Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 32 ตอนที่ 8-14
ตอนที่ 8 การลอบสังหารของประมุขหอหมื่นโลกา
โดย
Ink Stone_Fantasy
บริเวณกฎเกณฑ์ของตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นวางโครงสร้างขึ้นตามเขตลวง ในฐานะผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดทางด้านเขตลวงในอากาศอันสับสนอลหม่าน ภายในขอบเขตของบริเวณกฎเกณฑ์ของเขา ผู้ที่สามารถแทรกซึมเข้าไปอย่างเงียบเชียบนั้นมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย! ขอเพียงเป็นตำแหน่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ บริเวณแสนลี้รอบกายเขาก็จะมีบริเวณของกฎเกณฑ์อันไร้รูปร่างปกคลุม ราวกับโลกจริงมีเขตลวงปกคลุมอยู่
“ฟิ้ว…” ชั่วขณะที่ศัตรูปะทุออกมานั้น ก็ทำให้บริเวณกฎเกณฑ์ของตงป๋อเสวี่ยอิงปะทุออกมาเช่นกัน
ภายในขอบเขตแสนลี้โดยรอบพลันเต็มไปด้วยแสงสีแปลกประหลาด โลกชั้นแล้วชั้นเล่าบิดเบี้ยว ตงป๋อเสวี่ยอิงราวกับยืนอยู่ในส่วนลึกสุดของโลกซึ่งมีจำนวนชั้นนับไม่ถ้วน
บนทุ่งร้างซึ่งเดิมทีเงียบสงบก็บิดเบี้ยวและกลายเป็นชายชราผู้หนึ่ง สัตว์ป่าซึ่งเดิมทีกำลังบินทะยานอยู่ไกลออกไปก็บิดเบี้ยวแล้วกลายเป็นชายชราผู้หนึ่งเช่นกัน แม้แต่ต้นไม้ต่ำเตี้ยเรี่ยดินเหนือทุ่งร้างก็ยังบิดเบี้ยวแล้วกลายเป็นชายชราเช่นกัน ส่วนลึกของผืนดินก็ก่อตัวขึ้นเป็นชายชราผู้หนึ่ง ชายชราปรากฏขึ้นคนแล้วคนเล่า ชายชราถึงพันคนบุกสังหารเข้ามาในบริเวณกฎเกณฑ์พร้อมกัน
พวกเขาก็เหมือนกันทุกประการ ร่างกายราวกับไม่มีอยู่จริงอย่างไรอย่างนั้น
“ประมุขหอหมื่นโลกา!” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกใจใหญ่
“ถูกพบเข้าเสียแล้ว” ประมุขหอหมื่นโลกาก็ตกใจอยู่บ้าง เคล็ดวิชาของทางสายท่านอาจารย์นั้น เขาบำเพ็ญโดยมุ่งเน้นไปทางด้านกายหยาบมากกว่า ดังนั้นร่างแยกมีจำนวนนับไม่ถ้วน แต่ความสำเร็จทางด้านอากาศกลับด้อยกว่าอยู่บ้าง มิได้บรรลุถึง ‘ขีดจำกัดการกลายเป็นอากาศธาตุ’ หากถึงขีดจำกัดการกลายเป็นอากาศธาตุ เหมือนกับฝูงมารผลาญทำลายซึ่งมีพรสวรรค์ไร้เงา สามารถแทรกซึมมาถึงข้างกายตงป๋อเสวี่ยอิงได้โดยไม่ถูกจับได้
มีได้ก็ต้องมีเสีย
เขาเลือกเส้นทางร่างแยกจำนวนนับไม่ถ้วน ทำให้เขาไม่หวั่นเกรงต่อการทำลายล้างครั้งใหญ่ของอากาศอันสับสนอลหม่าน เมื่อเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดหวั่นอย่างจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่หวั่นเกรงเลยแม้แต่น้อย
แต่พลังการต่อสู้ก็อ่อนแอไปหน่อย เส้นทางที่ ‘จ้าวภูเขาฉื้อเหมย’ ศิษย์น้องของเขาเลือกนั้นมีพลังแข็งแกร่งยิ่งกว่า ทว่าศิษย์น้องเป็นเพียงขั้นอลวนเท่านั้น
“ตู้ม”
ชั่วขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงพบเข้า ปีศาจชาด วิหคเทพสีแดงเพลิงขนาดมหึมาก็ปรากฏขึ้นด้านหลัง มันสยายปีกออก กระแสอากาศสีแดงเพลิงแผ่กำจายออกมา เขตลวงแผ่ออกไปทั่วทุกทิศทุกทาง ร่างแยกแต่ละร่างของประมุขหอหมื่นโลกาล้วนถูกรุกล้ำ
“แม้จะมีร่างแยกนับพัน ทว่าแต่ละร่างเหมือนจะอ่อนแอมากอย่างนั้นหรือ เหมือนจะอ่อนแอกว่าข้าอีกหรือนี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ ก็ถูกต้องแล้ว หากร่างแยกแต่ละร่างล้วนมีพลังระดับเทพจักรวาล เช่นนั้นประมุขหอหมื่นโลกาก็คงไร้ศัตรูไปตั้งนานแล้ว และอันที่จรองแต่ไหนแต่ไรประมุขหอหมื่นโลกาก็มิได้มีชื่อเสียงเรื่องพลังรบอยู่แล้ว แม้แต่บรรพชนโลกาหรือบรรพชนทิพย์ก็แข็งแกร่งกว่าเขาทั้งสิ้น
แม้เขตลวงที่ตนสำแดงออกมาจะร้ายกาจ แต่ประมุขหอหมื่นโลกาก็ยังคงสามารถต้านทานได้อย่างง่ายดาย แน่นอนว่าก็ต้องแบ่งจิตใจไปต้านทานด้วย
“ฆ่ามัน” ชายชรานับพันคนบุกรุกเข้ามาในขอบเขตแสนลี้จากทิศทางที่แตกต่างกัน ทันใดนั้นชายชราแต่ละคนก็พลันบิดเบี้ยวและเลือนรางไป
ศีรษะของชายชราขนาดมหึมาจนบดบังทั้งฟ้าดินปรากฏขึ้น มันกินขอบเขตกว่าสิบล้านลี้ และปกคลุมบริเวณเขตลวงของตงป๋อเสวี่ยอิงด้วย เมื่อเขาอ้าปาก ก็มีความมืดมิดอันไร้ที่สิ้นสุดปรากฏขึ้นแล้วกลืนกินไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง
“ฟิ้วๆๆ…”
ดอกตูมสีดำขนาดมหึมาดอกแล้วดอกเล่าปรากฏขึ้น
เนื่องจากดูดซับพลังงานหลังจากฝูงมารผลาญทำลายสิ้นใจไปหลายตน ทำให้วิญญาณแข็งแกร่งขึ้นมาบ้าง ขณะเดียวกับที่รักษาให้ปีศาจชาดสิบแปรคงอยู่ ก็สามารถสำแดงบุปผาเก้าใบออกมาได้แปดดอก
บุปผาเก้าใบทั้งหมดนั้น ดอกหนึ่งห่อหุ้มอีกดอกหนึ่ง ด้านในสุดก็คือตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์สีขาวทั้งร่าง ตงป๋อเสวี่ยอิงก็กระตุ้นสมบัติลับสองชิ้นที่ติดตัวขึ้นมาในพริบตา เมื่อกระตุ้นขึ้นมาแล้ว สร้อยข้อมือไข่มุกสิบสองเม็ดก็พลันส่องแสงสีทองเรืองรองปกคลุมรอบกาย ขณะเดียวกันเหนือผิวของตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวก็เปล่งรัศมีสีฟ้าออกมา
ศีรษะขนาดมหึมาของประมุขหอหมื่นโลกาเพียงแค่กลืนกิน ขอบเขตล้านลี้ล้วนถูกกลืนเข้าไปจนสิ้น รอบกายตงป๋อเสวี่ยอิงก็ล้วนตกเข้าสู่ความมืดมิด แต่เขาก็ไม่แตกตื่นเลยแม้แต่น้อย
เขายังคงมีสมบัติลับสองชิ้นคุ้มกัน อีกทั้งบริเวณกฎเกณฑ์ก็ปะทุออกไปจนสิ้นด้วย
เขตลวงปกคลุม และยังมีดอกตูมแปดดอกคอยคุ้มกันชั้นแล้วชั้นเล่าอีกด้วย
“ฟึ่บๆๆ..” แสงสีขาวระลอกแล้วระลอกเล่าปรากฏขึ้นท่ามกลางความมืด แม้บุปผาเก้าใบที่ปกป้องตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้ล้วนซ่อนตัวอยู่ในโลกลวงอย่างสิ้นเชิง แสงสีขาวเหล่านั้นก็ฝืนแทรกซึมเข้าไป ทะลุอุปสรรคของโลกชั้นแล้วชั้นเล่าจำนวนนับไม่ถ้วน อานุภาพก็ถูกผลาญไปถึงสามส่วน มันฝืนโจมตีลงบนกลีบของบุปผาเก้าใบ ไม่เสียทีที่เป็นหัวหน้าองค์กรมือสังหารที่ใหญ่ที่สุดแห่งอากาศอันสับสนอลหม่านอย่างหอหมื่นโลกา แม้กลีบบุปผาเก้าใบจะทนทานเป็นอย่างมาก แต่ภายใต้การโจมตีของจ้าวภูเขาฉื้อเหมยก็ถูกตัดเฉือนออก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงท่าไม้ตายของประมุขหอหมื่นโลกาเลย
แสงสีขาวระลอกแล้วระลอกเล่าทะลุผ่านอุปสรรคของโลกลวง ยังคงทะลุกลีบของบุปผาเก้าใบไปอย่างรวดเร็ว ทำให้บุปผาเก้าใบเริ่มถล่มทลายลงไป ทว่าขณะเดียวกับที่ถล่มทลายลงนั้น รอบกายตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีบุปผาเก้าใบปรากฏขึ้น แต่ความเร็วที่แสงสีขาวเหล่านั้นทะลุผ่านไปรวดเร็วเกินไปแล้ว เพียงพริบตาเดียวก็ทะลุผ่านบุปผาเก้าใบสิบเอ็ดชั้นต่อเนื่องกัน (มีสามชั้นที่ก่อตัวขึ้นภายหลัง)
“วิ้ง” ตงป๋อเสวี่ยอิงยังคงยืนอยู่ตรงนั้นอย่างสงบ ที่ครอบแสงอันรำไรสิบสองชั้นกลับทนทานหาใดเปรียบ ภายใต้การรุกโจมตีของแสงสีขาวเหล่านั้น เพียงแค่ที่ครอบแสงสองชั้นนอกสุดถูกทะลุผ่าน แสงสีขาวเหล่านั้นก็สลายหายไปจนสิ้นแล้ว
“แค่ลูกไม้เหล่านี้เองน่ะหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปทางความมืดมิดอันไร้ที่สิ้นสุดนั้น
กระบวนท่านี้จะว่าไปแล้วก็เนิบช้า แต่อันที่จริงการประมือของระดับเทพจักรวาลเช่นนี้กลับเป็นเพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น
เมื่อท่าไม้ตายตอนเพิ่มเริ่มต้นนั้นมิอาจจัดการเขาได้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีเวลาเพียงพอที่จะสำแดงการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นจากไปแล้ว ดังนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงจึงผ่อนคลายกว่า
“สมบัติลับรักษาชีวิตที่พวกบรรพชนทิพย์ให้ข้าไว้ไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ
พวกบรรพชนทิพย์ล้วนเคยพูดมาก่อน
ผู้ที่สามารถโจมตีการคุ้มกันของสร้อยข้อมือไข่มุกสิบสองเม็ดให้ทลายไปในพริบตาได้ ก็มีเพียงจอมเทพศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น!
ส่วนประมุขหอหมื่นโลกาน่ะหรือ ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าแม้ไม่อาศัยสมบัติลับ ตนก็มีหวังจะต้านทานท่าไม้ตายระลอกนี้ได้! แน่นอนว่าความเชื่อมั่นในตนเองก็เป็นเรื่องหนึ่ง เขาคงไม่มีทางโง่งมขนาดมีสมบัติลับสองชิ้นอยู่กับตัวแต่ไม่ใช้งานหรอก
“ฟิ้ว” ท่ามกลางความมืดมิดอันไร้ที่สิ้นสุดรอบด้าน ชายชราผู้หนึ่งปรากฏขึ้น ซึ่งก็คือประมุขหอหมื่นโลกานั่นเอง
“นี่คือสมบัติลับที่บรรพชนทิพย์หลอมขึ้นใหม่แล้วมอบให้เจ้าอย่างนั้นหรือ” ประมุขหอหมื่นโลกามองที่ครอบแสงอันเรืองรองสิบสองชั้นเหนือผิวกายของตงป๋อเสวี่ยอิง ขณะที่ทะลุผ่านโลกลวงและบุปผาเก้าใบ ท่าไม้ตายของเขาก็เหลือเพียงหกส่วนเท่านั้น! เมื่อสัมผัสได้ถึงอานุภาพของที่ครอบแสง ประมุขหอหมื่นโลกาก็เข้าใจว่าจะทะลุผ่านไปก็ต้องใช้เวลาอยู่บ้าง เนื่องจากท่าไม้ตายนี้ต้องการการสั่งสมอานุภาพ เขาเก็บตัวกบดานอยู่ และสั่งสมอานุภาพมาตั้งนาน ก็เพื่อการลอบสังหารครั้งนี้
เมื่อการลอบสังหารล้มเหลว ต่อให้สั่งสมอานุภาพไปอีก ตงป๋อเสวี่ยอิงมีศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาก็สามารถหนีไปได้อย่างง่ายดายก่อนแล้ว
ดังนั้น…ประมุขหอหมื่นโลกาก็เข้าใจว่าพ่ายแพ้แล้ว
“ถูกต้อง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
“พวกบรรพชนทิพย์ให้ความสำคัญกับเจ้านัก” ประมุขหอหมื่นโลกากล่าว “ข้าขอถามเจ้า ว่าศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาของเจ้าศึกษามาจากที่ใดกัน”
“พรสวรรค์ศาสตร์โบราณ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว
“เป็นไปไม่ได้” ประมุขหอหมื่นโลกาส่ายหน้า “กฎเกณฑ์อันสูงส่งไม่มีทางมอบพรสวรรค์เช่นนี้ให้เป็นแน่”
“อ้อ อย่างนั้นหรือ หรือว่าพวกท่านควบคุมกฎเกณฑ์อันสูงส่ง จนเข้าถึงอะไรมากมายถึงเพียงนี้เชียวหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงโต้กลับ
ประมุขหอหมื่นโลกาสะดุ้งเฮือก
ปกครองกฎเกณฑ์อันสูงส่งหรือ
อย่าว่าแต่เขาเลย ต่อให้เป็นอาจารย์ของเขา ผู้บุกเบิกทางสายนี้ก็มิได้ไปถึงระดับนั้น คิดจะควบคุมกฎเกณฑ์อันสูงส่งนั้นยากเย็นเพียงใดกัน
“ตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้ก็พูดมีเหตุผล มิได้ควบคุมกฎเกณฑ์อันสูงส่ง หรือการคาดเดาของอาจารย์อาจไม่แน่ว่าจะถูกต้องเสมอไป หรือว่าพรสวรรค์ศาสตร์โบราณจะสามารถมีศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาได้จริงๆ” ประมุขหอหมื่นโลกาพึมพำ “ทว่าบำเพ็ญจนถึงระดับท่านอาจารย์แล้ว โอกาสที่การคาดเดาของเขาจะผิดพลาดได้นั้นต่ำยิ่งนัก”
ก่อนหน้านี้เขาเชื่อว่าตงป๋อเสวี่ยอิงแอบลอบศึกษาวิธีพื้นฐานทางสายของพวกเขาแล้วผลักดันให้เกิดศาสตร์การส่งถ่ายขึ้นมา หรืออาจจะศึกษามาจากจักรพรรดิเก้าเมฆา แต่ตอนนี้เขาเชื่อว่า ยังมีความเป็นไปได้ที่น้อยมากอีกอย่างหนึ่ง ก็คือเป็นพรสวรรค์ศาสตร์โบราณจริงๆ!
ถึงอย่างไรกฎเกณฑ์อันสูงส่งก็ยากที่จะขัดเกลา
“นับว่าข้าได้รับการสั่งสอนจากการลอบโจมตีของประมุขหอหมื่นโลกาก็แล้วกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม อากาศข้างกายบิดเบี้ยวไป จากนั้นเขาสาวเท้าก้าวหนึ่งก็หายวับไปทันที
……
กลางทุ่งร้าง
จ้าวภูเขาฉื้อเหมยกำลังมองดูความเคลื่อนไหวอันใหญ่โตไกลออกไป จากนั้นก็พลันสงบลง แล้วข้างกายเขาก็มีชายชราผู้หนึ่ง
“ศิษย์พี่” จ้าวภูเขาฉื้อเหมยมองชายชรา
“พ่ายแพ้แล้ว” ชายชราส่ายหน้า
ตอนที่ 9 ยืมมีด
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ล้มเหลวได้อย่างไรกัน ศิษย์พี่ ท่านยังไม่สามารถฆ่าตงป๋อเสวี่ยอิงทิ้งได้เลยหรือ” จ้าวภูเขาฉื้อเหมยถามอย่างกระวนกระวาย ถึงแม้ว่าศิษย์พี่ของเขาจะเป็นแนวที่เน้นไปทางร่างกาย มีร่างแยกจำนวนนับไม่ถ้วน การรักษาชีวิตแกร่งกล้าจนล้นฟ้า แต่ฝีมือทางด้านการลอบสังหารก็อาจนับได้ว่าเป็นเทพจักรวาลชั้นที่หนึ่งขั้นสุดยอดแล้ว ยังจัดการขั้นอลวนคนเดียวมิได้อีกหรือ
ประมุขหอหมื่นโลกาส่ายหน้า “ฉื้อเหมย ตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้มีสมบัติลับสองชิ้นอยู่กับตัว บวกกับความล้ำเลิศด้านเขตลวง คิดจะลอบสังหารเขา เกรงว่าพวกบรรพชนทิพย์และบรรพชนโลกาก็ยังทำมิได้เลย ข้ากับเจ้าไม่เหมือนกัน เจ้าเชี่ยวชาญการกลายเป็นอากาศธาตุและการต่อสู้ประชิดตัวมากกว่า ถ้าหากเจ้าสามารถสำเร็จเป็นเทพจักรวาลได้ เชื่อว่าก็จะสามารถเข้าประชิดตัวลอบสังหารเขาอย่างเงียบงันไร้สุ้มเสียงได้แล้ว”
จ้าวภูเขาฉื้อเหมยฟังแล้วเดือดดาลแต่ก็จนใจ
เท่าที่เขาดู ศิษย์พี่ของเขาช่างเป็นเศษสวะโดยแท้! ตอนแรกก็รู้จักเลือกวิธีการรักษาชีวิตที่แกร่งที่สุด รักษาชีวิตไปถึงระดับศิษย์พี่ของเขานั้น เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วก็พอๆ กันกับท่านอาจารย์เลยทีเดียว อยากจะสังหารเขาก็ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถทำได้
วิถีทางนี้ของพวกเขา… อันที่จริงแล้วการรักษาชีวิตเองก็ร้ายกาจอยู่แล้ว การรักษาชีวิตของเขา จ้าวภูเขาฉื้อเหมยก็นับว่าอ่อนแอมากแล้ว แต่ถ้าหากสำเร็จเป็นเทพจักรวาลก็จะสามารถไปถึงการกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอดได้! อีกทั้งยังมีเคล็ดวิชาร่างแยกด้วย แต่สามารถแบ่งแยกร่างได้ถึงเก้าร่างแยก ถึงเวลานั้นที่ทำการลอบสังหาร เกรงว่าจะสามารถคุกคามเทพจักรวาลชั้นที่สองเหล่านั้นได้เลยทีเดียว ฝีมือก็สามารถเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ
แต่ร่างแยกทั้งเก้าและการกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอด เมื่อประจันหน้ากับ ‘การแตกสลายของอากาศอันสับสนอลหม่าน’ ก็ต้องตกต่ำลงไปอยู่ดี! แต่เขามีท่านอาจารย์ช่วยเหลือ ก็สามารถหลีกเลี่ยงภัยพิบัติในท้ายที่สุดนั้นได้
“ช่างเป็นตัวโง่งมคนหนึ่งโดยแท้ รู้จักแต่การรักษาชีวิตรอด พลังยุทธ์อ่อนแอได้ถึงเพียงนี้ แม้จะเป็นการแตกสลายของอากาศอันสับสนอลหม่าน ถึงเวลานั้นขอร้องท่านอาจารย์ก็ใช้ได้แล้วมิใช่หรือ” จ้าวภูเขาฉื้อเหมยเอ่ยพึมพำ
แต่ประมุขหอหมื่นโลกากลับตั้งใจแน่วแน่แล้ว…ว่าจะพึ่งตนเอง
ถึงแม้ว่าประมุขหอหมื่นโลกาจะเห็นแก่ตัวและเย็นชา แต่ก็มิได้ทะเยอทะยานเกินไปนัก
“ท่านกลัวตาย แต่ตอนนี้กลับทำลายเรื่องดีของข้าเสียได้” จ้าวภูเขาฉื้อเหมยกระวนกระวายใจอยู่บ้าง
ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่ตาย เหล่าเทพจักรวาลจะมาขอร้องให้เขาเสาะหารังระดับเกราะทองได้อย่างไรกันเล่า
“ศิษย์พี่ ข้าอยากติดต่อกับท่านอาจารย์” จ้าวภูเขาฉื้อเหมยพูด
“ติดต่อท่านอาจารย์อย่างนั้นหรือ” ประมุขหอหมื่นโลกาประหลาดใจ
“อืม” จ้าวภูเขาฉื้อเหมยพยักหน้า “จะปล่อยเจ้าตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้ให้มีชีวิตอยู่ต่อไปอีกมิได้แล้ว เขามีชีวิตอยู่ต่อไป ถึงตอนนั้นผู้ที่รู้ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาก็จะมีมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่แน่ว่าวันไหนสักวันเขาก็จะสำรวจเคล็ดร่างแยกออกมาได้”
“เช่นนั้นเจ้าก็ติดต่อเสียเถิด” ประมุขหอหมื่นโลกาพูด ในใจของเขาเองก็เข้าใจความคิดอันแท้จริงของศิษย์น้องของตน กลัวว่าจะยังเป็นเพราะศิลาปฐมโลกาเหล่านั้น เขารู้ว่าศิษย์น้องมักใหญ่ใฝ่สูง มีความทะเยอทะยานที่แตกต่างกันกับเขา ศิษย์น้องจ้าวภูเขาฉื้อเหมยนั้นมีความทะเยอทะยานเป็นอย่างมาก
จ้าวภูเขาฉื้อเหมยพยักหน้า
พรึ่บ…
ศิษย์พี่รองมีวิธีติดต่อท่านอาจารย์ของพวกเขา แต่เผชิญหน้ากับท่านอาจารย์ จ้าวภูเขาฉื้อเหมยก็ยังมีความหวั่นกลัวอยู่บ้าง
เพราะไม่เหมือนกันกับศิษย์พี่ ศิษย์พี่ไม่พึ่งพาท่านอาจารย์ ทั้งยังอิสระเสรี ส่วนเขานั้นต้องอาศัยท่านอาจารย์ในหลายๆ ด้าน ดังนั้นก็ย่อมต้องเกลี้ยกล่อมท่านอาจารย์ให้มากหน่อย
“ฟิ้ว…”
ระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างแพร่กระจายไปรอบๆ กฎเกณฑ์สูงสุดก็ร่นถอยไป
เงาร่างโปร่งแสงสายหนึ่งปรากฏขึ้น ซึ่งเป็นเงาร่างโปร่งแสงของมนุษย์ศีรษะนก เสียงก็ก้องสะท้อนไปทั่วบริเวณ “หมื่นโลกา ฉื้อเหมย พวกเจ้าสองคนเรียกหาข้าหรือ”
“ท่านอาจารย์ขอรับ”
ประมุขหอหมื่นโลกาทักทายอย่างเคารพเป็นอย่างยิ่ง คนที่ชี้แนะแนวทาง มีบุญคุณถ่ายทอดวิชา เขาก็ย่อมต้องเคารพท่านอาจารย์อยู่แล้ว
“ท่านอาจารย์ ในอากาศอันสับสนอลหม่านของพวกเรานี้ มีคนหนึ่งที่ชื่อว่าตงป๋อเสวี่ยอิง เขาสามารถสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาได้ เขาสำแดงเขตลวงไปทั่วสารทิศ ข้าสงสัยว่าเขาอาศัยเขตลวงตรวจพบวิธีการบำเพ็ญพื้นฐานจากศิษย์ของข้าและศิษย์ของศิษย์พี่หมื่นโลกา และหลังจากนั้น…” จ้าวภูเขาฉื้อเหมยเริ่มต้นพูดในทันที
หลังจากที่เงาร่างโปร่งแสงได้ฟังแล้วก็เอ่ยอย่างเรียบเรื่อยยิ่ง “จะฆ่าหรือ อยากฆ่าพวกเจ้าก็ฆ่าเสียเถิด! เรื่องนี้ไม่เห็นต้องเอามาถามข้าเลย”
“ศิษย์พี่เขาลอบสังหารล้มเหลว พวกเราก็หมดหนทางเป็นการชั่วคราว” จ้าวภูเขาฉื้อเหมยพูด
“ข้าอยู่ที่อากาศอันสับสนอลหม่านแห่งนี้ก็เผชิญกับความกดดัน ก็ไม่มีหนทางช่วยเหลือพวกเจ้าหรอก ถ้าหากไม่มีเรื่องอื่นใดแล้ว เช่นนั้นข้าก็ไปก่อนล่ะนะ” เงาร่างโปร่งแสงเอ่ยอย่างเย็นชา
จ้าวภูเขาฉื้อเหมยลังเลสงสัย แต่ก็ไม่กล้ารบเร้าอะไรมากมายอีก
เขาเข้าใจนิสัยของท่านอาจารย์ของตนเป็นอย่างดี ในเมื่อท่านอาจารย์ไม่รับปาก เช่นนั้นรบเร้าต่อไปก็อาจทำให้ท่านอาจารย์ไม่พอใจเอาได้ เขาสามารถล่อหลอกท่านอาจารย์ให้มีความสุขได้ ก็ย่อมเข้าใจอุปนิสัยของท่านอาจารย์เป็นอย่างดีอยู่แล้ว
“ข้ากับศิษย์พี่จะไปคิดหาวิธีกันดูอีกครั้ง กราบลาท่านอาจารย์ขอรับ” จ้าวภูเขาฉื้อเหมยคารวะอย่างนบนอบในทันที สุดท้ายเขาก็ลากศิษย์พี่เข้ามาเกี่ยวด้วย หมายความว่าเรื่องนี้เป็นความคิดของศิษย์พี่รอง
“กราบลาท่านอาจารย์” ประมุขหอหมื่นโลกาก็พูดขึ้นเช่นกัน เขาไม่แยแสที่ถูกศิษย์น้องใช้ประโยชน์ เขาผ่อนคลายเป็นอย่างยิ่ง
พลังยุทธ์แตกต่างกัน นิสัยใจคอก็ไม่เหมือนกัน
ประมุขหอหมื่นโลกาสามารถมองดูอากาศอันสับสนอลหม่านพินาศย่อยยับได้อย่างเฉยเมยจริงๆ ดังนั้นกับความคิดเล็กน้อยนั้นของศิษย์น้อง เขาก็แค่ยิ้มให้มันเท่านั้น
“บำเพ็ญให้ดีๆ เป็นเทพจักรวาลให้เร็วหน่อย” เงาร่างโปร่งแสงออกคำสั่งประโยคหนึ่งแล้วก็หายลับไปอย่างไร้ร่องรอย
ในพื้นที่ทุรกันดารแห่งนี้เหลือเพียงแค่ประมุขหอหมื่นโลกาและจ้าวภูเขาฉื้อเหมยเท่านั้น
“ศิษย์น้อง ท่านอาจารย์เผชิญแรงกดดันอยู่ที่อากาศอันสับสนอลหม่านแห่งนี้ ก็หมดหนทาง ข้าก็สังหารตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้” ประมุขหอหมื่นโลกาพูดจบแล้วก็หายตัวไปในทันที
จ้าวภูเขาฉื้อเหมยยืนอยู่บนความแห้งแล้งตามลำพัง สีหน้าอึมครึม
“หมดหนทางอย่างนั้นหรือ เผชิญกับแรงกดดันของอากาศอันสับสนอลหม่านอย่างนั้นหรือ ตาเฒ่าเอ๋ย! ช่างใจแคบเหลือเกิน ก็แค่มอบสมบัติลับด้านห้วงอากาศที่ร้ายกาจให้สักชิ้นหนึ่ง ข้าไม่เชื่อหรอกว่าข้าจะสังหารตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นั้นมิได้” จ้าวภูเขาฉื้อเหมยเดือดดาล เขาเข้าใจกระจ่างดีว่าท่านอาจารย์ของตนมีภูมิหลังอันล้ำลึกเพียงใด ถึงแม้จะเผชิญกับแรงกดดันของอากาศอันสับสนอลหม่าน หากคิดจะสังหารตงป๋อเสวี่ยอิงจริงๆ ก็ย่อมต้องมีวิธีอย่างแน่นอน
เพียงแต่ว่าเต็มใจที่จะลงทุนจ่ายหรือไม่เท่านั้นเอง
ถึงแม้ว่าเจ้าเด็กขั้นอลวนคนหนึ่ง ท่านอาจารย์ของเขาจะคร้านที่จะลงทุนลงแรง อีกทั้งท่านอาจารย์ของเขายังหยิ่งยโสเกินไป ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเรียนรู้ได้จากจักรพรรดิเก้าเมฆา หรือว่าสิ่งที่วิธีการพื้นฐานวิวัฒน์ออกมา เขาก็ล้วนไม่สนใจทั้งสิ้น
เพราะว่าวิชาที่เขาสืบทอดสายนี้ทั้งกว้างขวางและลึกซึ้ง เขาก็ย่อมไม่เชื่ออยู่แล้วว่าตงป๋อเสวี่ยอิงผู้อยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ได้รับวิชาสืบทอดจะสามารถวิวัฒน์ออกมาได้มากน้อยสักเท่าใด! ถึงอย่างไรจักรพรรดิเก้าเมฆาที่ถึงแก่ความตายในตอนนั้นก็ยังไม่สามารถวิวัฒน์เคล็ดร่างแยกออกมาได้เลย! ต้องรู้ไว้ว่า ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาและเคล็ดร่างแยก… ล้วนเป็นเพียงแค่พื้นฐานของวิถีนี้ของเขาเท่านั้น
แม้กระทั่งจ้าวภูเขาฉื้อเหมยก็ยังสำเร็จวิชาเคล็ดร่างแยก
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงเผชิญกับการลอบสังหารแล้วก็ส่งตัวตรงกลับมายังวังทวีสูญ
ภายในวังทวีสูญ บรรพชนห้วงอากาศและบรรพชนทิพย์ ร่างแปรของพวกเขาทั้งสองคนต่างก็คอยตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ที่นี่ ตรวจตราชุดเกราะเกล็ดที่แม่ทัพโม่กู่ทิ้งเอาไว้ชุดนั้น ใช้คำพูดของบรรพชนห้วงอากาศพูดว่า “ช่างลึกลับเหลือเกิน การกลายเป็นอากาศธาตุที่แฝงอยู่บนชุดเกราะเกล็ดนี้ช่างกระชับเสียเหลือเกิน ถ้าหากข้าสามารถตรวจสอบได้อย่างทะลุปรุโปร่ง บางทีข้าอาจจะสามารถก้าวหน้าทางด้านห้วงอากาศขึ้นไปได้อีกก้าวหนึ่งก็เป็นได้” เห็นได้ชัดว่าเขาหลงใหลเป็นอย่างยิ่ง
สำหรับบรรพชนทิพย์นั้นหรือ ก็ชมชอบที่จะสำรวจวัตถุลึกลับทุกอย่างอยู่แล้ว ‘การกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอด’ หรือ บรรพชนทิพย์ก็ย่อมกระหายอยากอยู่แล้ว เขาเองก็หวังที่จะฝังความลึกลับของชุดเกราะเกล็ดชุดนี้เข้าไปในร่างกายของตน ทำให้ตนเองมีเคล็ดวิชาการกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอดเช่นเดียวกัน พอถึงเวลาที่เขาเผชิญกับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็จะยิ่งมีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้น
“ตงป๋อเสวี่ยอิง เจ้าหยั่งรู้เป็นอย่างไรบ้างแล้ว” ร่างแปรของบรรพชนทิพย์เห็นตงป๋อเสวี่ยอิงที่เดินมาแล้วจึงตะโกนเรียกอย่างกระตือรือร้น
“ก็พอได้อะไรมาบ้าง” ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินเข้าไป
บรรพชนทิพย์พูดคุยกับตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างสุขใจยิ่งนัก
การลอบสังหารคราวนี้ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงเปลี่ยนความคิดไปเป็นอย่างมาก ถึงขนาดที่ไม่ยอมให้บุตรชายบุตรสาวและภรรยาออกไปจากวังทวีสูญโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเขาเป็นการชั่วคราว
……
กาลเวลาเคลื่อนผ่าน
โลกฟ้ากระจ่างแห่งอากาศอันสับสนอลหม่าน นี่คืออาณาเขตของจ้าวภูเขาฉื้อเหมย
วังที่เดียวดายเหน็บหนาวแห่งหนึ่ง สร้างอยู่บนยอดเขา
สาวใช้และผู้ดูและภายในวังแห่งนี้มีอยู่เพียงสิบกว่าคนเท่านั้น นับว่าน้อยนัก จ้าวภูเขาฉื้อเหมยนั่งอยู่บนบัลลังก์ตามลำพัง สายตาทะลุผ่านประตูตำหนักของวัง มองดูอากาศอันสับสนอลหม่านอันเวิ้งว้างที่อยู่ไกลออกไป
“ตงป๋อเสวี่ยอิง” จ้าวภูเขาฉื้อเหมยคิดหาหนทางอยู่ตลอดเวลา
จะต้องกำจัดเขาให้จงได้
หากไม่กำจัดทิ้งข้อตกลงอันยิ่งใหญ่ที่เขาวางแผนเอาไว้ ศิลาปฐมโลกาจำนวนมหาศาลก็จะไม่มีแล้ว!
“มีสมบัติลับคุ้มกันชีพสองชิ้นอยู่กับตัวอย่างนั้นหรือ ศิษย์พี่พูดว่าบรรพชนโลกาและจอมมารดายังยากที่จะสังหารเขา อยากจะสังหารเขา ก็มีเพียงแค่จอมเทพศักดิ์สิทธิ์เพียงคนเดียวเท่านั้นหรือ” จ้าวภูเขาฉื้อเหมยก็ไม่กล้าเชื่อสักเท่าใดนัก “เทพจักรวาลกลุ่มนั้นเห็นความสำคัญของตงป๋อเสวี่ยอิงถึงเพียงนั้น จะดีถึงเพียงนั้นเชียวหรือ”
แต่เขากลับไม่รู้ว่า
ฝูงมารผลาญทำลายที่แฝงตัวเข้ามา สงสัยว่าจะมีผู้เป็น ‘อ๋อง’ อยู่ในจำนวนนั้นด้วย ให้ตงป๋อเสวี่ยอิงไปเสี่ยงอันตรายสืบหา พวกเขาก็ย่อมต้องมอบวัตถุคุ้มกันชีพให้กับตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่แล้ว ตอนนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงยังค้นพบรังระดับเกราะทองแห่งหนึ่งอีกด้วย ทำให้พวกบรรพชนทิพย์และบรรพชนโลกายิ่งทวีความชมชอบ ก็ย่อมต้องหยิบเอาวัตถุล้ำค่าคุ้มกันชีพที่เหมาะสมกับขั้นอลวน
“ทำอย่างไรดี” จ้าวภูเขาฉื้อเหมยครุ่นคิด
ในใจของเขามีความคิดอยู่ตลอด เพียงแต่กำลังลังเล เพราะว่านั่นจะต้องเป็นการยั่วบุบุคคลผู้น่าหวั่นเกรงคนหนึ่ง
“ไม่มีวิธีการอื่นแล้ว ก็ได้แต่ยืมมือจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ไปสังหารตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วล่ะนะ” นัยน์ตาของจ้าวภูเขาฉื้อเหมยเยียบเย็นอย่างยิ่ง
ตอนที่ 10 มีดของ ‘จอมเทพศักดิ์สิทธิ์’ เล่มนี้
โดย
Ink Stone_Fantasy
การจะใช้ประโยชน์จากจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ช่างง่ายดายเหลือเกิน เพราะว่าเหล่าเทพจักรวาลต่างก็มีจิตใจหลงใหลในวิชาสืบทอดสายนี้กันเป็นอย่างมาก และ ‘จอมเทพศักดิ์สิทธิ์’ ผู้แกร่งกล้าที่สุดในอากาศอันสับสนอลหม่านคือผู้ที่ละโมบที่สุดในบรรดาคนเหล่านั้น ได้พยายามใช้ทุกวิถีทาง ตอนนั้นอาจเป็นภัยคุกคาม หรือเป็นความหลงใหล ถึงขนาดที่เคยลงมือจัดการจ้าวภูเขาฉื้อเหมย เคยสังหารจ้าวภูเขาฉื้อเหมยด้วยตัวเองมาแล้ว
น่าเสียดายที่วิถีนี้ของพวกเขา ผู้ที่สามารถได้รับแก่นสำคัญของวิชาสืบทอด ก่อนอื่นจะต้องสำเร็จ ‘เคล็ดร่างแยก’ ก่อน ดังนั้นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์คิดหาทุกวิถีทาง ก็ไม่มีทางได้รับแก่นสำคัญของวิชาสืบทอดไปได้สำเร็จ
ถึงแม้ว่าจะแกร่งกล้าดังเช่นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ ก็ยังไม่เชี่ยวชาญในหลายๆ ด้าน เมื่อเขาเผชิญกับเคล็ดวิชาที่จักรพรรดิเก้าเมฆาทิ้งเอาไว้ จนถึงตอนนี้ก็ยังมิอาจขบให้แตกได้
“จอมเทพศักดิ์สิทธิ์อยากจะได้รับวิชาสืบทอดสายนี้ของพวกเราอย่างบ้าคลั่ง ถ้าหากเขารู้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงวิวัฒน์วิชาสืบทอดย่อยของทางสายนี้ของพวกเราออกมาได้แล้วล่ะก็…” เสียงของจ้าวภูเขาฉื้อเหมยแฝงด้วยรอยยิ้มเย็น “เกรงว่าคงจะลงมือในทันทีเลยกระมัง”
เพียงเพราะว่าเคยถูกจอมเทพศักดิ์สิทธิ์สังหารมาก่อน ดังนั้นเขาจึงไม่อยากจะยั่วยุจอมเทพศักดิ์สิทธิ์สักเท่าใดนัก
แต่คราวนี้ก็มิอาจสนใจได้อีกแล้ว ก็ยืมมีดของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์เล่มนี้มาใช้สักครั้ง
……
ภายในโถงตำหนักอันมืดหม่น
น้ำในสระอันเงียบสงบค่อยๆ พุ่งมารวมตัวกันแล้วเปลี่ยนเป็นเงาร่างน้ำไหลสายหนึ่ง พื้นผิวมีประกายเงินระยิบระยับ ซึ่งก็คือ‘ประมุขนรกภูมิ’ผู้มีสถานะอันสูงส่งเป็นที่สุดในสำนักทิพย์โบราณ พลังยุทธ์ของตัวประมุขนรกภูมิเองก็เป็นระดับชั้นที่เก้าขั้นสุดยอด เชี่ยวชาญการสะกดรอย อีกทั้งยังสามารถพยากรณ์อนาคตได้อีกด้วย… พรสวรรค์ในการพยากรณ์อนาคตของเขาทำให้จอมเทพศักดิ์สิทธิ์เองก็ยังให้ความสำคัญกับเขาเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังมอบความไว้วางใจให้อีกด้วย
“ประมุขนรกภูมิ” ภายในโถงตำหนักมีผู้แกร่งกล้าขั้นอลวนที่ห่อหุ้มอยู่ในอาภรณ์สีดำคนหนึ่งทักทายด้วยความเคารพอย่างยิ่ง “ทางฝั่งโลกฟ้ากระจ่างส่งข่าวมาขอรับ”
“หืม ข่าวอันใดกัน” ร่างแปรน้ำไหลของประมุขนรกภูมิถามขึ้น
“ข่าวเกี่ยวกับการตรวจพบเคล็ดวิชาสืบทอดซึ่งเป็นหัวใจหลักย่อยทางด้านวิถีนั้นของพวกเขาขอรับ” ผู้แกร่งกล้าขั้นอลวนผู้นี้เอ่ยขึ้น
ประมุขนรกภูมิก็ตกตะลึงเช่นกัน
เรื่องที่จอมเทพศักดิ์สิทธิ์กระหายอยากอย่างแท้จริงนั้นมีอยู่ไม่มากนัก นอกจาก ‘การควบคุมกฎเกณฑ์สูงสุด’ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไล่ตามมากที่สุดแล้ว วิชาสืบทอดวิถีนั้นของประมุขหอหมื่นโลกาและจ้าวภูเขาฉื้อเหมย… ก็มีความสำคัญจัดอยู่ในลำดับที่สาม ถึงขนาดที่จอมเทพศักดิ์สิทธิ์เคยลงมือด้วยตัวเองมาหลายครั้ง ปลอมแปลงตัวตนซ่อนเร้นกลิ่นอายแฝงตัวเข้าไปเป็นต้น ก็เห็นระดับการให้ความสำคัญของเขาได้แล้ว
น่าเสียดายที่วิถีนั้นเก็บเคล็ดวิชาสืบทอดซึ่งเป็นหัวใจหลักเป็นความลับมากเกินไป จึงย่อมไม่มีทางได้มาไว้ในมืออยู่แล้ว! จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ได้แต่ออกคำสั่งกับผู้ใต้บังคับบัญชา ดังนั้นสำนักทิพย์โบราณก็คิดวิธีเสาะหาสิ่งที่ไม่มีรอยประทับวิญญาณบางอย่าง แต่กลับคลั่งไคล้และเชื่อมั่นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์จากส่วนลึกของจิตใจ ไปทำการแทรกซึม
ในบรรดาคนเหล่านั้นก็มีผู้ที่ไปเข้าสู่สำนักของประมุขหอหมื่นโลกาและจ้าวภูเขาฉื้อเหมย
แม้กระทั่งในบรรดาผู้ดูแลและสาวใช้ ต่างก็มีสำนักทิพย์โบราณแทรกซึมเข้าไปอยู่เช่นกัน
“สายลับของพวกเรา ตรวจพบข่าวที่สำคัญอย่างยิ่งข่าวหนึ่งเข้า ตงป๋อเสวี่ยอิงแห่งวังทวีสูญคงจะสำเร็จเคล็ดวิชาสืบทอดซึ่งเป็นหัวใจหลักย่อยของวิถีนั้นของพวกเขาเรียบร้อยแล้วขอรับ” ผู้แกร่งกล้าขั้นอลวนในอาภรณ์ดำพูดอย่างเคารพ
“ตรวจพบได้อย่างไรกัน พูดมาให้ละเอียดสิ”
“ขอรับ ตอนนั้น…”
ประมุขนรกภูมิฟังอย่างเงียบๆ
ร่างจริงของเขาเริ่มทำการตรวจสอบเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตโดยอ้างอิงจากข้อมูลนี้ เขาสามารถพยากรณ์อนาคตได้ ก็ย่อมสามารถมองเห็นชิ้นส่วนของอดีตได้อยู่แล้ว อดีตเกิดขึ้นไปแล้ว เมื่อเทียบกันแล้วการสอดแนมก็ง่ายกว่ามาก นี่ก็คือเหตุผลที่ประมุขนรกภูมิรับผิดชอบเรื่องนี้
ฟังไปพลาง ตรวจสอบไปพลาง ในใจของประมุขนรกภูมิก็มีการตัดสินใจ
สวบ
ผ่านไปเพียงชั่วครู่
ร่างจริงของประมุขนรกภูมิก็เดินทางไปพบ‘จอมเทพศักดิ์สิทธิ์’ด้วยตนเอง
******
ภายในวังที่ตระการตาที่สุดแห่งโลกทิพย์โบราณ
บนเตียงศิลาดำอันใสกระจ่าง จอมเทพศักดิ์สิทธิ์นั่งขัดสมาธิอยู่ด้านบนตามลำพัง บนร่างสวมอาภรณ์ผ้าโปร่งสีดำ ใบหน้าสงบนิ่งอ่อนโยน เขาเพียงแค่นั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่น แต่คล้ายกับว่าเขาดำรงอยู่ตลอดกาลแม้อากาศอันสับสนอลหม่านจะสูญสลาย ไม่มีสิ่งใดจะสามารถคุกคามเขาได้เลย แม้จะเป็นกฎเกณฑ์สูงสุดอันสูงส่งนั้นก็ตาม เพราะการดำรงอยู่ของตัวเขาก็มีชิ้นส่วนของกฎเกณฑ์สูงสุดอยู่ด้วยแล้ว
ฟิ้ว
เงาร่างสายหนึ่งด้านนอกเดินมา นั่นก็คือบุรุษชุดขาวคนหนึ่ง เดินเท้าเปล่าเข้ามา เหล่าข้ารับใช้ภายในโถงตำหนักก็มิได้ขัดขวางแต่อย่างใด
“จอมเทพศักดิ์สิทธิ์” แววตาของบุรุษชุดขาวเต็มเปี่ยมไปด้วยสติปัญญา คล้ายกับจะสามารถมองทะลุทุกสิ่งทุกอย่างได้ เขาทักทายอย่างเคารพ
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ลืมตาขึ้นแล้วมองลงไปยังบุรุษชุดขาวเบื้องล่าง
ถึงแม้จะสามารถมองเห็นเศษเสี้ยวอนาคตได้ เมื่อบุรุษชุดขาวเท้าเปล่า ‘ประมุขนรกภูมิ’ เผชิญหน้ากับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ยังต้องเคารพนบนอบ เพราะว่ายิ่งสามารถมองเห็นอนาคตได้ ก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงความกล้าแกร่งของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ การที่เขาสามารถดูบนเส้นเวลาทั้งหมดได้ จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็สูงส่งเช่นนั้น แม้กระทั่งสอดแนมดู‘จอมเทพศักดิ์สิทธิ์’บนเส้นเวลาในอนาคต เขาก็ยังได้รับผลสะท้อนกลับบางอย่าง ทำให้ไม่สามารถสอดแนมอนาคตต่อไปได้อีก
เขาเข้าใจว่าความแกร่งกล้าของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์นั้นเหนือกว่าการควบคุมของกฎเกณฑ์สูงสุดเสียแล้ว อนาคตของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ พรสวรรค์ของเขาก็ยังยากที่จะสอดแนมได้
แม้กระทั่งอนาคตที่เขาพยากรณ์ บุคคลอย่างจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ยังสามารถแก้ไขอนาคตได้
“ได้รับข่าวมาข่าวหนึ่ง” ประมุขนรกภูมิ บุรุษชุดขาวเท้าเปล่าเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน “เป็นข่าวที่ศิษย์ของเราผู้แฝงตัวเข้าไปในสำนักของจ้าวภูเขาฉื้อเหมยส่งมา บอกว่าจ้าวภูเขาฉื้อเหมยเดือดดาลอย่างใหญ่หลวงเพราะตงป๋อเสวี่ยอิง อารมณ์ไม่ดีเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังเอ่ยถึง ‘การลักลอบศึกษา’ ด้วย…ข้าเคยทำการตรวจสอบก็พบว่าก่อนหน้านี้ไม่นาน จ้าวภูเขาฉื้อเหมยเคยคิดหาวิธีจัดการตงป๋อเสวี่ยอิง ถึงขนาดที่ข้าสงสัยว่าประมุขหอหมื่นโลกาได้เคยลงมือมาก่อนแล้ว แต่ว่าภาพเหตุการณ์ที่เขาลงมือนั้นข้าไม่สามารถสอดแนมได้ขอรับ”
“อ้างอิงจากการตรวจสอบจำนวนมากทำให้สามารถตัดสินได้ว่าเรื่องที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสำเร็จเคล็ดวิชาสืบทอดซึ่งเป็นหัวใจหลักย่อยของพวกเขาแล้วนั้นคงจะเป็นเรื่องจริง ประมุขหอหมื่นโลกาและจ้าวภูเขาฉื้อเหมยต่างก็ลงมือหมายจะสังหารตงป๋อเสวี่ยอิงตามๆ กัน” ประมุขนรกภูมิพูด“ แต่จ้าวภูเขาฉื้อเหมยทำให้ข่าวคราวบางอย่างรั่วไหลออกมาโดยมิได้ตั้งใจ ข้าสงสัยว่าเขาเจตนาจะทำให้รั่วไหล คิดอยากจะอาศัยพวกเราให้สังหารตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นั้น”
“ข้าตรวจสอบอดีต อ้างอิงจากการสนทนาของเขากับตงป๋อเสวี่ยอิง ได้ล่วงรู้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงสำเร็จศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาแล้ว จ้าวภูเขาฉื้อเหมยได้ทำการเจรจาต่อรองกับพวกบรรพชนทิพย์และบรรพชนโลกาและเหล่าเทพจักรวาลกลุ่มหนึ่ง ถ้าหากตงป๋อเสวี่ยอิงสำเร็จศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา… เช่นนั้นพวกบรรพชนทิพย์และบรรพชนโลกาก็คงจะไม่ยอมทุ่มจ่ายศิลาปฐมโลกาจำนวนมหาศาลมาขอร้องเขา เป็นไปได้ว่านี่คือเหตุผลที่เขาจ้องจะสังหารตงป๋อเสวี่ยอิงให้ได้”
ประมุขนรกภูมิเอ่ยการคาดการณ์ของตนอย่างสงบนิ่ง
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ฟังอย่างเงียบๆ อยู่ด้านบน
จงใจปล่อยข่าวให้รั่วไหลอย่างนั้นหรือ
จะจงใจปล่อยข่าวให้รั่วไหลหรือไม่นั้นสำหรับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์แล้วมิใช่เรื่องสำคัญ สิ่งที่สำคัญก็คือตงป๋อเสวี่ยอิงสำเร็จเคล็ดวิชาสืบทอดซึ่งเป็นหัวใจหลักย่อยแล้วจริงๆ หรือไม่
“ตงป๋อเสวี่ยอิงหรือ” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์พูดเสียงเบา
ครั้งแรก
เขามองเห็นความสำคัญของตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างแท้จริง ถึงแม้ว่าเขาจะล่วงรู้ข้อมูลของผู้บำเพ็ญจำนวนมาก แต่ก็ได้โยนทิ้งไปหมดแล้ว ในบรรดาขุมอำนาจภายนอก ขั้นอลวนนอกจาก ‘จักรพรรดิดำ’ และ ‘จ้าวภูเขาฉื้อเหมย’ ที่เขาให้ความสำคัญอยู่เล็กน้อยแล้ว เขาก็มิได้เห็นขั้นอลวนคนอื่นๆ อยู่ในสายตาเลย ตอนนี้เขาก็เห็นความสำคัญของตงป๋อเสวี่ยอิงขึ้นมา
“สวบ”
สองตาของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์มองอย่างเงียบสงบ
ในดวงตาทั้งสองของเขามีเงามายาจำนวนนับไม่ถ้วนถือกำเนิดและสูญสลาย พูดถึงการสะกดรอย ถึงแม้ว่าประมุขนรกภูมิจะร้ายกาจ แต่กลับห่างชั้นกับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์อยู่ไกลโข! แม้กระทั่งการต่อสู้ที่ประมุขหอหมื่นโลกาลอบสังหารตงป๋อเสวี่ยอิง จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ยังสามารถสอดแนมได้อย่างง่ายดาย
มีเพียงภาพเหตุการณ์ที่ประมุขหอหมื่นโลกา จ้าวภูเขาฉื้อเหมย และท่านอาจารย์ของพวกเขาสนทนากันเท่านั้นที่ถูกรบกวนทั้งหมดจนมิอาจสอดแนมได้เลย
“ตาเฒ่าผู้นั้นก็แฝงตัวเข้ามาครั้งหนึ่งอย่างนั้นหรือ” มุมปากของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ยกยิ้มขึ้นน้อยๆ
“ตงป๋อเสวี่ยอิงวิวัฒน์เคล็ดวิชาสืบทอดซึ่งเป็นหัวใจหลักย่อยของพวกเขาออกมา บางทีอาจมาจากเคล็ดวิชาสืบทอดของจักรพรรดิเก้าเมฆานั่นก็ได้กระมัง” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์คาดเดาออกมาอย่างรวดเร็ว
ไม่ว่าจะเป็นผลลัพธ์เช่นไร
เขาก็พึงพอใจยิ่งนัก
เพราะจักรพรรดิเก้าเมฆาผู้นั้นก็มี ‘เตาสามขาเพลิงโลกันตร์’ สมบัติลับที่สำคัญเป็นที่สุดซึ่งเขาอยากได้เป็นอย่างยิ่ง จักรพรรดิเก้าเมฆาผู้โง่งม ระดับขั้นไม่เพียงพอ มีสมบัติล้ำค่าอยู่แต่กลับมิได้เข้าใจเลยว่าเตาสามขาเพลิงโลกันตร์นั้นใช้งานอย่างไรจนวันตาย
“ตงป๋อเสวี่ยอิงหรือ ควรออกไปเดินเล่นสักหน่อยแล้วสิ” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ลุกขึ้นแล้วเดินลงจากเตียงศิลาดำ
ข้ารับใช้ทั้งหมดและประมุขนรกภูมิที่อยู่เบื้องล่างต่างก็หัวใจบีบรัดแน่น ทว่าทุกคนต่างก็ค้อมกายอย่างเคารพ
ตอนที่ 11 เกิดขึ้นในทันทีทันใด
โดย
Ink Stone_Fantasy
เขตลวงขนาดมหึมาห่อหุ้มเมืองขนาดเล็กตรงหน้านี้เอาไว้ สิ่งมีชีวิตทั้งหมดภายในเมืองเล็กเข้ามาติดกับจนหมดสิ้น แต่ละคนต่างก็มีประสบการณ์ของตนเองอยู่ภายในเขตลวง แต่มีชายหนุ่มอาภรณ์ขาวเพียงคนเดียวในเมืองเล็กแห่งนี้ที่ยังได้สติ เขาเดินอยู่บนถนนตามลำพัง แต่กลับควบคุมผู้บำเพ็ญหลายล้านคนของเมืองเล็กภายในเขตลวงได้อย่างง่ายดาย ถึงขนาดที่มีบางคนที่เขาชอบใจ ก็ยังให้โอกาสอยู่บ้าง
พวกที่ทำแต่เรื่องเลวร้าย ก็ให้พวกเขาวิญญาณสูญสลายอยู่ภายในเขตลวง “ตั้งแต่ที่พบฝูงมารผลาญทำลายฝูงนั้นเมื่อคราวก่อน ยังสังหารผู้ที่มีพรสวรรค์ไร้เงาไปคนหนึ่งด้วย ภายหลังก็มิได้อะไรมาอีกแล้ว ฝูงมารผลาญทำลายช่างระแวดระวังกันเสียจริง” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะเบาๆ เขารู้ว่าคราวนี้ก็คงจะไม่ได้อะไรอีกเช่นเดียวกัน
แต่เขาก็เคยชินไปเสียแล้ว
เคยชินกับการไม่ได้อะไรครั้งแล้วครั้งเล่า เขาก็ทำให้สิ่งนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของการบำเพ็ญไปเสีย
“หืม โรงสุรานี่ของเมืองเล็กแห่งนี้คล้ายว่าจะมีเสียงเล่าลือหนาหูทีเดียว มีผู้บำเพ็ญที่ชื่นชอบอยู่มากมายนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงค้นพบแหล่งอาหารเลิศรสแห่งหนึ่งภายในเขตลวงในทันใด
พรึ่บ
ภายใต้ความนึกคิดเดียว เขตลวงก็สลายไป
ทั่วทั้งเมืองเล็กก็กลับมาสู่ความปกติอีกครั้ง สิ่งมีชีวิตทั้งหมดทั้งมวลก็กลับฟื้นคืนสติ นอกจากผู้ที่ไม่ได้รับโอกาสไม่กี่คนแล้ว คนอื่นๆ ต่างก็มิได้ล่วงรู้เลยว่าก่อนหน้านี้ได้ติดเข้าไปในเขตลวง
“อืม เมืองเล็กแห่งนี้ยังมีอาหารเลิศรสเช่นนี้อยู่ด้วย วัตถุดิบธรรมดาๆ แต่ปรุงได้รสชาติดียิ่งนัก” เบื้องหน้าของตงป๋อเสวี่ยอิงมีอาหารจานเนื้อวางอยู่หลายจาน กินอย่างมีความสุขยิ่ง สถานที่เล็กๆ อันห่างไกลที่เขาไปมาแต่ละแห่งนั้นมีอยู่มากมายเหลือเกิน มีบางแห่งที่พรสวรรค์ศาสตร์โบราณเชี่ยวชาญทางด้านอาหารเลิศรส พอกินลงไปแล้วก็เป็นความสุขชนิดหนึ่งอย่างแท้จริง แม้กระทั่งวิญญาณก็ยังสบายอย่างหาใดเปรียบ ความรู้สึกอันงดงามเช่นนั้นเหนือกว่าการกลืนกินศิลาปฐมโลกาเสียอีก
นั่งอยู่ที่มุมหนึ่งของโรงสุราแห่งนี้ กินอาหารคำโต ดื่มสุราที่ตนพกมาเอง ตงป๋อเสวี่ยอิงก็อารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง
……
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้ห่อหุ้มกายด้วยอาภรณ์ผ้าโปร่งสีดำเดินเท้าเปล่า เขาทำการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นมาถึงยังสถานที่ที่ค่อนข้างใกล้กับตงป๋อเสวี่ยอิง หลังจากนั้นจึงมาถึงยังเมืองเล็กแห่งนี้อย่างเงียบงันไร้สุ้มเสียง
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์เดินเข้ามาจากประตูเมือง ถึงแม้ว่าบริเวณที่ผ่านมานั้นจะมีผู้คนสัญจรอยู่เป็นจำนวนมาก ทว่าแต่ละคนต่างก็แหวกทางให้กับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์โดยธรรมชาติ ถึงแม้ว่าจะไม่มีผู้ใดเลยแม้แต่คนเดียวที่ตระหนักได้ถึงการมีอยู่ของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ยืนอยู่ที่ด้านหนึ่งของเมืองเล็กแล้วมองผ่านไปยังโรงสุราที่อยู่ห่างออกไปหลายแสนลี้แห่งนั้น ถึงแม้ว่าแขกเหรื่อภายในโรงสุราจะมีเป็นจำนวนมากและคึกคักมีชีวิตชีวา แต่ที่เข้าตาจอมเทพศักดิ์สิทธิ์จริงๆ นั้นมีอยู่เพียงคนเดียว… ก็คือชายหนุ่มอาภรณ์ขาวที่กินอาหารคำโตผู้นั้น
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก้าวยาวๆ อีกก้าวหนึ่ง ก็ก้าวผ่านไปหลายแสนลี้อย่างเงียบงันไร้สุ้มเสียง มาถึงบริเวณที่อยู่ห่างจากโรงสุราไม่ไกลนัก
“หืม”
เดิมทีตงป๋อเสวี่ยอิงผ่อนคลายเป็นอย่างยิ่ง แต่ทันใดนั้นสีหน้าก็แปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวง
อันตราย!
อาณาเขตกฎเกณฑ์รับสัมผัสได้ถึงสิ่งมีชีวิตที่น่าหวั่นเกรงอย่างที่สุดแล้วก็กระตุ้นขึ้นมาในทันใด
สัญชาตญาณชีวิตของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ส่งสัญญาณเตือนอันน่าหวาดหวั่น…อันตราย! อันตรายอย่างที่สุด! ความรู้สึกอันตรายและหวาดกลัวเช่นนั้นพลันไหลเอ่อท่วมตงป๋อเสวี่ยอิง ความรู้สึกคุกคามที่ระดับขั้นชีวิตนำพามาทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงตัวสั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัวอย่างมิอาจควบคุมได้
เขามองปราดหนึ่งก็เห็นเบื้องหน้า บนถนนที่มีผู้คนสัญจรไปมาก็มีบุรุษเท้าเปล่าผู้ห่อหุ้มร่างด้วยอาภรณ์ผ้าโปร่งสีดำอยู่ แววตาของเขาอ่อนโยน มองดูตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างเปี่ยมเมตตา
ในขณะนี้เอง
ฟ้าดินคล้ายจะเลือนหายไป
ปราการเมืองรอบๆ ก็หายวับไป สิ่งมีชีวิตทั้งหลายต่างก็หายลับไป เหลือเพียงแค่ตนเองที่นั่งอยู่ และจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ที่ยืนอยู่ไกลออกไปเท่านั้น! การหมุนเวียนของกฎเกณฑ์สูงสุดได้ร่นถอยไปก่อนแล้ว อาณาเขตกฎเกณฑ์ที่จอมเทพศักดิ์สิทธิ์แผ่ออกมานั้นทำลายเขตลวงของตนจนย่อยยับ ทำให้ตนติดเข้าไปในอาณาเขตของเขาอย่างสมบูรณ์ ถึงแม้ว่าด้วยระดับความแข็งแกร่งของวิญญาณของเขา จะทำให้กระตุ้นสมบัติลับคุ้มกันชีพสองชิ้นได้ทันอย่างหมิ่นเหม่
ปัง! ปัง!
สร้อยข้อมือไข่มุกสิบสองเม็ดถูกกระตุ้น รัศมีหม่นสิบสองชั้นล้อมรอบอยู่ที่ผิวนอก
อาภรณ์เมฆซ้อนสามสีบนผิวก็เปล่งประกายสีทองอร่าม ผิวนอกก็มีประกายสีฟ้าห่อหุ้ม
“จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ เป็นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ไปได้อย่างไรกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวใจสั่นสะท้าน จอมเทพศักดิ์สิทธิ์มีสถานะเช่นไร จะลงมือกับขั้นอลวนคนหนึ่งได้อย่างไรกัน นอกจากนี้โลกทิพย์ทั้งสามและสองสำนักใหญ่ก็ตกลงกันเป็นนัยๆ ว่าในช่วงเวลาพักฟื้น นอกเสียจากว่าขั้นอลวนจะไปรุกรานเทพจักรวาล เทพจักรวาลก็มิอาจลงมือกับขั้นอลวนได้
มิฉะนั้นผู้ยิ่งใหญ่ทุกคนก็จะรังแกผู้น้อย เช่นนั้นจะใช้ได้หรือ เกรงว่าจะก่อให้เกิดมหาสงครามขนาดใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว!
มหาสงครามขนาดใหญ่นั้นก็ทำให้เกิดความสูญเสียด้วยกันทั้งสองฝ่าย จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่มีทางปล่อยให้เกิดขึ้นง่ายๆ อยู่แล้ว
“เขาจะลงมือกับข้าได้อย่างไรกัน” ความคิดของตงป๋อเสวี่ยอิงยังคงวูบไหว พลังอันไร้รูปร่างขุมหนึ่งพลันทะลุผ่านรัศมีหม่นสิบสองชั้น แม้กระทั่งการป้องกันของเมฆซ้อนสามสีก็ยังไร้ประโยชน์! ถึงแม้ว่าร่างกายของตงป๋อเสวี่ยอิงจะร้ายกาจทางด้านการกลายเป็นอากาศธาตุ แต่พลังอันไร้รูปร่างนี้ก็ห่อหุ้มร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้ในทันใดอยู่ดี
หนาวเหน็บยิ่งนัก
ร่างกายและวิญญาณคล้ายกับถูกแช่แข็ง วิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ได้ถูกผนึกสะกดเอาไว้เสียแล้ว!
เพียงแค่ชั่วขณะเดียวเท่านั้น
สิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถทำได้ก็เพียงแค่การกระตุ้นสมบัติลับสองชิ้นเท่านั้น ถึงขนาดที่ยืนขึ้นมาไม่ทันด้วยซ้ำ! สามารถเห็นได้ถึงความรวดเร็วและความโหดเหี้ยมในการลงมือของอีกฝ่าย
ถึงแม้ว่าการคุ้มครองของสร้อยข้อมือไข่มุกสิบสองเม็ดจะร้ายกาจ แต่บรรพชนโลกาและบรรพชนทิพย์ต่างก็ต้องการเวลาหลายอึกใจจึงจะสามารถทะลุผ่านได้ แต่ทุกการเคลื่อนไหวของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ล้วนกดดันให้บรรพชนโลกาและบรรพชนทิพย์ต่อตี ต้องการจับเป็นตงป๋อเสวี่ยอิงในตอนนี้ ก็ย่อมไม่ยอมให้เกิดเหตุไม่คาดฝันอันใดอยู่แล้ว หนึ่งก็คือวิถีอสนีบาตได้ผนึกวิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้ในทันใด
“อ่อนแอนัก” หัวใจของตงป๋อเสวี่ยอิงหนาวเหน็บ นี่ยังมีสมบัติลับอยู่ ถ้าหากไม่มีสมบัติลับ อาณาเขตกฎเกณฑ์อันน่าหวาดหวั่นของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็คงจะสามารถทำลายตนเองได้ตามอำเภอใจแล้ว
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์เดินก้าวยาวๆ เข้ามา ดูเหมือนจะเชื่องช้าและผ่อนคลาย แต่ในความเป็นจริงแล้วเพียงก้าวเดียวก็มาถึงยังข้างกายของตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วคว้าร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้ตามอำเภอใจ
ปัง…
ห้วงมิติบริเวณรอบๆ เริ่มบิดเบี้ยวซ้อนทับกัน สามารถมองเห็นวังขนาดมหึมาอีกด้านหนึ่งได้อย่างรางๆ
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์หอบหิ้วร่างของตงป๋อเสวี่ยอิง ก้าวยาวๆ ก้าวหนึ่งก็ไปถึงยังโลกทิพย์โบราณอีกแห่งหนึ่งผ่านทางเดินมิติอันบิดเบี้ยว
******
ทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเหลือเกิน ตอนแรกตงป๋อเสวี่ยอิงก็งงงวย จากนั้นหัวใจก็หนาวเหน็บ
เขารู้ดี เกรงว่าจะจบสิ้นเสียแล้ว!
ตกอยู่ในเงื้อมมือของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ ผู้ใดจะสามารถช่วยเหลือตนได้เล่า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ายังเป็น‘โลกทิพย์โบราณ’ ที่มั่นของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย โลกทิพย์โบราณมี ‘ร่างแปรทิพย์โบราณ’ประจำการอยู่ แข็งแกร่งทานทน เทพจักรวาลคนอื่นๆ ที่มีอยู่ทั้งหมดร่วมมือกันมาโจมตีก็ไร้ประโยชน์ ถึงแม้จะก่อให้เกิดสงคราม พวกบรรพชนทิพย์และบรรพชนโลกาก็ไม่มีทางเลือกโลกทิพย์โบราณ การต่อสู้กับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ที่นั่นเป็นเรื่องที่โง่เง่าที่สุดแล้ว
“เหตุใดจึงลงมือกับข้าเล่า ข้าเป็นขั้นอลวนคนหนึ่ง มีอะไรควรค่าให้เขาลงมือกัน หรือเขาจะรู้ว่าข้าเป็นลูกศิษย์ของกู่ฉี ไม่ถูกสิ ถ้าหากรู้จริงๆ ก็เกรงว่าเขาคงฆ่าข้าอย่างสะดวกมือไปแล้ว ถึงอย่างไรท่านอาจารย์กู่ฉีของข้าก็ถูกเขาสังหารโดยตรง เขาก็ย่อมไม่จำเป็นต้องจับเป็นข้าอยู่แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงคิดใคร่ครวญไม่หยุดหย่อน
“เขาจับเป็นข้า ก็ย่อมต้องมีเหตุผลที่จับเป็นอยู่แล้ว”
“เขายืนอยู่ทางฝั่งฝูงมารผลาญทำลายหรือ ไม่น่าจะใช่หรอก! ยุคโลกทิพย์โบราณดั้งเดิมของเขาก็ทรงอำนาจอย่างยิ่งอยู่แล้ว”
“เป็นเพราะจักรพรรดิเก้าเมฆาหรือ ตอนนั้นเขาต้องการจะสังหารจักรพรรดิเก้าเมฆามาโดยตลอด รู้ว่าข้าได้รับอะไรจากจักรพรรดิเก้าเมฆามาเช่นนั้นหรือ”
“หรือว่าจะเป็นประมุขหอหมื่นโลกาและจ้าวภูเขาฉื้อเหมย ก่อนหน้านี้พวกเขาเพิ่งจะล้มเหลวในการลอบสังหารข้า ตอนนี้ก็คิดหาวิธีให้จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ลงมือแล้วอย่างนั้นหรือ”
ในขณะนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงคาดเดาไปต่างๆ นานา แต่ในท้ายที่สุดแล้วก็เป็นเพียงแค่การคาดเดาเท่านั้น
“เกรงว่าคราวนี้จะจบสิ้นแล้วจริงๆ”
“หนีไม่พ้นเสียแล้วสิ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็จนใจ การโจมตีช่างรวดเร็วเหลือเกิน เขาก็ต้านรับไม่ทันอยู่บ้าง
“ตอนนี้ข้าถูกผนึก ป้ายคำสั่งจิตโลกานั้นจะสามารถช่วยเหลือข้าได้หรือไม่” ภายในวิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงยึดเหนี่ยวพลังของป้ายคำสั่งจิตโลกาเอาไว้มั่น ตอนนั้นป้ายคำสั่งจิตโลกาแทรกเข้าไปในวิญญาณ จะขับไล่อย่างไรก็ไล่ไม่ไป ในขณะนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงได้ลองส่งวิญญาณแท้เข้าไปข้างใน
ตอนที่ 12 บีบบังคับ
โดย
Ink Stone_Fantasy
พลังสีแดงเข้มที่เกิดจากป้ายคำสั่งจิตโลกาเกี่ยวกระหวัดอยู่ที่ส่วนลึกของดวงวิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ตลอดเวลา ไม่สามารถกำจัดออกไปได้ ในขณะนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงส่งวิญญาณแท้แทรกเข้าไปภายในพลังสีแดงเข้มนี้ แทรกเข้าไปโดยสมบูรณ์ได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งยังมี ‘ความรู้สึกกระตือรือร้นที่จะลอง’ ชนิดหนึ่งอีกด้วย ถึงขนาดที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถสัมผัสได้ถึงโลกภายนอกอากาศอันสับสนอลหม่านได้อย่างรางๆ
ก็เหมือนกับที่ตนสอดแนมโลกระดับขั้นที่สูงขึ้นอีกผ่านโพรงทรงกลมหมอกดำ แต่การสอดแนมเช่นนั้นเป็นเพียงแค่ส่วนยอดของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น
ตอนนี้วิญญาณแท้ดวงหนึ่งแทรกเข้าไปในพลังของป้ายคำสั่งจิตโลกา แต่กลับสามารถสัมผัสได้ถึงความกว้างใหญ่ไพศาลไร้ขอบเขตของด้านนอกอากาศอันสับสนอลหม่าน ถึงขนาดที่มีระลอกคลื่นอันน่าหวาดหวั่นที่ไม่ด้อยไปกว่าโลก ‘อากาศอันสับสนอลหม่าน’ เคลื่อนเข้ามา
“เพียงแค่ความคิดวูบเดียวเท่านั้นก็สามารถกระตุ้นได้แล้วหรือ” ขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงแทรกเข้ามาก็เข้าใจแล้ว
ป้ายคำสั่งจิตโลกาเป็นสิ่งที่ ‘หยวน’ บุคคลโบราณผู้ลึกลับหลอมขึ้น ช่วยให้ผู้บำเพ็ญกลับชาติมาเกิด มุ่งหน้าไปยังโลกขนาดมหึมาอีกแห่งหนึ่งที่ไม่ด้อยไปกว่าอากาศอันสับสนอลหม่าน…ดินแดนจิตโลกา!
อยากจะคุ้มครองวิญญาณแท้ อีกทั้งยังเคลื่อนย้ายจากอากาศอันสับสนอลหม่านไปถึงยังดินแดนจิตโลกา ทั้งยังกลับชาติมาจุติ ที่บริโภคก็ล้วนเป็นพลังของป้ายคำสั่งจิตโลกาทั้งสิ้น! แม้กระทั่งพลังของร่างกายตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็ไร้ประโยชน์ ระดับขั้นเช่นเขานี้ย่อมทำไม่ได้ถึงขนาดนี้อยู่แล้ว
ภายใต้สถานการณ์ปกติ…
ล้วนเป็นเพราะการบำเพ็ญเข้าสู่จุดคอขวดนานเกินไปจนใกล้จะสิ้นไร้ความหวังแล้วจึงค่อยละทิ้งร่างกายและวิญญาณ เลือกให้วิญญาณแท้กลับชาติมาจุติ
คิดจะกลับมาอย่างนั้นหรือ
ต้องเป็นเทพจักรวาล จึงจะสามารถกระตุ้นพลังของป้ายคำสั่งจิตโลกาได้อีกครั้ง หากมิได้บรรลุ หรือว่าตายอยู่ที่ดินแดนจิตโลกาก็จะมิอาจกลับมาได้ไปตลอดกาล
“คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าข้า ตงป๋อเสวี่ยอิง จะถูกกดดันจนถึงขนาดนี้ได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงขมขื่นใจ
“โครม”
ร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงถูกโยนเข้ามาภายในโถงตำหนักแล้วกระแทกเข้ากับเสาตำหนักที่อยู่ด้านข้าง ร่างกายพิงเสาตำหนักแล้วยืนขึ้นมาช้าๆ เขาถูกผนึกพลังยุทธ์เอาไว้ แม้กระทั่งวิญญาณก็ถูกผนึกด้วยเช่นกัน ก็สามารถใช้ได้เพียงพลังร่างกายที่เป็นพื้นฐานที่สุดเท่านั้น พลังร่างกายนี้ภายใต้สถานการณ์ปกติก็ทำไม่ได้แม้แต่การฆ่าตัวตาย ถึงอย่างไรระดับชีวิตของเขาก็สูงส่งเกินไป พลังร่างกายนี้ของเขาไม่สามารถทำร้ายวิญญาณได้ แต่อาศัย ‘ป้ายคำสั่งจิตโลกา’ ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับสามารถกลับชาติมาจุติได้ ก็นับได้ว่าเป็นอีกระดับหนึ่งของการฆ่าตัวตาย
ภายในโถงตำหนักเต็มไปด้วยความเงียบสงบ เหล่าข้ารับใช้ต่างก็มิกล้าส่งเสียงอยู่ที่ด้านหนึ่ง
แต่จอมเทพศักดิ์สิทธิ์กลับเดินไปถึงเตียงศิลาดำด้านบนอย่างสบายๆ แล้วนั่งขัดสมาธิลง แล้วมองลงมายังตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่เบื้องล่างพลางเปิดปากพูดว่า “ตงป๋อเสวี่ยอิง ข้ารับรองได้ว่าขอเพียงแค่เจ้าฟังคำแต่โดยดี เจ้าก็จะสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ นี่คือคำสัญญาของข้า ไม่มีทางบิดพลิ้วเพราะเจ้าเด็กน้อยคนหนึ่งอย่างเจ้าหรอก”
“จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ลงมือจัดการข้าด้วยตัวเอง ช่างเป็นเกียรติแก่ข้าเสียจริง” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยอย่างสงบ
“มหาโลกทิพย์ทั้งห้าแห่งอากาศอันสับสนอลหม่าน ผู้ที่มีคุณสมบัติพอจะเป็นคู่ต่อสู้ของข้าได้ก็มีอยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น ผู้ที่มีศักยภาพมากที่สุดก็คือจอมกระบี่แห่งวังทวีสูญของพวกเจ้าผู้นั้น ทำให้ข้าสูญเสียไปเล็กน้อย” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์นั่งอยู่ที่นั่น “ได้ยินมาว่าพรสวรรค์ของเจ้าก็ไม่เลวเลยทีเดียว บำเพ็ญได้รวดเร็วเป็นที่สุด ไม่แน่ว่าสักวันก็อาจจะได้เป็นเทพจักรวาลก็ได้ ถ้าหากมาตายไปเช่นนี้ก็ไม่คุ้มค่าเอาเสียเลยนะ”
“จอมเทพศักดิ์สิทธิ์มีสิ่งใดจะขอ ได้โปรดพูดมาตรงๆ เลยเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
“ได้ยินมาว่าเจ้าสำเร็จเคล็ดวิชาสืบทอดซึ่งเป็นหัวใจหลักย่อยของทางสายประมุขหอหมื่นโลกาและจ้าวภูเขาฉื้อเหมยนั่นแล้วหรือ” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์พูด “ข้ามีความสนใจเป็นอย่างยิ่งทีเดียว”
“เคล็ดวิชาสืบทอดซึ่งเป็นหัวใจหลักย่อยหรือ ช่างสมกับที่เป็นพวกเขาจริงๆ เชียว” ในใจของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ค่อนข้างเดือดดาล
โหดร้ายเกินไปแล้ว
ตนเองย่อมไม่เคยศึกษาเคล็ดการบำเพ็ญใดๆ ทางสายของพวกเขานั้นอยู่แล้ว เพียงแค่ค้นพบว่าการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นของตนเหมือนกันกับของพวกเขา ก็เข้าใจว่าตนลักลอบศึกษา ลอบสังหารตนล้มเหลวก็แล้วไปเถิด ถึงขนาดที่แม้กระทั่งจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ยังล่วงรู้ จนจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ถึงกับลงมือด้วยตนเอง
“สมควรตาย” ถึงแม้ว่าจะรังเกียจโกรธแค้นทางพวกประมุขหอหมื่นโลกา แต่ก็หมดหนทาง ร่างแยกจำนวนนับไม่ถ้วนของประมุขหอหมื่นโลกา อีกทั้งยังไม่ต้องพูดถึงว่า ว่ากันว่าจ้าวภูเขาฉื้อเหมยมีร่างแยกหนึ่งที่ซ่อนเร้นอยู่อย่างมิอาจหาได้พบ ผู้ใดก็ไม่สามารถสังหารพวกเขาได้! เผชิญหน้ากับศัตรูที่ฆ๋าไม่ตาย ตงป๋อเสวี่ยอิงก็จนใจที่ทำอะไรมิได้
“คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นของจักรพรรดิเก้าเมฆานี้จะเป็นมหันตภัยเช่นนี้ได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงจนใจ ก็นับได้ว่าเขาระมัดระวังแล้ว
แต่สำเร็จเคล็ดวิชาสืบทอดนี้ทั้งที จะไม่ใช้ไปตลอดเลยเช่นนั้นได้หรือ
ตนเองอดทนมาจนถึงขั้นอลวนแล้วค่อยเปิดเผย ด้วยพรสวรรค์ทางศาสตร์โบราณ ก่อนหน้านี้ผู้ใดก็ไม่เคยสงสัยกันมาก่อนเลย เทพจักรวาลจำนวนมากต่างก็เคยเห็นตนสำแดงกันมาก่อนแล้ว ผู้บำเพ็ญที่เห็นตนสำแดงที่ป้อมห้วงอากาศก็มีอยู่มากมายเหลือเกิน
ในทางกลับกันประมุขหอหมื่นโลกาและจ้าวภูเขาฉื้อเหมยมองปราดเดียว…ก็เชื่อมั่นว่าตนเองไม่มีทางเป็นผู้มีพรสวรรค์ทางศาสตร์โบราณ แต่เป็นเคล็ดวิชาสืบทอดของทางสายพวกเขานั้น
“จอมเทพศักดิ์สิทธิ์มีสถานะเช่นไร ถึงกับจะช่วยประมุขหอหมื่นโลกาและจ้าวภูเขาฉื้อเหมยด้วยหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะ
“มิได้ช่วยพวกเขา หากแต่ข้าต้องการเคล็ดวิชาสืบทอดนี้ต่างหากเล่า” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์มองลงมายังตงป๋อเสวี่ยอิง “บอกสิ่งที่เจ้ารู้มาให้หมด ข้ารับรองว่าจะปล่อยให้เจ้าจากไปอย่างแน่นอน”
เขาพูดจาเช่นนี้ได้
ก็เพราะอาศัยเขตลวงทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดสาธยายอย่างนั้นหรือ ไม่มีประโยชน์ เขตลวงของตงป๋อเสวี่ยอิงร้ายกาจยิ่งกว่าจอมเทพศักดิ์สิทธิ์เสียอีก คือเขตลวงที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาผู้บำเพ็ญ
มุ่งเน้นวิญญาณ สืบค้นความทรงจำโดยตรง นี่เป็นความจองหองอย่างยิ่งยวด ถ้าหากความแตกต่างของพลังยุทธ์ยิ่งใหญ่มาก ก็จะสามารถทำได้ แต่ตัวตงป๋อเสวี่ยอิงเชี่ยวชาญเขตลวง เคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดยังมุ่งเน้นวิญญาณอีกด้วย เขาไปถึงแปรที่สิบที่แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยมีมาก่อน ระดับความแข็งแกร่งของดวงวิญญาณห่างชั้นกับขั้นอลวนระดับชั้นที่เก้าขั้นสุดยอดคนอื่นๆ อยู่มากนัก… ระดับความยากของการสืบค้นภายในวิญญาณของเขานั้นเทียบเคียงได้กับเทพจักรวาลเลยทีเดียว!
จะค้นวิญญาณอย่างนั้นหรือ ในท้ายที่สุดแล้วก็ได้แต่ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงวิญญาณกระจัดพลัดพราย อีกทั้งยังเกรงว่าจะตรวจพบเพียงชิ้นส่วนไม่ปะติดปะต่อ ไม่สามารถค้นพบความทรงจำที่สมบูรณ์ได้
ดังนั้น…
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์จึงได้ทำการโน้มน้าว อีกทั้งยังสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะ นอกเสียจากว่าจะไม่มีวิธีจริงๆ แล้ว เขาจึงค่อยเลือกที่จะ ‘ค้นวิญญาณ’
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงสนทนากับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังจงใจถ่วงเวลาอีกด้วย
เพราะเขาได้ตัดสินใจเอาไว้แล้ว! ว่ามิอาจมอบเคล็ดวิชาสืบทอดของจักรพรรดิเก้าเมฆาให้กับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ได้ จอมเทพศักดิ์สิทธิ์แกร่งกล้าถึงเพียงนี้แล้ว จะให้ฝีมือของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์เพิ่มพูนขึ้นอีกอย่างนั้นหรือ ถึงแม้จะไม่มีป้ายคำสั่งจิตโลกาช่วยให้กลับชาติมาจุติ เขาก็ไม่มีทางรับปากอย่างแน่นอน
ตอนนี้จงใจถ่วงเวลา…
ทั้งยังจัดการทุกสิ่งทุกอย่างให้ดีด้วย
“ไม่ทันการแล้วสิ ข้าอยากจะหารังระดับเกราะทองอีกสักหน่อยมาโดยตลอด แต่ไม่มีเวลาแล้ว”
ณ ตำหนักโลกเทียมแห่งวังทวีสูญ ร่างแปรของตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่กลางลานบ้าน เพียงแค่เขาเลือกที่จะกลับชาติมาจุติ ร่างแปรก็หายลับไป
“รังระดับเกราะทองสามแห่ง โชคดีที่ข้าได้ทำเครื่องหมายมิติเอาไว้ที่รังระดับเกราะทองทุกแห่งแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ ก่อนหน้านี้เขาก็เพียงแค่ส่งร่างแปรสองร่างไปเสาะหารังระดับเกราะทองที่ทางเดินโลกาพิศวง ไม่สามารถอยู่เฝ้าที่นั่นตลอดเวลาได้ ดังนั้นพอหามิติปิดผนึกธรรมดาที่อยู่ในบริเวณค่อนข้างใกล้กับรังระดับเกราะทองแล้วจึงได้ทิ้งเครื่องหมายมิติเอาไว้
“นับรวมกับรังระดับเกราะทองแห่งนั้นที่ข้าบอกพวกแม่มดเทพในตอนนั้น ข้า ตงป๋อเสวี่ยอิง ก็หารังระดับเกราะทองพบทั้งสิ้นสี่แห่งแล้ว น่าเสียดายที่มิได้ให้เวลาข้ามากพอ ขอเพียงแค่ข้ามีเวลามากพอ ด้วยฝีมือในการสอดแนมของข้า…จะต้องสามารถสืบหาทั่วทั้งทางเดินโลกาพิศวงได้อย่างสมบูรณ์แบบสักครั้งหนึ่งอย่างแน่นอน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ
ล้านล้านปีเศษ
ตนเองเสาะหาฝูงมารผลาญทำลายอยู่ในอากาศอันสับสนอลหม่าน ก็เพิ่งจะหาไปได้เพียงแค่ยอดภูเขาน้ำแข็งจริงๆ
แต่ทางเดินโลกาพิศวงนั้นถึงแม้ว่าจะใหญ่โต แต่เมื่อเปรียบเทียบกับอากาศอันสับสนอลหม่านก็เล็กไปมากแล้ว ตนเองก็หาไปเป็นบริเวณหกเจ็ดสิบส่วนแล้ว อีกล้านล้านปี เกรงว่าก็จะสามารถตรวจหาได้ทั่วทุกหนแห่งรอบหนึ่งแล้ว ไม่เว้นเลยแม้สักแห่งเดียว!
“เสวี่ยอิง เจ้าไม่บำเพ็ญหรือ” อวี๋จิ้งชิวปรากฏตัวขึ้นที่ด้านนอกประตูลานพลางเผยสีหน้ายินดี
เพราะตามปกติแล้วร่างแปรร่างนี้ของตงป๋อเสวี่ยอิงมักจะบำเพ็ญและชมดูชุดเกราะเกล็ดที่แม่ทัพโม่กู่ทิ้งเอาไว้อยู่ตลอด
“จิ้งชิว” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเห็นภรรยาแล้วก็หัวใจสั่นสะท้าน
“จิ้งชิว เจ้าให้ชิงเหยาและอวี้เอ๋อร์รีบกลับมาโดยด่วน เดี๋ยวนี้เลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
“เร่งร้อนอะไรเช่นนี้เล่า” อวี๋จิ้งชิวสงสัย “อวี้เอ๋อร์ยังปลีกวิเวกอยู่เลยนะ”
ตอนที่ 13 เตรียมการ
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงออกคำสั่ง แน่นอนว่าลูกๆ อย่างตงป๋ออวี้และตงป๋อชิงเหยาย่อมมิกล้ายืดยาด พวกเขารีบเร่งมาก่อนทันที สองพี่น้องออกจะอึดอัดใจอยู่บ้าง ที่แท้แล้วเรียกตัวพวกเขามาอย่างรีบร้อนเช่นนี้ด้วยเรื่องอันใดกัน รอจนได้พบตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว พวกเขาทั้งสองก็ยิ่งอึดอัดใจเข้าไปใหญ่
เพราะตงป๋อเสวี่ยอิงเพียงแค่พูดกับพวกเขาสองพี่น้องอย่างเรียบง่ายเพียงไม่กี่ประโยคแล้วกำชับบางอย่าง แล้วก็ให้พวกเขาสองคนถอยกลับไปแล้ว
“ข้ายังมีเรื่องบางอย่างที่ต้องพูดคุยกับท่านแม่ของพวกเจ้า ถอยออกไปกันก่อน” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มพลางมองบุตรธิดาของตน
“ขอรับท่านพ่อ เจ้าค่ะท่านพ่อ” ตงป๋ออวี้และตงป๋อชิงเหยายังคงรับคำอย่างเชื่อฟังแล้วถอยจากไปทันที เพราะถึงอย่างไรตลอดคืนวันอันยาวนาน อานุภาพของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ได้ซึมลึกเข้าไปในหัวใจของพวกเขาแล้ว
“เสวี่ยอิง วันนี้ท่านทำตัวแปลกนัก อวี้เอ๋อร์ก็เก็บตัวอยู่ ท่านยังให้เรียกตัวพวกเขามาโดยเร็วที่สุด เพียงแค่พูดกำชับไม่กี่ประโยคก็ให้พวกเขาจากไปแล้วอย่างนั้นหรือ” อวี๋จิ้งชิวงุนงงสงสัย
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า “เวลาของข้าจำกัดมากน่ะ”
“เวลาจำกัดหรือ” อวี๋จิ้งชิวยิ่งงุนงงเข้าไปใหญ่
“จิ้งชิว” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม “นับตั้งแต่ข้ากับเจ้าพบกันครั้งแรกที่เมืองชิงเหอ ก็ได้ประสบพบเจออุปสรรคมากมาย บัดนี้ก็ได้บำเพ็ญมาจนถึงระดับขั้นเช่นนี้ ได้เห็นทิวทัศน์จำนวนนับไม่ถ้วน ก็นับว่าไม่มีอะไรต้องเสียดายแล้ว”
“ไยจู่ๆ จึงพูดเรื่องพรรค์นี้ขึ้นมาเล่า” อวี๋จิ้งชิวพูดยิ้มๆ
“อีกไม่นานวิญญาณของข้าก็จะกระจัดพลัดพรายแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงพูด
อวี๋จิ้งชิวสะดุ้ง “จะเป็น จะเป็นไปได้อย่างไรกัน…” นางมองดูสามีของตน ถึงอย่างไรพวกเขาก็ประสบอะไรมามากและบำเพ็ญมานานเกินไปแล้ว จิตใจจึงไม่ธรรมดา แม้อวี๋จิ้งชิวจะรู้สึกมึนงง ความคิดยุ่งเหยิง แต่ก็ยังคงข่มความตื่นตระหนกพลางมองดูสามีของตน สามีตนยิ้มอย่างสงบ แต่อวี๋จิ้งชิวกลับมองออกว่า นี่มิใช่เรื่องโกหก
“ร่างจริงของข้าตกอยู่ในเงื้อมมือของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงพูด “ข้าจะทำให้วิญญาณกระจัดพลัดพรายด้วยตนเอง มิเช่นนั้นแล้วจะขออยู่ก็ไม่ได้ จะขอตายก็ไม่ดีแล้ว”
“จอมเทพศักดิ์สิทธิ์หรือ” อวี๋จิ้งชิวสะท้านไปทั้งวิญญาณ์
นั่นคือสิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดหวั่นที่สุดในอากาศอันสับสนอลหม่าน! เทพจักรวาลหลายคนที่ล่วงลับไป ล้วนสิ้นใจด้วยน้ำมือของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ เกรงว่าด้วยความแข็งแกร่งของเขา เพียงมองปราดเดียวก็สามารถสังหารขั้นอลวนได้แล้ว
แม้สามีตนจะยอดเยี่ยมไร้เทียมทาน บัดนี้สถานะสูงส่งนัก บรรดาเทพจักรวาลก็พูดคุยและปฏิบัติต่อเขาอย่างเท่าเทียม
แต่ตกอยู่ในเงื้อมมือของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์…
“เหตุใดเขาจึงลงมือกับท่านได้เล่า เขาคือจอมเทพศักดิ์สิทธิ์นะ” อวี๋จิ้งชิวร้อนรน
“เกี่ยวข้องกับเรื่องยุ่งยากบางอย่างน่ะ ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่จะพูดเรื่องเหล่านี้” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า เมื่อพลิกมือคราหนึ่ง ในมือก็มีกำไลเก็บวัตถุวงหนึ่งปรากฏขึ้น ภายในมีวัตถุจำนวนหนึ่งซึ่งเขาเพิ่งจะหลอมแปรขึ้นมาหยกๆ วางอยู่ เช่นภาพที่หนึ่งของเคล็ดวิชาสืบทอดสี่ภาพวาดของจักรพรรดิเก้าเมฆา! เนื่องจากบัดนี้เขาเพิ่งฝึกสำเร็จแค่ภาพที่หนึ่งเท่านั้น จึงทำได้เพียงบันทึกภาพที่หนึ่งเอาไว้ อีกสามภาพที่เหลือเขาล้วนบันทึกเอาไว้ไม่ได้
และยังมีศาสตร์ลับโลกเทียมซึ่งตนเป็นผู้คิดค้นขึ้น
อย่างศาสตร์ลับเหล่านี้ล้วนเป็นข้อมูล ดังนั้นเพียงชั่วอึดใจเดียวก็สามารถบันทึกเอาไว้ได้อย่างรวดเร็ว น่าเสียดายที่ร่างจริงของตนตกอยู่ในเงื้อมมือของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ สมบัติล้ำค่าจึงไปอยู่กับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์เสียแล้ว เคราะห์ดีที่ตนยังมีศิลาปฐมโลกาอยู่กับท่านบรรพชนเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ตนก็จะทิ้งเครื่องหมายมิติของ ‘รังระดับเกราะทอง’ อีกสามแห่งที่ค้นพบเอาไว้ให้บรรดาเทพจักรวาลด้วย
เชื่อว่าพวกเขาคงจะปฏิบัติต่อบุตรภรรยาของตนเป็นอย่างดี
“เมื่อร่างแปรร่างนี้ของข้าสลายไป เจ้าก็สามารถมอบกำไลเก็บวัตถุวงนี้ให้พวกท่านบรรพชนได้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงกำชับ “ข้าได้ลงสิ่งกีดขวางเอาไว้ข้างบน ขั้นอลวนก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถทำลายได้ เจ้าก็ไม่ต้องดูหรอกนะ” จิ้งชิวดูแล้ว ก็มีแต่จะทำร้ายจิ้งชิวเท่านั้น
อวี๋จิ้งชิวรับไป
“ที่แท้แล้วเกิดอะไรขึ้น ไยจึงเป็นเช่นนี้ไปได้” อวี๋จิ้งชิวกล่าว
“เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับจ้าวภูเขาฉื้อเหมย” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิได้ปิดบังภรรยาของตนแต่อย่างใด เขาถ่ายเสียงเล่าทุกสิ่งที่ดำเนินไปอย่างรวดเร็วรอบหนึ่ง “เรื่องนี้เจ้าอย่าได้บอกอวี้เอ๋อร์และชิงเหยาเป็นอันขาด หากบอกพวกเขาแล้ว จะกลับกลายเป็นการทำร้ายพวกเขา จ้าวภูเขาฉื้อเหมยมีเคล็ดร่างแยก ฆ่าอย่างไรก็ไม่ตาย”
อวี๋จิ้งชิวฟังแล้วก็เกิดความชิงชังเต็มอก
จ้าวภูเขาฉื้อเหมย จอมเทพศักดิ์สิทธิ์…
น่าเสียดาย ที่พวกเขาล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตที่มิอาจรับมือได้ทั้งสิ้น
“ข้ารู้ ข้าไม่บอกอวี้เอ๋อร์กับชิงเหยาหรอก” อวี๋จิ้งชิวพยักหน้า
“ยังมีอีก แม้ข้าจะวิญญาณกระจัดพลัดพรายไปแล้ว แต่ก็มิได้สิ้นใจไปจริงๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงพูดต่อไป เขารู้ดีว่ามีวิธีการบางอย่างที่สามารถสอดส่องดูภาพทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้นได้ ดังนั้นความลับที่ตนจะกลับชาติไปจุตินั้น ตนก็มิได้คิดจะเผยแพร่ออกไปภายนอก แม้แต่เทพจักรวาลก็ไม่จำเป็นต้องบอก เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็ช่วยอะไรตนไม่ได้อยู่ดี
“มิได้สิ้นใจไปจริงๆหรือ” อวี๋จิ้งชิวมองดูสามี นัยน์ตาฉายแววรอคอย
“ข้าได้สมบัติลับวิเศษมาชิ้นหนึ่ง” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงพูด “สมบัติลับวิเศษนั้นชื่อว่าป้ายคำสั่งจิตโลกา เมื่ออาศัยมัน ก็จะกลับชาติเข้าไปจุติยังโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งหนึ่งซึ่งเทียบเท่ากับอากาศอันสับสนอลหม่าน วางใจเถิด ในภายหน้าข้าต้องกลับมาจากโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลนั่นอีกอย่างแน่นอน ทว่าอาจจะใช้เวลาค่อนข้างยาวนานหน่อย เรื่องนี้เป็นเรื่องลับเฉพาะ ภายหน้าหากจำเป็น เจ้าสามารถบอกท่านบรรพชนได้ ทว่าตอนนี้ก็ไม่จำเป็นต้องพูดหรอก”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเชื่อใจบรรพชนเทียนอวี๋มาก
กู่ฉีอาจารย์ตนก็เชื่อใจเขา ก่อนสิ้นใจก็ได้ส่งมอบของให้บรรพชนเทียนอวี๋
“อื้ม” อวี๋จิ้งชิวก็ถ่ายเสียงรับคำ “วางใจเถิด ข้าจะไม่บอกอวี้เอ๋อร์และชิงเหยาง่ายๆ หากบอกแล้วก็ไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องดีต่อพวกเขา อ้อ แล้วท่านมิได้หลอกลวงข้าใช่หรือไม่”
“ฮ่าฮ่า เจ้ากับข้ามองความเป็นความตายทะลุปรุโปร่งมาตั้งนานแล้ว ไยต้องหลอกลวงด้วยเล่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงพูด
อวี๋จิ้งชิวพยักหน้าตอบกลับว่า “เสวี่ยอิง สิ่งที่ข้าเกลียดที่สุดก็คือมิอาจแก้แค้นแทนท่านได้”
“เรื่องพวกนี้รอให้ข้ากลับมาแก้แค้นเองเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงพลางหัวเราะ
……
ณ โลกทิพย์โบราณ
บนเตียงศิลาดำอันส่องประกายภายในโถงตำหนักนั้น จอมเทพศักดิ์สิทธิ์กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่พลางมองดูตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่เบื้องล่างด้วยความตกตะลึงอยู่บ้าง “เจ้าผลักดันขึ้นมาเองอย่างนั้นหรือ”
“ใช่”
ตงป๋อเสวี่ยอิงที่นั่งดื่มสุราชั้นเลิศอยู่ตรงนั้นพยักหน้า “คิดว่าจอมเทพศักดิ์สิทธิ์จะต้องรู้แน่ว่า ข้าเชี่ยวชาญทางด้านเขตลวงเป็นอย่างยิ่ง ข้าสนใจทางสายของประมุขหอหมื่นโลกาและจ้าวภูเขาฉื้อเหมยมาโดยตลอด! แค่ขั้นอลวนคนหนึ่งอย่างจ้าวภูเขาฉื้อเหมยก็สามารถมีร่างแยกได้ นอกจากนี้จะสะกดรอยอย่างไร ก็หาร่องรอยของร่างแยกไม่พบ ว่ากันว่าแม้แต่ท่าน จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ยังมิอาจสังหารเขาได้อย่างแท้จริง”
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์พยักหน้า
“ดังนั้นข้าจึงจับตามองศิษย์ของพวกเขา สำแดงเขตลวงจนได้วิธีการบำเพ็ญมาจากศิษย์ของพวกเขาอย่างเงียบเชียบ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “ข้าเก็บตัวบำเพ็ญแล้วผลักดันมันไป คิดไม่ถึงว่าจะทำให้ข้ารู้แจ้งสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกานี้เหมือนจะแปลกพิสดารมาก แต่กลับมีเงื่อนไขของระดับขั้นการบำเพ็ญที่ไม่สูงนัก”
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ลอบตกตะลึง เขาก็รู้ว่ามีเงื่อนไขของระดับขั้นไม่สูงนัก มิเช่นนั้นขั้นอลวนอย่างจ้าวภูเขาฉื้อเหมยจะสามารถสำแดงออกมาได้อย่างไร แม้แต่ร่างแปรก็ยังสามารถสำแดงออกมาได้ เคล็ดร่างแยกน่าจะมีเงื่อนไขของระดับขั้นที่ไม่สูงนัก
แต่ว่าเส้นทางการบำเพ็ญล้วนต้องมีการบุกเบิก หากมิได้มีพรสวรรค์ไร้เทียมทาน ก็ยากนักที่จะบุกเบิกเส้นทางที่น่าเหลือเชื่อระดับนั้นขึ้นมาได้
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ได้ยินเรื่องนี้แล้วก็ยอมรับว่า หากตงป๋อเสวี่ยอิงผลักดันให้เกิดศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาขึ้นมาเองจริงๆ ความสามารถในการรับรู้ก็ร้ายกาจมากอย่างแท้จริง! ทว่าเมื่อคิดๆ ดูแล้ว ความเร็วในการบำเพ็ญของตงป๋อเสวี่ยอิงก่อนหน้านี้ก็เป็นผู้ที่ยอดเยี่ยมไร้เทียมทานคนหนึ่งจริงๆ หากปล่อยให้เขาเติบโตต่อไป ไม่แน่ว่าในภายหน้าอาจจะเป็นจอมกระบี่อีกคนก็ได้
“ข้าจะไม่ปิดบังจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ ข้าก็แค่ผลักดันให้เกิดศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาขึ้นมาเท่านั้น และพอจะได้อะไรจากการกลายเป็นอากาศธาตุบ้าง แม้จะรับรู้เคล็ดร่างแยกเพียงครึ่งๆ กลางๆ แต่จะผลักดันออกมาก็ยังต้องใช้เวลาอีกนาน” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว เขาจะคุยโวอย่างไรก็คุยได้ เพราะเขาแค่ต้องการถ่วงเวลาออกไปเพื่อเตรียมการทุกสิ่งให้เรียบร้อยเท่านั้น
“เวลาใกล้เคียงแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ เขาผ่อนคลายมาก เพราะสามารถถ่วงเวลาได้อย่างง่ายดาย
ตอนที่ 14 วิญญาณกระจัดพลัดพราย
โดย
Ink Stone_Fantasy
ตงป๋อเสวี่ยอิงเกรงว่าอีกฝ่ายจะเก็บวิญญาณทันที เช่นนั้นเกรงว่าตนก็คงจะไม่มีเวลาเตรียมการทุกอย่างให้พร้อมแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการทิ้งศาสตร์ลับภาพที่หนึ่งของจักรพรรดิเก้าเมฆาหรือเครื่องหมายมิติของรังระดับเกราะทองและอื่นๆ เอาไว้ สิ่งเหล่านี้ล้วนต้องใช้เวลา เคราะห์ดีที่จอมเทพศักดิ์สิทธิ์นั้นมีความอดทนเป็นอันมาก
“สุรานี้ของข้าเป็นเช่นไรบ้าง” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงศิลาดำถามยิ้มๆ
“สุราดี จนถึงบัดนี้ข้าเคยดื่มสุราชั้นเลิศไปมากมาย สุรานี้ของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์กลับมีคุณสมบัติพอจะจัดเป็นอันดับหนึ่งได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว เขามิได้กล่าวเท็จเลยแม้แต่น้อย
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ยิ้ม “สุรานี้ เจ้าก็ต้องมาหาข้าเท่านั้นจึงจะได้ดื่ม มีแต่ยุคแรกสุดของโลกทิพย์โบราณดั้งเดิมเท่านั้นที่มี มันตกอยู่ในมือข้าทั้งหมด บัดนี้มีแต่ดื่มจอกกหนึ่งน้อยลงจอกหนึ่งเท่านั้น เอาล่ะ สุราก็ดื่มไปแล้ว ควรจะพูดได้แล้วกระมัง”
เขาได้วิธีการบำเพ็ญพื้นฐานของทางสายประมุขหอหมื่นโลกาและจ้าวภูเขาฉื้อเหมยมาตั้งนานแล้ว
แต่ก็มิอาจผลักดันศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาได้มาโดยตลอด เขามองวิธีการต่างๆ ทั้งร่างแยกและการกลายเป็นอากาศธาตุ รวมไปถึง ‘ศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกา’ ที่เขารู้ว่าทางสายนั้นมีตาเป็นมัน! เขารู้สึกว่าหากคนรุ่นหลังอย่างตงป๋อเสวี่ยอิงคนนี้มีพรสวรรค์ร้ายกาจจนสามารถผลักดันให้เกิดศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาขึ้นมาได้ เมื่อเขาศึกษาจนใช้เป็นแล้ว ด้วยระดับขั้นของเขาอาจจะอาศัยวิธีคิดจนสามารถผลักดันให้เกิดวิธีการต่างๆ อย่างร่างแยกขึ้นมาได้เช่นกัน
“จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ช่างมีความจริงใจโดยแท้” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “ทว่าจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ต้องจำคำสัญญาของท่านเอาไว้ด้วย”
“วางใจเถิด ชีวิตของเจ้ายังไม่ถึงกับทำให้ข้าตระบัดสัตย์ได้หรอก ข้าจะไม่ใช่แค่ปล่อยให้เจ้าจากไป แต่ยังจะมอบสมบัติลับที่ดีกว่าที่เจ้ามีตั้งมากมายให้อีกด้วย” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ยิ้ม “สำหรับเทพจักรวาลคนอื่นแล้ว สมบัติลับเหล่านี้อาจจะสำคัญมาก แต่สำหรับข้าแล้ว ไม่ควรค่าแก่การพูดถึงเลย”
“แน่นอนว่าข้าเชื่อ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว
ขณะเดียวกัน ท่ามกลางวิญญาณในกาย
พลังงานสีแดงชาดระลอกหนึ่งที่อยู่ภายในวิญญาณนั้นแปรมาจากป้ายคำสั่งจิตโลกา มันลึกลับยากเกินคาดเดา มิอาจขับไล่ออกไปได้ เพียงแค่ลูกไม้เล็กน้อยที่ทิ้งเอาไว้ก็ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงอับจนหนทางได้แล้ว จะเห็นได้ว่าสิ่งมีชีวิตลึกลับที่มีนามว่า ‘หยวน’ ผู้นั้นมีพลังสูงส่งลึกล้ำเพียงใด
“กระตุ้นเถิด” ในใจของตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกซับซ้อน
เขาบำเพ็ญมาเป็นระยะเวลาสั้นๆ เพียงล้านล้านกว่าปี ก็เข้าถึงกระบวนท่าระดับชั้นที่เก้าได้ถึงสองชนิดแล้ว หากทำได้ เขาก็จะไม่เลือกเส้นทางกลับชาติไปจุติเด็ดขาด
ทางสายนี้…
ทางข้างหน้ายากทำนาย แม้เมื่ออยู่ต่อหน้าภรรยาจะกล่าวว่าตนจะต้องกลับมาได้อย่างแน่นอน แต่ ‘ป้ายคำสั่งจิตโลกา’ จะมีอะไรซ่อนเร้นอยู่หรือไม่ ระหว่างการส่งถ่ายจากอากาศอันสับสนอลหม่านไปยังโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลอีกแห่งหนึ่งจะเกิดปัญหาขึ้นหรือไม่ สถานที่ที่เรียกว่า ‘ดินแดนจิตโลกา’ นั้นจะเป็นอย่างไร ตนก็ไม่รู้เลยสักนิด หากป้ายคำสั่งจิตโลกานั้นหลอกลวง ตนก็จะถูกส่งไปอยู่ในเงื้อมมือของฝ่ายตรงข้าม
แต่ตอนนี้ไม่มีทางเลือกแล้ว!
เช่นตกอยู่ในเงื้อมมือของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ นี่ก็เป็นทางที่ดีที่สุดแล้ว
“จิ้งชิว ข้าจะต้องกลับมาแน่ อวี้เอ๋อร์และชิงเหยา ไม่รู้ว่าตอนที่ข้ากลับมา พวกเจ้าจะกลายเป็นเช่นไรไปแล้ว”
“จ้าวภูเขาฉื้อเหมย ประมุขหอหมื่นโลกา ครั้งนี้เป็นพวกเจ้าที่ลอบคิดบัญชี”
“จอมเทพศักดิ์สิทธิ์…ข้ายังมิได้แก้แค้นแทนท่านอาจารย์ข้าเลย!”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำเบาๆ
อันที่จริงเขายังมีทางรอดเฮือกสุดท้ายอีกสายหนึ่ง นั่นก็คือถ่ายทอดศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาให้จอมเทพศักดิ์สิทธิ์จริงๆ! เขาก็เชื่อว่าผู้ที่มีสถานะอย่างจอมเทพศักดิ์สิทธิ์คงจะปล่อยตนไปและมอบสมบัติล้ำค่าให้จริงๆ น่าเสียดาย ทางสายนี้ตนไม่มีทางยอมเลือกอยู่แล้ว
“วิ้ง”
เพียงชั่วความคิดเดียว
แม้จะมิอาจขับไล่พลังงานสีแดงชาดนั้นออกไปได้ แต่การกระตุ้นกลับใช้เวลาเพียงชั่วความคิดเดียว มันยอมรับตงป๋อเสวี่ยอิงและแทรกซึมเข้าไปอยู่ในวิญญาณตงป๋อเสวี่ยอิง ก็เพื่อ ‘กระตุ้น’ ขึ้นมาในชั่วขณะนี้นั่นเอง
“ตู้มมมม…”
พลังงานสีแดงชาดห่อหุ้มวิญญาณแท้อันบริสุทธิ์เอาไว้ ทันใดนั้นแสงสีแดงพลันปะทุขึ้น วิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงที่แปรเป็นรูปร่างมนุษย์สลลายหายไปกลายเป็นความว่างเปล่าอย่างสิ้นเชิงราวกับเศษทรายแก้วแตกออกอย่างไรอย่างนั้น
ส่วนพลังงานสีแดงชาดที่มีอยู่เดิมก็อันตรธานไปเช่นเดียวกัน
……
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์นั่งอยู่บนเตียงศิลาดำอย่างรอคอย ก่อนหน้านี้เขายังกังวลว่าตงป๋อเสวี่ยอิงจะยอมตายดีกว่าพูดออกมา ทว่าดูแล้วท่าทีก็ยังไม่เลวนัก เขายังปิดผนึกวิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างสิ้นเชิง จะฆ่าตัวตายก็ฆ่าไม่ได้ จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ยังคงรอคอยให้ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายทอดศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาให้เขาด้วยความมั่นใจในตนเองอย่างเต็มเปี่ยม
“เอ๊ะ” สีหน้าของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์เปลี่ยนแปรไปเล็กน้อย ใบหน้าที่นุ่มนวลอยู่ตลอดเวลากลับเคร่งขรึมขึ้นมาทันที
เขาผนึกพละกำลังของวิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิง รู้สึกว่าภายในวิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงพลันมีแสงสีแดงระลอกหนึ่งปะทุออกมา นั่นเป็นพละกำลังอันแปลกประหลาดระลอกหนึ่ง จากนั้นวิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงก็สลายไปอย่างสิ้นเชิง
วิญญาณกระจัดพลัดพรายไปอย่างเต็มที่ ไม่มีอะไรหลงเหลือเลยแม้แต่น้อย
ส่วนกายหยาบของตงป๋อเสวี่ยอิงที่นั่งดื่มสุราอยู่ตรงนั้นยังคงมีรอยยิ้ม ในมือยังจับจอกสุราอยู่ แต่กลิ่นอายของวิญญาณกับสูญสลายไปอย่างสิ้นเชิง
“เป็นไปได้อย่างไรกัน เขาสิ้นใจไปได้อย่างไรกัน” ในใจของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์สั่นสะท้าน ไม่อยากจะเชื่อ
ภายใต้การปิดผนึกด้วยน้ำมือของตนเอง
ตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถปลิดชีพตนเองสำเร็จได้ด้วยหรือนี่
ที่แท้เขาวางแผนเอาไว้เป็นอย่างดีแล้ว หากตงป๋อเสวี่ยอิงไม่พูด เขาก็จะใช้การลงโทษต่างๆ มาทรมานให้เขาจะอยู่ก็ไม่ได้ จะตายก็ไม่เชิง หากการลงโทษบีบบังคับมิได้ สุดท้ายก็ใช้วิธีที่ทึ่มทื่อที่สุด…ค้นวิญญาณ! การค้นวิญญาณจะต้องค้นได้เพียงครึ่งๆ กลางๆ เท่านั้น มิอาจได้ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาอันสมบูรณ์แบบมาได้ แต่ก็ดีกว่ามิได้อะไรเลย
“วิญญาณกระจัดพลัดพรายหรือ เขา เขาทำได้อย่างไรกัน หรือว่าเขามีเคล็ดลับวิญญาณพิเศษอะไรหรือไม่”ในใจของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ทั้งร้อนรนและโมโห เห็นอยู่กับตาว่ากำลังจะได้ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกามาไว้ในมือก็กลับกลายเป็นไม่ได้ไปเช่นนี้เอง! อีกทั้งก่อนหน้านี้ตงป๋อเสวี่ยอิงยังจงใจรับคำตน และยังพูดคุยเพื่อขอสุราชั้นเลิศจากเขา การกลั่นแกล้งเช่นนี้ก็ทำให้เขาโมโหมากเช่นกัน
“ใช่แล้ว เขาคือผู้บำเพ็ญที่เชี่ยวชาญด้านเขตลวงที่สุดในตอนนี้ ในฐานะผู้แกร่งกล้าที่สุดทางด้านเขตลวง ก็คงจะพอมีเคล็ดลับพิเศษด้านวิญญาณอยู่บ้าง แม้จะถูกข้าผนึกก็สามารถปลิดชีพตนเองได้” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ทำได้เพียงคาดเดาไปตามเรื่องเท่านั้น
เพราะแต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่เคยเห็นป้ายคำสั่งจิตโลกากับตาตนเองมาก่อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการกระตุ้นป้ายคำสั่งจิตโลกาเลย
เขายังคิดว่าแสงสีแดงระลอกนั้นเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจากการสำแดงเคล็ดลับเสียอีก
“นี่มัน…” บรรดาบ่าวรับใช้และประมุขนรกภูมิที่อยู่ในโถงตำหนักต่างก็รู้สึกตกใจ พวกเขาล้วนมองออกว่ากายหยาบของตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นเพียงเปลือกอันว่างเปล่าเท่านั้น ปราศจากวิญญาณอีกต่อไป
ขณะนี้บรรยากาศภายในโถงตำหนักยังคงอึดอัด พวกเขาก็มิกล้าเปล่งเสียง
“ตู้ม”
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์โบกมือคราหนึ่ง
อสนีบาตสีเทาสายหนึ่งพลันฟาดลงมาแล้วกระทบเข้ากับกายหยาบของตงป๋อเสวี่ยอิง เมื่อกระทบก็พลันระเบิดออกกลายเป็นเถ้าธุลีไป ทิ้งไว้เพียงสมบัติลับบางอย่างเช่นสร้อยข้อมือไข่มุกสิบสองเม็ดเท่านั้น
“เหตุใดผู้บำเพ็ญพวกนี้แต่ละคนถึงได้โง่งมเช่นนี้ สู้จนตัวตายเพื่อขัดขวางข้า รอให้ข้าปกครองอากาศอันสับสนอลหม่านให้ได้เสียก่อน ถึงตอนนั้นจะต้องเรียกเขากลับมาจากอากาศอันสับสนอลหม่านอีกแน่นอน ให้เขาตกอยู่ท่ามกลางการลงทัณฑ์มิอาจหลุดพ้นได้ไปตลอดกาล” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์พูดเสียงเย็นชา
……
บนเศษหินที่ล่องลอยอยู่นอกโลกทิพย์โบราณ ร่างแปรร่างหนึ่งของจ้าวภูเขาฉื้อเหมยอยู่ตรงนี้ เขาอาศัยรูทรงกลมหมอกดำส่องสำรวจโลกทิพย์โบราณอยู่ตลอดเวลา! ศาสตร์การสอดส่องระดับนี้ ต่อให้เป็นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็มิอาจสัมผัสรับรู้ได้
จ้าวภูเขาฉื้อเหมยสอดส่องภายในตำหนักแห่งนั้นของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์อยู่ตลอด
“ก้มศีรษะยอมแพ้หรือนี่ จะเป็นฝ่ายมอบศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาออกไปเองหรือนี่ สมควรตาย!” จ้าวภูเขาฉื้อเหมยมองตงป๋อเสวี่ยอิงก้มศีรษะแล้วก็อดโมโหขึ้นมามิได้ “เป็นก้างขวางคอที่ต่ำช้านัก”
ทว่าเมื่อมองไปมองมา
เขาก็ตื่นตะลึงเหลือแสน
“ปลิดชีพตนเองไปแล้ว เขาสามารถปลิดชีพตนเองได้สำเร็จด้วยหรือนี่ ฮ่าฮ่าฮ่า ปลิดชีพตนเองได้ดี ปลิดชีพตนเองได้ดีนัก แม้จะมิได้สิ้นใจเพราะได้รับการลงโทษและค้นวิญญาณก็ตาม! บัดนี้ปลิดชีพตนเองก็นับว่าดูถูกเขา แต่อย่างน้อยก็นับว่าตายจากไปแล้ว” จ้าวภูเขาฉื้อเหมยอดเผยรอยยิ้มออกมามิได้ จากนั้นร่างแปรร่างนี้ของเขาก็อันตรธานไปอย่างไร้สุ้มเสียง ได้เห็นร่างจริงของตงป๋อเสวี่ยอิงตายจากไป แม้แต่กายหยาบก็ยังถูกโจมตีเสียจนกระจัดกระจายหายไปเป็นความว่างเปล่าเขาก็พึงพอใจแล้ว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น