Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 31 ตอนที่ 29-31

 ตอนที่ 29 ยังคิดขัดขวางข้าอีกหรือ

โดย

Ink Stone_Fantasy

“เมฆาโลหิต ได้ยินมาว่ามี ‘กบพิษทรายทอง’ อยู่ที่นี่ด้วยหรือ ข้าค้นคว้าพิษแม่มด กำลังต้องการกบพิษทรายทองตัวนี้อยู่พอดี” ชายชราหัวเราะคิกคัก


“พูดได้ดีๆ” บุรุษร่างกำยำศีรษะโล้นเลี่ยนหัวเราะพลางลูบศีรษะตนเอง “ศิลาปฐมโลกาห้าสิบก้อน แล้วท่านก็รับมันไปได้เลย”


ทั้งสองเริ่มเจรจาต่อรองกัน


ท้ายที่สุด ชายชราก็จ่ายศิลาปฐมโลกาเป็นจำนวนสามสิบสองก้อนแล้วนำกบพิษทรายทองอำลาจากไปพลางยิ้มจนตาหยี


บุรุษร่างกำยำศีรษะโล้นเลี่ยนก็ยืดกายขึ้นส่งอย่างกระตือรือร้นตลอดทางตั้งแต่ประตูตำหนักเหนือผิวดินจนออกไป แล้วจึงกลับไปใต้ดิน


“พี่ใหญ่ ผู้บำเพ็ญระบบทิพย์นั่นกล้ามาถึงถิ่นพวกเราด้วยหรือนี่” สตรีอาภรณ์ดำนางหนึ่งต้อนรับ ขณะเดียวกันก็พูดเสียงเย็นชาว่า “หากมิใช่เพื่อซ่อนเร้นตัวตน ข้าคงเขมือบเขาลงไปในคำเดียวแล้ว”


“รู้จักแต่กินๆๆ เท่านั้น! จะซ่อนเร้นตัวตนให้ดีๆ สักครั้งนั้นไม่ง่ายเลย” บุรุษร่างกำยำศีรษะโล้นเลี่ยนแค่นเสียงเฮอะ “ตอนนี้เจ้าคนที่ชื่อตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นั้นตามหาพวกเราอยู่ตลอด โลกทิพย์ทั้งสามก็ล้วนสนับสนุนเขาอย่างสุดกำลัง หากพวกเราเผยพิรุธออกไป จนถูกโลกทิพย์ทั้งสามตั้งเป็นผู้ต้องสงสัยและส่งข้อมูลให้กับตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วล่ะก็ เชื่อว่าไม่นานนักก็คงจะมาตรวจสอบยังถิ่นของพวกเรา แม้ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่นจะมีพลังธรรมดาสามัญ มิอาจคุกคามข้าได้ แต่หากถูกพบเข้าแล้ว เช่นนั้นวันคืนอันสุขสราญเช่นนี้ก็คงไม่มีอีกต่อไป เจ้าอดทนให้ข้าหน่อย ทั้งหมดทำตามกฎของข้า หากทำให้เรื่องเสียหาย เฮอะๆ เจ้าก็หาแม่ทัพคนอื่นช่วยเหลือเจ้าก็แล้วกัน”


“เจ้าค่ะๆๆ พี่ใหญ่ ข้าเข้าใจแล้ว” สตรีอาภรณ์ดำยิ้มแหยๆ ทันที


บรรดาอ๋องมีคำสั่งลงมาก่อนแล้วว่า


ฝูงมารเกราะทองชั้นที่แปดระดับยอดทั้งหมดจะต้องเคลื่อนไหวตามระดับชั้นที่เก้าสักท่านหนึ่ง เพราะเมื่อดูจากพลังของตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงมิอาจขัดขวางระดับชั้นที่เก้าได้ ส่วนบุรุษร่างกำยำศีรษะโล้นเลี่ยนผู้นี้…ก็คือฝูงมารเกราะทองระดับชั้นที่เก้าแปลงกายมา


“ฮ่าฮ่า” ทันใดนั้นบุรุษร่างกำยำศีรษะโล้นเลี่ยนก็หันมองไปทางเจดีย์เป็นตายด้านข้างแห่งนั้น “ในที่สุดชั้นที่สิบแปดก็จะมีสงครามระหว่างความเป็นความตายเกิดขึ้นอีกยกหนึ่งแล้ว เห็นทีคงจะมีผู้โชคดีรอดชีวิตออกมาแล้ว”


……


ภายในเจดีย์เป็นตาย


ชั้นที่สิบแปด


ชายหนุ่มคนหนึ่งและชายชราคนหนึ่งกำลังห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด ทั้งสองต่างก็เป็นเทพอากาศระดับขั้นกำเนิด


“ตายเสียเถิด!!!” หลังเสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว ในที่สุดกำปั้นหนึ่งของหนุ่มน้อยก็แหวกอากาศไปทะลุแผ่นอกของชายชรา ทำเอาร่างของเขาแหลกสลายกลายเป็นผุยผง จากนั้นเขาก็ลงมืออย่างต่อเนื่อง กำปั้นทำให้อากาศนี้ถูกแหวกออกและสั่นสะเทือนอย่างไม่หยุดหย่อน ในที่สุดชายชราก็มลายหายไปอย่างสิ้นเชิง


“ชนะแล้ว”


หนุ่มน้อยจึงได้นั่งลงอย่างเต็มก้น เขาเหนื่อยเกินไปแล้ว


“ในที่สุด ในที่สุด ในที่สุดข้าก็รอดชีวิตออกจากเจดีย์เป็นตายได้แล้ว” หนุ่มน้อยกำมือขึนมา “ท่านพ่อ พี่ใหญ่ ข้าจะกลับไปแล้ว จะกลับไปหาพวกท่านแล้ว”


วันคืนช่วงที่ผ่านมานี้ช่างเหมือนกับฝันร้าย


เขาจากบ้านมาเพื่อบุกฝ่าและเคี่ยวกรำ ไหนเลยจะคิดว่าเมื่อผ่านชนเผ่าหนึ่งเพื่อซื้อสิ่งของ เผ่านี้ก็ดันไปล่วงเกิน ‘ประมุขเจดีย์เมฆาโลหิต’ เข้า จนทั้งเผ่าถูกจับมาทั้งเป็น แล้วโยนเข้าไปในเจดีย์เป็นตาย และต้องฆ่าจากชั้นล่างสุดของเจดีย์เป็นตายขึ้นไปทีละชั้นๆ ทั้งหมดสิบแปดชั้น…ผู้บำเพ็ญจำนวนตั้งมากมายเท่าไหร่ ท้ายที่สุดมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถรอดชีวิตออกมาได้


ส่วนหนุ่มน้อยนั้นนับได้ว่ามีพรสวรรค์สูงส่งยิ่งอย่างแท้จริง เขาสามารถบรรลุถึงขั้นรวมเป็นหนึ่งได้ตั้งนานแล้ว แต่กลับมิกล้าบรรลุมาตลอด


เนื่องจากการต่อสู้ภายในเจดีย์เป็นตาย นั้นเป็นการต่อสู้ของระดับขั้นใหญ่เดียวกัน! ขั้นกำเนิดต่อกรกับขั้นกำเนิด ขั้นรวมเป็นหนึ่งต่อกรกับขั้นรวมเป็นหนึ่ง…และทั้งเจดีย์เป็นตายก็รวบรวมขั้นรวมเป็นหนึ่งเพื่อทำการคัดเลือกสิบแปดชั้นต่อเนื่องกันได้จำนวนไม่เพียงพอ ดังนั้นเมื่อบรรลุถึงขั้นรวมเป็นหนึ่ง ก็ล้วนต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย


“วิ้ง”


ระลอกคลื่นมิติสายหนึ่งร่อนลงมาปกคลุมหนุ่มน้อยผู้นั้นเอาไว้


หนุ่มน้อยเผยสีหน้ายินดีออกมา


บ้านเกิด…


ท่านพ่อ พี่ใหญ่ และยังมีสตรีที่เขาใฝ่ฝันถึงมาตลอดด้วย แม้เขาจะใฝ่ฝันมาตลอดคืนวันอันยาวนาน อีกฝ่ายกลับมองเขาเป็นเพียงน้องชายมาตลอด


แต่หากสามารถได้เห็นนางอีกครั้ง หนุ่มน้อยก็จะรู้สึกพึงพอใจหาใดเปรียบ


“ฟิ้ว”


มิติเปลี่ยนแปรไป


ในที่สุดก็ออกจากเจดีย์เป็นตายมาได้แล้ว ตรงหน้าคือโถงตำหนักมหึมาแห่งหนึ่ง


หนุ่มน้อยมองดูโถงตำหนักแห่งนี้ เหนือบัลลังก์ของโถงตำหนักแห่งนี้มีบุรุษร่างกำยำศีรษะโล้นเลี่ยนผู้หนึ่งนั่งอยู่ บุรุษร่างกำยำศีรษะโล้นเลี่ยนแสยะยิ้ม “สหายน้อย ยินดีด้วยที่เจ้าสามารถบุกฝ่าและรอดชีวิตจากเจดีย์เป็นตายได้ เมื่อเจ้าผลักประตูตำหนักออกไปก็จะได้อิสรภาพคืนมาแล้ว”


“ขอบคุณประมุขเจดีย์เมฆาโลหิต” หนุ่มน้อยคารวะด้วยความเคารพ


แม้แทบทุกคนที่ถูกจองจำเคียดแค้นชิงชังประมุขเจดีย์เมฆาโลหิตหาใดเปรียบ


แต่เดิมทีในโลกทิพย์นิจนิรันดร์ ผู้ที่อ่อนแอก็ย่อมตกเป็นเหยื่อของผู้ที่แข็งแกร่ง ทั้งโหดร้ายมาก และนับถือผู้ที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว ยามนี้หนุ่มน้อยมิกล้าไม่เคารพเลยแม้แต่น้อย ด้วยเกรงว่าจะต้องสูญเสียชีวิตไป


“น่าเสียดายนะ ที่เจ้าไม่มีโอกาสจะได้ผลักประตูตำหนักออกไปแล้ว” บุรุษร่างกำยำศีรษะโล้นเลี่ยนหัวเราะอย่างสุขใจมากยิ่งขึ้น


หนุ่มน้อยสะดุ้ง


“จะบอกความลับหนึ่งให้กับเจ้า”


บุรุษร่างกำยำศีรษะโล้นเลี่ยนหัวเราะอย่างลิงโลดใจ “ทุกคนที่รอดชีวิตออกมาจากเจดีย์เป็นตาย ท้ายที่สุดก็มีจุดจบเพียงอย่างเดียวเท่านั้น…ก็คือถูกข้ากิน!”


สีหน้าของหนุ่มน้อยพลันซีดขาว


ไม่ ไม่…


ญาติสนิทมิตรสหายของตน เงาร่างอาภรณ์สีแดงที่ตนอยากจะพบมาตลอดนางนั้น…


“ฮ่าฮ่าฮ่า…” บุรุษร่างกำยำศีรษะโล้นเลี่ยนหัวเราะอย่างสุขสราญมากยิ่งขึ้น เขาชมชอบที่จะได้เห็นสีหน้าของผู้บำเพ็ญยามที่รู้สึกว่าหนีรอดจากความตายได้แล้วและจู่ๆ ก็ต้องตกเข้าสู่ความสิ้นหวังอีกครั้งเป็นที่สุด


“ไม่”


กลิ่นอายของหนุ่มน้อยพลันปะทุออกมา แล้วบรรลุจากขั้นกำเนิดสู่ขั้นรวมเป็นหนึ่งทันที ขณะเดียวกันก็รีบทะยานมุ่งหน้าหนีออกไปภายนอกทันที


“เจ้าหนีพ้นรึ” บุรุษร่างกำยำศีรษะโล้นเลี่ยนยิ้มน้อยๆ เขาเป็นถึงฝูงมารผลาญทำลายระดับชั้นที่เก้าเชียวนะ! ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเป็นเด็กน้อยพวกนี้เลย ต่อให้เป็นยักษ์ใหญ่ขั้นอลวน เมื่ออยู่ตรงหน้าเขา โดยทั่วไปก็มีแต่ต้องมอบชีวิตให้เท่านั้น


ทันใดนั้นทุกสิ่งก็เงียบงันไปหมด


ทันใดนั้นหนุ่มน้อยซึ่งกำลังบินทะยานอยู่ก็ปะทะเข้ากับประตูตำหนักอย่างโง่งมเสียงดังโครมคราม แต่หนุ่มน้อยกลับกลิ้งหลุนๆ ไปกลับพื้นตำหนักอย่างโง่งม สูญสิ้นสติรับรู้ไปอย่างสิ้นเชิง


ไม่เพียงหนุ่มน้อยผู้นี้เท่านั้น วังปราการแห่งนี้รวมไปถึงผู้บำเพ็ญจำนวนมากซึ่งถูกจองจำอยู่ภายในเจดีย์เป็นตายเบื้องล่างและยังมีเทวทูตและบ่าวรับใช้ทั้งหลาย แต่ละคนล้วนถูกทำให้มึนงงและตกเข้าไปในเขตลวงเสียแล้ว


มีเพียงสองคนเท่านั้นที่ยังคงสามารถครองสติเอาไว้ได้


คนหนึ่งคือบุรุษร่างกำยำศีรษะโล้นเลี่ยน ส่วนอีกคนคือสตรีอาภรณ์ดำ


“ตงป๋อเสวี่ยอิง!” บุรุษร่างกำยำศีรษะโล้นเลี่ยนสีหน้าเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่


“พี่ใหญ่!”


สตรีอาภรณ์ดำพุ่งเข้ามาภายในโถงตำหนัก “ถูกพบเข้าแล้ว รีบหนีเร็วเข้า”


“ไป” แม้บุรุษร่างกำยำศีรษะโล้นเลี่ยนจะรู้สึกเดือดแค้นและอดสูใจ แต่เขาก็มิได้เห็นตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ในสายตาเลย เขารู้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นั้นมีสมบัติล้ำค่าที่โลกทิพย์ทั้งสามมอบให้ มีความสามารถในการรักษาชีวิตที่แข็งแกร่งยิ่งนัก เมื่อถูกเขาพบเข้า ก็เท่ากับถูกโลกทิพย์ทั้งสามพบเข้าแล้ว


ต้องหนีเสียแล้ว!


สวบ!


บุรุษร่างกำยำศีรษะโล้นเลี่ยนพาสตรีอาภรณ์ดำทะยานออกจากโถงตำหนักไปในพริบตา


ดอกตูมสีดำขนาดมหึมาซึ่งมีเก้าใบใหญ่โตหาใดเปรียบ มันห่อหุ้มทั้งวังปราการเอาไว้ ขณะที่บุรุษร่างกำยำศีรษะโล้นเลี่ยนพาสตรีอาภรณ์ดำพุ่งออกไปนั้น ก็มองเห็นว่าตนตกอยู่ภายในดอกไม้ขนาดมหึมาดอกนี้ มีกลีบดอกไม้แก้วผลึกสีดำกึ่งโปร่งใสหลายกลีบ พวกเขาสามารถมองทะลุมันเข้าไปภายในได้


ด้านนอกมีชายหนุ่มอาภรณ์ขาวผู้หนึ่งยืนอยู่กลางอากาศ ซึ่งก็คือตงป๋อเสวี่ยอิงนั่นเอง


“ฟิ้วๆๆ” ดอกตูมสีดำชั้นแล้วชั้นเล่า บุปผาเก้าใบดอกใหญ่ดอกหนึ่งห่อหุ้มบุปผาเก้าใบดอกเล็กเอาไว้… เป็นเช่นนี้ มีบุปผาเก้าใบถึงเจ็ดดอกด้วยกัน


มีพลังจิตแข็งแกร่งเช่นนี้ สามารถสำแดงบุปผาเก้าใบเจ็ดดอกออกมาได้พร้อมกัน…


เมื่อมีเคล็ดวิชาสืบทอดของปีศาจชาด ก็มีส่วนช่วยวิญญาณอย่างมหาศาล และมีสาเหตุคือกินศิลาปฐมโลกาลงไปถึงสองแสนก้อนด้วย


“ยังคิดจะสกัดข้าอีกรึ” บุรุษร่างกำยำศีรษะโล้นเลี่ยนยิ้มเย็นพลางพุ่งตรงไปทางกลีบดอกไม้แก้วผลึกสีดำขนาดมหึมาตรงหน้าเสียงดังกัมปนาท กำปั้นหนึ่งของเขาแปรเปลี่ยนเป็นน้ำวนหลากสีสัน เมื่อปะทะเข้ากับกลีบดอกไม้สีดำกลับฉีกทึ้งออกไปได้อย่างยากลำบาก เพียงแค่กระแทกกลีบดอกไม้สีดำชั้นแรกให้เปิดออกได้อย่างพอถูไถเท่านั้น เมื่อปะทะเข้ากับกลีบดอกไม้สีดำชั้นที่สอง พลังก็ชะงักค้างไปเสียแล้ว


เพียงชั่วความคิดเดียวของตงป๋อเสวี่ยอิง พลังฟ้าดินก็โหมซัดกลายเป็นน้ำวน และแล้วก็มีบุปผาเก้าใบสีดำดอกหนึ่งโอบล้อมอยู่ชั้นนอกสุด ยังคงเป็นเจ็ดดอกดังเดิม


“เป็นไปได้อย่างไรกัน” บุรุษร่างกำยำศีรษะโล้นเลี่ยนไม่อยากจะเชื่อ การโจมตีสุดกำลังครั้งหนึ่่งของตน กลับแค่ทำลายกลีบดอกไม้ไปได้เพียงชั้นเดียวเท่านั้นหรือนี่


เขามองดูชายหนุ่มอาภรณ์ขาวด้านนอก


ไม่ควรเป็นเช่นนี้สิ


ตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้ก็แค่มีการรักษาชีวิตที่ร้ายกาจเท่านั้น การประมือซึ่งหน้าไหนเลยจะเป็นคู่ต่อสู้ของตนได้ ตนควรจะทำลายได้อย่างง่ายดายจึงจะถูกต้อง ไยจึงถูกกักขังอยู่ภายในดอกไม้สีดำได้เล่า ที่ถึงแก่ชีวิตที่สุดก็คือ ต่อให้ตอนนี้ร่างกายกลายเป็นแสงสีทองหลบหนีไปทั่วสารทิศ ดอกตูมสีดำก็ปิดผนึกอย่างสิ้นเชิงจนหนีไม่พ้นเลย!


“พี่ใหญ่” สตรีอาภรณ์ดำด้านข้างก็มึนงงไปบ้างเช่นกัน มารเกราะทองระดับชั้นที่เก้าก็หนีไม่พ้นอย่างนั้นหรือ


“เขา เขาแข็งแกร่งขึ้นแล้ว” บุรุษร่างกำยำศีรษะโล้นเลี่ยนรู้สึกหนาวเหน็บใจ เขาพอจะเข้าใจได้รางๆ แล้วว่าครั้งนี้หายนะยากหลบเลี่ยงเสียแล้ว


ส่วนกลางอากาศนอกดอกตูมสีดำ


ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่กลางอากาศ แต่กลับส่งสารให้เหล่าเทพจักรวาลเพื่อแจ้งสถานการณ์ให้ทราบเรียบร้อยแล้ว


 ……………………………….


ตอนที่ 30 พลังงาน

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ตู้ม” “ตู้ม” “ตู้ม”


บุรุษร่างกำยำศีรษะโล้นเลี่ยนปรากฏร่างจริงขึ้นมาอย่างสิ้นเชิง กลายเป็นมารเกราะทองร่างสูงใหญ่บึกบึนที่มีเขาคู่หนึ่ง เขาโจมตีกลีบดอกไม้แก้วผลึกสีดำขนาดมหึมาด้วยท่าทางราวกับบ้าคลั่ง ภายใต้การโจมตีของเขา กลีบดอกไม้สีดำแตกออกเป็นเสี่ยงๆ แต่เมื่อแตกออกไปชั้นหนึ่ง หลังจากนั้นติดๆ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ก่อชั้นใหม่ขึ้นมาทันที แทบจะคงบุปผาเก้าใบถึงเจ็ดชั้นเอาไว้เกือบตลอดเวลา ทำเอาฝูงมารเกราะทองสองตนรู้สึกได้ถึงความสิ้นหวังขึ้นมา ส่วนสตรีอาภรณ์ดำนางนั้น ซึ่งแปรเป็นมารเกราะทองที่อ้อนแอ้นกว่าอยู่บ้าง แม้นางจะลงมือเช่นกันแต่กลับสั่นคลอนกลีบดอกไม้สีดำมิได้เลย


วิ้ง


ตงป๋อเสวี่ยอิงมองออกไปด้านนอกราวกับสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง อากาศไกลออกไปบิดเบี้ยว


“มาแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ


“ไม่ดีแล้ว” มารเกราะทองมีเขาตนนั้นเห็นเข้าก็มีสีหน้าโกรธเกรี้ยวขึ้นมา เขาแหงนหน้าคำรามเสียงหนึ่ง ตู้ม..จากนั้นร่างกายก็ปริแตกออกอย่างสิ้นเชิง ส่วนมารเกราะทองซึ่งมีรูปร่างเป็นสตรีที่อ้อนแอ้นกว่าอยู่บ้างด้านข้างก็ร่างกายแตกสลายไปอย่างjไม่ยอมจำนน วิญญาณสลายไป


ตงป๋อเสวี่ยอิงเห็นเข้าสีหน้าก็เปลี่ยนแปรไป “ปลิดชีพตนเองเสียแล้วหรือนี่!”


แม้บัดนี้พลังของเขาจะสามารถพันธนาการอีกฝ่ายได้แล้ว แต่จะให้จับตัวจริงๆ ก็ยังลำบากอยู่บ้าง ผู้ใดจะไปคิดเล่าว่าด้านข้างเพิ่งจะมีทางเชื่อมการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นก่อตัวขึ้น ฝูงมารเกราะทองสองตนนี้ก็เลือกปลิดชีพตนเองโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อยเสียแล้ว


วิ้ง


บุรุษร่างผอมเล็กผู้หนึ่งเดินออกมาจากทางเชื่อมมิติอันบิดเบี้ยวนั้น อย่าได้เห็นว่าเขาตัวเล็กผอม หากพูดถึงความแข็งแกร่งของร่างกายแล้วสามารถต้านทานการโจมตีอย่างบ้าคลั่งของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ได้เลยทีเดียว! ดังเช่นบรรพชนทิพย์นั้นอาศัยวิธีการมากมายผสมผสานกันจึงสามารถเทียบกับบรรพชนโลกาได้อย่างพอถูไถ อย่างบรรพชนโลกาและจอมมารดาจึงจะเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่ใกล้เคียงกับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์มากที่สุด การต่อสู้ของบรรพชนโลกานั้นตรงไปตรงมามาก เขาอาศัยร่างกายต่อสู้อย่างสิ้นเชิง อาวุธใดของศัตรูเขาก็ล้วนกล้ากลืนลงไปในคำเดียวทั้งสิ้น


สามารถกล่าวได้ว่า…ฝูงมารผลาญทำลายเหมือนจะโหดร้ายมาก เป็นตัวแทนของการทำลายล้าง แต่ ‘บรรพชนโลกา’ กลับโหดร้ายและเหิมเกริมกว่า ‘อ๋อง’ หน้าไหนๆ ของฝูงมารผลาญทำลายมากนัก และแข็งแกร่งกว่ามากเช่นเดียวกัน


เคราะห์ดีที่เขาเฉลียวฉลาดพอ


และยืนอยู่ฝ่ายเดียวกับโลกทิพย์ทั้งสาม เป็นศัตรูกับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ และเผชิญหน้ากับฝูงมารผลาญทำลายด้วยกัน มิเช่นนั้นแล้ว…บรรพชนโลกาก็จะเป็นหายนะใหญ่สำหรับผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วน


“ฆ่าตัวตายเสียแล้วหรือ” บรรพชนโลการ่างผอมเล็กสวมอาภรณ์สีเขียวหลวมโพรกมองแวบหนึ่งก่อนจะส่ายหน้า “เด็กน้อยเหล่านี้ตายไม่อ้อมค้อมเลยนะ เอ๊ะ ตงป๋อเสวี่ยอิง พลังงานที่แผ่ออกมาตอนฝูงมารผลาญทำลายตายนั้น รสชาติไม่เลวเลยกระมัง”


ยามนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงก็รู้สึกว่าวิญญาณถูกโจมตีอย่างหนักหน่วงจริงๆ ขณะที่ฝูงมารเกราะทองสองตนปลิดชีพตนเองนั้น พลังงานพิเศษที่แผ่กำจายออกมาย่อมถูกเขาดูดกลืนลงไปเป็นธรรมดา ว่าไปแล้วก็น่าละอาย แม้ตัวเขาเองจะอยู่ในปราการอากาศมานานมาก สังหารฝูงมารเกราะทองไปมากมาย แต่เมื่อรวมกันทั้งหมดแล้ว ก็ยังไม่ได้อะไรมากเท่าครั้งนี้เลย


พลังงานพิเศษแบ่งออกเป็นสองระลอก ระลอกหนึ่งนับว่าบริสุทธิ์มาก อีกระลอกหนึ่งยังทำให้วิญญาณของเขาเกิดความรู้สึกสั่นระรัวเล็กน้อย สุขสำราญยิ่งนัก


“คารวะบรรพชนโลกา น่าเสียดายที่พวกเขาทั้งสองปลิดชีพตนเองเสียแล้ว ไม่สามารถจับทั้งเป็นได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงข่มความตื่นเต้นที่วิญญาณสั่นระรัวเอาไว้ สิ่งที่ได้รับในครั้งนี้ รู้สึกว่าผลลัพธ์เทียบได้กับกลืนกินศิลาปฐมโลกาห้าหมื่นก้อนลงไปเลยทีเดียว คาดว่ามารเกราะทองชั้นที่แปดระดับยอดตนนั้นก็คงให้ผลลัพธ็ราวหมื่นกว่าศิลาปฐมโลกา ส่วนที่เหลือล้วนแต่เป็นความช่วยเหลือจากมารเกราะทองระดับชั้นที่เก้าตนนั้นทั้งสิ้น


“น่าเสียดายที่มิได้ทิ้งวัสดุใดเอาไว้เลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ


เขาสังหารฝูงมารเกราะทองไปมากมายถึงเพียงนั้น ก็เพิ่งจะเคยได้วัสดุมาเพียงสองชุดเท่านั้น ชุดหนึ่งเป็นฝูงมารเกราะทองระดับเจ็ดตนหนึ่งทิ้งเอาไว้ ส่วนอีกชุดหนึ่งเป็นฝูงมารเกราะทองระดับแปดทิ้งเอาไว้ เมื่อรวมกันแล้วคาดว่ามีมูลค่าราวศิลาปฐมโลกาหมื่นกว่าก้อน


“คิดจะจับทั้งเป็นน่ะ มิได้ง่ายดายถึงเพียงนั้นหรอก” บรรพชนโลการ่างผอมเล็กยิ้ม


ทันใดนั้นมิติด้านข้างก็บิดเบี้ยวแล้วมีทางเชื่อมก่อตัวขึ้นอีกครั้ง จากนั้นเงาร่างสายหนึ่งก็เดินออกมา เป็นบรรพชนทิพย์นั่นเอง บรรพชนทิพย์พยักหน้าให้บรรพชนโลกาเล็กน้อย แล้วมองดูรอบด้านแวบหนึ่ง


“เจ้ามาช้าเกินไปแล้ว” บรรพชนโลกาผู้มีร่างผอมเล็กกล่าว


“ยืดเยื้อไปหน่อยน่ะ เห็นทีฝูงมารเกราะทองสองตนคงจะปลิดชีพตนเองเสียแล้ว” บรรพชนทิพย์เพียงมองปราดหนึ่งก็สามารถตรวจสอบทุกสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ได้หมดแล้ว เพราะถึงอย่างไรนี่ก็มิใช่สถานที่ของการต่อสู้ระดับ ‘อ๋อง’ เขาจึงสามารถตรวจสอบได้อย่างง่ายดาย “ไม่เลวแล้ว เพียงครู่เดียวก็สามารถสังหารไปได้ถึงสองตน เมื่อดูแล้วเหมือนจะมีตนหนึ่งเป็นถึงระดับชั้นที่เก้าด้วย ต่อให้เป็นในหมู่ฝูงมารผลาญทำลาย…เกรงว่าระดับชั้นที่เก้าก็คงมีเพียงไม่กี่สิบตนเท่านั้น”


“ตงป๋อเสวี่ยอิง เจ้าคิดค้นบุปผาเก้าใบนี้ขึ้นมาใหม่ด้วยตนเองหรือ” บรรพชนทิพย์มองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงพลางชมเชยว่า “น่าสนใจมาก เมื่อมีกระบวนท่านี้แล้ว หากพูดถึงวิธีการโจมตีของเจ้าก็นับได้ว่าอยู่ในสิบอันดับแรกของขั้นอลวนแล้ว”


“คิดค้นขึ้นมาใหม่ขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตอบ


เขาเข้าใจสิ่งที่บรรพชนทิพย์พูด ก็เป็นจริงตามนั้น เพราะถึงอย่างไรตอนที่อยู่ในปราการอากาศ เขาก็เคยเห็นพวกระดับชั้นที่เก้าอย่างประมุขตำหนักอลหม่านหรือจักรพรรดิสิงหั่วลงมือด้วยตาตนเอง ทว่าผู้ที่ได้เปรียบตนอย่างเห็นได้ชัดนั้นกลับมีน้อยเสียจนยกนิ้วนับได้ ประมุขตำหนักอลหม่านเป็นหนึ่งในผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด ขณะที่ยังมิได้คิดค้นบุปผาเก้าใบขึ้นมานั้น หากพูดถึงการโจมตีแล้วขั้นอลวนชั้นที่แปดระดับยอดผู้เชี่ยวชาญด้านการโจมตีบางคนกลับสามารถเทียบเคียงกับเขาได้


……


ขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่กับบรรพชนทิพย์และบรรพชนโลกานั้น เรื่องที่เขาทำให้ฝูงมารเกราะทองสองตนปลิดชีพตนเองได้ทำให้ฝูงมารผลาญทำลายระดับสูงสั่นคลอนกันไปหมด!


ก่อนหน้าที่มารสองตนนั้นจะปลิดชีพตนเอง ย่อมส่งสารให้กับบรรดา ‘อ๋อง’ ทั้งหลาย


ต้องรู้ไว้ว่า…


ผู้ที่สามารถได้รับเลือกให้มีโอกาสเข้ามายังโลกผู้บำเพ็ญนั้น นอกจากผู้ที่มี ‘พรสวรรค์ไร้เงา’  สองตนแล้ว ฝูงมารผลาญทำลายตนอื่นๆ ล้วนเป็นที่ยอมรับกันว่ามีระดับจิตใจสูงส่งมาก มีความสามารถที่ซ่อนอยู่มาก จู่ๆ ก็มาสูญเสียถึงสองตนไปพร้อมกัน และหนึ่งในนั้นยังเป็นระดับชั้นที่เก้าอีกด้วย


“สมควรตาย”


“พลังของตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้ยกระดับขึ้นแล้ว กระบวนท่าที่เขาคิดค้นขึ้นมาถึงกับสามารถพันธนาการแม่ทัพเกราะทองระดับยอดได้เลยทีเดียว” บรรดา ‘อ๋อง’ เหล่านี้โมโหขึ้นมา


“อยากจะสังหารตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้ทิ้งจริงๆ”


“น่าเสียดาย เขาเดินทางอย่างแปลกประหลาด บุกทะลวงไปทั่วทุกหนแห่ง จะตามรอยเขานั้นยากมาก นอกจากนี้ต่อให้เคราะห์ดีพบเขาเข้า เขาก็มีสมบัติลับคุ้มกายทั้งยังสามารถหลบหนีเป็นระยะทางอันไกลโพ้นได้ด้วย สังหารเขามิได้เลย”


บรรดาอ๋องเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นต่อตงป๋อเสวี่ยอิง


ต้องรู้ไว้ว่า…


การไล่สังหารฝูงมารผลาญทำลายนั้นทำได้ยากมาก


ต่อให้เป็นเทพจักรวาล ก็มีวิถีทางที่แต่ละคนเชี่ยวชาญ! อย่างสิ่งที่บรรพชนเทียนอวี๋เชี่ยวชาญก็มี ‘การเข่นฆ่า’ อย่างราชันย์มีดนั้นก็มีการสังหารซึ่งหน้าที่ร้ายกาจ บรรพชนคีรีมารอาศัยร่างกายที่แข็งแกร่งในการต่อสู้เป็นหลัก! อย่างฝูงมารผลาญทำลายก็เก็บงำพลังและกลิ่นอายอย่างสิ้นเชิงแล้วปะปนเข้ามาในหมู่ผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วน จะ ‘คัดกรอง’ พวกเขาออกมา วิธีการอันเหิมเกริมของเทพจักรวาลบางท่านก็ยังไร้ประโยชน์


หรือจะกวาดล้างผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนในคราวเดียวเสียเลย หรือจะกดดันเป็นวงกว้าง แต่ฝูงมารผลาญทำลายก็สามารถปลอมแปลงให้เหมือนกับผู้ที่อ่อนแอพวกนั้นได้อยู่ดี


จะตรวจสอบ…


ข้อแรกก็คือต้องสามารถครอบคลุมเป็นวงกว้าง และไม่ถึงกับทำร้ายผู้บำเพ็ญที่อ่อนแอจำนวนนับไม่ถ้วน ทั้งยังต้องแยกแยะฝูงมารผลาญทำลายออกมาด้วย!


‘เจ้าลัทธิภาพจิต’ นับว่ามีวิธีการนี้


ผลสำเร็จของเขตลวงของตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีวิธีการนี้เช่นกัน ในบรรดาขั้นอลวนระดับชั้นที่เก้า ผู้ที่มีวิธีการทำนองเดียวกันนี้มีน้อยเสียจนยกนิ้วนับได้ ผู้ที่สามารถ ‘ส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้น’ ได้ก็ยิ่งมีตงป๋อเสวี่ยอิงเพียงคนเดียวเท่านั้น


ในบรรดาเทพจักรวาล ส่วนมากนั้นก็ต่อสู้โดยตรง ผู้ที่มีวิธีการอย่างเดียวกันก็มีน้อยเสียจนยกนิ้วนับได้คือสองคนเท่านั้น คนหนึ่งคือบรรพชนทิพย์ผู้สูงส่ง เวลาของบรรพชนทิพย์นั้นล้ำค่ามาก สถานที่มากมายล้วนต้องอาศัยเขาทั้งสิ้น เขาจึงไม่ว่างพอจะตรวจสอบแบบปูพรมไปทีละแห่งๆ ได้ นอกจากนี้หากบรรพชนทิพย์กล้าทำเช่นนี้…ฝูงมารผลาญทำลายเหล่านั้นก็ต้องหลบซ่อนจนหาตัวพบยากยิ่งขึ้น อีกคนหนึ่งก็คือ ‘ประมุขเหยากวง’ ซึ่งมีสถานะสูงส่งมากเช่นเดียวกัน


นอกจากนี้สามารถคาดการณ์ได้ว่า หากฝูงมารผลาญทำลายสัมผัสได้ถึง ‘แรงคุกคาม’ ก็คงต้องซ่อนตัวอย่างระมัดระวังหาใดเปรียบ


……


เรื่องจริงก็เป็นเช่นนี้เอง


ฝูงมารผลาญทำลายที่เข้ามากบดานมีการบาดเจ็บล้มตายเป็นครั้งแรก บรรดา ‘อ๋อง’ ผู้สูงส่งจึงมีคำสั่งลงมาทันที


ฝูงมารเกราะทองทั้งหมดให้ซ่อนตัวอยู่ในสถานที่รกร้างห่างไกลผู้คนทันที มีเพียงยามที่ ‘ล่าเหยื่อ’ เท่านั้นจึงอนุญาตให้เคลื่อนไหวได้ เมื่อล่าเหยื่อเสร็จแล้วต้องซ่อนตัวอีกครั้งในทันที หากตงป๋อเสวี่ยอิงจะตรวจสอบแม้แต่สถานที่รกร้างห่างไกลพวกนั้นแล้วล่ะก็…ด้วยความกว้างใหญ่ไพศาลของอากาศอันสับสนอลหม่าน เกรงว่าก็คงจะไร้ที่สิ้นสุดแล้ว


 …………………………………………


ตอนที่ 31 ก่อนการปะทุ

โดย

Ink Stone_Fantasy

 


ในแผ่นดินอลหม่านแห่งหนึ่งในอากาศอันสับสนอลหม่าน มีฝูงมารผลาญทำลายหกตนอยู่อย่างสันโดษอยู่ที่นั่น ซึ่งมีผู้นำก็คือ ‘แม่ทัพโม่กู่’


“แม่ทัพโม่กู่ เหล่าอ๋องมีคำสั่งอย่างเข้มงวดว่าจะต้องไปที่ดินแดนรกร้างอย่างที่สุด” ลูกน้องทั้งห้าต่างก็เอ่ยแนะนำ


“พวกเรามาซ่อนตัวกันถึงที่แผ่นดินอลหม่านแล้ว ยังต้องซ่อนตัวอีกหรือ” แม่ทัพโม่กู่ผู้มีรูปร่างสูงผอมและดวงตาสามเหลี่ยมเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “เป็นเพราะเจ้าคนที่ชื่อตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นั้นนั่นแหละ มีอะไรน่ากลัวกันเล่า ถ้าเทพจักรวาลโจมตีเข้ามา ข้าก็สามารถพาพวกเจ้ากลายเป็นอากาศธาตุ เคลื่อนที่ผ่านอากาศจากไปได้ในพริบตา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเป็นเพียงแค่ผู้บำเพ็ญขั้นอลวนคนหนึ่งเลย”


เขามีความมั่นใจ


นอกจากข้อบกพร่องที่สภาพจิตใจและพลังการต่อสู้ซึ่งหน้าอ่อนแอไปสักหน่อยแล้ว พรสวรรค์ ‘ไร้เงา’ ของเขาก็น่าหวาดหวั่นอย่างแท้จริง ถึงอย่างไรต่อให้เป็นเทพจักรวาล ก็มีอยู่ไม่กี่คนที่สามารถทำลายกรงขังอากาศอันสับสนอลหม่านนี้ได้อย่างแท้จริง ถ้าหากเขากลายเป็นอากาศธาตุ ต่อให้เป็น ‘บุปผาเก้าใบ’ เขาก็สามารถ ‘ทะลุผ่าน’ จากไปได้อย่างง่ายดาย


ถึงอย่างไรบุปผาเก้าใบก็อยู่ภายในห้วงอากาศ


กระทั่งป้อมปราการอากาศที่เหล่าเทพจักรวาลร่วมมือกันใช้พลังจิตอันไร้ที่สิ้นสุดสร้างขึ้นมา เขาก็สามารถทะลุผ่านได้ บุปผาเก้าใบจะนับเป็นอะไรได้เล่า


“แม่ทัพโม่กู่ ท่านมีสถานะสูงส่ง มิอาจให้เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นได้เลยแม้แต่น้อย เหล่าอ๋องมีคำสั่งอย่างเข้มงวด พวกเราก็ได้แต่ปฏิบัติตามเท่านั้น” อีกห้าท่านต่างก็มองดูแม่ทัพโม่กู่


แม่ทัพโม่กู่ขบกราม


แต่จากสัญชาตญาณการใช้ชีวิต  เขาเองก็ไม่กล้าขัดขืน


“เอาล่ะๆ ก็ซ่อนตัวอีกก็แล้วกัน แต่ว่า… เมื่อใดพวกเราจึงจะสามารถกินกันตามอำเภอใจอีกคราวได้เล่า” ดวงตาของแม่ทัพโม่กู่แดงก่ำอยู่บ้าง วิญญาณก็กำลังกระหายอยาก ตอนนั้นการกลืนกินประมุขวังอวี้เฉี่ยนและสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในเมืองขนาดมหึมาเมื่อคราวนั้น เป็นช่วงเวลาที่สุขสันต์ที่สุดในชีวิตเขาเลยทีเดียว จนกระทั่งถึงตอนนี้ผ่านมาหลายหมื่นล้านปี เขาก็ยังยากที่จะลืมช่วงเวลาอันงดงามนั้นไปได้


“เหล่าอ๋องมีบัญชามาก่อนแล้วว่าเมืองที่มีขั้นอลวนอยู่ การรักษาการณ์ค่อนข้างเข้มงวด ทุกครั้งที่สังหารขั้นอลวนคนหนึ่งตาย ก็ยิ่งกระตุ้นเหล่าเทพจักรวาลอย่างใหญ่หลวงมากยิ่งขึ้น และท่าน แม่ทัพโม่กู่ ก็มีสถานะพิเศษ ทั้งยังออกมาเป็นครั้งแรก จึงได้รับอนุญาตให้เคลื่อนไหวได้ครั้งหนึ่ง ยังคิดอยากจะเคลื่อนไหวอีกหรือ ก็ต้องรอให้ท่านแม่ทัพไปถึงพลังยุทธ์ระดับชั้นที่แปดขั้นสุดยอดเสียก่อน” คนอื่นอีกห้าคนต่างก็ให้คำแนะนำอยู่ข้างๆ


“ชั้นที่แปดขั้นสุดยอดหรือ”


แม่ทัพโม่กู่ลอบพึมพำ


ง่ายดายเช่นนั้นเสียที่ไหนกัน เขากินประมุขวังอวี้เฉี่ยนไปในคราวนั้นมีส่วนช่วยเหลืออย่างยิ่งใหญ่ที่สุด ทำให้พลังยุทธ์ของเขาไปถึงพลังยุทธ์ชั้นที่แปดอย่างรวดเร็ว ต่อมาการยกระดับก็ยิ่งยากขึ้นเรื่อยๆ


“ไปๆๆ” แม่ทัพโม่กู่อยู่ภายในวังอันหรูหรา สายตาทะลุผ่านวังกวาดผ่านไปทั่วทั้งแผ่นดินอลหม่าน “ก่อนจะไป รอให้ข้ากินสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในแผ่นดินอลหม่านนี้ให้เรียบเสียก่อนนะ”


“นี่เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น”


คนอื่นอีกห้าคนมิได้ห้ามปรามอีกต่อไป


ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงแค่แผ่นดินอลหม่านแห่งหนึ่งเท่านั้น มีสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศที่แข็งแกร่งเป็นที่สุดบุกเข้ามาในแผ่นดินอลหม่านอยู่เป็นประจำ กืนกลินสิ่งมีชีวิตทั้งหมดภายในแผ่นดินอลหม่านแห่งหนึ่งจนสิ้น พวกเขาเพียงแค่ต้องซ่อนเร้นกลิ่นอาย ปกปิดพลังยุทธ์เท่านั้น ถึงอย่างไรพอถึงเวลาที่ทางฝั่งผู้บำเพ็ญมาตรวจสอบย้อนหลัง ก็สามารถตรวจพบได้เพียงแค่รูปลักษณ์ที่พวกเขาแปลงกายเป็นผู้บำเพ็ญเท่านั้น ย่อมไม่มีทางล่วงรู้ว่าเป็นฝีมือของฝูงมารผลาญทำลายอยู่แล้ว


ไม่นานนัก


ท่ามกลางความสิ้นหวังของสิ่งมีชีวิตล้านล้านชีวิตของแผ่นดินอลหม่าน แต่ละคนต่างก็พากันเหินลอยขึ้น ห้วงอากาศล้วนบิดเบี้ยว สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนลอยเข้าไปในปากของแม่ทัพโม่กู่ด้วยการเคลื่อนที่ผ่านอากาศ


หลังจากกินอย่างหนำใจแล้ว แม่ทัพโม่กู่ก็จากไปพร้อมกับลูกน้องทั้งห้าอย่างเงียบเชียบ ไปซ่อนตัวที่ดินแดนรกร้างแห่งหนึ่งอย่างแท้จริง


……


ตั้งแต่คราวก่อนก็นับได้ว่าได้อะไรมาบ้าง ต่างก็ไม่สามารถจับเป็นพวกเขามาทำการไต่สวนสืบเสาะได้ หลังจากทำได้เพียงบีบเค้นให้ฝูงมารผลาญทำลายเกราะทองสองตนฆ่าตัวตายแล้ว การสืบเสาะต่อไปของตงป๋อเสวี่ยอิง…ก็ไม่มีผลสำเร็จแต่อย่างใดอีก! อันที่จริงเขาก็สามารถเดาได้ว่าสุดท้ายแล้วอากาศอันสับสนอลหม่านก็กว้างใหญ่ไพศาลเกินไป จากโลกทิพย์แห่งหนึ่งไปยังโลกทิพย์อีกแห่งหนึ่ง เทพอากาศสักคนเดินทางผ่านทางเชื่อมกาลมิติตลอดเวลาก็ยังต้องเนิ่นนานเป็นแสนล้านปี


ถ้าหากต้องการตรวจสอบทุกหนแห่ง เช่นนั้นก็ไร้ซึ่งที่สิ้นสุดจริงๆ เสียแล้ว


เหล่าเทพจักรวาลของโลกทิพย์ทั้งสามต่างก็เข้าใจกันดีว่าเมื่อใดที่ฝูงมารผลาญทำลายต้องการหลบซ่อนตัวจริงๆ แล้ว เช่นนั้นก็แทบจะไม่มีความหวังในการสืบหาตัวได้พบ พวกเขาต่างก็รู้สึกว่าภารกิจของตงป๋อเสวี่ยอิงก็เกือบจะนับได้ว่าสำเร็จเสร็จสิ้นแล้ว


พวกเขาให้ตงป๋อเสวี่ยอิงสืบหา…


แต่ก็มิได้ต้องการให้สืบหาตัวออกมาได้ทั้งหมดจริงๆ นี่เป็นสิ่งที่ผู้ใดต่างก็ไม่สามารถทำได้กันทั้งสิ้น


วัตถุประสงค์ที่สำคัญที่สุดของพวกเขาในตอนนั้นก็คือเพื่อการยืนยันว่าในบรรดาฝูงมารผลาญทำลายนั้นมี  ‘อ๋อง’ บุกเข้ามาจริงๆ แล้วป้อมปราการอากาศต้านทานไม่อยู่จริงๆ หรือไม่ ถ้าหากทำได้ สามารถจับเป็นสักตนหนึ่งมาแล้วตรวจตราดวงวิญญาณ ล่วงรู้ความลับมากขึ้นได้ก็ยิ่งดี! ตงป๋อเสวี่ยอิงก็นับได้ว่าเกือบจะทำสำเร็จแล้ว เพียงแต่การจับเป็นมาตรวจตราดวงวิญญาณนั้นยากเย็นเกินไป เหล่าเทพจักรวาลต่างก็ไม่มีความมั่นใจ


เช่นประมุขเหยากวง ถึงแม้ว่าจะสามารถตรวจสอบบริเวณโดยรอบได้ แต่ก็ไม่มีทางควบคุมดวงวิญญาณของฝูงมารผลาญทำลายเกราะทองได้เลย


ถึงแม้ว่าเขตลวงของตงป๋อเสวี่ยอิงจะร้ายกาจ แต่สภาวะจิตใจของฝูงมารผลาญทำลายเกราะทองเหล่านี้แต่ละตนล้วนเยี่ยมยอด ทำให้อีกฝ่ายสูญเสียการควบคุมตนเอง ก็ยากเย็นเกินไปเสียแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฝูงมารผลาญทำลายเกราะทองชั้นที่แปดขั้นสุดยอดที่อ่อนแอสักหน่อย ต่างก็ติดตามระดับชั้นที่เก้าขั้นสุดยอดแล้วทำการเคลื่อนไหวพร้อมกัน


            ……


กาลเวลาเคลื่อนผ่าน ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินทางไปทั่วสารทิศเช่นเดิม


ระยะเวลาในคราวนี้ก็ยิ่งเนิ่นนาน เพราะว่าไม่ได้อะไรเลยมาโดยตลอด เขาจึงค่อยๆ เริ่มอาศัยการบำเพ็ญเป็นหลัก สำหรับการสืบหาฝูงมารผลาญทำลายนั้นก็มิได้ตั้งความหวังเอาไว้มากมายสักเท่าใดนัก


“ตงป๋อ กลับมาเร็วเข้า”


วันหนึ่ง


ตงป๋อเสวี่ยอิงที่เดินทางเตร็ดเตร่อยู่ข้างนอกได้รับข้อความของบรรพชนเทียนอวี๋แล้วก็มิได้ไถ่ถามอะไรมากมาย เขาทำการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นกลับมายังวังทวีสูญในทันที


“มีเรื่องอันใดหรือขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงและเหล่าประมุขตำหนักจำนวนมากมาพร้อมหน้าพร้อมตากันอย่างรวดเร็ว ประมุขตำหนักสิบสามคนของวังทวีสูญ นอกจากร่างจริงแปดร่างที่ต่างก็อยู่นอกป้อมห้วงอากาศแล้ว ร่างจริงอีกห้าร่างต่างก็กลับมาถึงภายในวังทวีสูญ ไม่มีผู้ใดอยู่ข้างนอกเลยแม้แต่คนเดียว!


“หากร่างจริงไม่อยู่ที่ป้อมห้วงอากาศ เช่นนั้นก็ล้วนกลับมาที่นี่กันหมดแล้ว มีเรื่องอันใดหรือ ท่านบรรพชน มีเรื่องใหญ่อันใดกัน จึงจำเป็นจะต้องให้ร่างจริงของพวกเรากลับมาด้วย”


เหล่าประมุขตำหนักทั้งหลายต่างก็มารวมตัวกันอยู่ ณ ที่พำนักของประมุขตำหนักอลหม่าน ถึงอย่างไรประมุขตำหนักอลหม่านก็คล้ายจะเป็นหัวหน้าของพวกเขามาโดยตลอดอยู่แล้ว


……


เหล่าประมุขตำหนักและผู้อาวุโสตำหนักในมารวมตัวกันทั้งหมด และภายในลานอีกแห่งหนึ่งของวังทวีสูญก็มีเทพจักรวาลสามท่านอยู่ที่นี่ ได้แก่บรรพชนเทียนอวี๋ จอมกระบี่ และอีกคนหนึ่งก็คือราชันย์มีด


“คราวนี้รบกวนราชันย์มีดแล้วจริงๆ ให้ราชันย์มีดมาประจำที่วังทวีสูญของข้า” บรรพชนเทียนอวี๋เอ่ยอย่างซาบซึ้ง


“ถึงแม้ว่าบรรพชนทิพย์และเจ้าเมืองหลัวต่างก็ยื่นมือเข้าช่วยเหลือวังทวีสูญของเจ้า แต่ข้ามานั่งประจำการก็จะปลอดภัยขึ้นมาบ้าง” ราชันย์มีดพูดยิ้มๆ “มีข้าอยู่ อีกทั้งอาศัยอำนาจของวังทวีสูญ… ต่อให้เป็นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์มาเอง ใช้พลังต้นกำเนิดจักรวาลหลอมสมบัติลับออกมา ต่อให้ตีจนโลกทิพย์ทะเลสัตตดาราแหลกสลาย แต่คราวนี้อย่าได้คิดจะทำลายวังทวีสูญแม้แต่อึดใจเดียว นอกจากนี้ ถ้าเขาบ้าบิ่นไม่แยแสสิ่งใดจริงๆ ถึงเวลานั้นท่านบรรพชนคีรีมาร ประมุขเหยากวง และบรรพชนทิพย์ก็จะ… ลงมือ”


“อืม” บรรพชนเทียนอวี๋พยักหน้า


เพื่อวันนี้


ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหกต่างก็เตรียมการมาเป็นระยะเวลายาวนานยิ่ง แม้กระทั่งโลกทิพย์นิจนิรันดร์ก็ยังเต็มใจช่วยเหลือ


“จอมกระบี่ ตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้วล่ะ” ราชันย์มีดมองไปทาง ‘จอมกระบี่’ บุรุษผมขาวที่อยู่ด้านข้าง “ทุกฝ่ายต่างก็เตรียมการพร้อมแล้ว ถึงขนาดไม่กลัวที่จะเปิดศึกอีกครั้ง เจ้าทางนี้ก็อย่าให้เกิดความบกพร่องล่ะ”


จอมกระบี่แย้มยิ้มน้อยๆ “รบกวนทุกท่านให้ช่วยเหลือ ช่างซาบซึ้งยิ่งนัก สำหรับเรื่องของข้านั้น… โปรดวางใจได้อย่างเต็มที่ เพียงแค่เวลาล่าช้าไปสักเล็กน้อยเท่านั้น ข้ามีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมเลยทีเดียว!”


พอได้ยินว่ามีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ราชันย์มีดก็อดดวงตาเป็นประกายมิได้ เขาพยักหน้าน้อยๆ พลางลอบทอดถอนใจ…


มิน่าเล่าจึงได้เข้าตาท่านท่านอาจารย์


ช่างล้ำเลิศอย่างแท้จริง


“ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้วล่ะนะ” บรรพชนเทียนอวี๋ก็หัวเราะหึๆ “ตอนนี้ประมุขตำหนักและผู้อาวุโสตำหนักในของวังทวีสูญของข้า หากไม่อยู่ในป้อมห้วงอากาศ ก็กลับมาอยู๋ในวังทวีสูญกันหมดแล้ว ทั้งหมดล้วนเตรียมการเรียบร้อย สามารถเริ่มลงมือได้ทุกเวลา”


“ในเมื่อทุกฝ่ายต่างก็เตรียมการเรียบร้อยแล้ว เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องล่าช้าต่อไปอีก ก็เป็นวันนี้เลยแล้วกัน” จอมกระบี่พูด


“ได้สิ” ราชันย์มีดและบรรพชนเทียนอวี๋ต่างก็คาดหวังเป็นอย่างยิ่ง หวังจะได้เห็นฉากนั้น


นี่คือสิ่งที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหก หรือแม้กระทั่งโลกทิพย์นิจนิรันดร์ต่างก็อยากที่จะเห็นกันทั้งสิ้น


…………………………………..

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)