Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 31 ตอนที่ 33-35
ตอนที่ 33 สอดแนมพลังยุทธ์ของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์
โดย
Ink Stone_Fantasy
หอกโบราณหลากสีในมือของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์พุ่งออกมาในทันใดราวกับอสนีบาต พอพุ่งออกมาแล้วก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ขวับ!
ทางเข้าวังทวีสูญที่อยู่ไกลออกไปเกิดไประลอกคลื่น หอกหลากสีนำมาซึ่งพลังคุกคามอันน่าหวาดหวั่นเป็นที่สุดอย่างเห็นได้ชัด โจมตีบริเวณทางเข้า แต่เพียงแค่ก่อให้เกิดระลอกคลื่นเท่านั้น อีกทั้งยังมีประกายดาบปรากฏขึ้นต้านทานการคุกคามของหอกยาวอย่างต่อเนื่อง
“จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ วังทวีสูญไม่ต้อนรับเจ้าหรอกนะ” น้ำเสียงเย็นชาลอยมาจากมิติอีกแห่งหนึ่ง
“ราชันย์มีดก็มาถึงแล้วสินะ” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์เองก็รู้ว่าคราวนี้สถานการณ์เลวร้าย เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายมีการเตรียมตัวมาก่อน เตรียมตัวกันมาอย่างเต็มที่ยิ่งนัก ภายใต้การจัดการของบรรพชนทิพย์และบรรพชนโลกา… ตนเองย่อมไม่สามารถทำลายวังทวีสูญที่มีราชันย์มีดรักษาการณ์อยู่ได้อย่างง่ายดายอยู่แล้ว
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ยื่นมือออกมา หอกหลากสีก็ลอยกลางอากาศกลับมาอยู่ในอุ้งมือเขา
“พวกเจ้าเชื่อมั่นในตัวจอมกระบี่ผู้นั้นมากเกินไปแล้วกระมัง สิ่งของของข้ามิได้ถูกช่วงชิงได้อย่างง่ายดายเช่นนั้นหรอกนะ” กลิ่นอายอาฆาตที่แผ่มาจากบนร่างของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ทวีความเข้มข้นยิ่งขึ้น
“ก็ลองดูกันสักตั้งเถิด” บรรพชนโลกายิ้มตาหยี
บรรพชนทิพย์ยืนอยู่ข้างๆ อย่างเงียบเชียบเช่นเดิม
“ดื้อดึงไปก็ไร้ประโยชน์” กลิ่นอายบนร่างของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ปะทุขึ้นมาในทันใด
ปัง!
ฟ้าเบื้องบนของโลกทิพย์พลันมีอสนีบาตจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น อสนีบาตสีเทาสายแล้วสายเล่าแหวกว่ายตามอำเภอใจราวกับงูสายฟ้าขนาดมโหฬาร หรือไม่ก็ฟาดลงบนพื้นดินเบื้องล่างอย่างโกรธา อสนีบาตเหล่านี้บ้าคลั่งเหนือธรรมดา แต่กลับอยู่รอบกาย ‘จอมเทพศักดิ์สิทธิ์’ ทั้งสิ้น ผิวหนังของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์เปลี่ยนเป็นโปร่งแสงอย่างรางๆ มีอสนีบาตจำนวนนับไม่ถ้วนเคลื่อนอยู่ภายในผิวหนัง
เขากุมหอกยาว ผิวนอกของหอกยาวก็มีสายฟ้าสีเทาล้อมรอบอยู่เช่นเดียวกัน
“บรรพชนทิพย์ ระวังหน่อยนะ จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้ใกล้จะคลั่งแล้ว” บรรพชนโลกายิ้มตาหยีเช่นเคย แต่บรรพชนทิพย์ที่อยู่ด้านข้างกลับนิ่งขรึมสายโซ่สีดำบนผิวกายเส้นแล้วเส้นเล่าต่างก็พุ่งพรวดขึ้นในทันใดแล้วขยายยาวขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน สายโซ่สีดำทุกเส้นต่างก็ทำให้ห้วงมิติบริเวณรอบๆเริ่มบิดเบี้ยวแล้วทลายลงมา บริเวณรอบสายโซ่คล้ายกับมีจักรวาลกำเนิดขึ้นและสูญสลาย เห็นได้ชัดว่าระแวดระวังอย่างที่สุด
“ปัง”
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์เคลื่อนไหวแล้ว ก้าวยาวๆ ก้าวหนึ่งก็เข้ามาสังหาร หอกยาวดูเหมือนถูกแทงออกมาเบื้องหน้าอย่างง่ายๆ คราหนึ่ง แต่กลับแฝงไว้ด้วยรสชาติอันน่าประหลาด หอกยาวแทงไปทางบรรพชนทิพย์ เห็นได้ชัดว่าสำหรับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์แล้ว… บรรพชนทิพย์ดูเหมือนจะจัดการได้ง่ายที่สุด
“เคร้งๆๆ…” สายโซ่สีดำเก้าเส้นลอยสะบัด ทุกเส้นลึกลับยากคาดเดา ทำให้พื้นที่โดยรอบต่างก็หดเล็กลงอย่างฉับพลัน มิติที่เดิมทีมีพื้นที่ถึงพันลี้ ถูกบีบให้หดเล็กลงเหลืออาณาบริเวณเพียงหนึ่งลี้เท่านั้น ทำให้หอกยาวของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ย่อมมิอาจหลีกเลี่ยงได้ ภายในพื้นที่บริเวณเพียงหนึ่งลี้ สายโซ่สีดำเก้าเส้นดูเหมือนจะเติมเต็มพื้นที่ทุกตารางนิ้ว ปะทะเข้าด้วยกันกับหอกยาว
ตึง…
เสียงปะทะดังสนั่น บรรพชนทิพย์ตระหนกจนถึงกับร่นถอยหลังไป
“ฮ่าฮ่า มาเล่นกับข้าหน่อยสิ” บรรพชนโลกาหัวเราะเสียงดังแต่กลับบุกตะลุยเข้ามา
“ไสหัวไป” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ขยับหอกยาวในมือ ถึงแม้ว่าเขาจะมิใช่สายความเร้นลับของกฎเกณฑ์ แต่ระดับขั้นการโจมตีอันสูงส่งและความร้ายกาจของการใช้หอกยาวนั้นกลับล้ำเลิศเป็นที่สุด
บรรพชนโลกากลับมิได้แยแสสนใจ โบกมือทั้งสองแล้วโอบกอดเข้าไป เขายังมีความรวดเร็วอย่างที่สุด หอกยาวนั้นถอนอยู่เหนือศีรษะของบรรพชนโลการ่างผอมเล็ก กะโหลกศีรษะของเขาพลันบิดเบี้ยวเปลี่ยนรูปร่าง แต่บรรพชนโลกาก็ยังหัวเราะอยู่เช่นเดิม เขามิได้สูญเสียแม้กระทั่งผมเส้นเดียว ผิวหนังก็ไม่มีรอยขีดข่วน กะโหลกศีรษะที่บิดเบี้ยวเปลี่ยนรูปบิดเบี้ยวอีกครั้งแล้วก็ฟื้นคืนสู่สภาพปกติ
สวบ! ฟิ้ว! ปัง!
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์พลันโจมตีบนร่างของบรรพชนโลการ่างผอมเล็กหลายสิบหอก พูดถึงพลังคุกคาม พูดถึงความล้ำลึกของระดับขั้น จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ล้วนเหนือกว่าบรรพชนโลกาทั้งสิ้น บรรพชนโลกาถูกโจมตีจนไม่มีแรงจะตีกลับเลยแม้แต่น้อย
แต่ทว่า…
บรรพชนโลกาก็มิได้สูญเสียอะไรเลยแม้แต่น้อย
ร่างกายของเขาอยากให้ใหญ่ก็ใหญ่ อยากให้เล็กก็เล็ก บางครั้งร่างกายก็ทนทานราวกับอาวุธลับระดับจักรวาล พออ่อนนิ่มขึ้นมาก็กลายเป็นแม่น้ำที่กำลังไหลรินสายหนึ่ง อยากให้ร่างกายเลือนหายก็เลือนหาย… อยากให้รวมตัวกันก็รวมตัว เผชิญหน้ากับศัตรูที่ทำอย่างไรก็ฆ่าไม่ตายเช่นนี้ จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ค่อนข้างจนใจ
“ไป” ผิวกายของบรรพชนทิพย์ที่อยู่อีกฟากหนึ่งเริ่มมีสายโซ่สีดำลอยออกมาอย่างแน่นขนัด สายโซ่เหล่านี้ทุกเส้นต่างก็มีขนาดเล็กมาก แต่หลังจากที่ลอยออกมาแล้วกลับมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ สายโซ่สีดำกว่าหมื่นเส้นต่างก็ทำให้ทั่วทั้งโลกทิพย์สั่นสะเทือน
“พวกเขาสองคน” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็เดือดดาลเป็นอย่างยิ่ง
บรรพชนทิพย์เป็นถึงบุคคลที่สถาปนาระบบทิพย์ เพียงให้เวลาเล็กน้อยกับเขา เขาก็สามารถสำแดงเคล็ดลับอันน่าหวั่นเกรงบางอย่างออกมาได้
เห็นได้ชัดว่าบรรพชนของระบบทิพย์ผู้นี้ก็มีเคล็ดวิชาอันลึกลับน่าอัศจรรย์เช่นกัน
ถ้าหากหนึ่งต่อหนึ่ง…
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ย่อมไม่มีทางให้เวลากับบรรพชนทิพย์ แต่บรรพชนโลกาช่วยเหลืออยู่ที่ฝ่ายนั้น เห็นได้ชัดว่าให้เวลาบรรพชนทิพย์อย่างเพียงพอในการสำแดงเคล็ดวิชา
“ปัง…”
ยามที่จอมเทพศักดิ์สิทธิ์และบรรพชนทิพย์ประมือกัน โลกทิพย์ก็สั่นสะเทือน รอยแยกที่ปรากฏขึ้นระหว่างฟ้าดินครั้งแล้วครั้งเล่ากลับสมานกัน
……
ภายในวังทวีสูญ
พวกตงป๋อเสวี่ยอิงต่างก็รู้สึกได้ถึงความเคลื่อนไหวของการต่อสู้อันน่าหวั่นเกรงที่โลกภายนอก
“นี่มันเรื่องอันใดกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงทำการสอดแนมผ่านโพรงทรงกลมหมอกดำในทันที เพราะสถานที่ที่พวกจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ต่อสู้กันอยู่ภายนอกวังทวีสูญ ระยะทางใกล้เป็นอย่างยิ่ง พอตงป๋อเสวี่ยอิงสอดแนม… ก็สอดแนมได้อย่างกระจ่างชัดยิ่งนัก
“จอมเทพศักดิ์สิทธิ์!”
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเห็นแล้ว มองเห็นเงาร่างที่เหมือนกับรูปสลักโบราณนั้นทุกประการ รูปโฉมของเขาค่อนข้างก้ำกึ่ง ถ้าหากเปลี่ยนเป็นเครื่องแต่งกายของอิสตรี เกรงว่าอาจจะถูกเรียกได้ว่าเป็นหญิงงาม รูปโฉมของเขาดูศักดิ์สิทธิ์ แฝงไว้ด้วยรสชาติของกฎเกณฑ์สูงสุดของอากาศอันสับสนอลหม่าน อากัปกิริยาการเคลื่อนไหวของเขาล้วนแฝงไว้ด้วยแรงกดดันอันน่าหวาดหวั่น…
“จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ เป็นเขา เป็นเขา” ในใจของตงป๋อเสวี่ยอิงเกิดแววอาฆาตอันยากจะยับยั้งขึ้นมา
ท่านอาจารย์กู่ฉีตายด้วยน้ำมือของเขา ตนเองยังมิทันจะได้ไปพบหน้าท่านอาจารย์เลย
เจ้าบ้าผู้นี้
คนที่ต้องการให้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดยอมจำนนต่อเขา สวามิภักดิ์ต่อเขา แม้กระทั่งอิสรภาพของดวงวิญญาณก็ยังไม่มี
“นี่คือพลังยุทธ์ของเขาอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงได้เห็นพลังยุทธ์ของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์เป็นครั้งแรก
แข็งแกร่งเกินไปเสียแล้ว
อสนีบาตอันน่าหวาดหวั่นนั้นล้อมรอบร่างของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ มือของเขากุมหอกยาวโบร่ำโบราณอันลึกลับเอาไว้ ทุกการเคลื่อนไหวล้วนทำให้โลกทิพย์สั่นสะท้าน ความเร็วนั้นยังเหนือกว่าขอบเขตที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถมองเห็นได้เสียอีก เขามองเห็นเพียงแค่ว่า…ภายใต้การโจมตีของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ บรรพชนโลกาก็ได้แต่อาศัยร่างกายไปต้านทานไปพัวพัน! ส่วนบรรพชนทิพย์ก็ซ่อนตัวอยู่ที่บริเวณไกลออกไปเพื่อบ่มเพาะเคล็ดวิชาอันน่าหวั่นเกรง
แต่เคล็ดวิชาอันน่าหวั่นเกรงที่บรรพชนทิพย์บ่มเพาะนั้น จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็สามารถฝืนทำลายได้
คนหนึ่งรับมือกับสองคน…จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ยังได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัด
โลกทิพย์ทะเลสัตตดารากำลังสั่นสะเทือน แต่ละครั้งล้วนมีรอยแยกปรากฏให้เห็น
“แข็งแกร่งเกินไปแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพรั่นพรึง
ต้องรู้ไว้ว่าบรรพชนทิพย์และบรรพชนโลกานั้นเรียกได้ว่าพวกเขาเป็นบุคคลที่ใกล้เคียงกับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์มากที่สุดแล้ว ถึงตนเองจะกระตุ้นสมบัติลับ ‘กำไลไข่มุกสิบสองเม็ด’ ที่อยู่กับตัว ก็สามารถทำได้แค่ต้านทานพวกบรรพชนทิพย์สักหนึ่งหรือสองอึดใจเท่านั้น! เช่นเคล็ดวิชาที่บรรพชนทิพย์อาศัยเวลาบ่มเพาะออกมาในตอนนี้ เพียงแค่กระบวนท่าเดียวสมบัติลับทั้งสองของตนก็ต้านไม่อยู่แล้ว ตนเองก็ต้องจบชีวิต
แต่จอมเทพศักดิ์สิทธิ์สามารถทำลายได้อย่างง่ายดาย กระบวนท่าเดียวอย่างส่งๆ ของเขาก็สามารถทำลายล้างระดับอย่างตงป๋อเสวี่ยอิงได้แล้ว
ถล่มฟ้าทลายดิน
การทำลายโลกทิพย์สักแห่งหนึ่งก็มิใช่เรื่องยากสำหรับเขาเลย
“ข้ายังห่างชั้นกับเขามากมายจริงๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเห็นกับตาตนเองแล้วจึงเข้าใจในความห่างชั้น
มิน่าเล่าจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้สูงส่งจึงมิได้แยแสสนใจยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนเลย ถึงอย่างไรต่อให้เป็นผู้ที่เหยียบย่างเข้าสู่เทพจักรวาล อาศัยสมบัติล้ำค่า ยามอยู่ต่อหน้าจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ทำได้เพียงฝืนรักษาชีวิตได้เป็นระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น แม้กระทั่งคุณสมบัติในการต่อกรกับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ยังไม่มีเลยด้วยซ้ำ
ผู้ที่สามารถต่อกรได้นั้นมีน้อยจนสามารถนับนิ้วได้ ซึ่งล้วนเป็นบุคคลระดับเทพจักรวาลระดับชั้นที่สองด้วยกันทั้งสิ้น
“คิดจะเป็นศัตรูกับเขาก็ต้องเป็นเทพจักรวาลให้ได้เสียก่อน” ตงป๋อเสวี่ยอิงสั่นสะท้านไปถึงดวงวิญญาณอย่างมิอาจควบคุมตนเองได้ เขาปรารถนา ปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะทำให้ตนเองแกร่งกล้า
ระดับชั้นที่เก้าขั้นสุดยอด
ก็นับว่าแข็งแกร่งมากในบรรดาขั้นอลวนแล้ว แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ ก็ยังคงเป็นเพียงมดปลวกอยู่ดี อาศัยสมบัติลับก็ยังคงเป็นมดปลวก!
ตอนที่ 34 ฝุ่นละอองตกตะกอน
โดย
Ink Stone_Fantasy
ตงป๋อเสวี่ยอิงทำการสอดแนม ‘การต่อสู้ระดับสุดยอด’ ในครั้งนี้ต่อไป การต่อสู้ในระดับนี้เกิดขึ้นได้ยากยิ่ง
ถึงแม้ว่าการชมดูการต่อสู้ในครั้งนี้จะกินแรงเป็นอย่างมาก กระบวนท่าการต่อสู้จำนวนมากรวดเร็วเกินไป เลือนรางเกินไป…แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ค่อยๆ มีความรู้ในการประเมินขึ้นมาบ้างอย่างช้าๆ
กระบวนท่าการต่อสู้ของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ ถึงแม้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงจะสามารถค้นพบความเร้นลับ จำนวนมากมายได้อย่างเลือนราง อย่างเช่นค่ายสังหาร การทำลายล้าง ประกาย และอสนีบาต… ความเร้นลับต่างๆ ล้วนอยู่ภายในกระบวนท่าตามธรรมชาติ ทว่าความเร้นลับต่างๆ ล้วนมีแหล่งที่มาเพียงหนึ่งเดียว ก็คือ ‘อสนีบาตอันมืดครึ้ม’ แหล่งกำเนิดของพลังการต่อสู้ของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ล้วนมาจากอสนีบาตนั้นทั้งสิ้น
อสนีบาตมีพลังคุกคามล้างโลก
ทั้งเหิมเกริม อีกทั้งยังมีพลังทำลายล้างอย่างที่สุด…
“จอมเทพศักดิ์สิทธิ์กับบรรพชนโลกาเหมือนกันยิ่งนัก พวกเขาต่างก็เชี่ยวชาญเพียงแห่งเดียวเท่านั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดพึมพำ “จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ ดูเหมือนว่าทั้งหมดจะมาจากอสนีบาตทั้งสิ้น แต่พลังนี้ก็เพียงพอที่จะกดดันบรรพชนทิพย์และบรรพชนโลกาเลยทีเดียว”
“บรรพชนโลกา มีความเชี่ยวชาญทางร่างกาย! บำเพ็ญร่างกายไปจนถึงระดับขั้นที่เหนือกว่าที่จะจินตนาการได้ ความแข็งแกร่งของร่างกายเขายังน่าหวาดหวั่นยิ่งกว่าสมบัติลับเหล่านั้นเสียอีก การโจมตีของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ยังมิอาจทำร้ายเขาได้แม้แต่ปลายขน” ตงป๋อเสวี่ยอิงอดที่จะทอดถอนใจอย่างหนักหน่วงมิได้ เขาสำเร็จวิชาสืบทอดทั้งสี่ของจักรพรรดิดำแล้ว ดูเหมือนว่าจะสามารถบำเพ็ญร่างกายไปจนถึงระดับขั้นสูงที่สุดแล้ว
แต่ดูขึ้นมาแล้วร่างกายของบรรพชนโลกานี้จึงจะเรียกว่าน่ากลัว
“หากบอกว่าความเชี่ยวชาญของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์คือ ‘อสนีบาต’ บรรพชนโลกาเชี่ยวชาญทางด้าน ‘ร่างกาย’ เช่นนั้นบรรพชนทิพย์ก็ซับซ้อนเสียแล้ว ”ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ
บรรพชนทิพย์นั้นมีความเชี่ยวชาญ ‘เบ็ดเตล็ด’ เขามีเคล็ดวิชาอันร้ายกาจมากมาย ถึงขนาดที่เคล็ดวิชาอันร้ายกาจจำนวนหนึ่งสามารถรวมเข้าด้วยกันได้ ท่าไม้ตายที่สำแดงออกมานั้นน่าหวั่นเกรงเป็นที่สุด ทำให้จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ยังต้องตอบสนองอย่างระมัดระวัง แต่ข้อบกพร่องเพียงหนึ่งเดียวก็คือ…เคล็ดวิชาอันน่าหวั่นเกรงทั้งหลายของบรรพชนทิพย์จำเป็นต้องอาศัยเวลาเล็กน้อยในการหลอมรวม ถ้าหากเป็นการต่อสู้ในระยะเวลาสั้นๆ บรรพชนทิพย์ก็มิอาจสู้บรรพชนโลกาได้
“มิน่าเล่าจึงเป็นที่ยอมรับกันว่าบรรพชนโลกาและจอมมารดาเป็นผู้ที่ใกล้เคียงกับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ส่วนบรรพชนทิพย์นั้นก็อาศัยเคล็ดวิชาอันแพรวพราวเทียบเคียงได้กับพวกบรรพชนโลกาอย่างรางๆ แต่ก็ยังมีข้อบกพร่องอยู่พอสมควร” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าเงียบๆ
ในการประเมินพลังยุทธ์อันเป็นที่ยอมรับ
เทพจักรวาลระดับชั้นที่สอง จอมมารดาและบรรพชนโลกาอยู่ในระดับเดียวกัน บรรพชนทิพย์และราชันย์มีดก็เข้าใกล้มากแล้ว!
“แต่ตอนนี้บรรพชนโลกาและบรรพชนทิพย์ทำได้เพียงพัวพันกับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น แต่กลับไม่สามารถทำร้ายจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ได้เลยแม้แต่น้อย ” ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวใจหนักอึ้ง จอมเทพศักดิ์สิทธิ์สู้หนึ่งต่อสองก็ยังถือครองความได้เปรียบ มิน่าเล่าจึงเป็นบุคคลที่สามารถเป้นศัตรูกับเทพจักรวาลทั้งหมดได้ด้วยตัวคนเดียว! คิดจะสังหารเขานั้นช่างยากเย็นเป็นอย่างยิ่ง
“พยายามเป็นเทพจักรวาลให้ได้ก่อนเถิด”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ
ตัวเขาเองก็รู้ว่าถึงแม้ตอนนี้จะนับได้ว่าเป็นระดับชั้นที่เก้าขั้นสุดยอด แต่อยากจะสำเร็จเป็นเทพจักรวาลนั้นก็ยังยากอย่างหาใดเปรียบอยู่ดี วิถีโลกเทียมที่เขาเชี่ยวชาญที่สุดการสะสมของพื้นฐานก็ยังไม่เพียงพออยู่ดี
……
ขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงดูการต่อสู้ต่อไปอยู่นั้น ทันใดนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นอย่างฉับพลันด้วยความรู้สึกบางอย่าง
บริเวณไกลออกไป
ณ เบื้องบนของวังทวีสูญ ลำแสงสีดำขนาดมหึมาที่ขยับเคลื่อนไหวอันชวนให้คนใจสั่นนั้นพลันพุ่งตรงลงมายังเบื้องล่างแล้วตรงไปยังเคหาสน์ที่พักของจอมกระบี่ แล้วแทรกซึมเข้าไปในเคหาสน์แห่งนั้นจนหมดสิ้น หายไปอย่างไร้ร่องรอย
“เกิดอะไรขึ้นกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิง ประมุขตำหนักอลหม่าน ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ และประมุขตำหนักวารีสวรรค์ แต่ละคนต่างก็เบิ่งตากว้างดูกันต่อไป ลำแสงสีดำอันน่าหวาดหวั่นนั้นถึงกับพุ่งเข้าไปในเคหาสน์ของจอมกระบี่เชียวหรือ
“ฮ่าฮ่าฮ่า…”
เมื่อบรรพชนเทียนอวี๋และราชันย์มีดที่รับผิดชอบรักษาการณ์มาโดยตลอดได้เห็นฉากนี้แล้วกลับเผยสีหน้ายินดีอย่างใหญ่หลวง
“ช่างรวดเร็วเสียจริง” ราชันย์มีดเอ่ยชม “ควบคุมได้สำเร็จอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้เชียว นี่เพิ่งจะเป็นเวลาชั่วจิบชาเดียวเท่านั้นเอง ดูท่าทางจอมกระบี่จะสั่งสมมามากพอดูทีเดียว”
“ฮ่าฮ่า เร็วกว่าที่คิดไว้มากมายนัก” บรรพชนเทียนอวี๋ก็ยินดีมากเช่นกัน
เขารู้ว่าต่อจากนี้ไปอานุภาพของวังทวีสูญก็จะเพิ่มพูนขึ้นเป็นอย่างมากแล้ว
……
การต่อสู้ของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์กับบรรพชนโลกาและบรรพชนทิพย์ ดำเนินไปเพียงชั่วเวลาจิบชาเดียวเท่านั้น
“จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ รับกระบี่ข้าให้ดี!” น้ำเสียงเย็นชาเสียงหนึ่งดังขึ้น
เงาร่างสองสายเดินเคียงไหล่กันออกมาจากความว่างเปล่า คนหนึ่งคือราชันย์มีด ส่วนอีกคนหนึ่งก็คือบุรุษผมขาว ‘จอมกระบี่’ ด้านหลังจอมกระบี่แบกกระบี่เอาไว้เล่มหนึ่ง เขาชี้จอมเทพศักดิ์สิทธิ์อยู่ไกลๆ
“ชิ้ง!”
กระบี่ออกมาจากฝัก
ประกายกระบี่ที่ทำให้คนหัวใจสั่นสะท้านสายหนึ่งพลันพาดผ่านฟ้าดิน แฝงไว้ด้วยพลานุภาพที่ทำให้โลกทิพย์สั่นสะท้าน ซัดไปทางจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ไกลออกไป จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ตกใจเล็กน้อย หอกหลากสีในมือกวัดแกว่งออกไปรับ ส่งเสียงดังปัง ปัง ปัง ในทันใด… เสียงดังสนั่นอย่างต่อเนื่อง พื้นที่โดยรอบต่างก็บิดเบี้ยวอย่างไม่หยุดหย่อน ความเร็วในการเคลื่อนของเวลาก็กำลังเปลี่ยนแปลงเช่นกัน
ชั่วขณะสั้นๆ ก็ประมือกันหลายสิบครั้ง จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็มิอาจเอาชนะได้เสียที บรรพชนโลกาและบรรพชนทิพย์ต่างก็อมยิ้มพลางถอยหลังไปอีกทางหนึ่ง
“ขวับ”
ประกายกระบี่ลอยกลับมาอย่างรวดเร็วแล้วหล่นกลับลงไปในฝักกระบี่ที่อยู่ด้านหลังจอมกระบี่
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์เองก็หยุดลง หอกยาวในมือก็หายตัวไปกลางอากาศ เขายืนอยู่ที่นั่นพลางมองดูจอมกระบี่ที่อยู่ไกลออกไปต่อไป
“ก่อนหน้านี้ข้าก็รู้สึกว่าเจ้าไม่ธรรมดาอย่างยิ่งอยู่แล้ว ตอนนี้ดูท่าทางก็ยังดูแคลนเจ้าเกินไป” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์อมยิ้มพลางเอ่ยชม “เจ้ากลายเป็นเทพจักรวาล ไม่พูดไม่จาก็ไปถึงระดับชั้นที่สองแล้ว ตอนนี้เคลื่อนไหวคราหนึ่งก็สามารถช่วงชิงพละกำลังของข้าได้สำเร็จไปส่วนหนึ่งแล้ว ที่เห็นเจ้าลงมือเมื่อครู่…
พลังยุทธ์ของเจ้าก็มิได้ด้อยไปกว่าราชันย์มีดเลย ถ้าหากบำเพ็ญไปอีกสักระยะเวลาหนึ่งแล้วจะเหนือกว่าบรรพชนโลกาและจอมมารดา ก็มิใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”
“จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ชมเกินไปแล้ว” จอมกระบี่เอ่ยอย่างสงบ
บำเพ็ญอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตนมาหลายยุค
ระเบิดขึ้นมาทีหนึ่ง…
ก็สามารถเผชิญหน้าเชือดเฉือนกับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ได้เลยทีเดียว
“พรสวรรค์ในการหยั่งรู้ของเจ้าเป็นอันดับหนึ่งตั้งแต่โลกทิพย์โบราณดั้งเดิมถือกำเนิดขึ้นมาจนกระทั่งถึงตอนนี้เลยจริงๆ” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์พูดยิ้มๆ “ในภายหน้าอาจจะมีคุณสมบัติได้เป็นคู่ต่อสู้ที่แท้จริงของข้าก็เป็นได้”
ราชันย์มีด บรรพชนทิพย์ และบรรพชนโลกาที่อยู่ข้างๆ ได้ยินแล้วต่างก็เกิดความวูบไหวในอารมณ์พวกเขาก็ยอมรับว่า ‘จอมกระบี่’ นั้นมีพรสวรรค์ล้ำเลิศเพียงใด พลังยุทธ์บรรลุอย่างรวดเร็วเพียงใด สิ่งที่สำคัญก็คือต่างก็ไม่เคยเห็นจอมกระบี่ประสบกับความล้มเหลวอันใหญ่หลวงแต่อย่างใดเลย ผ่านประสบการณ์ประลองขัดเกลามามากเท่าใดก็มาถึงระดับขั้นในตอนนี้แล้ว
“สิ่งเดียวที่น่าเสียดายก็คือเจ้าเกิดมาช้าเกินไปเสียแล้ว” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ยิ้มอย่างสงบ ไม่หงุดหงิดเลยแม้แต่น้อย “เจ้าเกิดมาช้าเกินไป ฝูงมารผลาญทำลายก็แกร่งกล้ามากยิ่งขึ้น เวลาที่เหลือให้เจ้าก็มีอยู่ไม่มากแล้วล่ะ”
“หวังว่าเจ้าจะสามารถไปถึงระดับขั้นที่สามได้ก่อนที่จะถึงเส้นตายสุดท้าย เช่นนั้นโลกก็คงจะยิ่งวิเศษแล้ว” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์มองจอมกระบี่ยิ้มๆ จากนั้นก็หมุนกายหายตัวไปกลางอากาศในทันใด
“จะจากไปเช่นนี้น่ะหรือ” บรรพชนทิพย์ประหลาดใจอยู่บ้าง
“ช่างจากไปอย่างง่ายดายนัก ถูกจอมกระบี่ช่วงชิงพลังไปส่วนหนึ่ง ยังจะสงบเช่นนี้อยู่ได้อีก” บรรพชนโลการ่างผอมเล็กพูด “ดูแล้วนับตั้งแต่ที่ถูกกู่ฉีทำเสียเรื่องเมื่อคราวก่อน บวกกับการที่ฝูงมารผลาญทำลายแกร่งกล้ายิ่งขึ้น จอมเทพศักดิ์สิทธิ์คงจะปล่อยวางกับแผนการทั้งหลายของเขาในอดีตเสียแล้ว”
บรรพชนทิพย์พยักหน้า “อืม คราวก่อนเพียงเพื่อระบายความโกรธ ก็ถึงกับใช้พลังต้นกำเนิดจักรวาลส่วนหนึ่งสังหารกู่ฉี! คราวนี้ถูกจอมกระบี่ช่วงชิงพลังส่วนนั้นไป ก็ยังสามารถสงบนิ่งเช่นนี้ได้…เขาคงจะละทิ้งแผนการทั้งหลายในอดีตแล้วล่ะ”
“กับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ ต้องระมัดระวังตลอดเวลา” ราชันย์มีดกลับพูดขึ้น “ไม่แน่ว่าเขาอาจจะเห็นว่าเรื่องราวมิอาจฝืน จึงจงใจทำให้เรามึนงง”
จอมกระบี่ก็พยักหน้าน้อยๆ
……
ณ โลกทิพย์โบราณ
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงศิลาสีดำด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “พลังยุทธ์ของจอมกระบี่ผู้นี้ช่างยกระดับอย่างรวดเร็วเสียจริง นี่เพิ่งจะนานเท่าไหร่เอง ก็สามารถต่อกรกับข้าซึ่งๆ หน้าได้แล้ว การยกระดับของเขาก็ราบรื่นเกินไปเสียแล้ว ไม่มีความติดขัดแต่อย่างใดเลย”
“หรือจะบอกว่าเขาเคยได้รับ ‘ป้ายคำสั่งจิตโลกา’ กัน” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ลอบพึมพำ “น่าเสียดายที่ข้าก็เพียงแค่เคยได้ยินเกี่ยวกับป้ายคำสั่งจิตโลกา แต่ไม่เคยได้มันมาก่อนเลย”
ตอนที่ 35 ป้ายคำสั่งจิตโลกา
โดย
Ink Stone_Fantasy
ณ โลกทิพย์กิเลนบูรพา
ภายในหอสุราแห่งหนึ่ง ราชันย์มีดนั่งอยู่ตรงข้ามกันกับบุรุษอาภรณ์สีฟ้าเข้มคนหนึ่ง
“ป้ายคำสั่งจิตโลกาหรือ” ราชันย์มีดประหลาดใจ “ท่านอาจารย์ ท่านบอกว่าจอมกระบี่อาจจะเคยได้รับป้ายคำสั่งจิตโลกามาก่อนอย่างนั้นหรือ ป้ายคำสั่งจิตโลกาคือสิ่งใดกัน เหตุใดข้าจึงไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยเล่า”
“อืม”
เจ้าเมืองหลัวนั่งรินสุราอยู่ที่นั่น เขาดื่มสุราไปพลางพูดยิ้มๆ “เจ้าย่อมต้องไม่เคยได้ยินมาก่อนอยู่แล้ว เกรงว่าผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนทั่วทั้งอากาศอันสับสนอลหม่าน ผู้ที่รู้จักป้ายคำสั่งจิตโลกาน่าจะมีน้อยจนสามารถนับนิ้วได้ จอมกระบี่คงจะเคยได้รับป้ายคำสั่งจิตโลกา อีกทั้งยังได้นำมาใช้แล้วอีกด้วย!
ดังนั้นการบำเพ็ญจึงได้บรรลุอย่างฉับพลันเช่นนี้ แน่นอนว่านี่เป็นเพียงแค่การคาดเดาของข้าเท่านั้น ไม่แน่ว่าเขาอาจมีพรสวรรค์สูงส่งล้นฟ้าจริงๆ ก็เป็นได้ เพียงแค่ปลีกวิเวกฝึกฝนก็มาถึงระดับขั้นเช่นนี้ได้แล้ว”
“ท่านอาจารย์ ที่แท้แล้วป้ายคำสั่งจิตโลกาคือสิ่งใดกันหรือ” ราชันย์มีดถามต่อ
“คือสมบัติลับอันแสนวิเศษชิ้นหนึ่ง” เจ้าเมืองหลัวพูดยิ้มๆ “คิดอยากจะได้มันมา คิดอยากจะใช้มันนั้นกลับจำเป็นต้องใช้ชะตาลิขิต ถึงแม้จะเป็นผู้บำเพ็ญที่มีพรสวรรค์ในการหยั่งรู้สูงส่ง ก็ต้องได้รับการยอมรับจากป้ายคำสั่งจิตโลกาจึงจะได้มันมา มิฉะนั้นต่อให้มันอยู่ตรงหน้า เจ้าก็มองไม่เห็นมันอยู่ดี”
“อยู่ตรงหน้าก็มองไม่เห็นอย่างนั้นหรือ” ราชันย์มีดยิ่งทวีความสงสัย
สมบัติลับ
มีสมบัติลับอันแสนวิเศษอย่างยิ่งอยู่จริงๆ อย่างเช่นหอกหลากสีที่จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ใช้เล่มนั้นก็มีที่มาอันเป็นปริศนา! หรืออย่างเช่น ‘เตาสามขาเพลิงโลกันตร์’ ก็มีที่มาอันลึกลับเช่นเดียวกัน
สมบัติลับอันแสนวิเศษ ‘ป้ายคำสั่งจิตโลกา’ หรือ ราชันย์มีดไม่เคยได้ยินมาก่อนหน้านี้เลยจริงๆ
“ไปเถิดๆ ไปบำเพ็ญให้ดีๆ เถิด เจ้าก็เป็นศิษย์ของข้า อย่าได้ถูกจอมกระบี่แซงหน้าไปจริงๆ เสียล่ะ”เจ้าเมืองหลัวพูดยิ้มๆ
“ขอรับ ศิษย์ขอลาก่อน” ราชันย์มีดยืดกายลุกขึ้นในทันใด
เขามีความรู้สึกเร่งรัดอย่างแท้จริง
เขา จึงจะเป็นผู้นำสูงสุดของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหก! ถึงแม้ว่าท่านอาจารย์ ‘เจ้าเมืองหลัว’ จะค้างอยู่ที่ขั้นอลวนมาโดยตลอด แต่ระดับขั้นนั้นกลับสูงส่งเหนือธรรมดา ท่านอาจารย์สถาปนา ‘ตำหนักดวงดารา’ ขึ้นมาด้วยความปรารถนาที่จะชี้นำเทพจักรวาลคนอื่นๆ เช่นท่านบรรพชนคีรีมาร ประมุขเหยากวง บรรพชนเทียนอวี๋ บรรพชนห้วงอากาศ และจักรพรรดิงูเมฆา แต่ละคนต่างก็นอบน้อมฟังคำสอนอย่างเต็มใจ
ถึงอย่างไรเจ้าเมืองหลัวก็เป็นถึงขั้นอลวน แต่พลังยุทธ์กลับนับได้ว่าเป็นเทพจักรวาลระดับชั้นที่สองเลยทีเดียว
พูดถึงระดับขั้นเพียงอย่างเดียว
เกรงว่าเขาจะเหนือกว่าจอมเทพศักดิ์สิทธิ์เสียอีก! ถึงแม้ว่าจะละเมิดข้อห้ามบางอย่างที่มิอาจล่วงรู้ เจ้าเมืองหลัวดูเหมือนว่าจะไม่มีทางได้เป็นเทพจักรวาลไปตลอดกาล แต่ว่าระดับขั้นนั้นช่างสูงส่งเหลือเกิน ผู้ที่อยากจะกราบเขาเป็นอาจารย์ก็มีมากมายเกินไปเสียแล้ว เพียงแต่เขาไม่อยากจะรับศิษย์ แล้วก็มีเทพจักรวาลเพียงน้อยนิดเท่านั้นที่เขาเต็มใจจะชี้แนะ ดังนั้นจึงมีพันธมิตร ‘ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหก’ ขึ้นมา
จุดเชื่อมโยงที่แท้จริงของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหก…ก็คือเจ้าเมืองหลัว
จอมกระบี่เป็นสมาชิกคนหนึ่งของวังทวีสูญ และสามารถได้รับคำชี้แนะจากเจ้าเมืองหลัว นอกจากนี้ ยังได้รับความสำคัญจากเจ้าเมืองหลัวด้วย… แต่ว่าราชันย์มีดนั้นเป็นศิษย์ผู้สืบทอดโดยตรง เจ้าเมืองหลัวให้การชี้แนะกับเขามากที่สุด
ราชันย์มีดจากไป
เจ้าเมืองหลัวดื่มสุราอย่างผ่อนคลายตามลำพังเช่นเดิม
“สุราชั้นดี สุราผลไม้ที่หอสุราแห่งนี้หมักบ่มขึ้นนั้นคงจะสามารถจัดได้เป็นหกร้อยลำดับแรกในอากาศอันสับสนอลหม่านเลยทีเดียว” เจ้าเมืองหลัวชมเชย ในขณะเดียวกันก็ยังครุ่นคิดว่า “ยามที่ตาเฒ่าผู้นี้จากไปแล้ว ป้ายคำสั่งจิตโลกาก็มีไม่มากแล้ว ที่บอกข้าก็เหลืออยู่เพียงแค่ห้าชิ้นเท่านั้นเอง! จนถึงตอนนี้เกรงว่าก็ยิ่งน้อยลงไปอีก มีชิ้นหนึ่งตกอยู่ในมือของจอมกระบี่พอดีอย่างนั้นหรือ”
……
พวกตงป๋อเสวี่ยอิงต่างก็ถูกสั่งห้าม ยับยั้งมิให้ออกไปจากวังทวีสูญและป้อมห้วงอากาศเป็นการชั่วคราว
ทว่าพวกเขาเหล่าประมุขตำหนักก็ยังใช้ร่างแปรออกไปนอกวังทวีสูญ ไปดูร่องรอยที่จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ทิ้งเอาไว้ในสงครามคราวนั้น
“โอ้”
“สงครามระหว่างจอมเทพศักดิ์สิทธิ์กับบรรพชนทิพย์และบรรพชนโลกาหรือ”
เหล่าประมุขตำหนักกลุ่มหนึ่งมองดูบริเวณรอบๆ อย่างพรั่นพรึง
บริเวณแสนล้านลี้โดยรอบล้วนเต็มไปด้วยความอลหม่าน สถานที่มากมายล้วนมีร่องอากาศเส้นแล้วเส้นเล่า พื้นดินถูกฉีกแยก แต่ร่องรอยที่เหลือทิ้งเอาไว้กลับยังคงไม่เลือนหายเช่นเดิม! กลางท้องฟ้าก็มีรอยฉีกขาดมากมาย เป็นร่องรอยความเสียหายของโลกทิพย์ การทำลายล้าง ค่ายสังหาร อสนีบาต และพิษทิพย์… พลังแต่ละชนิดกระจัดกระจายอย่างสับสนอลหม่านบนสนามรบแสนล้านลี้
บรรพชนเทียนอวี๋พูดอยู่ข้างๆ “การต่อสู้ในคั้งนี้ส่งผลกระทบต่อแกนของโลกทิพย์ การทำลายช่างง่ายดาย แต่การฟื้นฟูนั้นยากยิ่ง! พื้นที่แห่งนี้ก็แทบจะถูกทำลายย่อยยับ การจะฟื้นฟูได้…ท่านบรรพชนคีรีมารและประมุขเหยากวงก็จำเป็นต้องใช้เวลาค่อยๆ ทำไป”
“ท่านบรรพชน การต่อสู้ในครั้งนี้กินพื้นที่ค่อนข้างเล็กทีเดียว”
“ได้ยินว่าเมื่อจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ต่อสู้ มีบางทีที่สามารถทำให้โลกทิพย์แห่งหนึ่งแหลกสลายได้”
เหล่าประมุขตำหนักแต่ละคนพูด
บรรพชนเทียนอวี๋ส่ายหน้าพลางแย้มยิ้ม “การต่อสู้ในครั้งนี้กินเวลาสั้นนัก ดังนั้นบาดแผลที่ฝากไว้ให้โลกทิพย์จึงไม่นับว่าสาหัสสักเท่าใดนัก ถ้าหากว่ากินเวลายาวนาน บริเวณล้านล้านลี้โดยรอบก็อาจจะถูกฉีกทึ้งทำลายจนหมดสิ้น ก็จะสร้างความเสียหายให้กับโลกทิพย์มากยิ่งขึ้น! สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ คราวนี้จอมเทพศักดิ์สิทธิ์มิได้บ้าคลั่งอย่างแท้จริง บวกกับสงครามเกิดขึ้นอย่างกะทันหันเขาก็มิได้เตรียมการมากมายสักเท่าใดนัก”
“สงครามเกิดขึ้นอย่างกะทันหันหรือ”
“ท่านบรรพชน สงครามเกิดขึ้นได้อย่างไรกัน”
“ลำแสงสีดำเหนือท้องฟ้าของวังทวีสูญ นี่มันเรื่องอันใดกัน” ประมุขตำหนักทั้งหลายต่างพากันสงสัย พวกเขาต่างก็ไม่รู้ถึงต้นเหตุของสงคราม!
คราวนี้จอมกระบี่เปิดตัวอย่างกะทันหันเหลือเกิน
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็มิได้เตรียมตัวอะไรเลยแม้แต่น้อย ถึงอย่างไรการใช้พลังต้นกำเนิดจักรวาลหลอมเป็นสมบัติลับขึ้นมานั้นก็จำเป็นต้องใช้เวลา ในอีกด้านหนึ่ง คราวนี้การตอบสนองของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ดูเหมือนจะนับได้ว่าสงบเงียบ มิได้บ้าคลั่งเกินไปนัก
“จอมกระบี่บรรลุในคราวนี้ พลังยุทธ์รุดหน้าเป็นอย่างมาก ตอนนี้ก็สามารถเทียบเคียงได้กับราชันย์มีดและบรรพชนทิพย์” บรรพชนเทียนอวี๋เอ่ยอย่างค่อนข้างเบิกบานใจ เขาก็มิได้ปิดบัง ถึงอย่างไรอีกไม่นานข่าวนี้ก็ต้องแพร่สะพัดอยู่ดี
……
ข่าวแพร่ออกไปอย่างรวดเร็วจริงๆ ทั่วทั้งอากาศอันสับสนอลหม่าน เหล่าผู้บำเพ็ญที่อยู่อย่างสันโดษตามที่ต่างๆ ล้วนสั่นสะท้านด้วยเหตุนี้ พวกเขาต่างก็ตื่นตระหนกกับพลังยุทธ์ของจอมกระบี่ในตอนนี้
ในภายภาคหน้า…
วังทวีสูญก็ยังระแวดระวังเป็นอย่างยิ่ง โลกทิพย์ทั้งสามต่างก็เตรียมตัวกันเป็นอย่างดี ถ้าหากจอมเทพศักดิ์สิทธิ์เกิดคลั่งขึ้นมา สำนักทิพย์โบราณเปิดศึกกับพวกเขา เช่นนั้นก็คงต้องเปิดสงครามฉากใหญ่อีกครั้งแล้วกระมัง
แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็สงบเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากที่พวกตงป๋อเสวี่ยอิงเหล่าประมุขตำหนักกลุ่มนี้รอคอยอยู่ที่วังทวีสูญเป็นเวลาหลายพันล้านปีแล้ว บรรพชนเทียนอวี๋ก็ถอนคำสั่งห้าม ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เดินทางไปทั่วสารทิศอีกครั้ง ตรวจสอบค้นหา ‘ฝูงมารผลาญทำลาย’ ต่อไป
……
“ปัง…”
กลางอากาศอันสับสนอลหม่าน เงาร่างสองสายต่อสูกัน ทำให้ห้วงอากาศรอบด้านดูเหมือนจะเยือกแข็ง ทุกครั้งที่เกิดเสียงดังสนั่นก็ทำให้ห้วงอากาศบิดเบี้ยวอยู่บ้าง
“แม่ทัพโม่กู่ การใช้ประโยชน์จากห้วงอากาศของเจ้าช่างร้ายกาจเสียจริง นับถือๆ แต่คิดอยากจะเอาชนะข้า ก็ยังย่ำแย่ไปสักหน่อย” บุรุษชุดเขียวพูดยิ้มๆ
“รับกระบวนท่าสุดท้ายของข้าก่อนเถิด ถ้าหากเจ้าสามารถต้านรับกระบวนท่านี้ได้อย่างง่ายดายแล้วล่ะก็ เช่นนั้นข้าก็จะยอมรับความพ่ายแพ้” บุรุษตาสามเหลี่ยมในอาภรณ์ทองยิ้มเย็น
ลำแสงที่บางเบาดุจปีกจักจั่นสายหนึ่งพลันตวัดผ่านในทันใด อากาศที่เยือกแข็งถูกตัดผ่านราวกับเต้าหู้ ทั้งยังตัดผ่านบุรุษที่อยู่ห่างไกลออกไปผู้นั้นเช่นเดียวกัน
ร่างกายของบุรุษผู้นั้นถูกแยกออกเป็นสองส่วนในทันใด แล้วรวมกลับเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว เพียงแต่ยามที่รวมกันนั้นบาดแผลกลับฟื้นฟูได้อย่างยากเย็นยิ่ง
“อะไรกันนี่” บุรุษชุดเขียวผู้นั้นตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง
“เป็นอย่างไรเล่า” บุรุษอาภรณ์ทองลำพองใจเป็นที่สุด “ตามที่พูดไว้ก่อนหน้านี้ ไม่สำแดงพรสวรรค์ไร้เงา สังหารซึ่งหน้า พลังยุทธ์ของข้าในตอนนี้ก็นับได้ว่าเป็นชั้นที่แปดขั้นสุดยอดแล้วกระมัง”
“นับได้แล้วล่ะ”
จากอีกทิศทางหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปก็มีเงาร่างสี่สายยืนอยู่ พวกเขาทะยานเข้ามาพร้อมกัน
“แม่ทัพโม่กู่ช่างร้ายกาจเสียจริง ออกจากทางเดินโลกาพิศวงมายังโลกของผู้บำเพ็ญได้ยังไม่ถึงล้านล้านปีดี ก็ไปถึงชั้นที่แปดขั้นสุดยอดแล้ว”
“กระบวนท่าสุดท้ายนี้ช่างร้ายกาจโดยแท้”
อีกสี่คนต่างก็เอ่ยชม
ในดวงตาสามเหลี่ยมของบุรุษอาภรณ์ทอง ‘แม่ทัพโม่กู่’ เต็มไปด้วยแววโลภโมโทสัน เขาลอบพูดยิ้มๆ ว่า “เหล่าอ๋องต่างก็พูดกันเอาไว้แล้วว่าเมื่อใดที่ข้าไปถึงชั้นที่แปดขั้นสุดยอด ก็อนุญาตให้ข้าลงมือกลืนกินผู้บำเพ็ญขั้นอลวนคนหนึ่งได้อีกครั้ง”
“วางใจเถิด แม่ทัพโม่กู่ พวกเราจะต้องจัดการให้ได้อย่างแน่นอน” ลูกน้องทั้งห้าคนพูด
“ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนคนหนึ่ง อีกทั้งผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนของขุมอำนาจที่เขานั่งประจำการอยู่ ข้าจะกินเสียให้เกลี้ยงเกลาทีเดียว” ร่างกายของแม่ทัพโม่กู่ถึงกับสั่นสะท้านน้อยๆ เขาคาดหวังและกระหายอยากมากเหลือเกิน
………………………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น