Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 31 ตอนที่ 19-21
ตอนที่ 19 เหล่าเทพจักรวาล
โดย
Ink Stone_Fantasy
ณ ชายขอบของห้วงอากาศของแดนใน
“ฟิ้ว”
เดิมทีมารผลาญทำลายตนหนึ่งยังทะยานไปด้วยความเร็วสูง ทันใดนั้นร่างกายของเขาก็พลันแปรเป็นลำแสงสีแดงโลหิตนับร้อยสายกระจายตัวออกแล้วมุ่งหน้าไป ส่วนใหญ่ยังคงเร่งเดินทางไปยังป้อมปราการอากาศ
“ทำลาย!” เสียงตะคอกเย็นเยียบดุจน้ำแข็งสะท้อนก้องไปทั่วท้องฟ้า ทุกหนแห่งกลางอากาศล้วนแต่มีสายน้ำซัดสาด ปะทะเข้ากับลำแสงสีแดงโลหิตเหล่านั้นแล้วทำลายลำแสงสีแดงโลหิตเหล่านั้นลงไปอย่างรวดเร็ว ถึงกระนั้นลำแสงแดงโลหิตก็ได้กระจายออกไปนับร้อยสายก่อนแล้ว นอกจากนี้ก็อยู่ห่างกันมากด้วย กระบวนท่าซึ่งกินวงกว้างนี้ก็ครอบคลุมทันแค่ลำแสงสีแดงโลหิตซึ่งอยู่ใกล้ที่สุดเพียงสิบกว่าสายเท่านั้น
“สมควรตาย” บุรุษอาภรณ์สีเงินผู้หนึ่งยืนอยู่กลางอากาศพลางขมวดคิ้ว “ฝูงมารผลาญทำลายนี้ไม่รับศึกเอาเสียเลย ถึงได้กระจายตัวหลบหนีไปตั้งนานแล้ว มีแต่ต้องทำลายลำแสงทั้งหมดให้สิ้นซากไปเท่านั้น มิเช่นนั้นแล้วก็จะมิอาจสังหารเขาได้เลย เมื่อสังหารเขาให้ตายไม่ได้ ก็มิอาจมั่นใจได้ว่าเขาพาสิ่งมีชีวิตระดับเทพจักรวาลเหล่านั้นมาด้วยหรือไม่!
สถานการณ์เดียวกันเกิดขึ้นทั่วทุกแห่งหน
ทางฝ่ายผู้บำเพ็ญ ร่างแปรของบรรดาผู้แกร่งกล้าขั้นอลวนทั้งหลายมุ่งหน้าไปตามบริเวณต่างๆ ผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งอย่างพวกประมุขตำหนักอลหม่านถึงขั้นส่งร่างแปรออกไปมิใช่เพียงร่างเดียว
ฝูงมารผลาญทำลายต่างก็เคลื่อนไหวเพียงลำพัง แม้พลังจะอ่อนแอ แต่ก็ได้แบ่งร่างออกเป็นลำแสงนับร้อยสายก่อนแล้ว จะโจมตีสังหารพวกมันให้สิ้นซากก็ยากมากทีเดียว
……
“ค้าง”
ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวยืนอยู่กลางอากาศอันสับสนอลหม่าน พลางมองดูลำแสงสีแดงโลหิตที่ทะยานอยู่ตรงหน้า เมื่อร่อนลงมาในโลกลวง ลำแสงสีแดงโลหิตเหล่านั้นก็ชะงักไป
เขตลวงนั้นพุ่งเป้าไปที่วิญญาณ! มารผลาญทำลายกระจายตัวออกนับร้อยสาย แต่ขอเพียงลำแสงสายหนึ่งตกเข้าสู่เขตลวงก็เท่ากับตกเข้าสู่เขตลวงทั้งหมด แล้ววิญญาณก็จะดำดิ่งลงไป! พวกเขาเหล่านี้เป็นเพียงทหารเลวที่ความเร็วค่อนข้างสูงซึ่งถูกเลือกมาเท่านั้นเอง แม้ตงป๋อเสวี่ยอิงจะเป็นเพียงแค่ร่างแปรร่างหนึ่ง แต่โลกลวงที่สำแดงออกมากลับเพียงพอแล้ว
“นี่ไม่ใช่” เมื่อตกเข้ามาในเขตลวงอย่างสิ้นเชิง ตงป๋อเสวี่ยอิงก็สามารถเหนี่ยวนำให้วิญญาณของฝ่ายตรงข้ามพังทลายลงเองได้อย่างง่ายดาย ทำให้มารผลาญทำลายตนนี้ตายจากไป
……
“ตาย”
จักรพรรดิสิงหั่วกลับดีดเปลวเพลิงกองหนึ่งออกไปทันที เปลวเพลิงสีแดงสดกองนี้ปะทะเข้ากับลำแสงสายหนึ่งซึ่งกำลังหลบหนีไป ลำแสงสายนั้นสั่นสะท้านแล้วหยุดลงทันที ก่อนจะรวมตัวกันขึ้นมาเป็นมารผลาญทำลายสีแดงโลหิตตนหนึ่ง มันร้องโหยหวนขึ้นมาด้วยความเจ็บปวด นัยน์ตาทั้งคู่ของเขามีเปลวเพลิงแผดเผา แค่เพียงพริบตาเดียวก็ได้ตายจากไปแล้ว
……
เมื่อต้องรับมือกับลำแสงที่หลบหนีไปทั่วทุกทิศทุกทางพรรค์นี้…
ในบรรดายักษ์ใหญ่ขั้นอลวน ลำพังแค่อาศัยร่างแปรก็มีจำนวนน้อยนิดเพียงไม่กี่สิบคนเท่านั้นที่สามารถรับมือพวกเขาได้ ยังมีเทพจักรวาลที่เคลื่อนไหวอย่างสุดกำลัง
ฝูงมารผลาญทำลายเหล่านี้ก็มีจำนวนไม่น้อยที่เป็นเจดีย์ดาวระดับชั้นที่หก เขตลวงที่ร่างแปรของตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถสำแดงออกมาได้นั้นอ่อนแอเกินไป หากลงมือกับผู้ที่มีจิตใจแข็งแกร่งพอในจำนวนนั้นกลับยากจะทำลาย ในบรรดาฝูงมารผลาญทำลายที่ปลอมแปลงรูปร่างเหล่านั้นยังมีฝูงมารผลาญทำลายเกราะทองอีกด้วย! ต่อให้เป็นพวกจักรพรรดิสิงหั่วหรือเจ้าลัทธิภาพจิต ลำพังอาศัยแค่ร่างแปรพวกเขาก็สังหารมิได้
ส่วนร่างจริงออกเคลื่อนไหวน่ะหรือ
เทพจักรวาลมีคำสั่งอันเข้มงวดออกมาก่อนแล้วว่า ร่างจริงของขั้นอลวนนั้นห้ามร่วมสงครามโดยเด็ดขาด! เพราะในบรรดาทหารเลวทั้งหลาย ก็มีกำลังหลักของฝูงมารผลาญทำลายแฝงตัวอยู่จริงๆ ซึ่งในกำลังหลักนั้นมีสิ่งมีชีวิตระดับเทพจักรวาลอยู่ ซ้ำยังมิใช่เพียงคนเดียวอีกด้วย หากส่งร่างจริงออกไปก็เป็นไปได้มากว่าจะล่วงลับดับสิ้นไป
“พวกเราอับจนหนทางแล้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวยืนอยู่กลางอากาศ ทหารเลวเหลือน้อยลงทุกทีๆ แต่กลับรับมือได้ยากขึ้นเรื่อยๆ
โดยเฉพาะฝูงมารผลาญทำลายเกราะทองไม่กี่สิบตนนั้น เนื่องจากแต่ละตนล้วนแบ่งร่างกายให้กระจายตัวออกแล้วหลบหนีไป ร่างจริงของเทพจักรวาลจะล้างทำลายพวกเขาให้สิ้นซากไปก็ยากนัก จะมีก็แต่ ‘บรรพชนทิพย์’ และ ‘ประมุขเหยากวง’ เพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่มีวิธีพอจะทำได้
“ตู้ม….”
แรงสั่นสะท้านอันน่าหวาดหวั่นแผ่รังสีมาทำให้ร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงสั่นสะท้านคราหนึ่งเขาหันขวับกลับไปมองทันที
ไกลออกไป
อสนีบาตสีดำสายหนึ่งแหวออกเป็นล้านล้านสาย รูปร่างเหี้ยมเกรียมอัปลักษณ์ แฝงไว้ด้วยกลิ่นอายทำลายล้างอันน่าหวาดหวั่น
“เป็นมารผลาญทำลายระดับเทพจักรวาล” ตงป๋อเสวี่ยอิงวิเคราะห์ออกมาทันที
“ตู้ม” “ตู้ม” “ตู้ม”
ไกลออกไปกำลังปะทะกัน
ตงป๋อเสวี่ยอิงคลายใจลง เห็นได้ชัดว่าในที่สุดบรรดาเทพจักรวาลฝ่ายตนก็พบกำลังหลักของทางฝ่ายฝูงมารผลาญทำลายเข้าจนได้! แล้วเริ่มต่อสู้ซึ่งหน้า โดยทั่วไปแล้วกำลังหลักของทางฝ่ายฝูงมารผลาญทำลายล้วนแต่เป็นระดับเทพจักรวาลหลายคนทั้งสิ้น เนื่องจาหากมีเพียงแค่คนสองคน เกรงว่าคงจะถูกทางฝ่ายผู้บำเพ็ญร่วมมือกันสังหารไปแล้ว มีแต้ต้องหลายคนเท่านั้น…จึงจะสามารถร่วมมือต่อต้านทางฝ่ายผู้บำเพ็ญไว้ได้!
“แข็งแกร่งนัก”
คลื่นที่หลงเหลืออยู่ไกลออกไปทำเอาตงป๋อเสวี่ยอิงอ้าปากค้าง
ประกายกระบี่อันสะดุดตาสายหนึ่งแผ่คลุมไปทั่วบริเวณล้านล้านลี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงจำได้ว่า นั่นคือกระบี่สุดท้ายของสิบสามกระบี่ผลาญโลกา
เสียงคำรามอันสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วฟ้าทำเอาหัวใจของตงป๋อเสวี่ยอิงสั่นสะท้านไปหมด เขามีความรู้สึกหนึ่งว่า…ต่อให้บัดนี้ตนภาคภูมิใจในการป้องกันของร่างกายนักหนา หากส่งร่างจริงไป ก็เกรงว่าคงจะต้องสิ้นใจตายในทันที! เสียงคำรามนี้นำความรู้สึกถูกคุกคามมาให้แก่เขามากกว่าสิบสามกระบี่ผลาญโลกเสียอีก!
“เตร๊ง…” เสียงดนตรีอันเสนาะหูดังก้องไปทั่วฟ้า
สัตว์ปีกขนาดมหึมาตัวหนึ่งกำลังร้องคำรามเสียงแสบแก้วหู
โซ่สีดำซึ่งเป็นตัวแทนของความผิดบาปสายแล้วสายเล่าราวกับอสรพิษ…
“เทพจักรวาลสิบสองท่าน” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ “ในจำนวนนั้นยังมีสิ่งมีชีวิตที่เป็นรองเพียงจอมเทพศักดิ์สิทธิ์หลายท่าน อย่างเช่นบรรพชนทิพย์ ราชันย์มีดและบรรพชนโลกาอยู่ด้วย หากพวกเขาร่วมมือกันล้อมโจมตี เกรงว่าอานุภาพนี้คงจะแตกต่างกับสงครามที่ทำลายโลกทิพย์โบราณดั้งเดิมในครั้งนั้นไม่มากเท่าใดนักหรอกกระมัง”
ความสามารถในการรักษาชีวิตของเขานับว่าไม่เลวนัก แต่คาดว่าก็คงมีเพียงเผชิญหน้ากับเทพจักรวาลระดับชั้นที่สามเท่านั้นที่พอจะใช้ได้บ้าง หากเผชิญหน้ากับพวกบรรพชนทิพย์ ราชันย์มีด บรรพชนโลกาและประมุขเหยากวง เกรงว่าคงจะมีจุดจบคือถูกเข่นฆ่า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ายามนี้พวกเขากำลังร่วมมือกันต่อสู้เลย หากร่างจริงของตงป๋อเสวี่ยอิงไป เกรงว่าลูกหลงจากการต่อสู้ก็คงจะสามารถทำลายเขาได้แล้ว
……
ณ โถงตำหนักมหึมาในปราการอากาศ
ขณะนี้ตงป๋อเสวี่ยอิง จักรพรรดิสิงหั่ว ประมุขตำหนักอลหม่าน เจ้าลัทธิภาพจิตและขั้นอลวนหลายร้อยคนล้วนอยู่ที่นี่ ต่อให้อยู่ภายในปราการอากาศ พวกเขาก็สามารถสัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวอันน่าหวาดหวั่นของการต่อสู้ที่อยู่ไกลออกไป
“หากเป็นหนึ่งต่อหนึ่ง ข้าก็ยังสามารถรับมือเทพจักรวาลที่ค่อนข้างอ่อนแอได้บ้าง” ประมุขตำหนักอลหม่านสัมผัสอยู่ห่างๆ เขาส่ายศีรษะพลางพูดว่า “ไม่เสียทีที่พวกบรรพชนทิพย์สามารถต้านทานจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ได้ซึ่งหน้า อานุภาพของความเคลื่อนไหวนี้ เมื่อสัมผัสดูเล็กน้อยก็จะไม่มีจิตคิดช่วงชิงอีกแม้แต่น้อย”
“ถึงอย่างไรพวกเราก็เป็นเพียงขั้นอลวนเท่านั้น” จักรพรรดิสิงหั่วกล่าว
“ถึงอย่างไรผู้ที่ตัดสินชะตาชีวิตของผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนก็คือเหล่าเทพจักรวาลซึ่งยืนอยู่ในระดับสูงสุด” เจ้าลัทธิภาพจิตก็เอ่ยขึ้นบ้าง
แม้แต่ละคนจะกำลังพูดอยู่
แต่ในใจกลับปรารถนาว่าตนจะสามารถก้าวเข้าสู่ระดับเทพจักรวาลได้บ้างเช่นกัน
แม้ตงป๋อเสวี่ยอิงจะยืนอยู่ตรงนั้น แต่อันที่จริงกลับกำลังชมดูการต่อสู้อยู่ห่างๆ โดยผ่านรูทรงกลมหมอกดำ เนื่องจากการต่อสู้รุนแรงเกินไป บริเวณใจกลางของการต่อสู้นั้นถูกทำให้บิดเบี้ยวจนมองไม่ชัดไปตั้งนานแล้ว เขาทำได้เพียงสำรวจดูอยู่ห่างๆ เท่านั้น ผู้ที่โดดเด่นสะดุดตาที่สุดในสนามรบก็คือ ‘บรรพชนทิพย์’ นั่นเองบรรพชนทิพย์แบ่งร่างออกมาเป็นร่างแปรที่น่าหวาดหวั่นถึงเก้าร่าง ส่วนพลังรบของร่างจริงของตนก็น่าหวาดหวั่นยิ่งกว่า เสียงคำรามอย่างกราดเกรี้ยวแต่ละครั้งล้วนแต่สั่นสะท้านไปทั้งฟ้าดิน
บรรพชนโลกากลับตรงกันข้าม เขาร่างกายผอมเล็ก แต่ทุกครั้งที่ตะปบออกไปกลับนำเกราะเกล็ดและเลือดเนื้อทั้งหลายยัดตรงเข้าไปในปากแล้วกินลงไปจนหมด
ประมุขเหยากวงกลับต่อสู้แล้วงดงามที่สุด เขาดีดพิณอยู่ตรงนั้น เสียงพิณอันไพเราะดังก้องไปทั่วฟ้า…
เมื่อดูจากการต่อสู้แล้ว
ทางฝ่ายผู้บำเพ็ญนั้นเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างสิ้นเชิง พวกเขากดดันฝูงมารผลาญทำลายอย่างสิ้นเชิงอยู่ฝ่ายเดียว ทางฝ่ายฝูงมารผลาญทำลายมีสายฟ้าอันชั่วร้ายบุกสังหารออกมาเป็นครั้งคราว หรือไม่ก็มีงูสายฟ้าบินลอดออกมาหมายจะกัดกินเทพจักรวาลทางฝ่ายผู้บำเพ็ญ แต่ร่างแปรทั้งเก้าของบรรพชนทิพย์ ไม่ว่าร่างไหนก็น่าหวาดหวั่นจนสามารถจับงูสายฟ้ากินลงไปได้อย่างง่ายดาย
………………………………………….
ตอนที่ 20 การเข่นฆ่าของฝูงมาร (1)
โดย
Ink Stone_Fantasy
ภายในปราการอากาศ บรรดาขั้นอลวนทั้งหมดทำได้เพียงรอคอยเท่านั้น
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยืนอยู่ภายในโถงตำหนักมหึมาอย่างเงียบเชียบ พลางมองดูเงาอันเลือนรางที่ส่องสะท้อนลงบนกำแพงอันเรียบลื่นดุจกระจก เขาส่ายหน้าเบาๆ ไม่ว่าจะเป็นสงครามทำลายโลกทิพย์โบราณดั้งเดิมหรือว่าสงครามอีกหลายครั้งที่จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก่อขึ้น หรืออย่างเช่นการสกัดกั้นฝูงมารผลาญทำลายในครั้งนี้…ผู้ตัดสินสงครามก็คือเทพจักรวาลอยู่วันยังค่ำ ขั้นอลวนอย่างพวกเขานี้ทำได้เพียงมองดูอยู่ข้างๆ เท่านั้น
ราชันย์มีดหรือบรรพชนทิพย์คนใดคนหนึ่งก็ล้วนสามารถสังหารขั้นอลวนอย่างพวกเขาทั้งหมดได้ด้วยพลังของตัวคนเดียว
นี่ก็คือความแตกต่างจากแก่นแท้
“สวบ”
ตงป๋อเสวี่ยอิง จักรพรรดิสิงหั่ว เจ้าลัทธิภาพจิตและขั้นอลวนทั้งหมดหลายร้อยคนมองไปพร้อมกัน ภายในโถงตำหนักมีชายชราหลังค่อมผู้หนึ่งปรากฏขึ้น ซึ่งก็คือบรรพชนเทียนอวี๋นั่นเอง
สายตาของบรรพชนเทียนอวี๋ปราดมองขั้นอลวนทุกผู้ในที่นั้นแวบหนึ่ง จากนั้นก็พูดยิ้มๆ ว่า “เอาล่ะ ฝูงมารผลาญทำลายเหล่านั้นบ้างก็ตัวตาย บ้างก็หนีกลับไปแล้ว บัดนี้ภายในแดนในไม่มีฝูงมารผลาญทำลายหน้าไหนอยู่อีกแล้ว วิกฤตครั้งนี้ได้รับการแก้ไขแล้ว”
“ฮ่า”
“ก็รู้อยู่แล้ว”
“ฝูงมารผลาญทำลายพวกนั้นจะดิ้นรนอย่างไรก็เป็นเพียงเรื่องน่าขันเท่านั้น”
จากนั้นก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะดังสนั่นไปทั่ว
บรรพชนเทียนอวี๋พยักหน้าน้อยๆ จากนั้นเงาร่างก็ค่อยๆ เลือนรางแล้วสลายหายไป
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูทั้งหมด แต่กลับผ่อนคลายลงได้ยากนัก
“ตงป๋อ ไป ไปดื่มสุรากันสักหลายจอก” จักรพรรดิสิงหั่วเดินมาพลางพูดยิ้มๆ “จัดการธุระเรียบร้อยแล้ว เจ้ายังทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอีก กำลังคิดอะไรอยู่รึ”
“ไม่มีอะไรหรอกขอรับ มา ดื่มสุรากันเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยรอยยิ้มออกมาทันที เพียงแต่ในใจกลับลอบทอดถอนใจอยู่ตลอดเวลา…
โจมตีหรือ เป็นฝ่ายฝูงมารผลาญทำลายที่เริ่มโจมตีก่อน
ถอยหรือ ฝูงมารผลาญทำลายก็เป็นฝ่ายถอยก่อนเช่นกัน
……
ภายในโถงตำหนักอันเงียบสงบอีกแห่งหนึ่งของปราการอากาศ เทพจักรวาลสิบสองท่านต่างคนต่างนั่งลง สีหน้าของพวกเขาไม่น่ามองสักเท่าใดนัก
“เจ้าคนที่เรียกตนเองว่า ‘จักรพรรดิจวิน’ พลังก็แตกต่างกับข้าไม่มากสักเท่าใดนัก” ราชันย์มีดนั่งอยู่ตรงนั้นพลางพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาดุจน้ำแข็ง
“ฝูงมารผลาญทำลายมีการรักษาชีวิตที่ร้ายกาจโดยกำเนิดอยู่แล้ว เมื่อฝูงมารผลาญทำลายระดับเทพจักรวาลเหล่านี้ร่วมมือกันขึ้นมา แม้พลังจะยังห่างชั้นกับข้าลิบลับ แต่พวกเราห้ำหั่นมากว่าสองชั่วยามแล้ว ก็ยังฆ่าให้ตายไม่ได้แม้แต่คนเดียว” บรรพชนคีรีมารถอนหายใจเสียงต่ำพูดว่า “พวกเราสังหารพวกเขามิได้ เมื่อเวลาผ่านไป ในบรรดาฝูงมารผลาญทำลายก็จะมีเทพจักรวาลถือกำเนิดขึ้นมามากขึ้น ครั้งนี้ยังมีผู้ที่มีนามว่าจักรพรรดิจวิน ซึ่งพลังบรรลุถึงเทพจักรวาลระดับขั้นที่สองแล้ว สถานการณ์ย่ำแย่ขึ้นทุกทีๆ แล้ว”
“อื้ม”
“สถานการณ์เลวร้ายลงเรื่อยๆ”
ทุกคนในที่นั้นล้วนเป็นเทพจักรวาลผู้ตัดสินชะตาชีวิตของทั้งอากาศอันสับสนอลหม่าน แต่ยามนี้กลับรู้สึกไร้เรี่ยวแรง
ฆ่าหรือ
ฆ่าไม่ตายหรอก!
ฝูงมารผลาญทำลายยังแข็งแกร่งขึ้นด้วยความเร็วที่เห็นได้ชัด แม้จะกล่าวว่าเมื่อเวลาผ่านไป ทางฝ่ายผู้บำเพ็ญก็จะมีผู้แกร่งกล้าถือกำเนิดขึ้นมาจำนวนมากขึ้น แต่ทางฝ่ายผู้บำเพ็ญก็ให้กำเนิดผู้แกร่งกล้าขึ้นมาเป็นปกติมากอยู่แล้ว ส่วนทางฝ่ายฝูงมารผลาญทำลาย…เมื่อรังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งนานวันเข้า จำนวนของฝูงมารผลาญทำลายที่พวกเขาให้กำเนิดก็เพิ่มทวีขึ้นอย่างพรวดพราด ฝูงมารผลาญทำลายก็จะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่หยุดหย่อน จนใกล้เคียงกับทางฝ่ายผู้บำเพ็ญ หรือแม้กระทั่งเหนือกว่า!
มองเห็นทุกสิ่งเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา แต่กลับไม่มีเรี่ยวแรงพอจะทำอะไรได้
“ยังเร็วนัก พวกเขาคิดจะเติบโตจนมีพลังเทียบเท่ากับพวกเราได้ก็ต้องใช้เวลายาวนานนัก” บรรพชนทิพย์พูดเสียงเรียบ “ระหว่างเวลานี้ พวกเราก็จะพยายามทำให้การยกระดับพลังของฝ่ายฝูงมารผลาญทำลายช้าลงอย่างสุดกำลัง ขอเพียงให้เวลาพวกเรามากพอ ปาฏิหาริย์ทั้งหมดก็สามารถเกิดขึ้นได้ ต่อให้การดิ้นรนในตอนสุดท้ายล้มเหลวไปหมด อย่างมากก็ดับสลายไปตามการทำลายล้างครั้งใหญ่ของอากาศอันสับสนอลหม่านก็เท่านั้นเอง”
“ฮ่าฮ่า อย่างมากก็แค่การล้างทำลายสักยกหนึ่งเท่านั้นเอง”
“เวลายังมีเหลือเฟือ
การบำเพ็ญบรรลุถึงระดับขั้นเช่นนี้ ทุกคนก็สามารถทนรับทุกสิ่งได้โดยสงบเป็นธรรมดา
“ฝูงมารผลาญทำลายนี้โจมตีป้อมปราการอากาศมาหลายครั้งแล้ว” บรรพชนโลกาลูบคางเล็กแหลมของตนพลางพึมพำว่า “แต่กระนั้นทุกครั้งพวกเขาก็มิได้ทุ่มเทสุดกำลังอย่างแท้จริง”
“ใช่”
“ถูกต้อง พวกเขามิได้ทุ่มเทจนสุดกำลัง”
“อย่างผู้ที่มีนามว่าจักรพรรดิจวินคนนั้น ตอนเริ่มแรกก็มิได้ลงมือเลย ในช่วงท้ายสุดจึงค่อยลงมือ”
“จำนวนของฝูงมารผลาญทำลายที่อ่อนแอที่พวกเขาส่งไปตายนั้นก็ไม่นับว่ามากมายนัก หากทุ่มเทสุดกำลังจริง ก็สามารถส่งฝูงมารผลาญทำลายออกไปมากกว่านี้สับสิบเท่าหรือมากกว่านั้นได้อีกเพื่อทำให้พวกเราสับสน ความยากในการหากำลังหลักให้พบก็จะพุ่งสูงขึ้นเป็นอันมาก พวกเขาก็จะสามารถไปถึงป้อมปราการอากาศได้สบายขึ้น”
แต่ละคนในที่นั้นล้วนเห็นด้วย ทางฝ่ายฝูงมารผลาญทำลายมิได้ทุ่มเทสุดกำลัง
บรรพชนโลกาพูดต่อไปว่า “มิได้ทุ่มสุดกำลังแต่กลับโจมตีป้อมปราการอากาศตั้งหลายครั้ง เพื่ออะไรกันหรือ ข้าคาดการณ์เอาไว้ก่อนแล้วว่าพวกเขามาเพื่อสำรวจข้อเท็จจริงของป้อมปราการอากาศ แต่ทุกครั้งจะมาเพื่อสำรวจป้อมปราการอากาศเท่านั้นจริงๆ น่ะหรือ นอกจากนี้ในอากาศอันสับสนอลหม่านและโลกทิพย์ทั้งห้า ก็ได้มีการพบร่องรอยของฝูงมารผลาญทำลายที่กบดานอยู่ เห็นได้ชัดว่ามีฝูงมารผลาญทำลายทะลุผ่านป้อมปราการอากาศและมุ่งหน้าตรงมายังโลกทิพย์ทั้งห้าได้แล้ว ผ่านป้อมปราการอากาศมาได้อย่างไรน่ะหรือ ข้าเดาว่าอาจจะเป็นช่วงเวลาที่พวกเขาโจมตีป้อมปราการอากาศนั่นเอง”
“ข้าก็สงสัยเช่นกัน” บรรพชนทิพย์เอ่ย “แต่ข้าตรวจสอบป้อมปราการอากาศมาตั้งหลายครั้ง และเสริมความแข็งแกร่งหลายครั้งแล้วด้วยเช่นกัน จวบจนบัดนี้ก็ไม่พบความเคลื่อนไหวที่พวกเขาทะลุผ่านมาเลย”
“หรือว่าในหมู่ฝูงมารผลาญทำลายก็มีผู้ที่สามารถส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นได้เช่นกัน” บรรพชนกู่พูดเสียงแผ่ว
“เป็นไปไม่ได้”
“หากมีการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้น ก็ไม่จำเป็นต้องมาเสียเวลากับพวกเราเช่นนี้เลย คงจะบุกมายังโลกทิพย์ทั้งห้าตั้งนานแล้ว”
“ใช่ พวกเขาน่าจะมีวิธีพิเศษบางอย่างที่ทำให้สามารถทะลุผ่านป้อมปราการอากาศมาได้”
พวกเขาก็กำลังครุ่นคิด
******
จิตใจของทางฝ่ายผู้บำเพ็ญค่อนข้างย่ำแย่ พวกเขาสงสัยตั้งนานแล้วว่าทางฝ่ายฝูงมารผลาญทำลายโจมตีป้อมปราการอากาศ ‘มีปัญหา’ ส่วนในทางเดินโลกาพิศวง
“ฮ่าฮ่า…”
‘อ๋อง’ ทั้งห้าอยู่ในวังอันหรูหรางดงามแห่งหนึ่ง พลางดื่มสุราและพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
ผู้ที่นั่งอยู่กลางสุดก็คือบุรุษร่างผอมซูบผู้มีหางเกราะเกล็ดยาวเหยียด หางของเขาแบ่งออกเป็นข้อๆ หางนั้นล้อมรอบที่นั่งของตนถึงสองรอบ เขาก็คือ ‘จักรพรรดิจวิน’ ผู้มีพลังแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาฝูงมารผลาญทำลายในตอนนี้
“บรรดาผู้บำเพ็ญเหล่านั้นยังลงมือกับพวกเราอย่างโง่งม ไม่รู้เสียเลยว่าตอนที่ฝ่ามือหนึ่งของข้าปะทะลงบนป้อมปราการอากาศนั้น ก็ได้ส่งอ๋องเข้าไปถึงสามคนแล้ว”
“พรสวรรค์ไร้เงาร้ายกาจมากอย่างแท้จริง”
“ฝ่ามือนี้ของข้าส่งผลกระทบไปถึงแม่ทัพโม่กู่ แม่ทัพโม่กู่มิได้บาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย”
พวกเขาก็กำลังชื่นชมบางคนถึงขั้นอิจฉาเสียด้วยซ้ำไป
พรสวรรค์ ‘ไร้เงา’ นั้นเป็นขั้นสุดของหลักการกลายเป็นอากาศธาตุ แทบจะสามารถทะลุผ่านข้อห้าม ป้อมปราการและการปิดผนึกทั้งมวลได้ การโจมตีของผู้อื่นก็ยากที่จะทำร้ายพวกเขาได้แม้แต่ปลายผมเช่นกัน เมื่อกลายเป็นอากาศธาตุแล้วก็ถึงขั้นมองไม่เห็นเลยทีเดียว
“คิดไม่ถึงเลยว่าครั้งนี้พี่ใหญ่จักรพรรดิจวินก็จะกลับมาแล้วเช่นกัน”
“ฮ่าฮ่า เมื่อมีพี่ใหญ่จักรพรรดิจวินอยู่ พวกเราก็จะรับมือผู้บำเพ็ญเหล่านั้นได้สบายขึ้น”
หางยาวเหยียดของจักรพรรดิจวินซึ่งนั่งอยู่ตรงนั้นรายล้อมที่นั่งเอาไว้กำลังขยับไหวเล็กน้อย เขาพูดยิ้มๆ ว่า “ครั้งนี้อ๋องอีกสามท่านก็ออกไปด้วยเช่นกัน ‘อ๋อง’ ทั้งหมดล้วนเคยออกไปแล้ว พวกเราไม่ต้องรีบร้อนออกไปทำสงครามอีกเป็นระยะเวลาค่อนข้างนาน ทุกคนสงบขจิตสงบใจบำเพ็ญให้ดีๆ เถิด และต้องมีใจอดทน ค่อยๆ สั่งสมพละกำลังของฝูงมารผลาญทำลายเราด้วย”
“อื้ม” อีกสี่คนในที่นั้นต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย
……
วันคืนต่อจากนั้นเหมือนที่แล้วมา จิตใจของตงป๋อเสวี่ยอิงส่วนใหญ่ก็มุ่งไปที่การบำเพ็ญและตามหารังระดับเกราะทองแห่งใหม่ในทางเดินโลกาพิศวง บางครั้งก็ต่อสู้ในแดนในบ้าง
เพียงพริบตาเดียวก็ผ่านไปสามร้อยล้านปีแล้ว
ณ ดินแดนที่ค่อนข้างไกลโพ้นแห่งหนึ่งของโลกทิพย์ทะเลสัตตดารา มีคูเมืองอันรุ่งเรืองอยู่แห่งหนึ่ง ที่นี่คือดินแดนของยักษ์ใหญ่ขั้นอลวน ‘ประมุขวังอวี้เฉี่ยน’ นั่นเอง ประมุขวังอวี้เฉี่ยนบุกเบิกลัทธิอยู่ที่นี่ และถ่ายทอดความรู้ให้ศิษย์ และยังได้สร้างคูเมืองอันใหญ่โตเพื่อปกป้องผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วน ตลอดคืนวันอันยาวนานมาจนถึงบัดนี้ ประมุขวังอวี้เฉี่ยนก็เป็นบรรพชนของทางฝ่ายหนึ่ง รัฐจำนวนไม่น้อยมาสวามิภักดิ์ต่อนาง ผู้ที่มีพรสวรรค์โดดเด่นในจำนวนนั้นจึงมีคุณสมบัติพอจะเข้าร่วมในสำนักของนางได้
“ท่านประมุขวัง”
“ท่านประมุขวัง”
ภายในวัง เหล่าคนที่ประตูมองเห็นประมุขวังอวี้เฉี่ยนเข้าก็พากันเคารพนบนอบ
ประมุขวังอวี้เฉี่ยนสวมอาภรณ์สีขาวพิสุทธิ์ทั้งร่าง นางเดินเท้าเปล่าเปลือยไปทั่ววัง หว่างคิ้วของนางแฝงแววกังวลสายหนึ่งเอาไว้ เดิมทีนางเก็บตัวอยู่ แต่จู่ๆ ก็รู้สึกว่าจิตใจไม่สงบขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“เกิดอะไรขึ้น” ประมุขวังอวี้เฉี่ยนยืนอยู่หน้าราวลูกกรงบนชั้นสูงของวัง พลางเหลือบมองลงไปยังคูเมืองอันกว้างใหญ่เบื้องล่าง
แต่ในยามนี้เอง
กลางท้องฟ้าไกลออกไปกลับมีเงาร่างอยู่ถึงหกสาย นำโดยคนอาภรณ์สีทองผู้หนึ่ง นัยน์ตาสามเหลี่ยมเหลือบมองลงไปยังรัฐเบื้องล่าง ใบหน้าฉายแววเหี้ยมเกรียม
“จับตัวประมุขวังอวี้เฉี่ยนมาให้ข้าทั้งเป็น ข้าจะกลืนกินนางลงไปด้วยตัวเอง” บุรุษร่างผอมซูบในอาภรณ์สีทองพูดเสียงเย็นชา “ยังมีผู้บำเพ็ญทั้งหมดทั่วทั้งคูเมืองด้วย ข้าจะกินลงไปให้หมด”
“ขอรับ ขอรับแม่ทัพโม่กู่” ผู้ใต้บังคับบัญชาด้านหลังทั้งห้าคนต่างก็รับคำ
บุรุษร่างผอมซูบในอาภรณ์สีทองเผยรอยยิ้มตื่นเต้นและรอคอยออกมา เขาก็คือแม่ทัพโม่กู่ผู้มี ‘พรสวรรค์ไร้เงา’ ส่วนบรรดา ‘อ๋อง’ อีกสามท่านต่างก็กระจายตัวออกไป ต่างคนต่างเก็บซ่อนตัวตนที่แท้จริงแล้วท่องไปในโลกของผู้บำเพ็ญ ส่วนผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งห้านี้…ต่างก็เป็นฝูงมารผลาญทำลายเกราะทอง มีสองคนที่พลังรบบรรลุถึงระดับชั้นที่เก้า ส่วนอีกสามคนที่เหลือมีพลังชั้นที่แปดระดับยอด
ทั้งห้าคนนี้ล้วนผ่านการคัดเลือกอย่างพิถีพิถัน ก่อนจะถูกพามาพร้อมกันในตอนนั้น! ภารกิจของพวกเขาทั้งห้า ก็คือปกป้อง ‘แม่ทัพโม่กู่’ ให้ดี
“นานแสนนาน นานแสนนานแล้ว ก่อนหน้านี้พวกเจ้าไม่ยอมให้ข้ากิน ครั้งนี้จะต้องกินให้อิ่มหนำสำราญกันเลยทีเดียว” บุรุษร่างผอมซูบในอาภรณ์สีทองแลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปาก
………………………………..
ตอนที่ 21 การเข่นฆ่าของฝูงมาร (2)
โดย
Ink Stone_Fantasy
ในด้านจิตใจ เกรงว่าแม่ทัพโม่กู่ที่ยังเยาว์วัยเป็นอย่างยิ่งจะเป็นผู้ที่ย่ำแย่ที่สุดในบรรดาฝูงมารผลาญทำลายที่มายังมหาโลกทิพย์ทั้งห้า เพราะผู้อื่นที่ถูกพามาล้วนมีพลังในการควบคุมตนเองอันแข็งแกร่งเป็นที่สุด หากไม่นับเคล็ดวิชา ‘การกลายเป็นอากาศธาตุ’ อันล้ำเลิศของเขา ความจริงแล้วตอนนี้แม่ทัพโม่กู่ก็นับได้ว่ามีพลังยุทธ์เพียงแค่ระดับ ‘ชั้นที่เจ็ดขั้นสุดยอด’ เท่านั้น เขาก็ยังได้รับผลกระทบจากความกระหายในการทำลายล้างอยู่เป็นประจำ
ก่อนหน้านี้อยากจะสังหารครั้งแล้วครั้งเล่า ก็ล้วนถูกลูกน้องห้าคนที่อยู่รอบๆ ปรามเอาไว้ ต่างก็พูดว่า “พวกเราต้องระมัดระวัง ต้องฆ่าความปรารถนาจะสังหารในใจให้ได้ ในเวลาปกติจะต้องเก็บงำเอาไว้บ้าง อย่าได้เปิดเผยร่องรอย ถ้าหากไปยุแหย่เทพจักรวาลของทางฝั่งผู้บำเพ็ญเข้า เช่นนั้นก็คงวุ่นวายใหญ่โตเสียแล้ว”
ถึงอย่างไรก็เป็นฝูงมารผลาญทำลายระดับเกราะทอง ต่อให้จิตใจของเขาย่ำแย่กว่านี้ ก็ยังมีพลังควบคุมตนเองอยู่บ้าง จึงอดทนมาได้ตลอดจนถึงตอนนี้
“เตรียมตัวให้ดี”
“ลงมือ”
ประมุขวังอวี้เฉี่ยนผู้ถูกเลือกเป็นเป้าหมาย พลังยุทธ์ของตนเป็นเพียงแค่ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนชั้นที่เจ็ดขั้นสุดยอดเท่านั้น เผชิญหน้ากับฝูงมารผลาญทำลายระดับเกราะทองที่น่าหวาดหวั่นห้าตน ก็ย่อมไม่มีแรงต้านทานเลยแม้แต่น้อย
“ปัง” สีหน้าของประมุขวังอวี้เฉี่ยนที่ยืนอยู่หน้าราวระเบียงแปรเปลี่ยนในทันที พอหันหน้าไปมองก็เห็นเส้นสายจำนวนนับไม่ถ้วนห่อหุ้มมาทางนางในทันใด ภายใต้ความนึกคิดหนึ่งของนางก็มีลำแสงสีเขียวพรั่งพรูออกมา แต่กลับถูกเส้นสายเหล่านั้นตัดขาดอย่างง่ายดาย เส้นสายฝืนแทรกผ่านเข้าไปภายในร่างกายของนาง ผนึกเอาพลังยุทธ์ของนางเอาไว้ นี่ทำให้ประมุขวังอวี้เฉี่ยนหัวใจสั่นสะท้าน
การประจันหน้าคราหนึ่งก็จับเป็นนางได้แล้วอย่างนั้นหรือ หรือว่านี่จะเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดหวั่นระดับชั้นที่เก้าของเจดีย์ดาว
“ท่านแม่ทัพ” คนชุดดำห้าคนยืนทักทายอย่างเคารพอยู่ด้านข้าง
แม่ทัพโม่กู่ บุรุษผอมเกร็งในอาภรณ์สีทองเดินมาพลางมองประมุขวังอวี้เฉี่ยนด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย
“เจ้าเป็นใครกัน” ประมุขวังอวี้เฉี่ยนพูด
“ข้าเป็นใครอย่างนั้นหรือ ฮ่าฮ่าฮ่า… คนที่จะมากินเจ้าให้เรียบน่ะสิ” แม่ทัพโม่กู่ยื่นมือออกไปบีบลำคอขาวผ่องของประมุขวังอวี้เฉี่ยนเอาไว้จนร่างของนางยกลอยขึ้นมา ทันใดนั้นลิ้นก็แลบออกมาจากปาก เพียงชั่วครู่ลิ้นของเขาก็พุ่งออกไปไกลหลายเมตรแล้วตวัดรัดประมุขวังอวี้เฉี่ยนเอาไว้ พรึ่บ ก็ตวัดเอาประมุขวังอวี้เฉี่ยนกลืนลงท้องไป
แม่ทัพโม่กู่ในอาภรณ์ทองตื่นเต้นจนสั่นสะท้านอยู่บ้าง
นี่คือครั้งแรกที่เขาสังหารผู้บำเพ็ญขั้นอลวนคนหนึ่งจนตาย ความกระหายในการทำลายล้างอันเต็มเปี่ยมและความอิ่มเอมในดวงวิญญาณทำให้เขาจ่อมจม
“ขวับ”
แม่ทัพโม่กู่ในอาภรณ์ทองอ้าปากกว้าง ทันใดนั้นระลอกคลื่นอันน่าหวาดกลัวก็แผ่ปกคลุมทั่วทั้งคูเมือง ภายในเมือง ไม่ว่าจะเป็นเหล่าผู้บำเพ็ญที่อยู่ในหอสุราหรือโรงเตี๊ยม หรือว่าลานบ้านภายในที่พักอาศัย ผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนแต่ละคนต่างก็เหินลอยขึ้นมาอย่างมิอาจควบคุมได้
ทั่วทั้งคูเมืองมีอาณาเขตถึงสิบล้านลี้ ผู้บำเพ็ญที่อาศัยอยู่ภายในก็มีอยู่ราวๆ ล้านล้านคน ทว่าสำหรับสิ่งมีชีวิตขั้นอลวนแล้วการที่กระบวนท่าหนึ่งปกคลุมไปหลายล้านลี้ก็เป็นเรื่องที่พบเห็นได้อยู่บ่อยๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนชุดดำทั้งห้าเบื้องหลังแม่ทัพโม่กู่… ระดับชั้นที่เก้าขั้นสุดยอดสองคน กับระดับชั้นที่แปดขั้นสุดยอดสามคน ภายใต้ความนึกคิดเดียวก็สามารถควบคุมทั้งคูเมืองเอาไว้ได้แล้ว
“อ๊ะ”
“นี่มันอะไรกัน”
“ไม่นะ”
บรรดาศิษย์ในสำนักจำนวนมากมายภายในวังเทพแห่งนี้แต่ละคนต่างก็ลอยคว้างอย่างมิอาจควบคุมได้เช่นเดียวกัน อีกทั้งยังลอยไปทางแม่ทัพโม่กู่ในอาภรณ์ทอง ร่างกายก็หดเล็กลงอย่างฉับพลัน แต่ละคนล้วนถูกเขากลืนกินลงไปในท้อง! แม้กระทั่งคนชุดดำทั้งห้าที่อยู่ด้านข้างก็ลอบสำแดงวิชาเช่นกัน ทำให้ขั้นรวมเป็นหนึ่งบางคนที่สามารถต้านทานการกลืนกินได้จากที่ไกลๆ เหล่านั้นถูกส่งเข้าไปในปากของแม่ทัพบ้านตนด้วยการควบคุมความยับยั้งชั่งใจ
ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือเผ่าพันธุ์อื่น ไม่ว่าจะอ่อนแอหรือแกร่งกล้า ก็ล้วนถูกกลืนลงไปในท้องจนหมดสิ้น
ภายใต้ความช่วยเหลืออย่างลับๆ ของพวกเขาทั้งห้า และภายใต้พลังยุทธ์ของตัวแม่ทัพโม่กู่เอง สิ่งมีชีวิตราวล้านล้านชีวิตภายในคูเมืองปห่งนี้ล้วนถูกกลืนกินลงไปจนสิ้น สองตาอันตื่นเต้นของแม่ทัพโม่กู่ล้วนแดงก่ำ กินผู้บำเพ็ญไปมากมายเช่นนี้ สำหรับฝูงมารผลาญทำลายคนหนึ่งแล้วช่างสุขสันต์ยิ่งนัก ทันใดนั้นเขาก็ชมชอบรสชาติเช่นนี้เสียแล้ว
******
ทางเดินโลกาพิศวง
ร่างแปรหนึ่งของตงป๋อเสวี่ยอิกำลังสำรวจต้นไม้โบราณแห่งห้วงอากาศภายในพื้นที่รังระดับเกราะทอง ส่วนร่างแปรอีกร่างหนึ่งก็เดินทางอยู่ภายในทางเดินโลกาพิศวง ทำการค้นหาต่อไป
“หืม”
ด้วยความที่เป็นผู้บำเพ็ญที่ได้รับการคัดเลือกล่วงหน้า ในอนาคตจะต้องไปเสาะหาฝูงมารผลาญทำลายที่แฝงตัวเข้ามาในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้าเหล่านั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ได้รับข้อมูลอยู่เป็นประจำ จึงได้ค้นพบข้อมูลของฝูงมารผลาญทำลายที่แฝงตัวอยู่เหล่านั้นแล้ว
“อะไรกันนี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงสีหน้าแปรเปลี่ยนเสียแล้ว
ประมุขวังอวี้เฉี่ยนกับผู้บำเพ็ญห้าล้านสามแสนล้านชีวิตทั้งเมืองอวี้เฉี่ยน…
ถูกกลืนกินไปจนหมดสิ้นแล้ว!
แน่นอนว่าฆาตกรก็คือฝูงมารผลาญทำลาย!
“ผู้บำเพ็ญห้าล้านสามแสนล้านชีวิตอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่อยากจะเชื่อ แม้กระทั่งที่มหาโลกทิพย์ทั้งห้า เมืองที่สามารถเป็นที่อยู่อาศัยของผู้บำเพ็ญมากมายเช่นนี้ได้ก็เป็นเมืองขนาดใหญ่แล้ว นี่คือที่มั่นของยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนคนหนึ่ง แม้กระทั่งตัว ‘ประมุขวังอวี้เฉี่ยน’ เองก็ถูกกลืนกินไปเช่นกันแล้วหรือ
“สมควรตาย สมควรตาย” แววสังหารของตงป๋อเสวี่ยอิงเยียบเย็นยิ่ง
ต่างก็พูดว่าฝูงมารผลาญทำลายมีชีวิตขึ้นมาก็เพื่อการผลาญทำลาย
เป็นเพราะถูกขัดขวางเอาไว้ที่ชายขอบของห้วงอากาศ การรับสัมผัสก็มิได้เข้มข้นมากนัก แต่ว่าขนาดของการกลืนกินในครั้งนี้ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงตัวสั่นเทาด้วยความหวาดหวั่น
“นี่คือกฎเกณฑ์สูงสุดกระมัง กฎเกณฑ์สูงสุดก็คือบ่มเพาะฝูงมารผลาญทำลายที่ร้ายกาจระดับนี้ออกมาอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงขบกราม “หรืออาจจะพูดได้ว่าเมื่ออยู่ต่อหน้ากฎเกณฑ์สูงสุด พวกเราก็เป็นเพียงมดปลวกเท่านั้นเอง”
“สมควรตายนัก”
……
ณ ป้อมห้วงอากาศ เทพจักรวาลกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันอยู่ที่นี่ แน่นอนว่าล้วนเป็นร่างแปรด้วยกันทั้งสิ้น
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ได้รับข้อมูลเช่นกัน เหล่าเทพจักรวาลทุกคนย่อมได้รับข่าวอยู่แล้ว
“ถึงกับกลืนกินมากมายขนาดนี้ในคราวเดียว ฝูงมารผลาญทำลายที่เข้ามาสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้าช่างบ้าคลั่งเสียจริง”
“อวี้เฉี่ยนนาง…” ประมุขเหยากวงถอนหายใจเบาๆ หว่างคิ้วมีรอยขมวดมุ่น นางจำแม่นางน้อยผู้ที่ตนเคยชี้แนะในยามที่นางท่องไปในโลกทิพย์ในตอนนั้นได้ ภายหลังแม่นางน้อยผู้นั้นก็พัฒนาจนกลายเป็นขั้นอลวนคนหนึ่ง นางก็พลอยยินดีเบิกบานใจไปด้วย เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าจะพบจุดจบเช่นนี้ได้
ประมุขเหยากวงมองไปทางบรรพชนเทียนอวี๋ “เทียนอวี๋ เจ้าบอกว่าเคล็ดวิชาของตัวตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นั้นค่อนข้างร้ายกาจ สามารถต่อกรกับภยันตรายได้ ทั้งยังมีการหนีเอาชีวิตรอดผ่านการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นได้ด้วย เมื่อใดเขาจึงจะสามารถไปติดตามฝูงมารผลาญทำลายฝูงนี้ได้กันเล่า”
“ถึงอย่างไรวันเวลาที่เขาได้เป็นขั้นอลวนก็ยังสั้นนัก ทั้งยังไม่รู้เลยว่าเขาบำเพ็ญเคล็ดวิชาสืบทอดมังกรปาหลงไปถึงระดับขั้นใดแล้ว ข้าเองก็มิได้ติดตามถามไถ่อีกด้วย” บรรพชนเทียนอวี๋พูด “เช่นนี้ก็แล้วกัน อีกประเดี๋ยวข้าจะไปลองถามเขาดู ถ้าหากเขาประสบความสำเร็จในการบำเพ็ญอย่างยิ่งใหญ่แล้วก็ให้เขาเคลื่อนไหวได้เลย ใช่แล้ว บรรพชนทิพย์ เขารับผิดชอบการติดตาม… มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะไปพบกับเทพจักรวาลในบรรดาฝูงมารผลาญทำลายเข้า ของกำนัลที่พวกเราคุยกันเอาไว้ก่อนหน้านี้เล่า”
“ของกำนัลคุ้มกันชีพที่ควรเตรียมเอาไว้ให้กับเขา ข้าได้เตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้วล่ะ” บรรพชนทิพย์พยักหน้า
ทันใดนั้น
บรรพชนเทียนอวี๋ประหลาดใจเล็กน้อย ถึงขนาดที่เผยสีหน้าตื่นเต้น กระทั่งโบกมือคราหนึ่งด้วย
พรึ่บ
ด้านข้างมีร่างจริงของตงป๋อเสวี่ยอิงที่สวมอาภรณ์ขาวเนื้อหนาปรากฏขึ้น บรรพชนเทียนอวี๋ประจำตำแหน่งเป็นหนึ่งในสามเทพจักรวาลของป้อมห้วงอากาศ เป็นร่างจริงที่นั่งอยู่ ทั้งยังสามารถควบคุมพลานุภาพทั้งหมดของป้อมห้วงอากาศ ก็ย่อมเคลื่อนย้ายร่างจริงของตงป๋อเสวี่ยอิงมายังที่แห่งนี้ได้อย่างง่ายดาย
“เป็นอะไรไปหรือ”
“เทียนอวี๋”
คนอื่นๆ แต่ละคนต่างก็ประหลาดใจและฉงนสงสัยอยู่บ้าง
“ตงป๋อเขาสำแดงการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นเป็นครั้งคราว ส่งร่างแปรเข้าไปในทางเดินโลกาพิศวง สถานที่ที่ถูกส่งไปก็คือรังระดับเกราะทองแห่งหนึ่ง” บรรพชนเทียนอวี๋ถ่ายเสียงพูดโดยตรงด้วยไม่กล้าปล่อยให้เวลาเนิ่นช้า
“อะไรนะ!”
“รังระดับเกราะทองอย่างนั้นหรือ”
ทุกคนในที่นั้นล้วนตกตะลึง พวกบรรพชนทิพย์ล้วนประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง
“ตงป๋อเสวี่ยอิง เร็วเข้า เปิดทางเดินเร็วเข้าสิ! ”บรรพชนทิพย์เองก็จ้องมองตงป๋อเสวี่ยอิง แววตาคมกริบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“ขอรับ!”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็ไม่กล้าชักช้า ยื่นมือชี้นิ้วออกไปไกลเบื้องหน้าในทันใด โครม… ห้วงอากาศตรงหน้าบิดเบี้ยวอย่างฉับพลัน แล้วสามารถมองเห็นอีกฝั่งได้อย่างรางๆ
“ข้าไปก่อนล่ะนะ” ประมุขเหยากวงพูดขึ้นทันที นางก็เป็นหนึ่งในสามเทพจักรวาลประจำป้อมห้วงอากาศเช่นกัน ทั้งยังเป็นเทพจักรวาลระดับที่สองเพียงหนึ่งเดียวในสามคน
พรึ่บ
มิติด้านข้างแปรเปลี่ยนเป็นมายา ร่างจริงของบรรพชนห้วงอากาศในอาภรณ์สีเขียวก็ปรากฏขึ้นเช่นกัน “ข้าเข้าไปเป็นเพื่อนเจ้าเอง”
มีบรรพชนห้วงอากาศผู้เชี่ยวชาญด้านห้วงอากาศเป็นที่สุดเข้าไปพร้อมกัน พวกเขาสองคนร่วมมือกันก็สามารถรับมือกับเหล่าอ๋องทั้งหมดของฝูงมารผลาญทำลายได้อย่างไร้ซึ่งความกลัว
“ไปกันเถิด”
ประมุขเหยากวงและบรรพชนห้วงอากาศเหยียบย่างบนทางเดินที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเปิดไว้แล้วเดินก้าวยาวๆ เข้าไปด้านใน
……………………………………………..
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น