Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 31 ตอนที่ 38-39
ตอนที่ 38 ปีศาจชาดสิบแปร
โดย
Ink Stone_Fantasy
ภายในอากาศอันสับสนอลหม่าน สายน้ำสีดำแห่งหนึ่งมีแผ่นดินเล็กๆ รายล้อม บนแผ่นดินนั้นมีคูหาสำหรับบำเพ็ญ และมีสิ่งมีชีวิตหลายสิบล้านชีวิต นี่นับว่าเป็นสถานที่ที่เล็กมากแล้ว
สวบ
ชายหนุ่มอาภรณ์สีขาวหนาเตอะผู้หนึ่งปรากฏกายขึ้นกลางท้องฟ้าเหนือสายน้ำสีดำแห่งนี้พลางเหลือบมองลงไปยังแผ่นดินเล็กๆ ไกลออกไป เขตลวงแห่งหนึ่งก็ร่อนลงไปด้วย เนื่องจากไม่มีโลกทิพย์กดดัน ขอบเขตของเขตลวงของตงป๋อเสวี่ยอิงจึงกว้างใหญ่ยิ่งนัก…แผ่นดินและสายน้ำนี้รวมกันยังไม่ถึงหนึ่งในร้อยล้านส่วนของขีดจำกัดเขตลวงของตงป๋อเสวี่ยอิงเลย
แน่นอนว่านอกจากตงป๋อเสวี่ยอิงที่มีพลังสูงส่งแล้ว สาเหตุหลักก็เพราะพื้นที่ริมสายน้ำแห่งนี้มีขนาดเล็กมากอย่างแท้จริง
ผู้บำเพ็ญขั้นรวมเป็นหนึ่งคนหนึ่งซึ่งอยู่ที่นี่อย่างสันโดษมานานและชาวบ้านหลายสิบล้านคนล้วนตกเข้าสู่เขตลวง
“เอ๊ะ นี่ก็ไม่ใช่หรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะเบาๆ
“เมื่อคาดการณ์จากรายงานครั้งแล้วครั้งเล่าที่เก็บรวบรวมมา ความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะซ่อนตัวอยู่บริเวณนี้นั้นสูงกว่าจริงๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบทอดถอนใจ
ฝูงมารผลาญทำลายไม่มีการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้น
พวกเขาเดินทางไปในโลกทิพย์และอากาศอันสับสนอลหม่านได้ยากลำบากมาก อย่างการเคลื่อนไหวขนาดใหญ่ที่พุ่งเป้ามายัง ‘ขั้นอลวน’ นั้น อาจจะตั้งใจเร่งเดินทางมานานแสนนานจนมาถึงสถานที่สักแห่งหนึ่ง ส่วนการเข่นฆ่าขนาดขนาดเล็กต่างๆ…เชื่อว่าฝูงมารผลาญทำลายก็ไม่อยากจะเสียเวลาไปกับการเดินทางนานเกินไปนัก ดังนั้นจากจุดนี้ จึงสามารถร่างออกมาจากบริเวณโดยรอบซึ่งการ ‘กลืนกินเข่นฆ่า’ ค่อนข้างแน่นหนาได้!
บัดนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงเน้นไปที่การตรวจสอบบริเวณเหล่านี้เป็นหลัก น่าเสียดายที่มิได้สำเร็จมาตลอด อากาศอันสับสนอลหม่านนั้นใหญ่โตเกินไปแล้วจริงๆ
“อื้ม”
ตงป๋อเสวี่ยอิงสอดส่องทั่วทุกสารทิศผ่านรูทรงกลมหมอกดำ…เสาะหาสถานที่โดยรอบซึ่งมีสิ่งมีชีวิตต่อไป
เขาตรวจสอบดู อย่างน้อยก็ต้องตรวจสอบพวกที่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ดู
หากฝูงมารผลาญทำลายซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่ง ก็ต้องระมัดระวังตัวมากอย่างแน่นอน ดังนั้นเมื่อสอดส่องผ่านรูทรงกลมหมอกดำจึงมิอาจตามรอยได้เลย
ภายใต้การสอดส่อง ภาพของสถานที่แห่งแล้วแห่งเล่าถูกตรวจตราได้อย่างง่ายดาย…
…ภูเขาแห่งหนึ่งระเบิดออก “ยังคงล้มเหลวอยู่ดี การทดสอบก็ล้มเหลว!” ผู้บำเพ็ญระบบทิพย์คนหนึ่งที่อยู่อย่างสันโดษร้องคำรามด้วยความโมโหอยู่บ้าง…
…มีชาวบ้านของแผ่นดินอลหม่านดำเนินชีวิตอย่างสงบสุข…
…ภายในจักรวาลแห่งหนึ่งซึ่งนับถือลัทธิจอมมารดา…
……
นอกตำหนักเทพอันเก่าแก่ผุพังของแผ่นดินอลหม่านอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งหนึ่งซึ่งมีสิ่งมีชีวิตนับล้านล้านชีวิต
มีผู้คนคุกเข้ากันอย่างแน่นขนัดนับล้านคน
“ใต้เท้าวายุเวหา วิงวอนท่านโปรดช่วยโลกของพวกเราด้วยเถิด”
“ใต้เท้าวายุเวหา วิงวอนท่านร่อนลงมาด้วยเถิด”
“ใต้เท้าวายุเวหา”
ผู้คนนับล้านกำลังร้องขอ พวกเขาล้วนแต่เป็นผู้บำเพ็ญทั้งสิ้น ที่อ่อนแอที่สุดก็ยังเป็นระดับเทพ
“จอมมารดาผู้ยิ่งใหญ่ จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้ยิ่งใหญ่ สิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่ทั้งปวง ขอเพียงสามารถช่วยเหลือโลกของพวกเราได้ พวกเราก็ยินดีจะนับถือพวกท่าน”
“จอมมารดา จอมเทพศักดิ์สิทธิ์”
“ช่วยเหลือโลกของเราด้วยเถิด”
ในจำนวนนั้นมีผู้คนมากมายที่ร้องตะโกนอย่างบ้าคลั่ง ในสายตาของพวกเขามีเพียงความสิ้นหวัง เมื่อเทียบกันแล้วจักรวาลนั้นปิดทึบกว่าอยู่บ้าง แผ่นดินอลหม่านและโลกภายนอกมี่ข่าวสารเชื่อมโยงถึงกัน พวกเขาต่างก็รู้จักระดับขั้นการบำเพ็ญสูงสุด…ระดับเทพจักรวาล! และพวกเขาก็รู้ด้วยว่า ‘จอมเทพศักดิ์สิทธิ์’ และ ‘จอมมารดา’ ในตำนานยินดีที่จะรับความเชื่อ
แต่ว่าการเอ่ยนามในจักรวาลแห่งหนึ่งนั้นสามารถรับรู้ได้ แต่อากาศอันสับสนอลหม่านนั้นกว้างใหญ่กว่าตั้งไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ กฎเกณฑ์อันสูงส่งก็พิสดารยากเกินคาดเดากว่ากฎเกณฑ์ของจักรวาลมาก เพียงแค่เอ่ยนาม จอมเทพศักดิ์สิทธิ์และจอมมารดาก็มิอาจรับรู้ได้
“ฮ่าฮ่าฮ่า…” หมอกลวงค่อยๆ ปรากฏขึ้นกลางอากาศ เงาร่างมหึมาสายหนึ่งคล้ายมีคล้ายไม่มี
“มันมาแล้ว”
“มันมาแล้ว”
“ไม่…”
ผู้คนที่กำลังคุกเข่าอ้อนวอนเหล่านี้พากันเผยสีหน้าตื่นตระหนกออกมา
“พวกเจ้ากำลังร้องขอเจ้าปีศาจเฒ่าวายุเวหาอย่างนั้นหรือ ฮ่าฮ่าฮ่า ปีศาจเฒ่าวายุเวหาเองก็ยังหนีไปแล้ว ไม่กล้ากลับมาอีก พวกเจ้ายังจะร้องขอเขาอีกรึ” เงาร่างอันใหญ่โตกลางหมอกลวงเปล่งเสียงออกมาดังก้องทั่วทั้งฟ้าดิน “ข้าเมตตามากแล้ว ทุกครั้งล้วนแต่กลืนกินไปเพียงส่วนเล็กๆ เท่านั้น มิอาจทำร้ายรากฐานของทั้งโลกได้”
“เจ้ามารนี่”
“เจ้าเห็นคนทั้งหมดในโลกเราเป็นสัตว์ กินชุดหนึ่ง เลี้ยงอีกชุดหนึ่ง”
“จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ จอมมารดาเอ๋ย พวกเราวิงวอนท่าน สังหารมารร้ายตนนี้เสียเถิด”
ผู้คนเหล่านี้ต่างก็ตะโกนร้องขอ พลังแตกต่างกันมากเกินไป พวกเขาจึงแทบจะไม่มีโอกาสได้โจมตีกลับเลย เมื่อเผชิญหน้ากับความตาย…พวกเขาก็ทำได้เพียงขอร้องอย่างลมๆ แล้งๆ เท่านั้น
“ขอร้องหรือ ฮ่าฮ่า พวกเจ้าขอร้องใครก็ไร้ประโยชน์” เงาร่างใหญ่โตกลางหมอกลวงหัวเราะเสียงดัง
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงสอดส่องผ่านทรงกลมหมอกดำก็เห็นภาพของบริเวณหนึ่งเข้า
ฟิ้ว
เขาส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นเข้าไปใกล้ๆ ก่อน เพื่อป้องกันมิให้แหวกหญ้าให้งูตื่น จากนั้นค่อยเคลื่อนที่ในพริบตาร่อนลงไปในแผ่นดินอลหม่านแห่งนี้
“ขอร้องไปเถิดๆ ขอร้องให้เสียงดังอีกหน่อย ฮ่าฮ่า” เงาร่างอันใหญ่โตก้มหน้าลง หมายจะเริ่มกลืนกินแล้ว
แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับปรากฏกายขึ้นกลางอากาศ
ตู้ม
เขตลวงอันมหึมาหาใดเปรียบแห่งหนึ่งร่อนลงไป ไม่เพียงแต่ปกคลุมผืนดินแห่งนี้เอาไว้เท่านั้น แต่ยังปกคลุมบริเวณร้อยเท่ารอบผืนดินนี้เอาไว้อีกด้วย
สิ่งมีชีวิตนับล้านล้านชีวิต ไปจนถึงสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศที่กบดานอยู่นอกพรมแดนของแผ่นดินอลหม่านล้วนตกเข้าสู่เขตลวงจนสิ้น พวกเขาแต่ละคนเมื่ออยู่ในเขตลวงก็มีประสบการณ์และชีวิตของตนเอง จึงสามารถรู้ถึงประสบการณ์ผ่านมาและสิ่งที่ใฝ่ฝันของสิ่งมีชีวิตนับล้านล้านชีวิตผ่านเขตลวงได้ เมื่ออยู่ในเขตลวง ตงป๋อเสวี่ยอิงยังถึงขั้นให้โอกาสกับพวกเขาอีกด้วย
บางคนพบโอกาสในเขตลวง ถึงขั้นได้รับเคล็ดวิชาสืบทอดสำหรับบำเพ็ญ
บางคนเมื่ออยู่ในเขตลวงก็มีเวลามากพอให้เคี่ยวกรำศาสตร์กระบี่ที่ร้ายกาจออกมาได้
……
รอจนตื่นขึ้นมา
ส่วนใหญ่ทั่วทั้งแผ่นดินอลหม่านก็ลืมเลือนไปหมดแล้ว ถึงขั้นไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าก่อนหน้านี้ตกเข้าสู่เขตลวง ส่วนบางคนที่ผ่านการทดสอบของตงป๋อเสวี่ยอิงและได้รับโอกาสหรือการเคี่ยวกรำ กลับจำทุกสิ่งที่ประสบในเขตลวงได้อย่างชัดเจน พลังก็เพิ่มพูนขึ้นเป็นอย่างมาก เคล็ดวิชาสืบทอดที่ได้รับยังแข็งแกร่งกว่าเคล็ดวิชาสืบทอดที่แข็งแกร่งที่สุดบนผืนดินแห่งนี้มากนัก
ส่วนมารร้ายน่ะหรือ
มารร้ายที่ตกอยู่ในเขตลวง ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ถือโอกาสสังหารเสียเลย
“หาไม่พบอยู่ดี ทว่าก็มีพวกคนที่พอใช้ได้อยู่บ้าง” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มก่อนจะจากแผ่นดินอลหม่านแห่งนี้ไป
สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนภายในแผ่นดินอลหม่านที่ตื่นขึ้นมามีจำนวนน้อยนิดที่ยังคงจำอาจารย์ ผู้อาวุโสและบุคคลระดับสูงที่พบในเขตลวงได้
“ท่านบรรพชนเสวี่ยอิงหรือ”
“ท่านประมุขเกาะตงป๋อหรือ”
“แขกตงป๋อหรือ”
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงท่องไปตามที่ต่างๆ ต่อไป เพื่อเสาะหาร่องรอยของฝูงมารผลาญทำลาย
ระหว่างที่สำแดงเขตลวงนั้น เขาก็ท้าทายขีดจำกัดของตนเองไม่หยุด บัดนี้เขาสามารถทำให้สิ่งมีชีวิตหลายล้านล้านชีวิตพบโอกาสของแต่ละคนได้ ถึงขั้นมีกฎของตนเอง ไม่ยุ่งเหยิงปะปนกันแม้แต่น้อย เมื่อใช้ชีวิตใน ‘โลกเขตลวง’ แต่ละคนล้วนมีชีวิตที่เหมือนจริง กฎเกณฑ์ภายในหมุนเวียนแทบไม่แตกต่างกับการหมุนเวียนของจักรวาลในความเป็นจริงเลย
สิ่งที่ศึกษาสำเร็จในโลกเขตลวงแล้วฝึกฝนจนพลังยกระดับขึ้น ก็เป็นการยกระดับอย่างแท้จริง!
ภายในเขตลวง เพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก็อาจจะผ่านไปกว่าร้อยปีแล้ว และการบำเพ็ญร้อยปีนี้เป็นการยกระดับขึ้นอย่างแท้จริง และนี่ก็คือ ‘ศาสตร์การเร่งเวลา’ ที่ยอดเยี่ยมมาก
“เอ๊ะ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่กลางอากาศอันสับสนอลหม่านอันเวิ้งว้างเพียงลำพัง เขาวาดมือไปคราหนึ่ง โลกเขตลวงแห่งหนึ่งก็ก่อตัวขึ้น แล้วปกคลุมไปทางสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งผู้บำเพ็ญเก็บตัวอย่างสันโดษอยู่ไกลออกไป
แต่ระหว่างที่สำแดงออกมานั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับเกิดความรู้สึกงดงามออย่างแปลกประหลาดชนิดหนึ่งขึ้นมา
งดงามเกินไปแล้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงเคยมีประสบการณ์คิดค้น ‘บุปผาผลาญทำลาย’ มาแล้ว เขาเผยสีหน้ายินดีออกมา สถานที่อันสันโดษไกลออกไปก็ไม่มีฝูงมารผลาญทำลายอยู่เช่นกัน แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับไม่ผิดหวังเลยแม้แต่น้อย กลับยินดีจนแทบคลั่งเสียด้วยซ้ำไป
“โลกเขตลวงแห่งนี้” ตงป๋อเสวี่ยอิงตื่นเต้นหาใดเปรียบ “ในที่สุด ในที่สุดก็สำเร็จแล้วหรือนี่”
เขาใฝ่ฝันมาตลอด
ใฝ่ฝันว่าจะยกระดับ ‘วิถีโลกเทียม’ ล้วนๆ ขึ้นไปถึงระดับชั้นที่เก้าให้จงได้ ต้องรู้เอาไว้ว่าต่อให้เป็นขั้นสุดของเคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดก็เป็นเพียงแค่ปีศาจชาดเก้าแปรเท่านั้น…และนั่นก็เป็นเพียงพลังระดับชั้นที่แปด บนวิถีสายหนึ่ง จะบรรลุถึงระดับชั้นที่เก้าได้นั้นก็ยากเสียยิ่งกว่ายาก ตงป๋อเสวี่ยอิงจากปราการอากาศไปเพียงหลายหมื่นล้านปีก็คิดค้นบุปผาผลาญทำลายกระบวนท่าที่สามขึ้นมาได้แล้ว
แต่บัดนี้เมื่อจากปราการอากาศไป ก็นานถึงกว่าล้านล้านปีไปแล้ว การสั่งสมของเขาเพียงพอมาตั้งนานแล้ว และได้รับรู้เกี่ยวกับเทพจักรวาลด้วยตนเอง
ทว่าจะก้าวเข้าสู่ก้าวนี้ได้นั้นก็ยากเสียยิ่งกว่ายาก
“โลกเขตลวงระดับชั้นที่เก้าหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยรอยยิ้มออกมา เขาพึงพอใจเป็นอย่างมาก โลกเขตลวงนี้มีระดับขั้นของเทพจักรวาลอยู่บางส่วนแล้ว อย่างน้อยบางจุดก็ยังคงมีการขาดตกบกพร่องอยู่บ้าง จึงยังเป็นเพียงระดับชั้นที่เก้าเท่านั้น
“เคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดของข้า”
ตงป๋อเสวี่ยอิงกำหนดจิตคราหนึ่ง แล้วเริ่มปรับปรุงโครงสร้างของโลกเขตลวงภายในเคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดของตนทันที
ตู้ม…
ที่ผ่านมาเขาก็เคยแก้ไขโลกเขตลวงของเคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดอยู่หลายครั้ง แต่กลับมิได้เปลี่ยนแปลงจากแก่นแท้มาโดยตลอด แต่ครั้งนี้กลับต่างออกไปแล้ว
“โครมมม…” วิญญาณกำลังดังอื้ออึง
การเปลี่ยนแปลงจากแก่นแท้ของเคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดทำให้วิญญาณแข็งแกร่งขึ้น
เสียงร้องแหลมดังกังวานกึกก้องทั่วอากาศอันไร้ที่สิ้นสุด ‘ปีศาจชาด’ ขนาดใหญ่โตอันงดงามตัวหนึ่งปรากฏกายขึ้นด้านหลังตงป๋อเสวี่ยอิง มันใหญ่โตหาใดเปรียบ ปีกสีแดงเพลิงแผ่คลุมไปทั่วทุกทิศทุกทาง ความแข็งแกร่งของอานุภาพทำให้ภายในบริเวณล้านล้านลี้โดยรอบมีโลกจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น ภายในโลกเขตลวงมีสรรพชีวิตค่อยๆ ถือกำเนิดขึ้นมา สำหรับสรรพชีวิตเหล่านั้นแล้ว โลกเขตลวงนี้ก็คือความเป็นจริง…
เห็นได้ชัดว่าโลกเขตลวงของตงป๋อเสวี่ยอิง เมื่อเทียบกับจักรวาลจริงๆ แล้วก็แทบจะไม่แตกต่างกันเลย
“นี่ก็คือปีศาจชาดสิบแปร” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำเบาๆ เขาสัมผัสได้ว่าวิญญาณแข็งแกร่งขึ้น
ตอนที่ 39 ผลประโยชน์ครั้งใหญ่ ฝูงมารผลาญทำลายหกตน!
โดย
Ink Stone_Fantasy
แม้ตงป๋อเสวี่ยอิงจะตื่นเต้นยินดีจนแทบคลั่งที่คิดค้นปีศาจชาดสิบแปรซึ่งไม่เคยมีมาก่อนขึ้นมาได้ แต่เขาก็รู้ดีแก่ใจว่า ภายหน้าของเขายังมีด่านยากรออยู่…การสำเร็จเป็นเทพจักรวาลนั่นเอง! นี่คือระดับขั้นสุดของการบำเพ็ญ และเป็นการบรรลุระดับขั้นใหญ่ครั้งสุดท้าย ส่วนสิ่งที่เรียกว่าเทพจักรวาลระดับชั้นที่หนึ่ง ระดับชั้นที่สอง ระดับชั้นที่สามนั้น…ก็เป็นเพียงสามระดับชั้นย่อยของระดับขั้นใหญ่อย่างเทพจักรวาลเท่านั้น
“ข้าสามารถคิดค้นกระบวนท่าระดับชั้นที่เก้าสองวิชาคือบุปผาผลาญทำลายกระบวนที่สามและปีศาจชาดสิบแปรขึ้นมาได้ เชื่อว่ามีหวังจะบรรลุเป็นเทพจักรวาลได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มั่นใจในตนเองมากยิ่งขึ้น ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนระดับชั้นที่เก้าคนอื่นๆ โดยทั่วไปก็แค่เข้าถึงกระบวนท่าระดับชั้นที่เก้าเพียงชนิดเดียวเท่านั้น บัดนี้เขากลับเข้าถึงสองกระบวนท่าเลยทีเดียว
……
สวบๆ
ตงป๋อเสวี่ยอิงท่องไปตามที่ต่างๆ ในอากาศอันสับสนอลหม่านต่อไป เมื่อสอดส่องบริเวณต่างๆ เช่นนี้ แม้ในบรรดายักษ์ใหญ่ขั้นอลวนจะนับว่าเขาเยาว์วัยมาก แต่หากพูดถึงความเข้าใจใน ‘อากาศอันสับสนอลหม่าน’ หรือจำนวนสถานที่เร้นลับแปลกประหลาดที่เคยไปแล้ว…เกรงว่าเขาคงจะจัดอยู่ในลำดับแรกสุด การตรวจสอบอย่างบ้าคลั่งเช่นนี้ก็ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงได้รับวัตถุล้ำค่าต่างๆ มา ทว่าด้วยระดับขั้นของเขาแล้ว ก็ไม่ค่อยใส่ใจสิ่งเหล่านี้มากสักเท่าใดนักแล้ว
“ที่นี่ก็ไม่มี” ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์สีขาวทั้งร่างยืนอยู่บนผืนดินกลางอากาศอันสับสนอลหม่านที่เวิ้งว้าง เขาสอดส่องผ่านรูทรงกลมหมอกดำอีกครั้ง
บริเวณต่างๆ โดยรอบที่มีร่องรอยของสิ่งมีชีวิตล้วนถูกเขาตรวจสอบ
มีแผ่นดินอลหม่าน…
มีจักรวาล…
มีคูหาอันสันโดษ…
“เอ๊ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงสอดส่องสถานที่นับพันโดยรอบในพริบตา แต่จู่ๆ สีหน้ากลับเปลี่ยนแปลงไป
ในการสอดส่องของเขา…
นั่นคือบนศิลาสีแดงเพลิงก้อนใหญ่กลางอากาศก้อนหนึ่งซึ่งมีคูหาแห่งหนึ่งซ่อนอยู่ ภายในนั้นมีผู้บำเพ็ญอยู่หกคน พลังคล้ายจะเป็นเพียงขั้นรวมเป็นหนึ่งเท่านั้น
ภายในโถงตำหนักแห่งหนึ่งของคูหาแห่งนี้ บุรุษนัยน์ตาสามเหลี่ยมผู้หนึ่งนั่งอยู่บนแท่นสูงพลางพลิกอ่านคัมภีร์ศาสตร์ลับอย่างสบายใจ ทันใดนั้นเขาก็โบกมือคราหนึ่ง ภายในโถงตำหนักแห่งนี้ก็มีเงาร่างมนุษย์นับพันปรากฏขึ้น คนที่ถูกเคลื่อนย้ายออกมาเหล่านี้ล้วนมีพลังค่อนข้างอ่อนแอ โดยมากแล้วก็เป็นเทพและเทพโลกา ส่วนระดับเทพแท้นั้นมีเพียงสองคนเท่านั้น
“มารร้าย” คนนับพันที่ถูกเคลื่อนย้ายออกมาพลันเผยสีหน้าเคียดแค้นออกมา แต่ภายใต้แรงกดดันของพละกำลังอันไร้รูปร่าง พวกเขาก็มิอาจต้านทานได้
“พวกเจ้าเป็นเพียงอาหารเท่านั้น อย่าต่อต้านอีกเลย” บุรุษนัยน์ตาสามเหลี่ยมหัวเราะฮี่ฮี่เสียงประหลาด นัยน์ตาชั่วร้ายมองดูผู้บำเพ็ญเหล่านั้น
สวบ
ตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งเห็นฉากนี้เข้าสีหน้าพลันเปลี่ยนแปลงไปทันที “มารร้ายที่ชั่วร้ายอีกตนหนึ่งแล้ว เป็นผู้บำเพ็ญเหล่ากลืนกินหรือ”
เขามิได้คิดว่าอีกฝ่ายเป็นฝูงมารผลาญทำลาย เนื่องจากตลอดคืนวันอันยาวนานที่ผ่านมาเขาไล่สังหารตาที่ต่างๆ มาตลอด และพบ ‘มารร้าย’ มามากต่อมาก มารร้ายที่ถูกเขาสังหารไปนั้นนับไม่หวาดไม่ไหว! ดังนั้นเมื่อพบเรื่องพรรค์นี้ ปฏิกิริยาแรกของเขาก็คือพบมารร้ายที่ชั่วร้ายบางตนเข้าอีกแล้ว ผู้บำเพ็ญที่กลืนกินมนุษย์ตามอำเภอใจเช่นนี้ เมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงพบเข้าก็มีแต่ฆ่าไม่เว้นสถานเดียว!
จากนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็ส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นเข้าไปใกล้ในทันที แล้วค่อยเคลื่อนที่ในพริบตาไป
……
ภายในโถงตำหนักของคูหาบนศิลาสีแดงเพลิงก้อนใหญ่
แม่ทัพโม่กู่นั่งอยู่บนแท่นสูง นัยน์ตาชั่วร้ายมองสำรวจผู้บำเพ็ญที่อ่อนแอนับพันเบื้องล่าง เมื่อเห็นท่าทางสิ้นหวังและโกรธเกรี้ยวของพวกเขา รวมทั้งการก่นด่า แม่ทัพโม่กู่กลับเบิกบานใจมากยิ่งขึ้น “ฮ่าฮ่าฮ่า ต่อให้ด่าว่าอีก พวกเจ้าก็เป็นได้เพียงอาหารเท่านั้นแหละ”
“มารร้าย”
“มารที่ชั่วร้าย”
ผู้บำเพ็ญมองดูแม่ทัพโม่กู่ซึ่งแผ่กลิ่นอายอำมหิตคลุ้งคาวเลือดตรงหน้า ในใจกลับเคืองแค้นอย่างไร้ที่สิ้นสุด! เพราะตั้งแต่พวกเขาผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนถูกจับมาทั้งเป็น ก็ถูกขังและเลี้ยงดู จากนั้นก็ถูกเคลื่อนย้ายออกมากลุ่มแล้วกลุ่มเล่า พวกเขาพอจะเดาออกว่า…พวกคนที่ถูกเคลื่อนย้ายออกมานั้น คงจะมิได้มีจุดจบที่ดีแต่อย่างใด
“ฮ่าฮ่าฮ่า ถูกต้องข้าเป็นมารที่ชั่วร้าย เป็นมารร้าย” แม่ทัพโม่กู่หัวเราะพลางอ้าปาก พละกำลังดูดกลืนปกคลุมผู้บำเพ็ญนับพันเหล่านั้น
แต่ในยามนี้เอง…
กลางท้องฟ้าเหนือศิลาสีแดงเพลิงก้อนใหญ่ ชายหนุ่มในอาภรณ์สีขาวทั้งร่างปรากฏกายขึ้นกลางอากาศ
“เฮอะ” แค่นเสียงเย็นชาคราหนึ่ง
เขตลวงก็ร่อนลงมาแล้ว!
เขตลวงยิ่งใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด ในฐานกระบวนท่าระดับชั้นที่เก้าซึ่งบรรลุระดับเทพจักรวาลแล้ว มันมิใช่แค่ขอบเขตกว้างใหญ่หาใดเปรียบเท่านั้น อานุภาพก็น่าหวาดหวั่นเป็นอันมากอีกด้วย
ภายในคูหาแห่งนี้ มีฝูงมารผลาญทำลายทั้งหมดหกตนรวมทั้งแม่ทัพโม่กู่ด้วย
แม่ทัพโม่กู่กำลังเตรียมจะกลืนกิน เมื่อเขตลวงร่อนลงมานั้น เขาก็ตกเข้าสู่เขตลวงทันทีโดยไร้การต่อต้านแม้แต่น้อย สติสัมปชัญญะของเขาถูกครอบงำจนสิ้น! อันที่จริงต่อให้แม่ทัพโม่กู่สำแดงไร้เงาออกมา หากอยู่ในขอบเขตของเขตลวงแล้วก็ต้องถูกกระบวนท่านี้เข้าเช่นกัน เนื่องจากแม่ทัพโม่กู่ที่มี ‘พรสวรรค์ไร้เงา’ นั้นมีข้อบกพร่องข้อใหญ่ที่สุด…ก็คือวิญญาณ!
เขตลวงนั้นพุ่งเป้าไปที่วิญญาณ ปณิธานของเขาไม่เพียงพอ จึงย่อมถูกกระบวนท่าเข้าทันที
หากแม่ทัพโม่กู่มีปณิธานแข็งแกร่งอย่างยิ่งก็คงน่ากลัวขึ้นมากแล้ว ต้องรู้ไว้ว่า หากพูดถึงกระบวนท่าที่พุ่งเป้าไปยังวิญญาณแล้ว…ก็พอจะนับได้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นอันดับหนึ่งของผู้บำเพ็ญได้แล้ว ผู้ที่สามารถเทียบเคียงกับเขาได้ก็มีเพียงเจ้าลัทธิภาพจิตเท่านั้น
ส่วนเทพจักรวาลน่ะหรือ อย่างบรรพชนเทียนอวี๋ จอมกระบี่ ราชันย์มีด ประมุขเหยากวง บรรพชนโลกา จอมเทพศักดิ์สิทธิ์และจอมมารดานั้นล้วนไม่เชี่ยวชาญการโจมตีวิญญาณสักเท่าใดนัก แม้อย่าง ‘บรรพชนทิพย์’ จะมีวิธีการโจมตีวิญญาณเช่นเดียวกัน แต่ถึงอย่างไรนี่ก็มิใช่เส้นทางที่เขาสำเร็จเป็นเทพจักรวาล ผู้ที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งแต่ละคนต่างก็มีสิ่งที่ตนเชี่ยวชาญที่สุด ที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเชี่ยวชาญที่สุดก็คือวิถีโลกเทียม ทั้งยังผลักดันขึ้นไปจนถึงระดับชั้นที่เก้าแล้ว ในด้านระดับความพิสดารนั้น นับได้ว่าเป็นระดับเทพจักรวาลได้อย่างพอถูไถแล้ว
ผู้บำเพ็ญต่างก็มีเส้นทางของตนเอง
เทพจักรวาลนั้นยังไม่มีผู้ที่สำเร็จเป็นเทพจักรวาลด้วยกระบวนท่าทางด้านวิญญาณแม้แต่คนเดียว ดังนั้นในด้านการรับมือวิญญาณ ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงสามารถจัดอยู่ในอันดับหนึ่งได้แล้ว
พวกฝูงมารผลาญทำลายที่บ่มเพาะขึ้นมาจากรังนั้น เมื่อเทียบกับผู้บำเพ็ญแล้ว จิตใจก็ค่อนข้างอ่อนแอกว่า
ดังนั้น…
ฝูงมารผลาญทำลายอีกห้าตนที่อยู่ในคูหาแห่งนั้นสายตาก็พร่าเลือนไปต่อเนื่องกัน ร่างกายอ่อนยวบก่อนจะล้มลง มีเพียงตนเดียวเท่านั้นที่ร่างกายโซซัดโซเซไปแต่ประกายในดวงตากลับเพิ่มขึ้น เขาคำรามออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยวว่า “ตงป๋อเสวี่ยอิง”
ทั้งห้าตนรวมทั้งแม่ทัพโม่กู่ล้วนตกเข้าสู่เขตลวง มีเพียงตนเดียวเท่านั้นที่พอจะครองสติเอาไว้ได้
ต้องรู้ไว้ว่า…
กองกำลังนี้มีระดับชั้นที่เก้าสองตน ตนอื่นๆ ต่างก็เป็นชั้นที่แปดระดับยอด
เห็นได้ชัดว่าในบรรดาระดับชั้นที่เก้านั้นมีอยู่ตนหนึ่งที่ตกเข้าสู่เขตลวงโดยไม่มีแรงต้านทานแม้แต่น้อยหากเป็นผู้บำเพ็ญระดับชั้นที่เก้ามาเผชิญหน้ากับเขตลวงอันน่าหวาดหวั่นถึงเพียงนี้ของตงป๋อเสวี่ยอิง ก็อาจจะถูกรบกวนจนสำแดงพลังออกมาได้เพียงส่วนน้อยเท่านั้น แต่จะจมดิ่งลงไปอย่างสิ้นเชิงโดยไร้แรงต้านทานแม้แต่น้อยกลับเป็นไปไม่ได้สักเท่าใดนัก ทว่าฝูงมารผลาญทำลายกลับมีเพียงตนเดียวเท่านั้นที่สามารถครองสติเอาไว้ได้
พวกเขาอ่อนยวบลง…
มิอาจคงเคล็ดลับที่เก็บงำกลิ่นอายเอาไว้ได้ แต่ละตนจึงปลดปล่อยกลิ่นอายตามธรรมชาติออกมา กลิ่นอายทำลายล้างนั้นยากจะปกปิด กลิ่นอายนี้เมื่อปลดปล่อยออกมาภายนอกก็ถูกกฎเกณฑ์อันสูงส่งผลักไสทันที
“ฝูงมารผลาญทำลาย!” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ตกใจมากเช่นกัน
นานเกินไปแล้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่ได้อะไรมาตั้งล้านล้านปีแล้ว แม้ เขาจะวาดบริเวณที่ความเป็นไปได้ค่อนข้างสูงออกมาตามรายงานต่างๆ แต่เขาก็ไล่ล่ามานานแสนนานเกินไปแล้ว! นานเสียจนเขาสังหารมารร้ายไปจำนวนนับไม่ถ้วนแล้ว เขาคิดว่าครั้งนี้จะแค่พบมารร้ายตนหนึ่งเข้าเหมือนเดิมเสียด้วยซ้ำไป
แต่ผลที่เกิดขึ้นก็คือเรื่องน่าประหลาดใจอย่างใหญ่หลวง
นอกจากนี้ยังมีฝูงมารผลาญทำลายถึงหกตนด้วยกัน! เป็นผลสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน! อดเปรี้ยวไว้กินหวาน ในที่สุดความลำบากนับล้านล้านปีของตนก็เกิดผลแล้ว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น