Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 33 ตอนที่ 13-15
ตอนที่ 13 แปดพันปี
Ink Stone_Fantasy
“ลูกพ่อกำลังอ่านหนังสืออยู่หรือ พ่อเอาของที่เจ้าชอบกินมาให้เจ้าด้วยนะ”
อิงซานเลี่ยฮู่พลิกมือคราหนึ่ง ประคองถาดไม้ใบหนึ่งด้วยมือข้างเดียว บนถาดไม้มีตะแกรงไม้และจานหยกอยู่จำนวนหนึ่ง ซึ่งวางอาหารเลิศรสเอาไว้ ส่งกลิ่นหอมอบอวล
ตอนนั้นที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสังหารฝูงมารผลาญทำลาย แล้วก็เดินทางไปตระเวนกินอาหารเลิศรสตามที่ต่างๆ ตอนนี้กลับชาติมาเกิดมาถึงดินแดนจิตโลกา เพิ่งเริ่มต้น นอกจากพลิกอ่านตำราจำนวนมากแล้ว ก็ได้ไปยังหอสุราอันเลื่องชื่อของเมืองอัคคีโชติ และร้านสุราริมทางหลายแห่งเพื่อลิ้มชิมอาหารเลิศรส ตอนนี้สมาชิกตระกูลอ๋องโหวจำนวนมากของเมืองอัคคีโชติต่างก็รู้กันว่า… คุณชายน้อยเสวี่ยอิงผู้นี้ชมชอบอาหารเลิศรส
“ผู้อาวุโสเถียน ข้าต้องการจะปลีกวิเวกบำเพ็ญ ผู้ใดก็อย่าได้มารบกวนเป็นอันขาด” ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับเบือนหน้าหนีไป
“ลูกพ่อ ลูกพ่อ” อิงซานเลี่ยฮู่เดินเข้ามา
แต่ผู้อาวุโสเถียนกลับเอาร่างกายเข้าขวางเอาไว้ ขวางอยู่ตรงเบื้องหน้าอิงซานเลี่ยฮู่ “คุณชายเสวี่ยอิงจะปลีกวิเวก ห้ามรบกวนเป็นอันขาด”
“เฮ้อ”
อิงซานเลี่ยฮู่เห็นเหตุการณ์แล้วก็ได้แต่เบะปากอย่างจนใจ แล้วหยิบเอาติ่มซำในจานไม้ใบหนึ่งโยนเข้าปากอย่างส่งๆ จนหมดเกลี้ยง “ของอร่อยถึงเพียงนี้ก็ไม่ยอมกิน จริงๆ เลยนะ…เฮ้อ ข้าให้ซิงหลันกินก็ได้”
อิงซานเลี่ยฮู่หันศีรษะไปแล้วไปหาหรงซิงหลัน
ผู้อาวุโสเถียนเห็นเหตุการณ์นี้แล้วก็พึมพำเสียงต่ำกับตนเองว่า “อิงซานเลี่ยฮู่ผู้นี้ช่างหน้าหนาเสียจริงเชียว”
สิงห์เมฆาทะมึนสองตนที่หมอบอยู่ตรงนั้นเหลือบมองอิงซานเลี่ยฮู่ที่จากไปแวบหนึ่งแล้วก็หลับตาลงสู่ห้วงนิทราต่อไป
……
“เฮ้อ… จะตีก็ตีไม่ได้ จะผลักก็ผลักไม่ได้ หนังหน้าก็หนาถึงเพียงนี้ ช่างน่าปวดหัวเสียจริง” ตงป๋อเสวี่ยอิงหลบเข้ามาในเจดีย์สูงแห่งหนึ่ง ภายในเจดีย์มีห้วงมิติอันปั่นป่วนอยู่ ตรงกลางนั้นมีก้อนหินใหญ่ขนาดพื้นที่ประมาณหนึ่งจั้งลอยอยู่ ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้ามาแล้วก็ปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศบนก้อนหินใหญ่ก้อนนั้นแล้วนั่งลงขัดสมาธิ
ห้วงมิติอันปั่นป่วนที่ล้อมรอบอยู่บางส่วนแทรกผ่านเข้าไปภายในร่างกายของตงป๋อเสวี่ยอิง
เพื่อการบำเพ็ญวิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่า จวนท่านโหวหั่วเลี่ยได้ซื้อเจดีย์เทพอากาศแห่งหนึ่งมาเป็นพิเศษสำหรับให้ตงป๋อเสวี่ยอิงบำเพ็ญ
“บิดาในชาตินี้น่ะหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะ
เขาไม่ชอบอิงซานเลี่ยฮู่จากก้นบึ้งของจิตใจ
ถึงอย่างไรก่อนที่ตนเองจะถือกำเนิดและสำแดงพรสวรรค์อันน่ามหัศจรรย์…อิงซานเลี่ยฮู่ก็ไม่เคยแยแสความเป็นความตายของลูกๆ เหล่านี้เลยสักนิด รู้จักก็แต่เพียงความสุขส่วนตนเท่านั้น! กับหรงซิงหลัน ก่อนหน้านี้ก็มิได้มีความรู้สึกด้วยเลยแม้แต่น้อย ลำพังแค่สิ่งเหล่านี้ก็ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่ชอบพอเขาเป็นอย่างมากแล้ว
เพียงแต่ว่า…
หลังจากที่ตนถือกำเนิดแล้วมีความน่าอัศจรรย์เหลือล้น อิงซานเลี่ยฮู่กลับมาที่นี่แทบไม่เว้นแต่ละวันพร้อมรอยยิ้มเต็มหน้า กระตือรือร้นเป็นอย่างยิ่ง ตนเองจะไม่สนใจเขาก็ได้ แต่อิงซานเลี่ยฮู่กลับหันไปเอาใจหรงซิงหลัน เอาของกินและเครื่องประดับต่างๆ มาเอาใจหรงซิงหลันอยู่เป็นประจำ หรงซิงหลันค้นพบว่าสามีของตนทำดีต่อตนเองเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้จะรู้ว่ามีเหตุผลอยู่เบื้องหลังการทำดี แต่ก็ค่อยๆ ให้อภัยเขาแล้ว
หรงซิงหลันกับอิงซานเลี่ยฮู่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ได้แต่พยายามหลบอย่างสุดกำลัง “เอาล่ะๆ ขอเพียงแค่ท่านแม่เบิกบานใจ ขอเพียงแค่เขาไม่ก่อเรื่อง ก็ถือเสียว่าทำเพื่อให้ท่านแม่เบิกบานใจก็แล้วกัน”
“ในเมื่อปลีกวิเวกแล้วก็ตั้งใจบำเพ็ญสักหน่อยแล้วกัน”
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูตำราในมือแล้วเก็บลงไปในทันที ตำราเล่มนี้ก็อธิบายเกี่ยวกับประมุขรัฐเมฆทักษิณาเช่นเดียวกัน
หลายปีมานี้…
ตงป๋อเสวี่ยอิงรวบรวมตำราที่อธิบายเกี่ยวกับประมุขรัฐเมฆทักษิณาเอาไว้มากมาย ทั่งยังรวบรวมข้อมูลเอาไว้จำนวนหนึ่งด้วย เขาค้นพบจากสิ่งเหล่านั้นว่าประมุขรัฐเมฆทักษิณาไปถึง ‘การกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอด’ แล้ว ทั้งยังมีร่างแยกอีกด้วย! นี่ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าการอยู่ภายในสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์นั้นดูจะมีอนาคตอันสดใสยิ่ง ควรค่าแก่การให้ตนทุ่มเทบำเพ็ญ
******
ตงป๋อเสวี่ยอิงเก็บตำราแล้วนั่งขัดสมาธิบนก้อนหินใหญ่ที่ลอยอยู่ก้อนนั้นแล้วเริ่มต้นบำเพ็ญ
ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่เหมือนกับคนข้างๆ เขาบำเพ็ญวิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่าโดยไม่มีจุดติดขัดใดๆ เลย ถึงอย่างไรระดับสูงที่สุดของฉบับย่อนี้ก็เป็นเพียงแค่พลังยุทธ์ระดับชั้นที่เก้าของวังปฐมเทพเท่านั้น บวกกับความที่พลังยุทธ์ของประมุขรัฐเมฆทักษิณาแข็งแกร่งเป็นที่สุด สิ่งที่คิดค้นขึ้นก็เป็นสิ่งที่ง่ายต่อการเรียนรู้ ระดับความยากก็เทียบเคียงได้กับเคล็ดวิชาระดับชั้นที่แปดของเจดีย์ดาวที่ตนคิดค้นขึ้นในชาติก่อนเท่านั้นเอง
บวกกับการที่ห้วงอากาศของโลกกำเนิดทั้งสองแห่งมีส่วนที่คล้ายคลึงกันเป็นอย่างมาก ก็ย่อมไม่มีจุดติดขัดแต่อย่างใดอยู่แล้ว
ส่วน วิถีโลกเทียม’ ที่เป็นวิถีหลักของตนอีกสายหนึ่งนั้น เพราะดูเหมือนว่าความเร้นลับของกฎเกณฑ์จะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง การบำเพ็ญจึงเนิ่นช้าลงไปเป็นอย่างมาก นี่ก็เป็นเหตุผลที่ตงป๋อเสวี่ยอิงวางแผนจะอาศัยเส้นทางวิถีอากาศทำให้สำเร็จเป็นขั้นอลวนก่อน พอวิญญาณแข็งแกร่งแล้วการบำเพ็ญวิถีโลกเทียมจึงจะรวดเร็วยิ่งขึ้นได้
“ครืน…” ร่างกายส่งเสียงคำราม
ภายในเจดีย์เทพอากาศประกอบด้วยเสาแก้วผลึกแปดต้น ผลิตห้วงมิติอันปั่นป่วนแทรกผ่านเข้าไปภายในร่างกายของตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อร่างกายของเขา ฤทธิ์ยาอันล้ำค่าจำนวนหนึ่งที่ใช้ในร่างกายก็กำลังบำรุงกระดูก กล้ามเนื้อ และโลหิต ทำให้สายโลหิตภายในกายค่อยๆ อุดมสมบูรณ์ขึ้น อันที่จริงแล้วจุดประสงค์หลักที่สุดของเจดีย์เทพแห่งนี้ก็เพื่อการบำเพ็ญร่างเมฆทักษิณาทิพย์
วิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่ามาพร้อมกับเคล็ดวิชาหลอมร่างกายที่สำคัญเคล็ดหนึ่งก็คือ ‘ร่างเมฆทักษิณาทิพย์’
ยิ่งบำเพ็ญร่างเมฆทักษิณาทิพย์ต่อไป ก็ยิ่งต้องการสมบัติล้ำค่าจำนวนมหาศาล ดูดซับสารที่สำคัญของมันเข้าไปในร่างกาย พูดว่าเป็นการบำเพ็ญร่างกาย แต่ในความเป็นจริงแล้วก็เหมือนกับการทำให้ร่างกายกลายเป็น ‘อาวุธลับล้ำค่า’ ระหว่างการบำเพ็ญ เมื่อบำเพ็ญไปจนถึงที่สุดแล้วทุกส่วนของร่างกายต่างก็สามารถใช้เป็นอาวุธในการต่อสู้ได้ทั้งสิ้น
ร่างกายสามารถเรียกได้ว่าแข็งแกร่งมิอาจทำลาย ทั้งยังมีผลของ ‘การกลายเป็นอากาศธาตุ’ ร่วมด้วย ก็จะเชี่ยวชาญด้านการเคลื่อนที่ผ่านอากาศหนีเอาชีวิตรอดเป็นที่สุด
ดังนั้น เคล็ด ‘ร่างเมฆทักษิณาทิพย์’ นี้จึงเป็นเคล็ดวิชารักษาชีวิตที่ค่อนข้างสมบูรณ์แบบ นี่ก็คือเหตุผลที่แท้จริงที่สำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ สำนักวิชาที่มาจากรัฐประเทศชั้นรองแห่งหนึ่งสามารถกลายเป็นหนึ่งในสิบสำนักใหญ่แห่งดินแดนจิตโลกาได้
……
กาลเวลาเคลื่อนผ่าน
“หืม” ตงป๋อเสวี่ยอิงพลันเกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้นในใจแล้วหยุดการบำเพ็ญลงในทันที
“ครบแปดพันปีแล้วหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าน้อยๆ เขาวางแผนเอาไว้ว่าจะบรรลุไปถึงขั้นรวมเป็นหนึ่งภายในระยะเวลาแปดพันปีหลังถือกำเนิด ถึงแม้ว่าระยะเวลาระหว่างการบำเพ็ญจะผ่านไปอย่างเงียบงันไร้สุ้มเสียง แต่ในระหว่างความมืดมิดนั้น มาถึงเวลานี้เขาก็ย่อมสามารถหยุดลงได้แล้ว
“บำเพ็ญกระบวนท่าที่สี่และห้าของวิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่าสำเร็จแล้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่น
ปัง
ตลอดร่างพลันสำแดงใบมีดอากาศอันไร้รูปร่างสายแล้วสายเล่าออกมา เหินลอยไปทุกทิศทุกทาง บริเวณที่ผ่านไปนั้น อากาศก็ถูกตัดออกเป็นระลอกๆ ความยิ่งใหญ่ของการคุกคามนั้นถึงขนาดที่มีรูปแบบของฉุนอวี้เว่ยอีผู้นั้นอยู่หลายส่วน
พรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ!
ทันใดนั้นร่างกายของตงป๋อเสวี่ยอิงก็กะพริบอย่างรวดเร็ว เคลื่อนที่ในพริบตาไปยังที่ต่างๆ ภายในห้วงมิติของเจดีย์เทพอากาศแห่งนี้ แล้วร่อนกลับไปบนหินก้อนใหญ่ที่เดิม
“สำเร็จการเคลื่อนที่ในพริบตาแล้วด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าน้อยๆ
กระบวนท่าที่สี่และกระบวนท่าที่ห้าของวิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่า… ต่างก็เป็นเคล็ดวิชาระดับชั้นที่หกของวังปฐมเทพ
กระบวนท่าที่หก กระบวนท่าที่เจ็ดต่างก็เป็นเคล็ดวิชาระดับชั้นที่เจ็ดแล้ว
กระบวนท่าที่แปดนั้นเป็นเคล็ดวิชาระดับชั้นที่เจ็ดของขั้นอลวน เพราะว่ายักษ์ใหญ่ขั้นอลวนจำนวนหนึ่ง หากใช้เพียงแค่ความเร้นลับของขั้นรวมเป็นหนึ่งก็ยังไม่แน่จริงๆ ว่าจะไปถึงพลังรบชั้นที่เจ็ดได้ ดังนั้นสำหรับกระบวนท่าที่แปด…ก็ใช้ความเร้นลับบางอย่างของขั้นอลวน ทำให้เหล่ายักษ์ใหญ่ขั้นอลว
โดยทั่วไปต่างก็สามารถไปถึงพลังรบชั้นที่เจ็ดได้ พลังยุทธ์ชั้นที่เจ็ดจึงจะมีคุณสมบัติเป็นเฟิ่งโหวได้!
กระบวนท่าที่เก้า และกระบวนท่าที่สิบนั้นเป็นพลังยุทธ์ระดับชั้นที่แปดของวังปฐมเทพ
กระบวนท่าที่สิบเอ็ด และกระบวนท่าที่สิบสองก็คือพลังยุทธ์ระดับชั้นที่เก้าของวังปฐมเทพ
“ออกไปเดินเล่นผ่อนคลายจิตใจสักหน่อยดีกว่า กลับมาก็ค่อยบรรลุขั้นรวมเป็นหนึ่ง” ตงป๋อเสวี่ยอิงยืดกายลุกขึ้น มาถึงพลังยุทธ์เช่นนี้ เขาก็ผ่อนคลายเป็นอย่างยิ่ง
ระดับชั้นที่หกของวังปฐมเทพ…
ต้องรู้ไว้ว่าภายในจวนโหว ศิษย์ระดับชั้นที่ห้าของวังปฐมเทพก็สามารถเป็นผู้อาวุโสได้แล้ว เหล่าเค่อชิงที่มาจากภายนอกที่เป็นระดับชั้นที่หกของวังปฐมเทพ ขอเพียงแค่มาสวามิภักดิ์ต่อจวนโหว ก็สามารถเป็นผู้อาวุโสได้แล้ว ยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่ที่มีพลังยุทธ์เหล่านี้ เพียงแค่เข้าร่วมกับตำหนักทิพย์เมฆทักษิณาต่างก็สามารถครองสถานะอันสูงส่งมีอภิสิทธิ์พิเศษได้แล้ว ในโลกกำเนิดอากาศอันสับสนอลหม่านอีกแห่งหนึ่ง สิ่งที่ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนกำเนิดใหม่มีนั้นก็เพียงแค่พลังรบระดับชั้นที่หกเท่านั้นเอง
ออกมาจากเจดีย์เทพอากาศ
พรึ่บ พรึ่บ
สิงห์เมฆาทะมึนสองตนที่เฝ้าอารักขาอยู่ด้านนอกเจดีย์บินโฉบเข้ามาในทันที ในความเป็นจริงแล้วลานรอบเจดีย์เทพอากาศแห่งนี้ล้วนมียามรักษาการณ์เฝ้าอารักขาอยู่ตลอดเวลา ในยามที่ตงป๋อเสวี่ยอิงปลีกวิเวก เกรงว่านอกจากท่านโหวแล้ว ผู้ใดก็มิกล้าบุกรุกเข้ามา
“ออกไปเดินเล่นสักหน่อย” ร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงเติบโตขึ้นเล็กน้อย มีกลิ่นอายของชายหนุ่มรูปงามรางๆ……
เพียงไม่นาน รถม้าคันหนึ่งที่ใช้สัตว์มังกรลากจูง หนุ่มน้อยหล่อเหลางดงามนั่งอยู่บนรถม้า ด้านหน้ามีสิงห์เมฆาทะมึนสองตนหมอบอยู่ ด้านข้างมีผู้อาวุโสเถียนยืนอยู่ ทั้งยังมีองครักษ์ติดตามเก้าคนยืนอยู่ด้านหลังรถม้าด้วย
ฟิ้ว
รถม้าถูกลากจนเหินเคลื่อนผ่านฟากฟ้าอย่างรวดเร็ว บินทะยานมุ่งหน้าไปยังจวนโหว
“คุณชาย จะไปไหนก่อนหรือ” ผู้อาวุโสเถียนถาม
“ไปหอสุราลิ่วเจินก่อน ไม่ได้กินอะไรมานานเหลือเกิน ท้องข้าร้องโครกครากหมดแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด สิงห์เมฆาทะมึนสองตนที่หมอบอยู่ใต้เท้าต่างก็ส่งเสียงคำรามอย่างพึงพอใจ เห็นได้ชัดว่าพวกมันทั้งสองก็ชอบอาหารเลิศรสของหอสุราลิ่วเจินแห่งนั้นเช่นเดียวกัน
ตอนที่ 14 พานพบ
Ink Stone_Fantasy
หอสุราลิ่วเจินตั้งอยู่ริมถนนยาวต่อเนื่องกันถึงสองสามลี้ หอจำนวนมากเรียงรายกันไป แขกเหรื่อมากมายดุจสายน้ำ คึกคักอย่างไม่ธรรมดา
“คุณชายเสวี่ยอิง ท่านมิได้มาตั้งนานแล้ว รีบเข้ามาเร็วเข้า ข้าจะจัดเตรียมหอฝู่จวินเอาไว้ให้ท่านดีหรือไม่” พ่อบ้านของหอสุราคนหนึ่งรีบกุลีกุจอเข้ามาต้อนรับด้วยตนเอง เพราะหากพูดถึงความสูงส่งของสถานะแล้ว ภายในเมืองอัคคีโชติ คุณชายน้อยอิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้ ก็จัดอยู่ในอันดับแรกสุดแล้ว หากไปยั่วโมโหคุณชายน้อยเสวี่ยอิงผู้นี้เข้า เกรงว่าทั้งหอสุราก็คงจะต้องปิดตัวลงไป ณ ชั้นล่างของ ‘หอฝู่จวิน’ หอแห่งหนึ่งในหอสุรา รถเกี้ยวและสัตว์มังกรถูกจัดเตรียมไว้ที่นั่น และได้เตรียมผลไม้และเนื้อสัตว์ถาดใหญ่เอาไว้ให้สัตว์มังกร สัตว์มังกรสองตัวก็เขมือบเข้าไปคำโต
ณ ชั้นบนของหอฝู่จวิน
ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งอยู่กับผู้อาวุโสเถียนที่โต๊ะหนึ่ง องครักษ์ประจำกายทั้งเก้าแบ่งกันนั่งเป็นสองโต๊ะอยู่ที่มุมด้านข้าง สิงห์เมฆาทะมึนสองตัวก็มีอาหารรสเลิศนานาชนิดอันวิจิตรวางอยู่มากมายเช่นเดียวกัน
“แม้ชื่อเสียงของหอสุราลิ่วเจินจะจัดอยู่ในหลายสิบอันดับแรกได้อย่างพอถูไถ แต่ข้ากลับชมชอบหอสุราของพวกเขาเป็นที่สุด” ตงป๋อเสวี่ยอิงทานแล้วก็รู้สึกชุ่มชื่นหัวใจนัก ผู้บำเพ็ญที่แข็งแกร่งคนหนึ่งทานอาหารก็เพื่อดื่มด่ำกับรสชาติอันล้ำเลิศ เพราะต่อให้ไม่กินไม่ดื่มเป็นล้านล้านปีก็เป็นเรื่องเล็กน้อย
สาวใช้มีมากมายดุจเมฆ พวกนางส่งอาหารรสเลิศขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
โดยทั่วไปแล้วสาวใช้เหล่านี้ล้วนแต่เป็นระดับเทพโลกาหรือเทพแท้ เนื่องจากเมื่ออยู่ในเมืองอัคคีโชติ พลังระดับนี้ คิดจะหางานดีๆ หน่อยก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ทำได้เพียงวิ่งขาเป็นระวิงเป็นบ่าวรับใช้ปรนนิบัติผู้อื่นเท่านั้น เมื่อสำเร็จเป็นเทพอากาศแล้วจึงจะสามารถเริ่มทำเรื่องบางอย่างที่มี ‘ความยาก’ ได้บ้าง
……
หลังจากดื่มกินไปครึ่งค่อนชั่วยามแล้ว ทั้งร่างก็เต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ สุขสราญยิ่งนัก ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงค่อยๆ ชะงักลง เขาถือจอกสุราแล้วค่อยๆ ละเลียดลิ้มรส พลางมองดูทิวทัศน์บนถนนผ่านหน้าต่าง
“เอ๊ะ” ทันใดนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็เงยหน้ามองออกไปไกล ห่างจากที่นี่ราวสิบกว่าลี้ คิ้วของตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดเล็กน้อย
“คุณชายขอรับ” ผู้อาวุโสเถียนเรียก
“กินไปพอประมาณแล้ว ควรไปได้แล้วล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยืดกายขึ้น
ผู้อาวุโสเถียน สิงห์เมฆาทะมึนสองตนและเหล่าองครักษ์ประจำตัวกินไปพอประมาณแล้ว แต่ละคนต่างก็ยืดกายขึ้น
******
เหนือถนนห่างออกไปสิบกว่าลี้
รถเกี้ยวอันหรูหราคันหนึ่งแล่นข้ามท้องฟ้ามา มีสัตว์มังกรสีม่วงทองถึงแปดตัวลากอยู่ รอบตัวรถยังมีสาวใช้รูปงามหลายสิบคนอยู่ด้วย ทุกบริเวณที่ผ่านไป เหล่าผู้บำเพ็ญบนถนนต่างก็พากันหลบหลีกไปทางอื่นแต่ไกล โดยมิกล้าแหงนหน้ามอง เนื่องจากผู้ที่อยู่ในเมืองอัคคีโชติมานานหน่อยล้วนรู้ว่า…นั่นคือรถเกี้ยวของ ‘ฉุนอวี้เฟิง’ แห่งหอม่านเมฆ
ในฐานะเจ้าของหอม่านเมฆ แหล่งผลาญเงินที่ใหญ่ที่สุดของเมืองอัคคีโชติ ฉุนอวี้เฟิงย่อมมีสถานะสูงส่งอย่างยิ่ง เมื่ออยู่ในเมืองอัคคีโชติก็เป็นบุคคลทรงอิทธิพลอย่างแท้จริง ต่อให้เป็นบรรดาคนตระกูลอ๋องโหว ส่วนใหญ่ก็ล้วนมิกล้าล่วงเกินเขา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนทั่วไปจำนวนนับไม่ถ้วนเลย
ภายในตัวรถอันหรูหรา
เมื่อมองจากภายนอกแล้ว ตัวรถเหมือนจะกว้างเพียงหนึ่งจ้างกว่าๆ แต่ภายในกลับกว้างถึงสิบกว่าจ้าง
บุรุษร่างอ้วนสองคนนั่งอยู่ตรงข้ามกัน ด้านข้างมีคนงามคอยปรนนิบัติอยู่ บุรุษอ้วนท้วนคนหนึ่งย่อมเป็นฉุนอวี้เฟิง รอยยิ้มระบายไปทั่วใบหน้าเขา ทำให้ดูเหมือนมีสายลมแห่งวสันตฤดูอาบไล้ ส่วนบุรุษอ้วนท้วนอีกคนมีร่างกายใหญ่โตมาก มีกลิ่นอายเข่นฆ่าอันน่าหวาดหวั่นแผ่กำจายออกมา เพียงชั่วลมหายใจก็มีกระแสอากาศสีดำพวยพุ่งออกมาจากจมูก บรรดาสาวงามข้างกายเขาต่างพากันขวัญหนีดีฝ่อ
“พี่กาน ครั้งนี้ต้องรบกวนท่านอีกแล้ว เอาของมาให้ข้าอีกหน่อยเถิด” ฉุนอวี้เฟิงพูดอย่างขมขื่น “หากของไม่พอใช้ วันคืนของข้าก็ต้องทุกข์ทนมากทีเดียว”
“ของมีไม่มาก เดิมทีการแบ่งสรรนี่ก็เป็นเรื่องที่ล่วงเกินผู้อื่นอยู่แล้ว” บุรุษร่างยักษ์อ้วนท้วนพูดเสียงเรียบ
“ข้ารู้ว่าพี่กานก็ไม่ได้สบายเช่นกัน ข้าย่อมไม่ให้พี่กานเสียเปรียบแน่” ฉุนอวี้เฟิงพูดอย่างกระตือรือร้น
“ไม่ต้องรีบร้อน” บุรุษร่างยักษ์อ้วนท้วนกลับเฉยชาเป็นอันมาก
“ขอรับๆๆ มาๆๆ ลองลิ้มรสสุราทิพย์เทียนเฉินเถิด นี่เป็นสุราที่ประมุขรัฐของพวกเราออกจากดินแดนจิตโลกาไปพบ ‘ต้นไม้ทิพย์เทียนเฉิน’ ในจักรดาราอลหม่านจึงสามารถหมักสุราชั้นเลิศนี้ออกมาได้ ยากนักที่จะได้มาอยู่ในมือสักหน่อย” ฉุนอวี้เฟิงกวักมือคราหนึ่ง ด้านหน้าก็มีไหสุรากึ่งโปร่งแสงไหหนึ่งปรากฏขึ้น เมื่อมองผ่านไหสุรานี้ไปก็สามารถมองเห็นน้ำสุราสีเขียวทอประกายอยู่ภายในได้ ไหสุรานี้ลอยไปบนโต๊ะยาวตรงหน้าบุรุษร่างยักษ์อ้วนท้วน
“อ้อ สุราทิพย์เทียนเฉินหรือ” บุรุษร่างอ้วนท้วนจึงเผยรอยยิ้มออกมา
“สุราดีๆ” บุรุษร่างอ้วนท้วนนี้เหมือนจะพออกพอใจมาก ดื่มสุราไปพลาง มองด้านนอกไปพลาง รถเกี้ยวนี้เป็นแบบปิดมิดชิด ด้านนอกจึงมองไม่เห็นภายใน ภายในรถกลับสามารถมองเห็นทิวทัศน์ภายนอกได้อย่างง่ายดาย
เมื่อบุรุษร่างอ้วนท้วนผู้นี้ได้รับการปรนนิบัติจากสาวงามพลางดื่มสุราชั้นเลิศก็เผยรอยยิ้มออกมา จู่ๆ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนแปรไปเล็กน้อย
“นั่นมัน…”
บุรุษร่างอ้วนท้วนมองเห็นว่าท่ามกลางกลุ่มคนสองฟากถนนมีหญิงชายคู่หนึ่ง หญิงนางนั้นเป็นเพียงเทพแท้ แต่นัยน์ตาทั้งสองของบุรุษร่างอ้วนท้วนกลับมีอักขระเทพสีแดงไหลเวียนอยู่ ในใจก็อดลอบยินดีมิได้ “แสงทิพย์ที่แผ่ออกมาจากวิญญาณนี้เข้มข้นถึงเพียงนี้ ช่างเป็นยาบำรุงชั้นดีจริงๆ จุ๊ๆ แต่ข้ากลับโชคดีพบเข้าแล้ว”
“หยุดก่อน” บุรุษร่างอ้วนท้วนเอ่ยปาก
“รีบหยุดเร็วเข้า” ฉุนอวี้เฟิงรีบพูดเสียงดัง รถเกี้ยวหยุดลงทันที ฉุนอวี้เฟิงยิ้มประจบประแจงทันที “พี่กาน มีเรื่องอันใดหรือ”
“สตรีนางนั้น” บุรุษร่างอ้วนท้วนชี้ไปทางถนนไกลออกไป “คนที่สวมเสื้อสีม่วง มีปิ่นหยกอยู่บนผมคนนั้น” เขาพูดพลางทำให้ด้านข้างก่อตัวขึ้นเป็นเงาร่างของสตรีนางหนึ่งขึ้นมา
“ข้าต้องการสตรีนางนั้น” บุรุษร่างอ้วนท้วนกล่าว
ฉุนอวี้เฟิงมองออกไปไกล ข่าวสารของเขาในเมืองอัคคีโชตินั้นทั่วถึงมาก คนของอ๋องโหวนั้นจะว่าน้อยก็ไม่น้อย จะว่ามากก็มิได้มากถึงเพียงนั้น เขาล้วนรู้จักทั้งสิ้น มองเพียงปราดเดียวเขาก็มั่นใจได้ว่าสตรีนางนั้นมีพื้นเพธรรมดามาก ต่อให้เป็นตระกูลอ๋องโหว…โดยทั่วไปหากมีพลังเพียงแค่ระดับเทพแท้สถานะก็ต้องต่ำต้อยมาก
“พี่กานวางใจเถิด ข้าจะรีบไปจับตัวนางมาเดี๋ยวนี้” ฉุนอวี้เฟิงพูดยิ้มๆ
บุรุษร่างอ้วนท้วนพยักหน้า
คนภายนอกอย่างเขาคนหนึ่งจะทำเรื่องนี้ก็คงไม่ง่าย แต่ฉุนอวี้เฟิงทำเรื่องนี้ก็กลับง่ายดายมากทีเดียว
……
เหยียนเหวินและบุตรสาวมองเห็นรถเกี้ยวอันหรูหรากลางอากาศคนนั้นแต่ไกลแล้ว เมื่อจำได้ว่าเป็นรถเกี้ยวของเจ้าของหอม่านเมฆ ก็ย่อมหลีกไปข้างทางตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว
แต่ทว่า รถเกี้ยวคันนั้นกลับพุ่งตรงลงมาหยุดลงไม่ไกลจากข้างกายของพวกเขาสองพ่อลูกมากนัก
ม่านของรถเกี้ยวเปิดออก เผยให้เห็นบุรุษร่างอ้วนท้วนสองคนซึ่งมีเหล่าสาวงามคอยปรนนิบัติอยู่ นัยน์ตาเรียวเล็กของฉุนอวี้เฟิงเจ้าของหอม่านเมฆเหลือบมองลงไปเบื้องล่างด้วยความเย็นชาเป็นอย่างมาก สายตาจ้องมองตรงไปที่คู่พ่อลูกเหยียนเหวิน “นำสตรีนางนั้นขึ้นมา”
“เจ้าค่ะ” สาวใช้ด้านนอกรถกลับมีพลังไม่ธรรมดา
ทันใดนั้นก็มีสาวใช้ขั้นรวมเป็นหนึ่งสองคนบินลงไปทันที
“โปรดไว้ชีวิตด้วย ท่านเจ้าของหอม่านเมฆ โปรดปล่อยสาวน้อยด้วยเถิด” บุรุษวัยกลางคน ‘เหยียนเหวิน’ คุกเข่าวิงวอน “ข้าเป็นหมอยาของสำนักโอสถตระกูลเหยียน โปรดไว้หน้าข้าด้วยเถิด” เหยียนอวี๋ สตรีที่อยู่ด้านข้างก็ทรุดตัวลงคุกเข่าด้วยความตื่นตระหนก
“เฮอะ” ฉุนอวี้เฟิงแค่นเสียงเฮอะอย่างเย็นชาคราหนึ่ง สายตาอันเย็นเยียบดุจน้ำแข็งมองสองพ่อลูกเหยียนเหวินแวบหนึ่ง คร้านจะพูดให้มากความ
เหยียนเหวินตื่นตระหนกเหลือประมาณ จิตใจสับสนวุ่นวายไปหมด
ตัวเขาเองก็เข้าใจดีว่า…ต่อให้เป็นเจ้าสำนักโอสถของพวกเขาเอง แม้จะพอมีสถานะอยู่บ้าง แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้าของหอม่านเมฆก็ไม่กล้าเปล่งเสียง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าตัวเขาเป็นแค่หมอยาคนหนึ่งเท่านั้น
“ท่านพ่อ” เหยียนอวี๋ทั้งร้อนรนและตื่นตระหนก เมื่อตกอยู่ในเงื้อมมือของเจ้าของหอม่านเมฆแล้วจะมีจุดจบอย่างไร หากโชคดีก็ถูกแขกของหอม่านเมฆเล่นสนุก หากโชคร้าย เกรงว่าคงจะถูกย่ำยีจนต้องเอาชีวิตไปทิ้ง
“สวบ”
เงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า ซึ่งก็คือชายชราอาภรณ์สีเทาผู้หนึ่ง ชายชราอาภรณ์สีเทาปรากฏกายขึ้นตรงหน้าคู่พ่อลูกเหยียนเหวิน เมื่อกวักมือคราหนึ่ง ตู้มมม…ระลอกคลื่นอากาศกระทบเข้ากับร่างของสาวใช้ขั้นรวมเป็นหนึ่งสองนางนั้น สาวใช้สองนางนั้นถูกกระแทกเสียงดังตู้มจนกระเด็นถอยไป
“เถียนอี้จือหรือ” สายตาเยียบเย็นดุจน้ำแข็งของเจ้าของหอม่านเมฆฉุนอวี้เฟิงเหลือบมองลงมา เมื่อเห็นชายชราอาภรณ์สีเทาผู้นั้นเข้า ก็อดขมวดคิ้วมิได้ เขาจำได้ว่านั่นคือเถียนอี้จือ เค่อชิงของโหวหั่วเลี่ย
ในเวลานี้เอง
รถเกี้ยวอีกคันหนึ่งไกลออกไปก็แล่นข้ามท้องฟ้ามา บนรถเกี้ยวมีหนุ่มน้อยรูปงามผู้หนึ่งนั่งอยู่ มีสิงห์เมฆาทะมึนสองตนหมอบอยู่ด้านหน้า ด้านหลังก็คือองครักษ์ซึ่งมีท่าทีนิ่งเงียบเย็นชาเก้านาย
“ประมุขหอฉุนอวี้ ทำไมรึ แม้แต่สาวใช้ของข้าท่านก็กล้าแย่งไปอย่างนั้นหรือ” หนุ่มน้อยรูปงามนั่งอยู่ตรงนั้นพลางยื่นมือออกไปลูบขนหลังอันเรียบลื่นของสิงห์เมฆาทะมึนร่างใหญ่โตเบาๆ เขาพูดเสียงเรียบ เสียงนั้นสะท้อนก้องไปทั่วอากาศ ผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนบนถนนรอบด้านล้วนมิกล้าเปล่งเสียงออกมา
“คุณชายเสวี่ยอิง” บนใบหน้าของประมุขหอฉุนอวี้ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา เพียงแต่ขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางมองดูบุรุษร่างอ้วนท้วนข้างกายซ้ำแล้วซ้ำเล่า
สายตาของบุรุษร่างอ้วนท้วนผู้นั้นเยียบเย็น พลางมองดูตงป๋อเสวี่ยอิงบนรถเกี้ยวกลางอากาศฝั่งตรงข้าม
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มองบุรุษร่างอ้วนท้วนผู้นั้นแวบหนึ่งเช่นกัน
ตอนที่ 15 อาวุธหอกยาว
Ink Stone_Fantasy
คู่พ่อลูกเหยียนเหวินคุกเข่าอยู่ตรงนั้น ลมหายใจสะดุด ทั้งตื่นเต้นทั้งตื่นตระหนก
พวกเขามองรถสองคันซึ่งมีสัตว์มังกรลากอยู่กลางอากาศอย่างอดมิได้ รถคันหนึ่งหรูหรา ด้านบนมีประมุขหอฉุนอวี้เฟิงและบุรุษร่างอ้วนท้วนผู้ส่วนบนรถอีกคันหนึ่งมีคุณชายน้อยอิงซานเสวี่ยอิงซึ่งกำลังลูบขนของสิงห์เมฆาทะมึนอยู่ “ท่านพ่อ” เหยียนอวี๋ถ่ายเสียงให้บิดา
“วางใจเถิดๆ คุณชายเสวี่ยอิงมีสถานะไม่ธรรมดา หากเขาเอ่ยปากพูด ประมุขหอฉุนอวี้จะต้องเห็นแก่หน้าเขาอย่างแน่นอน” เหยียนเหวินถ่ายเสียงปลอบบุตรสาว ในใจกลับตื่นตระหนก
ผู้บำเพ็ญจำนวนมากบนท้องถนนหลบไปอยู่สองข้างทางตั้งนานแล้ว แม้จะมิกล้าเปล่งเสียงโหวกเหวกโวยวายแต่กลับชมดูสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น
สองฝ่ายที่ปะทะกันอยู่ด้านบน…
เป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ของทั้งเมืองอัคคีโชติโดยแท้ ฝ่ายหนึ่งปกครองแหล่งผลาญเงินที่ใหญ่ที่สุด แขกเหรื่อใต้ยังคับบัญชามีเป็นโขยง อิทธิพลยิ่งใหญ่นัก ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งคือคุณชายน้อยเสวี่ยอิงซึ่งเรียกได้ว่าเป็นที่รักของตระกูลอิงซานเป็นสิบล้านปี แม่เฒ่าอิงซานก็ยังให้ความสำคัญเลย
“คุณชายเสวี่ยอิง ข้าจะขอนำสาวใช้ของท่านคนนี้ไปตัดสวาทสักคนจะได้หรือไม่” ฉุนอวี้เฟิงยิ้ม ท่าทางกระตือรือร้นเป็นอันมาก “ข้าย่อมไม่ปล่อยให้คุณชายเสวี่ยอิงผิดหวังแน่นอน”
“เมื่อรู้ว่าเป็นคนของข้าแล้ว ท่านยังจะคิดชิงไปอีกรึ” ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งอยู่ตรงนั้นแล้วพูดตามอำเภอใจ
ฉุนอวี้เฟิงสีหน้าแข็งค้างไป
ก็แค่สาวน้อยคนเดียวเท่านั้น กลับไม่ไว้หน้าเขาเลยแม้แต่น้อย หากอิงซานจงใจหาเรื่องเพื่อจะได้เรียกผลประโยชน์ ฉุนอวี้เฟิงก็ยินดีมอบผลประโยชน์ให้ และก็นับว่าผูกสัมพันธ์กันแน่นแฟ้นขึ้นแล้ว ไหนเลยจะไปคิดว่า คุณชายน้อยเสวี่ยอิงผู้นี้เหมือนจะโง่เง่ามาก จะให้สตรีนางหนึ่งลงมือเองจริงๆ!
ฉุนอวี้เฟิงมองไปยังบุรุษร่างอ้วนท้วนด้านข้างแวบหนึ่ง
“ช่วยข้านำหญิงสาวคนนี้มาให้ได้ แล้วข้าจะจดจำน้ำใจของพี่ฉุนอวี้ในครั้งนี้เอาไว้ ส่วนเรื่องของนั่น เราค่อยคุยกันดีๆ ก็ได้” บุรุษร่างอ้วนท้วนถ่ายเสียงพูด
ในใจของฉุนอวี้เฟิงรู้สึกขมขื่น เห็นได้ชัดว่าพี่กานยังคงไม่ยอมแห้
“พี่กาน คุณชายน้อยอิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้อ่อนเยาว์เกินไป อ่อนต่อโลกเกินไป เจ้าหนุ่มวัยละอ่อนพรรค์นี้” ฉุนอวี้เฟิงถ่ายเสียงพูด
“ด้วยสถานะของพี่ฉุนอวี้ในเมืองเมืองอัคคีโชติแล้ว เรื่องเล็กเท่านี้ยังทำมิได้อีกหรือ” บุรุษร่างอ้วนท้วนถ่ายเสียงพูด
“เฮ้อ ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นเมืองอัคคีโชติ สถานะของโหวหั่วเลี่ยนั้นมิอาจสั่นคลอนได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอิงซานเสวี่ยอิงเลย คุณชายน้อยผู้นี้ก็พูดแล้วว่าเป็นสาวใช้ของเขา! ข้าจะฝืนชิงตัวมาก็กลายเป็นความผิดของข้าแล้ว นี่ก็เป็นความผิดของข้า เอิกเกริกเกินไป ข้าเอาเปรียบอะไรไม่ได้เลยแม้แต่น้อย” ฉุนอวี้เฟิงกล่าว
ฉุดคร่าผู้คน สังหารชาวบ้านทั่วไปสักคนสองคน…
ด้วยความกว้างใหญ่ไพศาลของเมืองอัคคีโชติ จำนวนผู้บำเพ็ญภายในมีเป็นล้านล้านคน ก็เป็นเรื่องเล็กน้อยมากจริงๆ แม้จะพูดจากทางด้านของกฎหมาย หากคนของอ๋องโหวทำแล้ว ก็เพียงแค่ถูกปรับแก้วผลึกจักรวาลบ้างก็เท่านั้น
แต่อันที่จริงแล้วขอเพียงไม่ทำให้เอิกเกริกเกินไป จำนวนที่แย่งชิงมีไม่มากนัก จำนวนการเข่นฆ่าก็ไม่มากนัก ก็คงไม่มีการลงโทษแต่อย่างใด!
เพราะถึงอย่างไรการฉุดคร่าชาวบ้านสักคนหนึ่ง ก็ถูกปรับไม่มากนัก หากเป็นพันเป็นหมื่นคนแล้วถูกปรับขึ้นมาจริงๆ…คนของอ๋องโหวก็คงมิอาจทนรับได้
“ยังไม่ขึ้นมาอีกหรือ ให้บิดาของเจ้ากลับไปก่อนเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงคร้านที่จะเสียเวลากับพวกเขาอีก จึงออกคำสั่งเสียงเย็นชา
ผู้อาวุโสเถียนจูงบุตรสาวเอาไว้ในมือ ขณะเดียวกันก็ถ่ายเสียงพูดให้สองพ่อลูกว่า “กลับไปกับคุณชายก่อนเถิด ส่วนคนเป็นบิดาอย่างเจ้าคิดอยากไปหาบุตรสาวเมื่อใด ก็สามารถไปเยี่ยมเยียนได้ที่จวนโหว”
“จะรีบไปโดยเร็วหรือไม่” เหยียนเหวินรีบกระตุ้น
“เจ้าค่ะ” เหยียนอวี๋บุตรสาวก็รับคำทันที
สวบ
ผู้อาวุโสเถียนจูงสตรีนางนี้ทะยานขึ้นไปถึงข้างรถเกี้ยวของตงป๋อเสวี่ยอิง นางยืนคอยอยู่ข้างตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างนอบน้อม ราวกับเป็นสาวใช้นางหนึ่งจริงๆ
“ไป” ตงป๋อเสวี่ยอิงคร้านจะมองประมุขหอฉุนอวี้เฟิงที่อยู่ตรงข้ามกันอีก
สัตว์มังกรสองตัวเปล่งเสียงคำรามออกมา แล้วลากรถเกี้ยวแล่นข้ามท้องฟ้าทะยานมุ่งหน้าออกไปไกลในทันที เหลือเพียงรถของเจ้าของหอม่านเมฆเท่านั้นที่ยังคงอยู่ตรงนั้น
ฟิ้ว
ประมุขหอฉุนอวี้เฟิงปิดม่านรถ แล้วมองไปทางบุรุษร่างอ้วนท้วนซึ่งมีสีหน้าคร่ำเครียดฝั่งตรงข้าม เขาปลอบประโลมว่า “คุณชายน้อยผู้นี้ยังอ่อนวัยนัก ทำอะไรก็เหิมเกริม แต่เดิมทีเรื่องนี้ก็เป็นพวกเราที่ขาดเหตุผลอยู่แล้ว สู้เขามิได้หรอก ข้าจะดึงดันขัดขวางไปก็ไร้ประโยชน์ หากกล้าลงมือ เกรงว่ากองทัพของจวนโหวหั่วเลี่ยคงจะบุกตรงมาทันที”
ประมุขหอฉุนอวี้เฟิงก็ถอนหายใจเสียงหนึ่ง
เพราะถึงอย่างไรตงป๋อเสวี่ยอิงก็ตรงไปตรงมา ทำให้ประมุขหอฉุนอวี้เฟิงไม่จำเป็นต้องพูดให้มากความอีก
“เฮอะ” สีหน้าของบุรุษร่างอ้วนท้วนเคร่งขรึมขึ้นมา กระแสอากาศสีดำเหนือผิวกายกระเพื่อมไหวช้าๆ แล้วพูดเสียงเย็นชาว่า “ไปหอม่านเมฆก่อนเถิด”
“ดีๆๆ” ฉุนอวี้เฟิงกล่าว
ฟิ้ว…
ไม่นานนักรถเกี้ยวอันหรูหราคันนี้ก็เหินทะยานไปอย่างรวดเร็ว เร่งมุ่งหน้าไปทางหอม่านเมฆ
‘เหยียนเหวิน’ บิดาของสตรีที่ยังอยู่ที่เดิมนั้นเห็นเข้าก็ถอนหายใจเสียงหนึ่ง แม้เขาจะพอเดาได้อยู่แล้วว่า ถึงแม้จะไม่สามารถชิงตัวบุตรสาวของตนไปได้ ก็คงจะไม่พาลมาลงเอากับตน เพราะดูท่าแล้ว ประมุขหอฉุนอวี้เฟิงคงไม่คิดจะฉีกหน้าคุณชายน้อยเสวี่ยอิงจริงๆ
“เคราะห์ดีที่คุณชายเสวี่ยอิงออกหน้าให้ มิเช่นนั้นแล้วครั้งนี้คงยุ่งยากใหญ่แล้วจริงๆ” เขาก็ลอบทอดถอนใจ แม้เมืองอัคคีโชติจะกว้างใหญ่ มีผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วน บวกกับที่มี ‘ค่าปรับ’ เป็นการลงโทษ และคนของอ๋องโหวที่เข่นฆ่าและฉุดคร่านั้นมีน้อยนัก แต่เมื่อเรื่องเกิดข้นกับตนเอง เขาก็สิ้นหวังมาก ทว่าการใช้ชีวิตอยู่ในเมืองย่อมดีกว่านอกเมืองอยู่แล้ว
นอกเมืองเป็นโลกที่วุ่นวายเต็มไปด้วยการเข่นฆ่าอย่างแท้จริง อย่างพวกเขาที่เป็นเทพแท้และเทพอากาศทั่วไปเหล่านี้ เกรงว่าหากใช้ชีวิตอยู่ภายนอกก็คงอยู่รอดได้ไม่นานเท่าไหร่ก็คงถูกสังหารแล้ว
“คุณชายน้อยเสวี่ยอิงช่างร้ายกาจจริงๆ”
“ไม่ไว้หน้าเจ้าของหอม่านเมฆเลยแม้แต่น้อย”
“คุณชายน้อยเสวี่ยอิงจะต้องแยแสเจ้าของหอม่านเมฆเสียที่ไหนกัน ด้วยพรสวรรค์ของคุณชายน้อยเสวี่ยอิงแล้ว ต้องมีอนาคตเหลือประมาณอย่างแน่นอน เกรงว่าในภายหน้าคงจะได้รับแต่งตั้งเป็นโหวอย่างแน่นอน!”
“ใช่แล้วๆ จะต้องได้รับแต่งตั้งเป็นโหวแน่ เขาย่อมแตกต่างจากคนของอ๋องโหวคนอื่นๆ อยู่แล้ว”
บรรดาผู้บำเพ็ญแน่นขนัดรอบด้านสัญจรกันต่อไป พวกเขาวิพากษ์วิจารณ์พลางรำพึงกันอย่างประปราย สำหรับพวกเขาแล้ว นี่เป็นการปะทะของบุคคลที่แทบจะเป็นระดับสูงสุดของเมืองอัคคีโชติแล้ว หากระดับสูงกว่านี้น่ะหรือ เกรงว่าคงจะต้องเป็นโหวหั่วเลี่ยและฉุนอวี้เว่ยอีแล้ว
……
บนรถเกี้ยว
ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งอยู่ตรงนั้น สาวใช้เหยียนอวี๋ที่อยู่ด้านข้างก็รีบพูดอย่างซาบซึ้งว่า “ขอบคุณคุณชายเสวี่ยอิงที่ช่วยชีวิตข้าน้อยเจ้าค่ะ”
“ข้าเอ่ยปาก เจ้าของหอม่านเมฆผู้นั้นก็ยังคงคิดจะชิงตัวเจ้าไปอยู่ดี เห็นทีคงจะเป็นความตั้งใจของสหายข้างกายเขาคนนั้นเป็นแน่ มีจิตคิดแย่งชิงอย่างมากทีเดียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดเสียงเรียบ “จากนี้ไปเจ้าก็เป็นสาวใช้ของข้าไปก่อนก็แล้วกัน หากไม่มีสถานะคุ้มกาย เกรงว่าอีกไม่นานก็คงจะถูกชิงตัวไปอีก”
“เจ้าค่ะ” เหยียนอวี๋กล่าว
นางก็สังเกตเห็นว่าบุรุษร่างอ้วนท้วนข้างกายประมุขหอฉุนอวี้เฟิงผู้นั้นมองนางด้วยสายตาเยียบเย็นและละโมบ
“ผู้อาวุโสเถียน ตรวจสอบดูทีว่าผู้ที่อยู่บนรถกับประมุขหอฉุนอวี้เฟิงในวันนี้คือผู้ใดกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว
“น่าจะมิใช่ชาวเมืองอัคคีโชติ กลับไปแล้วข้าจะให้คนในจวนโหวตรวจสอบให้แน่ชัดขอรับ” เถียนอี้จือเอ่ย
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าเล็กน้อย
เพียงแวบเดียวเขาก็มองออกแล้วว่าบุรุษร่างอ้วนท้วนผู้นั้นมีกลิ่นอายร้ายกาจมาก นอกจากนี้ยังเหมือนจะไม่แยแสฉุนอวี้เฟิงสักเท่าใดนัก ทว่าถึงอย่างไรก็เป็นเพียงขั้นรวมเป็นหนึ่งคนหนึ่งเท่านั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงไม่เห็นอยู่ในสายตาแต่อย่างใด บัดนี้ตัวเขาเองได้ฝึกกระบวนท่าที่สี่และกระบวนท่าที่ห้าของวิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่าสำเร็จแล้ว ทั้งสองกระบวนท่านั้นล้วนเป็นกระบวนท่าที่มีพลังระดับชั้นที่หกแล้ว
ส่วนพลังระดับชั้นที่เจ็ดซึ่งแข็งแกร่งกว่าน่ะหรือ หากมีพลังระดับชั้นที่เจ็ด ก็สามารถแต่งตั้งเป็นโหวได้แล้ว! ดังนั้นแม้ตงป๋อเสวี่ยอิงเพิ่งจะบำเพ็ญมาได้แปดพันปี เมื่ออยู่ในเมืองอัคคีโชติกลับเป็นระดับที่สูงอย่างยิ่งแล้ว
ไม่นานนัก
รถเกี้ยวก็มาถึงบริเวณ ‘ชุมชนของล้ำค่า’ ทั่วชุมชนของล้ำค่านั้นมีร้านรวงมากมายซึ่งจำหน่ายของล้ำค่าต่างๆ ทั้งโอสถ วัสดุและอาวุธเป็นต้น มีทั้งระดับสูงและต่ำ อย่างโลกทิพย์ทั้งห้าของอากาศอันสับสนอลหม่านที่ตนจากมานั้น โดยทั่วไปการแลกเปลี่ยนเช่นนี้ก็ล้วนแต่มีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ครอบครองเพียงลำพัง ทว่าดินแดนจิตโลกานั้นแตกต่างออกไป การแลกเปลี่ยนที่นี่รุ่งเรืองและซับซ้อนกว่า ทั้ง ‘ชุมชนของล้ำค่า’ ถึงขั้นมีค่ายกลใหญ่หมุนเวียนอยู่ ผู้ใดก็อย่าได้คิดจะช่วงชิงสมบัติล้ำค่าไปจากร้านค้าใดๆ ในชุมชนของล้ำค่าเลย
“คุณชายเสวี่ยอิง ท่านมิได้มาตั้งนานแล้ว”
“คุณชายเสวี่ยอิง รีบเข้ามาเร็วขอรับ”
เมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงมาถึง ผู้ดูแลแต่ละร้านก็ล้วนกระตือรือร้นเป็นอันมาก
เนื่องจากตลอดระยะเวลาพันกว่าปีหลังจากถือกำเนิดขึ้นมา นอกจากเขาจะชอบกินอาหารรสเลิศนานาชนิดแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ชมชอบเป็นที่สุดก็คือมาเตร็ดเตร่ในชุมชนของล้ำค่า เดินเล่นตามร้านรวงต่างๆ ชมดูการหลอมอาวุธนานาชนิด ไปจนถึงวัตถุที่ออกมาจากโบราณสถานเก่าแก่ทั้งหลาย สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงพบความพิสดารที่แตกต่างกันออกไป
ตงป๋อเสวี่ยอิงมาถึงภายในร้านค้าอันใหญ่โตแห่งหนึ่ง เพิ่งจะเข้ามา เพียงมองปราดเดียวก็เห็นหอกยาวที่แผ่กลิ่นอายโบราณอันโหดเหี้ยมซึ่งลอยคว้างอยู่กลางอากาศตรงกลางสุดของร้านเล่มนั้น
“เอ๊ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเห็นหอกยาวเล่มนั้น เมื่อสัมผัสรับรู้กลิ่นอายระลอกนั้น นัยน์ตาก็อดเป็นประกายขึ้นมามิได้
“คุณชายเสวี่ยอิง สายตาท่านเฉียบแหลมนัก” พ่อบ้านที่อยู่ด้านข้างเห็นเข้าก็เอ่ยปากขึ้นด้วยความกระตือรือร้น
……………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น