Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 31 ตอนที่ 26-28
ตอนที่ 26 เทพจักรวาล
โดย
Ink Stone_Fantasy
เพียงแค่ปากด้านบนซึ่งใหญ่โตกว่าทั้งคูเมืองมากนักดูดกลืนเข้าไปคราหนึ่ง โดยมีเป้าหมายคือตงป๋อเสวี่ยอิง เพียงเพราะถูกลูกหลงขนาดใหญ่เข้าไป รัฐเยวี่ยเฟิ่งก็ถูกทำลายจนสิ้นซาก ก่อนหน้านี้สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนในรัฐเยวี่ยเฟิ่งล้วนตกอยู่ในเขตลวงของตงป๋อเสวี่ยอิง ขณะที่ถูกสังหารนั้นก็ยังคงอยู่ภายในเขตลวง จึงมิได้เจ็บปวดแต่อย่างใด
“วิ้ง” ขณะเดียวกับที่ตงป๋อเสวี่ยอิงกลัวเสียจนใจสะท้านไปหมดนั้น เขาก็กระตุ้นสมบัติลับขึ้นมาสองชิ้นโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
สร้อยข้อมือไข่มุกสิบสองเม็ดและเมฆซ้อนสามสีต่างก็ถูกกระตุ้นขึ้นมาทั้งหมด
ทันใดนั้นที่ครอบแสงอันสว่างเรืองรองชั้นแล้วชั้นเล่าก็เข้ามาปกคลุมตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้ ทั้งหมดมีถึงสิบสองชั้นด้วยกัน! เหนือผิวกายของเขาก็ปลดปล่อยแสงสีทองออกมา รอบกายยังมีรัศมีสีฟ้าชั้นหนึ่งปกป้องอยู่ด้วย เห็นได้ชัดว่าเพียงพริบตาเดียวก็ได้สำแดงลูกไม้รักษาชีวิตออกมาจนถึงขั้นสุดแล้ว
“ฟึ่บๆๆ”
เมื่อมองอย่างผิวเผินแล้วเหมือนว่า ‘ปาก’ ขนาดมหึมากำลังดูดกลืนเข้าไป แต่อันที่จริงแล้ว กลับมีมือขนาดใหญ่สองข้างซึ่งเต็มไปด้วยสีขาวเงินปะทะเข้ามาจากความว่างเปล่าอย่างลับๆ
ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงที่ดูเหมือนจะยืนอยู่กลางฟากฟ้านั้น กลับเร้นกายอยู่ในโลกลวง มือขนาดใหญ่สีขาวเงินทั้งสองข้างก็ทำได้เพียงแทรกเข้ามาในโลกลวงอย่างพอถูไถเท่านั้น เมื่อปะทะเข้ากับที่ครอบแสงอันเรืองรองทั้งสิบสองชั้น ท่าไม้ตายอันแน่นอนนี้กลับเพียงแค่ทำให้ที่ครอบแสงชั้นนอกสุดแตกออกได้อย่างพอถูไถเท่านั้น
“ตาย!”
มือใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยเกราะเกล็ดสีขาวเงินทั้งคู่นั้นกลับตะปบเข้ามาอย่างต่อเนื่องด้วยความโมโห
“ไป”
ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับไม่กล้ารั้งรออีกต่อไป เขาสัมผัสรับรู้อากาศได้อย่างร้ายกาจมาก ดังนั้นจึงสามารถ ‘พบ’ ว่ามีสัตว์ประหลาดขนาดมโหฬารตนหนึ่งกำลังเร้นกายอยู่ในอากาศ มันมีลักษณะราวกับรังไหม ปากขนาดมหึมาที่ปรากฏขึ้นกลางอากาศนั้น…เป็นเพียงแค่ปากบนหัวของรังไหมเท่านั้น มือใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยเกราะเกล็ดสีขาวเงินทั้งสองก็คือมือด้านหน้าสุดสองข้างจากมืออันแน่นขนัดทั้งสิบสองข้างของร่างกาย
นี่คือสัตว์ประหลาดที่อัปลักษณ์มากตนหนึ่ง แต่หลังจากได้เห็นแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็รู้สึกคร้ามเกรงขึ้นมาโดยสัญชาตญาณ เขาพอจะเข้าใจรางๆ ว่า ความรู้สึกคร้ามเกรงเช่นนี้…หมายความว่าพลังของเขาเมื่อเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดพรรค์นี้ มีอันตรายถึงตายได้!
เคราะห์ดีที่มี ‘สมบัติลับ’ นอกกายสองชิ้นอยู่กับตัว! เมื่อเผชิญหน้ากับบรรพชนโลกาและบรรพชนทิพย์ ก็ยังสามารถต้านทานได้หนึ่งหรือสองชั่วพริบตา เมื่อเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดตนนี้ก็ยิ่งสามารถต้านทานได้เป็นเวลานานขึ้นไปอีกหน่อย
“คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะพบกับเทพจักรวาลผู้หนึ่งเข้า ทว่ากลับนับว่าพบปลาใหญ่ตัวหนึ่งเข้า” ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่รั้งรออีกต่อไป เพียงชั่วความคิดเดียว อากาศข้างกายก็เริ่มบิดเบี้ยว เขารีบสาวเท้าเข้าไปในนั้นทันที ก่อนจะอันตรธานไปท่ามกลางอากาศอันบิดเบี้ยว
“หนีเป็นระยะทางอันไกลโพ้นหรือ”
สัตว์ประหลาดขนาดมโหฬารโมโหขึ้นมา แต่กลับจากไปอย่างเงียบเชียบในพริบตาเดียวเช่นกัน เพราะเขาเข้าใจดีว่า ในเมื่อความแตกแล้ว เชื่อว่าอีกไม่นานก็คงจะมีเทพของจักรวาลผู้บำเพ็ญมาถึงจนได้
ไม่ถึงหนึ่งชั่วลมหายใจ
อากาศรอบด้านก็สั่นสะเทือนและบิดเบี้ยวไปอีกครั้ง บุรุษผมเขียวอาภรณ์สีดำผู้หนึ่งปรากฏกายขึ้น สายตาของเขากวาดมองรอบด้านอย่างสงบ เขาก็คือบุปผาผลาญทำลายที่เร่งมาถึงหลังได้รับสารจากตงป๋อเสวี่ยอิง
นับว่าเขามาถึงได้รวดเร็วที่สุด!
เทพจักรวาลคนอื่นๆ จะเร่งมาถึงได้ก็ล้วนต้องขอให้ขั้นอลวนคนอื่นที่เข้าใจการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นช่วยเหลือ ‘รัฐเยวี่ยเฟิ่ง’ ก็มิใช่สถานที่พิเศษอันใด เมื่อไม่มีเครื่องหมายมิติ ขั้นอลวนจะช่วยส่งถ่ายก็ย่อมคลาดเคลื่อนไปเป็นอันมาก ทั้ง ‘ส่งสาร’ ‘ขอให้คนช่วยส่งถ่าย’ และ ‘คลาดเคลื่อนมากจนต้องเร่งเดินทางต่อ’…จึงเสียเวลามากทีเดียว
บุปผาผลาญทำลายที่เข้าใจ ‘การเคลื่อนย้ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้น’ กลับสามารถมาถึงได้เร็วที่สุด แต่ก็ยังคงช้าไปอยู่ดี ศัตรูหนีได้รวดเร็วเกินไปแล้ว
อันที่จริงบุปผาผลาญทำลายก็เข้าใจว่า ด้วยความสามารถในการหนีเอาชีวิตรอดของบรรดา ‘อ๋อง’ แห่งฝูงมารผลาญทำลาย ต่อให้เขาสามารถไล่ตามมาได้ทัน ก็มิอาจขัดขวางไว้ได้อยู่ดี
“สมควรตาย”
บุปผาผลาญทำลายมองลงไปด้านล่าง ดินแดนอันกว้างใหญ่กว่าร้อยล้านลี้เบื้องล่างล้วนถูกลูกหลงไปหมด ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดเคราะห์ดีรอดชีวิต เมื่อบุปผาผลาญทำลายมองดูซากปรักหักพัง ก็รู้สึกสังเวชต่อสิ่งมีชีวิตทั่วไปเป็นอันมาก และรู้สึกเจ็บปวดใจด้วยเช่นกัน
“ฝูงมารผลาญทำลายที่สมควรตาย” นัยน์ตาของบุปผาผลาญทำลายฉายแววโหดร้าย
……
ผืนดินรกร้าง ไกลออกไปกลับมีเทือกเขาทอดยาวต่อเนื่องกัน มีสำนักหนึ่งตั้งอยู่ในนั้น
ประมุขรัฐเยวี่ยเฟิ่งปรากฏกายขึ้นเหนือผืนดินแห่งนี้แล้วเดินอยู่เพียงลำพัง คิ้วขมวดเล็กน้อย เขาพึมพำเสียงต่ำว่า “ถูกพบเสียแล้วหรือนี่”
บรรดา ‘อ๋อง’ ที่เข้ามากบดาน
ครั้งแรกที่ถูกค้นพบ!
“ไยจึงบังเอิญถึงเพียงนี้ จู่ๆ ตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นั้นก็สำแดงเขตลวงออกมาปกคลุมทั้งรัฐเยวี่ยเฟิ่งเอาไว้ พอดีกับที่ปกคลุมข้าด้วย” ประมุขรัฐเยวี่ยเฟิ่งลอบพึมพำ ตงป๋อเสวี่ยอิงมาถึงอย่างกะทันหันเกินไป พอมาถึงก็สำแดงเขตลวงออกมา เขาจะหลบหลีกก็ไม่ทัน ยิ่งไปกว่านั้น ตามสถานการณ์ทั่วไปแล้ว เขาก็รังเกียจที่จะหลบหลีกขั้นอลวนสักคนหนึ่ง
เขาเชื่อว่าด้วยวิธีการซ่อนเร้นกลิ่นอายของตัวเขาแล้ว ควรจะไม่ถูกจับได้จึงจะถูกต้อง!
แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับสำแดงเขตลวงออกมา! สิ่งมีชีวิตที่อ่อนแออื่นๆ ล้วนตกเข้าสู่เขตลวงจนสิ้น เทพจักรวาลผู้องอาจเช่นเขาย่อมไม่ตกเข้าสู่เขตลวงเป็นธรรมดา แต่กลับความแตกด้วยเหตุนี้!
“จู่ๆ ก็สำแดงเขตลวงออกมา หรือว่าข้าเผยช่องโหว่อะไรออกไป เขาจึงจงใจมาตรวจสอบโดยเฉพาะอย่างนั้นหรือ ไม่ถูกสิ! หากข้าเผยช่องโหว่ออกไป ก็คงจะไม่เป็นเขาที่มาตรวจสอบแล้ว หากแต่ต้องเป็นเทพจักรวาลวางกำลังทั่วทั้งฟ้าดินไปแล้ว” ประมุขรัฐเยวี่ยเฟิ่งส่ายศีรษะ
“หากไม่รู้ว่าข้าอยู่ที่นี่ ไยจึงต้องสำแดงเขตลวงออกมาด้วยเล่า”
“หรือจะบอกว่า ตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้กำลังบำเพ็ญอยู่ จึงทดลองกระบวนท่าของเขาอย่างนั้นหรือ” ประมุขรัฐเยวี่ยเฟิ่งคาดเดา
เขารู้สึกว่านี่มีความเป็นไปได้มากทีเดียว
เนื่องจากผู้บำเพ็ญท่องไปทั่วสารทิศ เพื่อรับรู้ ‘วิถี’ ของตนเป็นเรื่องปกตินัก ตงป๋อเสวี่ยอิงจะสำแดงเขตลวงปกคลุมสิ่งมีชีวิตทั้งหมดของดินแดนแห่งหนึ่งเพื่อทดลองกระบวนท่าก็เป็นเรื่องปกติมากเช่นกัน
“ข้าก็โชคร้ายเกินไปแล้ว ที่ถูกเขาโชคดีพบเข้าได้” ประมุขรัฐเยวี่ยเฟิ่งไม่สบายใจเป็นอันมาก ‘อ๋อง’ ทั้งหมดล้วนเคยมายังโลกผู้บำเพ็ญด้วยกันทั้งนั้น แต่เขากลับเป็นคนแรกที่ถูกพบเข้า
******
ภายในตำหนักลับแห่งหนึ่งของปราการอากาศ
บรรดาเทพจักรวาลทั้งหลายของทางฝ่ายผู้บำเพ็ญล้วนอยู่ที่นี่ ทว่าส่วนใหญ่ก็เป็นเพียงร่างแปรเท่านั้น ยามนี้พวกเขาต่างมองไปยังตงป๋อเสวี่ยอิง
“ฝูงมารผลาญทำลายระดับเทพจักรวาลอย่างนั้นหรือ เจ้ามั่นใจหรือ” ราชันย์มีดมองตงป๋อเสวี่ยอิง
แม้จะมีเทพจักรวาลหลายคนไปตรวจสอบยังสถานที่ตั้งของรัฐเยวี่ยเฟิ่งต่อเนื่องกัน และรู้ว่าก่อนหน้านี้มีการต่อสู้อันน่าหวาดหวั่นเกิดขึ้นจริงๆ แต่เนื่องจากการย้อนเวลาถูกรบกวน จึงมิอาจตรวจสอบสถานการณ์รบในตอนนั้นได้ พวกเขาจึงทำได้เพียงสอบถามตงป๋อเสวี่ยอิงเท่านั้น
“เป็นเทพจักรวาลอย่างแน่นอนขอรับ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงตอบอย่างเคารพนบนอบ
แข็งแกร่งถึงเพียงนั้น…
ต่อให้เป็นจักรพรรดิดำและประมุขตำหนักอลหม่านก็มิอาจนำแรงกดดันมาให้ตนได้มากสักเท่าใดนัก แต่สัตว์ประหลาดที่น่าหวาดหวั่นตนนั้นกลับทำให้ตนสัมผัสแรงคุกคามถึงตายได้
“นี่คือรูปร่างที่แท้จริงของสัตว์ประหลาดตนนั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงโบกมือคราหนึ่ง กลางอากาศด้านข้างก็เริ่มมีภาพปรากฏขึ้น ซึ่งก็คือรูปลักษณ์ของสัตว์ประหลาดอันอัปลักษณ์ตนนั้นร่างกายที่ราวกับรังไหม หัวก็อัปลักษณ์ ยังมีมือถึงสิบสองข้าง ทั้งร่างรวมไปถึงมือใหญ่ทั้งสิบสองต่างก็มีเกราะเกล็ดสีขาวเงินแน่นขนัด
“นี่คือสัตว์ประหลาดที่แปลงเป็นประมุขรัฐเยวี่ยเฟิ่ง” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว ด้านข้างยังมีรูปร่างของมนุษย์อีกคนปรากฏขึ้นด้วย
“เป็นเขาหรือ”
“ที่โจมตีป้อมปราการอากาศครั้งก่อน เขาก็ลงมือด้วยเช่นกัน”
ราชันย์มีด บรรพชนคีรีมารและคนอื่นๆ พากันหน้าถอดสีไปในทันใด
พวกเขาเคยประมือด้วยมาก่อน ดังนั้นจึงมั่นใจเป็นอย่างมากว่าในการโจมตีครั้งที่แล้ว เทพจักรวาลผู้นี้เป็น ‘อ๋อง’ คนหนึ่งของทางฝ่ายฝูงมารผลาญทำลายจริงๆ ต่อมา ‘จักรพรรดิจวิน’ ที่พลังแข็งแกร่งอย่างยิ่งได้ปรากฏกายขึ้น บรรดาอ๋องคนอื่นๆ ก็มิได้ลงมือสักเท่าใดนักแล้ว เพียงแค่ออกหน้าช่วยเหลือเป็นครั้งคราวเท่านั้น แล้วก็ถอยไปอย่างง่ายดาย
“ระหว่างที่ล่าถอยไปนั้น เขาก็มิได้ลงมืออีกจริงๆ”
“ระหว่างที่ล่าถอยไป เมื่อเจ้าคนที่ชื่อจักรพรรดิจวินนั่นปรากฏกายขึ้น ก็มีอ๋องหลายคนที่มิได้ลงมืออีก”
“ตอนนี้เขาปรากฏกายขึ้นมาในโลกทิพย์ทะเลสัตตดาราแล้วอย่างนั้นหรือ”
เหล่าเทพจักรวาลทั้งหลายในที่นั้นต่างก็มีสีหน้าเข้มขึ้น
สามารถมั่นใจได้ว่า ในบรรดาฝูงมารผลาญทำลายที่เข้ามากบดานมีสิ่งมีชีวิตระดับเทพจักรวาลด้วยจริงๆ นี่ก็ถือว่าเป็นผลประโยชน์อย่างหนึ่ง เพราะถึงอย่างไรก่อนหน้านี้ก็ทำได้เพียงคาดเดาเท่านั้น บัดนี้สามารถมั่นใจได้อย่างเต็มที่แล้ว! แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้พวกเขาไม่อยากจะเชื่ออยู่บ้างก็คือ ‘อ๋อง’ คนหนึ่งที่ยังโจมตีป้อมปราการอากาศอยู่ในครั้งที่แล้ว กลับปรากฏกายขึ้นในโลกทิพย์ทะเลสัตตดาราเสียอย่างนั้น
สามารถพิสูจน์ข้อหนึ่งได้ว่า…อีกฝ่ายได้แทรกซึมเข้ามาในป้อมปราการอากาศอย่างเงียบเชียบเสียแล้ว
ตอนที่ 27 ดอกไม้ที่สะบัดไหว
โดย
Ink Stone_Fantasy
“เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไรกัน” เทพจักรวาลทั้งหลายของทางฝ่ายผู้บำเพ็ญซึ่งอยู่ในที่นั้นต่างก็มีความรู้สึกแตกต่างกันออกไป แม้จะคาดเดากันไปต่างๆ นานา แต่ตอนนี้มั่นใจได้แล้วว่า ครั้งก่อนที่โจมตีอีกฝ่าย เขาก็สามารถหลบหนีออกไปได้แล้ว! ‘ป้อมปราการอากาศ’ มิอาจป้องกันอีกฝ่ายได้เลย เรื่องนี้ทำให้พวกเขามิอาจทนรับได้อยู่บ้าง เพราะในสายตาของพวกเขา ป้อมปราการอากาศนั้นสมบูรณ์แบบเป็นที่สุด
“ตงป๋อ ครั้งนี้เจ้าทำได้ดีมาก ทำให้พวกเรามั่นใจได้ว่ามีเทพจักรวาลของฝูงมารผลาญทำลายเข้ามากบดานจริงๆ ป้อมปราการอากาศมีช่องโหว่จริงๆ” บรรพชนทิพย์กลับมองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง “เจ้ายังพบอะไรอย่างอื่นอีกหรือไม่”
“ไม่มีแล้วขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า “ตอนนั้นข้ามิกล้ารั้งรออีกต่อไป ได้แต่รีบหนีทันที”
“อื้ม สามารถได้อะไรเช่นนี้มาในระยะเวลาสั้นๆ ก็ดีมากแล้ว เจ้าตามตรวจสอบต่อไปเถิด” บรรพชนทิพย์กล่าว
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็รู้ว่าบรรดาเทพจักรวาลทั้งหลายน่าจะต้องปรึกษากันว่าจะแก้ไขช่องโหว่อย่างไร และจะรับมือ ‘อ๋อง’ ของฝูงมารผลาญทำลายเช่นไร ทว่านี่ก็มิใช่สิ่งที่เขาจะสามารถทำได้แล้ว บัดนี้ระดับขั้นของเขาเมื่อพบกับอ๋องของฝูงมารผลาญทำลายก็มีแต่ต้องหนีเท่านั้น! สิ่งมีชีวิตที่เกิดมาเพื่อทำลายล้างพรรค์นี้ ‘อ๋อง’ ของพวกเขาก็น่าหวาดหวั่นอย่างยิ่งโดยแท้ ลำพังแค่พูดถึงวิธีทำลายล้างเพียงอย่างเดียวก็ร้ายกาจกว่าเทพจักรวาลทั่วไปอยู่แล้ว ดีร้ายอย่างไรตนก็มีความสามารถทนเอาชีวิตรอดได้
หากพบเจดีย์ดาวระดับชั้นที่เก้าคนอื่นๆ ก็ไม่แน่ว่าจะหนีได้พ้น นี่เพราะตนรู้จักการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นจึงได้รับเลือกให้ไปทำภารกิจนี้
“ฟิ้ว”
มิติข้างกายตงป๋อเสวี่ยอิงบิดเบี้ยวไป เขาสาวเท้าออกไปก้าวหนึ่งก็ทะลุอากาศจากไป
ส่วนภายในโถงตำหนักนี้ ร่างแปรของเทพจักรวาลกลุ่มหนึ่งก็เริ่มค้นคว้าหาวิธีต่อกรแล้ว
……
สำหรับผู้บำเพ็ญที่เก่าแก่แล้ว เวลาร้อยล้านปีก็เป็นเวลาแสนสั้นยิ่งนัก เก็บตัวครั้งหนึ่งจะใช้เวลากว่าร้อยล้านปีก็เป็นเรื่องปกติมาก เพราะถึงอย่างไรสำหรับพวกเขาแล้ว จะทำลายจักรวาลสักแห่งก็มิใช่เรื่องยากแต่อย่างใด
ตงป๋อเสวี่ยอิงยังคงท่องไปตามที่ต่างๆ โดยใช้วิธี ‘โง่เง่า’ ที่สุด คือการสำแดงเขตลวงออกมาปกคลุมทุกหนแห่งเพื่อตรวจสอบ…
ฝูงมารผลาญทำลายที่เข้ามากบดานมีน้อยมากอย่างยิ่งโดยแท้จริง
เพราะผู้ที่สามารถเข้ามาได้ นอกจากแม่ทัพที่มี ‘พรสวรรค์ไร้เงา’ สองคนแล้ว คนอื่นๆ ก็ต้องเป็นเทพจักรวาลผู้สูงส่งเหนือใคร หรือไม่ก็เป็นฝูงมารผลาญทำลายเกราะทองชั้นที่แปดระดับยอดหรือระดับชั้นที่เก้าซึ่งมีจิตใจที่แข็งแกร่งและมีวิธีการอันสูงส่งยิ่ง! เนื่องจากผู้ที่มีจิตอ่อนแอกว่า ก็จะทนรับการเข่นฆ่าและทำลายล้างครั้งแล้วครั้งเล่ามิได้
เมื่อเข่นฆ่าและทำลายล้าหลายครั้งเข้า ก็อาจถูกเปิดเผยเอาได้ง่ายๆ นอกจากนี้ผู้ที่มีจิตอ่อนแอ ก็มีโอกาสที่จะบรรลุเป็น ‘อ๋อง’ ต่ำยิ่งนัก
ดังนั้นฝูงมารผลาญทำลายที่ถูกคัดเลือกออกมาและโชคดีสามารถมาถึงโลกของผู้บำเพ็ญได้ก็ล้วนแต่เป็นผู้มีความสามารถล้ำเลิศ ส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นที่ยอมรับว่ามีหวังจะสำเร็จเป็น ‘อ๋อง’ ได้
จำนวนน้อย!
และระมัดระวัง
ตงป๋อเสวี่ยอิงคิดจะหาพวกเขาให้พบ ก็ย่อมยากมากเป็นธรรมดา
……
เพียงพริบตาเดียวก็ผ่านไปสองหมื่นกว่าล้านปีแล้ว
นี่คือสำนักที่กินพื้นที่กว้างขวางมากแห่งหนึ่งซึ่งมีศิษย์สำนักจำนวนนับไม่ถ้วน ประมุขของสำนักก็เป็นยอดฝีมือระดับเจดีย์ดาวชั้นที่ห้า
วันนี้
ดวงอาทิตย์แรกโผล่พ้นขอบฟ้า หมอกอันเบาบางปกคลุมสำนักแห่งนี้เอาไว้ แต่ดอกตูมสีดำขนาดมหึมากลับปรากฏขึ้นกลางท้องฟ้าเหนือสำนักนี้ ดอกตูมสีดำซ้อนทับกันชั้นแล้วชั้นเล่า กลับมีกลีบดอกไม้จำนวนนับไม่ถ้วนอยู่ด้วย มันก่อตัวขึ้นมาจากบุปผาผลาญทำลายถึงสามสิบแปดดอก สามารถสำแดงออกมาได้มากมายถึงเพียงนี้ ข้อแรกก็เพราะวิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงแข็งแกร่งพอ ส่วนข้อที่สองก็คือการยกระดับของระดับขั้น
“คิดหนีรึ” ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์สีขาวทั้งร่างยืนอยู่กลางอากาศพลางมองดูมารเกราะทองตนหนึ่งที่เผยรูปร่างที่แท้จริงออกมาแล้วและถูกพันธนาการเอาไว้ภายในดอกตูมสีดำที่ทับซ้อนกันชั้นแล้วชั้นเล่า
“เปิด เปิด เปิด” มารเกราะทองตนนั้นถือมีดคมกริบเอาไว้ในมือพลางแทงลงบนดอกตูมสีดำด้วยความโมโห แต่กลับทำได้เพียงฟันทิ้งไปสิบกว่าดอกเท่านั้น อีกทั้งเมื่อเขาเพิ่งจะฟันไป ก็มีบุปผาผลาญทำลายดอกใหม่ก่อตัวขึ้นมาแล้ว และยังคงจำนวนเอาไว้ที่สามสิบแปดดอก
“ตู้ม”
ลำแสงสีแดงเข้มสายหนึ่งพลันทะลุผ่านดอกตูมชั้นแล้วชั้นเล่าแล้วทะลวงเข้าไปจนถึงด้านในสุด ซึ่งก็คือมารเกราะทองตนหนึ่งซึ่งมีรัศมีสีแดงเข้มอยู่เหนือผิวกาย เขาโบกมือคราหนึ่งก่อนจะเก็บสหายขึ้นไป
จากนั้น
ฟิ้ว…
ร่างกายแปรเป็นลำแสงสีแดงเข้ม ทั้งร่างกลายเป็นอาวุธเล่มหนึ่งเข้าฉีกทึ้งบุปผาผลาญทำลาย แม้ตงป๋อเสวี่ยอิงจะรีบสำแดงบุปผาผลาญทำลายออกมาอีกครั้ง แต่อีกฝ่ายทำลายล้างได้รวดเร็วเกินไปแล้ว เพียงพริบตาเดียวก็ทะลุผ่านอุปสรรคชั้นต่างๆ และพุ่งทะยานออกไปอีกครั้ง เมื่อพุ่งทะยานออกไปไกล ร่างกายก็กระจายตัวออกไปทั่วทุกสารทิศในทันที มันแปรเป็นแสงสีทองสายแล้วสายเล่าบินทะยานไปทั่วทุกทิศทุกทาง…
ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่รู้ว่าควรจะไล่ตามสายไหนดี รอจนเมื่อหนีออกไปค่อนข้างไกลแล้ว แสงสีทองเหล่านั้นก็ล้วนเคลื่อนที่ในอากาศจากไปจนหมด
“ปล่อยให้พวกเขาหนีไปได้แล้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงอารมณ์เสียอยู่บ้าง
ผู้บำเพ็ญทั้งหมดทั่วทั้งสำนักเบื้องล่างต่างก็ตกเข้าสู่เขตลวง ก่อนหน้านี้แม้การต่อสู้จะมีความเคลื่อนไหวอยู่บ้าง แต่ทั้งหมดก็ล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมของตงป๋อเสวี่ยอิง มิได้มีลูกหลงกระทบถูกพวกเขาแต่อย่างใด
“ครั้งนี้พบฝูงมารเกราะทองสองตน ตนหนึ่งน่าจะเป็นระดับชั้นที่เก้า ส่วนอีกตนอ่อนแอกว่าอยู่บ้าง คาดว่าน่าจะเป็นชั้นที่แปดระดับยอด” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบวิเคราะห์ “ตอนเริ่มต้นที่ประมือกับระดับชั้นที่เก้าตนนั้น ก็มิอาจขัดขวางเขาเอาไว้ได้ จนข้าต้องยอมรามือจากเขา แล้วตั้งใจจับฝูงมารเกราะทองที่อ่อนแอกว่าอยู่บ้าง คิดไม่ถึงว่าเขาจะช่วยเหลือสหายไปด้วย”
“เฮ้อ…”
“พูดได้เพียงว่าบุปผาผลาญทำลายของข้านี้ยังมีอานุภาพไม่เพียงพอ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า
แม้วิญญาณจะแข็งแกร่งขึ้นมาบ้างแล้ว ระดับขั้นก็สูงขึ้นแล้ว สามารถสำแดงบุปผาผลาญทำลายสามสิบแปดดอกออกมาได้ในครั้งเดียว แต่หากกล่าวว่าบุปผาผลาญทำลายสิบเก้าดอกสามารถคลำถึงปลายขอบของชั้นที่แปดได้ เช่นนั้นบัดนี้บุปผาผลาญทำลายสามสิบแปดดอก…แค่นับได้ว่าเป็นกระบวนท่าระดับชั้นที่เก้าอย่างพอถูไถเท่านั้น นี่ยังคงนับได้ว่าเป็นแรงโจมตี ลำพังแค่พูดถึงการพันธนาการเพียงอย่างเดียว…อย่างน้อยก็พันธนาการฝูงมารเกราะทองระดับชั้นที่เก้าไม่ได้เอาเสียเลย
“จนถึงบัดนี้ข้ายังมิได้คิดค้นบุปผาผลาญทำลายกระบวนท่าที่สามขึ้นมาเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้าด้วยความไม่ยอมจำนนเป็นอย่างมาก เพราะถึงอย่างไร เขาก็จากปราการอากาศมาสองหมื่นกว่าล้านปีแล้ว วันคืนอันยาวนานเช่นนี้ ความคิดจิตใจขอเขากว่าครึ่งก็ล้วนทุ่มเทให้กับบุปผาผลาญทำลายระบวนท่าที่สาม หากสามารถคิดค้นขึ้นมาได้ จึงจะนับได้ว่าเขามีกระบวนท่าระดับชั้นที่เก้าอย่างแท้จริง และไม่ถึงกับอับจนหนทางเมื่อเผชิญกับฝูงมารเกราะทองระดับชั้นที่เก้า
น่าเสียดายที่มิอาจคิดค้นขึ้นมาได้ตลอดมา
“ไป”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเหลือบมองลงไปยังสำนักซึ่งอาบไล้ไปด้วยหมอกยามเช้าเบื้องล่าง ผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนภายในสำนักต่างก็ยังคงอยู่ในเขตลวง ตงป๋อเสวี่ยอิงเก็บมันกลับไปก่อนจะหายวับไปกลางอากาศ
ผู้บำเพ็ญภายในสำนักแต่ละคนคืนสู่สภาพปกติ ถึงขั้นไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าเมื่อครู่เกิดเรื่องอันใดขึ้น เพียงแต่ภายในมีศิษย์บางคนพบว่า…สหายร่วมสำนักหายไปสอง!
……
ตลอดวันคืนที่ไล่ตามตรวจสอบหลังจากนั้น สถานการณ์กลับเลวร้ายจนเห็นได้ชัด
‘อ๋อง’ ผู้หนึ่งถูกพบเข้า ฝูงมารเกราะทองอีกสองคนก็ถูกพบเช่นกัน ซึ่งเป็นเพราะตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงเขตลวงออกมา! บรรดาฝูงมารผลาญทำลายก็มิได้โง่งม พวกเขาเดาออกทันทีว่า…ผู้บำเพ็ญ ‘ตงป๋อเสวี่ยอิง’ ซึ่งสามารถสำแดงเขตลวงออกมาทั้งยังสามารถหลบหนีเป็นระยะทางอันไกลโพ้นนั้นกำลังไล่ตรวจสอบพวกเขาอยู่ แน่นอนว่า บรรดา ‘อ๋อง’ ระดับสูงสุดก็ได้ออกคำสั่งไปยังฝูงมารเกราะทองตนอื่นๆ ที่เข้ามากบดาน
เรื่องนี้ก็นำไปสู่…
ในชั่วระยะเวลายาวนานมากหลังจากนั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิได้อะไรเลยสักอย่างเดียว แม้แต่ฝูงมารเกราะทองที่กบดานอยู่ก็หาไม่พบแม้แต่ตนเดียว
……
วันคืนล่วงเลยไป
ตงป๋อเสวี่ยอิงท่องไปตามโลกทิพย์ทั้งสามและอากาศอันสับสนอลหม่าน แม้จะไม่พบร่องรอยของฝูงมารผลาญทำลายอีก แต่คืนวันอันยาวนานก็ทำให้เขาสั่งสมด้านการบำเพ็ญได้แน่นหนามากขึ้น ในวันนี้ เขามาถึงแผ่นดินอลหม่านแห่งหนึ่ง แล้วสังหารมารร้ายที่ก่อความวุ่นวายไปทั่วทั้งแผ่นดินอลหม่านไปอย่างง่ายดาย ในขณะเดียวกับที่เขารับประทานอาหารอันเป็นเอกลักษณ์ภายในแผ่นดินอลหม่านแห่งนี้นั่นเอง
เขากินอย่างสุขสำราญใจเป็นอันมาก จากนั้นก็โบกมือตามอำเภอใจคราหนึ่ง ภายในโลกลวงที่ปรากฏขึ้นอย่างเลือนรางด้านข้างก็พลันมีบุปผาเก้าใบดอกหนึ่งรวมตัวกันขึ้นเป็นรูปเป็นร่าง เขาบำเพ็ญและท่องไปตามที่ต่างๆ และมักจะรับรู้อะไรขึ้นมาในใจบ้างเป็นประจำและได้ลองดูสักตั้ง วันคืนก่อนหน้านี้เขาได้ทดลองไปไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แต่ครั้งนี้ ขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงออกมานั้น ก็สัมผัสได้ถึงความสั่นสะท้านจากขั้วหัวใจ นั่นเป็นความงดงามรูปแบบหนึ่ง ซึ่งเหมือนกับขั้นรวมเป็นหนึ่งคิดค้นบุปผาผลาญทำลายกระบวนที่หนึ่งขึ้นมานั่นเอง
ครั้งนี้ก็เช่นกัน ในชั่วขณะที่สำแดงออกมานั้น แม้จะไม่มอง เขาก็รู้แล้วว่า…สำเร็จแล้ว!
ตงป๋อเสวี่ยอิงหันกลับไปมอง ภายในโลกลวงด้านข้าง บุปผาเก้าใบสะบัดไหวเปี่ยมชีวิตชีวา งดงามจับตา ครบสมบูรณ์อย่างไร้ที่ติ
ตอนที่ 28 ประมุขเจดีย์เมฆาโลหิต
โดย
Ink Stone_Fantasy
ณ ยอดภูเขาน้ำแข็ง
บนโต๊ะที่สร้างขึ้นจากแผ่นน้ำแข็งที่เฉือนออกมามีอาหารรสเลิศเรียงรายอยู่มากมายซึ่งล้วนแต่เป็นสิ่งที่ ตงป๋อเสวี่ยอิง ‘เคลื่อนย้าย’ มาจากภายในคูเมืองต่างๆ ของแผ่นดินอลหม่าน แน่นอนว่าเขาก็ได้ทิ้งสมบัติล้ำค่าบางอย่างเอาไว้ให้หอสุราเหล่านั้นบ้าง มิให้หอสุราเหล่านั้นขาดทุนเป็นอันขาด
“จุ๊ๆๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงวางจอกสุราผลึกน้ำแข็งในมือลง พลางมองไปกลางอากาศข้างกาย บุปผาเก้าใบอันวิจิตรงดงามซึ่งก่อตัวขึ้นภายในโลกลวงดอกนั้นแตกต่างกับระดับสามใบหรือหกใบที่เหมือนจะมีการทำลายล้างอันไร้ที่สิ้นสุดแฝงเอาไว้ เมื่อเทียบกันแล้วบุปผาเก้าใบดอกนี้ธรรมดาสามัญกว่ามากทีเดียว
หากรับรู้โดยละเอียดแล้ว…
กลับสามารถสัมผัสได้รางๆ ว่านัยยะที่แฝงอยู่ในบุปผาเก้าใบดอกนี้นั้นกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตเพียงใด ราวกับจักรวาลอันกว้างไกลแห่งหนึ่ง ใช่แล้ว ตามความคาดหมายของตงป๋อเสวี่ยอิง กระบวนท่าที่สามของศาสตร์ลับเคล็ดวิชาบุปผาผลาญทำลายก็คือ ‘บุปผาเก้าใบ’ ซึ่งเป็นกระบวนท่าท้ายสุด มีบางด้านที่บรรลุถึงระดับขั้นเทพจักรวาลอย่างแท้จริง
“บุปผาดอกหนึ่งก็คือจักรวาลแห่งหนึ่ง หากเดินต่อไปตามทางเส้นนี้ ก้าวไปอีกก้าวหนึ่ง ก็จะสำเร็จเป็นเทพจักรวาลแล้วจริงๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำเบาๆ “แต่เห็นได้ชัดว่าทางเส้นนี้แทบจะเป็นเส้นทางมรณะก็ว่าได้”
เพราะบุปผาดอกนี้ก่อตัวขึ้นจากการผสานเอาความเร้นของลับวิถีโลกเทียมและวิถีเข่นฆ่าเข้าไว้ด้วยกัน
คิดจะสำเร็จเป็นเทพจักรวาลตามทางสายนี้ มีเงื่อนไขของวิถีสองสายสูงยิ่งนัก! สู้ค้นคว้าทางสายเดียวมิได้เลย
วิถีก่อให้เกิดหนึ่ง หนึ่งเกิดสอง สองเกิดสาม สามเกิดหมื่นสรรพสิ่ง…
ทุกสิ่งล้วนมีจุดกำเนิด เมื่อค้นคว้าไปตามทางสายหนึ่ง อย่างเช่นตามที่ตงป๋อเสวี่ยอิงวางแผนเอาไว้ก็คือค้นคว้าไปตาม ‘วิถีโลกเทียม’ ที่เชี่ยวชาญที่สุด วิถีโลกเทียมก็คือ ‘วิถี’ ใจกลางที่สุด มันก่อให้เกิดหนึ่ง ท้ายที่สุดก็จะทำให้เกิดหมื่นสรรพสิ่งขึ้นมา…หากตอนเริ่มแรกที่บำเพ็ญก็ทับซ้อนกันแล้ว จะหลอมรวมให้สมบูรณ์แบบจนสำเร็จเป็นเทพจักรวาลได้ก็ยากยิ่งนัก
เทพจักรวาลทั้งหลายเช่นบรรพชนเทียนอวี๋ จอมกระบี่ บุปผาผลาญทำลาย ราชันย์มีดและคนอื่นๆ ล้วนฟันฝ่าอุปสรรคมาตามทางสายหนึ่ง แล้วเดินมุ่งหน้าไปทางจุดที่ไกลที่สุด
ดังนั้นเมื่อเทียบกันแล้ว
การคิดค้น ‘บุปผาเก้าใบ’ ข้อแรกก็คือคิดค้นท่าไม้ตายที่ร้ายกาจ ทำให้ตนมีพลังที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เพราะถึงอย่างไรผู้บำเพ็ญก็ต้องมีพลังที่แข็งแกร่งคอยคุ้มกันตนเอง จึงจะสามารถเดินไปตามเส้นทางได้ไกลยิ่งขึ้น ข้อที่สองก็คือเคี่ยวกรำตนเอง ในระหว่างขั้นตอนนี้เป็นการเคี่ยวกรำทั้งจิตใจ วิญญาณและการรับรู้ ทำให้ตนเข้าใจวิถีโลกเทียมได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น พื้นฐานก็ย่อมลึกล้ำขึ้นเป็นธรรมดา
“บำเพ็ญมาจวบจนวันนี้ก็แสนล้านกว่าปีแล้ว ในที่สุดก็รู้แจ้งกระบวนท่าระดับชั้นที่เก้าเสียที” บนใบหน้าที่ยังคงอ่อนเยาว์ของตงป๋อเสวี่ยอิงฉายแววซับซ้อนออกมา
กระบวนท่าระดับชั้นที่เก้า
นี่จึงจะเป็นหลักประกันที่แท้จริงของตน เป็นกระบวนท่าที่พอจะสามารถต่อกรกับเทพจักรวาลได้บ้าง
เช่นก่อนหน้านี้ หากพูดถึงวิธีการรุกโจมตีที่ใช้บุปผาหลายดอกซ้อนทับกันแล้ว หากพูดถึงการป้องกัน ระดับเคล็ดวิชาสืบทอดมังกรปาหลงกัณฑ์เก้าบวกกับ ‘การกลายเป็นอากาศธาตุ’ เร้นกายในโลกลวง หลายวิธีผสมผสานกันจึงจะนับได้ว่าเป็นกระบวนท่าระดับชั้นที่เก้า ทั้งยังมีสมบัติลับคุ้มกายอีกสองชิ้น ในด้านการป้องกันจึงนับได้ว่าร้ายกาจอยู่บ้าง เมื่อพบกับฝูงมารเกราะทองที่ค่อนข้างร้ายกาจก็มิอาจสกัดกั้นได้ ครั้งก่อนที่ต่อกรกับเทพจักรวาล ตนอาศัยสมบัติลับฝืนต้านทานล้วนๆ จึงสามารถหนีเอาชีวิตรอดได้ โดยไม่มีแม้แต่วิธีต้านทานเสียด้วยซ้ำไป
“ถึงอย่างไรก็ไม่เหมือนกันแล้ว”
มือขวาของตงป๋อเสวี่ยอิงเหยียดออกไป บุปผาเก้าใบออกจากความว่างเปล่ามาสู่ความเป็นจริง ทว่ามันร่อนลงมาอย่างเชื่องช้ามากมันค่อยๆ กลายเป็นความจริงทีละคืบๆ พลังฟ้าดินรอบด้านโหมซัดเข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อน ทำให้ผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนของแผ่นดินอลหม่านแห่งนี้งุนงงและวุ่นวายใจกันไปหมด ความเคลื่อนไหวใหญ่โตถึงเพียงนี้ หรือจะมีภยันตรายได้กำเนิดขึ้นมาอย่างนั้นหรือ
เพราะถึงอย่างไรตงป๋อเสวี่ยอิงเพิ่งจะสังหารมารร้ายไป และช่วยเหลือแผ่นดินอลหม่านเอาไว้
ผู้บำเพ็ญจำนวนมากต่างก็เร่งเดินทางมายังต้นกำเนิดของพลังฟ้าดินที่โหมซัด พวกเขาทะลุอากาศมา ทว่าเมื่อเข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ แต่ละคนก็ตกเข้าสู่เขตลวงแล้วเดินกลับไป โดยมิอาจเข้าใกล้ต้นกำเนิดของพลังฟ้าดินที่แท้จริงได้เลย
เวลาถึงครึ่งวัน
เพื่อที่จะไม่ทำให้ผืนดินนี้ถูกลูกหลงเข้า เวลาครึ่งวัน บุปผาเก้าใบจึงร่อนลงสู่ความจริงได้อย่างสมบูรณ์
“ช่างงดงามเสียจริง” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองบุปผาเก้าใบในมือ ใบและดอกตูมนั้นอ่อนราวกับจะหยาดหยดก็มิปาน ภายในหยาดน้ำแต่ละหยดที่หมุนเวียนอยู่นั้นราวกับโลกใบหนึ่ง
“อาศัยสิ่งนี้จึงจะมีคุณสมบัติพอเทียบกับพวกจักรพรรดิสิงหั่วหรือเจ้าลัทธิภาพจิตได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงโบกมือคราหนึ่ง ภายในของบุปผาเก้าใบก็ยุบตัวลงแล้วปรากฏเป็นคูหาสีดำอันบิดเบี้ยวทันที จากนั้นก็หายวับไปอย่างไร้ร่องงรอย
จากนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็กินอาหารเลิศรสอย่างสุขอุรา เมื่อกินเสร็จก็ลอยล่องจากแผ่นดินอลหม่านแห่งนี้ไป
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าถึงบุปผาเก้าใบแล้วก็ท่องไปทั่วสารทิศต่อไป เหล่ามารร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนในบริเวณต่างๆ กลับโชคร้ายอย่างแท้จริง บางครั้งพวกเขายังเก็บตัวบำเพ็ญอยู่ บางครั้งก็กำลังสุขสมกับคนงาม แต่กลับถูกลอบสังหารอย่างเงียบเชียบ เห็นได้ชัดว่าเมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงเห็นว่าระหว่างทางมีเรื่องไม่ยุติธรรม ก็ลงมือสังหารมารร้ายเสียเลย
นิสัยของเขานั้นไม่สามารถทนเห็นมารร้ายเหล่านั้นได้ มองไม่เห็นก็แล้วไปเถิด แต่หากเห็นเข้าแล้วก็ย่อมต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยว!
ดังนั้นฝูงมารผลาญทำลายพบตัวได้ยาก แต่พวกผู้ที่ชั่วร้ายต่างๆ นั้น กลับถูกสังหารไปเป็นจำนวนมาก
“ช่างหายากจริงๆ”
“ฝูงมารผลาญทำลายเหล่านี้ไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหนกัน”
เขาจากปราการอากาศมาได้แปดหมื่นกว่าล้านปีแล้ว นอกจากตอนเพิ่งเริ่มไล่สังหารเท่านั้นที่ได้พบร่องรอยของฝูงมารระดับเทพจักรวาลอยู่ครั้งหนึ่งและร่องรอยของฝูงมารเกราะทองอีกครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นก็มิได้พบอีก!
“หรือว่าซ่อนอยู่ในสถานที่ซอมซ่ออันไกลโพ้น มิกล้าปรากฏตัวตามขุมอำนาจใหญ่เสียแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบคาดเดา และด้วยการคาดเดานี้เอง เขาจึงได้ไปตามแผ่นดินอลหม่านอันไกลโพ้น หรือไม่ก็ส่วนลึกของเทือกเขาต่างๆ โดยสรุปแล้วเมื่อเขา ‘สอดส่อง’ ผ่านรูทรงกลมหมอกดำแล้วพบว่าบริเวณใดมีสิ่งมีชีวิตจำนวนไม่น้อยรวมตัวกันอยู่ เขาก็จะสำแดงเขตลวงออกไปปกคลุมทันที
หากพุ่งเป้าไปที่ขุมอำนาจใหญ่เท่านั้น
สำหรับป๋อเสวี่ยอิงแล้วก็ไม่ยากเลย แต่หากเสาะหาไปตามสถานที่ซอมซ่ออันไกลโพ้น ด้วยความกว้างใหญ่ไพศาลของอากาศอันสับสนอลหม่าน เกรงว่าต่อให้เป็นล้านล้านปีก็คงทำได้เพียงสำรวจส่วนน้อยอย่างยิ่งเท่านั้น
“นี่คือที่ไหนกัน”
โลกทิพย์นิจนิรันดร์
บนทะเลทรายอันเวิ้งว้าง ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวกำลังเดินอยู่กลางทะเลทราย เขาส่องสำรวจบริเวณอันกว้างใหญ่อย่างยิ่งรอบด้านผ่านรูทรงกลมหมอกดำ ด้วยการส่องสำรวจของเขาก็พบทันทีว่า ณ ส่วนลึกของทะเลทราย ที่ส่วนลึกของภูเขารกร้างอันโล่งเตียนซึ่งทอดยาวต่อเนื่องกันนั้น มีราชวังและป้อมปราการที่ดูเหมือนจะธรรมดาสามัญมากแห่งหนึ่งตั้งอยู่ จะมองอย่างไรก็เหมือนจะเป็นเพียงคูหาของผู้บำเพ็ญสักคนเท่านั้น
แต่ด้วยการสำรวจของตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว…
กลับพบว่าด้านล่างป้อมปราการกลับทั้งลึกและกว้างใหญ่ เป็นขุมอำนาจที่ใหญ่มากของแถบหนึ่ง
“ไปดูเสียหน่อยดีกว่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงสาวเท้าออกไปก้าวหนึ่งก็เร่งเคลื่อนที่ในพริบตาไปทันที
เขาเคลื่อนที่ในพริบตาอย่างไร้สุ้มเสียง จนเมื่อผู้อื่นพบเข้า ตนก็ไปถึงแล้ว
การส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้น…โดยทั่วไปก็จะต่อทางเชื่อมไว้ก่อน ถูกคนพบทางเชื่อมอากาศอันบิดเบี้ยวก่อน จากนั้นจึงจะสามารถส่งคนผ่านไปได้ สำหรับผู้แกร่งกล้าที่แท้จริงแล้ว ชั่วขณะที่สัมผัสรับรู้ความเคลื่อนไหวของ ‘การส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้น’ ได้ ก็เพียงพอให้หนีเอาชีวิตรอดได้แล้ว
……
เบื้องล่างของป้อมปราการวังอันธรรมดาสามัญแห่งนี้ กลับมีคูหาสวรรค์แยกออกมาต่างหาก
ใต้ดิน
มีสิ่งก่อสร้างอันใหญ่โตตระหง่านง้ำ ตรงกลางสิ่งก่อสร้างนั้นคือเจดีย์สีดำแห่งหนึ่ง ซึ่งเชื่อมต่อระหว่างใต้ดินกับวังปราการเหนือผืนดินแห่งนั้น
“ฮ่าฮ่าฮ่า พี่ฉวีกวง เจดีย์เป็นตายแห่งนี้ของข้าเป็นอย่างไรบ้างเล่า” บุรุษร่างกำยำศีรษะโล้นเลี่ยนพูดอย่างได้ใจมาก เขานั่งตรงข้ามกับชายชราผู้หนึ่งพอดิบพอดี เขาร่ำสุราอย่างเป็นสุข ด้านข้างยังมีสาวงามคอยปรนนิบัติอีกด้วย
พวกเขาทั้งสองล้วนสามารถมองลอดผ่านการขัดขวางของผนังเจดีย์สีดำจนเห็นภายในเจดีย์ได้อย่างง่ายดาย
ภายในเจดีย์แห่งนี้ใหญ่โตหาใดเปรียบ มีทั้งหมดสิบแปดชั้นด้วยกัน
ชั้นที่หนึ่งก็คือชั้นที่ต่ำสุด มีผู้บำเพ็ญหลายสิบล้านคนถูกจองจำอยู่ ที่นี่พลังฟ้าดินถูกตัดขาดอย่างสิ้นเชิง ผู้บำเพ็ญเหล่านี้ดำรงชีวิตก็มิได้ดูดซับพลังงานเลยแม้แต่น้อย เมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาก็ตกต่ำลงอย่างต้อเนื่องทว่าพวกเขาสามารถเลือกทำ ‘สงครามระหว่างความเป็นความตาย’ ได้ ผู้ที่มีระดับขั้นเดียวกันสองคนสามารถทำสงครามระหว่างความเป็นความตายระหว่างกันได้ หากฝ่ายหนึ่งตายไป อีกฝ่ายก็สามารถก้าวเข้าสู่ชั้นที่สองได้
ชั้นที่สอง เมื่อเทียบกันแล้วก็มีผู้บำเพ็ญน้อยกว่ามากทีเดียว พวกเขาล้วนเคยผ่านสงครามระหว่างความเป็นความตายมาก่อนจึงสามารถมาถึงที่นี่ได้ คิดจะเข้าสู้ชั้นที่สามน่ะหรือ สงครามระหว่างความเป็นความตาย ฝ่ายหนึ่งตาย อีกฝ่ายก็เข้าสู่ชั้นต่อไปได้
ไล่เรียงเช่นนี้ไปเรื่อยๆ
ชั้นแล้วชั้นเล่าทอดขึ้นสู่ด้านบน
ทั้งหมดรวมสิบแปดชั้น
เมื่ออยู่ในชั้นที่สิบแปด ค่อยทำสงครามระหว่างความเป็นความตายอีกครั้ง ผู้ที่รอดชีวิตก็จะสามารถจากเจดีย์เป็นตายไปได้ตัวเป็นๆ และนี่ก็คือรางวัลที่ ‘ประมุขเจดีย์เมฆาโลหิต’ มอบให้
“น่าสนใจดี ฮ่าฮ่า น่าสนใจจริงๆ” ชายชราด้านข้างเห็นเข้าก็หัวเราะใหญ่ “เมฆาโลหิต เจ้านี่ช่างมีใจเมตตาจริงๆพวกคนที่ล่วงเกินและรุกล้ำเจ้า เจ้าก็มิได้สังหารทันที ทั้งยังให้ทางรอดแก่พวกเขาสายหนึ่งอีกด้วย”
“การหมุนเวียนจองฟ้าดินนี้มักจะทิ้งทางรอดสักสายเอาไว้ให้อยู่เรื่อย กฎข้าก็ย่อมต้องหมุนเวียนไปเช่นกัน ต้องทิ้งทางรอดไว้ให้พวกเขาสักสาย” บุรุษร่างกำยำศีรษะโล้นเลี่ยนหัวเราะฮิฮิ
ชายชรากลับลอบร่ำร้องในใจ
ประมุขเจดีย์เมฆาโลหิต มารร้ายเหล่ากลืนกินตนหนึ่ง ยังตั้งใจเหลือโอกาสรอดชีวิตไว้ด้วยอย่างนั้นหรือ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น