Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 31 ตอนที่ 4-7
ตอนที่ 4 พวกจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต
โดย
Ink Stone_Fantasy
จักรวาลภูมิลำเนา
ทะเลหมอกดำ จวนจ้าวตงป๋อ
“สวบ” มิติกลางห้วงอากาศบิดเบี้ยว ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินออกมาจากในนั้น เขากวาดสายตาคราหนึ่งก็เห็นหญิงสาวในอาภรณ์สีฟ้าเข้มยืนอยู่ที่ริมทะเลสาบไกลๆ ด้วยพลังยุทธ์ของเขาก็ย่อมสามารถมองออกได้อย่างง่ายดายว่าภรรยาของตนเหยียบย่างเข้าสู่ระดับผู้ปกครองเทพแท้แล้ว นี่ก็อยู่ในความคาดหมาย ถึงอย่างไรก็มีตำราที่ตนมอบให้ ทั้งยังบริโภควัตถุที่ช่วยส่งเสริมการบำเพ็ญที่ทำให้ขั้นอลวนที่อ่อนแอต้องเทหมดหน้าตักจึงจะซื้อมาได้ไปอีกด้วย ยังเป็นเพียงแค่ผู้ปกครองเทพแท้เท่านั้น ถ้าหากแพร่ออกไปแล้วเกรงว่าคงจะพากันรู้สึกว่ายกระดับได้น้อยนิดเหลือเกิน
อวี๋จิ้งชิวสัมผัสได้ถึงระลอกคลื่น นางหันหน้าไปมองแล้วก็อดเผยสีหน้ายินดีมิได้ “เสวี่ยอิง”
“จิ้งชิว” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เดินไปพลางพูดยิ้มๆ “ไม่เลวเลยนะ ไปถึงระดับผู้ปกครองแล้ว”
“ดูเหมือนจะอยู่ในสถานะการบำเพ็ญที่ดียิ่งกว่าการตระหนักรู้อยู่ตลอดเวลา ทั้งยังบำเพ็ญมาถึงสองร้อยล้านปีเต็มๆ แล้ว ตัวข้าเองก็ยังรู้สึกว่าเป็นผู้ปกครองก็ยังมิอาจนับเป็นอะไรได้เลย” อวี๋จิ้งชิวเอ่ยอย่างอดมิได้ “ใช่แล้ว เสวี่ยอิง ตอนนี้เจ้าบอกข้าได้แล้วว่าที่แท้แล้วเป็นสมบัติล้ำค่าอันใดจึงได้น่าอัศจรรย์เช่นนั้น”
อวี๋จิ้งชิวในยามนี้ย่อมมิได้สังเกตเลยว่าพลังยุทธ์ของสามีที่อยู่ตรงหน้ายกระดับขึ้นอย่างใหญ่หลวงแล้ว ถึงอย่างไรคนทั้งสองก็แตกต่างกันมากเหลือเกิน ตงป๋อเสวี่ยอิงเก็บซ่อนกลิ่นอายเอาไว้ อวี๋จิ้งชิวก็ไม่มีทางสัมผัสรับรู้ได้เลย
“เป็นหัวใจหลิวเมฆาแดง” คราวนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้ปิดบัง ทั้งยังอธิบายอย่างละเอียด แม้กระทั่งเรื่องโถงตำหนักที่สร้างขึ้นเพื่อการบำเพ็ญโดยเฉพาะก็ยังเล่าให้ฟังด้วย
อวี๋จิ้งชิวเบิ่งตากว้าง อับจนคำพูด “นี่… นี่…แทบจะสามารถซื้อสิ่งมีชีวิตที่เทียบเคียงได้กับสุนัขเทพสีดำตัวนั้นเชียวหรือ”
หมาไนสีดำ…
พลานุภาพที่สำแดงออกมาในตอนนั้น อวี๋จิ้งชิวก็ล่วงรู้ แม้กระทั่งในภายหลังก็เคยได้ยินตงป๋อเสวี่ยอิงพูด ได้รู้ว่านั่นคือหุ่นเชิดที่ไปถึงขั้นอลวนซึ่งมีมูลค่าสูงกว่าการสร้างจักรวาลสักแห่งหนึ่งเสียอีก
“มันมีพลังยุทธ์ระดับต่ำสุดของขั้นอลวน มีค่ายกลของสถานที่แรกเริ่มส่งเสริม จึงแข็งแกร่งอยู่พอสมควร” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
“ขั้นอลวน…” อวี๋จิ้งชิวรู้สึกพรั่นพรึงเช่นเคย นางคาดการณ์ได้ว่าสมบัติล้ำค่าที่ใช้ไปนั้นช่างน่าอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง แต่มูลค่าสูงส่งถึงเพียงนี้ก็ยังคงทำให้นางพรั่นพรึง นางอดพูดมิได้ว่า “เสวี่ยอิง ล้ำค่าถึงเพียงนั้น กว่าเจ้าซึ่งเป็นเพียงขั้นรวมเป็นหนึ่งจะได้พวกมันมาจะต้องมิใช่เรื่องง่ายแน่”
ตงป๋อเสวี่ยอิงแย้มยิ้ม “ตอนนี้ข้าเป็นขั้นอลวนแล้วล่ะ”
อวี๋จิ้งชิวมองสามีอย่างตกตะลึง
“ฮ่าฮ่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวเราะเสียแล้ว
อวี๋จิ้งชิวมิได้พูดอะไรมาก เพียงแค่กอดสามีเอาไว้
แต่ในใจของนางกลับเข้าใจว่าถึงแม้ตอนนี้สามีจะไปถึงขั้นอลวน แต่ตอนนั้นก็ยังเป็นเพียงแค่ขั้นรวมเป็นหนึ่งเท่านั้น การจะได้สมบัติล้ำค่าที่ขั้นอลวนปกติธรรมดาต่างก็แทบจะต้องสละสมบัติล้ำค่าทั้งเนื้อทั้งตัวจึงจะสามารถซื้อมาได้นั้น เกรงว่าคงต้องเผชิญอันตรายตั้งไม่รู้มากมายเท่าใด
“ทั้งหมดล้วนคุ้มค่าทั้งสิ้น” ทว่าในใจของตงป๋อเสวี่ยอิงกลับสงบและอบอุ่นยิ่ง ตอนนั้นไปจากจักรวาลภูมิลำเนาตามลำพัง เพิ่งเป็นแค่ผู้ปกครองเทพแท้ก็ไปล่องลอยอยู่กลางอากาศอันสับสนอลหม่าน… หรือแม้กระทั่งประสบกับภยันตรายหลายครั้ง แต่เคราะห์ดีที่เขาโชคดี!
……
หลังจากอวี๋จิ้งชิวออกจากการปลีกวิเวก ตนเองก็บรรลุไปถึงขั้นอลวน ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เข้าใจว่าการที่ตนสำแดงการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นภายในวังทวีสูญนั้น เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าวังทวีสูญจะค้นพบเข้าแล้ว! แต่นี่ก็เป็นสิ่งที่ตนทำอย่างเปิดเผย ไปถึงขั้นอลวนแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังอีกแล้ว ที่มหาโลกทิพย์ทั้งห้าแห่งอากาศอันสับสนอลหม่าน ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนที่เชี่ยวชาญการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นนั้นก็มีอยู่พอสมควร
“ท่านอาจารย์ ยังมีประมุขหยวนชู พวกท่านทั้งสองต่างก็เป็นระดับขั้นเทพอากาศ บำเพ็ญภายในจักรวาล อาศัยเพียงแค่ตำราที่ข้าเขียนขึ้นเหล่านั้นก็มิได้ช่วยเหลือมากสักเท่าใดนัก แต่ก็วางแผนจะไปยังวังทวีสูญอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงถามจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตและประมุขหยวนชู
ก่อนหน้านี้ก็มิได้ทำมาโดยตลอด
ก็เพื่อซ่อนเร้นการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้น
“แน่นอน” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตสองตาเปล่งประกาย
“อืม” ประมุขหยวนชูก็คาดหวังเป็นอย่างยิ่ง
พวกเขาสองคนต่างก็เต็มไปด้วยความปรารถนาต่อดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทางสายความเร้นลับของกฎเกณฑ์ ‘วังทวีสูญ’ ในตำนานอยู่แล้ว
“ไป”
ตงป๋อเสวี่ยอิงทิ้งร่างแปรร่างหนึ่งเอาไว้ที่บ้านเกิด จากนั้นร่างจริงก็พาจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตและประมุขหยวนชูมุ่งหน้าไปยังวังทวีสูญ,วังทวีสูญก็ให้ความสำคัญกับจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตและประมุขหยวนชูเป็นอย่างยิ่ง! เพราะว่าจักรวาลแห่งนี้… จอมกระบี่ที่ถือกำเนิดขึ้นก่อนหน้านี้ช่างเลิศล้ำเหลือเกิน ตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็นับได้ว่าเปล่งประกายจับตาเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นพวกเขาจึงได้ค่อนข้างให้ความสำคัญกับพวกจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตทั้งสองคน ทั้งยังบ่มเพาะอย่างตั้งใจ พวกจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตไปถึงที่นั่นแล้วจะต้องดื่มด่ำอย่างสมบูรณ์แบบ ให้พวกเขาได้อ่านตำราจำนวนนับไม่ถ้วน แม้กระทั่งตำราของทางด้านระบบทิพย์ก็มีอยู่เป็นจำนวนมากเช่นกัน
……
ณ จักรวาลภูมิลำเนา
ภายในห้องหนังสือ
ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ดำนั่งอยู่หน้าโต๊ะหนังสือ เริ่มต้นเขียนตำราเล่มแล้วเล่มเล่า ล้วนเป็นตำราที่ชี้แนะสู่ ‘เทพอากาศ’โดยตรง ด้วยระดับขั้นของเขาแล้ว การเขียนตำราพื้นฐานเหล่านี้ยังเป็นสิ่งที่ง่ายดายอย่างยิ่ง ขอเพียงแค่เขาเชี่ยวชาญเพียงแค่ไม่กี่ด้านนั้นเท่านั้น ดังนั้นเมื่อเทียบกันแล้วตำราก็ยังไม่ค่อยสมบูรณ์นัก
“เสวี่ยอิง” อวี๋จิ้งชิวเดินเข้ามา
“จิ้งชิว” ตงป๋อเสวี่ยอิงวางปากกาในมือลง
“ก่อนหน้านี้เจ้าพูดกับภายนอกอย่างเปิดเผยว่าไปถึงระดับขั้นเทพอากาศแล้ว ถึงขนาดที่ส่งพวกเขาไปยังวังทวีสูญ ท่านได้วางแผนจะให้พวกอวี้เอ๋อร์กับชิงเหยา รวมถึงบรรดาลูกศิษย์เหล่านั้นของท่านไปถึงขั้นเทพอากาศก่อนแล้วจึงค่อยส่งไปอย่างนั้นหรือ” อวี๋จิ้งชิวถาม
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า “อืม อันที่จริงมหาโลกทิพย์ทั้งห้าแห่งอากาศอันสับสนอลหม่านนั้น ต่อให้เป็นภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็มิได้ปลอดภัยอย่างที่เจ้าคิดหรอกนะ”
เขาอดที่จะนึกถึงท่านอาจารย์กู่ฉีขึ้นมาไม่ได้ นั่นก็เป็นเทพจักรวาลเช่นกัน ทั้งยังมีบรรพชนทิพย์ช่วยคุ้มครองอีกด้วย…
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์สังหารท่านอาจารย์โดยไม่เสียดายสิ่งใด นอกจากนี้อ้างอิงจากสิ่งที่ตนรู้ จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ทำถึงขนาดนี้เพียงเพื่อระบายความโกรธเท่านั้น เห็นได้ชัดว่ายิ่งหมดความอดทนมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะก่อให้เกิดสงครามขึ้นมาอีกครั้งเมื่อใดก็ได้! เมื่อใดที่สงครามเริ่มต้นขึ้น การที่โลกทิพย์แตกสลาย และการตายตกของเทพจักรวาลล้วนเป็นสิ่งที่พบเห็นได้บ่อย ดังนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงจึงไม่รีบร้อนที่จะส่งบรรดาเด็กรุ่นหลังไป
“นอกจากนี้ที่จักรวาลภูมิลำเนายังขาดแคลนตำรา การขัดเกลาก็มีน้อย ผู้ที่สามารถประลองในระดับขั้นเดียวกันกับพวกเขาได้นั้นก็มีน้อย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ “ถึงแม้ว่าสภาพแวดล้อมในการบำเพ็ญจะย่ำแย่กว่าภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างมาก แต่นี่กลับเป็นโอกาสในการขัดเกลาตนเอง”
ขัดเกลาภายใต้สภาพแวดล้อมอันย่ำแย่
ขัดเกลาเนิ่นนานเพียงพอแล้ว อนาคตในภายภาคหน้าอาจยิ่งสูงส่งขึ้น แน่นอนว่ายังมีความเป็นไปได้อยู่อีกอย่างหนึ่ง… ก็คือขัดเกลานานเกินไปจนตนเองสูญสิ้นจิตใจที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง เหล่าเทพแท้ของจักรวาลภูมิลำเนาจำนวนมากที่ปลีกตัวสันโดษก็เป็นเช่นนี้เอง ต่างก็สูญเสียความมั่นใจกันไปหมดแล้ว ต่อให้ตอนนี้รู้จักวังทวีสูญ ก็ยากที่จะเปลี่ยนแปลงจิตใจอย่างสมบูรณ์แล้ว
แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงจะชี้แนะบุตรชายบุตรสาวและลูกศิษย์ของตนไปตลอด ให้พวกเขาเข้าใจว่าในด้านการบำเพ็ญในวังทวีสูญนั้นดีกว่ามาก ทำให้พวกเขารักษาจิตวิญญาณการต่อสู้เอาไว้ตลอดไป
“ให้พวกเขาบำเพ็ญเป็นอย่างดีอยู่ภายในจักรวาลภูมิลำเนา รอให้ถึงเวลาที่ยุคจักรวาลนี้ใกล้สิ้นสุด ข้าก็จะส่งพวกเขาทั้งหมดจากไปเอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
“เชื่อเจ้าก็แล้วกัน” หลังจากที่อวี๋จิ้งชิวได้รู้แผนของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ย่อมต้องเห็นด้วยอยู่แล้ว
……
ตอนนี้เป็นขั้นอลวน ร่างแปรร่างหนึ่งอย่าง ‘ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ดำ’ ก็ย่อมสามารถรั้งอยู่ที่จักรวาลภูมิลำเนาในระยะยาวได้อยู่แล้ว ส่วนร่างจริงก็บำเพ็ญอยู่ภายในวังทวีสูญ
เขาก็ออกมาจากการปลีกวิเวกเป็นครั้งคราวเพื่อพบปะกับท่านอาจารย์จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตและประมุขหยวนชู ทั้งยังสามารถชี้แนะสิงหั่วสวินอีผู้เป็นลูกศิษย์ได้ด้วย
เมื่อจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตมาถึงยังวังทวีสูญ พลิกอ่านตำราจำนวนมหาศาลที่ตำหนักหมื่นรูป สามร้อยล้านปีให้หลังก็เหยียบย่างเข้าสู่ขั้นรวมเป็นหนึ่ง เมื่อเหยียบย่างไปถึงแล้วก็มีพลังยุทธ์ระดับชั้นที่สามของเจดีย์ดาว แต่อย่างไรก็ตาม รอจนระยะเวลาหมื่นล้านปีอันเนิ่นนานผา่นพ้นไป จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตก็ยังคงเป็นเพียงระดับชั้นที่สี่ของเจดีย์ดาวขั้นสุดยอดเท่านั้น ยังห่างชั้นกับ ‘พลังยุทธ์ชั้นที่ห้า’ อยู่อีกก้าวหนึ่ง! ยามที่เขาบำเพ็ญนั้นก็บำเพ็ญทางสายระบบทิพย์ควบคู่ไปด้วย จนกระทั่งพรสวรรค์ทางด้านระบบทิพย์ของเขาสูงกว่าทางด้านความเร้นลับของกฎเกณฑ์อยู่พอสมควร
เมื่อถึงเวลาหมื่นล้านปีที่กำหนด ไม่ต้องรั้งอยู่ในวังทวีสูญอีกต่อไป จำเป็นจะต้องไปจากวังทวีสูญ ไปรับหน้าที่ผู้อาวุโสตำหนักนอก สำหรับประมุขหยวนชูนั้นน่ะหรือ ก็ยังคงเป็นเพียงแค่ขั้นกำเนิดเช่นเดิม ถึงแม้ว่าระยะเวลาหมื่นล้านปีนี้ ‘ผางอี’ ‘ผู้ครองชิง’ และ ‘จ้าวอเวจี’ พวกเขาสามคนต่างก็เหยียบย่างเข้าสู่ระดับขั้นเทพอากาศไปตามๆ กัน ถูกตงป๋อเสวี่ยอิงส่งตัวมา ทว่าแต่ละคนต่างก็ค้างอยู่ที่ขั้นกำเนิดเป็นการชั่วคราว การบรรลุทางด้านความเร้นลับของกฎเกณฑ์เดิมทีก็ยากเย็นเป็นอย่างยิ่งอยู่แล้ว
จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตยืนอยู่กลางเวหาพลางมองดูวังทวีสูญแห่งนี้อยู่ไกลๆ ปราดหนึ่ง ทั้งยังมองคูหาของตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ไกลออกไปปราดหนึ่งด้วย เขามิได้ไปกล่าวอำลา ตัวเป็นถึงอาจารย์ เขาก็มีความทระนงของเขา เห็นได้ชัดว่ามิได้เหยียบย่างเข้าสู่ชั้นที่ห้าของเจดีย์ดาวภายในหมื่นล้านปี ในใจของจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตก็ยังมีความไม่ยอมจำนนอยู่บ้าง
“ข้าจะต้องกลับมาแน่” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตหมุนกายบินไปทางตำหนักเทพอลวน เขาถูกมอบหมายให้ไปประจำการที่เมืองอลหม่านแห่งหนึ่ง
………………………………….
ตอนที่ 5 ภาพวาดทั้งสี่ของจักรพรรดิเก้าเมฆา
โดย
Ink Stone_Fantasy
ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่ภายในลานบ้านของเรือนพักของตน ดื่มสุราตามลำพังอยู่ที่นั่น ถึงแม้ว่าจะมิได้ไปอำลา แต่เขาก็สัมผัสรับรู้ได้ว่าอาจารย์ไปยังตำหนักเทพอลวนแล้ว
“การบรรลุทางด้านความเร้นลับของกฎเกณฑ์ช่างยากเย็นเสียเหลือเกิน” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ
เมื่อทางด้านความเร้นลับของกฎเกณฑ์สำเร็จถึงขั้นรวมเป็นหนึ่ง โดยทั่วไปต่างก็เป็นก้าวแรกของชั้นที่สามของเจดีย์ดาว! ถึงอย่างไรระดับความยากของการเป็น ‘เทพอากาศ’ นั้นก็สูงยิ่ง ดังเช่นศิษย์อาภรณ์ทองจำนวนมากต่างก็ค้างอยู่ที่จุดคอขวดเป็นระยะเวลาเนิ่นนาน
เหตุผลที่ผางอี ผู้ครองชิง และจ้าวอเวจีต่างก็กลายเป็นเทพอากาศได้นั้น หนึ่งก็คือระยะเวลาในการบำเพ็ญของพวกเขานานพอ สองก็คือพวกเขาต่างก็นับได้ว่ามีพรสวรรค์ในการหยั่งรู้ค่อนข้างสูง แต่ว่าอยากจะไปถึงขั้นรวมเป็นหนึ่งนั้นเห็นได้ชัดว่ามิได้ง่ายดายเช่นนั้นเสียแล้ว ตอนนี้ทั้งจักรวาลภูมิลำเนาในยุคนี้… นอกจากตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วก็มีเพียงแค่จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตที่เหยียบย่างเข้าสู่ขั้นรวมเป็นหนึ่งแล้ว
“ดูเหมือนว่าท่านอาจารย์จะเชี่ยวชาญระบบทิพย์มากกว่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะแล้วก็ยืดกายลุกขึ้นก้าวเข้าไปในห้องเงียบเพื่อบำเพ็ญต่อไปทันที
จักรวาลภูมิลำเนาของพวกเขา
ในประวัติศาสตร์มียุคที่เปล่งประกายปรากฏอยู่สองยุค หนึ่งก็คือยุคของจอมกระบี่ อีกหนึ่งก็คือยุคนี้ของตน ก็สามารถนับได้ว่าค่อนข้างเจิดจรัสทีเดียว! แต่เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วยุคนี้ของตนก็ยังอ่อนแอกว่าอยู่เล็กน้อย ตนเองอ่อนแอกว่าจอมกระบี่เป็นอย่างมาก ท่านอาจารย์จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตก็อ่อนแอกว่าจอมมารอยู่มากเช่นเดียวกัน จอมมารนั้นกลายเป็นขั้นรวมเป็นหนึ่งตอนอยู่ในจักรวาลภูมิลำเนา หลังจากไปถึงวังทวีสูญแล้วก็กวาดผ่านขั้นรวมเป็นหนึ่ง หลังจากนั้นก็กลายเป็นขั้นอลวนแล้ว
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วการหยั่งรู้ของท่านอาจารย์จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตก็อ่อนแอกว่าจอมมารอยู่พอสมควรจริงๆ ส่วนตนเองก็ยังสามารถหาเหตุผลได้บ้าง… ระยะเวลาในการบำเพ็ญสั้น! แต่คิดๆ ดูแล้วจอมกระบี่นั้นสามารถบำเพ็ญไปถึงขั้นอลวนได้ตั้งแต่อยู่ในจักรวาลภูมิลำเนา เมื่อมาถึงวังทวีสูญก็มิได้ล้มเหลวในการขัดเกลาแต่อย่างใด ก็กลายเป็นเทพจักรวาลแล้ว!
ถึงแม้ว่าจะเป็นผู้ล้ำเลิศร้ายกาจขั้นรวมเป็นหนึ่งระดับชั้นที่เจ็ด เมื่อดู ‘จอมกระบี่’ แล้วก็ยังรู้สึกว่าห่างชั้นกันอยู่มากทีเดียว
******
การปลีกวิเวกบำเพ็ญในครั้งนี้ ถึงแม้ว่าจะออกมากลางคันอยู่เป็นระยะๆ หรือแม้กระทั่งเคยไปพลิกอ่านตำราที่ตำหนักหมื่นรูป แต่ระยะเวลาในการบำเพ็ญก็ยังเป็นการบำเพ็ญที่ยาวนานที่สุดเท่าที่เคยมีมา ต่อเนื่องกันนานถึงสามหมื่นล้านปีเศษ
ภายในห้องเงียบ
ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวนั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่น ตลอดร่างบริสุทธิ์ไร้มลทิน ร่างกายของเขาค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นโปร่งแสง โปร่งแสงมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ จนในท้ายที่สุดก็เลือนหายไปโดยสมบูรณ์ ผ่านไปชั่วขณะ บนเบาะรองนั่งดิ้นเงินก็มีตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวกึ่งโปร่งแสงปรากฏขึ้นแล้วค่อยๆ แจ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งกลับคืนสู่ความปกติ
“เคล็ดวิชาภาพวาดทั้งสี่ของจักรพรรดิเก้าเมฆาช่างยากเย็นเกินไปเสียแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงลืมตาขึ้นแล้วขมวดคิ้วพลางส่ายหน้า
จักรพรรดิเก้าเมฆาทิ้งภาพวาดเอาไว้สี่ภาพ สามภาพแรกนั้นเสร็จสมบูรณ์ ส่วนภาพพที่สี่นั้นเป็นภาพที่ยังไม่เสร็จสิ้น
ภาพวาดภาพแรก… ก็ทำให้ตนสำเร็จพื้นฐานของส่วนประกอบห้วงอากาศ จนกระทั่งสามารถสอดแนม ‘โลก’ ระดับขั้นที่สูงขึ้นไปอีกได้ ทำให้ตนนำไปสู่การตระหนักรู้การส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้น
ดังนั้นตลอดระยะเวลาในการบำเพ็ญอันยาวนาน ก็ย่อมสามารถตั้งใจบำเพ็ญวิชาลับผู้ท่องได้ วิชาลับผู้ท่องเป็นสิ่งที่บรรพชนห้วงอากาศคิดค้นขึ้น ใช้พลังของอากาศอันสับสนอลหม่านมาวิวัฒน์ตนเอง แต่อย่างไรก็ตาม เส้นทางที่แตกต่างก็นำไปสู่จุดหมายเพียงหนึ่งเดียว จักรพรรดิเก้าเมฆา ผู้แกร่งกล้าที่สุดในด้านอากาศแห่งยุคโลกทิพย์โบราณดั้งเดิมผู้นี้ ถึงแม้ว่าเส้นทางของเขาจะแตกต่างกับบรรพชนห้วงอากาศอยู่บ้าง แต่การยกระดับของวิชาลับผู้ท่องทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ่งสามารถเข้าใจในศาสตร์ลับสี่ภาพวาดอันลึกลับนั้นได้มากขึ้นอย่างแท้จริง
การบำเพ็ญภาพวาดทั้งสี่ก็มีส่วนช่วยในการหยั่งรู้วิชาลับผู้ท่องเช่นกัน
ตอนนี้
วิชาลับผู้ท่องก็ยกระดับไปถึงชั้นที่สี่สิบหกแล้ว! แต่ชั้นที่สี่สิบเอ็ดจนถึงชั้นที่ห้าสิบนั้นต่างก็เท่ากับขั้นอลวน เมื่อเทียบกันแล้วระดับขั้นก่อนหน้าก็ง่ายกว่า ยิ่งเป็นระดับขั้นท้ายๆ ก็ยิ่งยากขึ้น
“ภาพวาดภาพที่สองและภาพวาดภาพที่สามนี้ช่างยากเสียเหลือเกิน” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะ “บางทีข้าอาจต้องทำให้วิถีผู้ท่องอากาศไปถึงขั้นเทพจักรวาลจึงจะมีหวังที่จะสำเร็จได้กระมัง”
ภาพวาดภาพที่สอง มีเป้าหมายก็คือร่างกาย ‘กลายเป็นอากาศธาตุ’ ร่างกายก็จะยิ่งเชี่ยวชาญ ‘การกลายเป็นอากาศธาตุ’ มากขึ้นเรื่อยๆ ตามพลังยุทธ์ที่ยกระดับขึ้นของผู้ท่องอากาศ สามารถลดทอนการโจมตีของศัตรูลงไปได้เป็นอย่างมาก อ้างอิงจากเป้าหมายของวิถีผู้ท่องอากาศ… จุดสูงสุดของการกลายเป็นอากาศธาตุก็คือร่างกายกลายเป็นรากฐานของอากาศอันสับสนอลหม่านราวกับเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ตนเองกลายเป็นส่วนหนึ่งของอากาศอันสับสนอลหม่าน
มิได้หมายถึงอากาศปกติธรรมดา หากแต่เป็นรากฐานของทั้งอากาศอันสับสนอลหม่าน ก็คือสิ่งมีชีวิตที่เป็นพวก ‘เงามืด’ เหล่านั้น
สงครามของเหล่าผู้แกร่งกล้า จะต่อสู้กันอย่างไร ต่างก็ต้องอยู่ภายในอากาศอันสับสนอลหม่าน มิได้ออกไปจากอากาศอันสับสนอลหม่าน สัมผัส ‘โลกระดับขั้นที่สูงขึ้นอีก’ ดังนั้นพอกลายเป็นอากาศธาตุ สามารถกลายเป็นรากฐานของอากาศอันสับสนอลหม่านราวกับเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เช่นนั้นศัตรูก็ย่อมสังหารตนมิได้อยู่แล้ว!
“แต่ท่านอาจารย์ของข้าก็ยังถูกจอมเทพศักดิ์สิทธิ์สังหาร” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะ “การโจมตีของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์นั้น ต่อให้ตนหลอมรวมกับรากฐานของอากาศอันสับสนอลหม่าน ก็ยังสามารถฉีกทึ้งได้เช่นเดียวกันหรือ”
เป็นถึงผู้แกร่งกล้าที่สุดอย่างจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ พลังยุทธ์เหนือกว่าที่ตนจะสามารถคาดการณ์ได้ รู้เพียงว่าภาพวาดภาพที่สอง และภาพวาดภาพที่สามต่างก็ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ อีกทั้งจักรพรรดิเก้าเมฆาซึ่งเป็นผู้คิดค้นก็ยังถูกทำร้ายอย่างสาหัส แล้วดับสูญไปในท้ายที่สุด
ภาพวาดภาพที่สาม…
เป้าหมายก็คือการควบคุมอากาศ ผู้ท่องอากาศก็เชี่ยวชาญในการควบคุมห้วงอากาศ กระทั่งไปถึงระดับเทพจักรวาล สามารถทำการเคลื่อนย้ายผ่านห้วงอากาศไปยังระยะทางที่ห่างไกลได้เลยทีเดียว! แต่เป้าหมายของภาพวาดภาพที่สามนี้มิใช่เช่นนี้ หากแต่เป็นการไขว่คว้าอนุภาคขนาดเล็กที่สุด ก็จะสามารถควบคุม ‘ทรงกลมหมอกดำ’ ที่ประกอบขึ้นจากเงามืดที่เป็นพื้นฐานที่สุดของอากาศอันสับสนอลหม่าน การจะควบคุมให้พวกมันแยกออกจากกัน ไม่เป็นอุปสรรคอีกต่อไป ทำให้ตนเองสามารถเข้าใจ ‘โลกในระดับที่สูงขึ้น’ ได้อย่างลึกล้ำมากยิ่งขึ้น
“ภาพวาดสองภาพก็หมายถึงสองด้าน การกลายเป็นอากาศธาตุไปถึงขั้นสูงสุด และการควบคุมอากาศไปถึงขั้นสูงสุด” ตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นผู้ท่องอากาศขั้นอลวน แต่ก็ยังบำเพ็ญภาพวาดทั้งสองภาพนี้ไปจนถึงระดับที่ประสบความสำเร็จเล็กน้อย แต่ต้องการจะ ‘ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่’ นั้น เขาถามตนเอง เกรงว่าจะต้องเป็นเทพจักรวาลก่อนจึงจะมีหวัง
ยากนัก!
สำหรับภาพวาดภาพที่สี่นั้น…จักรพรรดิเก้าเมฆาก็ยังมิได้คิดค้นออกมาเลย! เป็นเพียงแค่ภาพวาดที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์เท่านั้น ตนเองก็ยิ่งดูไม่เข้าใจ
ถ้าหากลำพังแค่บำเพ็ญไปถึงวิชาลับผู้ท่องชั้นที่สี่สิบหก ในด้านร่างกายกลายเป็นอากาศธาตุและทางด้านการควบคุมอากาศก็ไม่เทียบเท่าตน ศาสตร์ลับที่ไม่เสร็จสมบูรณ์ของจักรพรรดิเก้าเมฆาศาสตร์นี้ช่างร้ายกาจอย่างแท้จริง
……
“ครืน…”
ประตูศิลาเปิดออก ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินออกมาจากห้องเงียบ พร้อมกันนั้นก็ส่งสารไปให้บรรพชนเทียนอวี๋ “ท่านบรรพชน สามารถเปิดตำหนักที่สิบสามได้แล้วขอรับ”
“ดี” บรรพชนเทียนอวี๋หัวเราะ
ตงป๋อเสวี่ยอิงบรรลุเป็นขั้นอลวน ใช้เวลาสามหมื่นล้านปีเศษในการรวบรวมการยกระดับ ในบรรดาขั้นอลวนจำนวนมากมาย นี่ก็นับได้ว่าสั้นแล้ว
……
“หง่าง… หง่าง… หง่าง… ”
เสียงระฆังของตำหนักทวีสูญดังขึ้น ก้องกังวานไปทั่วทั้งมิติดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทวีสูญ
บรรดาศิษย์จำนวนมากต่างก็เดาออกว่าคราวนี้มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นการฉลองที่ผู้อาวุโสตงป๋อได้เลื่อนเป็น ‘ขั้นอลวน’ การฉลองที่ได้เป็นขั้นอลวนเป็นเพียงแค่สิ่งที่จัดขึ้นเป็นการภายในเท่านั้น ถ้าหากกลายเป็นเทพจักรวาล นั่นก็จะจัดการกันอย่างเอิกเกริก ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แต่ละแห่งต่างก็ต้องส่งผู้แกร่งกล้ามาเข้าร่วมการเฉลิมฉลอง
เพียงไม่นาน ข่าวลือก็แพร่สะพัดออกไป
‘ตำหนักโลกเทียม’ ตำหนักที่สิบสามภายใต้วังทวีสูญ มี ประมุขตำหนักวารีสวรรค์ก็คือตงป๋อเสวี่ยอิง! นอกจากนี้วังทวีสูญได้เริ่มก่อสร้างเมืองอลหม่านแห่งที่สิบสาม…‘เมืองโลกเทียม’ นอกจากนี้ยังจะก่อสร้างคูเมืองที่ต่อเนื่องกับเมืองอลหม่านอื่นๆ นี่เป็นโครงการใหญ่โครงการหนึ่ง เมื่อใดที่ก่อสร้างสำเร็จ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ต้องจัดร่างแปรร่างหนึ่งของตนมารักษาการณ์ที่เมืองโลกเทียม ตามปกติก็ต้องเข้าสู่การจำศีล
ยามที่จำศีลนั้นก็ดูเหมือนว่าจะไม่สิ้นเปลืองพลังจิต
“น้องตงป๋อ ก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้วล่ะนะ”
“พวกเราต่างก็คาดหวังเป็นอย่างยิ่ง เป็นขั้นอลวน บำเพ็ญหลายหมื่นล้านปี น้องตงป๋อก็สามารถมีพลังยุทธ์ได้ถึงเพียงนี้”
“ใช่ๆๆ ให้พวกเราได้เห็นกันหน่อยว่าที่แท้แล้วขั้นรวมเป็นหนึ่งระดับชั้นที่เจ็ดนั้นล้ำเลิศสักเพียงใด”
“ก่อนหน้าเจ้า วังทวีสูญของข้าก็ยังไม่เคยมีขั้นรวมเป็นหนึ่งระดับชั้นที่เจ็ดมาก่อนเลย ได้ยินก็แต่แดนทิพย์เหยากวงและเมืองราชันย์มีดคุยโวอยู่บ่อยๆ”
เหล่าประมุขตำหนักวารีสวรรค์กลุ่มหนึ่งซึ่งส่วนมากล้วนเป็นร่างแปร ทะยานข้ามเวหาไปทางเดียวกับตงป๋อเสวี่ยอิง เหินทะยานไปทางเจดีย์ดาว ร่างจริงของบรรดาประมุขตำหนักวารีสวรรค์เหล่านี้ส่วนมากยังอยู่ที่ชายขอบของห้วงอากาศไม่กล้าจากมา
“วางใจได้ วางใจได้ ข้าต้องพยายามอย่างสุดกำลังแน่” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
“เจ้าลัทธิภาพจิตเป็นขั้นอลวน ปลีกวิเวกหนึ่งแสนสามหมื่นล้านปีก็ได้เป็นชั้นที่แปดขั้นสุดยอด จักรพรรดิจิ้นอี๋แห่งแดนทิพย์เหยากวงก็เจิดจรัสยิ่งกว่า เพียงแค่แปดพันล้านปีเศษเท่านั้นก็ไปถึงชั้นที่แปดขั้นสุดยอดแล้ว ตอนนี้พวกเขาสองคนต่างก็เป็นระดับชั้นที่เก้าของเจดีย์ดาว”
“ใช่ๆ เจ้าก็อย่าได้น้อยหน้าพวกเขาล่ะ”
บรรดาประมุขตำหนักวารีสวรรค์ที่อยู่ข้างๆ ต่างก็พูดขึ้น
“เอาล่ะ ทุกท่าน เช่นนั้นข้าก็ขอเข้าไปก่อนล่ะนะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงห่างออกไปไกลแล้วก็กลายร่างเป็นบำแสงสายหนึ่ง บินตรงเข้าไปในประตูทางเข้าของเจดีย์ดาวอย่างรวดเร็ว
…………………………………………….
ตอนที่ 6 เจดีย์ดาวชั้นที่เก้า
โดย
Ink Stone_Fantasy
ลมหนาวพัดโชย บรรพชนเทียนอวี๋หลับตาพริ้มพลางลิ้มรสสุรา แล้วเผยสีหน้าดื่มด่ำออกมา
“ตาเฒ่าอย่างข้าก็แค่อยากดื่มสุราสักหลายจอก ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายและชี้แนะศิษย์รุ่นหลังออกมาสักหน่อยเท่านั้น แต่เพียงแค่นี้ก็มิอาจเติมเต็มความต้องการของข้าได้ จอมเทพศักดิ์สิทธิ์จะปกครองทั้งอากาศอันสับสนอลหม่าน แล้วให้ข้าเป็นหุ่นเชิดของเขา ภักดีต่อเขาอย่างสิ้นเชิงอย่างนั้นหรือ ช่างฟั่นเฟือนไปแล้วจริงๆ! ฝูงมารผลาญทำลายเหล่านั้นก็ถือกำเนิดขึ้นมาอย่างไม่ขาดสาย สถานการณ์ก็เลวร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ เฮ้อ ปวดหัว ปวดหัวจริงๆ! บรรพชนทิพย์ บรรพชนโลกา ราชันย์มีดและคนอื่นๆ รวมทั้งผู้ที่ลอบวางแผนอย่างลับๆ เหล่านั้น พวกเจ้าก็ฮึดสู้สักหน่อยแล้วกำจัดจอมเทพศักดิ์สิทธิ์นั่นไปเสีย ทุกคนก็จะเป็นอิสระแล้วมิใช่หรือ” บรรพชนเทียนอวี๋ส่ายหน้า
“ทางสายความเร้นลับของกฎเกณฑ์ของข้ามีจอมกระบี่โผล่ขึ้นมาคนหนึ่ง เขาร้ายกาจกว่าข้ามากนัก” บรรพชนเทียนอวี๋เผยสีหน้าปล่อยวางออกมา “ตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นั้นยังเชี่ยวชาญทางด้านการส่งถ่ายระยะไกล สามารถช่วยเหลือทุกสารทิศได้ เพียงพอที่จะช่วยทำการใหญ่ได้แล้ว”
ผู้แกร่งกล้าระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เก้าเหมือนกัน
สามารถส่งถ่ายระยะไกลได้ เช่นนั้นก็จะมีประโยชน์เพิ่มขึ้นมากแล้ว!
เมื่อพบกับอันตราย สามารถหนีเอาชีวิตรอดได้ในพริบตา! แต่หากตนไม่ถนัด เชิญให้ผู้อื่นช่วยส่งถ่าย ก็จะเสียเวลาเพิ่มขึ้นมากทีเดียว
“เจ้าหนุ่มนี่เริ่มบุกฝ่าเจดีย์ดาวแล้ว” บรรพชนเทียนอวี๋หัวเราะฮิฮิพลางดื่มด่ำกับสุรา แล้วมองดูภาพที่ปรากฏขึ้นกลางอากาศตรงหน้า ซึ่งก็คือภาพที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าไปในเจดีย์ดาวชั้นที่แปด
“หวังว่าเขาจะสามารถบรรลุถึงระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เก้าในรวดเดียวได้” บรรพชนเทียนอวี๋พึมพำ จากนั้นเขาเองก็หัวเราะออกมา เขาเข้าใจดีว่า ต่อให้ตงป๋อเสวี่ยอิงเก่งกาจสักเพียงใด เป็นสิ่งมีชีวิตขั้นรวมเป็นหนึ่งระดับชั้นที่เจ็ดซึ่งในภายหน้ามีโอกาสอย่างมากที่จะสำเร็จเป็นระดับชั้นที่เก้า แต่โดยทั่วไปแล้วก็ต้องใช้เวลาสั่งสมหรือเคี่ยวกรำที่นานพอ
“อาจจะมีปาฏิหาริย์ก็ได้นี่นา” บรรพชนเทียนอวี๋พึมพำ ปาฏิหาริย์อย่าง ‘จอมกระบี่’ ที่เก็บตัวอยู่ก็สามารถสำเร็จเป็นเทพจักรวาลได้ก็เคยเกิดขึ้นมาก่อนแล้ว ปาฏิหาริย์ใด บรรพชนเทียนอวี๋ก็สามารถรับได้ทั้งนั้น
ส่วนในภาพตรงหน้า ตงป๋อเสวี่ยอิงได้เริ่มต่อสู้แล้ว
……
ณ มิติเจดีย์ดาวชั้นที่แปด
เวทีการต่อสู้ขนาดมหึมาเหมือนกับเจดีย์ดาวแห่งนั้นของเมืองราชันย์มีด เหนือผิวเวทีมีรอยอักขระจำนวนนับไม่ถ้วนผุดขึ้นมา แสงสีทองรวมตัวกันอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นมารผลาญทำลายเกราะทองตนหนึ่ง นี่คือมารผลาญทำลายที่มีเปียโลหะนับร้อยเส้น ซึ่งบนเปียแต่ละเส้นล้วนทำให้มิติรอบด้านบิดเบี้ยวไปหมด
“ขั้นอลวนแห่งวังทวีสูญ เพิ่งจะบรรลุหรือ ที่ผ่านมาไม่เคยพบเจ้ามาก่อนเลย” มารผลาญทำลายเกราะทองตนนี้มีตาถึงหกข้าง แต่ละแถวมีตาสองข้าง ดวงตาทั้งสามแถวเปล่งประกายสีทองออกมาอยู่ตลอดเวลา
ทันใดนั้นด้านหลังของตงป๋อเสวี่ยอิงพลันมีสัตว์ปีกสีแดงเพลิงขนาดมหึมาตนหนึ่งปรากฏขึ้น มันสยายปีกมหึมาออกมา กระแสอากาศสีแดงสายแล้วสายเล่าแผ่กำจายออกมาแล้วปกคลุมทั่วทั้งเวทีเอาไว้ มารผลาญทำลายเกราะทองตนนี้เริ่มโซซัดโซเซขึ้นมา จากนั้นก็ส่ายหน้าอย่างแรงแล้วดำดิ่งลงไปเป็นครั้งคราว
“คำเล่าลือมิใช่เรื่องเท็จเลย ฝูงมารผลาญทำลาย ในด้านการสกัดกั้นเขตลวง พวกเขาอ่อนแอกว่าผู้บำเพ็ญทั่วไปอยู่บ้าง เคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดของข้าบรรลุถึงขั้นเก้าแปรระดับยอดแล้ว แต่อานุภาพก็เทียบได้กับระดับเจดีย์ดาวชั้นที่แปดเท่านั้น! สำหรับยอดฝีมือระดับเจดีย์ดาวชั้นที่แปดแล้ว ก็ทำได้เพียงส่งผลกระทบต่อพวกเขาเท่านั้น ยังมิอาจใช้จัดการได้จริงๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ
แต่เห็นได้ชัดว่ามารผลาญทำลายตรงหน้าได้รับผลกระทบใหญ่หลวงยิ่งนัก เกรงว่าพลังคงสำแดงออกมาได้เพียงสองส่วนจากสิบส่วนเท่านั้น
“สมควรตาย สมควรตาย” มารผลาญทำลายเกราะทองสะบัดศีรษะครั้งแล้วครั้งเล่า คิดจะครองสติเอาไว้ให้ได้
แต่เคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดนั้นไม่เหมือนกับวิถีโลกเทียม เมื่อผนวกรวมกับกระแสอากาศสีแดงนั้น อานุภาพของมันก็ยิ่งใหญ่ขึ้น ทั้งยังสามารถปกคลุมทั้งโลกเขตลวงได้อย่างต่อเนื่องครั้งแล้วครั้งเล่า
“ลองดู”
เขากำหนดจิตคราหนึ่ง
ดอกตูมสีดำดอกหนึ่งกำเนิดขึ้นจากโลกลวงแล้วร่อนลงมายังโลกจริง ก่อนจะปกคลุมมารผลาญทำลายเกราะทองเอาไว้ ซึ่งก็คือบุปผาผลาญทำลายระดับหกกลีบ มารผลาญทำลายเกราะทองรู้สึกว่าตนถูกดอกตูมสีดำขนาดมหึมาปกคลุมเอาไว้ ขณะพยายามฝืนครองสติไว้ให้ได้นั้นก็ชกออกไปหมัดหนึ่ง ตู้ม มันกระทบลงบนดอกตูมสีดำ ดอกตูมก็เบ่งบานออกพร้อมกันแล้วเริ่มทำลายล้าง
ตู้มมม…อานุภาพทำลายล้างทำให้ผิวของมารผลาญทำลายเกราะทองถูกเชือดเฉือนออกจนเกิดบาดแผลใหญ่
“สามารถทำให้เขาบาดเจ็บได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดอย่างครุ่นคิด “ทว่าจะคว้าชัย ลำพังแค่บุปผาผลาญทำลายหกกลีบดอกเดียวก็เกรงว่าคงจะต้องสำแดงออกมาหลายครั้ง”
“ไม่เสียเวลาแล้วดีกว่า”
“สามดอก!”
ตงป๋อเสวี่ยอิงลองดู
บุปผาผลาญทำลาย ‘ขั้นหกกลีบ’ สามดอก ทำให้มารผลาญทำลายเกราะทองตนนี้บาดเจ็บสาหัสอย่างแท้จริง เกราะสีทองบนร่างกายแทบจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เผยให้เห็นบาดแผลอัปลักษณ์อันทารุณ ทว่าเปียโลหะกว่าร้อยเส้นของมันกลับหลอมรวมเข้าไปในกายอย่างบ้าคลั่ง ทำให้ร่างกายฝืนต้านทานเอาไว้ได้ นอกจากนี้แสงสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนเหนือผิวกายของเขาก็กระเพื่อมไหว และกำลังฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว
“หกดอก”
ตู้มมมม…
บุปผาผลาญทำลายขั้นหกกลีบหกดอกซ้อนทับกัน ดอกไม้ดอกใหญ่ห่อหุ้มดอกไม้ดอกเล็กเอาไว้ ท้ายที่สุดก็ปะทุออกมาอย่างเต็มที่ ร่างของมารผลาญทำลายเกราะทองถูกกระแทกเสียจนเหลือเพียงเปียโลหะไม่กี่เส้นที่ห่อหุ้มโครงกระดูกเอาไว้ แต่จากนั้นแสงสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนก็พุ่งออกมาแล้วฟื้นตัวอีกครั้ง ทว่าตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไม่รีบร้อน ปล่อยให้มันฟื้นตัวต่อไปอย่างต่อเนื่อง กระทั่งฟื้นตัวจนสมบูรณ์ดี
“เก้าดอก!”
ภายใต้บุปผาผลาญทำลายขั้นหกกลีบถึงเก้าดอกที่ทับซ้อนกันอานุภาพก็น่าหวาดหวั่นมากอย่างแท้จริง หากกล่าวว่าหนึ่งดอกเพียงแค่ทำให้มารผลาญทำลายเกราะทองบาดเจ็บได้ เช่นนั้นเก้าดอก…ก็ทำให้มารผลาญทำลายเกราะทองตนนี้ยากที่จะทนรับได้แล้ว เปียโลหะอันแข็งแกร่งทนทานนั้นกลับแหลกสลายกลายเป็นผุยผงไปจนสิ้นตามการเคลื่อนไหวของการทำลายล้าง ครั้งนี้แสงสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนทะลุงลงไปเบื้องล่างเวทีเลยทีเดียว
เห็นได้ชัดว่าคว้าชัยได้แล้ว!
“เก้าดอกก็แทบจะเอาชนะได้ในกระบวนท่าเดียวเลยหรือนี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าน้อยๆ
……
บรรพชนเทียนอวี๋มองดูภาพการต่อสู้ เขาพยักหน้าน้อยๆ แล้วเผยรอยยิ้มออกมา “กระบวนท่าบุปผาที่ตงป๋อคิดค้นขึ้นมานี้ขยายออกไปเป็นกระบวนท่าที่แข็งแกร่งกว่าแล้วจริงๆ เก้าดอกร่วมแรงกัน ก็พอจะนับได้ว่าเป็นชั้นที่แปดระดับยอดแล้ว ตอนนี้ก็ต้องดูชั้นที่เก้าแล้ว…”
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงเงยหน้ามองน้ำวนขนาดมหึมาที่ปรากฏขึ้นกลางฟากฟ้า จากนั้นเขาก็กลายเป็นลำแสงแล้วทะยานขึ้นสู่ฟ้า ก่อนจะแทรกเข้าไปในน้ำวนขนาดมหึมานั้นและมาถึงชั้นสุดท้ายของเจดีย์ดาว…ชั้นที่เก้านั่นเอง!
เบื้องหน้าคือตำหนักเทพแห่งหนึ่ง
ภายในตำหนักเทพมีบัลลังก์อยู่แห่งหนึ่งซึ่งมีรูปสลักหนึ่งนั่งอยู่ มีรูปสลักถึงแปดอันขนาบอยู่สองข้าง แต่ละตนล้วนมีรูปร่างเป็นฝูงมารผลาญทำลาย เพียงแต่เป็นรูปสลักสีเทาอันเลือนรางเท่านั้น มิได้มีกลิ่นอายอันใด
รูปสลักบนบัลลังก์มองผ่านประตูตำหนักเทพออกไปด้านนอก เมื่อมองไปก็เห็นตงป๋อเสวี่ยอิงที่ยืนอยู่กลางจัตุรัส
“ฆ่ามัน!”
เสียงอันไร้รูปร่างสายหนึ่งสะท้อนก้องไปทั่วทั้งบริเวณฟ้าดินของชั้นที่เก้า เหมือนกับจะส่งออกไปจากรูปสลัก แต่ก็เหมือนกับแพร่ออกมาจากกลางฟ้าดิน
ฟิ้วๆๆ…
รอยอักขระจำนวนนับไม่ถ้วนเหนือพื้นเริ่มมีแสงสีทองปรากฏขึ้น สีทองจำนวนมากรวมตัวกันจุดแล้วจุดเล่า การรวมตัวกันในแต่ละจุดล้วนก่อตัวขึ้นมาเป็นมารผลาญทำลายเกราะทองตนหนึ่ง ทั้งหมดมีมารผลาญทำลายเกราะทองถือกำเนิดขึ้นเก้าตน ลักษณะของพวกเขาแตกต่างกันไป บ้างก็สูงใหญ่ บ้างก็ผอมเล็ก บ้างก็ตัวเล็กน่ารัก บางคนเหมือนร่างอยู่ในเงามืด
ทว่ากลิ่นอายของพวกเขา โดยทั่วไปก็แข็งแกร่งกว่ามารเกราะทองที่พบในชั้นที่แปดตนนั้นอยู่บ้าง
“มีแต่ต้องสังหารพวกเขาให้หมดเกลี้ยจึงจะถือว่าบรรลุระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เก้าได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจดีว่าศัตรูตรงหน้านั้นยากจะรับมือ หากสามารถสังหารพวกเขาให้หมดเกลี้ยงได้ ก็แสดงว่าพลังการต่อสู้ของตนนั้นบรรลุถึงระดับเทพจักรวาลแล้ว แม้จะอ่อนแอกว่าเทพจักรวาลไม่ว่าหน้าไหน แต่ดีร้ายอย่างไรก็เพียงพอให้ก้าวข้ามระดับนั้นมาได้แล้ว
“ต้องทุ่มสุดตัวแล้ว” นัยน์ตาของตงป๋อเสวี่ยอิงร้อนระอุขึ้นมา ก่อนหน้านี้เขาสามารถจัดการชั้นที่แปดได้สบายๆ แต่ชั้นนี้เขาจะประมาทมิได้เลยแม้แต่น้อย
“มีผู้ที่มาบุกฝ่าชั้นที่เก้าด้วยหรือนี่ วังทวีสูญมีเจ้าหนุ่มที่ร้ายกาจเพิ่มขึ้นมาอีกคนแล้ว”
“ลงมือ”
“ฆ่าเขาเสีย”
มารผลาญทำลายเกราะทองเก้าตนเคลื่อนไหวพร้อมกัน
ฟิ้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เคลื่อนไหวแล้วเช่นกัน ทันทีที่เขาขยับก็หายวับไปก่อนจะปรากฏขึ้นบนเวที แล้วสำแดงพลังด้านอากาศที่น่าหวาดหวั่นที่สุดของเขาในตอนนี้ออกมา
…………………………………
ตอนที่ 7 สถานการณ์ล้างผลาญ
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ตั้ง!” มารผลาญทำลายรูปร่างผอมเล็กตนหนึ่งกล่าว ตาเดี่ยวตรงหว่างคิ้วเปล่งแสงเรืองรองออกมาแล้วสาดสะท้อนไปทั่วทั้งเวทีการต่อสู้ มิติทั่วทั้งเวทีราวกับโคลนเลน เมื่อมองด้วยตาเปล่าก็สามารถเห็นเงาร่างอันเลือนรางของตงป๋อเสวี่ยอิงได้ กลางอากาศที่จับตัวกันจนหนืดราวกับโคลนเลนแห่งนี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงยังคงกะพริบวาบคราหนึ่งแล้วเคลื่อนที่ในพริบตาออกไปหลายหมื่นลี้ แล้วล้อมรอบฝูงมารผลาญทำลายทั้งเก้าตนเอาไว้ได้อย่างง่ายดายเพื่อเสาะหาโอกาส
“เขาควบคุมมิติได้อย่างร้ายกาจนัก พวกเรามิอาจเคลื่อนที่ในพริบตาได้ แต่เขากลับทำได้” ฝูงมารผลาญทำลายทั้งเก้าตนสบตากันและรู้ว่าท่าไม่ดีเสียแล้ว
ฝ่ายหนึ่งสามารถเคลื่อนที่ในพริบตาได้
ส่วนอีกฝ่ายนั้นมิอาจเคลื่อนที่ในพริบตาได้เลย เช่นนั้นพวกเขาจึงมิอาจเป็นฝ่ายไล่สังหารได้!
นี่ก็เป็นเรื่องปกติ ถึงอย่างไรตงป๋อเสวี่ยอิงก็เป็นผู้ท่องอากาศที่เข้าถึงวิชาลับผู้ท่องชั้นที่สี่สิบหกและยังฝึกฝนศาสตร์ลับสี่ภาพวาดของจักรพรรดิเก้าเมฆาอีกด้วย จักรพรรดิเก้าเมฆา…เป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดทางด้านอากาศในยุคโลกทิพย์โบราณดั้งเดิม เขาเชี่ยวชาญทางด้านการควบคุมและใช้งานอากาศยิ่งกว่า บรรพชนห้วงอากาศเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญด้านอากาศที่สุดในยุคอากาศอันสับสนอลหม่าน เขาเชี่ยวชาญทางด้านการใช้พลังของอากาศอันสับสนอลหม่านมาปรับเปลี่ยนร่างกาย เป็นตัวแทนของสองทิศทาง
ตงป๋อเสวี่ยอิงบำเพ็ญทั้งสองระบบควบคู่กัน ย่อมทำให้ด้านการควบคุมอากาศของเขาร้ายกาจยิ่งขึ้น
“ทำลาย”
ตงป๋อเสวี่ยอิงลงมือแล้ว
เมื่อเหยียดมือและพุ่งออกไปอย่างสุดกำลัง
ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว ดอกตูมสีดำอันงดงามดอกแล้วดอกเล่าปรากฏขึ้น มิติของเจดีย์ดาวชั้นที่เก้านี้ก่อให้เกิดน้ำวนพลังฟ้าดินอันน่าหวาดหวั่นขึ้นมา ภายในน้ำวนยุบลงไปเป็นช่องว่าง พลังฟ้าดินอันไร้าที่สิ้นสุดซัดสาดเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง ดอกตูมสีดำขั้นหกกลีบถึงสิบเก้าดอกปรากฏขึ้น ดอกหนึ่งห่อหุ้มอีกดอกหนึ่ง ชั้นในสุดห่อหุ้มมารผลาญทำลายร่างผอมเล็กที่ทดลองควบคุมผู้นั้นเอาไว้
สิบเก้าดอก!
ก็คือขีดจำกัดของตงป๋อเสวี่ยอิง
ตอนแรกเคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดของเขาอยู่ที่ขั้นแปดแปร เคล็ดวิชาสืบทอดมังกรปาหลงอยู่ที่ขั้นกัณฑ์ที่แปด เขาเพิ่งจะคิดค้นบุปผาผลาญทำลายขั้นหกกลีบขึ้นมา ตอนนั้นครั้งหนึ่งก็สำแดงออกมาได้เพียงสามกลีบเท่านั้น! ในช่วงเวลาสามหมื่นล้านปีหลังจากนั้น พรสวรรค์ด้านวิถีโลกเทียมของเขาก็สูงส่งยิ่งนัก เพียงแค่อาศัยการสั่งสมจากการบำเพ็ญอย่างหนัก ก็สามารถบรรลุเคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดขั้นเก้าแปรได้ในรวดเดียว
ส่วนเคล็ดวิชาสืบทอดมังกรปาหลงนั้นด้อยกว่าอยู่บ้าง แม้วิถีเข่นฆ่าจะยกระดับขึ้นมากเช่นเดียวกัน แต่ ‘มังกรปาหลงกัณฑ์เก้า’ นั้น เขาฝึกไม่สำเร็จเสียที!
เมื่อฝึกไม่สำเร็จ ก็ไม่เพียงพอให้ตงป๋อเสวี่ยอิงคิดค้นบุปผาผลาญทำลายขั้นสูงกว่านี้ได้ อันที่จริงตงป๋อเสวี่ยอิงก็เข้าใจว่าต่อให้ฝึกมังกรปาหลงกัณฑ์เก้าสำเร็จ ถึงตอนนั้นการหลอมรวมวิถีสองสายแล้วคิดค้นบุปผาผลาญทำลายกระบวนท่าที่สามที่สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น เกรงว่าเมื่อสิ่งที่ใฝ่หาก็คือความครบสมบูรณ์ ความยากในการคิดค้นก็จะสูงเสียยิ่งกว่าสูง
บัดนี้เล่า
ข้อแรก เนื่องจากเคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดเป็นขั้นเก้าแปรแล้ว เคล็ดวิชาสืบทอดมังกรปาหลงก็นับได้ว่าเป็นกัณฑ์แปดระดับยอด เมื่อระดับขั้นสูงแล้ว ‘บุปผาผลาญทำลายขั้นหกกลีบ’ ก็ถูกเขาเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยให้เรียบง่ายขึ้น นอกจากนี้เมื่อผู้ที่ระดับขั้นสูงสำแดงออกมา พลังจิตที่ต้องการใช้ก็น้อยกว่า คือราวหนึ่งในสามของตอนที่เพิ่งคิดค้นบุปผาผลาญทำลายหกกลีบขึ้นมาก็เพียงพอแล้ว
ข้อสอง เมื่อปีศาจชาดเก้าแปรสำเร็จ ทำให้วิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงแข็งแกร่งกว่าตอนแปดแปรกว่าเท่าตัว!
ด้วยเหตุผลทั้งสองข้อ ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถสำแดงบุปผาผลาญทำลายขั้นหกกลีบได้ถึงสิบเก้าดอกภายใต้ขีดจำกัด นี่ก็คือหลักประกันด้านหนึ่งในการที่เขาลองบุกชั้นที่เก้า เพราะถึงอย่างไรการบุกโจมตีก็สำคัญมาก หากอานุภาพการโจมตีไม่เพียงพอ แม้แต่การป้องกันพื้นฐานที่สุดของฝูงมารผลาญทำลายก็ยังมิอาจทำลายได้ เช่นนั้นทั้งหมดก็เป็นเรื่องน่าขันแล้ว
“ตู้มมม…” บุปผาผลาญทำลายขั้นหกกลีบสิบเก้าดอกเบ่งบานออกมาพร้อมกัน
มารผลาญทำลายร่างผอมเล็กตนนั้นจะหลบก็ไม่มีทางให้หลบได้เลย ทำได้เพียงทนรับเท่านั้น ทว่าพละกำลังของมันและฝูงมารผลาญทำลายอีกแปดตนเชื่อมต่อกัน ราวกับเป็นหนึ่งเดียวกัน การป้องกันก็เป็นหนึ่งเดียว
นี่ก็คือสิ่งที่น่ากลัวของฝูงมารผลาญทำลาย
การป้องกันเป็นหนึ่งเดียว
หากมิอาจทำลายการป้องกันได้ ก็ทำร้ายพวกเขามิได้
“ฟิ้ววว…” ภายใต้อานุภาพการทำลายล้างของบุปผาผลาญทำลายสิบเก้าดอก แสงสีทองอันเรืองรองเหนือผิวกายของมารผลาญทำลายร่างผอมเล็กสามารถยืนหยัดได้อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถล่มทลายลงไป เกราะเหนือผิวกายของฝูงมารผลาญทำลายนั้นถูกแหวกออก กล้ามเนื้อและกระดูกของร่างกายก็ถูกฉีกทึ้งเช่นกัน ทว่าก็ฟื้นตัวอย่างรวดเร็วภายใต้แสงสีทอง
“เขาสามารถทำลายการป้องกันได้โดยไม่จำเป็นต้องต่อสู้ประชิดตัวด้วยหรือนี่”
ฝูงมารผลาญทำลายเก้าตนเข้าใจทันที
ขั้นอลวนผู้นี้สามารถอาศัยการเคลื่อนที่ในพริบตาทำให้พวกเขาตายได้จากระยะไกล
“ฆ่า”
“ฆ่า”
ฝูงมารผลาญทำลายเก้าตนสำแดงกระบวนท่าที่ร้ายกาจอย่างแท้จริงออกมา
ตู้ม ตู้ม ตู้ม…
ฝูงมารผลาญทำลายเก้าตนต่างก็ระเบิดออก กลายเป็นแสงสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งไปทุกทิศทุกทาง แทบจะในพริบตาเดียว ทั้งเวทีการต่อสู้ก็ถูกแสงสีทองอันเข้มข้นปกคลุมเอาไว้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ย่อมถูกปกคลุมไปด้วยเช่นเดียวกัน แสงสีทองจำนวนมากพันธนาการตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้อย่างรวดเร็ว
“พลังทำลายล้างอันสมควรตายนี่” ผิวกายของตงป๋อเสวี่ยอิงพลันมีเกราะเกล็ดสีดำปรากฏขึ้นมา และทำให้เคล็ดวิชาสืบทอดมังกรปาหลงหมุนเวียนไปอย่างสิ้นเชิง อีกทั้งร่างกายก็เริ่มกลายเป็นอากาศธาตุไป เขาพยายามทำให้แรงกัดเซาะของพลังทำลายล้างนี้อ่อนกำลังลงให้มากที่สุด
“ทำลายให้ข้าเสียๆๆ”
บุปผาผลาญทำลายสิบเก้าดอกที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงออกไปอย่างบ้าคลั่งนั้นปลดปล่อยออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า ทุกครั้งที่โจมตีเสียงดังตู้มมม…ตู้ม….นั่น แสงสีทองอันเข้มข้นที่แผ่คลุมไปทั่วทั้งเวทีก็ล้วนได้รับความเสียหายเล็กน้อย
……
“ไม่เลวเลยๆ” บรรพชนเทียนอวี๋เห็นแล้วดวงตาก็เปล่งประกายออกมา
มารผลาญทำลายเกราะทองกระจายตัวไปเป็นแสงสีทอง โดยทั่วไปก็จะเป็นกระบวนท่าสุดท้าย! เพราะแสงสีทองนี้ก็คือรากฐานของพวกมัน หากพวกมันได้รับบาดเจ็บก็สามารถฟื้นตัวได้ด้วยแสงสีทอง แต่เมื่อร่างกายกระจายตัวออกไปเป็นแสงสีทองจนหมด…เช่นนั้นก็จะไม่มีการป้องกันใดแล้ว
แสงสีทองสามารถใช้ในการหนีไปทุกทิศทุกทางได้! สามารถหนีไปในทิศทางที่แตกต่างกันทั้งยังมีความยืดหยุ่น เช่นสามารถสำแดงการเคลื่อนที่ในพริบตาออกมาได้
ดังนั้นหากมิใช่สภาพแวดล้อมปิดอย่างในเจดีย์ดาว จะสังหารฝูงมารผลาญทำลายก็คงไม่ง่ายดายถึงเพียงนี้ ทันทีที่พวกเขารู้สึกว่าไม่ชอบมาพากลก็จะแยกร่างกายออกแล้วหนีไปทันที! บรรดาผู้บำเพ็ญนั้นมิอาจแยกตัวออกเช่นนี้ได้
อีกอย่างหนึ่ง…
ก็คือสามารถใช้สู้สุดชีวิตได้!
‘พลังทำลายล้าง’ ของฝูงมารผลาญทำลายนั้นสามารถกัดกินวัตถุทั่วไปทั้งหมดในอากาศอันสับสนอลหม่านได้ หากมีพลังทำลายล้างเพียงพอ ต่อให้เป็นผู้แกร่งกล้าที่แข็งแกร่งกว่านี้ก็สามารถกัดกินเข้าไปทำลายได้! ดังนั้นฝูงมารผลาญทำลายจึงได้แปรเป็นพลังทำลายล้างสีทองอันพื้นฐานที่สุดและลงมือกัดกิน เห็นได้ชัดว่าไม่มีวิธีอื่นใดอีกแล้ว จึงได้ใช้กระบวนท่านี้สู้สุดชีวิตโดยไม่สนใจการป้องกันใดๆ อีก
……
“แรงกัดเซาะนี่”
แม้ร่างกายของตงป๋อเสวี่ยอิงจะแข็งแกร่ง แต่ก็เพียงเพราะเกราะบรรลุถึงระดับอาวุธเทพอากาศชั้นบนเท่านั้น เมื่อเทียบกันแล้วผิวกายก็อ่อนแอกว่าอยู่บ้าง เคราะห์ดีที่ความสามารถในการ ‘กลายเป็นอากาศธาตุ’ ของเขาบรรลุถึงระดับสูงยิ่ง อีกทั้งเขาซ่อนตัวอยู่ในโลกลวง ดังนั้นจึงสามารถยืนหยัดได้นานขึ้น หากเป็นดั่งประมุขวังปาอวิ่นซึ่งได้แต่ใช้ร่างกายฝืนต้านทาน ก็ย่อมฝืนรับได้ไม่นานสักเท่าใดนัก
“ฆ่า ฆ่า ฆ่า…” ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงบุปผาผลาญทำลายออกมาอย่างบ้าคลั่งครั้งแล้วครั้งเล่า แสงสีทองอันเข้มข้นบนเวทีการต่อสู้ค่อยๆ ถูกทำให้อ่อนกำลังลงเรื่อยๆ
นี่ก็คือสถานการณ์ล้างผลาญ
ฝูงมารผลาญทำลายไร้ซึ่งการป้องกันใดๆ พวกเขาปล่อยให้พลังทำลายล้างซึ่งเป็นแก่นของชีวิตถูกตงป๋อเสวี่ยอิงผลาญไปตามอำเภอใจ! แต่พลังทำลายล้างก็กำลังกัดกินตงป๋อเสวี่ยอิงเช่นเดียวกัน
เพียงชั่วสิบกว่าลมหายใจ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็สีหน้าเปลี่ยนแปรไปแล้ว
“ต้านไม่ไหวแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่กล้าเสี่ยงอันตรายต้านรับอีกต่อไป
“ล้มเลิก”
ไม่นานนักเขาก็ถูกวิญญาณอาวุธเจดีย์ดาวเคลื่อนย้ายออกไป
ส่วนแสงสีทองที่หลงเหลืออยู่ก็รวมตัวกันอย่างรวดเร็ว กลายเป็นมารผลาญทำลายเกราะทองหกตน ทว่ากลิ่นอายของพวกมันแต่ละตนอ่อนแอมาก ดูเหมือนจะมีหกตน…แต่อันที่จริงพวกเขาแต่ละตนล้วนบาดเจ็บสาหัสมาก อีกสามตนถึงขั้นไม่สามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้ด้วยซ้ำ! พลังทำลายล้างของพวกเขาในภาพรวมถูกตงป๋อเสวี่ยอิงเผาผลาญไปมากถึงเจ็ดส่วนคาดว่าในตอนนี้ หากฝืนต้านทานอีกสักเจ็ดแปดชั่วลมหายใจก็อาจจะคว้าชัยได้แล้ว
น่าเสียดาย ที่พลังทำลายล้างซึ่งกัดกินเข้าไปในร่างกายมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งนานไปก็ยิ่งต้านรับได้ยาก
“แพ้เสียแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงค่อยๆ ขับพลังทำลายล้างภายในกายออกมาด้วยความช่วยเหลือของวิญญาณอาวุธเจดีย์ดาว นานแสนนานจึงสามารถขับออกมาได้จนหมด สีหน้าก็ซีดขาวอยู่บ้าง
“ข้าบีบบังคับจนพวกเขาต้องละทิ้งร่างกาย และเอาแก่นแท้มาให้ผลาญ! ก็ยังเอาชนะไม่ได้อีก” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า
เขาออกจากเจดีย์ดาว
ด้านนอกก็คือประมุขตำหนักวังทวีสูญกลุ่มหนึ่ง
“ตงป๋อ ออกมาแล้วหรือ เป็นอย่างไรบ้าง”
“เป็นเช่นไร”
แต่ละคนพากกันมองดูตงป๋อเสวี่ยอิง
“นับว่าเป็นชั้นที่แปดระดับยอดเถิด ชั้นที่เก้ายากเกินไปแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า
“ชั้นที่แปดระดับยอดหรือ ร้ายกาจ”
“เพิ่งจะบรรลุเป็นขั้นอลวนได้มั่นคงครู่เดียวเท่านั้น เยี่ยมยอด” บรรดาประมุขตำหนักทั้งหลายในที่นั้นล้วนรู้สึกว่าเขาเยี่ยมยอดอยู่ดี ทว่าก็เป็นเรื่องปกตินัก เพราะตอนที่เขายังมิได้สำเร็จเป็นขั้นอลวนก็มีพลังชั้นที่เจ็ดแล้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงสีหน้าเปลี่ยนแปรไปเล็กน้อย จากนั้นก็กล่าวขึ้นว่า “ท่านบรรพชนเรียกตัวข้าไปหา ข้าต้องขอตัวล่วงหน้าไปก้าวหนึ่งแล้ว”
“ไปเถิดๆ”
“ในภายหน้าเจ้าคงไม่สบายเช่นนี้แล้วล่ะ” บรรดาประมุขตำหนักต่างพากันสัพยอก
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงมาถึงที่พำนักของบรรพชนเทียนอวี๋ เขามองเห็นบรรพชนเทียนอวี๋กำลังนั่งถือจอกสุราอย่างผ่อนคลายอยู่ภายในลาน
“ท่านบรรพชน” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าวขึ้นทันที
“ไม่เลวๆ ข้าคิดว่าเจ้าจะสำเร็จเป็นระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เก้าได้อาจจะต้องใช้เวลานานมากเสียอีก ตอนนี้ เห็นทีแค่บำเพ็ญให้มากอีกหน่อย ออกไปบุกฝ่าเคี่ยวกรำสักตั้ง ก็มีหวังที่จะสำเร็จเป็นระดับชั้นที่เก้าได้แล้ว” บรรพชนเทียนอวี๋ชมเชย
ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างตนกับระดับชั้นที่เก้าดี
จะสำเร็จเป็นชั้นที่เก้าน่ะหรือ
การรุกโจมตีของตนก็คงต้องแข็งแกร่งขึ้น! หากการโจมตีแข็งแกร่งขึ้นก็ย่อมสามารถเผาผลาญพลังทำลายล้างทั้งหมดได้ภายในระยะเวลาอันสั้น ทว่าอย่าง ‘จักรพรรดิสิงหั่ว’ หรือประมุขตำหนักอลหม่านก็ล้วนแต่มีการต่อสู้ประชิดตัวที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง จึงสามารถทำลายฝูงมารผลาญทำลายและบุกฝ่าชั้นที่เก้าได้ อานุภาพในการโจมตีนี้แข็งแกร่งกว่าบุปผาผลาญทำลายสิบเก้าดอกของตนมากมายนัก
ส่วนการโจมตีของตนนั้นมิอาจยกระดับขึ้นอย่างมากมายภายในระยะเวลาอันสั้นได้จริงๆ นอกเสียจากจะคิดค้นบุปผาผลาญทำลายกระบวนท่าที่สามออกมา
สำหรับตนแล้ว…
ทางเส้นเดียวที่พอมีหวังก็คือใฝ่หาการป้องกันที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น! หากเคล็ดวิชาสืบทอดมังกรปาหลงสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่แล้วบรรลุถึงกัณฑ์เก้า เกราะเกล็ดเหนือผิวกายก็เทียบได้กับอาวุธเทพอากาศชั้นยอด ร่างกายนี้ก็เยี่ยมยอดพอแล้ว เมื่อรวมกับการส่งเสริมจาก ‘การกลายเป็นอากาศธาตุ’ ของตนที่ในภายหน้าจะสูงส่งขึ้นและโลกลวงแล้ว วิธีการป้องกันก็เพียงพอให้ชายตาแลขั้นอลวนได้
การป้องกันแข็งแกร่งแล้ว สามารถต้านทานได้มากขึ้น ก็เพียงพอจะผลาญฝูงมารผลาญทำลายเหล่านั้นจนถึงตายได้แล้ว
“แม้เมื่อเทียบกันแล้วทางเส้นนี้จะง่าย แต่เช่นนั้นในระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เก้า ข้าก็นับว่าอ่อนแอ อย่างจักรพรรดิดำพวกนั้นจึงจะนับว่าแข็งแกร่ง” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ จักรพรรดิดำนั้นเหี้ยมเกรียมมาก วิธีการต่างๆ ของเขาล้วนบรรลุถึงระดับขั้นที่แข็งแกร่งมาก เทพจักรวาลก็ยากที่จะทำอะไรเขาได้
“ตอนนี้เจ้าต้องเคี่ยวกรำให้มากหน่อย” บรรพชนเทียนอวี๋พูดยิ้มๆ “ตอนนี้ค่อนข้างเหมาะสมที่จะไปยังชายขอบของห้วงอากาศ และทำการต่อสู้จำนวนนับไม่ถ้วนเพื่อเคี่ยวกรำตนเอง รอให้พลังของเจ้าบรรลุถึงระดับชั้นที่เก้าเสียก่อน ข้ามีเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งจะมอบให้เจ้า เจ้าเป็นคนที่เหมาะสมมาก ถึงตอนนั้นหกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ตะตกรางวัลอย่างงามให้แก่เจ้า”
“หา” ตงป๋อเสวี่ยอิงสงสัย “เรื่องใหญ่หรือ”
………………………………..
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น