Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 32 ตอนที่ 17-19

 ตอนที่ 17 โศกเศร้า

โดย

Ink Stone_Fantasy

ไม่นานนักพวกบรรพชนทิพย์ บรรพชนโลกาและราชันย์มีดต่างก็ทราบข่าวกันถ้วนหน้า แต่ละคนพากันแตกตื่นที่เจ้าหนุ่มนาม ‘ตงป๋อเสวี่ยอิง’ สิ้นใจไปเช่นนี้! โดยเฉพาะบรรพชนโลกา เขารู้ดีว่าอาจารย์ของเขาจะรับตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นศิษย์


ตงป๋อเสวี่ยอิงสำรวจบริเวณกว่าครึ่งของทางเดินโลกาพิศวงไปแล้ว นอกจากรังระดับเกราะทองในครั้งก่อน เขายังพบรังระดับเกราะทองอีกสามแห่ง พวกบรรพชนทิพย์และราชันย์มีดทั้งตกใจทั้งยินดี ,แต่ก็ต้องทอดถอนใจด้วยเช่นกัน


ทว่าพวกเขามิกล้าชักช้า


จากนั้นบรรพชนทิพย์ บรรพชนห้วงอากาศและราชันย์มีดก็ร่วมมือกันเคลื่อนไหว มุ่งหน้าไปยังทางเดินโลกาพิศวง


“ฟิ้ว”


ภายในทางเดินโลกาพิศวง


ตัวบรรพชนห้วงอากาศเองก็เชี่ยวชาญทางด้านการเคลื่อนย้ายเป็นระยะทางไกลโพ้นอยู่แล้ว บัดนี้ยังศึกษาศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาจนสำเร็จ จึงย่อมสบายมากขึ้นเป็นธรรมดา วิญญาณของเขาแข็งแกร่งกว่า ระดับขั้นก็สูงกว่า ขอบเขตในการ ‘สอดส่อง’ ก็ใหญ่กว่าและชัดเจนกว่าตงป๋อเสวี่ยอิงมากนัก


“อยู่ที่นี่” บรรพชนห้วงอากาศถือป้ายคำสั่งอันหนึ่งซึ่งตงป๋อเสวี่ยอิงทิ้งเอาไว้อยู่ในมือ พลางสัมผัสรับรู้วัตถุคำมั่นของเครื่องหมายมิติ หลังสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาหลายครั้ง เขาก็พาบรรพชนทิพย์และราชันย์มีดไปถึงมิติแห่งหนึ่งที่ปิดผนึกเอาไว้


ภายในมิติปิดผนึก


บรรพชนห้วงอากาศพบเครื่องหมายมิติที่ตงป๋อเสวี่ยอิงทิ้งเอาไว้


“นี่คือมิติที่ทำเครื่องหมายเอาไว้ รังระดับเกราะทองอยู่รอบๆ บริเวณนี้แหละ” บรรพชนห้วงอากาศเริ่มสอดส่องโดยรอบ แล้วเขาก็ทอดถอนใจ แม้การเคลื่อนย้ายเป็นระยะทางไกลโพ้นของเขาจะสามารถสัมผัสรับรู้บริเวณไกลออกไปได้เช่นกัน แต่กลับเลือนรางเป็นอันมาก ส่วน ‘ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา’ ไม่เพียงสำแดงออกมาสบายมากเท่านั้น แต่ยังสามารถสอดส่องรอบด้านได้ชัดเจนกว่านับพันนับหมื่นเท่า


โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสอดส่องในระยะใกล้ ก็เหมือนกับตนไปอยู่ที่นั่นอย่างไรอย่างนั้น


“มองเห็นแล้ว แต่ว่าไม่ต้องรีบร้อน ข้าจะหาเครื่องหมายมิติอีกสองแห่งเสียก่อน” บรรพชนห้วงอากาศกล่าว “รอให้ข้ามั่นใจในพิกัดของรังระดับเกราะทองครบทั้งสามแห่งเสียก่อน ค่อยเคลื่อนไหวต่อเนื่องกัน ไม่ลงมือก็แล้วไป แต่ลงมือเมื่อไหร่ก็ต้องทำลายรังระดับเกราะทองทั้งสามแห่งต่อเนื่องกันด้วยความเร็วสูงสุด”


“ดี” บรรพชนทิพย์และราชันย์มีดต่างก็เห็นด้วย


ตงป๋อเสวี่ยอิงใช้เวลาเป็นล้านล้านปีเพื่อเสาะหาแล้วทิ้งเครื่องหมายมิติเอาไว้ด้วยความยากลำบาก บรรพชนห้วงอากาศมีคำชี้แนะ เมื่อค้นหาจึงง่ายดาย ไม่นานก็มั่นใจทั้งหมดแล้ว


“เคลื่อนไหว”


ภายในมิติของรังระดับเกราะทองแห่งหนึ่ง ฝูงมารผลาญทำลายตนหนึ่งซึ่งทำหน้าที่เฝ้าระวังอยู่ภายในมองดูเงาร่างสามสายซึ่งเดินออกมาจากมิติอันบิดเบี้ยวด้วยความตกตะลึง เขาเพิ่งส่งสารไปยังบรรดา ‘อ๋อง’ ทั้งหลาย ผู้บำเพ็ญที่สวมอาภรณ์สีทองผู้นั้นก็ปะทุประกายมีดอันไร้ที่สิ้นสุดออกมา ประกายมีดนั้นโหมซัดทำลายทั้งพื้นที่รังด้วยเสียงดังแหลมในทันใด


หากพูดถึงพลังทำลายล้างแล้ว ในบรรดาราชันย์มีด บรรพชนทิพย์และบรรพชนโลกาทั้งสามคนนั้น ราชันย์มีดแข็งแกร่งที่สุด แน่นอนว่าจอมกระบี่ในตอนนี้สามารถเทียบกับเขาได้แล้ว


“ไปแห่งต่อไป”


พวกเขาทั้งสามรวดเร็วยิ่งนัก อันที่จริงที่บรรพชนทิพย์มาด้วยนั้น ก็เพื่อป้องกันเวลาที่บรรดา ‘อ๋อง’ แห่งฝูงมารผลาญทำลายมา ขอเพียงบรรพชนทิพย์และราชันย์มีดสองคนร่วมมือกันก็เพียงพอที่จะต้านทานการร่วมมือของบรรดา ‘อ๋อง’ แห่งฝูงมารผลาญทำลายได้แล้ว


“ฟิ้วๆๆ…” ประกายมีดเสียงดังหวีดหวิวดุจกระแสคลื่น ทำลายล้างทั้งพื้นที่รังจนสิ้น


“พวกเราหาได้อย่างง่ายดาย แต่ตอนที่เสวี่ยอิงหานั้นต้องเสาะหาไปทั่วทุกหนแห่งเป็นแน่ ตอนนั้นจ้าวภูเขาฉื้อเหมยผู้นั้นใช้เวลานานถึงเพียงนั้นก็ยังหารังระดับเกราะทองไม่พบสักแห่ง เสวี่ยอิงหาพบถึงสี่แห่งตามลำดับ ช่างไม่ง่ายเอาเสียเลย” บรรพชนห้วงอากาศเองก็พบแล้วว่า ระดับขั้นของเขานับว่าสูงแล้ว บริเวณที่สอดส่องก็เป็นบริเวณรอบกายใกล้ๆ จะสำรวจไปทีละแห่งๆ ด้วยความกว้างใหญ่ไพศาลของทางเดินโลกาพิศวง หากสำรวจก็ต้องสำรวจเป็นเวลานานมาก


หากสำรวจเพียงครู่เดียวก็หยุดพักเพื่อบำเพ็ญ เกรงว่าก็คงจะยืดเยื้อนานยิ่งขึ้นไปอีก อย่างจ้าวภูเขาฉื้อเหมย ตอนนั้นเก็บค่าใช้จ่ายสูงอย่างยิ่งเพื่อสำรวจ แต่กลับมิได้ตั้งใจเหมือนตงป๋อเสวี่ยอิง


จะสำรวจครั้งหนึ่งในชั่วพริบตาก็คือการสำรวจ สำรวจชั่วจอกชาหนึ่งก็คือการสำรวจ ประสิทธิภาพย่อมห่างไกลกันราวฟ้ากับเหว


……


“อะไรนะ”


“ทำลายหมดแล้วหรือ รังระดับเกราะทองทั้งสามแห่งถูกทำลายไปหมดแล้วหรือ”


บรรดาอ๋องของฝูงมารผลาญทำลายที่ได้รับข่าวต่างก็ตะลึงลานไปหมด รวมทั้ง ‘จักรพรรดิจวิน’ ที่แข็งแกร่งที่สุดก็ตื่นตะลึงเหลือแสน พวกเขามาถึงพื้นที่รังระดับเกราะทองแห่งหนึ่งที่ถูกทำลายไปอย่างรวดเร็ว ทั้งมิตินี้แตกสลายไปก่อนนานแล้ว พวกเขาแต่ละคนมองดูด้วยความตกตะลึง รอบด้านยังมีคลื่นตกค้างจากประกายมีดคมกริบหลงเหลืออยู่


“เป็นราชันย์มีด” จักรพรรดิจวินพูดเสียงต่ำ


“นี่มันเรื่องอันใดกัน เทพจักรวาลในหมู่ผู้บำเพ็ญนี่มันอะไรกัน ไยจึงทำลายรังระดับเกราะทองถึงสามแห่งต่อเนื่องกัน พวกเขาค้นพบได้อย่างไรกัน”


บรรดาอ๋องเหล่านี้พากันตะลึงงันไปหมด ในใจรู้สึกหนาวเหน็บ


เนื่องจากพวกเขาเข้าใจดีว่า พลังระดับยอดสุดของพวกเขาเหล่าฝูงมารผลาญทำลาย เมื่อเทียบกับทางฝ่ายผู้บำเพ็ญแล้วก็เสียเปรียบอย่างสิ้นเชิง ตอนนี้พวกเขามีแต่ ‘พลังป้องกัน’ เท่านั้น ต่อให้เข้าไปแทรกซึมในโลกของทางฝ่ายผู้บำเพ็ญ ก็ต้องหลบๆ ซ่อนๆ โดยไม่มีพลังโจมตีซึ่งหน้าเลย ข้อได้เปรียบเพียงอย่างเดียวของพวกเขาก็คือพวกเขาเพิ่มจำนวนขึ้นได้รวดเร็วขึ้นเรื่อยๆ


รังสามารถให้กำเนิดฝูงมารผลาญทำลายได้ต่อเนื่องไม่ขาดสาย เมื่อจำนวนเพิ่มมากขึ้น จำนวน ‘อ๋อง’ ที่ถือกำเนิดขึ้นก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย


ครั้งก่อนถูกโจมตีรังระดับเกราะทองไปแห่งหนึ่งก็เจ็บปวดใจมากแล้ว ครั้งนี้ยังสูญเสียรังไปถึงสามแห่งติดต่อกัน


“เหลือแค่สองแห่งสุดท้ายแล้ว”


“รังระดับเกราะทองสองแห่งให้กำเนิดเผ่ามารระดับเกราะทองก็ช้าลงมากทีเดียว ไม่รู้จริงๆ ว่าเมื่อใดจึงจะบ่มเพาะรังแห่งที่สาม แห่งที่สี่ขึ้นมาได้…” บรรดาอ๋องของฝูงมารผลาญทำลายในที่นั้นพากันตื่นตระหนก “ที่กลัวที่สุดก็คือบัดนี้พวกเขาทำลายไปสามแห่งต่อเนื่องกัน ไม่แน่ว่าอาจจะพบสองแห่งสุดท้ายอีกก็เป็นได้”


“วางใจเถิด ยิ่งนานไป ความเร็วในการถือกำเนิดรังก็จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ” จักรพรรดิจวินพูดเสียงต่ำ “ตอนนี้พวกเขาเพียงแค่ลดความเร็วของพวกเราลงอย่างมากเท่านั้น ถึงตอนท้าย ความเร็วในการถือกำเนิดของพวกเราก็จะเกินจริงมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาจะสังหารอย่างไรก็สังหารไม่หมด”


******


พวกบรรพชนทิพย์ ราชันย์มีดและบรรพชนห้วงอากาศล้วนกลับไปแล้ว การเดินทางของพวกเขาในครั้งนี้ช่างแสนสบาย งานใหญ่สำเร็จลุล่วงด้วยดี


“สำเร็จแล้วหรือ” บรรพชนเทียนอวี๋และจอมกระบี่มองเห็นบรรพชนทิพย์ ราชันย์มีดและบรรพชนห้วงอากาศที่เดินออกมาจากมิติอันบิดเบี้ยวด้านข้าง


“เมื่อนับๆ ดูแล้ว ครั้งนี้พบรังระดับเกราะทองทั้งหมดสามแห่ง ก็ควรจะมอบศิลาปฐมโลกาให้ตงป๋อเสวี่ยอิงสามหมื่นก้อนกระมัง” บรรพชนทิพย์ถอนหายใจ “น่าเสียดายที่เขาสิ้นใจไปแล้ว ทว่าพวกเราก็มิอาจเอาเปรียบเขาได้ มอบให้คนใกล้ชิดของเขาแทนก็แล้วกัน”


“ไม่ต้องรีบร้อนให้หรอก พวกเขายังมีพลังอ่อนแอ สำหรับพวกเขาแล้ว มอบสมบัติล้ำค่าให้ไปก็มิใช่เรื่องดีแต่อย่างใด ข้าจะเตรียมการให้เหมาะสมเอง” บรรพชนเทียนอวี๋กล่าว


“อื้ม”


แต่ละคนในที่นั้นพากันพยักหน้า


ยิ่งเป็นผู้ที่แข็งแกร่งเท่าไหร่ ก็ยิ่งไม่อยากติดค้าง พวกเขารู้สึกติดค้างตงป๋อเสวี่ยอิง บัดนี้จึงทำได้เพียงชดเชยให้บุตรและภรรยาของตงป๋อเสวี่ยอิงแทนแล้ว


“เอ๊ะ” พวกบรรพชนทิพย์ บรรพชนโลกา จอมกระบี่ ราชันย์มีดและบรรพชนเทียนอวี๋พลันหน้าถอดสีไปทันใด พวกเขาหันขวับไปมองทางทิศหนึ่งไกลออกไปทันที


ที่นั่นก็คือโลกทิพย์โบราณ


เนื่องจากเมื่อครู่พวกเขาต่างก็สัมผัสได้ถึงระลอกคลื่นอันน่าหวาดหวั่นหาใดเปรียบ


ต้องรู้ไว้ว่า ระยะทางห่างไกลถึงเพียงนี้ ระลอกคลื่นก็ยังทำให้พวกเขาสามารถสัมผัสได้ จะต้องเป็นระลอกคลื่นที่น่าหวาดหวั่นเพียงใดกัน คิดๆ ดูแล้วพวกเขาก็ตัวสั่นระริกทั้งที่ไม่หนาวแต่อย่างใด


……


ณ โลกทิพย์โบราณ


เจ้าศิลาและจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ต่อสู้กันเสียจนบริเวณวงกว้างโดยรอบแตกกระจายเสียหายไปหมด ทั้งโลกทิพย์โบราณมีพลังงานอันไร้รูปร่างพยายามคงสภาพเอาไว้ หากมิใช่เพราะจอมเทพศักดิ์สิทธิ์พยายามปกป้องโลกทิพย์โบราณเอาไว้อย่างสุดกำลัง โลกทิพย์โบราณก็คงแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ไปนานแล้ว


“ตู้ม!”


สัตว์ประหลาดสีดำอันใหญ่โตตัวหนึ่งพังพาบอยู่กลางอากาศ คือร่างจริงของเจ้าศิลานั่นเอง


บัดนี้ลำแสงสีดำสายหนึ่งได้ทะลุผ่านเกราะเกล็ดตรงส่วนท้องของสัตว์ประหลาดสีดำ จากนั้นก็ทะลุออกทางกระดองด้านหลัง ทิ้งรูขนาดมหึมาเอาไว้


ฟิ้ว


เงาร่างสีดำขนาดมหึมาสลายไปแล้วกลายเป็นชายชราร่างผอมเล็ก ส่วนลำแสงสีดำไกลออกไปนั้นก็รวมตัวกันเป็นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์สวมเสื้อคลุมกันลมสีดำผู้นั้น ยามนี้สีหน้าของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่น่ามองเอาเสียเลย ส่วนกลิ่นอายของชายชราร่างผอมเล็กก็ออกจะอ่อนแออยู่บ้าง


“เจ้าบ้าไปแล้ว บ้าไปแล้วจริงๆ” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน


“พลังต้นกำเนิดที่เจ้าสะสมมานั้นมีมากพอตัวทีเดียว แผดเผาร่างแปรทิพย์โบราณจนทำให้ต้นกำเนิดของข้าเสียหายได้” ชายชราร่างผอมเล็กพูดเสียงต่ำ


ในใจของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ทั้งโกรธทั้งโมโห พลังต้นกำเนิดของร่างแปรทิพย์โบราณของเขาถูกแผดเผาจนสิ้น ต้องพยายามสุดชีวิตจึงสามารถทำให้ตาเฒ่าผู้นี้บาดเจ็บสาหัสได้ “เจ้าศิลา ตอนนี้เจ้าบาดเจ็บสาหัสแล้ว เกรงว่าพลังคงจะเหลือเพียงสี่ห้าส่วนจนทำอะไรข้ามิได้แล้วกระมัง ยังมีอีก แม้เรื่องครั้งนี้จะเป็นข้าที่จับตัวตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้มาทั้งเป็น แต่จะว่าไปแล้ว ก็เป็นเพราะเจ้าหนุ่มจ้าวภูเขาฉื้อเหมยผู้นั้นจงใจปล่อยข่าวมาให้ข้า”


“จ้าวภูเขาฉื้อเหมยหรือ” นัยน์ตาของ ‘เจ้าศิลา’ ชายชราร่างผอมเล็กเริ่มมีภาพจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น


“ถูกต้อง เป็นเขา เขาจะประมาทถึงเพียงนั้นจริงๆ ได้อย่างไรกัน ต้องจงใจปล่อยข่าวออกมาให้ข้าเป็นแน่” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์กล่าว ก่อนหน้านี้เขาไม่สนใจว่าจะถูกหลอกใช้ แต่ตอนนี้แตกต่างออกไปแล้ว เขาสูญเสียไปมากมายถึงเพียงนี้ กลเม็ดที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างร่างแปรทิพย์โบราณก็ถูกทำลายไปจนสิ้นแล้ว จะให้จ้าวภูเขาฉื้อเหมยผู้นั้นใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้อย่างไรกัน


เขามิอาจสังหารได้


แต่เจ้าศิลากลับสามารถสังหารได้!


ตอนที่ 18 การตายของจ้าวภูเขาฉื้อเหมย

โดย

Ink Stone_Fantasy

สองตาของชายชราร่างผอมเล็กมีภาพเหตุการณ์ฉากแล้วฉากเล่าปรากฏขึ้น…ร่างแปรของจ้าวภูเขาฉื้อเหมยทำการสอดแนมอยู่นอกโลกทิพย์โบราณ เพราะว่าตงป๋อเสวี่ยอิงตายไปแล้วจึงได้ลำพองใจ


จ้าวภูเขาฉื้อเหมยเจตนาปล่อยให้ข้อมูลรั่วไหล…จ้าวภูเขาฉื้อเหมยเชิญท่านอาจารย์ของเขาให้มาช่วยเหลือ…ประมุขหอหมื่นโลกาลอบสังหารตงป๋อเสวี่ยอิง…จ้าวภูเขาฉื้อเหมยโน้มน้าวให้ประมุขหอหมื่นโลกาลงมือ…


ตามเส้นทางนี้ของจ้าวภูเขาฉื้อเหมย ทำให้ร่างจริงและร่างแปรของเขาได้รับประสบการณ์การสอดแนมเหตุการณ์จำนวนมากที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้จนหมดสิ้น


เห็นได้ชัดว่าในด้านการสอดแนม เขายังร้ายกาจยิ่งกว่าจอมเทพศักดิ์สิทธิ์เสียอีก


 และผลลัพธ์ของการสอดแนมก็เห็นได้ชัดยิ่งว่าจอมเทพศักดิ์สิทธิ์มิได้โป้ปด! ทั้งหมดล้วนเป็นจ้าวภูเขาฉื้อเหมยที่ผลักดัน แม้แต่ประมุขหอหมื่นโลกาก็มิได้ฝักใฝ่กับเรื่องนี้เลย


“ฟิ้ว”


ชายชราร่างผอมเล็กมองจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ปราดหนึ่งแล้วก็หายตัวไปกลางอากาศไม่เห็นอีก


จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ยืนอยู่ที่นั่น นัยน์ตาก็ฉายแววเยียบเย็น “จ้าวภูเขาฉื้อเหมยหรือ หึ หลอกใช้ข้าอย่างนั้นหรือ” ถ้าหากตนมิได้สูญเสียอะไรก็แล้วไปเถิด จ้าวภูเขาฉื้อเหมยจะหลอกใช้เขาก็ย่อมไม่แยแสอยู่แล้ว แต่คราวนี้สูญเสียอย่างใหญ่หลวงเหลือเกิน เขาก็ย่อมโกรธเคืองจ้าวภูเขาฉื้อเหมยอยู่แล้ว ตัวเขาเองไม่มีปัญญาสังหาร ก็ต้องนึกถึงเจ้าศิลาที่เป็นระดับขั้นเดียวกันกับเขาอยู่แล้ว


เจ้าศิลาก็ไปถึงระดับขั้นสุดยอดแล้วเช่นเดียวกัน นอกจากนี้เส้นทางการบำเพ็ญของเจ้าศิลาก็มิได้อาศัยปัจจัยภายนอก หากแต่อาศัยตนเอง ‘จากภายในสู่ภายนอก’ ไม่เพียงแต่ร่างกายจะบำเพ็ญไปจนถึงระดับที่มิอาจจินตนาการได้แล้วเท่านั้น แต่ร่างกายยังควบคุมอากาศอันสับสนอลหม่านได้ในระดับสูงสุดอีกด้วย


เขานึกคิดคราหนึ่ง ร่างกายก็สามารถไปปรากฏ ณ แห่งหนใด ๆ ในอากาศอันสับสนอลหม่านก็ได้


ความปรารถนาอันแรงกล้าของเขา สามารถบังคับตรวจสอบทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในอดีตได้ทั้งหมด!


ความแกร่งกล้าของเขา คือความแกร่งกล้าของตัวเขาเอง


สิ่งที่เขาใฝ่หา…ก็คือความแข็งแกร่งที่สุดของร่างกายตน ถึงขนาดที่ในท้ายที่สุดก็ทำลายกรงขังของทั่วทั้งอากาศอันสับสนอลหม่านได้


แต่จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ใฝ่หาการควบคุมอากาศอันสับสนอลหม่าน การเป็นผู้ครองอากาศอันสับสนอลหม่าน! เมื่อถึงเวลานั้นก็ย่อมสามารถกระโดดออกจากกรงแห่งนี้ได้ เส้นทางเดินไม่เหมือนกัน วิธีการก็ย่อมไม่เหมือนกันอยู่แล้ว


เจ้าศิลาบำเพ็ญร่างกายตนเองอย่างร้ายกาจเหลือเกิน แม้กระทั่ง ‘บรรพชนโลกา’ ที่ได้รับวิชาสืบทอดของเขาไปบางส่วน ภายใต้สถานการณ์ปกติจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ทำร้ายบรรพชนโลกามิได้แม้แต่ปลายเส้นขน


อย่างเช่นเจ้าศิลาที่ถึงแม้ว่าเมื่อครู๋จะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่การโจมตีเช่นนั้น…จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ได้ทำการเผาร่างแปรทิพย์โบราณเพื่อสำแดงการโจมตีอันแข็งแกร่งที่สุด หลังจากนั้นก็ไม่สามารถสำแดงออกมาได้อีกแล้ว ทั้งยังไม่สามารถคุกคามเจ้าศิลา แต่ภายใต้การสูญเสียพลังยุทธ์อันยิ่งใหญ่ของเจ้าศิลา ก็คุกคามจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้อีกแล้ว ถึงอย่างไรจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็เพียงแค่สูญสิ้นพลังยุทธ์ของร่างแปรทิพย์โบราณเท่านั้น ทว่าร่างจริงกลับมิได้สูญเสียอะไรเลยแม้แต่น้อย


……


ณ โลกฟ้ากระจ่างแห่งอากาศอันสับสนอลหม่าน


จ้าวภูเขาฉื้อเหมยกำลังนั่งรับการปรนนิบัติจากสาวใช้รูปงามอยู่ ดื่มสุราชั้นเลิศอย่างสุขใจ เขาอารมณ์ดีเป็นที่สุด


“สู้กับข้าหรือ”


“ตายอย่างง่ายดายถึงเพียงนี้ก็ยังไม่เข็ด ช่างน่าอนาถแทนเขาเหลือเกิน” จ้าวภูเขาฉื้อเหมยดื่มสุราพลางยิ้มหยัน สามารถหลอกใช้จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้สูงส่งให้สังหารเจ้าเด็กตงป๋อผู้นั้นได้ จ้าวภูเขาฉื้อเหมยก็เกิดความรู้สึกประสบความสำเร็จอย่างหนึ่ง ถึงอย่างไรก็มิใช่ว่าผู้ใดก็สามารถหลอกใช้จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ได้ ถึงขนาดที่หลังจากหลอกใช้จอมเทพศักดิ์สิทธิ์แล้ว จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็เพียงแค่ทำเป็นมองไม่เห็นเท่านั้น


เพราะเขามีเคล็ดร่างแยก ก็ย่อมทำอะไรเขาไม่ได้อยู่แล้ว


“หืม” จ้าวภูเขาฉื้อเหมยขมวดคิ้วพลางเงยหน้ามองไปยังเบื้องหน้า


ชายชราร่างผอมเล็กผู้มีไม้เท้าค้ำยันคนหนึ่งก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามาภายในโถงตำหนัก ยามรักษาการณ์ที่อยู่ด้านนอกโถงตำหนักไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย มิติบริเวณรอบๆ คล้ายกับถูกแช่แข็ง


จ้าวภูเขาฉื้อเหมยหัวใจสั่นสะท้านในทันใด เขารู้สึกได้ถึงการคุกคามอันน่าหวาดหวั่นหาใดเปรียบ


“ผู้อาวุโสคือ…” จ้าวภูเขาฉื้อเหมยรีบลุกขึ้นแสดงท่าทีเคารพในทันใด เขาเข้าใจดีว่าเมื่อใดควรจะก้มหัว บุคคลที่นำความรู้สึกคุกคามอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนมาให้แก่เขาตรงหน้าผู้นี้ เขารู้สึกว่า เกรงว่าจะมิได้ด้อยไปกว่าจอมเทพศักดิ์สิทธิ์เลย เพราะเขาเคยถูกจอมเทพศักดิ์สิทธิ์สังหารครั้งหนึ่ง เพราะมีเคล็ดร่างแยกจึงได้ไม่เป็นไร


“ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิได้ล่วงเกินเจ้า เพียงแค่เขาสามารถสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาได้ เจ้าก็จะสังหารเขาแล้วเช่นนั้นหรือ” ชายชราร่างผอมเล็กมองดูบุรุษคิ้วแดงตรงหน้าผู้นี้ เขาตรวจดูอดีตของจ้าวภูเขาฉื้อเหมยแล้วก็พบว่าจ้าวภูเขาฉื้อเหมยนั้นเป็นคนเห็นแก่ตัวอย่างที่สุด ถึงขนาดมีใจคิดหลอกใช้อาจารย์ ด้วยอุปนิสัยของเขาก็ดูแคลนผู้บำเพ็ญพรรค์นี้เป็นที่สุด มิปรารถนาจะรับศิษย์เช่นนี้เลย


และเจ้าคนโง่เง่าผู้นี้ยังหลอกใช้ความละโมบของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ให้ทำร้ายศิษย์ของตนจนตายอีกด้วย


“ตงป๋อเสวี่ยอิงหรือ ข้า ข้ามิได้สังหารเขาเสียหน่อย แล้วข้าก็ไม่มีปัญญาสังหารเขาด้วย” จ้าวภูเขาฉื้อเหมยพูดต่อ “ผู้อาวุโสสายตาเฉียบแหลม นี่ไม่เกี่ยวข้องกับข้าเลยจริงๆ ศิษย์พี่ของข้าเคยลงมือก็จริง แล้วก็จนใจที่เขาทำมิได้ พลังยุทธ์ของเขาสูงส่งเป็นที่สุด ทั้งยังมีวัตถุลับคุ้มกันชีพและศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา เกรงว่ามีเพียงแค่จอมเทพศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นกระมังที่สามารถสังหารเขาได้”


สำหรับจ้าวภูเขาฉื้อเหมยแล้ว สิ่งที่เขาทำนั้นค่อนข้างสะอาดสะอ้าน ย่อมไม่มีทางยอมรับอยู่แล้ว


“ไม่ยอมรับอย่างนั้นหรือ” เจ้าศิลา ชายชราร่างผอมเล็กหัวเราะหึๆ ขี้นมา เสียงหัวเราะทำให้จ้าวภูเขาฉื้อเหมยหัวใจสั่นสะท้าน “เจ้าคิดว่าสิ่งที่เจ้าทำจะสามารถตบตาข้าได้เช่นนั้นหรือ เอาล่ะ ยอมรับความตายแต่โดยดีเสียเถิด”


บริเวณโดยรอบคล้ายจะแข็งค้างไปเสียแล้ว


จ้าวภูเขาฉื้อเหมยหัวใจสั่นสะท้าน เขารู้สึกว่าตนเองมิอาจขยับเขยื้อนได้อีกแล้ว


“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรหรอก ต่อให้เขาร้ายกาจกว่านี้แล้วอย่างไรเล่า ข้ามีเคล็ดร่างแยก แม้กระทั่งจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ยังสังหารข้ามิได้เลย” จ้าวภูเขาฉื้อเหมยเอ่ยพึมพำ เพียงแต่เขาก็มีความเจ็บปวดใจอยู่บ้าง “ดูท่าทางอาวุธล้ำค่าในตัวข้าจะไม่มีอีกแล้ว น่าเสียดาย น่าเสียดาย”


พรึ่บ


ชายชราร่างผอมเล็กตรงหน้ายิ้มเย็นคราหนึ่ง เขารับสัมผัสคราหนึ่งก็ตามร่างจริงของจ้าวภูเขาฉื้อเหมยไปรับสัมผัสได้ถึงร่างแยกอีกร่างหนึ่ง ถึงแม้ว่าตัวร่างแยกนั้นจะมีการรบกวนและความสับสนอันแน่นหนา แต่เขาบำเพ็ญตนเอง ตนเองต้องการจะฝืนกดดันทั้งอากาศอันสับสนอลหม่าน การรบกวนทั้งหมดทั้งมวลล้วนถูกเขาบีบให้แตกเปิดออก ทันใดนั้นก็ค้นพบร่างกายที่นั่งขัดสมาธิหลบซ่อนอยู่ภายในคูหาที่ส่วนลึกของแผ่นดินแห่งหนึ่งในส่วนลึกของอากาศอันสับสนอลหม่านร่างนั้น


ชายชราร่างผอมเล็กหายวับไปในทันใด


จ้าวภูเขาฉื้อเหมยสะดุ้งคราหนึ่ง


หายวับไปเพียงแค่ชั่วครู่เดียวเท่านั้น ทันใดนั้นก็ปรากฏตัวขึ้นเสียแล้ว! ขณะนี้ในมือของชายชราร่างผอมเล็กคว้าตัวจ้าวภูเขาฉื้อเหมยอีกคนหนึ่งเอาไว้


“เป็นไปได้อย่างไร เป็นไปได้อย่างไรกัน…” ร่างแยกที่เพิ่งถูกจับมาร่างนั้นนัยน์ตาเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น ร่างแยกร่างนี้ของจ้าวภูเขาฉื้อเหมยที่ยืนอยู่ด้านหลังโต๊ะยาวก็หวาดหวั่นเช่นเดียวกัน


วิถีนี้ของพวกเขามีความสำเร็จทางด้านห้วงอากาศอย่างลึกล้ำเพียงใด คูหาที่ร่างแยกของเขาซ่อนตัวอยู่แห่งนั้นยังได้เชิญให้ท่านอาจารย์ของเขามาช่วยจัดวางค่ายกลให้ด้วยตนเอง เขารู้สึกว่าย่อมไม่มีทางมีผู้ใดสามารถหาตัวร่างแยกของเขาพบได้! แต่ตอนนี้ความจริงก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้ว ตาเฒ่าลึกลับตรงหน้าผู้นี้ถึงกับจับกุมร่างแยกของเขาเอาไว้ได้


“ท่านอาจารย์ขอรับ” ร่างแยกทั้งสองของจ้าวภูเขาฉื้อเหมยขอความช่วยเหลือในทันที


“ไว้ชีวิตด้วย ขอให้ผู้อาวุโสโปรดไว้ชีวิตด้วยขอรับ” ดูภายนอกร่างแยกทั้งสองของเขาต่างก็กำลังร้องขอชีวิต


ทันใดนั้นระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างสายหนึ่งก็แผ่ปกคลุม


เจ้าศิลา ชายชราร่างผอมเล็กหิ้วร่างแยกร่างหนึ่งของจ้าวภูเขาฉื้อเหมยด้วยมือข้างเดียวพลางยิ้มเย็นมองดูภาพเหตุการณ์นี้ เขาไม่เร่งร้อนที่จะสังหารจ้าวภูเขาฉื้อเหมย หากแต่มองดูระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างนั้นแผ่ปกคลุม


ทันใดนั้นเงาร่างโปร่งแสงสายหนึ่งก็ปรากฏขึ้น เป็นเงาร่างโปร่งแสงของมนุษย์ศีรษะนก


“ท่านอาจารย์ ช่วยข้าด้วยขอรับ” ร่างแยกทั้งสองของจ้าวภูเขาฉื้อเหมยต่างก็ร้องขอความช่วยเหลือ


เงาร่างโปร่งแสงของมนุษย์ศีรษะนกมองไปทางเจ้าศิลา ชายชราร่างผอมเล็ก คิ้วที่มีความโปร่งแสงขมวดมุ่น เพียงชั่วครู่เดียวก็ย่อมมิอาจระบุตัวตนของชายชราร่างผอมเล็กได้อยู่แล้ว เขาเองก็มีความสงสัยอยู่บ้าง ในอากาศอันสับสนอลหม่านแห่งนี้นอกจากจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นแล้วยังมีบุคคลที่ร้ายกาจเช่นนี้อยู่อีกหรือ


“เจ้าก็คือผู้ที่ลอบเข่ามายังอากาศอันสับสนอลหม่านแห่งนี้ของพวกเราอย่างลับๆ ผู้นั้นนั่นเองหรือ”


เจ้าศิลา ชายชราร่างผอมเล็กยิ้มหยัน “ข้านอนหลับมาโดยตลอด ก็มิได้สนใจเจ้าเลย เจ้าผู้มาจากภายนอกคนหนึ่ง ช่างบังอาจยิ่งนัก”


“สหายผู้บำเพ็ญผู้นี้ ได้โปรดไว้หน้าสักครั้ง ช่วยไว้ชีวิตศิษย์ผู้นี้ของข้าสักครั้งหนึ่งด้วย” เงาร่างโปร่งแสงของมนุษย์ศีรษะนกยังคงพูดต่อไป


“ไว้หน้าสักครั้ง เพื่อเจ้าน่ะหรือ”


เพิ่งเอ่ยวาจาออกไป


พรึ่บ!


ร่างของจ้าวภูเขาฉื้อเหมยที่ถูกจับไว้ในมือของชายชราร่างผอมเล็กลุกไหม้ในทันใด จ้าวภูเขาฉื้อเหมยที่ยืนอยู่หลังโต๊ะยาวก็ลุกไหม้ด้วยเช่นกัน แหลกสลายกลายเป็นความว่างเปล่าจนสิ้น ปลิดชีพโดยสมบูรณ์!


ตอนที่ 19 โลกอีกใบ

โดย

Ink Stone_Fantasy

เงาร่างโปร่งแสงของมนุษย์ศีรษะนกเดือดดาลขึ้นมาในทันใด ชายชราร่างผอมเล็กตรงหน้าผู้นี้สังหารในทันทีอย่างไม่รีบร้อน ทั้งยังรอให้เขาปรากฏตัวขึ้นก่อนแล้วค่อยสังหาร เห็นได้ชัดว่าจงใจหักหน้าเขา นอกจากนี้ เขายังรับศิษย์ไว้ทั้งสิ้นเพียงแค่สองคนในอากาศอันสับสนอลหม่านแห่งนี้ เขาชมชอบ ‘จ้าวภูเขาฉื้อเหมย’ ศิษย์คนเล็กผู้นี้เป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าถูกกับอุปนิสัยของเขาเป็นอย่างยิ่ง


“ผู้มาจากภายนอกคนหนึ่งอย่างเจ้า อยู่ภายในอากาศอันสับสนอลหม่านแห่งนี้ ต่อให้พลังยุทธ์แข็งแกร่งกว่านี้ก็ต้องถูกกดดันไปถึงขั้นอลวน ขั้นอลวนคนหนึ่งอยู่ตรงหน้าข้า ยังจะให้ข้าไว้หน้าเจ้าอีกหรือ” เจ้าศิลา ชายชราร่างผอมเล็กยิ้มเยาะ “ถ้าหากเป็นหยวนและเจ้าเมืองหลัวมาพูดสักคำหนึ่ง ข้าก็ย่อมไว้หน้าอยู่แล้ว เจ้ายังจะให้ข้าไว้หน้าอีกอย่างนั้นหรือ”


“เฮอะ” เงาร่างโปร่งแสงของมนุษย์ศีรษะนกฮึดฮัด “ต่อให้เจ้าแข็งแกร่งกว่านี้ก็ได้แต่อยู่ภายในโลกกำเนิดของเจ้าแห่งนี้เท่านั้นแหละ ออกมาไม่ได้แน่ ยังจะดูแคลนข้าอีกอย่างนั้นหรือ”


เขาเดือดดาลนัก


เขาสำเร็จวิชาศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา สามารถไปยังโลกกำเนิดแห่งอื่นๆ ได้ ก็ย่อมรอบรู้กว้างไกลเป็นธรรมดา ได้ศึกษาเคล็ดวิชาลับมามากมาย ภายใต้สถานการณ์ปกติ บุคคลระดับขั้นเดียวกันต่างก็มีไมตรีต่อเขาเป็นอย่างดี แลกเปลี่ยนศาสตร์ลับซึ่งกันและกัน ไหนเลยจะคิดว่าตาเฒ่าผู้นี้จะไม่ไว้หน้าเขาเช่นนี้ได้


“ไสหัวไป!” ชายชราร่างผอมเล็กพลันตะคอกเสียงหนึ่ง


ปัง!


กระแสอากาศสีดำอันน่าหวาดหวั่นขุมหนึ่งระเบิดและกดดันจากผิวกายของเขาเข้าไป เงาร่างโปร่งแสงของมนุษย์ศีรษะนกไม่ทันหลบนี้ ก็ถูกแรงกดดันปะทะเข้าจนแหลกสลาย แต่นี่เป็นเพียงแค่ร่างแยกร่างหนึ่งของเขาเท่านั้น เป็นถึงท่านอาจารย์ของประมุขหอหมื่นโลกา เขาก็มีร่างแยกจำนวนนับไม่ถ้ว


เช่นเดียวกัน


“อยู่ในถิ่นข้า ยังจะมาวางโตกับข้าอีกหรือ เป็นแค่ผู้มาจากภายนอกคนหนึ่งเท่านั้นเองนะ” นัยน์ตาของชายชราร่างผอมเล็กเต็มไปด้วยความหนาวเหน็บ


จอมเทพศักดิ์สิทธิ์และเขาต่างก็เป็นสิ่งมีชีวิตภายในอากาศอันสับสนอลหม่านแห่งนี้


ทั้งสองต่างก็สามารถสำแดงพลังยุทธ์ออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ ผู้มาจากภายนอกคนหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะมีระดับขั้นพอๆ กันกับเขา พออยู่ในโลกนี้พลังยุทธ์ก็อ่อนแอลงเป็นอย่างมาก


“เฮ้อ”


การต่อสู้และการสังหารที่ผ่านมาก็เพื่อปลดปล่อยเพลิงโทสะภายในใจ ในขณะนี้ ‘เจ้าศิลา’ ชายชราร่างผอมเล็กกลับทอดถอนใจ ไม่ว่าอย่างไรตงป๋อเสวี่ยอิง ศิษย์ที่เขาชมชอบและเห็นความสำคัญผู้นั้นก็ตายไปแล้ว โอกาสมากมายที่ก่อนหน้านี้เขาเตรียมไว้ให้กับตงป๋อเสวี่ยอิงก็กลายเป็นความว่างเปล่า สูญสิ้นไปหมดแล้ว


“หลับไปเสีย หลับไปเสียดีกว่า รอให้ถึงตอนที่อากาศอันสับสนอลหม่านแห่งนี้สูญสลายค่อยตื่นมาดูก็แล้วกัน” เจ้าศิลาหดหู่ท้อถอยอยู่บ้าง


“แค่กๆ”


เขากระแอมสองครั้ง การโจมตีอย่างไม่เสียดายสิ่งใดของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ทำร้ายต้นกำเนิดของเขาเข้าอย่างจังแล้วจริงๆ


“เจ้ามารนั่นช่างโหดเหี้ยมนัก นอกจากนี้ร่างจริงของเขายังมิได้เสียหายอะไรเลยแม้แต่น้อย แต่ร่างแปรทิพย์โบราณที่สั่งสมมาก็หมดสิ้นไปแล้ว เกรงว่าคงต้องถึงเวลาที่อากาศอันสับสนอลหม่านใกล้จะแตกสลายจึงจะฟื้นคืนกลับมาใหม่ได้กระมัง” เจ้าศิลาส่ายศีรษะ ก้าวยาวๆ ก้าวหนึ่งก็หายลับไปไม่เห็นอีก


ณ ดวงอาทิตย์ดั้งเดิม


บนลูกกลมไฟอันใหญ่โตมโหฬารหาใดเปรียบ มีเงาร่างสีดำขนาดมหึมาร่างหนึ่งปรากฏขึ้น เงาร่างสีดำขนาดมหึมาร่างนี้ค่อยๆ แทรกซึมเข้าสู่ภายในของดวงอาทิตย์ดั้งเดิม เริ่มต้นเข้าสู่ห้วงนิทรา บำเพ็ญในห้วงนิทรา  ทั้งยังรักษาอาการบาดเจ็บภายในห้วงนิทราอีกด้วย


……


ตงป๋ออวี้และตงป๋อชิงเหยานั่งอย่างว่างเปล่าอยู่ที่นั่น


พวกเขาเพิ่งจะได้รู้ ก็ทนรับไม่ไหวอยู่บ้าง ท่านพ่อของพวกเขามีพลังยุทธ์เช่นไร ตอนนั้นที่เข้าสู่อากาศอันสับสนอลหม่านตอนยังเป็นเพียงแค่ผู้ปกครองเทพแท้ก็ยังไม่ตาย ตอนนี้ไปถึงระดับขั้นสูงสุดถึงขนาดที่สามารถรับมือกับเทพจักรวาลซึ่งๆ หน้าได้แล้ว แต่กลับตายเสียได้อย่างนั้นหรือ ตายด้วยน้ำมือจอมเทพศักดิ์สิทธิ์อย่างนั้นหรือ นั่นเป็นถึงจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ พลังของตัวคนเดียวก็สามารถเทียบเคียงได้กับเทพจักรวาลที่มีอยู่ทั้งหมดได้แล้ว


ถึงแม้ว่าความเกลียดชังในใจจะพรั่งพรู แต่พี่สาวน้องชายทั้งสองคนต่างก็รู้สึกสิ้นไร้เรี่ยวแรง พวกเขามิใช่ผู้ล้ำเลิศเปี่ยมพรสวรรค์ร้ายกาจดังเช่นตงป๋อเสวี่ยอิง แม้กระทั่งการเป็นขั้นอลวน พวกเขาก็ยังไม่มีความมั่นใจเลย


“เส้นทางการบำเพ็ญก็เป็นเช่นนี้แหละ มีความยากเข็ญขัดขวางอยู่ ท่านพ่อของพวกเจ้าก็แค่มิได้ผ่านมันไปเท่านั้นเอง” อวี๋จิ้งชิวพูด “แต่ข้าก็ยังภาคภูมิใจในตัวเขานะ เผชิญหน้ากับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ เขาก็มิได้อ้อนวอน มิได้ก้มหัวให้ ในภายภาคหน้าพวกเจ้าสองพี่น้องก็ต้องบำเพ็ญให้ดีๆ ล่ะ ไม่มีผู้ใดกำบังลมฝนให้กับพวกเจ้าอีกต่อไปแล้วนะ”


“อืม”


ตงป๋ออวี้และตงป๋อชิงเหยาต่างก็พยักหน้า


อวี๋จิ้งชิวพลันสะดุ้งเล็กน้อย เพราะว่าเงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้นกลางห้วงสมองของนาง ซึ่งก็คือร่างของบรรพชนโลกานั่นเอง “อวี๋จิ้งชิว เดิมทีตงป๋อเสวี่ยอิงสามีของเจ่าควรจะได้เป็นศิษย์น้องของข้า น่าเสียดายนัก แต่ท่านอาจารย์ของข้ารับมือกับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์แล้ว โจมตีจอมเทพศักดิ์สิทธิ์อย่างหนัก นอกจากนี้ท่านอาจารย์ของข้าก็ลงมือสังหารจ้าวภูเขาฉื้อเหมยด้วย ต่อไปเจ้าก็ดูแลบุตรชายบุตรสาวคู่นี้ของตงป๋อเสวี่ยอิงให้ดีๆ เถิดนะ ถ้าหากมีปัญหาอะไรก็มาหาข้าได้” พูดจบแล้วเงารางของบรรพชนโลกาผู้นั้นก็เลือนหายไปจากห้วงสมองของนาง


“จ้าวภูเขาฉื้อเหมยตายแล้วอย่างนั้นหรือ” อวี๋จิ้งชิวสะดุ้งคราหนึ่ง


จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็สังหารมิได้ แต่ท่านอาจารย์ของบรรพชนโลกาสังหารได้อย่างนั้นหรือ


บรรพชนโลกามีอาจารย์ด้วยหรือ ทั้งยังโจมตีจอมเทพศักดิ์สิทธิ์อย่างหนักด้วยเช่นนั้นหรือ ห้วงสมองของอวี๋จิ้งชิวมีข้อสงสัยมากมายเหลือเกิน ในขณะเดียวกันบรรพชนโลกาก็ยังให้สัญญาว่าหากมีปัญหาก็ให้ไปหาเขาได้ นี่ทำให้อวี๋จิ้งชิวรู้สึกได้ถึงอิทธิพลของสามีตน


อวี๋จิ้งชิวไม่รู้เลยว่า


หลังจากการต่อสู้นี้ แม้กระทั่งจอมเทพศักดิ์สิทธิ์เองก็ยังนึกเสียใจอยู่บ้าง เพราะว่าการสูญเสียในคราวนี้ยิ่งใหญ่เหลือเกิน! ทำให้เขาต้องกบดานเป็นระยะเวลายาวนานยิ่ง


******


ไม่ว่าอย่างไรท่ามกลางอากาศอันสับสนอลหม่านนี้ คนที่ชื่อตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นั้นก็หายไปเช่นนี้แล้ว บนเวทีแห่งนี้ก็ไม่มีเงาร่างของเขาอีกต่อไปแล้ว


……


“ปัง”


ถึงแม้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงจะประเมินจากวิธีการของหยวน หยวนก็ควรจะรังเกียจที่จะทำเรื่องชั่วช้า แต่ไม่ถึงวินาทีสุดท้าย ในท้ายที่สุดแล้วเขาก็ยังไม่วางใจอยู่ดี


หลังจากที่กระตุ้นพลังของป้ายคำสั่งจิตโลกาแล้ว


วิญญาณแท้สายหนึ่งของตงป๋อเสวี่ยอิงก็อยู่ภายใต้การห่อหุ้มของพลังของป้ายคำสั่งจิตโลกา ทันใดนั้นก็ผ่านออกไปจากอากาศอันสับสนอลหม่าน เพราะในขณะนี้ไม่มีวิญญาณแล้ว เหลือไว้เพียงแค่วิญญาณแท้สายหนึ่งที่อ่อนแอที่สุดซึ่งรวบรวมความทรงจำเอาไว้ การรับสัมผัสต่อโลกภายนอกของตงป๋อเสวี่ยอิงก็อ่อนแอเป็นที่สุด แม้กระทั่งไปจากอากาศอันสับสนอลหม่านไปยังโลกภายนอก เขาก็ฝืนรับสัมผัสได้ถึงพลังอลหม่านของโลกภายนอกที่พรั่งพรู


นั่นคือการพรั่งพรูของพลังแห่งความกดดัน ทำให้เขารู้สึกได้ถึงความหวาดหวั่น เขาเข้าใจว่าถึงแม้ว่าร่างกายของเขาจะยังอยู่ ถ้าหากติดเข้าไปในโลกภายนอก กลัวว่าก็จะสูญสลายไปในทันใด


พรึ่บ


ภายใต้การห่อหุ้มของพลังของป้ายคำสั่งจิตโลกา คล้ายกับเคลื่อนที่ไปตามเส้นทางพิเศษสายหนึ่งด้วยความเร็วสูง


เวลาผ่านไปนาทีแล้วนาทีเล่า ผ่านไปวันสองวัน หรือว่าครึ่งค่อนปีแล้วกันหนอ ระหว่างการเดินทางในเส้นทางอันแปลกประหลาดนี้ วิญญาณแท้สายนี้ของตงป๋อเสวี่ยอิงมีความรู้สึกเลอะเลือนต่อเวลาไปเสียแล้ว ไม่สามารถบอกเวลาได้อย่างแน่ชัด หรือว่าอยู่ในสถานที่เช่นนี้ กาลเวลาก็ไม่มีความหมายแต่อย่างใด


บางครั้งบางคราว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็สามารถรู้สึกได้ถึงระลอกคลื่นอันใหญ่มหึมาหาใดเปรียบได้อย่างรางๆ นั่นคือระลอกคลื่นที่เทียบเคียงได้กับอากาศอันสับสนอลหม่าน จากนั้นก็เดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว


เนิ่นนาน… เนิ่นนานยิ่งนัก…


เดินทางอยู่ตลอดเวลา


ระหว่างที่เดินทาง พลังของป้ายคำสั่งจิตโลกาก็ค่อยๆ ลดลงช้าๆ อย่างต่อเนื่อง เหลือพลังเก้าส่วน พลังแปดส่วน พลังเจ็ดส่วน พลังหกส่วน…


“หืม นี่มัน!” ทันใดนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็ลิงโลดด้วยความดีใจขึ้นมา เพราะว่าเขารับสัมผัสได้ถึงระลอกคลื่นขนาดใหญ่อันน่าหวั่นเกรงระลอกหนึ่ง คราวนี้มิใช่การผ่านเฉยๆ หากแต่เป็นการพุ่งเข้าหาอย่างรวดเร็ว!


“พลังงานถูกใช้ไปเกือบครึ่ง ดูท่าจะมาถึงดินแดนจิตโลกาจริงๆ เสียแล้ว พลังของผู้อาวุโส ‘หยวน’ ผู้ลึกลับท่านนั้นส่งข้ามาได้ไกลถึงเพียงนี้ พลังยุทธ์ช่างสูงส่งลึกล้ำเหลือคณาจริงๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยิ่งทวีความมั่นใจว่าสิ่งที่หยวนผู้นั้นพูดเอาไว้คงจะเป็นเรื่องจริงทั้งสิ้น


ปัง!


พร้อมๆ กันกับที่ระลอกคลื่นอันน่าหวาดหวั่นนั้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ในที่สุดก็ปะทะตรงเข้าไป ภายใต้ความคุ้มครองของพลังของป้ายคำสั่งจิตโลกา วิญญาณแท้สายหนึ่งของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ตรงเข้าไปสู่โลกอันกว้างใหญ่แห่งนี้ อีกทั้งยังเจาะเข้าไปในตัวอ่อนที่กำลังตั้งครรภ์อยู่อย่างรวดเร็ว ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกได้ว่าตัวอ่อนนี้แฝงไว้ด้วยพลังชีวิตอันกล้าแกร่ง


“ตัวอ่อนที่ยังอยู่ในครรภ์ตัวหนึ่งมีพลังชีวิตอันน่าหวาดหวั่นถึงเพียงนี้เชียวหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงแทรกซึมเข้าไปในตัวอ่อนตามสติรับรู้ วิญญาณแท้สายนี้ของเขาส่งเสียงคำรามคราหนึ่งแล้วพลันสูญสิ้นสติรับรู้ไป


…………………………………………….


(ตอนสุดท้ายของบท)

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)