Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 32 ตอนที่ 1-2
ภาคที่ 32 ป้ายคำสั่งจิตโลกา ตอนที่ 1 ฟื้นคืนสติ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ตงป๋อเสวี่ยอิงประหลาดใจเป็นที่สุด ก่อนหน้านี้มองไม่เห็น อีกทั้งยังไม่สามารถรับสัมผัสได้ หลังจากที่เข้าไปใกล้แล้วป้ายสัญลักษณ์ก็ถึงกับปรากฏชัดขึ้นมา ตนเองก็สามารถส้มผัสถึงมันได้แล้ว
“ป้ายคำสั่งจิตโลกาหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยื่นมือออกไปหยิบเอาป้ายคำสั่งจิตโลกามา ตอนแรกที่ป้ายคำสั่งจิตโลกาเข้ามาอยู่ในอุ้งมือก็มีความเยียบเย็นอยู่บ้างแล้วก็ค่อยๆ อุ่นร้อนขึ้นมา ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยสีหน้าสงสัยออกมา ด้วยสถานะของเขาในตอนนี้ ความเข้าใจในความลึกลับและวัตถุวิเศษที่ใช้สร้างวิญญาณขึ้นมาใหม่ก็มากมายเป็นที่สุด ทว่าแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับ ‘ป้ายคำสั่งจิตโลกา’ มาก่อนเลย แต่เขาก็สามารถมองออกได้ว่าป้ายคำสั่งจิตโลกานี้ไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง
“เป็นป้ายคำสั่งอันหนึ่งที่มีอักษรสัญลักษณ์ หรือว่าจะเป็นสิ่งที่ยอดฝีมือผู้ลึกลับสักคนหนึ่งหลอมขึ้นมากันหนอ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ ท่ามกลางอากาศอันสับสนอลหม่านก็มีวัตถุลึกลับที่มีที่มาอันเป็นปริศนาอยู่จำนวนหนึ่งจริงๆ ป้ายคำสั่งจิตโลกานี้ดูคล้ายว่าจะเป็นหนึ่งในนั้น ทันใดนั้นก็เริ่มต้นหยั่งรู้แทรกผ่านตรวจดูป้ายคำสั่งจิตโลกานี้
พรึ่บ
ในขณะที่หยั่งรู้แทรกผ่านป้ายคำสั่งจิตโลกาในมืออยู่นั้นเอง ทันใดนั้น… ‘สวบ’ ป้ายคำสั่งจิตโลกาหลอมแปรในทันใด ระลอกคลื่นพลันเจาะเข้าไปภายในวิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงตามการหยั่งรู้
“ท่าไม่ดีแล้วสิ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกใจจนสะดุ้งคราหนึ่ง วิญญาณก็คือแก่นแห่งชีวิตของผู้บำเพ็ญ วัตถุภายนอกนี้เจาะเข้าไปในวิญญาณยังถือเป็นเรื่องดีอยู่อีกหรือ
“ฟิ้ว”
ป้ายคำสั่งจิตโลกาเปลี่ยนเป็นพลังสีแดงเข้มขุมหนึ่งแทรกเข้าไปภายในดวงวิญญาณ พัวพันสอดแทรกอยู่ภายใน ในขณะเดียวกันนั้นข้อมูลจำนวนมหาศาลก็ถ่ายทอดไปให้กับตงป๋อเสวี่ยอิง
ตงป๋อเสวี่ยอิงค่อยๆ เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา
ป้ายคำสั่งจิตโลกาเป็นสิ่งที่บุคคลผู้ลึกลับเป็นที่สุดที่เรียกตัวเองว่า ‘หยวน’ หล่อหลอมขึ้นมา และเป็นหนึ่งในสิ่งที่ช่วยผู้บำเพ็ญรุ่นหลังในการบำเพ็ญ
กระตุ้นพลังของ ‘ป้ายคำสั่งจิตโลกา’ ภายใต้การคุ้มครองของพลังของป้ายคำสั่งจิตโลกา แต่เมื่อวิญญาณแท้กลับชาติมาเกิด เข้าสู่โลกขนาดมหึมาอีกโลกหนึ่งที่ไม่ด้อยไปกว่า ‘อากาศอันสับสนอลหม่าน’…ดินแดนจิตโลกา! ดินแดนจิตโลกา เป็นระดับเดียวกันกับอากาศอันสับสนอลหม่าน แต่พื้นฐานลึกล้ำกว่า อีกทั้งยังเคยมีประสบการณ์ผ่านโลกกำเนิดกฎเกณฑ์สูงสุดสองแห่งที่แตกต่างกันอย่างต่อเนื่อง ก็มีส่วนช่วยเหลือเป็นอย่างมากต่อการเป็นเทพจักรวาล
ค้างอยู่ที่ ‘จุดคอขวดขั้นอลวน’ สามารถเลือกกระตุ้นป้ายคำสั่งจิตโลกา กลับชาติมาเกิดในดินแดนจิตโลกาได้! ผ่านการขัดเกลาของโลกกำเนิดสองแห่ง ความหวังในการเป็นเทพจักรวาลก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้น บวกกับพื้นฐานของดินแดนจิตโลกาที่ลึกล้ำยิ่งขึ้น…
แต่ทว่า
เมื่อใดที่กลับชาติมาเกิดผ่านพ้นไปแล้วก็จำเป็นต้องเป็นเทพจักรวาล! จึงจะสามารถกระตุ้นป้ายคำสั่งจิตโลกาได้อีกครั้ง ได้กลับชาติมาเกิดยังอากาศอันสับสนอลหม่าน
ไปๆ มาๆ พลังของป้ายคำสั่งจิตโลกาก็แทบจะหมดสิ้นไป
“กลับชาติมาเกิดหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่กล้าเชื่อ “คงมิใช่แผนร้ายอันใดหรอกกระมัง”
ภายในจักรวาลก็มีการกลับชาติมาเกิด
ดังเช่นในตอนนั้นอวี๋จิ้งชิวผู้เป็นภรรยาก็กลับชาติมาเกิดในโลกวัตถุ วิญญาณแท้กลับชาติมาเกิด เช่นนี้จึงจะไม่ถูกโลกวัตถุขับไล่! แต่ยามที่เป็นเทพแล้วจึงจะสามารถปลุกความทรงจำให้ฟื้นคืนขึ้นมาได้
และอ้างอิงจากที่ป้ายคำสั่งจิตโลกาได้บอกเอาไว้…เพราะว่ามีป้ายคำสั่งจิตโลกาคุ้มครอง กลับชาติมาเกิดเข้าสู่ดินแดนจิตโลกา ความทรงจำก็สามารถถูกรักษาเอาไว้ได้เป็นอย่างดี มิได้ถูกบิดเบือน
แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงจะกล้าเชื่ออย่างนั้นหรือ
“โยนทุกสิ่งทุกอย่างทิ้ง ละทิ้งร่างกายและดวงวิญญาณของข้าในตอนนี้อย่างนั้นหรือ นี่ก็มิใช่การฆ่าตัวตายหรืออย่างไร” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะ “นอกจากนี้ข่าวลือที่แพร่สะพัดออกไปเกี่ยวกับป้ายคำสั่งจิตโลกาก็เป็นเรื่องจริง คนที่ชื่อ ‘หยวน’ ผู้นั้นหลอมป้ายคำสั่งนี้ขึ้นมาด้วยเจตนาดีแน่หรือ ไม่แน่ว่าอาจเป็นแผนร้ายก็ได้”
ถึงแม้ว่าอาจเป็นไปได้ว่าผู้แกร่งกล้าผู้ลึกลับที่ชื่อ ‘หยวน’ ผู้นี้อาจมีเจตนาดีให้โอกาสกับเหล่าผู้บำเพ็ญอีกครั้งก็เป็นได้
แต่ก็มีความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่ง…
หยวน อาจมีแผนร้ายอยู่! อย่างเช่นให้ตนเองละทิ้งร่างกายและดวงวิญญาณ วิญญาณแท้จำนวนหนึ่งเข้าสู่ป้ายคำสั่งจิตโลกา…ไม่แน่ว่าป้ายคำสั่งจิตโลกาก็อาจจะอาศัยโอกาสชิงร่างก็เป็นได้!
“เกรงว่าผู้บำเพ็ญที่ค้างอยู่ที่ขีดจำกัดขั้นอลวนเป็นระยะเวลาเนิ่นนานจนสิ้นหวังแล้วจึงจะยอมเทหมดหน้าตักเลือกเส้นทางนี้กระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพลางแอบครุ่นคิด ไม่ว่าอย่างไร เขา ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีพรสวรรค์ล้ำเลิศ ระยะเวลาในการบำเพ็ญยังแสนสั้นนัก ก็สำเร็จเคล็ดวิชาระดับชั้นที่เก้าขั้นสุดยอดถึงสองอย่างแล้ว เขามีความมั่นใจอย่างยิ่งในการเหยียบย่างเข้าสู่เทพจักรวาลของตน
ย่อมไม่ไป ‘วางเดิมพัน’ กระตุ้นป้ายคำสั่งจิตโลกาอะไรนั่นอยู่แล้ว
“ออกไป!”
ตงป๋อเสวี่ยอิงขับไล่พลังสีแดงเข้มที่พัวพันอยู่ภายในดวงวิญญาณของตนขุมนั้นออกไปในทันที ถึงอย่างไรพลังแปลกปลอมเข้าไปพัวพันกับแก่นวิญญาณ เขาก็มิอาจวางใจได้
พรึ่บๆๆ…
ไม่ว่าจะขับไล่อย่างไรพลังแปลกปลอมที่ป้ายคำสั่งจิตโลกาสร้างขึ้นก็ยังพัวพันอยู่ภายในดวงวิญญาณ ทำอย่างไรก็มิอาจไล่ออกไปได้
“สมควรตายนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงสีหน้าแปรเปลี่ยน
พอตนเองตรวจสอบมันก็เจาะเข้ามา ตอนนี้ขับไล่ก็มิอาจขับไล่ได้
“ป้ายคำสั่งอันหนึ่งก็สามารถฝืนบังคับบุกรุกเข้ามาภายในดวงวิญญาณของข้าได้ ข้าขับไล่ก็ไม่ยอมไป วิธีการนี้ช่างร้ายกาจยิ่งนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ “ที่แท้แล้วผู้ที่ชื่อ ‘หยวน’ ผู้นี้เป็นใครกัน ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยเสียด้วยซ้ำ ฝีมือร้ายกาจเช่นนี้ ข่าวลือที่แพร่ออกไปของป้ายคำสั่งจิตโลกานี้ ก็เป็นไปได้ว่าจะเป็นความจริงเสียแล้ว”
เป็นไปได้ว่าจะเป็นความจริง
แล้วก็เป็นไปได้ว่าจะเป็นเท็จ
เขา ตงป๋อเสวี่ยอิง มีอนาคตอันสดใส ย่อมมิอาจละทิ้งร่างกายและวิญญาณได้อยู่แล้ว
“ขับไล่ไม่ไป ก็ได้แต่โยนทิ้งไปทางหนึ่งเป็นการชั่วคราวก่อนแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงจนใจอยู่บ้าง “แต่ดินแดนจิตโลกาที่พูดถึงในข่าวลือ… ถึงกับเป็นโลกกำเนิดระดับขั้นเดียวกันกับอากาศอันสับสนอลหม่านเชียวหรือ มีกฎเกณฑ์สูงสุดที่แตกต่างกันอย่างนั้นหรือ นอกจากนี้ยังมีพื้นฐานอันลึกล้ำยิ่งกว่าอีกด้วยเช่นนั้นหรือ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงครุ่นคิดขึ้นมา
นับตั้งแต่ที่สามารถทำการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นได้ เขาก็สามารถสอดแนมสิ่งมีชีวิตที่มีระดับสูงกว่าผ่านโพรงทรงกลมหมอกดำได้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เคยคิดว่าอากาศอันสับสนอลหม่านนี้อาจจะมิได้เป็นหนึ่งไม่มีสองเสียแล้ว
ตอนนี้ดูจากป้ายคำสั่งจิตโลกา ‘ดินแดนจิตโลกา’ ก็มีระดับขั้นเดียวกันกับอากาศอันสับสนอลหม่าน อีกทั้งยังมีพื้นฐานลึกล้ำยิ่งกว่ามาก
******
ตงป๋อเสวี่ยอิงจนใจที่มิอาจได้ป้ายคำสั่งจิตโลกามา อีกทั้งยังไม่คิดจะละทิ้งร่างกายและวิญญาณไปกลับชาติมาเกิดใหม่ ดังนั้นจึงปล่อยทิ้งไปทางหนึ่งเป็นการชั่วคราวก่อน
……
กลางอากาศอันสับสนอลหม่าน
มี ‘ทะเลเพลิง’ อันกว้างใหญ่หาใดเปรียบอยู่แห่งหนึ่ง ที่จุดศูนย์กลางของทะเลเพลิง มีดาวเคราะห์เพลิงขนาดมหึมาหาใดเปรียบอยู่ดวงหนึ่ง พลานุภาพของมันเป็นอนันต์ไร้ที่สิ้นสุด ถึงขนาดที่บรรดาเทพจักรวาลเหล่านั้นล้วนต้องหน้าถอดสีเมื่อเผชิญหน้ากับมัน ถ้าหากเข้าใกล้เกินไปร่างกายก็อาจถูกเผาไหม้เป็นจุณได้
ดาวเคราะห์เพลิงดวงนี้ก็คือ ‘ดวงอาทิตย์’ แห่งยุคโลกทิพย์โบราณดั้งเดิมดวงนั้นนั่นเอง
ในตอนนั้น…
โลกทิพย์โบราณดั้งเดิมก็มีดวงอาทิตย์ขนาดใหญ่มหึมาที่สุดอยู่ดวงหนึ่ง และดวงจันทร์ดวงหนึ่งล้อมรอบอยู่ ต่อมาเมื่อโลกทิพย์โบราณดั้งเดิมแหลกสลาย ดวงอาทิตย์ที่ดั้งเดิมที่สุดดวงนี้ก็ย่อมล่องลอยจากไป… ถึงอย่างไรโลกทิพย์โบราณในตอนนี้ก็เล็กเกินไป ย่อมไม่สามารถรองรับแรงกดดันซึ่งดวงอาทิตย์ดั้งเดิมที่สุดดวงนี้และดวงจันทร์ที่ล้อมรอบอยู่สร้างขึ้นมาได้อยู่แล้ว
มันล่องลอยอยู่ที่นี่ กดดันทั่วทั้งสี่ทิศ
มันก็คือการสำแดงบางส่วนของกฎเกณฑ์สูงสุด แสดงถึงความร้อนและการเผาไหม้ในระดับสูงสุด!
สำหรับเทพจักรวาลแล้วก็ยังเป็นภัยคุกคามถึงชีวิต
“ปุ้ง…”
ภายในดวงอาทิตย์ดั้งเดิมมีการระเบิดอยู่ตลอดเวลา ทั้งยังมีเปลวเพลิงที่ม้วนตัวราวกับมังกร และในขณะนี้เอง เงาร่างสีดำขนาดมหึมาหาใดเปรียบสายหนึ่งก็ค่อยๆ ปรากฏออกมาจากพื้นผิวของดวงอาทิตย์ดั้งเดิม การปรากฏตัวนี้ของเขาดูเหมือนจะเป็นราวๆ หนึ่งในสามส่วนของทั้งดวงอาทิตย์ดั้งเดิมเลยทีเดียว มันออกมาแล้วทำให้เปลวเพลิงที่ลุกไหม้อยู่โดยรอบเงียบสงบลงมาอย่างมากในชั่วขณะหนึ่ง
“หลับใหลนิทราอยู่ดีๆ ก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาเสียได้” เงาร่างสีดำขนาดมหึมาหาใดเปรียบนี้ค่อยๆ ลืมตาขึ้น
นัยน์ตาสีเหลืองเข้มขนาดมหึมาคู่นั้น ประกายตาราวกับทะลุผ่านกาลมิติ
มันมีกระดองขนาดใหญ่
บริเวณส่วนท้องมีเกล็ดเกราะชิ้นแล้วชิ้นเล่าแน่นขนัดราวกับชุดเกราะเกล็ดหินก็มิปาน คอของมันค่อนข้างมั่นคงแข็งแรง กะโหลกศีรษะก็ดูเหี้ยมโหดเป็นที่สุด
พร้อมกันกับที่เงาร่างเปลี่ยนแปร
เงาร่างมหึมาที่ครองพื้นที่หนึ่งในสามของพื้นผิวดวงอาทิตย์ดั้งเดิมพลันแปลงร่างเป็นชายชราร่างผอมเล็กคนหนึ่ง เขาผอมบางอย่างที่สุด ผอมเสียจนหนังหุ้มกระดูก ต่างก็ว่ากันว่า ‘บรรพชนโลกา’ ตัวผอมเล็กยิ่ง แต่เมื่อเทียบกันแล้วร่างกายของชายชราผู้นี้ยังผ่ายผอมกว่าบรรพชนโลกามากมายนัก จนดูเหมือนว่าลมหอบหนึ่งก็สามารถพัดพากระดูกชรานี้ให้ลอยปลิวไปได้แล้ว
ชายชราร่างผอมเล็กนี้ค้ำยันบนไม้เท้า อีกทั้งยังมีหลังค่อม เขากระแอมสองครั้ง “ผู้ใดกันที่เหนี่ยวนำกลิ่นอายของข้า อีกทั้งยังปลุกข้าขึ้นมาอีกด้วย”
ตอนที่ 2 ผู้อาวุโสศิลา
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลับสนิทอย่างสบายยิ่ง แต่โลกภายนอกเหนี่ยวนำกลิ่นอายของเขาอยู่ตลอดเวลา อาศัยที่เขาหลับลึกอย่างยิ่ง สุดท้ายก็ยังหลับสนิทมาได้
ชายชราร่างผอมเล็กถือไม้เท้ายืนอยู่บนดวงอาทิตย์ดั้งเดิม แล้วตรวจตาตามที่กลิ่นอายของเขาถูกเหนี่ยวนำไป เขามองดูห้วงอากาศอันไร้ที่สิ้นสุดอยู่ไกลๆ เพียงไม่นานเขาก็เห็นว่าที่โลกทิพย์กิเลนบูรพา ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวผู้หนึ่งกำลังสำแดงเขตลวงตรวจตราไปที่เทือกเขาแห่งหนึ่ง… ซึ่งก็คือตงป๋อเสวี่ยอิงที่กำลังตรวจหาฝูงมารผลาญทำลายอยู่นั่นเอง
“หึๆๆ” ชายชราร่างผอมเล็กหัวเราะขึ้นมา เขาที่ผ่ายผอมจนหนังหุ้มกระดูกหัวเราะจนตาหยี “หาได้ยากๆ ที่แท้ก็เป็นเคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดที่ปลุกข้าขึ้นมา เขาคิดค้นเคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดแปรที่สิบออกมาอย่างนั้นหรือ เคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดนี้ก็คือสิ่งที่ไม่เชี่ยวชาญที่สุดในสี่เคล็ดวิชาสืบทอดที่ข้าทิ้งเอาไว้”
สี่เคล็ดวิชาสืบทอด
เคล็ดวิชาสืบทอดมังกรปาหลง เคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาด เคล็ดวิชาสืบทอดเก้าอสรพิษ และเคล็ดวิชาสืบทอดอสูรภูผา
นอกจากเคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดที่เน้นด้านวิญญาณเป็นหลักแล้ว เคล็ดวิชาสืบทอดมังกรปาหลง เคล็ดวิชาสืบทอดอสูรภูผา และเคล็ดวิชาสืบทอดเก้าอสรพิษนั้นต่างก็เน้นร่างกายเป็นหลัก แม้กระทั่งเคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาด…นับได้ว่าเป็นสารหล่อลื่นของอีกสามเคล็ดวิชาสืบทอด ทำให้ทั้งสี่สามารถรวมกันเป็นหนึ่งเดียวได้อย่างสมบูรณ์แบบ
“ดูเขตลวงที่เขาสำแดงนั่นสิ จุ๊ๆๆ มีรสชาติทีเดียว ถึงกับมีส่วนของความเป็นเทพจักรวาลอยู่บ้างแล้ว” ชายชราร่างผอมเล็กยิ่งดูก็ยิ่งพึงพอใจ “เดิมทีข้าก็โมโหอยู่บ้างตอนที่ถูกปลุก แต่ได้มาเห็นเจ้าเด็กที่ยอดเยี่ยมอะไรเช่นนี้ ฮ่าฮ่าฮ่า…”
ชายชราร่างผอมเล็กหัวเราะขึ้นมา
เขามองดูดวงอาทิตย์ดั้งเดิมขนาดมหึมาหาใดเปรียบใต้ฝ่าเท้า “ช่างอบอุ่นเหลือเกิน หลับก็สบายนัก แต่ว่าควรจะออกไปเดินเล่นดูเจ้าเด็กผู้นี้เสียหน่อยดีกว่า”
ก้าวยาวๆ ก้าวหนึ่ง ชายชราร่างผอมเล็กก็หายลับไป
เมื่อปรากฏตัวขึ้น
ก็มาถึงยังโลกทิพย์กิเลนบูรพาแล้ว คล้ายกับว่าเคลื่อนย้ายแล้วปรากฏขึ้นโดยตรง ห้วงมิติมิได้มีระลอกคลื่นอันใดเลย
ต้องรู้ไว้ว่า…ระยะทางอันห่างไกลเช่นนี้ ถ้าหากเป็นบรรพชนทราย ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ และยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนบางคน พวกเขาต้องอาศัยพรสวรรค์ศาสตร์โบราณจึงจะสามารถทำการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นได้ โดยทั่วไปแล้วการส่งถ่ายก็เหมือนกับโครงสร้างทางเดินมิติ ความเคลื่อนไหวค่อนข้างใหญ่ การส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นของตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นการเชื่อมโยงผ่านโพรงทรงกลมหมอกดำ ทำให้เกิดความเคลื่อนไหวน้อยกว่าอยู่พอสมควร
แต่ชายชราร่างผอมเล็กผู้นี้กลับมองไม่เห็นความเคลื่อนไหวใดๆ เลย
“หึๆๆ” ชายชราร่างผอมเล็กมองดูความเคลื่อนไหวของตงป๋อเสวี่ยอิงต่อไป
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่กลางทะเลทรายอันเวิ้งว้าง สอดแนมอาณาบริเวณโดยรอบแต่ละแห่งผ่านทรงกลมหมอกดำ ไม่เห็นความพิเศษอันใด ทันใดนั้นก็หยุดอยู่ที่นครแห่งหนึ่ง
ส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นไปยังบริเวณใกล้ๆ ก่อน หลังจากนั้นก็เคลื่อนที่ในพริบตามาปรากฏที่เบื้องบนของนครแห่งนี้โดยตรง
นี่ก็เป็นเพียงแค่นครที่ขั้นรวมเป็นหนึ่งปกครองอยู่เท่านั้น ปราการเมืองกินพื้นที่สองล้านลี้ ประชากรภายใน ก็มิได้นับว่าหนาแน่นนัก ถึงอย่างไรยิ่งเป็นผู้แกร่งกล้า จึงยิ่งทำให้เหล่าผู้บำเพ็ญรู้สึกได้ถึงความปลอดภัย พวกเขาจึงอยากที่จะอยู่อาศัย! นครที่ขั้นรวมเป็นหนึ่งปกครอง… โดยทั่วไปแล้วล้วนมีอำนาจอ่อนแอ ผู้ที่ไม่มีหวังที่จะเข้าสู่เมืองใหญ่จึงอยากจะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่
“พรึ่บ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่ที่ท้องฟ้าเบื้องบนของปราการเมือง เขตลวงได้มาถึงนครที่อยู่เบื้องล่างแห่งนี้แล้ว สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนภายในปราการเมืองแห่งนี้ทั้งหมดเข้าสู่เขตลวง ในนั้นมีประสบการณ์ของตนอยู่ด้วย
“ไม่มีฝูงมารผลาญทำลาย” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็จะจากไปในทันใด
“รีบร้อนอะไรถึงเพียงนี้เล่า ผู้บำเพ็ญอายุขัยยืนยาว อย่ารีบร้อนเกินไปนักสิ ช้าลงหน่อย ช้าลงหน่อย” เสียงหัวเราะหึๆ เสียงหนึ่งลอยมา
ตงป๋อเสวี่ยอิงสีหน้าเปลี่ยนแปร
อะไรกัน!
เขตลวงของเขาเป็นวิธีการอันร้ายกาจเพียงใด ที่เขาถามคือเทพจักรวาลโดยทั่วไป ภายในเขตลวงก็ยังถูกรบกวนเล็กน้อย ต่อให้ไม่ถูกรบกวนก็ต้องถูกตนค้นพบ! ถึงแม้ว่าผลลัพธ์ของการตรวจหาของเขตลวง…จะเทียบมิได้กับอาณาเขตกฎเกณฑ์ของตน แต่ถึงอย่างไรอาณาเขตกฎเกณฑ์ก็กินพื้นที่เป็นแสนลี้ อาณาบริเวณของเขตลวงก็กว้างใหญ่กว่ามากมายเหลือเกิน
“หืม” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองตามเสียงนั้นไป ภายในร้านเหล้าขนาดเล็กริมทางในปราการเมือง ชายชราร่างผอมเล็กที่ผอมจนหนังหุ้มกระดูกคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่ที่นั่น กินดื่มคำโต
ภาพเหตุการณ์นี้ดูช่างแสนธรรมดา
แต่ต้องรู้ไว้ว่า คนอื่นๆ ทั้งหมดภายในปราการเมืองแห่งนี้ล้วนเข้าสู่เขตลวงกันทั้งสิ้น มีเพียงชายชราร่างผอมเล็กผู้นี้เพียงคนเดียวที่ยังสามารถดื่มกินอยู่ได้ นี่เป็นเรื่องไม่ปกติอย่างยิ่ง
สวบ
ตงป๋อเสวี่ยอิงก้าวยาวๆ กลางเวหาก้าวหนึ่งแล้วร่อนลงมาถึงยังด้านข้างร้านเหล้าขนาดเล็กริมทางแห่งนี้แล้วทักทายในทันใด “ตงป๋อเสวี่ยอิงคารวะผู้อาวุโส”
“นั่งสิ นั่งสิ” ชายชราร่างผอมเล็กก้มหน้าก้มตากินต่อไป กินไปพลางพูดไปพลาง “ไม่ได้กินอะไรมานานเกินไปแล้ว ท้องหิวเหลือเกิน”
ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งลงตรงข้ามในทันที เขาสังเกตผู้แกร่งกล้าผู้ลึกลับตรงหน้าท่านนี้อย่างละเอียด เขตลวงของตนไม่มีทางถูกค้นพบ ด้วยความสำเร็จในด้านเขตลวงของตน…ตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถแน่ใจได้ว่านี่จะต้องเป็นบุคคล ‘ระดับเทพจักรวาล’ ที่บำเพ็ญสำเร็จในระดับสูงสุดอย่างแน่นอน! ทั้งยังน่ากลัวว่าจะมีพลังยุทธ์สูงส่งที่สุดในบรรดาเทพจักรวาลอีกด้วย
แต่ว่าเทพจักรวาลมีอยู่เพียงเท่านั้น ตนควรจะต้องรู้จักสิ!
เทพจักรวาลที่เพิ่งบรรลุใหม่อย่างนั้นหรือ ดีร้ายอย่างไรก่อนหน้านี้ก็ต้องเป็นขั้นอลวนกระมัง แต่ข้อมูลที่ตนรู้ก็ดูเหมือนว่าควรจะบันทึกขั้นอลวนทุกคนเอาไว้แล้ว รวมถึงขั้นอลวนของสำนักทิพย์โบราณและลัทธิจอมมารดาด้วย แต่ว่าตนเองก็ยังมิอาจหาข้อมูลที่ดูเหมือนชายชราร่างผอมเล็กตรงหน้าผู้นี้พบเลยแม้แต่น้อย
“หึๆๆ” ชายชราร่างผอมเล็กก้มหน้าก้มตากิน กินอย่างสุขสันต์เป็นอย่างมาก อาหารจานแล้วจานเล่าถูกเขากินลงท้องไป ในที่สุดทั้งหมดก็ถูกเขากินเสียจนเกลี้ยงเกลา
“สบายเหลือเกิน กินแล้วก็ยังต้องดื่มด้วยสิ อาหารของโรงเหล้าแห่งนี้ยังพอใช้ได้ แต่สุราช่างย่ำแย่นัก” ชายชราร่างผอมเล็กตบท้องตัวเองพลางมองดูตงป๋อเสวี่ยอิง “เจ้ามีสุราหรือไม่ เอาสุราชั้นดีมาหน่อยสิ”
“เชิญเลยขอรับ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงโบกมือคราหนึ่ง บนโต๊ะก็มีสุราสามไหปรากฏขึ้นมา
เป็นผู้บำเพ็ญต่างก็สามารถพกพาสุราชั้นเลิศจำนวนมากไว้ได้อย่างสบายๆ ตงป๋อเสวี่ยอิงต้องไปทั่วทุกหนแห่งในอากาศอันสับสนอลหม่านเพื่อตรวจหาฝูงมารผลาญทำลาย เขาเองก็ชมชอบอาหารเลิศรสและสุราชั้นเลิศ ก็ย่อมได้ลิ้มชิมสุราชั้นเลิศตามที่ต่างๆ ระหว่างทางมามากมาย ในบรรดานั้นก็มีที่ยอดเยี่ยมอยู่บ้างก็ได้เก็บสะสมเอาไว้ สุราสามไหนี้…ต่างชนิดกัน สำหรับราคาก็มีที่แพงกว่าพวกมันอยู่มากมาย ทว่าสุราแพงลิบลิ่วเหล่านั้นมีอยู่มากมายที่เป็นเพียงแค่วัตถุล้ำค่า แต่รสชาติอันแท้จริงนั้น… สามชนิดนี้กลับเป็นสุราสามชนิดที่ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าดีที่สุดแล้ว
“จุ๊ๆ” ชายชราร่างผอมเล็กดื่มสุราไปพลางส่งเสียงจุ๊ๆ ไปพลาง นัยน์ตาที่เป็นสีเหลืองหม่นอยู่บ้างเปล่งประกาย “สุราดี สุราดี คิดไม่ถึงว่าเจ้าดูเหมือนจะยังอายุไม่มาก แต่ก็สามารถหยิบเอาสุราชั้นดีเช่นนี้ออกมาได้แล้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มองดูอยู่ข้างๆ มองดูชายชราร่างผอมเล็กดื่มสุรา
รอจนดื่มสุราไปกว่าครึ่ง ชายชราร่างผอมเล็กจึงเงยหน้าขึ้นมองตงป๋อเสวี่ยอิงพร้อมรอยยิ้มร่า “อารมณ์ดีเสียจริงเชียว” พูดแล้วเขาก็โบกมือคราหนึ่ง พรึ่บ สมบัติวิเศษล้ำค่าชิ้นนั้นที่เดิมทีตงป๋อเสวี่ยอิงเก็บเอาไว้ภายในคลังสมบัติล้ำค่าก็ตกมาอยู่ในมือของชายชราร่างผอมเล็ก
ตงป๋อเสวี่ยอิงสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย
ในมือของชายชราร่างผอมเล็กก็คือกระจกศิลาบานนั้น ก็คือการชี้นำของกระจกศิลานั่นเองที่ทำให้เขาบำเพ็ญเคล็ดวิชาบุปผาผลาญทำลายได้สำเร็จ หากไม่มีการชี้นำก็เกรงว่าเขาคงยังอยู่ที่ชั้นที่เจ็ดของขั้นรวมเป็นหนึ่ง ความหวังคงน้อยกว่านี้มากนัก
“พลังยุทธ์ของเจ้าในตอนนี้ เกล็ดแผ่นนี้ไม่มีประโยชน์ต่อเจ้าอีกต่อไปแล้วล่ะ” ชายชราร่างผอมเล็กยิ้มพลางโบกมือคราหนึ่ง กระจกศิลาก็ลอยละลิ่วไปยังอากาศไกลออกไป จากนั้นก็หายลับไปกลางอากาศ “ให้ผู้ที่ต้องการมันมากกว่าพวกนั้นไปเสียเถิด”
ในตอนนี้กระจกศิลาก็ไม่มีประโยชน์แล้วจริงๆ
เพราะเคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดของตงป๋อเสวี่ยอิงก็เปิดทางไปถึงแปรที่สิบแล้ว ออกจากอาณาเขตการชี้นำของกระจกศิลาแล้ว
“นี่คือสิ่งที่ผู้อาวุโสทิ้งไว้อย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยถาม
“ฮ่าฮ่า เป็นเกล็ดแผ่นหนึ่งที่ข้าสลัดทิ้งเอาไว้” ชายชราร่างผอมเล็กพูดพร้อมรอยยิ้ม “ใช่แล้ว ข้าชื่อ ‘ศิลา’”
“ผู้อาวุโสศิลา” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยขึ้นทันควัน เขามีความรู้สึกซาบซึ้งกับชายชราร่างผอมเล็กผู้นี้ ถึงอย่างไรตงป๋อเสวี่ยอิงก็รู้จักบุญคุณคน เพราะว่ากระจกศิลาเป็นเหตุ เขาจึงสามารถคิดค้นเคล็ดวิชาบุปผาผลาญทำลายออกมาได้ มีส่วนช่วยเหลือเขาบนเส้นทางการบำเพ็ญอย่างมหาศาลจริงๆ
……………………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น