Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 31 ตอนที่ 36-37

 ตอนที่ 36 รางวัลจากการคว้าชัย

โดย

Ink Stone_Fantasy

ณ ดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งหนึ่งท่ามกลางอากาศอันสับสนอลหม่านมีรัฐและตัวเมืองจำนวนนับไม่ถ้วน เคยมีสิ่งมีชีวิตมากมายสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป บัดนี้กลับเหลือเพียงความอ้างว้างว่างเปล่า แห้งแล้งไร้ชีวิตชีวาเท่านั้น


“ฟิ้ว”


ชายหนุ่มอาภรณ์สีขาวหนาเตอะผู้หนึ่งเดินออกมาจากกลางอากาศอันบิดเบี้ยว ซึ่งก็คือตงป๋อเสวี่ยอิงนั่นเอง


“ดินแดนหลูหมิง ตายเกลี้ยงหมดแล้วหรือนี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงร่อนลงไปยังตัวเมืองแห่งหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยซากปรักหักพัง ไม่มีสิ่งมีชีวิตแม้แต่ชีวิตเดียว


เขาสาวเท้าไปก้าวแล้วก้าวเล่า ร่างกายก็เคลื่อนที่ในพริบตาไปอย่างไม่หยุดหย่อนตามสถานที่ต่างๆ…คูเมือง ทุ่งร้าง ทะเลทราย หมู่บ้าน ทุ่งน้ำแข็ง ตงป๋อเสวี่ยอิงมีสีหน้าสงบนิ่ง เพียงแต่สายตาเยียบเย็นขึ้นเรื่อยๆ แม้ตลอดคืนวันอันยาวนานที่ผ่านมา เขาจะท่องไปทั่วทิศเพื่อไล่สังหารฝูงมารผลาญทำลายมาตลอด และได้พบสถานที่ที่ถูกกลืนกินและทำลายล้างไปมากมายก็ตาม


แต่อย่าง ‘ดินแดนหลูหมิง’ ที่มีขอบเขตกว้างใหญ่ไพศาลเช่นนี้กลับเป็นครั้งแรก!


ดินแดนหลูหมิงกว้างใหญ่ยิ่งนัก ใหญ่โตกว่าจักรวาลมากมาย เป็นสถานที่พำนักของยักษ์ใหญ่ขั้นอลวน ‘บรรพชนหลูหมิง’ ที่นี่จึงย่อมมีสิ่งมีชีวิตมากมายเป็นธรรมดา


“ฝูงมารผลาญทำลายกำเนิดขึ้นจากกฎเกณฑ์อันสูงส่งหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงแหงนมองท้องฟ้าอันเวิ้งว้าง “ต่อให้จะทำลายล้างสิ่งมีชีวิตทั้งมวลแล้วกลับคืนสู่ความอลหม่าน ก็ทำลายล้างโดยตรงเสียเลยสิ ไยจึงต้องก่อกำเนิดฝูงมารผลาญทำลายให้มาล้างสังหารทุกหนแห่งด้วยเล่า…”


บางทีสำหรับกฎเกณฑ์อันสูงส่งแล้ว


มันคือกฎเกณฑ์ที่หมุนเวียนอย่างเยียบเย็นไร้ความเมตตา แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นผู้บำเพ็ญ เมื่อเขาได้เห็นเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นก็รู้สึกเพียงว่าเพลิงโทสะลุกโชนสุมทรวง


ต่อให้เป็น ‘โลกทิพย์นิจนิรันดร์’ ที่สับสนอลหม่านที่สุด ดีร้ายอย่างไรภายในโลกทิพย์นิจนิรันดร์ก็มีผู้บำเพ็ญระบบทิพย์ เหล่ากลืนกิน ศาสตร์โบราณและอื่นๆ อยู่มากมาย พวกเขาต่างก็ครอบครองดินแดน แต่ละแถบล้วนมีผู้แกร่งกล้าประจำการอยู่ทั้งสิ้น คิดจะกลืนกินตามอำเภอใจ…ก็มิได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น พลังของมารร้ายเหล่านั้นค่อนข้างอ่อนแอ พลังทำลายล้างก็ธรรมดาทั่วไป


แต่ฝูงมารผลาญทำลายเข้ามากบดาน โดยทั่วไปก็เป็นชั้นที่แปดระดับยอดไปจนถึงระดับชั้นที่เก้า! ในบรรดาขั้นอลวนก็นับได้ว่าเป็นระดับยอดสุดแล้ว เป็นอันตรายยิ่งนัก


“ข้าต้องกำจัดพวกเข้าทิ้งให้จงได้” แววดุร้ายในดวงตาของตงป๋อเสวี่ยอิงเข้มข้นยิ่งขึ้น


สวบ


เขาท่องไปทั่วทิศต่อไป


เสาะหาทั่วทุกหนแห่ง ต่อให้เป็นสถานที่อันไกลโพ้นอย่างยิ่ง เป็นสถานที่ห่างไกลซึ่งมีผู้บำเพ็ญอยู่แค่คนสองคน ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ล้วนสำแดงเขตลวงลงไป ‘คัดเลือก’


อากาศอันสับสนอลหม่านใหญ่โตเกินไปแล้ว เมื่อตรวจตราอย่างละเอียดเช่นนี้ทั่วทุกหนแห่ง ต่อให้เป็นล้านล้านปีก็นับได้ว่าเป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังคงเสาะหาไปแห่งแล้วแห่งเล่าโดยไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก


“ยังมีรังระดับเกราะทองที่ต้องเสาะหาอย่างสุดกำลังด้วย”


กลางทางเดินโลกาพิศวง ร่างแปรสองร่างกำลังเสาะหา


นับตั้งแต่จากปราการอากาศมาจนบัดนี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็พบพื้นที่รังเกราะทองสองแห่งแล้ว ทว่ายิ่งนานไปก็ยิ่งหายสกขึ้นอย่างเห็นได้ชัด


……


บนศิลาสีแดงเพลิงก้อนใหญ่ที่ล่องลอยอยู่กลางอากาศอันสับสนอลหม่าน


ศิลาสีแดงเพลิงก้อนใหญ่นี้ เป็นสิ่งที่หลงเหลืออยู่หลังจากโลกทิพย์โบราณดั้งเดิมแตกออกเป็นเสี่ยงๆ มันมีขนาดหลายพันลี้ เมื่ออยู่กลางอากาศอันสับสนอลหม่านอันกว้างใหญ่ไพศาลกลับนับว่ามีขนาดเล็กเสียยิ่งกว่าเล็ก บัดนี้ศิลาสีแดงเพลิงก้อนใหญ่นี้กลับมีคูหาอยู่แห่งหนึ่ง


ภายในคูหาก็คือ ‘แม่ทัพโม่กู่’ และผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งห้าของเขา


“ฟิ้ว ฟิ้ว…”


แม่ทัพโม่กู่นั่งอยู่ตรงนั้นพลางสะบัดศีรษะไปมาด้วยความตื่นเต้น “สุขสราญยิ่งนัก สุขสราญ สุขสราญ”


“ฮ่าฮ่าฮ่า หากผู้บำเพ็ญระดับสูงพวกนั้นรู้เข้า เกรงว่าคงจะต้องโมโหมากเป็นแน่ น่าเสียดาย อากาศอันสับสนอลหม่านกว้างใหญ่ไพศาลไร้ขอบเขต จะหาพวกเราให้พบนั้นเป็นไปไม่ได้เลย และข้าก็ไม่เชื่อด้วยว่าจะบังเอิญถึงเพียงนั้น”


“ครั้งนี้ข้าและคนอื่นๆ ก็กลืนกินไปบ้างแล้ว หาได้ยากนักที่จะสุขสราญถึงเพียงนี้”


“ตอนนี้นับว่าแม่ทัพโม่กู่คืนสู่ความสงบได้แล้ว”


ผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งห้าที่อยู่ข้างๆ หัวเราะ


ครั้งนี้แม่ทัพโม่กู่กินบรรพชนหลูหมิงผู้นั้นลงไป ทั้งยังกินสิ่งมีชีวิตไปถึงเก้าจุดเก้าส่วน ส่วนอีกห้าตนก็กลืนกินสิ่งมีชีวิตที่เหลืออยู่จำนวนน้อยนิดลงไปจนหมด แน่นอนว่าเนื่องจากครั้งนี้สิ่งมีชีวิตมากมายยิ่งนัก ต่อให้กินลงไปเพียงน้อยนิดจากจำนวนนั้น ก็ทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งห้ารู้สึกว่าดื่มด่ำอย่างหาได้ยากมากแล้ว อย่าง ‘แม่ทัพโม่กู่’ ตอนที่เพิ่งกลืนกินลงไปหมดนั้นก็แทบจะคลุ้มคลั่งไปเลยทีเดียว


“ความรู้สึกเช่นนี้ช่างงดงามเกินไปแล้ว ไม่รู้ว่าเวลาใดข้าจึงจะสามารถไปกินได้อีกครั้ง” นัยน์ตาของแม่ทัพโม่กู่สาดประกายออกมา


“แม่ทัพโม่กู่ บรรดาอ๋องกล่าวแล้วว่า จะกินมื้อใหญ่อีกสักมื้อในครั้งหน้า ก็ต้องรอให้ท่านถึงระดับชั้นที่เก้าเสียก่อน” อีกห้าท่านก็เอ่ยขึ้น


เดินอยู่ริมตลิ่งเป็นประจำ รองเท้าจะไม่เปียกได้อย่างไรกัน


ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนทั้งหมดก็มีเพียงหยิบมือหนึ่งเท่านั้น!


หากกินเป็นประจำ เหล่าเทพจักรวาลจะต้องระวังตัวมากอย่างแน่นอน และสามารถตกหลุมพรางได้ง่ายมาก


มีเพียงแม่ทัพโม่กู่เท่านั้นที่มีสถานะพิเศษ…ฝูงมารระดับเกราะทองทั่วไปนั้นไม่มีคุณสมบัติลงมือกับผู้บำเพ็ญขั้นอลวน


“ระดับชั้นที่เก้าหรือ” แม่ทัพโม่กู่จนใจ “นี่ก็ยากเกินไปแล้ว”


ฝูงมารระดับเกราะทอง


ที่อ่อนแอที่สุดก็เป็นระดับชั้นที่เจ็ด ชั้นที่แปดก็นับว่าค่อนข้างน้อยแล้ว ระดับชั้นที่เก้าน่ะหรือ


ไม่ว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญหรือว่าฝูงมารผลาญทำลาย คิดจะบรรลุถึงระดับชั้นที่เก้า…ก็ยากเสียยิ่งกว่ายากแล้ว แม่ทัพโม่กู่เชื่อว่า แม้จะให้เวลาตนเป็นสิบเท่าร้อยเท่าก็เกรงว่าคงจะไม่มีหวังมากสักเท่าใดนัก


“นี่คือคำสั่งของบรรดาอ๋อง”


แม่ทัพโม่กู่ทำได้เพียงรับไว้เท่านั้น ฝูงมารผลาญทำลายเกิดมาก็เพื่อทำสงครามเข่นฆ่า ฝูงมารผลาญทำลายระดับเกราะสีเทา…แต่ละตนล้วนทำตามคำสั่งของฝูงมารระดับเกราะโลหิต ฝูงมารระดับเกราะโลหิต ล้วนไม่กล้าขัดคำสั่งของฝูงมารระดับเกราะทอง ด้วยเหตุผลอย่างเดียวกัน ฝูงมารผลาญทำลายทั้งหมดล้วนไม่กล้าขัดคำสั่ง ‘อ๋อง’ เรื่องนี้ราวกับหยั่งรากลึกอยู่ในวิญญาณและเลือดเนื้อ


“ฟิ้ว…”แม่ทัพโม่กู่อ้าปาก


ทันใดนั้นวัตถุจำนวนมากก็ลอยออกมา


อาวุธนานาชนิด ที่เก็บวัตถุล้ำค่า คัมภีร์และอื่นๆ ทำเอาลานด้านข้างกลายเป็นภูเขาขนาดย่อมลูกหนึ่ง


“สิ่งเหล่านี้ล้วนย่อยไม่ได้ทั้งนั้น” แม่ทัพโม่กู่กล่าว “รีบพลิกดูเร็วเข้าว่าอะไรมีประโยชน์บ้าง โดยเฉพาะคัมภีร์สำหรับบำเพ็ญ”


“ขอรับ”


“พวกเราจะตรวจดูเดี๋ยวนี้” ผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งห้ากล่าว


สำหรับฝูงมารผลาญทำลายแล้ว สิ่งที่ดึงดูดพวกเขาจริงๆ ในโลกผู้บำเพ็ญ อย่างแรกก็คือเข่นฆ่าและกลืนกิน นี่คือความปรารถนาที่มาจากสัญชาตญาณ สองก็คือคัมภีร์สำหรับบำเพ็ญ! พวกเขาก็ต้องการจะซึมซุบประสบการณ์จากเคล็ดวิชาสืบทอดเพื่อให้ตนยกระดับขึ้น ฝูงมารเกราะทองแต่ละตนล้วนปรารถนาว่าจะสามารถหลุดพ้นจากการควบคุมของความปรารถนาแล้วสำเร็จเป็น ‘อ๋อง’ ได้


แต่จะเสาะหาคัมภีร์กลับเป็นเรื่องยากมาก


ยิ่งเป็นคัมภีร์และศาสตร์ลับที่ล้ำค่ามากขึ้นเท่าไหร่ สถานที่จัดวางก็จะยิ่งสำคัญมากขึ้นเท่านั้น! สถานที่ศักดิ์สิทธิ์อย่าง ‘วังทวีสูญ’ และ ‘เมืองราชันย์มีด’ นั้นเก็บรวบรวมคัมภีร์ต่างๆ ที่ล้ำค่าเป็นที่สุด หรือรองลงมาอีกระดับหนึ่ง…บรรดายักษ์ใหญ่ขั้นอลวนก็ได้เก็บรวบรวมคัมภีร์ที่ยอดเยี่ยมเอาไว้เช่นกัน หากเป็นเหล่าขั้นรวมเป็นหนึ่งที่อ่อนแอกว่า  คัมภีร์ก็อ่อนแอกว่ามากแล้ว


แม้พลังของฝูงมารผลาญทำลายจะแข็งแกร่ง แต่เนื่องจากมิกล้าลงมือกับขั้นอลวนตามอำเภอใจ พวกเขาจะเก็บรวบรวมคัมภีร์ก็ยากนัก ครั้งนี้สังหาร ‘บรรพชนหลูหมิง’ จนสิ้นใจ คัมภีร์ที่บรรพชนหลูหมิงเก็บรวบรวมมา แน่นอนว่าพวกเขาย่อมให้ความสำคัญ


“ฟิ้วๆๆ…”


วัตถุจำนวนมากถูกคัดแยกประเภท


แม่ทัพโม่กู่และผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งห้าช่วยกันวิเคราะห์วัตถุพวกนี้ วัตถุภายในที่เก็บวัตถุล้ำค่าเหล่านี้ถูกนำออกมาจนหมด ทำให้วัตถุภายในลานแห่งนี้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ


“ดีๆๆ นี่เป็นคัมภีร์เคล็ดวิชาสืบทอดของศาสตร์โบราณซึ่งเป็นจำพวกเปลวเพลิง เหมาะสมกับข้าเป็นที่สุด” หนึ่งในฝูงมารเกราะทองฉวยคัมภีร์เล่มหนึ่งขึ้นมาแล้วตรวจสอบดูพลางเลิกคิ้วขึ้นมา แม้จะมิอาจฝึกฝนได้ แต่คำอธิบายและคำชี้แนะจำนวนมากภายในคัมภีร์กลับยังคงมีประโยชน์ต่อพวกเขาดังเดิม


คัมภีร์เล่มแล้วเล่มเล่าถูกหาออกมา


ซึ่งส่วนมากล้วนแต่เป็นคัมภีร์ที่ค่อนข้างธรรมดาสามัญ แต่ที่ผ่านมาบรรดาฝูงมารเกราะทองก็ล้วนบำเพ็ญโดยอาศัยพรสวรรค์และสัญชาตญาณทั้งสิ้น ไหนเลยจะถ่องแท้อย่างที่บรรยายไว้ในคัมภีร์ของบรรดาผู้บำเพ็ญกันเล่า


“เคร้ง”


วัตถุต่างๆ เช่นอาวุธถูกพวกเขาโยนไปไว้ข้างหนึ่งอย่างคร้านที่จะใส่ใจ


“เอ๊ะ” แม่ทัพโม่กู่อุ้มคัมภีร์เอาไว้ถึงแปดเล่ม ทันใดนั้นนัยน์ตาก็มีประกายคมกริบวาบขึ้นมา เขาหันมองไปทางด้านข้าง จ้องมองขอบด้านล่างสุดของวัตถุจำนวนนับไม่ถ้วนที่กองเป็นภูเขาเลากา เมื่อครู่เขาเพิ่งจะขว้างวัตถุไปกองหนึ่ง


“ไม่ชอบมาพากลแล้ว” แม่ทัพโม่กู่เดินไปพลางเหยียดมือออกไปแล้วคว้าออกไปกลางอากาศอันเวิ้งว้างว่างเปล่า


แต่กลับคว้าอะไรบางอย่างเข้าไปได้จริงๆ


“เกิดอะไรขึ้นน่ะขอรับ” ทั้งห้าคนมองไปทางแม่ทัพโม่กู่


“น่าแปลกนัก” แม่ทัพโม่กู่ฉงนสงสัยพลางจ้องมองไปกลางมือ “มองไม่เห็น สัมผัสรับรู้ก็ไม่ได้ แต่ว่ามันมีอยู่จริงๆ ตอนนี้ก็ถูกข้าจับเอาไว้ได้แล้ว! เมื่อครู่ข้าขว้างของออกไปกองหนึ่ง เสียงกระทบตรงจุดหนึ่งทำให้ข้าเกิดความสงสัยขึ้นมา…ข้าจึงพบมันเข้า”


แม้พวกเขาคร้านที่จะสนใจวัตถุเหล่านั้น


แต่ถึงอย่างไรก็เป็นฝูงมารผลาญทำลายระดับเกราะทอง การสัมผัสรับรู้รอบด้านละเอียดอ่อนเพียงใด แค่วัตถุกระทบกันก็ทำให้แม่ทัพโม่กู่พบวัตถุที่มองไม่เห็นอย่างสิ้นเชิงได้แล้ว


“มองไม่เห็น สัมผัสรับรู้ก็ไม่ได้ แต่กลับสามารถจับต้องได้” แม่ทัพโม่กู่ลูบคลำวัตถุในมือ “เหมือนกับป้ายอันหนึ่ง”


“ข้าขอดูหน่อยขอรับ” ผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งห้าคนอื่นๆ ก็ล้วนสนอกสนใจเช่นกัน


ตอนที่ 37 จักรวาลบ้านเกิด ยุคสิ้นสุด

โดย

Ink Stone_Fantasy

 


แม่ทัพโม่กู่และผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งห้ามองไม่เห็นและสัมผัสรับรู้ไม่ได้จริงๆ หากมิใช่เพราะจับได้ด้วยมือตนเอง ก็คงมิอาจพบวัตถุนี้ได้เลย


“น่าแปลก”


“มีอะไรน่าประหลาดใจกัน ว่ากันว่าในโลกผู้บำเพ็ญก็มีสมบัติลับต่างๆ มากมายอยู่แล้ว! ยังมีวัตถุเร้นลับที่บ่มเพาะขึ้นมาอีกด้วย พวกมันล้วนแต่มีความสามารถอันน่าเหลือเชื่อต่างๆ กันไป”


“นี่อาจจะเป็นวัตถุพิสดารที่บ่มเพาะขึ้นมาจากอากาศอันสับสนอลหม่านกระมัง”


พวกเขาผลัดกันพูดคนละประโยคสองประโยค


แม้พลังรบของพวกเขาจะแข็งแกร่ง แต่ก็เป็นฝูงมารเกราะทองโดยกำเนิด หากพูดถึงสิ่งที่เคยพบเห็นหรือการรับรู้หมื่นสรรพสิ่งทั้งหลายแล้ว เทียบกับผู้บำเพ็ญกลับห่างชั้นกว่ามากทีเดียว


“วัตถุพิสดารหรือ” แม่ทัพโม่กู่นัยน์ตาเป็นประกาย เขาคว้าเอาไว้แล้วเก็บลงไปภายในที่เก็บวัตถุล้ำค่าทันที “นี่คือสมบัติของข้า”


แม้ผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งห้าจะอยากรู้อยากเห็น แต่ก็มิกล้าช่วงชิงกับแม่ทัพโม่กู่


“วัตถุพิสดารหรือ”


“สมบัติลับหรือ” แม่ทัพโม่กู่ก็แปลกใจ ตามปกติแล้วเขาก็ค้นคว้าบ้างเป็นครั้งคราว แต่ต่อให้ค้นคว้า ก็มิอาจพบได้ว่าวัตถุนี้มีวิธีใช้อย่างไร เขาจึงค่อยๆ ทิ้งมันไปจากสมอง


เพราะถึงอย่างไรสำหรับฝูงมารผลาญทำลายแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดก็ยังคงเป็นการเข่นฆ่า กลืนกินและบำเพ็ญอยู่นั่นเอง


……


วันคืนเคลื่อนคล้อยไป


ภายในจักรวาลบ้านเกิด


“โครมมมม…” ทั่วทั้งจักรวาลเกิดเสียงดังกัมปนาท รวมทั้งโลกวัตถุและหุบเหวลึกดำมืดก็ค่อยๆ ถล่มลง ดาวเคราะห์จำนวนนับไม่ถ้วนของโลกเทพก็ค่อยๆ ถล่มลง เข้าสู่การถล่มทลายในวาระสุดท้ายอย่างแท้จริง


ภายในเรือบินอลวนขนาดมหึมาลำหนึ่ง


ภายในเรือบินมีสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วนรวมตัวกันอยู่ พวกเขาล้วนแต่หลุดพ้นแล้ว อย่างน้อยก็เป็นเทพแท้


ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนเคียงข้างกับอวี๋จิ้งชิวผู้เป็นภรรยา พลางมองดูทุกสิ่งที่เกิดขึ้นภายนอกผ่านผนังที่กลายเป็นโปร่งใสของเรือบินอลวน


“ยุคนี้จะสิ้นสุดลงแล้ว” อวี๋จิ้งชิวมองดูแล้วพูดขึ้น “ผ่านไปรวดเร็วจริงๆ เสวี่ยอิง ข้ายังจำครั้งแรกที่พวกเราพบกัน ณ เมืองชิงเหอแห่งโลกเผ่าเซี่ยได้ ตอนนั้นพวกเราสองคนมิได้เป็นแม้แต่เหนือธรรมดาเสียด้วยซ้ำ! บัดนี้ยุคจักรวาลที่แปดของจักรวาลบ้านเกิดของพวกเรากำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว


“ตอนนั้นข้ายังเยาว์วัยนัก เจ้ากลับเป็นเทพโลกาสวรรค์สามชั้นกลับชาติมาจุติ อายุมากกว่าข้าตั้งไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ ช่างเป็นโคแก่กินหญ้าอ่อนจริงๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงหยอกเย้า


อวี๋จิ้งชิวเบ้ปาก “ท่านอยู่ข้างนอกก็เร่งเวลาบำเพ็ญตั้งหลายต่อหลายครั้ง ท่านต่างหากที่เป็นโคแก่น่ะ”


“เอาเถอะ ข้าเป็นโคแก่ เจ้าเป็นหญ้าอ่อนก็ได้”


สองสามีภรรยาปะทะคารมกัน จิตใจกลับผ่อนคลายลงไม่น้อย


ยุคจักรวาลแตกทลายก็มีกระบวนการหนึ่ง แม้เมื่อเทียบกันแล้วกระบวนการจะค่อนข้างสั้น แต่กลับกินเวลายาวนานถึงร้อยกว่าล้านปี


บรรดาสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่ล้วนมาถึงบนเรือบินอลวนลำนี้แล้ว และกำลังชมดูกระบวนการแตกทลายของยุคจักรวาลนี้ และกำลังรอคอย…รอคอยว่าระหว่างช่วงการแตกสลายในตอนท้ายสุด จะมีสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่คนใหม่ถือกำเนิดขึ้นหรือไม่!


มีเพียงสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่ที่หลุดพ้นจากมหานทีแห่งกาลเวลาแล้วเท่านั้นจึงจะไม่แตกสลายไปพร้อมกับยุคจักรวาล


“ได้เห็นยุคจักรวาลบ้านเกิดสิ้นสุด จิตใจก็ซับซ้อนยิ่งนัก” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต ประมุขหยวนชูและผู้ครองชิงพูดคุยกัน แม้พวกเขาจะไปยังวังทวีสูญตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว ทว่าเมื่อยุคจักรวาลบ้านเกิดสิ้นสุด พวกเขาก็อยากจะมาเห็นกับตาเสียหน่อย


เพราะถึงอย่างไร…


นับตั้งแต่ยุคจักรวาลถัดไปเริ่มต้น พวกเขาก็จะถูกจักรวาลบ้านเกิดผลักไส มิอาจเข้ามาได้อีกแล้ว ถึงตอนนั้นก็จะเป็นสิ่งมีชีวิตของยุคจักรวาลถัดไปแล้ว


ผ่านไปปีแล้วปีเล่า


พวกตงป๋อเสวี่ยอิงก็มองดูทุกสิ่งเกิดขึ้น ตงป๋อเสวี่ยอิงยังไปตามบริเวณต่างๆ ของจักรวาลบ้านเกิดแล้วชี้แนะพวกเทพโลกาสวรรค์สี่ชั้นด้วยตนเอง เขาหวังว่าก่อนช่วงสุดท้ายจะมาถึง เทพโลกาสวรรค์สี่ชั้นเหล่านี้จะสามารถหลุดพ้นได้สักหลายคน เพราะเมื่อหลุดพ้นแล้ว ก็เท่ากับรอดชีวิต


และช่างบังเอิญจริงๆ เพียงพันกว่าปีก่อนจะแตกทลายอย่างสิ้นเชิงในช่วงท้าย ก็มีเทพโลกาสวรรค์สี่ชั้นสามท่านหลุดพ้นและสำเร็จเป็นเทพแท้ถึงสามคนต่อเนื่องกัน


“ฟิ้ว…”


จักรวาลบ้านเกิด ทั้งจักรวาลก็แตกทลายครั้งใหญ่อย่างสิ้นเชิงโดยแท้จริง


ดาวเคราะห์ อากาศและโลกทั้งหมดแตกออกเป็นเสี่ยงๆ แล้วกลายเป็นพลังงานบริสุทธิ์ ราวกับของเหลวข้นขนาดมหึมาที่เริ่มซัดสาดและหมุนวน ภายในนั้นมีเรือบินอลวนอยู่ตรงกลาง


สิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่หลายพันคนมองดูอยู่ห่างๆ มองดูยุคนี้กลายเป็นของเหลวข้นขนาดมหึมา


ในใจของพวกเขาทั้งซับซ้อนและรู้สึกปลงตก เนื่องจากในยุคของพวกเขานี้มีผู้ที่ยอดเยี่ยมไร้เทียมทานอย่างตงป๋อเสวี่ยอิงถือกำเนิดขึ้น ทั้งยังนำคัมภีร์ล้ำค่าจำนวนมากกลับมาเผยแพร่ออกไปอย่างกว้างขวาง ทำให้การบำเพ็ญต่อจากนั้นง่ายดายขึ้นมาก สิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่ก็ถือกำเนิดขึ้นได้รวดเร็วขึ้นมากทีเดียว ตอนที่ยุคจักรวาลสิ้นสุดจึงมีสิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่มากมายถึงเพียงนี้


แต่ว่า เมื่อเทียบกับสิ่งมีชีวิตทั่วทั้งจักรวาลจำนวนนับไม่ถ้วนแล้ว สิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้ยังคงมีจำนวนน้อยเกินไปอยู่ดี


“ไปกันเถิด”


ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปาก เขาสัมผัสได้ถึงแรงผลักไสของจักรวาลที่มีต่อพวกเขาแล้ว


หากเป็นระดับต่ำกว่าเทพอากาศลงมา…ก็จะไม่ถูกผลักไส เพราะถึงอย่างไรบรรดาเทพแท้ก็มิอาจคุกคามความมั่นคงของยุคจักรวาลได้ แต่เหล่าเทพอากาศกลับมีภัยคุกคามมากทีเดียว จักรวาลจึงต้องผลักไสพวกเขาออกไปอย่างแน่นอน!


“ฟิ้ว”


เรือบินอลวนบินออกจากรอยแยกของผนังจักรวาลเข้าสู่อากาศอันสับสนอลหม่านที่กว้างใหญ่ไพศาล


พาสหายร่วมบ้านเกิดเหล่านี้บินท่องไปในอากาศอันสับสนอลหม่านอยู่หลายวัน โดยเฉพาะไปตามสถานที่อันตรายต่างๆ ให้พวกเขาได้เปิดหูเปิดตา นับว่าเป็นการเปิดโลกทัศน์ใหม่ จากนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็นำเรือบินอลวนส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นไปยัง ‘เมืองโลกเทียม’ แห่งโลกทิพย์ทะเลสัตตดารา


……


เมืองโลกเทียม เป็นหนึ่งในเมืองอลหม่านสิบสามเมืองของวังทวีสูญ ตงป๋อเสวี่ยอิงมีร่างแปรร่างหนึ่งหลับใหลอยู่ที่นี่มาอย่างยาวนาน เพื่อทำหน้าที่ประจำการ


ในฐานะยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนระดับชั้นที่เก้า เขาจึงมีแรงคุกคามอย่างมหาศาล ต่อให้เหล่าฝูงมารผลาญทำลายมีความอาฆาตแค้นต่อตงป๋อเสวี่ยอิง ก็ไม่กล้ามายังพื้นที่ของตงป๋อเสวี่ยอิง ด้วยเกรงว่าจะถูกจับได้ทันทีที่ก้าวเข้าประตูเมืองมา


ตงป๋อเสวี่ยอิงจัดคนจากบ้านเกิดเข้าอยู่ในเมืองโลกเทียม ส่วนภายในวังทวีสูญน่ะหรือ มิใช่ว่าผู้ใดก็สามารถเข้าไปได้


“เมืองโลกเทียมหรือ”


“เนื่องจากท่านพ่อกลายเป็นประมุขตำหนักไปแล้ว จึงได้สร้างเมืองอลหม่านขึ้นใหม่อย่างนั้นหรือ”


“ไปๆๆ พวกเราไปดูกันหน่อยเถิด”


ตงป๋ออวี้และตงป๋อชิงเหยาสนใจใคร่รู้เป็นอันมาก จึงได้พาสหายร่วมวิถีและสหายทั้งหลายออกไปดูเสียหน่อย


“นายน้อยทั้งสอง ให้ข้านำทางนะขอรับ” ทันใดนั้นก็มีพ่อบ้านและเหล่าทหารรักษาการณ์ติดตามไปด้วย


ตงป๋ออวี้และตงป๋อชิงเหยาบำเพ็ญตลอดคืนวันอันยาวนานมาจนบัดนี้ แม้ในระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์จะเป็นเพียงระดับผู้ปกครองคนหนึ่ง แต่ระบบศาสตร์โบราณกลับบรรลุถึงเทพอากาศขั้นกำเนิดแล้ว เพราะถึงอย่างไรก็เป็นบุตรธิดาของ ‘ขั้นอลวนระดับชั้นที่เก้า’ ด้วยการบ่มเพาะของทรัพยากรจำนวนมาก จึงสามารถบำเพ็ญศาสตร์โบราณได้อย่างง่ายดาย แต่ก็เป็นเพียงเทพอากาศขั้นกำเนิดเท่านั้น นับว่าค่อนข้างอ่อนแอแล้ว


อย่าง ‘สิงหั่วสวินอี’ ศิษย์ของตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นสามารถบรรลุถึงขั้นรวมเป็นหนึ่งได้อย่างง่ายดาย แน่นอนว่านั่นเป็นเพราะสิงหั่วสวินอีเป็นบุตรที่เกิดหลังจากจักรพรรดิสิงหั่วบรรลุถึงระดับชั้นที่เก้าแล้ว เมื่อเทียบกันแล้วหลายๆ ด้านเช่นสายโลหิตก็แข็งแกร่งกว่า


ตงป๋ออวี้และตงป๋อชิงเหยายังพอนับได้ว่าธรรมดาสามัญ


แต่อย่างอวี๋จิ้งชิวมารดาของพวกเขา เมื่อเทียบกันแล้วก็อ่อนแอยิ่งกว่า ทรัพยากรที่ทุ่มเทให้กับอวี๋จิ้งชิวนั้นเพียงพอให้ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนเจ็บปวดใจหาใดเปรียบได้แล้ว บัดนี้ยังคงเป็นเพียงผู้ปกครองระดับเทพแท้คนหนึ่งเท่านั้น


……


ร่างแปรของตงป๋อเสวี่ยอิงตื่นจากห้วงนิทราแล้ว และอยู่ในเมืองโลกเทียมเป็นเพื่อนญาติสนิทมิตรสหายทั้งหลาย


สถานะของตงป๋อเสวี่ยอิงในบรรดาขั้นอลวนเป็นที่ยอมรับมากขึ้น โดยเฉพาะพวกสิ่งมีชีวิตระดับยอดสุดอย่างเจ้าลัทธิภาพจิตและประมุขตำหนักอลหม่านนั้น ก็ปฏิบัติต่อเขาแทบจะเท่ากับเทพจักรวาลเลยทีเดียว พวกเขารู้ว่าฝูงมารเกราะทองเข้ามากบดาน และรู้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังไล่สังหาร ทั้งยังเคยสังหารฝูงมารเกราะทองระดับชั้นที่เก้าด้วย และยังไล่ล่าอย่างยากลำบากมาโดยตลอด…


ไม่ว่าจะเป็นเพราะพลังหรือเพราะคุณูปการที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสร้างไว้ให้กับทั้งฝ่ายผู้บำเพ็ญ ขั้นอลวนระดับชั้นที่เก้าล้วนเคารพนับถือเขาเป็นอันมาก


สถานะของตงป๋อเสวี่ยอิงย่อมทำให้เส้นทางการบำเพ็ญของบุตรธิดาทั้งคู่ของเขาราบรื่นขึ้นมากเป็นธรรมดา


ทว่าตัวตงป๋อเสวี่ยอิงเองกลับไม่พึงพอใจเลยแม้แต่น้อย แม้เขาตามตรวจสอบเพื่อเสาะหาฝูงมารผลาญทำลายตามที่ต่างๆ แต่สำหรับเขาแล้วการสำแดงเขตลวงนั้นเป็นการใช้แรงเพียงยกฝ่ามือเท่านั้น ระหว่างการเดินทางอย่างยากลำบาก ความคิดจิตใจส่วนใหญ่ของเขาล้วนอยู่กับการบำเพ็ญ ด้วยปรารถนาว่าสักวันจะบรรลุถึงขั้นเทพจักรวาลได้


เส้นทาง แม้จะยาวไกล


แต่เขาก็ยังคงค่อยๆ เดินทางไปทีละก้าวๆ


 ………………………………..

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)