Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 32 ตอนที่ 3-4
ตอนที่ 3 สถานะ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ชายชราร่างผอมเล็กดื่มสุราพลางถามขึ้นอย่างประหลาดใจ “เท่าที่ข้ารู้ ความสำเร็จด้านเขตลวงของเจ้าในตอนนี้นับได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งในบรรดาผู้บำเพ็ญแล้ว ข้าดูแล้วเจ้าก็ยังอายุไม่มาก เหตุใดจึงสามารถบำเพ็ญเขตลวงมาจนถึงระดับนี้ได้เล่า”
ตงป๋อเสวี่ยอิงแย้มยิ้ม “เดิมทีการบำเพ็ญก็เป็นการเดินหน้าไปทีละก้าวๆ ยามที่ข้าอ่อนแอ ยามที่เป็นเพียงแค่ชีวิตเหนือธรรมดาก็มีการตระหนักรู้เขตลวงโลกเทียมแล้ว นับว่ามีพรสวรรค์ทางด้านนี้ก็ได้กระมัง! จากนั้นก็ขัดเกลาตนเองและก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดหย่อน ระยะเวลาล้านล้านปีจวบจนกระทั่งถึงตอนนี้ก็มาถึงระดับนี้แล้วอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลย”
“ใช่แล้ว อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว” ชายชราร่างผอมเล็กแววตาอึมครึม “พูดขึ้นมาตอนที่ข้ายังอ่อนแออย่างที่สุด เป็นเพียงแค่สัตว์ประหลาดด้อยสติปัญญาตนหนึ่งเท่านั้น เวลานั้นคิดถึงเพียงแค่การสามารถหลบหลีกจากการล่าสังหารนานาชนิดให้ได้ คิดแต่จะเอาชีวิตให้รอดตามสัญชาตญาณการใช้ชีวิตเท่านั้น ไม่รู้เนื้อรู้ตัวก็มาถึงตอนนี้เสียแล้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบตกตะลึง
สัตว์ประหลาดหรือ
ด้อยสติปัญญาอย่างนั้นหรือ
‘ผู้อาวุโสศิลา’ ท่านนี้บอกว่ากระจกศิลานั้นคือเกล็ดแผ่นหนึ่งที่สลัดทิ้งออกจากร่างกายของเขา ตงป๋อเสวี่ยอิงก็สามารถคาดเดาได้แล้ว แต่เดิมทีเขาคิดว่าผู้อาวุโสศิลานั้นเลิศล้ำมาตั้งแต่เกิด แต่คิดไม่ถึงว่ายังมีชาติกำเนิดที่ต้อยต่ำกว่าตนอยู่พอสมควรเลยทีเดียว
“ตาเฒ่าเอ๋ย รำลึกความหลังอยู่ตลอด แม้กระทั่งเรี่ยวแรงในการบำเพ็ญก็ไม่มีแล้ว” ชายชราร่างผอมเล็กหัวเราะ “เจ้าเห็นเขตลวงเป็นอย่างไร เจ้าคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างภายในเขตลวงเป็นความจริงหรือไม่”
“มีสติปัญญา มีตัวตน มีประสบการณ์เป็นของตนเอง สิ่งมีชีวิตนับล้านล้านชีวิตภายในเขตลวงล้วนต้องเป็นความจริงอย่างแน่นอน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “เขตลวงของข้าในตอนนี้อยู่ห่างจากโลกแห่งความจริงอีกเพียงแค่ครึ่งก้าวเท่านั้น ถึงขนาดที่ทุกครั้งยามที่สำแดงเขตลวงเสร็จสิ้นแล้วข้าก็เพียงแค่ทำให้เวลาของล้านล้านชีวิตภายในเขตลวงเข้าสู่การหยุดนิ่ง รอให้ถึงเวลาสำแดงครั้งต่อไป สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ก็สามารถปรากฏตัวต่อไปได้”
ถ้าหากทำให้เขตลวงแตกสลายไปตลอดกาลก็เหมือนกับทำให้ล้านล้านชีวิตภายในนั้นแตกสลายไปด้วย ตงป๋อเสวี่ยอิงมิอาจตัดใจทำเช่นนั้นได้ลง
มิใช่ว่าเขาโง่งมเกินไป
หากแต่บำเพ็ญมาจนถึงระดับขั้นเช่นเขา ล้านล้านชีวิตภายในเขตลวง กับสิ่งมีชีวิตในโลกแห่งความจริงก็มิได้แตกต่างกันมากมายสักเท่าใดแล้วจริงๆ มีตัวตน มีความรู้สึก สามารถบำเพ็ญได้… สุขทุกข์โศกเศร้าก็ล้วนมีทั้งสิ้น ดังนั้นเขตลวงที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงล้วนเป็นเขตลวงขนาดมโหฬารที่มีเสถียรภาพ เพียงแต่ทุกครั้งล้วนมีสิ่งมีชีวิตเพิ่มเข้าไปเท่านั้น
“เป็นความจริงทั้งหมดอย่างนั้นหรือ พอสำแดงเสร็จสิ้นแล้วก็เพียงแค่ทำให้กาลเวลาภายในเขตลวงหยุดนิ่งเป็นการชั่วคราวอย่างนั้นหรือ” ชายชราร่างผอมเล็กฟังแล้วก็คิดใคร่ครวญ จากนั้นก็ส่ายหน้าพลางหัวเราะหึๆ ขึ้นมา “การบำเพ็ญ มีบางเวลาที่พลังจิตวิญญาณมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เจ้าเชื่อมั่น เจ้าก็สามารถทำสำเร็จได้ เจ้าไม่เชื่อ ก็ยิ่งมิอาจทำได้สำเร็จอยู่แล้ว”
“เอาล่ะ ดื่มกินจนอิ่มหมีพีมันแล้ว ก็ควรไปได้แล้วสินะ” ชายชราร่างผอมเล็กยืดกายลุกขึ้น เข
หัวเราะคิกคักพลางมองตงป๋อเสวี่ยอิงปราดหนึ่ง “หากมีชะตาต่อกัน บางทีก็อาจได้พบกันอีก”
พูดแล้วชายชราร่างผอมเล็กก็ลุกขึ้นยืนอย่างโงนเงน ถือไม้เท้าเดินมุ่งหน้าไปไกลอย่างช้าๆ เดินๆ ไปแล้วเงาร่างก็ค่อยๆ เลือนหายไป
ถึงขนาดที่ตงป๋อเสวี่ยอิงมิทันได้สังเกตว่าอีกฝ่ายจากไปอย่างไร
“ร้ายกาจยิ่งนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบตกตะลึง “ข้าคิดมาตลอดว่าฝีมือทางด้านห้วงอากาศ ในตอนนั้นอันดับที่หนึ่งคือจักรพรรดิเก้าเมฆา ตอนนี้อันดับที่หนึ่งคือบรรพชนห้วงอากาศ! แต่ดูแล้ว ‘ผู้อาวุโสศิลา’ ผู้ลึกลับยากหยั่งถึงผู้นี้ก็ลึกลับยากคาดเดาเช่นเดียวกัน ลำพังแค่วิธีการไปเช่นนี้ก็เหนือกว่าบรรพชนห้วงอากาศแล้ว”
……
ณ สถานที่อีกแห่ง วังทวีสูญ
ร่างแปรของตงป๋อเสวี่ยอิงมากราบคารวะบรรพชนเทียนอวี๋ในทันที
“ท่านบรรพชน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
“ตงป๋อเสวี่ยอิง มีเรื่องอันใดจึงได้มาพบข้าด้วยตนเอง” บรรพชนเทียนอวี๋เอ่ยอย่างประหลาดใจอยู่บ้าง
“ท่านบรรพชนรู้จักคนผู้หนึ่งหรือไม่ขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดพลางโบกมือคราหนึ่ง ข้างกายก็มีรูปลักษณ์ของผู้อาวุโสศิลาผู้นั้นปรากฏขึ้น ผอมจนหนังหุ้มกระดูก ทั้งยังถือไม้เท้า “พลังยุทธ์ของเขาสูงส่งยิ่ง สำหรับการใช้ประโยชน์จากห้วงอากาศ ข้ารู้สึกว่าเขายังเหนือกว่าบรรพชนห้วงอากาศเสียอีก! จากการประเมินของข้า จะต้องเป็นเทพจักรวาลอย่างแน่นอน ทั้งยังน่าจะจัดอยู่ในระดับแถวหน้าในบรรดาเทพจักรวาลอีกด้วย ไม่กล้าพูดว่าสามารถเทียบเคียงกับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ได้ แต่อย่างน้อยก็ต้องเป็นระดับเดียวกันกับบรรพชนโลกาและจอมมารดาเลยทีเดียว”
“โอ้” บรรพชนเทียนอวี๋มองอย่างตกตะลึง เขาเพ่งมองรูปลักษณ์ที่ปรากฏขึ้นกลางอากาศด้านข้างแล้วก็อดส่ายศีรษะมิได้ “ไม่รู้จัก แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย”
ตงป๋อเสวี่ยอิงสงสัย
ถึงแม้ว่าจอมกระบี่จะมีพลังยุทธ์สูงส่ง แต่หากพูดถึงความยาวนานในการใช้ชีวิตและความกว้างไกลของวิสัยทัศน์ บรรพชนเทียนอวี๋กลับเหนือชั้นกว่ามากนัก เขาก็ยังไม่เคยพบเห็นผู้อาวุโสศิลาผู้นี้มาก่อนเลยอย่างนั้นหรือ
“ระดับเทพจักรวาลคนหนึ่ง นอกจากนี้อย่างน้อยก็เป็นระดับเดียวกับบรรพชนโลกาและจอมมารดาด้วยหรือ” บรรพชนเทียนอวี๋ส่ายศีรษะ “พลังยุทธ์เช่นนี้ เหตุใดจึงสามารถไร้ซึ่งความเคลื่อนไหวได้มาโดยตลอดเลยเล่า ตงป๋อเสวี่ยอิง เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้าเคยพบเขา พลังยุทธ์ของเขาสูงส่งถึงเพียงนั้นจริงๆ น่ะหรือ เจ้ามิได้ถูกตบตาใช่หรือไม่”
ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะ “เป็นไปไม่ได้”
“ก็ใช่ ความสำเร็จทางด้านเขตลวงของเจ้า อาณาเขตกฎเกณฑ์ของเจ้า คิดจะตบตาเจ้าอย่างนั้นหรือ ช่างยากเย็นนัก” บรรพชนเทียนอวี๋ฉงนสงสัย “แต่ผู้ที่มีพลังยุทธ์เช่นนี้ แต่ไหนแต่ไรข้าก็มิเคยพบเจอมาก่อนเลย เพิ่งเคยได้ยินจากเจ้าเป็นครั้งแรกนี่แหละ ช่างน่าประหลาดนัก”
******
ถามบรรพชนเทียนอวี๋แล้ว หลังจากนั้นก็ไปถามจอมกระบี่ จอมกระบี่ก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยเช่นกัน
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ได้แต่ปล่อยเรื่องนี้ไปชั่วคราวก่อน ไม่ว่าอย่างไรชายชราร่างผอมเล็กผู้ลึกลับผู้นั้นก็มิได้มีความเกลียดชังอันใดต่อเขา เพียงแต่ว่าตัวตนลึกลับเกินไปหน่อยก็เท่านั้นเอง!
……
ณ โลกทิพย์กิเลนบูรพา
บนยอดเขาสูงตระหง่านอันแห้งแล้งแห่งหนึ่ง ลมภูเขาพัดโชย ชายชราร่างผอมเล็กที่ถือไม้เท้าผู้หนึ่งยืนอยู่บนยอดเขา ทันใดนั้นด้านข้างก็มีเงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้น ซึ่งก็คือบรรพชนโลกาผู้มีร่างกายผอมเล็ก สวมอาภรณ์สีเขียวตัวหลวมโพรกตลอดร่าง หว่างคิ้วของบรรพชนโลกามีความเย่อหยิ่ง ถึงอย่างไรต่อให้เป็นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ยังยากที่จะทำร้ายร่างกายของเขาได้แม้แต่น้อย ถ้าหากเคราะห์ไม่ดี ก็จะต้องได้เป็นพญามารที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งเลยทีเดียว
แต่บรรพชนโลกาที่ปกติเย่อหยิ่งหาใดเปรียบ ในขณะนี้กลับเคารพนบนอบ ค้อมกายทำความเคารพไปทางชายชราร่างผอมเล็กที่อยู่ด้านข้าง “ท่านอาจารย์ ท่านตื่นแล้ว ศิษย์ยังคิดว่ายากนักที่จะได้พบกับท่านอาจารย์อีก” ในขณะนี้บรรพชนโลกาก็ยังยากที่จะควบคุมอารมณ์อยู่บ้าง เห็นได้ชัดว่าตื่นเต้นอย่างที่สุด
ชายชราร่างผอมเล็กลูบศีรษะบรรพชนโลกาพร้อมรอยยิ้ม
คนทั้งสองมีส่วนสูงใกล้เคียงกัน ชายชราร่างผอมเล็กหัวเราะหึๆ เอ่ยว่า “มารน้อยเช่นเจ้า ตอนนี้ก็เป็นบรรพชนโลกาผู้เลื่องชื่อแล้ว ยังดูเหมือนเด็กน้อยอยู่เลยนะ”
“ข้ายังเป็นเพียงแค่ศิษย์ผู้หนึ่งของท่านอาจารย์ไปตลอดกาลเลยขอรับ” บรรพชนโลกาไม่มีความดื้อรั้นดุร้ายเลยแม้แต่น้อย ในทางตรงข้ามกลับมีความอ่อนน้อมเป็นอย่างยิ่ง ผู้ที่เขาเห็นเป็นคนใกล้ชิดจริงๆ มีอยู่ไม่มากนัก ถ้าไม่ตายไปก่อนแล้ว ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ก็มีเพียงแค่ท่านอาจารย์ผู้นี้ของเขาเท่านั้น!
“ท่านอาจารย์ เหตุใดจึงตื่นขึ้นมาอย่างกะทันหันเล่าขอรับ” บรรพชนโลกาเอ่ยถาม เขารู้กระจ่างดีว่าท่านอาจารย์ของตนกำลังหลับใหลอยู่ในการบำเพ็ญในห้วงนิทรา ว่ากันตามเหตุผลแล้วหากไม่มีเรื่องสำคัญก็คงไม่ปรารถนาจะตื่นขึ้นมา
“เป็นเพราะเจ้าเด็กที่ชื่อตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นั้นน่ะสิ” ชายชราร่างผอมเล็กพูด
“ตงป๋อเสวี่ยอิงหรือ” บรรพชนโลกาประหลาดใจ “พรสวรรค์ของเขาไม่เลวเลยทีเดียว”
“‘สี่เคล็ดวิชาสืบทอด’ เคล็ดวิชาสืบทอดอีกสายหนึ่งของข้าในตอนนั้น เพื่อการรวมเป็นหนึ่งเดียว เพื่อให้ร่างกายและวิญญาณรวมตัวกันอย่างสมบูรณ์แบบเพียงอย่างเดียวเท่านั้น… ดังนั้นจึงได้คิดค้น ‘เคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาด’ ออกมาโดยอิงจากสัตว์เทวะปีศาจชาด อันที่จริงข้าก็มิได้เชี่ยวชาญทางด้านเขตลวงสักเท่าใดนักหรอก” ชายชราร่างผอมเล็กทอดถอนใจ “คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้จะถึงกับบำเพ็ญเคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดของข้า ทั้งยังคิดค้นแปรที่สิบที่แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยมีมาก่อนเลยออกมาได้อีกต่างหาก”
บรรพชนโลกาได้ฟังแล้วก็พยักหน้าเบาๆ “อืม เขตลวงของเขาร้ายกาจจริงๆ ก่อนหน้านี้ยังได้รับความดีความชอบอันยิ่งใหญ่ หาข้อมูลจากฝูงมารผลาญทำลายนั้นมาได้ไม่น้อยเลย”
“พวกเจ้าทั้งหลายต่างก็เชี่ยวชาญทางด้านร่างกาย”
ชายชราร่างผอมเล็กมองห้วงอากาศที่อยู่ไกลออกไป ทั้งยังมองดูตงป๋อเสวี่ยอิงที่กำลังตรวจหาฝูงมารผลาญทำลายอยู่ไกลๆ “แต่เขาคือคนเพียงผู้เดียวที่เชี่ยวชาญทางด้านวิญญาณ”
“ท่านอาจารย์ ท่านเตรียมการจะรับเขาเป็นศิษย์ เคี่ยวกรำเขาอย่างนั้นหรือ” บรรพชนโลกาถาม
“ก็คิดเช่นนี้อยู่เหมือนกัน” ชายชราร่างผอมเล็กหัวเราะหึๆ “แต่ก็มิได้รีบร้อนหรอกนะ ข้าเพิ่งจะตื่นขึ้นมาพบเขาเป็นครั้งแรก ก็ยังมิได้รู้จักเขาดีสักเท่าใดนัก รอให้ทดสอบเขาสักหลายคราก่อน สังเกตสังกาให้ดีสักหน่อยแล้วค่อยตัดสินใจ”
ตอนที่ 4 จ้าวภูเขาฉื้อเหมย
โดย
Ink Stone_Fantasy
บรรพชนโลกาลอบตกตะลึง เนื่องจากเขารู้จักนิสัยของอาจารย์ตนเป็นอย่างดี ต่อให้ทิ้งเคล็ดวิชาสืบทอดเอาไว้ให้เขาและจักรพรรดิดำเป็นครั้งแรก ก็ทำไปอย่างนั้นเอง ต่อมาภายหลังเมื่ออยู่ร่วมกันมานานแสนนาน ความสัมพันธ์ของเขาและอาจารย์จึงค่อยๆ ลึกซึ้งขึ้น
“นิสัยของอาจารย์ ทุกสิ่งทำตามอำเภอใจไปเสียหมด แม้ข้าจะเผยแพร่สายการกลืนกินออกไปอย่างกว้างขวางจนก่อให้เกิดมารร้ายขึ้นมากมาย ท่านอาจารย์ก็ไม่สนใจ ต่อให้ต้องเลือกศิษย์ โดยทั่วไปก็แค่มอบโอกาสและเคล็ดวิชาสืบทอดให้ไปอย่างนั้นเอง ครั้งนี้กลับจริงจังถึงเพียงนี้ ทั้งยังจะทดสอบอีกหลายครั้งด้วยหรือ” บรรพชนโลกาลอบตกตะลึง ยิ่งจริงจังเท่าไหร่ ก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่าอาจารย์ให้ความสำคัญกับตงป๋อเสวี่ยอิงมากอย่างแท้จริง
ชายชราร่างผอมซูบทอดสายตามองออกไปไกลลิบ “เจ้ามารน้อย เจ้าหนุ่มตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นพิเศษมาก ข้าเคยพบคนหนุ่มมามากมาย และได้ถ่ายทอดให้ศิษย์ไปบ้าง เคล็ดวิชาสืบทอดของข้าก็มีหลายวิชาที่เผยแพร่กันอยู่ภายนอก…แต่เจ้าก็รู้ว่าถึงอย่างไรสิ่งที่ข้าเชี่ยวชาญก็คือกายหยาบ คนที่มีวาสนาต่อข้า โดยทั่วไปก็มักจะมีกายหยาบที่ร้ายกาจ นี่เป็นคนแรก! วิญญาณมีผลสำเร็จเช่นนี้ ในด้านเขตลวงยังเหนือกว่าข้าเสียอีก ข้าคงช่วยอะไรเขาได้ไม่มากนัก ต่อให้รับเขาเป็นศิษย์ ก็ทำได้เพียงให้โอกาสแก่เขาบ้าง ให้เขาไปบุกฝ่าด้วยตนเองเท่านั้น”
บรรพชนโลกาฟังแล้วก็จิตใจหวั่นไหว
โอกาส…
เป็นโอกาสครั้งใหญ่โดยแท้ ‘จักรพรรดิดำ’ ศิษย์น้องรองของเขาและศิษย์น้องเล็กก็ไม่เคยได้รับมาก่อน มีเพียงเขา บรรพชนโลกาเท่านั้นที่มีความสามารถที่ซ่อนอยู่สูงส่งที่สุด และเคยได้รับการอบรมอย่างเต็มกำลังจากท่านอาจารย์อย่างแท้จริง
บัดนี้ท่านอาจารย์กลับเตรียมโอกาสเอาไว้ให้ตงป๋อเสวี่ยอิง ‘บ้าง’ เห็นได้ชัดว่าในใจของอาจารย์มิได้เตรียมโอกาสเอาไว้แค่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แน่นอนว่าหลักๆ แล้วเป็นด้านเขตลวง อาจารย์ก็มิอาจชี้แนะตงป๋อเสวี่ยอิงได้ ทำได้เพียงเสนอโอกาสช่วยเหลือเขาบ้างเท่านั้น
“หากเขาสำเร็จอะไรบ้าง คนเป็นอาจารย์อย่างข้าหวังว่าบางทีในภายหน้าเขาอาจจะมาชี้แนะข้าได้บ้างสักเล็กน้อย” ชายชราร่างผอมซูบยิ้มพลางทอดถอนใจ “ข้าค้างอยู่ในระดับขั้นเช่นทุกวันนี้ ข้าลอบรู้สึกว่าเพราะด้านวิญญาณของข้ายังคงบกพร่องอยู่บ้าง แม้ข้าจะคิดค้น ‘วิธีการบำเพ็ญในแดนนิมิต’ ขึ้นมา สามารถขุดค้นความสามารถที่ซ่อนอยู่ของตนออกมาได้มากที่สุดแล้วสำแดงออกมาโดยไม่ต้องเหน็ดเหนื่อย…แต่ก็ยังคงมิอาจบรรลุได้”
“เจ้ามารน้อย”
ชายชราร่างผอมซูบมองดูบรรพชนโลกาด้วยสายตาซับซ้อนอย่างมาก “หนุ่มน้อยที่มีวาสนากับข้ามีมากมายนัก น่าเสียดายที่สุดท้ายแล้วแต่ละคนล้วนกลับคืนสู่ความว่างเปล่าเสียหมด ฝูงมารผลาญทำลายที่ถือกำเนิดขึ้นในอากาศอันสับสนอลหม่านก็แข็งแกร่งขึ้น ตัวอากาศอันสับสนอลหม่านเองก็ขยายออกไปอย่างไม่หยุดหย่อน…แม้เวลาจะนับว่าค่อนข้างยาวนาน แต่ถึงอย่างไรก็ยังคงก่อให้เกิดการทำลายล้างครั้งใหญ่ในตอนท้ายสุดอยู่ดี ทั้งหมดกลับคืนสู่ความว่างเปล่า เจ้าบำเพ็ญให้ดีๆ แล้วก้าวไปให้ได้อีกขั้นหนึ่ง เช่นนี้จึงจะสามารถยืนหยัดระหว่างการทำลายล้างครั้งใหญ่ได้”
“ศิษย์จะต้องทำเต็มกำลังอย่างแน่นอน” บรรพชนโลกาพูดเสียงจริงจัง
“ถึงระดับเช่นเจ้าในทุกวันนี้แล้ว พลังภายนอกทั้งหมดก็เป็นแค่เปลือกจอมปลอมเท่านั้น ถึงอย่างไรก็ต้องอาศัยตนเอง” ชายชราร่างผอมซูบส่ายศีรษะ แล้วเงาร่างก็มลายหายไปทันที
บรรพชนโลกายืนอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบๆ
จากนั้นสาวเท้าออกไปก้าวหนึ่งก็จากไป
******
ณ โลกทิพย์ทะเลสัตตดารา
แม้ตัวเมือง ‘เมืองอสนีเขียว’ ซึ่งกินพื้นที่กว่าล้านลี้จะค่อนข้างห่างไกล แต่ประมุขของเมืองนี้เป็นถึงยอดฝีมือระดับเจดีย์ดาวชั้นที่สี่ จึงเพียงพอที่จะทำให้อีกฝ่ายสะท้านสะเทือนได้แล้ว ทำให้ผู้บำเพ็ญรอบด้านจำนวนมากมารวมตัวกันอยู่ภายในเมืองแห่งนี้ ภายในเมืองนี้ก็เจริญรุ่งเรืองนัก
ภายในห้องส่วนตัวห้องหนึ่งของหอสุราอันหรูหราซึ่งกินพื้นที่กว้างขวาง
จ้าวภูเขาฉื้อเหมยกึ่งนอนกึ่งนั่งอยู่ตรงนั้น บนโต๊ะตรงหน้ามีอาหารรสเลิศและสุราชั้นยอดนานาชนิดวางอยู่ ทั้งสองข้างมีสาวงามหน้าตาหมดจดถึงสี่คนคอยปรนนิบัติเขา บ้างก็ช่วยนวดไหล่ บ้างก็ช่วยป้อนสุรา บ้างก็ปอกผลไม้ให้ ส่วนด้านหน้าก็มีคนบรรเลงดนตรีและนางระบำ พวกเขาแต่ละคนล้วนปรนนิบัติยอดฝีมือเร้นลับผู้นี้อย่างสุดกำลังโดยมิกล้าโอ้เอ้เลยแม้แต่น้อย
เพราะว่า…
ในระยะเริ่มแรกสุด การเข่นฆ่าทั้งสองครั้งทำให้บุคคลระดับสูงของ ‘เมืองอสนีเขียว’ แห่งนี้เกิดความกลัวเกรงต่อจ้าวภูเขาฉื้อเหมยเสียแล้ว
“คิดจะสำเร็จเป็นเทพจักรวาลก็ยากเกินไปแล้ว” คิ้วสีแดงชาดทั้งคู่ของจ้าวภูเขาฉื้อเหมยเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม
บางครั้งเขาก็จะออกมาเตร็ดเตร่ทั่วสารทิศเพื่อเสาะหาโอกาสบรรลุ
เพราะถึงอย่างไร เขา จ้าวภูเขาฉื้อเหมยก็มีสมบัติล้ำค่ามากมาย บรรดาเทพจักรวาลก็ล้วนไม่อยากผูกใจเจ็บกับจ้าวภูเขาฉื้อเหมยที่ฆ่าไม่ตายคนนี้เลยจริงๆ วันคืนของเขามิอาจเรียกได้ว่าไม่สุขสบาย แต่เพราะติดอยู่ที่ขีดจำกัดขั้นอลวนจึงทำให้เขารู้สึกทนรับได้ยากนัก
“เฮอะๆ ฝูงมารผลาญทำลายเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงตอนนั้นพวกบรรพชนทิพย์ก็ยังต้องแห่กันมาขอให้ข้าช่วยตามหารังระดับเกราะทองอีก” จ้าวภูเขาฉื้อเหมยลอบพึมพำ “นี่เป็นโอกาสอันหาได้ยากที่จะรีดไถศิลาปฐมโลกาจำนวนมหาศาลจากพวกเขาสักครั้งหนึ่ง ถึงตอนนั้นกินลงไปสักครึ่งหนึ่ง จะต้องเป็นประโยชน์ต่อวิญญาณของข้าเป็นอย่างยิ่งแน่นอน ไม่แน่ว่าอาจจะสำเร็จเป็นเทพจักรวาลก็เป็นได้”
ทันใดนั้น…
จ้าวภูเขาฉื้อเหมยก็พลันแหงนหน้ามองไป สายตามองทะลุผ่านสิ่งกีดขวางของผนังหอสุรา ก็เห็นว่าเหนือตัวเมืองมีชายหนุ่มอาภรณ์ขาวผู้หนึ่งเคลื่อนที่ในพริบตามาปรากฏขึ้น ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวผู้นั้นส่งเขตลวงขนาดมหึมาแห่งหนึ่งร่อนลงไปในทันที! มันทั้งรวดเร็วและกะทันหัน
ตู้ม…
เขตลวงนั้นใหญ่โตและพิสดารยากเกินคาดเดา เพียงพริบตาเดียวสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ทั่วทั้งตัวเมืองก็ล้วนตกเข้าสู่เขตลวง บรรดาสาวงาม นักดนตรีและนางระบำซึ่งปรนนิบัติจ้าวภูเขาฉื้อเหมยอยู่ล้วนตกเข้าสู่เขตลวง เขตลวงก็ย่อมเข้าปกคลุมจ้าวภูเขาฉื้อเหมยด้วยเช่นกัน
“นี่มัน…” จ้าวภูเขาฉื้อเหมยสีหน้าเปลี่ยนแปรไปเล็กน้อย
เขตลวงอันน่าหวาดหวั่นเข้ารุกราน
โลกเบื้องหน้าเขาพลันบิดเบี้ยวหมายจะเปลี่ยนแปลงไป พละกำลังอันน่าหวาดหวั่นระลอกหนึ่งกำลังฉุดลากวิญญาณของเขา เพื่อลากให้วิญญาณของเขาเข้าไปสู่โลกเขตลวงอีกแห่งหนึ่ง เมื่อดำดิ่งลงไป ความเป็นความตายก็จะถูกผู้อื่นควบคุมแล้ว
“เฮอะ” จ้าวภูเขาฉื้อเหมยขบกราม คิดจะสลัดเขตลวงให้หลุดด้วยปณิธานอันคมกริบดุจมีด แต่เพื่อที่จะต้านทานเขตลวง เขาต้องใช้พลังจิตถึงเจ็ดส่วนเพื่อต้านทาน
“เอ๊ะ” ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงที่กำลังไล่ล่าฝูงมารผลาญทำลายก็พบคนเพียงผู้เดียวที่สามารถหลุดพ้นจากเขตลวงของเขาได้ ทว่าจากนั้นเขาก็จำได้แล้วว่าคนผู้นี้คือจ้าวภูเขาฉื้อเหมยนั่นเอง
“จ้าวภูเขาฉื้อเหมยโปรดให้อภัยด้วย ข้ากำลัง…” ตงป๋อเสวี่ยอิงเพิ่งจะถ่ายเสียงพูด
“ตงป๋อเสวี่ยอิง!”
เสียงคำรามอันกราดเกรี้ยวดังก้องขึ้น
ปัง!
ขอบเขตแสนลี้ซึ่งมีหอสุราแห่งนั้นเป็นศูนย์กลางพลันระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ กลายเป็นซากปรักหักพังไป ซึ่งขอบเขตนี้ก็คือบริเวณกฎเกณฑ์ของจ้าวภูเขาฉื้อเหมย
ขอบเขตแสนลี้ทั้งหมดพังสลายไปสิ้น จ้าวภูเขาฉื้อเหมยยืนอยู่กลางอากาศ นัยน์ตาเย็นเยียบใต้คิ้วสีแดงชาดคู่นั้นจ้องมองตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งอยู่กลางอากาศไกลออกไป “เจ้านี่ช่างทะเยอทะยานเสียจริง จู่ๆ ก็อาจหาญมาลงมือกับข้าหรือ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปทันที บนใบหน้าราวกับมีเกล็ดน้ำแข็งบางๆ ชั้นหนึ่งปกคลุมเอาไว้ เขามองดูบริเวณแสนลี้นั้น
สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนในขอบเขตแสนลี้ล้วน
“จ้าวภูเขาฉื้อเหมย ท่านมือหนักไปหน่อยหรือไม่” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองจ้าวภูเขาฉื้อเหมยที่อยู่ไกลออกไป
“ข้าอยู่ในหอสุราแห่งนี้ แต่จู่ๆ เจ้ากลับสำแดงเขตลวงออกมาอย่างนั้นหรือ” จ้าวภูเขาฉื้อเหมยแค่นเสียงเฮอะอย่างโกรธเกรี้ยว
ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดเสียงเรียบว่า “ข้ารับบัญชาจากเหล่าเทพจักรวาลทั้งหลายให้ไล่ล่าฝูงมารผลาญทำลายตามบริเวณต่างๆ ของอากาศอันสับสนอลหม่าน เพื่อป้องกันมิให้ฝูงมารผลาญทำลายสัมผัสได้ถึงการปรากฏตัวของข้าแล้วหนีไปได้ทันท่วงที ดังนั้นเมื่อข้าไปปรากฏกายตามที่สักแห่งหนึ่งก็จะสำแดงเขตลวงออกมาทันที นอกจากนี้ด้วยพลังของท่าน จ้าวภูเขาฉื้อเหมยแล้ว ก็สามารถสกัดกั้นเขตลวงของข้าได้อย่างง่ายดาย จึงมิได้ทำร้ายท่านแต่อย่างใด ไยท่านจึงต้องไปพาลใส่ผู้บำเพ็ญทั่วไปจำนวนนับไม่ถ้วนด้วยเล่า”
“ข้าคิดจะฆ่าก็ฆ่า ทำไมรึ แค้นเคืองมากหรือ” จ้าวภูเขาฉื้อเหมยยิ้มเย็น “ให้บรรพชนเทียนอวี๋กับจอมกระบี่มาหาข้าสิ!”
ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังแล้วก็ยิ่งเดือดดาลมากขึ้น
เขาไม่ชอบจ้าวภูเขาฉื้อเหมยผู้นี้มาโดยตลอด…
มีพลังชัดๆ แต่กลับเสนอข้อเรียกร้องเป็นศิลาปฐมโลกาจำนวนมหาศาล มิเช่นนั้นแล้วก็จะไม่ไปเผชิญหน้ากับฝูงมารผลาญทำลาย ต้องรู้ไว้ว่าสุดท้ายสิ่งที่ฝูงมารผลาญทำลายจะทำลายล้างก็คือโลกทั้งใบ ตามหลักแล้วผู้บำเพ็ญแต่ละคนควรจะต้องไปพยายามจึงจะถูกต้อง
แม้วันคืนในการบำเพ็ญของเขา ตงป๋อเสวี่ยอิงจะสั้น แต่เวลากว่าเก้าจุดเก้าส่วนล้วนใช้ไปกับการไล่ล่าฝูงมารผลาญทำลายทั่วสารทิศมาโดยตลอด บางครั้งเขตลวงปกคลุมผู้บำเพ็ญ ต่อให้ปะทะเทพจักรวาลเข้า ก็จะไม่เห็นว่าเป็นเรื่องแปลกแต่อย่างใด เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็เข้าใจดี
“จ้าวภูเขาฉื้อเหมยผู้นี้” ที่แล้วมาตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไม่ชอบเขาอยู่แล้ว ขณะนี้เมื่อได้เห็นเขาทำเช่นนี้เพียงเพราะเรื่องเล็กน้อยเท่านี้ แม้ก่อนหน้าตนจะเริ่มถ่ายเสียงอธิบายแล้ว จ้าวภูเขาฉื้อเหมยกลับยังคงแค่นเสียงอย่างโมโหแล้วถึงขั้นทำให้สิ่งมีชีวิตในบริเวณแสนลี้โดยรอบสลายหายไปจนสิ้น
อำมหิตถึงเพียงนี้
นับได้ว่าเป็นมารแล้ว ด้วยวิธีการของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ควรจะสังหารทันที!
น่าเสียดายที่เขามิอาจสังหารได้ ต่อให้เป็นเทพจักรวาลก็สังหารมิได้ เนื่องจากผู้ที่ฝึกฝนสำเร็จของทางสายประมุขหอหมื่นโลกามีเพียงสองคนเท่านั้น คนหนึ่งคือประมุขหอหมื่นโลกา อีกคนก็คือจ้าวภูเขาฉื้อเหมย ผู้ใดก็มิอาจหาร่องรอยร่างแยกของเขาพบได้ ศัตรูที่ฆ่าไม่ตายเช่นนี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็จนปัญญา
“ล่วงเกินข้าแล้วยังไม่รู้จักชดใช้อีก” จ้าวภูเขาฉื้อเหมยยิ้มเย็น ความเหี้ยมโหดยิ่งทวีความเข้มข้นขึ้น
“จ้าวภูเขาฉื้อเหมย ข้าก็ไม่ทราบเช่นกัน โปรดอภัยด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงข่มเพลิงโทสะในใจเอาไว้ แม้จะดูแคลนคนผู้นี้ ทว่าก็ยอมสงบเสงี่ยมเจียมตนเอาไว้ เพราะถึงอย่างไรคนสติฟั่นเฟือนที่ฆ่าไม่ตาย…ก็ไม่จำเป็นต้องไปผูกใจเจ็บด้วยจริงๆ
“พูดประโยคเดียวก็ใช้ได้แล้วหรือ” จ้าวภูเขาฉื้อเหมยยิ้มเย็น “ตอนนี้เจ้ารีบเอาศิลาปฐมโลกาหมื่นก้อนมาชดใช้ให้ข้าเสีย เรื่องนี้จึงนับว่าแล้วกันไป มิเช่นนั้นแล้ว เฮอะๆ…”
…………………………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น