Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 31 ตอนที่ 8-9

 ตอนที่ 8 กบดาน

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ใช่ เรื่องใหญ่” บรรพชนเทียนอวี๋พยักหน้า “นับตั้งแต่โลกทิพย์โบราณดั้งเดิมแตกสลายไป อากาศอันสับสนอลหม่านก็ขยายออกไปอย่างไม่หยุดหย่อน ที่ชายขอบของห้วงอากาศก็มีฝูงมารผลาญทำลายถือกำเนิดขึ้นตลอดคืนวันอันยาวนาน ฝูงมารผลาญทำลายก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ความกดดันในการสกัดกั้นพวกเขาก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเช่นเดียวกัน พวกมันถือกำเนิดขึ้นมาก็เพื่อทำลายล้าง บางทีอากาศอันสับสนอลหม่านอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ก็อาจจะเพื่อทำลายล้างพวกเราแล้วบ่มเพาะโลกใบใหม่ขึ้นมากระมัง แม้พวกเราจะแข็งแกร่ง แต่เมื่ออยู่ต่อหน้ากฎเกณฑ์อันสูงส่ง ก็เกรงว่าคงเป็นเพียงมดปลวกที่แข็งแกร่งบ้างเท่านั้น”


ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้ง


เขานึกถึงว่าตนเคยสอดส่องดูโลกระดับที่สูงกว่านี้โดยผ่านทางเชื่อมโพรง ‘ทรงกลมหมอกดำ’


“แม้ฝูงมารผลาญทำลายจะมากขึ้นเรื่อยๆ แต่พวกเราก็เชื่อมาตลอดว่าพวกเราป้องกันได้ดีมากโดยไม่รั่วไหลเลยแม้แต่น้อย” บรรพชนเทียนอวี๋พูดอย่างสงบ “แต่ว่าหลังจากข้าลอยล่องไปทั่วทิศแล้วสร้างจักรวาลขึ้นมาได้ไม่นานนัก เทียบได้กับราวยุคจักรวาลที่ห้าของบ้านเกิดเจ้า พวกเรากลับพบว่าภายในโลกทิพย์ทั้งห้ามีฝูงมารผลาญทำลายกบดานอยู่เสียนี่!”


“อะไรนะ!” ตงป๋อเสวี่ยอิงตะลึงลาน “ฝูงมารผลาญทำลายเข้าไปยังโลกทิพย์ทั้งห้าแล้วหรือ มิได้ถูกสกัดไว้ภายนอกมาตลอดหรือขอรับ”


ต่อให้เป็นข้อมูลที่ตนรับรู้ ฝูงมารผลาญทำลายก็ถูกป้องกันให้อยู่ภายนอกได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่มีปลาตัวใดที่ลอดแหเข้ามาได้!


“พวกเราก็คิดว่าสกัดกั้นป้องกันได้ดีมาก แต่เรื่องจริงก็เห็นอยู่ตรงหน้า มิอาจโต้แย้งได้ มีฝูงมารผลาญทำลายเข้ามากบดานจริงๆ” บรรพชนเทียนอวี๋ส่ายหน้า “พวกเราหวนคิดอย่างถี่ถ้วนแล้วก็คาดว่าก่อนหน้านี้มีหลายครั้งที่ขณะฝูงมารผลาญทำลายโจมตีขนานใหญ่ได้บุกสังหารเข้ามาจนถึงป้อมปราการอากาศสุดท้าย พวกเราคิดว่าสกัดกั้นได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว แต่คงจะมีครั้งใดครั้งหนึ่งที่มีผู้เล็ดรอดป้อมปราการอากาศสุดท้ายเข้ามาได้”


“จวบจนบัดนี้ พวกเราพบร่องรอยของฝูงมารผลาญทำลายกว่าร้อยครั้งแล้ว ซึ่งล้วนแต่เป็นมารผลาญทำลายเกราะทองทั้งสิ้น สามารถวิเคราะห์ได้ว่าอย่างน้อยก็เป็นมารผลาญทำลายเกราะทองสิบห้าตนที่แตกต่างกัน พวกเขาเจ้าเล่ห์และระมัดระวังตัวเป็นอันมาก ทั้งยังมีความสามารถในการเปลี่ยนแปลงกลิ่นอายอีกด้วย ตามปกติก็มักปลอมแปลงเป็นผู้บำเพ็ญทั่วไป ขณะที่จะเข่นฆ่าตามอำเภอใจจึงค่อยเผยตัวออกมา ดังนั้นจนถึงบัดนี้พวกเราจึงยังจับไม่ได้แม้แต่ตนเดียว”


“พวกเขากำเนิดขึ้นมาเพื่อทำลายล้าง ดังนั้นพวกเขาก็ต้องทนไม่ไหวแล้วคว้าโอกาสสักครั้งเพื่อเข่นฆ่าครั้งใหญ่เทียมฟ้าอย่างแน่นอน”


“เมื่อสื่อสารกับภายนอก…พวกเราก็จะบอกว่าเป็นมารร้ายของเหล่ากลืนกินสักตนที่เข่นฆ่าตามอำเภอใจ! โดยมิเคยกล้าพูดเลยว่าเป็นฝูงมารผลาญทำลาย”


บรรพชนเทียนอวี๋ส่ายหน้า “นอกจากนี้ ยิ่งจำนวนฝูงมารผลาญทำลายที่ชายขอบของห้วงอากาศมีจำนวนมากขึ้น ความถี่ในการโจมตีขนานใหญ่ของพวกเขาก็เพิ่มมากขึ้นด้วย บางครั้งก็จะสามารถบุกเข้ามาถึงป้อมปราการอากาศสุดท้ายได้ เรื่องนี้ก็ทำให้ท่ามกลางการเข่นฆ่าขนานใหญ่ในโลกทิพย์ทั้งห้าและอากาศอันสับสนอลหม่าน จำนวนครั้งที่พบร่องรอยของฝูงมารผลาญทำลายก็เพิ่มสูงได้อย่างรวดเร็วขึ้น”


“ผู้ใดก็รู้”


“ตอนนี้พวกเรายังพอเป็นฝ่ายได้เปรียบอยู่ ในภายหน้า ข้อได้เปรียบของพวกเราก็จะยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ จนกระทั่งตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบและต้านทานเอาไว้ไม่ไหวในท้ายที่สุด”


“แย่นัก จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นไม่ช่วยเหลือเลย หากเขาช่วย พวกเราก็จะผ่อนคลายขึ้นมากทีเดียว”


ตงป๋อเสวี่ยอิงเงียบงัน


ต่อให้จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ช่วยเหลือ…คาดว่าก็คงจะถ่วงขั้นตอนการทำลายออกไป


“บางทีจอมเทพศักดิ์สิทธิ์อาจจะเข้าใจว่า ฝูงมารผลาญทำลายชั่วร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ จนเขาไม่มีความอดทนเช่นที่ผ่านมาแล้ว” บรรพชนเทียนอวี๋กล่าว “ในช่วงแรกจอมเทพศักดิ์สิทธิ์มีความอดทนสูงมาก สามารถดักซุ่มได้เป็นนานเพื่อเป้าหมายบางอย่าง แต่ครั้งนี้เพียงเพราะระบายโทสะ ก็ได้เผาผลาญพลังต้นกำเนิดที่สั่งสมมานานแสนนานไปส่วนหนึ่งเพื่อสังหารกู่ฉีอาจารย์เจ้า มิได้เพื่อประโยชน์อันใดเลย แต่ทำเพื่อระบายโทสะเท่านั้น นี่คือสิ่งที่จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ไม่มีทางทำในอดีต”


“เผชิญทั้งศึกนอกศึกใน”


บรรพชนเทียนอวี๋ส่ายหน้า “แน่นอนว่า จอมเทพศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่ควรค่าแก่การเอามาใส่ใจเลย เพราะเขาสั่นคลอนสถานการณ์โดยรวมมิได้! ถึงอย่างไรที่ร้ายแรงที่สุดก็ยังคงเป็นฝูงมารผลาญทำลาย อาจจะมีสักวันที่อากาศอันสับสนอลหม่านนี้ถูกทำลายล้างไป แต่พวกเราก็พยายามถ่วงเวลาออกไปอย่างเต็มที่ ยิ่งถ่วงได้นานเท่าไหร่ก็ยิ่งดี เมื่อผ่านไปนานเข้าอาจจะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นก็เป็นได้”


“การรับมือกับฝูงมารผลาญทำลายนี้ด้วยการสกัดกั้นที่ชายขอบของห้วงอากาศก็ถือว่าถึงขีดจำกัดที่จะทำได้แล้ว”


“ตอนนี้สิ่งที่ทำให้พวกเราเป็นกังวลก็คือฝูงมารผลาญทำลายที่เข้ามากบดาน พวกเขาระมัดระวังเป็นอย่างมาก เทพจักรวาลถึงขั้นไล่ตรวจสอบอยู่หลายครั้ง แต่พวกเขาก็เหมือนจะสามารถตรวจพบการมีอยู่ของเทพจักรวาลได้และไม่ปรากฏกายเลย! ส่วนขั้นอลวนลงมือก็ไม่มีหวังที่จะเอาชนะได้เลย หากไม่ระวังขึ้นมา ก็อาจต้องสูญสิ้นชีวิตไป ขั้นอลวนที่ล่วงลับสิบคนล่าสุด มีสองคนที่สู้จนตัวตายที่ชายขอบของห้วงอากาศ ยังมีอีกสองคนที่ล่วงลับลงเพราะการแก่งแย่งชิงดีภายใน ส่วนอีกหกคนล้วนถูกฝูงมารผลาญทำลายที่เข้ามากบดานเหล่านี้ลอบโจมตีและสังหารไป”


“อ๊ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึง ในใจก็มีชื่อของขั้นอลวนที่ล่วงลับสิบคนล่าสุดผุดขึ้นมา


“พวกเราปกปิดความลับนี้มาโดยตลอด ด้วยกังวลว่าจะทำให้ผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนในโลกทิพย์ทั้งห้าและอากาศอันสับสนอลหม่านเกิดความตื่นตระหนก” บรรพชนเทียนอวี๋กล่าว


“เฮ้อ…”


“เมื่อเทพจักรวาลเข้าใกล้ พวกเขาก็จะไม่ปรากฏกายเลย”


“ขั้นอลวนก็ไม่มีหวัง ส่วนบรรดาผู้ที่มีพลังรบระดับชั้นที่เก้าในขั้นอลวนก็มิกล้าเสี่ยงอันตราย” บรรพชนเทียนอวี๋ส่ายหน้า “เพราะถึงอย่างไร แม้แต่ชั้นที่แปดระดับยอดก็มีผู้ที่ล่วงลับไปสองคนแล้ว”


“ดังนั้นพวกเราจึงหวังว่าจะหาขั้นอลวนที่มีพลังรบชั้นที่เก้าสักคนหนึ่งที่มีความสามารถด้านการหนีเอาชีวิตรอดด้วย ‘การส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้น’ มาตามสำรวจดู” บรรพชนเทียนอวี๋กล่าว “แต่เดิมทีพลังรบระดับชั้นที่เก้าก็มีน้อยอย่างยิ่งอยู่แล้ว ทั้งยังต้องมีความสามารถด้านการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นอีกด้วย ก่อนหน้าเจ้าก็มีอยู่สามคนด้วยกัน”


ตงป๋อเสวี่ยอิงก็รู้ดี


การส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นนั้นมีน้อยมาก เทพจักรวาลที่สามารถสำแดงออกมาได้นั้นก็มีน้อยเสียจนยกนิ้วนับได้ เนื่องจากจำนวนโดยรวมของขั้นอลวนมีค่อนข้างมากอยู่แล้ว จึงมีอยู่ชุดหนึ่ง แต่ที่อยู่ใน‘พลังรบระดับชั้นที่เก้า’ นั้นมีเพียงสามคนเท่านั้น


“คนหนึ่งเป็นลัทธิทิพย์โบราณ คนหนึ่งเป็นคนของลัทธิจอมมารดา ส่วนสุดท้ายนั้นเป็นคนของทางสายประมุขหอหมื่นโลกา” บรรพชนเทียนอวี๋ก็จนใจ “ไม่ว่าจะเป็นหกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ไปจนถึงโลกทิพย์โบราณก็ล้วนแต่ไม่มีทั้งสิ้น”


“ทว่าเจ้ากลับมีหวัง” บรรพชนเทียนอวี๋มองดูตงป๋อเสวี่ยอิง


“บัดนี้การส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นที่เจ้าเข้าใจก็เป็นชั้นที่แปดระดับยอดแล้ว! เมื่อบรรลุถึงระดับชั้นที่เก้าก็จะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ”บรรพชนเทียนอวี๋กล่าว


ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าทว่าก็อดพูดขึ้นมิได้ว่า “แม้แต่ชั้นที่แปดระดับยอดก็ยังสู้จนตัวตายไปถึงสองคน จะไปช่วยก็ไม่ทันแล้ว ฝูงมารผลาญทำลายที่เข้ามากบดานเป็นระดับเทพจักรวาลใช่หรือไม่”


“และนี่ก็คือสาเหตุที่พวกเรารู้สึกว่าระดับชั้นที่เก้าที่เข้าใจการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นจึงจะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด” บรรพชนเทียนอวี๋มีท่าทีสงบ “แม้จะไร้หลักฐาน ทว่าพวกเราก็สงสัยว่ามีฝูงมารผลาญทำลายระดับเทพจักรวาลเข้ามากบดาน! แต่หากบรรลุถึงระดับชั้นที่เก้า อย่างน้อยก็จะไม่ถูกล้างสังหารในพริบตา ล้วนแต่สามารถต้านทานได้ชั่วขณะหนึ่ง อาศัยการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นก็ยิ่งสามารถรักษาชีวิตได้อย่างง่ายดาย”


“แน่นอนว่าพวกเราจะตระเตรียมของกำนัลชิ้นใหญ่เอาไว้ให้เจ้า! เมื่อมีของกำนัลชิ้นใหญ่นี้แล้ว บวกกับพลังของตัวเจ้าเองย่อมต้องปลอดภัยไร้เรื่องราวอย่างแน่นอน” บรรพชนเทียนอวี๋กล่าว


“ต่อจากนี้ไป…การบำเพ็ญของเจ้าจะต้องให้ความสำคัญกับลูกไม้รักษาชีวิต ต้องทำให้ด้านนี้แข็งแกร่งขึ้น” บรรพชนเทียนอวี๋กล่าว “บัดนี้ความสามารถในการรักษาชีวิตก็นับได้ว่าอยู่ในสามสิบอันดับแรกของขั้นอลวน หากเคล็ดวิชาสืบทอดมังกรปาหลงของเจ้าบรรลุถึงกัณฑ์เก้า ผนวกกับความสามารถด้าน ‘การกลายเป็นอากาศธาตุ’ และโลกลวงเร้นกายของเจ้า ความสามารถในการรักษาชีวิตก็น่าจะอยู่ในสิบอันดับแรกได้แล้ว”


ตงป๋อเสวี่ยอิงกระจ่างแจ้งขึ้นมา


ในบรรดายักษ์ใหญ่ขั้นอลวน ระดับชั้นที่เก้านั้นมีอยู่ราวยี่สิบคน ชั้นที่แปดระดับยอดก็ยังมีอยู่เป็นจำนวนมาก! หากอาศัยเคล็ดวิชาสืบทอดมังกรปาหลงกัณฑ์แปดเพียงอย่างเดียว การป้องกันของร่างกายต้องจัดอยู่นอกร้อยอันดับแรกอย่างแน่นอน เพราะอย่างกายหยาบของระบบเหล่ากลืนกินก็แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ยังมีระบบการบำเพ็ญพลรบซึ่งแกร่งที่สุด การบำเพ็ญระบบทิพย์…และระบบศาสตร์โบราณบางคนที่มีพรสวรรค์พิเศษ ผู้ที่มีความสามารถในการรักษาชีวิตอันแข็งแกร่งนั้นมีมากมายยิ่งนัก


การป้องกันของร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถจัดอยู่ในสามสิบอันดับแรกได้ก็น่าหวาดหวั่นมากแล้ว หากเป็นสิบอันดับแรก ก็คงจะสามารถต้านทานการโจมตีของเทพจักรวาลได้แล้ว


“ถึงตอนนั้น เมื่อรวมกับของกำนัลชิ้นใหญ่ที่พวกเราเตรียมไว้ให้ เจ้าก็จะยิ่งปลอดภัยมากขึ้น” บรรพชนเทียนอวี๋พูดยิ้มๆ “แน่นอนว่าลูกไม้การโจมตีของเจ้าออกจะอ่อนแออยู่บ้าง บัดนี้ในขั้นอลวน การโจมตีของเจ้านับว่าอยู่ในห้าสิบอันดับแรก! ในภายหน้าก็หวังว่าเมื่อเจ้าเผชิญหน้ากับฝูงมารผลาญทำลายที่เก่งกาจอย่างยิ่งที่รุกโจมตีเข้ามา หากมิอาจโจมตีสังหารได้ภายในชั่วพริบตา พวกเขาก็จะสามารถกระจายร่างหลบหนีไปได้”


“เข้าใจแล้วขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า


“ไปชายขอบของห้วงอากาศ บำเพ็ญให้ดีๆ ระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เก้าส่วนมากล้วนสำเร็จได้โดยการเคี่ยวกรำด้วยการต่อสู้จำนวนนับไม่ถ้วนบริเวณชายขอบของห้วงอากาศ” บรรพชนเทียนอวี๋กล่าว


“ขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็รอคอย


การต่อสู้กับฝูงมารผลาญทำลายที่ชายขอบของห้วงอากาศ…การเคี่ยวกรำก็เป็นด้านหนึ่ง ส่วนอีกด้านหนึ่งก็คือหลังจากสังหารฝูงมารผลาญทำลายแล้ว ฝูงมารผลาญทำลายก็จะปลดปล่อยพลังงานพิเศษออกมา ซึ่งจะคล้ายคลึงกันกับพลังงานของศิลาปฐมโลกา หากดูดซับเข้าไปแล้วก็จะมีส่วนช่วยวิญญาณเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ยิ่งฝูงมารผลาญทำลายแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีส่วนช่วยมากขึ้นเท่านั้น หลังจาก ‘ฝูงมารผลาญทำลาย’ ระดับเกราะสีเทาทั่วไปสิ้นใจ พลังงานที่ปลดปล่อยออกมาก็จะเทียบได้กับศิลาปฐมโลกาทั่วไปแล้ว หากเป็นระดับเกราะสีแดงโลหิต ประสิทธิภาพก็จะดีกว่าศิลาปฐมโลกาอีก หากเป็นระดับเกราะทอง…ก็ยิ่งเยี่ยมยอดเข้าไปใหญ่ สิ่งเหล่านี้ล้วนพุ่งเป้าไปที่การยกระดับแก่นวิญญาณทั้งสิ้น


ดังนั้น ในการต่อสู้นั้น การสั่งสมประสบการณ์ก็เป็นด้านหนึ่ง แก่นวิญญาณก็สามารถยกระดับขึ้นได้ ดังนั้นขั้นอลวนระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เก้า ส่วนมากก็มักจะเคี่ยวกรำทางแถบนั้นก่อนแล้วค่อยปรากฏตัวขึ้นมา


 ………………………………


ตอนที่ 9 กินศิลาปฐมโลกา

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ใช่แล้ว เจ้าต้องการเตรียมตัวอะไรบ้างในการไปยังชายขอบของห้วงอากาศในครั้งนี้” บรรพชนเทียนอวี๋พูดยิ้มๆ “สมบัติล้ำค่าที่ท่านอาจารย์ของเจ้าทิ้งเอาไว้ให้มีมากมายนัก หากเจ้าจะไม่ใช้ไปตลอดก็ไม่จำเป็นหรอก”


แม้จะเตรียมทรัพยากรที่เคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดและเคล็ดวิชาสืบทอดมังกรปาหลงต้องการเอาไว้เรียบร้อยแล้ว แต่สำหรับสมบัติล้ำค่าที่กู่ฉีทิ้งไว้ให้ ก็แค่น้อยนิดเท่านั้น


“ข้าต้องการการเตรียมตัวจริงๆ นั่นแหละ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “ข้าต้องการศิลาปฐมโลกาหนึ่งแสนก้อน”


“หนึ่งแสนก้อนรึ” บรรพชนเทียนอวี๋ตกตะลึง “จะกินหรือ”


“กินขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า


บรรพชนเทียนอวี๋พูดพลางหัวเราะฮ่าฮ่า “สหายเอ๋ย ขั้นอลวนที่ตัดใจกินศิลาปฐมโลกาหนึ่งแสนก้อนลงไปได้ในประวัติศาสตร์นั้นคงมีน้อยเสียจนยกนิ้วนับได้เลยกระมัง อย่างน้อยเท่าที่ข้ารู้ก็มีเพียงสองคนเท่านั้น”


บางคนก็เพราะบังเอิญโชคดีได้ลาภครั้งใหญ่มา เมื่อกินไปแล้วก็มิได้เปิดเผยสู่ภายนอก


“ศิลาปฐมโลกาหนึ่งแสนก้อนน่าจะมีส่วนช่วยขั้นอลวนเป็นอย่างมาก หากเทพจักรวาลกินลงไปแล้ว เกรงว่าคงจะมีส่วนช่วยน้อยมากทีเดียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว


“ก็ได้ ข้าจะช่วยเตรียมให้เจ้าเอง” บรรพชนเทียนอวี๋พยักหน้ายิ้มๆ “ยังคงอยู่ในสามแสนศิลาปฐมโลกา”


“นอกจากนี้แล้ว ข้ายังต้องการสมบัติลับสักชิ้นหนึ่ง ซึ่งสามารถทำให้การโจมตีอ่อนกำลังลงได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว


ชายขอบของห้วงอากาศ…


เขาคิดเอาเองว่าตนร้ายกาจ แต่ความระมัดระวังก็ยังคงต้องมาก่อน!


“ราคาเล่า” บรรพชนเทียนอวี๋เอ่ยถาม


“ระหว่างห้าหมื่นถึงหนึ่งแสนศิลาปฐมโลกาขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว ตนยังต้องเหลือสมบัติล้ำค่าเอาไว้บ้าง เพราะถึงอย่างไรคิดจะอาศัยตนเองสั่งสมสมบัติล้ำค่าจำนวนมหาศาลเช่นนี้ได้ก็ไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ ในภายหน้าอาจจะมีสักวันที่ตนจำเป็นต้องใช้ฉุกเฉินขึ้นมาก็เป็นได้


“สามารถแลกเป็นสมบัติลับที่พอใช้ได้ได้แล้วล่ะ” บรรพชนเทียนอวี๋ได้ยินราคานี้แล้วก็พยักหน้าน้อยๆ “เดิมทีสมบัติลับก็มีไม่มากอยู่แล้ว ข้ารู้สึกว่าที่เหมาะสมกับเจ้าที่สุดก็คือของชิ้นหนึ่งที่อยู่ในมือบรรพชนทิพย์ซึ่งมีนามว่า ‘เมฆซ้อนสามสี’ ข้าจะถามบรรพชนทิพย์ดูก่อนว่าจะสามารถซื้อได้ในราคาเท่าใด”


ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้ารัว


อาวุธเทพอากาศทั่วไปแทบจะไม่มีส่วนช่วยเขาแล้ว ต้องเป็นสมบัติลับเสียแล้ว


สิ่งใดที่เรียกว่าสมบัติลับน่ะหรือ สมบัติล้ำค่าขั้นจักรวาลก็นับว่าใช่! ยังมีบางส่วนที่เป็นวัตถุพิเศษบางอย่างซึ่งกำเนิดขึ้นมาในอากาศอันสับสนอลหม่านหรือโลกทิพย์โบราณดั้งเดิม จากนั้นก็เพิ่มการปรับเปลี่ยนเข้าไปเล็กน้อยทำให้เกิดเป็นสมบัติล้ำค่าที่น่าหวาดหวั่นขึ้น หรืออาจจะเป็นสมบัติล้ำค่าที่มีความเป็นมาอันเร้นลับ อย่าง ‘คานสามโลกเมฆาเพลิง’ ของจักรพรรดิเก้าเมฆาก็ไม่รู้ที่มา แต่ความล้ำค่าของมันก็ทำให้จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ปรารถนาที่จะได้มา จนต้องลงมือกับจักรพรรดิเก้าเมฆาครั้งแล้วครั้งเล่า


ดังนั้นสมบัติล้ำค่าขั้นจักรวาลจึงนับได้เพียงว่าเป็นระดับต่ำสุดของสมบัติลับเท่านั้น


“บรรพชนทิพย์พูดแล้วว่า ศิลาปฐมโลกาแปดหมื่นก้อน” บรรพชนเทียนอวี๋มองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง


“ได้ขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าโดยไม่ลังเล ของจากบรรพชนทิพย์ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน


“ฮ่าฮ่า ข้าบอกกับบรรพชนทิพย์เรียบร้อยแล้ว อีกไม่นานเขาก็จะให้คนนำมาส่งให้ อ้อ นี่คือข้อมูลโดยละเอียดของสมบัติลับ ‘เมฆซ้อนสามสี’ ที่เขาเพิ่งส่งมาให้” บรรพชนเทียนอวี๋ส่งข้อมูลหนึ่งให้ตงป๋อเสวี่ยอิง เนื่องจากซื้อแล้วจึงสามารถล่วงรู้ข้อมูลโดยละเอียดได้ หากไม่ซื้อ พวกบรรพชนเทียนอวี๋ก็จะรู้เพียงคร่าวๆ


ตงป๋อเสวี่ยอิงอ่านดู


‘เมฆซ้อนสามสี’ นี้ เป็นก้อนเมฆประหลาดซึ่งบรรพชนทิพย์พบท่ามกลางอากาศอันสับสนอลหม่านที่กว้างใหญ่ไพศาล เขาได้ทำการย้อนเวลาเพื่อตรวจดูขั้นตอนการกำเนิดของเมฆซ้อนสามสี ก็พบว่านี่เป็นก้อนเมฆวิเศษที่ถือกำเนิดขึ้นมาในยุคโลกทิพย์โบราณดั้งเดิม ต่อมาเมื่อโลกแตกออกก็ได้เกิดความเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย หลังจากบรรพชนทิพย์ค้นคว้าลักษณะพิเศษต่างๆ ของมันแล้ว ท้ายที่สุดก็ได้หลอมสมบัติลับชิ้นนี้ขึ้นมาตามลักษณะพิเศษของมัน


เมื่อซื้ออาวุธชิ้นนี้…


บรรพชนทิพย์ได้ให้คนส่งเมฆซ้อนสามสีมาให้ แล้วบรรพชนเทียนอวี๋ก็รับไว้ด้วยตนเอง จากนั้นจึงได้มอบให้ตงป๋อเสวี่ยอิงเงียบๆ


เห็นได้ชัดว่าสมบัติลับชิ้นนี้ตกอยู่ในมือตงป๋อเสวี่ยอิงก็ต้องรักษาความลับ มีเพียงบรรพชนเทียนอวี๋และบรรพชนทิพย์เท่านั้นที่ล่วงรู้


“เมฆซ้อนสามสี” ตงป๋อเสวี่ยอิงถือก้อนเมฆสีขาวอ่อนนุ่มเอาไว้ในมือ หากก้อนเมฆสีขาวนี้แหวกออก ก็จะมองเห็นชั้นเมฆสีฟ้าและสีทองภายใน สีขาว สีฟ้า สีทอง…นี่ก็คือสามสี


“สมบัติลับชิ้นนี้เหมาะที่จะเป็นอาภรณ์ที่สุด” ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะรองนั่งดิ้นเงินภายในห้องเงียบ แล้วเริ่มหลอมแปรเงียบๆ ด้วยความอดทน การใช้งานสมบัติลับนั้นซับซ้อนมาก เช่นหากค้นคว้าสมบัติลับบางอย่างได้ไม่กระจ่าง ก็อาจไม่สามารถใช้งานได้ เคราะห์ดีที่เมฆซ้อนสามสีเป็นสิ่งที่บรรพชนทิพย์หลอมขึ้น ตงป๋อเสวี่ยอิงซื้อมาจากบรรพชนทิพย์ จึงย่อมรู้วิธีหลอมแปรโดยละเอียดเป็นธรรมดา


วิธีหลอมแปรนั้นไม่ยาก เพียงแต่ต้องใช้เวลา ค่อยๆ บ่มเพาะแล้วหลอมแปร


ระหว่างขั้นตอนการหลอมแปร ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีศิลาปฐมโลกาหลายก้อนปรากฏขึ้นในมือบ้างเป็นบางครั้ง  ก่อนจะขว้างเข้าไปในปากทันที เขาอ้าปากออก ศิลาปฐมโลกาก็หดเล็กลงแล้วลอยตรงเข้าไปในปากและกลืนลงท้องไปราวกับกินขนมบางชนิดอย่างไรอย่างนั้น จากนั้นก็โยนเข้าไปอีกหลายก้อน เพราะถึงอย่างไรวิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงก็แข็งแกร่งกว่าอวี๋จิ้งชิวในตอนนั้นมากมายยิ่งนัก ศิลาปฐมโลกาไม่มีแรงกดดันสำหรับเขา


หากเขาอยากทำ เมื่อกินลงไปครั้งเดียวกว่าพันก้อนก็จะสามารถต้านทานได้


ทว่าเขาอยากจะสัมผัสความเปลี่ยนแปลงอันเล็กน้อยของวิญญาณของตน


“ไม่เสียทีที่เป็นศิลาปฐมโลกา ว่ากันว่าเป็นพลังต้นกำเนิดของโลกทิพย์โบราณดั้งเดิม” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ โลกทิพย์โบราณดั้งเดิมในตอนนั้นก็เทียบเท่ากับอากาศอันสับสนอลหม่านในตอนนี้ พลังต้นกำเนิดนี้มีการยกระดับวิญญาณอย่างรอบด้าน


บางทีการสังหารฝูงมารผลาญทำลายอาจจะให้ผลดีกว่า


แต่ศิลาปฐมโลกาหนึ่งแสนก้อน จะต้องสังหารฝูงมารผลาญทำลายมากเท่าใดกัน ต้องรู้เอาไว้ว่า ฝูงมารผลาญทำลายก็เจ้าเล่ห์เป็นอันมาก ไม่มีทางเอาชีวิตมามอบให้ง่ายๆ ต่อให้เป็นสิ่งมีชีวิตขั้นอลวนระดับชั้นที่เก้า พลังงานพิเศษที่ดูดซับจากการสังหารตลอดคืนวันอันยาวนานนั้น สามารถเทียบได้กับศิลาปฐมโลกาสองสามหมื่นก้อนก็ไม่เลวแล้ว


ผ่านไปวันแล้ววันเล่า


วิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงเปลี่ยนแปลงไปทุกวัน มันแข็งแกร่งยิ่งขึ้น แม้แต่การรับรู้ก็ยังรวดเร็วขึ้นบ้าง


เพียงพริบตาเดียวก็ผ่านไปสิบเก้าปีแล้ว


แม้ตงป๋อเสวี่ยอิงจะไม่รีบร้อนใช้ศิลาปฐมโลกา แต่กลับกินทั้งหนึ่งแสนก้อนลงไปจนหมด ก็พอดีกับที่ ‘เมฆซ้อนสามสี’ บ่มเพาะจนหมดแล้วหลอมแปรขึ้นมาได้สำเร็จ


“รู้สึกว่าดีนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าสิบเก้าปีนี้ช่างเป็นการดื่มด่ำชนิดหนึ่งจริงๆ ความรู้สึกที่ได้ดูดซึมนี่ช่างงดงามยิ่งนัก


“กินศิลาปฐมโลกาลงไปหนึ่งแสนก้อน วิญญาณก็เพิ่มขึ้นสามส่วน” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบปีติยินดี


ดูเหมือนจะไม่มาก


แต่อันที่จริงนั้นเพิ่มขึ้นมาถึงสามขั้นจากพื้นฐานเดิม เพราะถึงอย่างไรหลังจากฝึกฝนเคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดเก้าแปร วิญญาณก็บรรลุถึงขั้นที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งแล้ว คิดจะยกระดับอีกสักเล็กน้อยก็ยากมาก ในภายหน้าต่อให้สำเร็จเป็นเทพจักรวาล ก็คงมิได้ยกระดับมากมายเกินจริง ดังนั้นสามารถยกระดับได้สามส่วน ตงป๋อเสวี่ยอิงก็พึงพอใจมากแล้ว


“เมฆซ้อนสามสี…” ตงป๋อเสวี่ยอิงกำหนดจิตคราหนึ่ง


ฟิ้ว


ก้อนเมฆสีขาวอันอ่อนนุ่มเคลื่อนตัวแล้วแผ่ขยายออกไปทั่วผิวกายของตงป๋อเสวี่ยอิง กลายเป็นอาภรณ์สีขาวราวหิมะที่หนามากชุดหนึ่ง อาภรณ์ขาวพิสุทธิ์ดุจหิมะ เพราะถึงอย่างไรมันก็ก่อตัวขึ้นจากก้อนเมฆสมบัติลับนั่นเอง


“หนามาก และยังรักษาความอบอุ่นไว้ได้ด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม เขาสวมเสื้อสีขาวราวหิมะอันหนานุ่มไว้บนกายก็รู้สึกสบายนัก “ตามที่ท่านบรรพชนบอก เมื่อมีสมบัติลับนี้ ร่างกายของข้าก็มีคุณสมบัติด้านการป้องกันพอที่จจัดอยู่ในสิบอันดับแรกของขั้นอลวนได้แล้วกระมัง”


เพราะถึงอย่างไรจะมีขั้นอลวนสักกี่คนกันที่ทำใจจ่ายศิลาปฐมโลกาแปดหมื่นก้อนได้ ลำพังแค่สมบัติลับคุ้มกายชิ้นหนึ่งน่ะหรือ


สำหรับตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว นี่ไม่นับว่าเป็นอะไรเลย เป้าหมายจับจ้องอยู่ที่จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ ก่อนหน้านี้เขาก็ย่อมต้องระมัดระวังยิ่งกว่านี้มิให้พลาดพลั้งไปเสียก่อน เมื่อมีศิลาปฐมโลกาแน่นอนว่าก็ต้องรีบใช้ หากในภายหน้าตนสำเร็จเป็นเทพจักรวาล เชื่อว่าจะสามารถหาศิลาปฐมโลกาได้เพิ่มมากขึ้น หากไม่สำเร็จเป็นเทพจักรวาล…สมบัติลับนี้ก็ย่อมคุ้มค่า


“ควรไปยังชายขอบของห้วงอากาศได้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงกำหนดจิตคราหนึ่ง


ฟิ้ว


ร่างแปรร่างหนึ่งรวมตัวขึ้นด้านข้าง


ตามปกติแล้วร่างแปรของเขาร่างนี้จะรับผิดชอบเรื่องจิปาถะต่างๆ ภายในวังทวีสูญ อย่างการชี้แนะศิษย์ หรือการเข้าประชุมสำคัญต่างๆ ในวังทวีสูญ ขอเพียงมิใช่การต่อสู้ก็พอ เรื่องปกติทั่วไปนั้นเผาผลาญพลังจิตน้อยมาก หากไม่มีเรื่องสำคัญ ร่างแปรก็สามารถเข้าสู่ห้วงนิทราได้ การเผาผลาญนั้นต่ำเสียจนสามารถมองข้ามไปได้เลยทีเดียว


“ไป”


อากาศข้างห้องเงียบบิดเบี้ยวทันที ตงป๋อเสวี่ยอิงที่สวมอาภรณ์สีขาวราวหิมะหนาเตอะสาวเท้าออกไปก้าวหนึ่งก็เข้าไปในนั้น ก่อนจะหายวับไป


 …………………………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)