล้ว
“ยินดีกับคุณชายด้วย ที่ได้รับคนเฝ้าประตูหญิงผู้ร้ายกาจมาอีกคนหนึ่งแล้วนะเจ้าคะ” เหล่าหญิงงามที่อยู่ด้านข้างเอ่ยเยินยอ
“ฮ่าฮ่า…” สมาชิกตระกูลอ๋องโหวผู้นี้หัวเราะฮ่าฮ่า ทันใดนั้นเขาก็มองไปยังที่ไกลๆ อย่างตื่นตะลึง
ประตูทางเข้าโถงตำหนักที่อยู่ไกลออกไป ประมุขหอฉุนอวี้เฟิงนำทางอย่างกระตือรือร้นหาใดเปรียบ อิงซานเลี่ยฮู่ที่ดูไม่แยแสสิ่งใด ด้านหลังของอิงซานเลี่ยฮู่ก็คือหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวผู้หล่อเหลาคนหนึ่ง ข้างกายหนุ่มน้อยยังมีสิงห์เมฆาทะมึนอยู่สองตน และชายชราอาภรณ์สีเทาท่าทางเย็นชาที่คอยติดตามอยู่ข้างกาย
“คุณชายเสวี่ยอิงหรือ”
สมาชิกตระกูลอ๋องโหวผู้นี้ตกใจจนสะดุ้งตัวลอย ท่านั่งก็สำรวมขึ้นพอสมควร
“ระวังกันหน่อย อย่าได้ไปล่วงเกินหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวผู้นั้นเข้าล่ะ” สมาชิกตระกูลอ๋องโหวผู้นี้ออกคำสั่งกับเหล่าผู้ติดตามและองครักษ์ที่อยู่รอบๆ ถ้าหากข้ารับใช้ของตนก่อปัญหาเข้า ตนก็จะพลอยติดร่างแหไปด้วย
“เจ้านาย เขาคือใครหรือเจ้าคะ” สาวใช้ที่เป็นที่โปรดปรานคนหนึ่งเอ่ยถามเสียงต่ำ
คนเฝ้าประตูหญิงก็ประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะนางเองก็ค้นพบว่าบรรดาสมาชิกตระกูลอ๋องโหวภายในโถงตำหนักทั้งหลายที่ในอดีตต่างก็หยิ่งยโสกันเป็นอย่างยิ่งต่างพากันสำรวมท่าทีกันเป็นอย่างมาก
“นั่นคือคุณชายเสวี่ยอิง เคยได้ยินมาก่อนหรือไม่ เขากับพวกเรานั้นไม่เหมือนกัน พวกเราสมาชิกตระกูลอ๋องโหวเหล่านี้ก็เพียงแค่ใช้ชีวิตไปวันๆ แต่เขานั้นคือผู้ที่จะครองตำแหน่งโหว”
“คุณชายเสวี่ยอิงหรือ”
สาวใช้และผู้ติดตามรวมทั้งคนเฝ้าประตูหญิงเข้าใจในทันที หนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวผู้หล่อเหลาผู้นั้นก็คือคุณชายเสวี่ยอิงที่เล่าลือกันในเมืองอัคคีโชติ
ภายใต้การรุมล้อมต้อนรับอย่างกระตือรือร้นของฉุนอวี้เฟิงรวมทั้งสมาชิกตระกูลอ๋องโหวที่มีสถานะอันสูงส่งอย่างที่สุดกลุ่มหนึ่ง ในที่สุดตงป๋อเสวี่ยอิงและบิดาก็นั่งชมการร้องรำทำเพลงอยู่ตรงที่นั่งตำแหน่งประธานในโถงตำหนัก
……
ภายในที่พำนักแห่งหนึ่งในหอม่านเมฆอันมีพื้นที่กว้างใหญ่
กานก้านเสวียผู้มีร่างกายอวบอ้วนพักอาศัยอยู่ที่นี่มาโดยตลอด ภารกิจที่สำคัญที่สุดของเขาในตอนนี้ก็คือการสังหารคุณชายเสวี่ยอิงผู้นั้น หากคุณชายเสวี่ยอิงไม่ออกมา เขาก็ได้แต่รอคอยเท่านั้น รอคอยมาห้าล้านปี จนเขาเริ่มที่จะปลงเสียแล้ว ที่แท้แล้วอีกนานเท่าใดกันคุณชายเสวี่ยอิงผู้นี้จึงจะออกมาเสียที หรือว่าจะรู้จักแต่การบำเพ็ญเท่านั้นหรืออย่างไรกัน
“ใต้เท้า ตอนนี้คุณชายเสวี่ยอิงอยู่ที่หอม่านเมฆขอรับ!”
ทันใดนั้นลูกน้องคนหนึ่งก็มารายงาน
“อะไรนะ”
กานก้านเสวียตื่นตกใจ
ออกมาแล้ว ทั้งยังอยู่ที่หอม่านเมฆด้วยอย่างนั้นหรือ
“จะต้องเคลื่อนไหวเดี๋ยวนี้เลย” หัวใจของกานก้านเสวียเต้นรัวเร็วขึ้น เขาคิดใคร่ครวญอย่างรวดเร็ว เขาเข้าใจว่าจะต้องคว้าโอกาสนี้เอาไว้ให้ได้ มิฉะนั้นหากรอให้คุณชายเสวี่ยอิงผู้นี้กลับไปยังจวนโหว ผู้ใดจะไปล่วงรู้ได้เล่าว่าคราวหน้าเขาจะออกมาอีกเมื่อใด
“จะตื่นตระหนกมิได้ การสังหารในคราวนี้จะต้องสำเร็จ” แววตาของกานก้านเสวียทะมึนลงมา หากล้มเหลวแล้วล่ะก็ เขาจะต้องตายอย่างน่าอนาถเป็นแน่แท้
ดังนั้นต่อให้กระวนกระวายยิ่งกว่านี้ก็ต้องคิดใคร่ครวญอย่างสงบใจเย็น แผนการจะต้องไม่มีความผิดพลาดเลยแม้แต่นิดเดียว
โชคดีที่เขาได้เตรียมการเอาไว้อย่างพร้อมสรรพเป็นอย่างยิ่งแล้ว ขาดก็แต่การคิดไตร่ตรองอย่างสงบเพียงชั่วครู่เท่านั้น แล้วออกคำสั่งไปในทันที เคลื่อนย้ายกองกำลังของตนในทันที เคลื่อนไหว จะเริ่มต้นแล้ว!
ตอนที่ 21 การลอบสังหารนอกหอม่านเมฆ
Ink Stone_Fantasy
ณ หอสุราแห่งหนึ่งไม่ห่างจากหอม่านเมฆนัก ภายในห้องส่วนตัวที่ชั้นสอง บนโต๊ะมีสุราอาหารชั้นเลิศวางอยู่พร้อมแล้ว มีเพียงกานก้านเสวียนั่งอยู่ที่นั่นเพียงคนเดียว
ร่างกายอ้วนพีของเขานั่งอยู่บนม้านั่งนั้น มิได้หาหญิงรับใช้คนงามคนใดมาอย่างหาได้ยากยิ่ง เขาดื่มสุราไปพลาง มองดูนอกหน้าต่างอย่างเงียบๆ ไปพลาง สายตาจับจ้องมองไปยังทิศทางของหอม่านเมฆที่อยู่ไกลออกไป เขาเข้าใจกระจ่างดียิ่งว่าแผนการลอบสังหารในคราวนี้นั้นมีความสำคัญมากมายเพียงใด อย่างน้อยสำหรับเขาคนนี้ก็เป็นการตัดสินความเป็นความตายของเขาเลยทีเดียว! เขาไม่มีทางปล่อยให้ล้มเหลวโดยง่ายอย่างแน่นอน
“ข้ามีโอกาสนี้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น หากคราวนี้คว้าน้ำเหลว ทั้งตระกูลอิงซานก็จะต้องเดือดดาล ย่อมไม่มีทางให้ข้าหาโอกาสได้อีกเป็นครั้งที่สองอยู่แล้ว เจ้านายก็ไม่มีทางให้โอกาสข้าอีกครั้งเช่นกัน” กานก้านเสวียเอ่ยพึมพำ
เอี๊ยด
ประตูห้องส่วนตัวถูกผลักเปิดออก ชายหนุ่มร่างผอมคนหนึ่งเดินเข้ามาจากด้านนอก ชายหนุ่มร่างผอมผู้นี้มีกลิ่นอายของขั้นรวมเป็นหนึ่งอยู่รางๆ ในมือถือมีดสั้นเล่มหนึ่ง พลางหมุนมีดสั้นในมือเล่นตามอำเภอใจ
เมื่อกานก้านเสวียมองเห็นผู้มาก็ยืดกายขึ้นต้อนรับด้วยดวงตาเป็นประกายในทันใด แล้วเอ่ยอย่างประจบประแจงอยู่บ้างว่า “พี่เหนียน”
“อืม” ชายหนุ่มร่างผอมนั่งลงตามสบาย “อีกประเดี๋ยวก็จะเริ่มเคลื่อนไหวแล้วหรือ ข้ารับภารกิจนี้ของเจ้า ก็รั้งรออยู่ที่เมืองอัคคีโชตินี่มานานถึงห้าล้านปีแล้ว”
“ลำบากพี่เหนียนแล้ว ตอนนี้เจ้าเด็กโง่เง่าผู้นั้นก็อยู่ภายในหอม่านเมฆ” กานก้านเสวียพูด “ฉุนอวี้เฟิง อิงซานเลี่ยฮู่ กับคนอื่นๆ ต่างก็อยู่เป็นเพื่อนเจ้าเด็กโง่เง่าผู้นั้น รอให้เขาออกมา ก็เป็นเวลาลงมือของพวกเราแล้วล่ะ”
บริเวณโดยรอบทั้งหมดมีการป้องกันและการตัดขาด โลกภายนอกไม่มีทางตรวจสอบการสนทนาที่นี่ได้เลย
ชายหนุ่มร่างผอมพยักหน้า ”วางใจเถิด พอถึงเวลานั้นข้าจะสังหารอิงซานเสวี่ยอิงผู้นั้นให้ได้”
“พี่เหนียน เรื่องนี้อาจเกี่ยวพันถึงชีวิตของน้อง ขอพี่เหนียนกรุณาด้วย” กานก้านเสวียเอ่ยอย่างอดมิได้
“หึ ข้าไม่สนใจชีวิตเจ้าหรอกนะ ขอเพียงแค่จำเอาไว้ให้ดีว่าหลังเสร็จงานแล้วก็ต้องจ่ายข้ามาอีกสิบสองล้านแก้วผลึกจักรวาลด้วย” ชายหนุ่มร่างผอมพูด
กานก้านเสวียพยักหน้า “แน่นอน”
สิ่งที่สำคัญที่สุดในแผนการนี้ของเขาก็คือการเชิญ ‘เหนียนจิ่ว’ มือสังหารผู้น่าหวั่นเกรงจากทะเลสาบมารทมิฬตรงหน้าผู้นี้มา การจะเชิญให้เขาลงมือได้นั้นก่อนอื่นต้องจ่ายแปดล้านแก้วผลึกจักรวาล หากลอบสังหารล้มเหลว ทั้งหมดก็ไม่เป็นอันต้องพูดถึงอีก แต่หากงานสำเร็จก็ยังต้องจ่ายอีกสิบสองล้านแก้วผลึกจักรวาล! หรือพูดได้ว่าลำพังเพียงแค่ ‘เหนียนจิ่ว’ ผู้นี้เพียงคนเดียว หากแผนลอบสังหารสำเร็จก็ต้องจ่ายถึงยี่สิบล้านแก้วผลึกจักรวาลแล้ว
แต่ในความเป็นจริงแล้วทรัพย์สินในมือของกานก้านเสวียทั้งหมดก็เพียงแค่เกินสิบห้าล้านแก้วผลึกจักรวาลมาหน่อยเดียวเท่านั้น
เพื่อแผนลอบสังหารในครั้งนี้
เขาก็ได้ใช้จ่ายทรัพย์สินไปจนหมดสิ้น แปดล้านแก้วผลึกจักรวาลที่จ่ายไปล่วงหน้า ทั้งยังมีกลเม็ดอื่นๆ ที่ตระเตรียมเอาไว้อีก ทรัพย์สินถูกใช้จ่ายไปจนหมดสิ้นแล้ว! แม้กระทั่งเงินออมของตนเองก็เอามาใช้ไปบางส่วนแล้ว ถ้าหากสำเร็จ ถึงเวลานั้นเขาก็ยังต้องใช้เงินเก็บทั้งหมดของตนไปชดเชยด้วย หรือแม้กระทั่งยังต้องหยิบยืมแก้วผลึกจักรวาลจำนวนหนึ่งจากเพื่อนร่วมสำนักด้วย
“ขอเพียงแค่แผนลอบสังหารสำเร็จ ก็จะคุ้มค่ากับทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ด้วยความดีใจของเจ้านาย เผลอๆ อาจตกรางวัลให้อย่างยิ่งใหญ่ก็ได้” กานก้านเสวียเอ่ยพึมพำ
กาลเวลาเคลื่อนผ่านไม่หยุดหย่อน
ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม สองชั่วยาม
ท้องฟ้าค่อยๆ มืดครึ้มลง
กานก้านเสวียดื่มสุราเป็นเพื่อนเหนียนจิ่ว พวกเขาสองคนก็มิได้พูดอะไรกันอีก
“หืม” เหนียนจิ่วมองไปยังด้านนอก
“ออกมาแล้วสินะ” ร่างกายของกานก้านเสวียถึงกับสั่นสะท้าน จ้องมองคนกลุ่มหนึ่งที่ออกมาด้านนอกหอม่านเมฆที่อยู่ไกลออกไปผ่านช่องหน้าต่าง หนึ่งในนั้นก็มีหนุ่มน้อยผู้หล่อเหลาในอาภรณ์ขาวที่ถูกห้อมล้อมอยู่คนหนึ่ง
“ช่างเป็นเด็กน้อยที่หล่อเหลางดงามคนหนึ่งโดยแท้ พลังยุทธ์ของตัวเขาเองไม่ควรค่าแก่การพูดถึงเลย ข้าเองก็บดขยี้จนตายได้โดยง่าย แต่เกรงว่าท่านโหวหั่วเลี่ยจะต้องจัดเตรียมวิธีการมากมายเพื่อปกป้องเขาอย่างแน่นอน แต่น่าเสียดาย หากข้าลงมือเขาก็จะต้องตายอย่างแน่นอน” เหนียนจิ่วลุกขึ้น ก้าวยาวๆ ก้าวหนึ่งก็ออกจากหน้าต่างมาแล้วร่อนลงบนพื้นถนนของโลกภายนอกแล้วเดินเล่นอยู่ข้างนอกอย่างผ่อนคลาย คล้ายกับเป็นหนึ่งในบรรดาผู้บำเพ็ญทั่วไปจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่บนท้องถนน
กานก้านเสวียกระวนกระวายจนลืมหายใจ
ช่วงเวลาชี้ชะตาชีวิตของเขามาถึงแล้ว!
“เตรียมตัวกันให้ดี เมื่อใดที่เขามาถึงที่นี่ก็ตรงเข้าไปลงมือในทันที” กานก้านเสวียออกคำสั่ง
……
สัตว์มังกรแปดตนลากรถม้าอันหรูหรานั้นเคลื่อนผ่านท้องฟ้า อิงซานเลี่ยฮู่พาตัวบุตรชายนั่งอยู่บนรถม้าอย่างผยองลำพองใจหาใดเปรียบ พวกเถียนอี้จือและสาวใช้เหยียนอวี๋ต่างก็ยืนอยู่ด้านข้าง เหล่าองครักษ์และเหล่าสาวใช้ต่างก็รอคอยอยู่รอบๆ
รถม้ามีความรวดเร็วอย่างที่สุด
“ลูกพ่อ หอม่านเมฆนี้ไม่ธรรมดาเลยใช่หรือไม่ ฮ่าฮ่า ก็เป็นครั้งแรกที่พาเจ้ามา ยังมีของเลิศรสอีกมากมายที่ยังมิได้ให้เจ้าได้ลองลิ้มชิมรสดู” อิงซานเลี่ยฮู่ลอบพูดยิ้มๆ “ในภายหน้าลูกพ่อจะมาด้วยตนเองก็ได้ ผู้บำเพ็ญน่ะ ควรจะต้องเห็นอะไรๆ ให้มากสักหน่อย บุปผางามเคลือบยาพิษ ก็ต้องลองสัมผัสดู นี่ก็เป็นการขัดเกลาจิตใจเหมือนกันนะ”
“ใต้เท้าเลี่ยฮู่ขอรับ” เถียนอี้จือที่อยู่ด้านข้างเอ่ยเสียงต่ำ
อิงซานเลี่ยฮู่สะดุ้งเล็กน้อยแล้วพูดกับเถียนอี้จืออย่างกระอักกระอ่วนว่า “ผู้อาวุโสเถียน ข้าก็เพียงแค่พูดเฉยๆ พูดเฉยๆ เท่านั้นเอง บุปผางามเคลือบยาพิษขัดเกลาจิตใจ ที่ข้าพูดก็มิผิดกระมัง” ขณะนี้อิงซานเลี่ยฮู่นึกเสียใจจนอยากจะตบปากตัวเองนัก เพราะว่าวาจาของเขา เกรงว่าเถียนอี้จือจะไปรายงานกับท่านโหว
ตงป๋อเสวี่ยอิงเพียงแค่ฟังอย่างเฉยเมยมาโดยตลอด
ทันใดนั้นเขาก็เหลือบมองไปยังหอสุราแห่งหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปปราดหนึ่ง ตั้งแต่จมดิ่งกับเคล็ดวิชาเขตพลังที่ได้ตระหนักรู้อย่างลึกลับในหอกด้ามนั้น เขาก็เป็นเลิศอย่างที่สุดในด้านการควบคุมห้วงอากาศ แม้กระทั่งในยามปกติเขาก็สามารถรับสัมผัสในบริเวณโดยรอบได้โดยอัตโนมัติ แล้วก็ค้นพบคนคุ้นเคยคนหนึ่ง
“กานก้านเสวียหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงค้นพบชายร่างใหญ่อ้วนพีที่นั่งอยู่ตรงหน้าต่างหอสุรา ชายร่างใหญ่อ้วนพีก็กำลังมองมาทางเขาเช่นกัน ยามที่ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไป กานก้านเสวียก็ยังเผยรอยยิ้มออกมาแล้วตามด้วยเสียงหัวเราะคราหนึ่งด้วย
“เฮอะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้สนใจอีกต่อไป
เพราะเรื่องของสาวใช้เหยียนอวี๋นั้นเขาเคยสั่งให้คนไปตรวจสอบแล้วก็ได้รู้ว่ากานก้านเสวียผู้นี้ทำธุรกิจที่สกปรกบางอย่าง คนประเภทนี้ก็ไม่จำเป็นต้องสนใจเลย
ทันใดนั้น…
“ครืน”
ห้วงอากาศโดยรอบพลันสั่นไหว อาณาบริเวณกว้างโดยรอบต่างก็ได้รับแรงกดดัน
“แย่แล้ว” เถียนอี้จือตกตะลึงแล้วตะโกนว่า “ระวังด้วย ห้วงอากาศโดยรอบถูกกดดัน มิอาจเคลื่อนที่ในพริบตาได้”
“อะไรนะ” อิงซานเลี่ยฮู่ตื่นตระหนกในทันใด
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
ลำแสงต่อเนื่องสองสายพุ่งออกมาจากกลุ่มผู้บำเพ็ญบนถนนเบื้องล่างอย่างฉับพลัน ทว่าเถียนอี้จือและองครักษ์ติดตามเก้าคนกลับมีเกราะสีเงินปรากฏขึ้นบนผิวกายอย่างเปี่ยมทักษะยิ่ง ชุดเกราะสาดประกายประกายสีเงินสว่างวาบ กลายเป็นทรงกลมสีเงินขนาดใหญ่ล้อมรอบรถม้าที่ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งอยู่เอาไว้ ถึงแม้จะมีลำแสงสองสายและเคล็ดวิชาหมอกพิษที่แผ่ปกคลุมซึ่งศัตรูส่งมาทำการลอบสังหาร พวกเถียนอี้จือต่างก็ต้านรับเอาไว้อย่างรวดเร็ว
“ปัง…”
“ครืน”
ห้วงอากาศสั่นสะท้าน
“ลอบสังหารหรือ ถึงกับกล้าลอบสังหารลูกชายข้าเชียวหรือ” อิงซานเลี่ยฮู่เดือดดาลจนหน้าถอดสีอีกทั้งยังกระวนกระวายอยู่พอสมควร ถึงแม้ว่าเขาจะมีองครักษ์อยู่เช่นกัน แต่กลับห่างชั้นกับองครักษ์ของตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างเทียบไม่ติดเลย
“ท่านพ่อ ท่านพ่อ มีมือสังหารลอบสังหารเสวี่ยอิงขอรับ” อิงซานเลี่ยฮู่ถ่ายเสียงให้กับท่านโหวหั่วเลี่ยอย่างหาได้ยากยิ่ง ตามปกติแล้วเขาย่อมมิกล้ารบกวนท่านโหวหั่วเลี่ยอยู่แล้ว แต่ท่านโหวหั่วเลี่ยได้รับสารจากเถียนอี้จือมาก่อนแล้ว ถึงแม้ว่าท่านโหวหั่วเลี่ยจะโมโหจนตัวสั่น แต่จวนโหวอยู่ห่างไกลจากสถานที่แห่งนี้เป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าจะเคลื่อนที่ในพริบตาไปได้ แต่ทุกครั้งที่เคลื่อนที่ในพริบตาก็มีระยะทางอันจำกัด หากจะไปก็ยังต้องใช้ระยะเวลาชั่วจิบชาถ้วยหนึ่ง
ต่อให้เข้าไปในระยะใกล้ บริเวณโดยรอบก็ถูกจำกัดการเคลื่อนที่ในพริบตา ก็ต้องเหาะเหินเข้าไปใกล้ๆ คิดอยากช่วยนั้นก็ยากเย็นเป็นอย่างยิ่ง
“บังอาจนัก!”
เสียงตะโกนอย่างเดือดดาลดังก้องฟ้าดิน
พลังฟ้าดินพลุ่งพล่าน พลังฟ้าดินจำนวนนับไม่ถ้วนรวมตัวเข้าด้วยกันอย่างบ้าคลั่ง แล้วค่อยๆ รวมตัวกันเป็นเงาร่างสายหนึ่ง ซึ่งก็คือร่างแปรที่สร้างขึ้นทันควันของท่านโหวหั่วเลี่ย แต่เพราะรวมตัวขึ้นมาโดยอาศัยพลังฟ้าดิน จึงต้องอาศัยเวลาชั่วขณะหนึ่ง
“ท่านโหวหั่วเลี่ย อย่านำร่างแปรนี้ของท่านออกมาเลย” ทันใดนั้นก็มีเสียงหัวเราะเสียงหนึ่งดังก้องสะท้อนทั่วฟ้าดิน
ชายหนุ่มร่างผอมคนหนึ่งพลันบินโฉบบนท้องฟ้าแล้วกระแทกลงบนทรงกลมสีเงินยวงขนาดมหึมาที่เถียนอี้จือและองครักษ์ติดตามเก้าคนสร้างขึ้นในทันใด ในขณะที่กระแทกนั้น ชายหนุ่มร่างผอมก็แยกออกเป็นหก ส่วน กลายเป็นชายหนุ่มร่างผอมหกคน ทุกคนต่างก็แผ่กลิ่นอายอันชวนให้คนตื่นตกใจไม่ด้อยไปกว่าร่างแปรของท่านโหวหั่วเลี่ยเลย ดูคล้ายว่าในพริบตาเดียวค่ายกลรบของพวกเถียนอี้จือก็ถูกทำลายเสียจนแหลกสลายกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแล้ว
“คุณชาย ระวังด้วยนะขอรับ” เถียนอี้จือร้อนรน
“ดีจริง” ‘กานก้านเสวีย’ ชายร่างใหญ่อ้วนพีผู้ชมดูอยู่บนหอสุราที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลก็อดที่จะกำหมัดแน่นมิได้ เล็บมือก็จิกเข้าไปในเนื้อ เขาอารมณ์ปั่นป่วน “สมแล้วที่เป็นมารเฒ่าเหนียน!”
ตอนที่ 22 ที่แท้ยังมียอดฝีมืออยู่อีกหรือ
Ink Stone_Fantasy
“เหนียนจิ่วหรือ” ร่างแปรของท่านโหวหั่วเลี่ยที่กำลังรวมร่างอยู่ได้เห็นเหตุการณ์แล้วหัวใจก็กระตุกคราหนึ่ง อดที่จะเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันมิได้ “ผู้ใดช่างบังอาจถึงเพียงนี้ บังอาจเป็นอริกับตระกูลอิงซานของข้า”
กล้าลอบสังหารคุณชายเสวี่ยอิงผู้มีพรสวรรค์ล้ำเลิศก็คือการตบหน้าตระกูลอิงซานดีๆ นี่เอง!
ตระกูลอิงซานย่อมไม่มีทางปล่อยเอาไว้อย่างแน่นอน!
ภายใต้สถานการณ์ปกติก็มีอยู่เพียงไม่กี่ขุมอำนาจที่จะกล้าสามหาวเช่นนี้ แต่ตอนนี้การลอบสังหารก็ยังเกิดขึ้นเสียแล้ว ถึงขนาดยังมีเจ้ามารเหนียนจิ่วผู้นี้อยู่ด้วย
เหนียนจิ่ว เดิมทีเป็นปีศาจงูเก้าหัวที่เกิดและเติบโตจากดินในทะเลสาบมารทมิฬ เพราะเคล็ดวิชาศาสตร์โบราณจึงได้มีพรสวรรค์ร่างแยก สามารถแบ่งร่างแยกได้ถึงเก้าร่าง! ขอเพียงแค่มีร่างแยกร่างหนึ่งที่ยังมีชีวิตอยู่ ถึงแม้ร่างแยกอีกแปดร่างจะตายไปจนหมดก็สามารถบำเพ็ญกลับมาใหม่ได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นเหนียนจิ่วจึงไปเป็นมือสังหารอยู่เป็นประจำโดยอาศัยพรสวรรค์ร่างแยกนี้
ถึงอย่างไรผู้แกร่งกล้าที่ไปลอบสังหารโดยไม่เสียดายชีวิตก็มีอยู่ไม่มากนัก ถ้าไม่ตายก็เป็นยอดฝีมือที่มีเคล็ดวิชาวิเศษดังเช่นเหนียนจิ่วผู้นี้
“คุ้มกันคุณชาย”
สิงห์เมฆาทะมึนสองตนแปลงเป็นร่างมนุษย์ในทันใด อีกทั้งรอบด้านยังมีพลทหารเกราะดำเก้าสิบแปดคนปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศอีกด้วย สิงห์เมฆาทะมึนสองตนนี้แปลงเป็นร่างมนุษย์ หนึ่งในนั้นสวมเกราะสีดำเช่นเดิม ส่วนอีกคนหนึ่งนั้นผิวกายกลับมีเกราะสีทองเข้มปรากฏขึ้น พวกเขาหนึ่งร้อยค
แปรเปลี่ยนเป็นค่ายกลรบขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในพริบตา ครืน…
บริเวณโดยรอบมีเมฆดำปกคลุม ล้อมรอบรถม้าเอาไว้ตรงกลาง ส่วนพลทหารทั้งหนึ่งร้อยนายก็กระจายตัวกันอยู่ในกลีบเมฆดำ ชุดเกราะบนร่างของแต่ละคนสาดประกายกล้า พลังรวมกันเป็นหนึ่งเดียวอย่างสมบูรณ์
“บังอาจบุกสังหารคุณชายเสวี่ยอิง ช่างบังอาจยิ่งนัก” สองมือของหัวหน้ากองเกราะสีทองเข้มที่เป็นผู้นำมีอาวุธปลายแหลมปรากฏออกมา เขาตะโกนอย่างเดือดดาล เสียงดังสนั่นกึกก้องทั่วฟ้าดิน
“ผู้คุ้มกันลับของแม่ทัพหั่วเลี่ยหรือ ฮ่าฮ่า คิดไม่ถึงเลยจริงๆ แม่ทัพหั่วเลี่ยมีผู้คุ้มกันลับอยู่ทั้งหมดสามกอง ถึงกับมีกองหนึ่งที่คอยคุ้มกันอยู่ข้างกายเจ้าเด็กโง่เง่าผู้นี้มาโดยตลอด” ชายหนุ่มร่างผอมหกคนหัวเราะเสียงดังลั่นแต่กลับมุ่งสังหารตรงเข้ามา “ให้ข้าได้เห็นสักหน่อยสิว่าพวกเจ้าร้ายกาจสักเพียงใดกัน”
“ฆ่ามัน”
หัวหน้ากองเกราะสีทองเข้มตะโกน เมฆดำที่ล่องลอยอยู่ต่างก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นสัตว์ประหลาดสี่กีบเท้าขนาดมหึมาตนหนึ่ง การโจมตีแต่ละครั้งของหัวหน้ากองเกราะสีทองเข้มดุร้ายเป็นอย่างยิ่งราวกับเป็นกรงเล็บของสัตว์ประหลาดสี่กีบเท้า
“อะไรกัน ถึงกับมีผู้คุ้มกันลับของแม่ทัพหั่วเลี่ยกองหนึ่งคอยคุ้มกันอยู่ข้างกายอิงซานเสวี่ยอิงผู้นั้นมาโดยตลอดเลยอย่างนั้นหรือ” กานก้านเสวียที่ชมดูอยู่บนหอสุราที่อยู่ไกลออกไปโมโหจนสีหน้าซีดเผือด “ลำเอียงกับเขามากเกินไปหน่อยแล้วกระมัง ถึงกับให้ผู้คุ้มกันลับเหล่านั้นคอยเฝ้าอารักขาอยู่ในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์เป็นระยะเวลายาวนานเชียวหรือนี่”
นี่คือสถานการณ์อันเลวร้ายอย่างที่สุดแล้วจริงๆ
ผู้คุ้มกันลับกองหนึ่ง
นายกองของผู้คุ้มกันลับมีพลังยุทธ์ระดับชั้นที่ห้าของวังปฐมเทพ สวนสมาชิกคนอื่นๆ ต่างก็เป็นขั้นรวมเป็นหนึ่ง รวมตัวกันเป็นค่ายกลรบก็สามารถสำแดงพลังรบระดับชั้นที่เจ็ดของวังปฐมเทพออกมาได้เลยทีเดียว ก็สามารถบดขยี้ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนที่อ่อนแอสักหน่อยจำนวนหนึ่งได้แล้ว
……
อิงซานเลี่ยฮู่แข้งขาอ่อนแรงอยู่บ้าง แต่เขาก็ยังปลอบประโลมตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ข้างกาย “ลูกพ่อวางใจเถิด พวกเขาทำร้ายเจ้ามิได้หรอกนะ”
สาวใช้เหยียนอวี๋ก็กำหมัดแน่นอยู๋ข้างๆ เตรียมพร้อมที่จะเสี่ยงชีวิตเพื่อคุณชายของตัวเองอยู่ทุกขณะ
อันที่จริงแล้วพวกเขาต่างก็เป็นเพียงแค่เทพแท้เท่านั้น… เผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ระดับนี้ก็ไม่มีประโยชน์อันใดเลยแม้แต่น้อย
ความจริงแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นมือสังหารมารเฒ่าเหนียนจิ่ว กลุ่มผู้คุ้มกันลับที่หัวหน้ากองสิงห์เมฆาทะมึนนำมา หรือว่าจะเป็นเถียนอี้จือ หรือแม้แต่ท่านโหวหั่วเลี่ย และพญามารที่เข้าใจสถานการณ์การลอบสังหารอยู่ตลอดเวลาผู้นั้น พวกเขาต่างก็กังวลกันเป็นอย่างยิ่ง มีความกระวนกระวายกับสถานการณ์ในตอนนี้อยู่พอสมควร
มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ภายนอกดูเหมือนกระวนกระวาย แต่ความจริงแล้วกลับสงบนิ่งเป็นอย่างยิ่ง!
นั่นก็คือตงป๋อเสวี่ยอิง
“ลอบสังหารหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งอยู่บนรถม้า “โอ้ มือสังหารผู้นี้สามารถแปลงเป็นร่างแยกหกร่างได้ในชั่วพริบตา แต่ว่าเขาเป็นเพียงแค่ขั้นรวมเป็นหนึ่งเท่านั้น แต่กลับสามารถสำแดงร่างแยกได้… คงจะมิใช่เคล็ดร่างแยกทางสายห้วงอากาศ หากแต่เป็นทางศาสตร์โบราณกระมัง”
“แต่ก็ร้ายกาจอยู่พอสมควรทีเดียว ร่างแยกร่างเดียวของมือสังหารผู้นี้ก็คล้ายจะมีพลังยุทธ์ระดับชั้นที่หกของวังปฐมเทพแล้ว ร่างแยกหกร่างยังมีเคล็ดการร่วมโจมตีอีกด้วย สามารถสำแดงพลังรบระดับชั้นที่เจ็ดของวังปฐมเทพออกมาได้เลยทีเดียว”
“โอ้…”
“ที่แท้แล้วสิงห์เมฆาทะมึนสองตนของข้านี้ ตนหนึ่งเป็นหัวหน้าผู้คุ้มกันลับ ส่วนอีกตนหนึ่งเป็นผู้คุ้มกันลับธรรมดาอย่างนั้นหรือ ทั้งยังมีผู้คุ้มกันลับคนอื่นๆ อีกเก้าสิบแปดคนคอยรับคำสั่งอยู่ภายในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์มาโดยตลอดเลยอย่างนั้นหรือ ท่านโหวหั่วเลี่ยช่างให้ความสำคัญกับข้าเหลือเกินจริงๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบรำพึง “ข้าคิดมาตลอดว่าพวกผู้อาวุโสเถียนเขาเป็นองครักษ์ คิดไม่ถึงว่าจะมีทั้งในที่ลับและที่แจ้ง ผู้อาวุโสเถียนบัญชาการองครักษ์ติดตามเก้าคน… ก็มีเพียงแค่พลังรบระดับชั้นที่หกของวังปฐมเทพ ผู้คุ้มกันลับพร้อมเพรียงกันทั้งกลุ่มกลับแกร่งกล้ายิ่งกว่าเสียอีก”
ผู้คุ้มกันทั้งในที่ลับและที่แจ้ง
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูกองผู้คุ้มกันลับและการสังหารของมารเหนียนจิ่วผู้นั้นโดยละเอียด ทั้งสองฝ่ายไล่สังหารกันอย่างบ้าคลั่ง มารเฒ่าเหนียนจิ่วตีไม่แตกอยู่ชั่วขณะหนึ่ง “เคล็ดวิชาต่างๆ นานาของดินแดนจิตโลกาเหนือชั้นกว่าจริงๆ ค่ายกลรบนี้ยังแยบยลกว่าทางอากาศอันสับสนอลหม่านนั้นเป็นอย่างมากทีเดียว”
ที่อากาศอันสับสนอลหม่าน
ขั้นรวมเป็นหนึ่งระดับชั้นที่ห้าของเจดีย์ดาวคนหนึ่ง รวมกับขั้นรวมเป็นหนึ่งคนอื่นๆ อีกเก้าสิบเก้าคน ย่อมไม่สามารถสำแดงพลังรบระดับชั้นที่เจ็ดของเจดีย์ดาวออกมาได้อย่างแน่นอน
แต่ดินแดนจิตโลกานี้สามารถทำได้ เคล็ดค่ายกลรบของดินแดนจิตโลกาเหล่านี้ยังเหนือชั้นกว่าค่ายกลรบเคล็ดการร่วมโจมตีที่ฝูงมารผลาญทำลายสร้างขึ้นมาเสียอีก
……
“กานก้านเสวีย คิดไม่ถึงว่าผู้คุ้มกันลับทั้งชุดจะคอยคุ้มกันข้างกายอยู่ตลอดเวลา ข้าโจมตีให้แตกมิได้ เกรงว่าภารกิจนี้คงจะล้มเหลวเสียแล้วล่ะ” เหนียนจิ่วกลับถ่ายสารให้กับกานก้านเสวีย
“ไม่นะ”
กานก้านเสวียสองตาแดงก่ำ
เขาระดมลูกน้องใต้บังคับบัญชาจัดการทหารที่ตาย แต่ในความเป็นจริงแล้วคราวนี้เขาไปตามหามารเฒ่าเหนียนจิ่วจนพบ ขอให้เขาช่วยลงมือโดยไม่เสียดายสิ่งใด นี่คือไม้ตายที่สำคัญที่สุดของเขาแล้ว คิดไม่ถึงว่าขนาดมารเฒ่าเหนียนจิ่วสำแดงพลังยุทธ์ระดับชั้นที่เจ็ดของวังปฐมเทพก็ยังไม่สามารถตีให้แตกพ่ายได้เลย
“มารเฒ่าเหนียนจิ่วผู้นี้ช่างใจเสาะนัก ได้ยินว่าเขามีร่างแยกเก้าร่าง แต่ทุกครั้งที่ลอบสังหารก็ใช้ร่างแยกอย่างมากที่สุดหกร่างเท่านั้น ไม่รู้ว่าเอาอีกสามร่างแยกไปซ่อนเอาไว้ที่ไหน” นัยน์ตาของกานก้านเสวียมีความบ้าคลั่งอยู่บ้าง
“ทำอะไรไม่ได้แล้วสินะ”
“ล้มเหลวแล้ว ข้าก็ต้องตาย”
“หมดหน้าตักแล้ว”
ถึงแม้ว่ากานก้านเสวียจะฝากความหวังเอาไว้กับมารเฒ่าเหนียนจิ่วผู้แข็งแกร่งเป็นอันมาก แต่ถึงอย่างไรเมื่อล้มเหลวแล้วก็ต้องตาย เขายังได้เตรียมไม้ตายสุดท้ายเอาไว้อีกอย่างหนึ่ง ซึ่งต้องสิ้นเปลืองเวลาไปกว่าสองล้านปีจึงจะหายักษ์ใหญ่ขั้นอลวนคนหนึ่งพบ แล้วขอให้เขาช่วยหลอมน้ำยาพิษออกมาให้ เพื่อน้ำยาพิษส่วนนี้ก็ต้องจ่ายไปถึงหกล้านแก้วผลึกจักรวาล ต้องรู้ไว้ว่าอาวุธลับล้ำค่าที่ธรรมดาสามัญที่สุดบางอย่างก็มีราคาเพียงแค่สิบล้านแก้วผลึกจักรวาลเท่านั้น
น้ำยาพิษนี้เมื่อปนเปื้อนก็เกือบจะต้องตายแล้ว! เพียงแค่อยู่ที่ขั้นรวมเป็นหนึ่ง เกรงว่าคงจะมีเพียงไม่กี่คนที่สามารถต้านทานได้
“มารเฒ่าเหนียนจิ่ว หรือว่าอาจจะส่งผลกระทบต่อท่าน แต่ท่านมีร่างแยก ก็ไม่เป็นไร” ในมือของกานก้านเสวียหยิบเอาขลุ่ยสีดำเลาหนึ่งออกมาแล้วเริ่มต้นบรรเลงเบาๆ
ฮืม…
กระแสเสียงอันไร้รูปร่างแผ่ไปยังทิศทางที่ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ในทันใด
ระลอกกระแสเสียงนี้มีสีเขียวแปลกประหลาด สามารถมองเห็นสีของน้ำยาพิษนี้ได้ด้วยตาเปล่า ไม่มีวิธี…ยังต้องการพลังคุกคามที่ใหญ่ขึ้น ทั้งยังต้องการให้สังเกตไม่เห็นเลยแม้แต่น้อย แก้วผลึกจักรวาลเล็กน้อยที่เขาเตรียมไปนั้นย่อมไม่เพียงพออยู่แล้ว
“อะไรกันนี่” ร่างแปรของท่านโหวหั่วเลี่ยที่เพิ่งจะรวมร่างได้สำเร็จแล้วกำลังร่วมมือกับกองผู้คุ้มกันลับจัดการกับมารเฒ่าเหนียนจิ่วก็ได้เห็นน้ำยาพิษกระแสเสียงสีเขียวอ่อนสายหนึ่งไหลแผ่เข้ามาเช่นกัน จึงอดที่จะสีหน้าแปรเปลี่ยนมิได้
ร่างแปรของท่านโหวหั่วเลี่ย ร่างแปรก็มิได้มีอาวุธล้ำค่าใดๆ มีเพียงแค่พลังยุทธ์ระดับชั้นที่หกของวังปฐมเทพเท่านั้น สามารถนับได้อย่างกระท่อนกระแท่นว่ามีพลังยุทธ์เทียบเคียงกับร่างแยกร่างหนึ่งของมารเฒ่าเหนียนจิ่วเท่านั้น ย่อมไม่มีทางส่งผลกระทบต่อสถานการณ์โดยรวมได้อยู่แล้ว
“น้ำยาพิษหรือ” มารเฒ่าเหนียนจิ่วได้เห็นเหตุการณ์แล้วกลับเผยสีหน้ายินดี
“แย่แล้ว” กองผู้คุ้มกันลับตื่นตระหนกตกใจ พวกเขารู้สึกถึงความน่าหวาดหวั่นอย่างยิ่งชนิดหนึ่งได้จากในน้ำยาพิษกระแสเสียงสีเขียวอ่อนที่ไหลมาอย่างรวดเร็วนี้ ถ้าหากพวกเขาแตะต้องถูกน้ำยาพิษนี้ เกรงว่าคงต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
ปัง… โครม…
เสียงโครมครามดังขึ้นรอบๆ ร่างแปรของท่านโหวหั่วเลี่ยและกองผู้คุ้มกันลับต่างก็แบ่งความสนใจไปให้การจัดการรับมือกับน้ำยาพิษนั้น แต่ยุทธวิธีต่างๆ ล้วนไม่สามารถกำจัดน้ำยาพิษนั้นออกไปได้เลย น้ำยาพิษแผ่ซ่านเข้ามาเช่นเดิม ถึงอย่างไรก็เป็นน้ำยาพิษที่คุ้มค่ากับหกล้านแก้วผลึกจักรวาล
“ทำอย่างไรดีเล่า”
น้ำยาพิษกระแสเสียงมีความรวดเร็วเหลือเกิน อีกทั้งยังมิอาจทำการเคลื่อนที่ในพริบตาได้ หรือว่าตัวเองจะหนีเอาชีวิตรอด ไม่สนใจคุณชายแล้วดีเล่า
“ฮ่าฮ่าฮ่า…” มารเฒ่าเหนียนจิ่วโจมตีกองผู้คุ้มกันลับอย่างอุกอาจแต่กลับหัวเราะเสียงดัง เท่าที่เขาดูหากไม่มีกองผู้คุ้มกันลับนี้คอยต้านทานแล้ว คุณชายเสวี่ยอิงผู้นั้นก็อ่อนแอเป็นอย่างยิ่ง การจะฆ่าให้ตายนั้นเป็นเรื่องง่ายดายเหลือเกิน
“ทำอย่างไรดี ทำอย่างไรดีเล่า” ร่างแปรของท่านโหวหั่วเลี่ยกระวนกระวายเป็นอย่างยิ่ง เขาส่งสารไปให้แม่เฒ่าอิงซานก่อนแล้ว แต่แม่เฒ่าอิงซานก็ไม่มีหนทางจะมาที่นี่ได้ในระยะเวลาอันสั้นเช่นเดียวกัน ก็ต้องไปขอให้ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนผู้เชี่ยวชาญการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นมาช่วยเหลือ… สิ่งต่างๆ ที่ส่งผลต่อสถานการณ์ต่างก็จำเป็นต้องใช้เวลาทั้งสิ้น แต่การสังหารในระดับนี้นั้นกลับสังหารได้ร้อยครั้งพันครั้งภายในชั่วพริบตา
“ต้านทานโดยไม่กลัวสูญเสียสิ่งใด ถ่วงเวลาเอาไว้อย่างสุดกำลัง หากเวลานานขึ้นก็จะมีความหวังแล้ว” ร่างแปรของท่านโหวหั่วเลี่ยส่งสารให้กับเหล่าผู้คุ้มกันลับ
“ขอรับ” ผู้คุ้มกันลับทั้งหลาย มีบางคนที่เต็มอกเต็มใจ มีบางคนที่ถึงแม้จะไม่เต็มใจแต่ก็ยังรับคำสั่ง
คำสั่งของท่านโหว พวกเขาไม่กล้าฝ่าฝืน
พวกเขาต้องเอาชีวิตเข้าเสี่ยง
มาต้านรับน้ำยาพิษอันแปลกประหลาดนี้ สามารถถ่วงเวลาออกไปได้นานเท่าใดก็เท่านั้น!
……
บนรถม้า อิงซานเลี่ยฮู่และสาวใช้เหยียนอวี๋ต่างก็มีความงงงันอยู่บ้าง พวกเขาต่างก็ไม่ใคร่จะเข้าใ
สถานการณ์ในตอนนี้กันสักเท่าใดนัก รู้เพียงว่าร่างแปรของท่านโหวหั่วเลี่ยและบรรดาเหล่าผู้คุ้มกันลับทั้งหมดต่างก็เสี่ยงชีวิตเข้าสังหาร เหล่าผู้คุ้มกันลับต่างก็คลุ้มคลั่งกันเสียแล้ว ให้ความรู้สึกอันเศร้าโศกชนิดหนึ่ง
ตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นเพียงคนเดียวที่สงบนิ่ง เขามองไปยังบริเวณไกลออกไป มองดูกานก้านเสวียที่กำลังผิวขลุ่ยสีดำนั้น
“น้ำยาพิษนี้มีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ ดูเหมือนจะมีพลังคุกคามอันยิ่งใหญ่ การโจมตีธรรมดามิอาจทำให้พวกมันสลายไปได้เลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ ในมือของเขามีหอกยาวเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ นั่นก็คืออาวุธลับล้ำค่าเล่มหนึ่ง
พร้อมกันนั้นระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างก็แผ่กระจายออกไป
ระลอกคลื่นแผ่กระจายไปยังที่ต่างๆ อย่างประณีตยิ่ง
“ไป”
พื้นที่ที่มีน้ำยาพิษกระแสเสียงสีเขียวอ่อนเหล่านั้นอยู่เกิดการบิดเบี้ยว เห็นได้ชัดว่าพวกมันลอยไปยังทิศทางที่ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ แต่เพียงชั่วพริบตากลับลอยไปถึงยังข้างกายกานก้านเสวียเสียแล้ว
“อะไรกันนี่” กานก้านเสวียมองดูน้ำยาพิษสีเขียวอ่อนตรงหน้าอย่างหวาดหวั่น น้ำยาพิษมิอาจแยกแยะได้ว่าผู้ใดเป็นศัตรู เขาควบคุมขลุ่ยก็เพียงเพื่อควบคุมทิศทางของมันเท่านั้นเอง
“พรึ่บ”
ภายใต้การไหลแผ่ของน้ำยาพิษ ร่างกายของกานก้านเสวียก็ถูกกัดกร่อนในทันใดจนกลายเป็นของเหลวสีเขียวบ่อหนึ่ง สิ้นชีวิตไปในทันที
ถึงแม้ว่าน้ำยาพิษจะแผ่กระจายตัวไปรอบด้าน แต่โชคดีที่บริเวณรอบๆ ไม่มีคนอยู่เลย ผู้บำเพ็ญเหล่านั้น รวมถึงบรรดาแขกเหรื่อและเหล่าผู้ดูแลต่างก็พากันหนีไปไกลก่อนแล้ว ถึงอย่างไรการต่อสู้ในระดับนี้ เหล่าผู้บำเพ็ญต่างก็พาตัวออกห่างกันอย่างสุดชีวิตอยู่แล้ว ถึงแม้จะอยู่ห่างสิบลี้ก็ยังรู้สึกว่าไม่ปลอดภัยเลย
……
ณ บริเวณอันห่างไกลจากท้องถนนแห่งหนึ่ง ชายชุดดำผู้หนึ่งดูอยู่ห่างๆ เขาก็คือร่างแปรของพญามารผู้นั้น อาศัยสมบัติล้ำค่า รวบรวมกลิ่นอายทั้งหมดปักหลักพำนักอยู่ที่เมืองอัคคีโชติ ด้วยความแค้นที่เขามีต่อท่านโหวหั่วเลี่ย… ร่างแปรอยู่ที่นี่ก็เพื่อหาโอกาสที่จะจัดการกับท่านโหวหั่วเลี่ย
“เจ้ากานก้านเสวียผู้นี้ยังมีประโยชน์อยู่เล็กน้อย ถึงกับจัดเตรียมน้ำยาพิษชนิดนี้เอาไว้” ชายชุดดำเหยียดยกมุมปากยิ้มน้อยๆ แล้วสีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยน
น้ำยาพิษกระแสเสียงสีเขียวอ่อนนั่นกลับไปยังข้างกายกานก้านเสวียอย่างน่าประหลาด กานก้านเสวียจึงจบชีวิตลง
แม้กระทั่งชายชุดดำยังรู้สึกว่าห้วงมิติดูเหมือนจะเป็นปกติอย่างยิ่งอยู่ตลอด
“ที่แท้แล้วยังมียอดฝีมือคอยคุ้มกันคุณชายเสวี่ยอิงผู้นั้นอยู่ด้วยหรือ เพื่อคุ้มกันเขา ตระกูลอิงซานจะเสี่ยงเกินไปแล้วหรือไม่” ชายชุดดำเห็นเหตุการณ์แล้วก็ขบกรามโดยไม่รู้ตัว
ตอนที่ 23 คลุ้มคลั่ง
Ink Stone_Fantasy
พญามารอาภรณ์ดำเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน แววตาเยียบเย็น ได้เห็นร่างแปรของท่านโหวหั่วเลี่ยมีท่าทีกระวนกระวายถึงเพียงนั้น ถ้าหากสังหารเจ้าเด็กโง่เง่าอิงซานเสวี่ยอิงผู้นั้นได้สำเร็จ ท่านโหวหั่วเลี่ยจะต้องโมโหจนเป็นบ้าอย่างแน่นอน
“ทำลายน้ำยาพิษได้อย่างเงียบงันไร้สุ้มเสียง ยอดฝีมือที่แอบคุ้มกันอิงซานเสวี่ยอิงอยู่อย่างลับๆ ช่างมีพลังยุทธ์กล้าแกร่งอย่างแท้จริง ทั้งยังยับยั้งน้ำยาพิษนี้ได้พอดีอีกด้วยอย่างนั้นหรือ” ในใจของพญามารอาภรณ์ดำมีความคิดผ่านไปมามากมาย “ยังคงทำตามแผนการเดิมดีกว่า”
“อาต้า ลงมือ”
“ขอรับ”
มารชุดดำผู้เป็นเจ้านายออกคำสั่งลงไปอย่างเงียบงันไร้สุ้มเสียง
เขามองไปยังบริเวณไกลๆ อย่างเยียบเย็น ถึงแม้ว่าเขาจะให้กานก้านเสวียทำการลอบสังหาร ทว่าแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยฝากความหวังเอาไว้กับกานก้านเสวียเลย ตัวเขาเองจึงได้เตรียมไม้ตายสุดท้ายเอาไว้
“ให้ข้าได้ดูหน่อยสิว่าที่แท้แล้วเป็นผู้ใดกันที่คอยแอบคุ้มกันเขาอยู่ในมุมมืด” พญามารอาภรณ์ดำลอบหัวเราะเสียงเย็น “ทั่วทั้งเมืองอัคคีโชติ ร่างจริงของท่านโหวหั่วเลี่ยมาไม่ทัน ผู้ใดจะสามารถต้านทานมารรับใช้ของข้าได้เล่า”
……
และบนรถม้าที่อยู่กลางอากาศ ร่างกายอันตื่นตระหนกของอิงซานเลี่ยฮู่ก็สั่นสะท้านน้อยๆ เถียนอี้จือที่ติดตามอารักขาอยู่ข้างๆ ก็ส่งสารให้ตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างกระวนกระวายว่า “คุณชาย น้ำยาพิษนี้ช่างน่ากลัวเหลือเกิน ถ้าหากผู้คุ้มกันลับต้านไม่อยู่ ข้าก็จะเก็บตัวท่านเข้าไปในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ใ ทำการหนีเอาชีวิตรอดขั้นสุดท้ายในทันที สามารถหนีได้นานแค่ไหนก็หนีให้นานที่สุด หวังว่าจะต้านได้ถึงตอนที่ยอดฝีมือที่แม่เฒ่าอิงซานเชิญมาเดินทางมาถึง อีกประเดี๋ยวท่านก็อย่าขัดขืนก็แล้วกัน…”
ถึงแม้ว่าจะถ่ายเสียงไป แต่เถียนอี้จือก็มองไปยังบริเวณไกลๆ อย่างหวาดหวั่นไปพร้อมๆ กัน
ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น
เหล่าผู้คุ้มกันลับและเหล่าองครักษ์จำนวนมากที่อยู่ในที่นั้นต่างก็เกิดการตระหนักรู้อย่างหนึ่งขึ้นมา ความรู้สึกที่อยากจะเสี่ยงชีวิตต่อสู้เพื่อคุณชายของตน! พวกเขาต่างก็มีคนที่ตนเองใส่ใจ ที่พวกเขาเผชิญหน้ากับความตายก็มิได้ปรารถนาจะทำกันสักเท่าใดนัก แต่ในเมื่อเลือกที่จะสวามิภักดิ์กับท่านโหวหั่วเลี่ยแล้ว ที่ผ่านมาเป็นระยะเวลาอันยาวนาน โดยปกติแล้วต่างก็ยากนักที่จะเผชิญกับภยันตราย เสพสุขกับทรัพยากรต่างๆ นานาที่คอยช่วยเหลือมาตลอด
เช่นนั้นแล้วยามที่อันตรายมาถึง พวกเขาก็จำเป็นจะต้องยืนหยัดขี้นมา! ผู้ที่บังอาจหนีเอาตัวรอด เมื่อจบเรื่องแล้วตระกูลอิงซานย่อมไม่มีทางละเว้นพวกเขาอย่างแน่นอน
ถึงขนาดที่บรรยากาศโดยรอบล้วนโศกสลดและบ้าคลั่ง แต่ละคนต่างก็เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันมองดูน้ำยาพิษกระแสเสียงสีเขียวอ่อนที่ลอยมาจากในขลุ่ยสีดำอย่างรวดเร็วนั้น
“มาเถิด”
“ลุยเลย”
“ลูกสาวที่รัก ข้ามิอาจอยู่เป็นเพื่อนเจ้าได้แล้วนะ” เหล่าผู้คุ้มกันลับเหล่านี้ ไล่สังหารมารเฒ่าเหนียนจิ่วไปพลาง สังเกตน้ำยาพิษไปพลาง แต่ในที่สุดน้ำยาพิษก็ปรากฏขึ้นที่ข้างกายกานก้านเสวียผู้นั้น ทำให้กานก้านเสวียจบชีวิตลงในทันที
“นี่…นี่มัน…”
“เป็นไปได้อย่างไรกัน…”
ทุกคนในที่นั้นต่างก็ปิติยินดีอย่างแทบคลั่งราวกับหนีจากขอบเหวแห่งความตายได้พ้น ทั้งยังมีความไม่อยากจะเชื่ออยู่ด้วย
ร่างแปรของท่านโหวหั่วเลี่ยก็มองดูภาพเหตุการณ์นั้นอย่างไม่อยากจะเชื่อเช่นเดียวกัน เพราะว่าห้วงมิติบิดเบี้ยวอันประณีตที่ตงป๋อเสวี่ยอิงควบคุมก็เป็นเพียงแค่บริเวณที่มีน้ำยาพิษอยู่เท่านั้น มิได้แผ่กระจายมาทางร่างแปรของท่านโหวหั่วเลี่ยทางนี้เลย ร่างแปรของท่านโหวหั่วเลี่ยจึงมิได้ค้นพบเลยว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้น
“ฮ่าฮ่าฮ่า ลูกข้า ในมุมมืดยังมียอดฝีมือคอยคุ้มกันเจ้าอยู่ด้วย! ตระกูลอิงซานของข้าช่างมียอดฝีมือมากมายก่ายกองเสียจริง” อิงซานเลี่ยฮู่ได้เห็นเหตุการณ์แล้วก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง
“ใช่แล้ว ยังมียอดฝีมือผู้ลึกลับอยู่ด้วย” เถียนอี้จือก็ตื่นเต้นเช่นเดียวกัน
“พวกเรายังมียอดฝีมืออยู่ด้วย” ผู้คุ้มกันลับและเหล่าองครักษ์ที่อยู่ในที่นั้นต่างก็มีขวัญกำลังใจดีขึ้นเป็นอย่างมาก
ตงป๋อเสวี่ยอิงที่นั่งอยู่ก็เผยสีหน้ายินดีเช่นกัน “ช่างเป็นยอดฝีมือที่ร้ายกาจเสียจริง ไม่รู้เลยว่าเป็นผู้ใดกันแน่”
หมดหนทาง
ผู้ที่เกิดมาได้เพียงแค่ห้าล้านปี ก็สำแดงพลังยุทธ์ระดับชั้นที่แปดของวังปฐมเทพออกมาได้แล้วอย่างนั้นหรือ ถึงอย่างไรเคล็ดวิชาเขตพลังที่สำแดงนั้นก็เป็นเคล็ดวิชาระดับชั้นที่แปดแล้ว นี่มันเกินกว่าที่จะจัดอยู่ในประเภท ‘ผู้มีพรสวรรค์’ โดยสิ้นเชิงแล้ว ถ้าหากเปิดเผยออกไป ตงป๋อเสวี่ยอิงก็กังวลว่าจะไปดึงดูดความสนใจของบรรดาตาเฒ่าที่น่าหวั่นเกรงในดินแดนจิตโลกาบางคนมา ถึงอย่างไร ‘การกลับชาติมาเกิด’นั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็สงสัยว่าน่าจะมิได้มีเพียงแค่เขาคนเดียวเท่านั้นที่เคยทำมาก่อน
ดังนั้นก็ยังคงระมัดระวังเอาไว้ก่อนดีกว่า
เคล็ดวิชาการบิดรูปห้วงอากาศนี้ก็เหมือนกับเป็นถนนสายหนึ่งที่เดิมทีเหยียดตรง ตงป๋อเสวี่ยอิงก็บิดถนนนี้ไปเชื่อมต่อกับถนนอีกเส้นหนึ่ง น้ำยาพิษผ่านมาบนถนน ก็ย่อมต้องไหลตามถนนที่บิดเบี้ยว เข้าไปยังถนนอีกเส้นหนึ่งอยู่แล้ว
เหตุผลอย่างเดียวกัน
ห้วงอากาศโดยรอบถูกตงป๋อเสวี่ยอิงควบคุมจนบิดเบี้ยวสับสน ก็ย่อมไปจากที่แห่งนี้ไปยังสถานที่อีกแห่งหนึ่ง ดูคล้ายคลึงกับการเคลื่อนที่ในพริบตา แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับแตกต่างจากการเคลื่อนที่ในพริบตาอย่างสิ้นเชิง! การเคลื่อนที่ในพริบตานั้นอาศัยการส่งถ่ายระลอกคลื่นมิติ แต่นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบทั้งหมดของห้วงมิติอย่างสิ้นเชิง เคล็ดวิชาเช่นนี้ร้ายกาจอย่างที่สุด เมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงตระหนักรู้เพิ่งเข้าสู่สำนัก นี่ก็คือเคล็ดวิชาระดับขั้นอลวน
แน่นอนว่าก็เป็นความล้ำลึกที่เขาสั่งสมด้วยตัวเอง ระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์และวิถีอากาศต่างก็ไปถึงขั้นอลวนหมดแล้ว และยังมีสายตาที่ดีอยู่ จึงได้ตระหนักรู้เคล็ดวิชานี้มาจากบน ‘ด้ามหอก’ ของอาวุธลับล้ำค่าหอกยาวที่ไม่สมบูรณ์นี้ได้อย่างรวดเร็ว
ถ้าหากเป็นผู้อื่น แม้กระทั่งเป็นยอดฝีมือทางสายห้วงอากาศที่อาศัยการบำเพีญสายโลหิตจนสามารถเป็นขั้นอลวนได้แล้วมาพบกับหอกเล่มนี้เข้า การจะตระหนักรู้เคล็ดวิชานี้ก็คงยากเสียยิ่งกว่ายาก!
แน่นอนว่าตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้มีความเย่อหยิ่งเลยแม้แต่น้อย เขานับถือผู้ที่หลอมหอกเล่มนี้ขึ้นมามากยิ่งกว่า
“สิ่งที่ข้าตระหนักรู้เป็นเพียงส่วนยอดของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้นเอง แม้กระทั่งหอกก็ยังมิใช่อาวุธลับล้ำค่าที่สมบูรณ์เลยเสียด้วยซ้ำ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ “ไม่รู้เลยว่าเจ้านายที่แท้จริงของหอกเล่มนี้คือผู้ใดกันแน่”
……
พูดไปก็ยืดยาว ความเคลื่อนไหวภายในจิตใจของตงป๋อเสวี่ยอิงก็เกิดขึ้นเพียงแค่ชั่วครู่เดียวเท่านั้น
เหล่าองครักษ์ทั้งหมดที่รายล้อมอยู่รวมทั้งร่างแปรของท่านโหวหั่วเลี่ยต่างก็กำลังตื่นเต้นยินดี และในขณะนี้เอง…
“ปัง”
ศาลาแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลลุกไหม้ขึ้นมาในทันใด สิ่งมีชีวิตในร่างมนุษย์สายหนึ่งแปลงร่างเป็นลำแสงแล้วพุ่งเข้ามาสังหาร ก่อนหน้านี้มันเก็บงำกลิ่นอายทั้งหมดเอาไว้ก็ย่อมมิอาจสังเกตพบได้ แต่ในขณะนี้กลิ่นอายกลับระเบิดออกมาจนหมด ทันใดนั้นความแข็งแกร่งของกลิ่นอาย… กลายเป็นสิ่งที่แข็งแกร่งที่สุดในที่แห่งนี้ ถึงขนาดที่แข็งแกร่งกว่าผู้คุ้มกันลับร้อยคน แข็งแกร่งกว่ามารเฒ่าเหนียนจิ่วที่สำแดงเคล็ดการร่วมโจมตีเสียอีก
มันมีสองขาที่ข้อต่อพลิกกลับด้าน มีแขนอันยาวเหยียดราวกับลิงป่าสองข้าง ตลอดร่างมีเกล็ดเกราะปกคลุม และมีตาเดี่ยวสีเขียวเข้มข้างหนึ่ง
“เหนียนจิ่ว ร่วมมือกับมารรับใช้สังหารคุณชายเสวี่ยอิงผู้นั้นเสีย หลังจากที่เสร็จเรื่องแล้วข้าจะเอาอีกสิบสองล้านแก้วผลึกจักรวาลที่เหลือให้เจ้าเอง” เสียงหนึ่งส่งสารมายังมารเฒ่าเหนียนจิ่ว
“ฮ่าฮ่าฮ่า…” มารเฒ่าเหนียนจิ่วปิติยินดียิ่ง นี่เขาเพิ่งรู้ว่าที่แท้แล้วเบื้องหลังกานก้านเสวียก็คือพญามารผู้นี้
“ท่านประมุขวัง ท่านจงวางใจได้อย่างเต็มที่” มารเฒ่าเหนียนจิ่วลำพองใจล้นฟ้า เป็นถึงมือสังหารผู้เลื่องชื่อแห่งทะเลสาบมารทมิฬ เขาก็ย่อมรู้จักพญามารในทะเลสาบมารทมิฬผู้นี้อยู่แล้ว ถึงแม้ว่าสถานะของแต่ละคนจะห่างชั้นกันเป็นอย่างมาก แต่เขามีเคล็ดวิชาร่างแยก ก็มิได้เกรงกลัวเลย
“แย่แล้ว”
ร่างแปรของท่านโหวหั่วเลี่ยที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งกลับมองดูสิ่งมีชีวิตร่างมนุษย์ที่บุกสังหารเข้ามาด้วยสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวง
“มารรับใช้เฉาชิ่งหรือ” ร่างแปรของท่านโหวหั่วเลี่ยตระหนักขึ้นมาได้แล้ว
“ปัง!”
ภายใต้ความดุร้ายของมารรับใช้ตนนี้ พลังการโจมตีซึ่งหน้ายังเหนือกว่ามารเฒ่าเหนียนจิ่วเสียอีก เขากับมารเฒ่าเหนียนจิ่วร่วมมือกัน ดูเหมือนว่าเพียงพริบตาเดียวก็จะสามารถทำลายการต้านทานของค่ายกลรบที่ผู้คุ้มกันลับสร้างขึ้นได้แล้ว เหล่าผู้คุ้มกันลับแตกพ่ายกระจัดกระจาย ไร้ซึ่งความสามารถที่จะต้านทานเอาไว้ได้อย่างสิ้นเชิง
ไม่ว่าจะเป็นมารเฒ่าเหนียนจิ่ว หรือว่ามารรับใช้เฉาชิ่ง ก็มิได้ไล่สังหารผู้คุ้มกันลับเหล่านั้นเลย เป้าหมายของพวกเขามีอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น…นั่นก็คือคุณชายเสวี่ยอิง!
“มารรับใช้เฉาชิ่งหรือ ช่างไม่เสียดายเลย ไม่เสียดายเลยจริงๆ” ร่างแปรของท่านโหวหั่วเลี่ยคลุ้มคลั่งขึ้นมา
“ไสหัวไป”
มารรับใช้คำรามเสียงต่ำพลางกางกรงเล็บออกมา ห้วงอากาศก็ลุกไหม้ขึ้นมาในทันใด ร่างแปรของท่านโหวหั่วเลี่ยก็แหลกสลายไปในทันที ขณะที่แหลกสลาย นัยน์ตาของร่างแปรของท่านโหวหั่วเลี่ยยังมีแววไม่ยอมจำนนและโกรธแค้น และความขอโทษขอโพยต่อ ‘อิงซานเสวี่ยอิง’ ที่นั่งอยู่บนรถม้าอย่างไร้ซึ่งเรี่ยวแรงต้านทานผู้นั้นอีกด้วย
“เสวี่ยอิงเอ๋ย เป็นเพราะข้าหั่วเลี่ยไร้ความสามารถเอง” ท่านโหวหั่วเลี่ยเจ็บปวดใจเป็นอย่างยิ่ง
ฟิ้ว ฟิ้ว
มารรับใช้เฉาชิ่งและร่างแยกทั้งหกของมารเฒ่าเหนียนจิ่วบุกสังหารเข้ามาพร้อมกัน
ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งอยู่บนรถม้า ในมือกุมหอกยาวอย่างสงบนิ่งเช่นเดิม “มารรับใช้หรือ อ้างอิงจากบันทึกในตำรา รูปลักษณ์เช่นนี้คงจะเป็นมารรับใช้ ‘เฉาชิ่ง’ กระมัง”
ทางด้านการสร้างหุ่นเชิดของดินแดนจิตโลกาก็สูงส่งลึกล้ำกว่าเป็นอย่างมากเช่นเดียวกัน
มารรับใช้เฉาชิ่งก็คือหุ่นเชิดที่มีชีวิตเลือดเนื้อตนหนึ่งมีจิตใจจงรักภักดี เกิดเป็นหุ่นเชิด เจ้านายอยากให้มันตาย ก็ต้องยอมตายอย่างสุดความสามารถ มารรับใช้เฉาชิ่ง… ก็นับว่าค่อนข้างต่ำต้อยในบรรดาหุ่นเชิดมีชีวิตเลือดเนื้อระดับขั้นอลวน ได้มีการสร้างขึ้นมาอย่างดาษดื่นไปทั่วแล้ว ก็มีเทพจักรวาลที่แกร่งกล้าบางคนสร้างขึ้นเองแล้วนำมาขายข้างนอก
มารรับใช้เฉาชิ่ง ในยามปกติจะมีพลังยุทธ์ระดับชั้นที่หกของวังปฐมเทพ แต่ถ้าหากสั่งสมโดยการเผาร่างกายตนเอง ก็สามารถสำแดงพลังยุทธ์ระดับชั้นที่เจ็ดของวังปฐมเทพออกมาได้! แต่ทุกครั้งที่สำแดงพลังปราณก็ต้องได้รับบาดเจ็บสาหัส หลังจบเรื่องแล้วก็จำเป็นต้องให้อาหารเป็นวัตถุวิเศษที่ใช้สร้างวิญญาณขึ้นมาใหม่จำนวนหนึ่งเพื่อฟื้นฟูพลังยุทธ์ มันถึงขนาดที่สามารถทำการโจมตีด้วยการระเบิดตนเองได้ พลังคุกคามก็ยังสามารถเพิ่มพูนขึ้นได้อีกหลายเท่า
เพราะถึงอย่างไรก็เป็นมารรับใช้ ก็ยังขาดแคลนทางด้านระดับขั้นอยู่บ้าง พวกมันเชี่ยวชาญทางด้านการใช้กำลังล้วนๆ มากกว่า ภายใต้การร่วมมือกันของมารรับใช้เฉาชิ่งและมารเฒ่าเหนียนจิ่วจึงจะสามารถทำลายการต้านทานของผู้คุ้มกันลับได้ภายในครั้งเดียว
“คุณชาย ท่านหนีไปก่อนเถิด ข้าจะต้านรับพวกเขาเอาไว้เอง” เถียนอี้จือและองครักษ์ติดตามเก้าคนที่อยู่ด้านหลังสร้างค่ายกลรบขึ้นมาก่อนแล้ว
“ลูกพ่อ ลูกพ่อ หนีเร็วเข้าสิ ข้า ข้าจะสู้กับเขาเอง” อิงซานเลี่ยฮู่จ้องจนตาแทบถลน
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองท่านพ่อที่อยู่ข้างกายอย่างตกตะลึงอยู่บ้าง
เขามิได้มีความรู้สึกอันดีต่อท่านพ่อผู้นี้มาโดยตลอด แต่ในขณะนี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงเปลี่ยนความคิดไปแล้วจริงๆ!
เขาจะไปเข้าใจความคิดของอิงซานเลี่ยฮู่ได้อย่างไรกัน ในยามนี้อิงซานเลี่ยฮู่ก็โมโหจนแทบคลั่งแล้วจริงๆ เขาเป็นบุตรชายคนรองของท่านโหวหั่วเลี่ย เวลาที่ท่านโหวหั่วเลี่ยมีเขานั้นพลังยุทธ์ยังอ่อนแอเป็นอย่างมาก เขา อิงซานเลี่ยฮู่มีสายโลหิตอันอ่อนแอ และเคยพยายามฝึกฝนอย่างหนักมาก่อนแล้ว แต่ในท้ายที่สุดก็ยังยากที่จะยกระดับได้ เขาจึงสิ้นหวังเสียแล้ว ดังนั้นจึงจมดิ่งอยู่กับการเสพสุขหาความสำราญ
ท่านโหวหั่วเลี่ยวางแผนจัดงานสมรสให้กับเขา เขาก็ได้แต่ยอมรับด้วยเสียงหัวเราะแหะๆ เท่านั้น ‘ฉานอวี้เยี่ยนเจิน’ ผู้เป็นภรรยาของเขาผู้นั้นเริ่มแทรกแซงแล้วค่อยๆ ควบคุมทรัพย์สมบัติต่างๆ ภายใต้ชื่อเขาไปทีละเล็กละน้อย เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรเล่า แต่เขาก็ได้แต่ยอมรับด้วยเสียงหัวเราะแหะๆ เช่นกัน
เขาคร้านจะไปยุ่งวุ่นวายกับสิ่งต่างๆ เอาแต่หาความสำราญเพียงอย่างเดียว ถึงแม้ว่าเขาจะมีผู้หญิงมากมาย มีลูกกว่าสามร้อยคน เขาก็ไม่เคยจะไปยุ่งวุ่นวายเลยเช่นเดียวกัน ก็มีเพียงลูกที่มีพลังยุทธ์แข็งแกร่ง พรสวรรค์สูงส่งเท่านั้นที่เขาจะไปดูบ้างเล็กน้อย ในใจของเขาก็หวังว่าจะมีลูกของตนสักคนที่สามารถโดดเด่นจับตาขึ้นมาได้
ผ่านมานานปีถึงเพียงนี้แล้ว…
ถึงแม้ว่าเขา อิงซานเลี่ยฮู่จะเอาแต่เมาหัวราน้ำอยู่ข้างนอก แต่เขาก็เข้าใจดีว่าในใจของสมาชิกตระกูลอ๋องโหวจำนวนมากมายต่างก็ดูแคลนเขา! เพราะว่าเขาอ่อนแอเกินไป เป็นเพียงแค่เทพแท้คนหนึ่งเท่านั้น ถ้าหากมิใช่บุตรชายของท่านโหวหั่วเลี่ย เกรงว่าคงจะเป็นได้เพียงแค่ชาวบ้านธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้นเอง
ถูกดูแคลนมาโดยตลอด
ในที่สุดก็ถึงวันที่อิงซานเสวี่ยอิงบุตรชายของเขาถือกำเนิด พอเกิดมาแล้วก็ปั่นป่วนไปทั่วทุกสารทิศ! ท่านโหวหั่วเลี่ย หรือแม้กระทั่งแม่เฒ่าอิงซานต่างก็ให้ความสำคัญ
ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนทั่วทั้งเมืองอัคคีโชติต่างพากันพรั่นพรึง ตั้งแต่นั้นมาเมื่อได้เห็นเขา อิงซานเลี่ยฮู่ ก็ไม่มีผู้ใดกล้าไม่เคารพ ความรู้สึกที่ได้รับการเคารพเช่นนี้ อิงซานเลี่ยฮู่ชมชอบเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้เขาจะรู้สึกได้ว่าบุตรชายไม่ชอบเขาเอาเสียเลย ถึงขนาดที่เคยไม่มอบแก้วผลึกจักรวาลให้เขามาแล้ว แต่เขาก็มิได้ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย
“ข้าอิงซานเลี่ยฮู่มีบุตรชายคนหนึ่งที่ชื่อว่าอิงซานเสวี่ยอิง! ข้าตายได้ แต่บุตรชายข้าจะตายมิได้” อิงซานเลี่ยฮู่แทบจะคลุ้มคลั่งแล้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งอยู่ที่นั่น
มองดูมารเฒ่าเหนียนจิ่วและมารรับใช้เฉาชิ่งที่พุ่งเข้ามาสังหารจากที่ไกลๆ ราวกับลำแสงก็มิปาน
ตงป๋อเสวี่ยอิงสายตาเยียบเย็น
“ปัง…”
ห้วงอากาศในอาณาบริเวณล้านลี้โดยรอบพลันระเบิดและบิดเบี้ยว เต็มไปด้วยภาพของการทำลายล้าง ห้วงอากาศที่บิดเบี้ยวนี้ย่อมห่อหุ้มผู้คนทั้งหมดในที่นี้เอาไว้ และห่อหุ้มมารรับใช้เฉาชิ่งกับร่างแยกทั้งหกของมารเฒ่าเหนียนจิ่วเอาไว้ด้วยเช่นกัน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น