Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 31 ตอนที่ 17-18
ตอนที่ 17 สีทอง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ณ ปราการอากาศ ภายในห้องเงียบในคูหาขนาดเล็กซึ่งจัดเป็นของตงป๋อเสวี่ยอิง
“ไม่ได้นะ”
“ยังไม่ได้อยู่ดี”
โลกอันเลือนรางงดงามตระการตากำลังก่อตัวขึ้นภายในบุปผาสีดำเก้าใบดอกหนึ่ง แต่บนใบและกลีบดอกมีโครงร่างจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น ซึ่งโครงร่างแต่ละเส้นกำลังปรับเปลี่ยนไปเล็กน้อย ตงป๋อเสวี่ยอิงพยายามรักษาดอกตูมสีดำเอาไว้อย่างดียิ่ง แต่ท้ายที่สุดก็ยังคงสลายไปอยู่ดี
“ไม่มีความรู้สึกครบสมบูรณ์เช่นนั้นเลย ยังห่างไกลอีกมากโข” หลังจากตงป๋อเสวี่ยอิงลองคิดค้นบุปผาผลาญทำลายกระบวนที่สามแล้ว ก็รู้สึกได้ถึงความยากในทันที แม้จะกล่าวว่าความยากที่ขั้นรวมเป็นหนึ่งคิดค้นบุปผาผลาญทำลายนั้นเทียบเท่ากับขั้นอลวนคิดค้น ‘บุปผาผลาญทำลายกระบวนที่สาม’ แต่ก็อิงจากพื้นฐานของขั้นอลวนในตอนนี้ บัดนี้ระดับขั้นของตนสูงกว่าขณะที่เป็นขั้นรวมเป็นหนึ่งมากมายยิ่งนัก
การรวมตัวกันอย่างสมบูรณ์แบบให้ครบสมบูรณ์อย่างสิ้นเชิงนั้น จะมากไปเสี้ยวหนึ่งก็มิได้ จะน้อยไปเสี้ยวหนึ่งก็มิได้ ความรู้สึกที่บรรลุถึงขั้นครบสมบูรณ์ จึงจะเรียกได้ว่าท่าไม้ตายระดับเก้า!
ตนในตอนนี้…
หากไปบุกฝ่าเจดีย์ดาวชั้นที่เก้า แม้ไม่อาศัยสมบัติลับเมฆซ้อนสามสีก็สามารถบุกฝ่าได้ โดยอาศัยลูกไม้การป้องกันของตน ก่อนอื่นก็คือตนทำให้เคล็ดวิชาสืบทอดมังกรปาหลงบรรลุถึงขั้นสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ ต่อมาก็ยังมี ‘การกลายเป็นอากาศธาตุ’ ช่วยเหลือ รวมทั้งสามารถเร้นกายอยู่ในโลกลวงได้…เมื่อทั้งสามสิ่งผสานกัน ลูกไม้การป้องกันของตนจึงมีคุณสมบัติพอจะเรียกได้ว่าลูกไม้ระดับชั้นที่เก้า หากนับรวมสมบัติลับด้วย เกรงว่าลูกไม้การป้องกันของตนคงจะสามารถจัดอยู่ในห้าอันดับแรกของขั้นอลวนได้แล้ว
แต่ทางด้านการโจมตีกลับอ่อนแอ
บุปผาผลาญทำลายกระบวนที่สอง…ต่อให้บัดนี้สามารถสำแดงออกมาได้สามสิบดอกในครั้งเดียว แต่เมื่อเทียบกับฝูงมารเกราะทองระดับชั้นที่เก้าแล้วก็บกพร่องอยู่บ้าง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเทียบกับ ‘ประมุขตำหนักอลหม่าน’ และ ‘จักรพรรดิสิงหั่ว’ เลย สิ่งที่มีชื่อเสียงที่สุดของจักรพรรดิสิงหั่วก็คือลูกไม้การโจมตีของเขา จากอักษร ‘สิงหั่ว’ สองตัวนี้ก็สามารถคาดเดาได้ถึงสิ่งที่เขาเชี่ยวชาญแล้ว ว่ามีชื่อเสียงด้านความโหดร้ายและเหิมเกริม!
“รู้สึกว่าวุ่นวายนัก ทุกครั้งที่หลอมรวมเอาความพิสดารเข้าไปมากยิ่งขึ้น ความยากก็พุ่งทะยานขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน” ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าในใจสับสนวุ่นวายนัก
เพราะเขาคลำไม่เจอ ‘ขอบ’ สักนิดเลยด้วยซ้ำไป
รู้สึกเพียงว่ากระบวนท่าที่ตนรังสรรค์ขึ้นมานั้นไม่มีความงดงามแม้แต่น้อย ทุกจุดมีแต่ความล้มเหลว
“ฟิ้ว…”
ตงป๋อเสวี่ยอิงหลับตาลง ให้หัวใจของตนค่อยๆ สงบลง
“ไม่ต้องรีบร้อน จะเร่งรัดเกินไปมิได้”
“เมื่อเทียบกับกระบวนท่าชั้นที่เก้าของวิถีโลกเทียมแล้ว บัดนี้ข้าไม่มีแม้แต่ความคิดที่เป็นระบบเสียด้วยซ้ำ ทรัพยากรก็ไม่มีมากพอที่จะให้พูดถึงได้…อย่างน้อยบุปผาผลาญทำลายกระบวนที่สาม ทรัพยากรก็เพียงพอแล้ว ข้ามีความคิดต่างๆ ผุดขึ้นมาตั้งมากมาย” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ “ส่วนความล้มเหลวในทุกจุดนั้น ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นกระบวนท่าระดับชั้นที่เก้า ต่อให้เป็นผู้มีพรสวรรค์คิดค้นกระบวนท่าชั้นที่เก้าก็ไม่รวดเร็วถึงเพียงนี้”
ตามประวัติศาสตร์ของหกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ในบรรดาขั้นรวมเป็นหนึ่งชั้นที่เจ็ดอีกสองคน ความเร็วในการบำเพ็ญของเจ้าลัทธิภาพจิตก็ถือว่าช้าแล้ว สาเหตุหลักก็เพราะเขาคิดค้นระบบ ‘ภาพจิต’ ขึ้นมาด้วยตนเอง ส่วนความเร็วในการบำเพ็ญของ ‘จักรพรรดิจิ้นอี๋’ เมื่อเทียบกันแล้วก็ถือว่าค่อนข้างเร็ว แปดพันกว่าล้านปีก็สำเร็จชั้นที่แปดระดับยอดแล้ว! หลังจากนั้นก็ได้ผ่านการสู้รบเพื่อเคี่ยวกรำ ห้าหมื่นล้านปีก็สามารถบุกฝ่าเจดีย์ดาวชั้นที่เก้าได้ มีพรสวรรค์ไร้เทียมทานยิ่งนัก
แต่จักรพรรดิจิ้นอี๋นั้นได้คิดค้นกระบวนท่าบริเวณระดับชั้นที่เก้าขึ้นมาอย่างแท้จริง ต่อให้เป็นคู่ต่อสู้ระดับชั้นที่เก้าเช่นเดียวกัน หากอยู่ภายในบริเวณของเขา ก็ยากที่จะกระทบถูกเขาได้
แน่นอนว่าอย่างจักรพรรดิจิ้นอี๋นั้นจัดเป็น ‘ศาสตร์โบราณ’ ซึ่งศาสตร์โบราณมิได้ใฝ่หาการรับรู้ให้ทะลุปรุโปร่งทั้งหมด ขอเพียงสามารถสำแดงออกมาได้ก็พอแล้ว! มันเรียบง่ายกว่ากระบวนท่าความเร้นลับของกฎเกณฑ์ของตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่บ้าง แต่สิ่งที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ก็คือ อีกฝ่ายสำเร็จเป็นขั้นอลวนได้ห้าหมื่นกว่าล้านปีก็สามารถคิดค้นกระบวนท่าระดับชั้นที่เก้าขึ้นมาได้แล้ว
จักรพรรดิจิ้นอี๋…
ด้วยความเร็วในการบำเพ็ญระดับนั้น ถึงขั้นทำให้ระดับเทพจักรวาลเชื่อว่า บางทีจักรพรรดิจิ้นอี๋อาจจะสามารถก้าวเข้าสู่ขั้นสุดยอดสุดท้ายก็เป็นได้
ทว่าตลอดคืนวันอันยาวนานมาจนถึงบัดนี้ เขาก็ยังคงเป็นเพียงระดับชั้นที่เก้าเท่านั้น
หากพูดถึงความเร็วในการบำเพ็ญแล้ว ในประวัติศาสตร์ก็มีเพียง ‘จอมกระบี่’ แห่งวังทวีสูญเท่านั้นที่นับได้ว่าไร้เทียมทานยิ่งนัก ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วมาตลอด
“ไม่จำเป็นต้องไปเปรียบเทียมกับจักรพรรดิจิ้นอี๋หรอก”
“เพราะถึงอย่างไรผู้แกร่งกล้าระดับชั้นที่เก้าส่วนใหญ่เช่นจักรพรรดิสิงหั่ว ล้วนต้องบำเพ็ญมาตลอดคืนวันอันยาวนานไร้ที่สิ้นสุดจึงสามารถเข้าถึงกระบวนท่าชั้นที่เก้าได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงสงบจิตใจลงแล้วตั้งสมาธิบำเพ็ญค้นคว้าต่อไป
******
ทางฝ่ายผู้บำเพ็ญและฝูงมารผลาญทำลายก็สบตากันอยู่ห่างๆ ทั้งสองฝ่ายปะทะกันที่แดนในและแดนนอกครั้งแล้วครั้งเล่า
“ฆ่ามัน”
สงครามหนึ่งเกิดขึ้นที่ชายขอบของแดนในแล้วก็ยุติลง
กองทัพฝ่ายฝูงมารผลาญทำลายหลบหนีไปอย่างน่าอนาถ
“แม่ทัพโม่กู่ ครั้งหน้าจะเคลื่อนไหวเมื่อใดกัน” กองทัพที่หลบหนีกลับไปถึงทางเดินโลกาพิศวง ฝูงมารผลาญทำลายเกราะทองสามเดินเคียงข้างกัน หนึ่งในจำนวนนั้นมีรูปร่างผอมสูง เกราะสีทองทั้งร่างแน่นหนาเป็นอันมาก บนศีรษะของเขาก็มีเกราะสีทองแน่นหนาเช่นเดียวกัน เขาสีดำสามอันโค้งไปทางด้านหน้า เหนือผิวหนังหุ้มเกราะทั่วร่างมีลำแสงไหลเวียนอยู่ คล้ายมีคล้ายไม่มี เขาก็คือแม่ทัพโม่กู่
“ถอยออกไปเถิด ครั้งหน้าข้าจะให้กองทัพอื่นเคลื่อนไหวกับข้า” นัยน์ตาแฝงประกายสีม่วงของแม่ทัพโม่กู่กวาดมองสองคนข้างกาย
“ขอรับ”
ฝูงมารผลาญทำลายเกราะทองสองตนนี้ ตนหนึ่งเป็นระดับชั้นที่เก้า อีกตนหนึ่งเป็นชั้นที่แปดระดับยอด เห็นตำตาอยู่ว่าแม่ทัพโม่กู่เป็นเพียงชั้นที่เจ็ดระดับยอด แต่พวกเขาทั้งสองกลับเคารพนบนอบนัก
เนื่องจากบรรดา ‘อ๋อง’ ต่างก็มีคำสั่งลงมาอย่างเคร่งครัดแล้วว่า
แม่ทัพโม่กู่…มีสถานะเทียบเท่ากับ ‘แม่ทัพฝูเชียน’ เหนือกว่าฝูงมารผลาญทำลายเกราะทองไม่ว่าหน้าไหน! และมีเพียงบรรดา ‘อ๋อง’ เท่านั้นที่มีสิทธิ์ออกคำสั่งพวกเขาได้
สวบๆ
แม่ทัพโม่กู่เดินไปในทางเดินโลกาพิศวงอย่างรวดเร็วยิ่งนัก และถึงขั้นทะลุมิติไปครั้งแล้วครั้งเล่า
ส่วนไกลออกไปด้านหลังเขา กลับมีบุรุษปีกเกราะม่วงผู้หนึ่งตามรอยมาอย่างเงียบเชียบ ซึ่งก็คือหนึ่งใน ‘อ๋อง’ ทั้งหก เขาเชี่ยวชาญทางด้านการหลบหนีเป็นที่สุด ในเวลานี้เขากำลังลอบปกป้องแม่ทัพโม่กู่มาโดยตลอด
“โม่กู่…” นัยน์ตาของบุรุษปีกเกราะม่วงแฝงแววรอคอย “เกือบแล้ว แค่ต้องให้เขาส่งพวกเราออกไปเท่านั้น พลังของตัวเขาเองไม่จำเป็นต้องแข็งแกร่งมากนักก็ได้ เคี่ยวกรำเขาอีกสักหน่อย ก็เกือบจะออกเดินทางได้แล้ว ข้าตั้งตารอคอยโลกของผู้บำเพ็ญจริงๆ”
สำหรับบรรดา ‘อ๋อง’ แล้ว
แม่ทัพโม่กู่และแม่ทัพฝูเชียนมีประโยชน์ต่อพวกเขาอย่างมากมาย พวกเขาจึงให้ความสำคัญเป็นพิเศษ ถึงขั้นลอบปกป้องด้วยตนเองโดยไม่สนใจสถานะเลยสักนิด
ส่วนฝูงมารผลาญทำลายตนอื่นๆ น่ะหรือ พวกเขาก็เย็นชากว่ามาก สำหรับ ‘ฝูงมารผลาญทำลายเกราะทอง’ ก็พอนับได้ว่าให้ความสำคัญอยู่บ้าง อย่างน้อยก็เป็นพลังรบสำคัญกับทางฝ่ายผู้บำเพ็ญ และนอกจากนี้ก็ยังเป็นไปได้ว่าจะมี ‘อ๋อง’ คนใหม่ถือกำเนิดขึ้นในหมู่พวกเขา ส่วนระดับต่ำกว่านั้นน่ะหรือ ก็คือมดปลวก! ต่อให้ตายไปมากกว่านี้ พวกเขาก็คร้านจะไปสนใจ
“บัดนี้มีรังระดับเกราะทองบ่มเพาะขึ้นมารวมแปดแห่ง มีสองแห่งที่ถูกทางฝ่ายผู้บำเพ็ญทำลายไป ยังเหลืออีกหกแห่งด้วยกัน”
“หกแห่งนี้ ให้กำเนิดผู้มีพรสวรรค์ไร้เงาขึ้นมาสองคน และให้กำเนิดฝูงมารระดับเกราะทองขึ้นมาอย่างไม่ขาดสาย” บุรุษปีกเกราะม่วงให้ความสำคัญกับรังระดับเกราะทองเป็นอันมาก เพราะตัวเขาเองก็ถือกำเนิดขึ้นมาจากรังระดับเกราะทอง
“ภายในรังระดับเกราะทอง การป้องกันและลาดตระเวนรอบด้านก็แน่นหนากว่า โอกาสที่จะถูกพบก็ต่ำลงเรื่อยๆ ขอเพียงรังระดับเกราะทองมีมากขึ้น พลังของทางฝ่ายฝูงมารผลาญทำลายของข้าก็จะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ และสามารถให้กำเนิดผู้ที่มีพรสวรรค์ไร้เงามากยิ่งขึ้น ให้กำเนิดฝูงมารเกราะทองมากยิ่งขึ้น หรือถึงขั้นมี ‘อ๋อง’ ปรากฏขึ้นมามากขึ้น” บุรุษปีกเกราะม่วงลอบพึมพำ
เมื่อเทียบกับทางฝ่ายผู้บำเพ็ญแล้ว พวกเขาก็ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอยู่ดี พลังโดยรวมก็ยังคงมีความแตกต่างกัน ต่อให้เข้าไปในโลกผู้บำเพ็ญแล้วก็ต้องหลบๆ ซ่อนๆ ไม่กล้าเปิดฉากต่อสู้ซึ่งหน้า เคราะห์ดีที่พวกเขามีความสามารถในการรักษาชีวิตที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งโดยกำเนิด แม้จะเอาชนะมิได้ แต่ก็สามารถหนีรอดไปได้ ดังนั้นทางฝ่ายผู้บำเพ็ญจึงทำได้เพียงมองดูพวกเขาแข็งแกร่งขึ้นต่อหน้าต่อตาเท่านั้น
……
ณ ทางเดินโลกาพิศวง
ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์สีดำกำลังเดินท่องไปบนทางเดินห้วงมิติอันเจิดจ้า ในสายตาของเขา ทุกสิ่งรอบกายล้วนสำแดงความเร้นลับแห่งห้วงอากาศชนิดต่างๆ ออกมา เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับบำเพ็ญห้วงอากาศอย่างแท้จริง
“เอ๊ะ”
ทันใดนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์สีดำก็สะดุ้งเฮือก เขาสำรวจรอบด้านผ่านรู ‘ทรงกลมหมอกดำ’ อันพื้นฐานที่สุดตามสัญชาตญาณ แม้ไม่จำเป็นต้องรับมือฝูงมารผลาญทำลายที่ลาดตระเวนอยู่พวกนั้น และไม่จำเป็นต้องทำลายลูกไม้ต่างๆ ที่แอบซ่อนพื้นที่รังเอาไว้ เพียงแค่สำรวจตรวจตราผ่านรูทรงกลมหมอกดำก็เป็นอันใช้ได้…แต่ทางเดินโลกาพิศวงใหญ่เกินไปแล้วจริงๆ ระยะเวลาหมื่นล้านปี เขาเพิ่งจะพบรังระดับเกราะโลหิตเพียงยี่สิบหกแห่งเท่านั้น เมื่อพิจารณาจากด้านประสิทธิภาพแล้ว ก็ยังต่ำกว่าจ้าวภูเขาฉื้อเหมยในตอนนั้นอยู่บ้าง
ก็ถูกต้องแล้ว
จ้าวภูเขาฉื้อเหมยนั้นมีเคล็ดวิชาสืบทอดที่สมบูรณ์ ไม่เพียงแค่ร่างแปรสามารถสำแดงการส่งถ่ายในระยะไกลโพ้นออกมาได้เท่านั้น ทั้งยังมีศาสตร์ร่างแยกด้วย ในด้านการสำรวจจะเก่งกาจกว่าตนก็เป็นเรื่องปกติ
“นี่อะไรน่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์สีดำไม่อยากจะเชื่ออยู่บ้าง
ฟิ้ว
เขารีบสาวเท้าออกไป มิติเบื้องหน้าบิดเบี้ยว ก่อนจะส่งถ่ายไปยังมิติปิดผนึกซึ่งอยู่ใกล้ที่แห่งนั้นอย่างมาก
เมื่อสำรวจจากระยะทางที่ใกล้อย่างยิ่งอีกครั้งผ่านรูทรงกลมหมอกดำจำนวนนับไม่ถ้วน เขาก็สำรวจพบพื้นที่รังแห่งหนึ่งข้างๆ ไม่ไกลออกไปนักได้อย่างชัดเจน ที่นั่นมีต้นไม้โบราณแห่งห้วงอากาศอันงดงามหาใดเปรียบอยู่ต้นหนึ่ง ทั้งยังมีไข่สีทองอยู่ถึงเก้าฟอง
“รังระดับเกราะทองหรือ” หัวใจของตงป๋อเสวี่ยอิงเต้นแรงขึ้นอย่างมิอาจควบคุม เมื่อมองดูโดยละเอียด มิผิด สีของไข่ฟองนั้น…ก็คือสีทอง!
……………………………………..
ตอนที่ 18 โจมตีป้อมปราการ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ตงป๋อเสวี่ยอิงหายใจสะดุด เขาสำรวจภายในทั้งหมดของ ‘พื้นที่รังระดับเกราะทอง’ โดยละเอียด รังระดับเกราะทองแห่งหนึ่งหมายความว่าสามารถให้กำเนิด ‘ฝูงมารผลาญทำลายเกราะทอง’ ได้อย่างไม่ขาดสาย ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าใด รังแห่งหนึ่งก็สามารถให้กำเนิดฝูงมารผลาญทำลายเกราะทองได้จำนวนมากขึ้นเท่านั้น ทางฝ่ายผู้บำเพ็ญถึงขั้นสงสัยว่า…ฝูงมารผลาญทำลายระดับเทพจักรวาลก็น่าจะบรรลุมาจากบรรดาฝูงมารผลาญทำลายเกราะทองนั่นเอง!
อันที่จริงแล้ว ตลอดคืนวันอันยาวนาน ทางเดินโลกาพิศวงได้ให้กำเนิด ‘อ๋อง’ ขึ้นมาทั้งหมดสิบห้าคนด้วยกัน
นอกจากช่วงแรกมีรังเกราะทองสองแห่งถูกทำลายแล้ว บัดนี้ก็มีรังเกราะทองทั้งหมดเพียงหกแห่งเท่านั้น! สามารถคาดการณ์ได้ว่า รังระดับเกราะทองแห่งหนึ่งจะมี ‘อ๋อง’ ประมาณสองท่าน อีกทั้งเมื่อเวลาผ่านไป รังระดับเกราะทองยังสามารถให้กำเนิดออกมาเป็นจำนวนมากขึ้นอีกด้วย
หรือกล่าวได้ว่า…
ในบรรดาระดับเกราะทองที่ถือกำเนิดขึ้นภายในพื้นที่รังระดับเกราะทองนั้น โดยเฉลี่ยแล้วจะมี ‘อ๋อง’ สองคนถือกำเนิดขึ้น และเมื่อเวลาผ่านไปก็อาจจะเพิ่มมากขึ้นได้อีกด้วย
ดังนั้นยิ่งการต่อสู้เนิ่นนานไป ‘อ๋อง’ ของทางฝ่ายฝูงมารผลาญทำลายก็ค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น เมื่อจำนวนของฝูงมารผลาญทำลายน่าหวาดหวั่นขึ้นเรื่อยๆ ทางฝ่ายผู้บำเพ็ญก็ต้องแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย!
“ในที่สุดก็พบรังระดับเกราะทองแห่งหนึ่งเข้าจนได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งตื่นเต้นทั้งยินดี
แม้ทางฝ่ายผู้บำเพ็ญจะยังไม่มั่นใจในมูลค่าของรังระดับเกราะทอง แต่ก็มีการประกาศว่าจะให้รางวัลมาตั้งนานแล้ว ขอเพียงบรรดาร่างแปรของผู้บำเพ็ญกลุ่มใหญ่ที่เข้ามายังทางเดินโลกาพิศวงพบ ‘รังระดับเกราะทอง’ แห่งหนึ่งและรายงานขึ้นไปได้ ก็จะได้รับรางวัลมูลค่ามหาศาลคือ ‘ศิลาปฐมโลกาหนึ่งแสนก้อน’! ดังนั้นร่างแปรของผู้บำเพ็ญจำนวนมากจึงได้เข้ามายังทางเดินโลกาพิศวงเพื่อเสี่ยงโชคดูสักตั้ง
ตอนนั้น ‘จ้าวภูเขาฉื้อเหมย’ เสนอราคาสูงถึงเพียงนั้น ทางฝ่ายผู้บำเพ็ญก็ล้วนเคยรับได้ เป้าหมายหลักก็คือเพื่อทำลายรังระดับเกราะทอง
น่าเสียดายที่จ้าวภูเขาฉื้อเหมยละโมบเกินไป
เพียงแค่ไปเสาะหา หนึ่งร้อยล้านปีก็ต้องใช้ ‘ศิลาปฐมโลกาหนึ่งหมื่นก้อน’ แล้ว ไม่พบรังระดับเกราะทองก็ยังต้องการมากถึงเพียงนั้น หากสักหมื่นล้านปี…ก็ต้องเป็นล้านศิลาปฐมโลกาแล้ว หากได้อะไรมาบ้างก็แล้วไปเถิด แต่หากไม่ได้อะไรเลยแล้วต้องใช้ศิลาปฐมโลกาจำนวนมหาศาลเช่นนี้ เหล่าเทพจักรวาลก็รับไม่ไหวเช่นกัน
“เอ๊ะ”
สายตาของตงป๋อเสวี่ยอิงถูกต้นไม้โบราณแห่งห้วงอากาศนั้นดึงดูดเอาไว้อย่างรวดเร็ว เพราะเขาสำรวจผ่านรูทรงกลมหมอกดำในระยะที่ใกล้มาก จึงสามารถสำรวจโครงสร้างของต้นไม้โบราณแห่งห้วงอากาศนั้นได้ชัดเจนหาใดเปรียบ
“ใช้ประโยชน์จากอากาศได้สมบูรณ์แบบเกินไปแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงชื่นชม “ทางเดินโลกาพิศวงนับได้ว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของการบำเพ็ญอากาศ ส่วน ‘รังระดับเกราะทอง’ ก็คือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แล้ว”
สวบ
วันนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงได้ส่งร่างแปรที่สองเข้าไปในทางเดินโลกาพิศวงแล้วตามหารังฝูงมารต่อไป ส่วนร่างแปรร่างแรกก็บำเพ็ญอย่างเงียบๆ เพียงลำพังภายในมิติปิดผนึก และสำรวจ ‘รังระดับเกราะทองต้นไม้โบราณแห่งห้วงอากาศ’ เป็นระยะยาว
อันที่จริงหากจะพูดอย่างเข้มงวดแล้ว
ศาสตร์ลับสี่ภาพวาดของจักรพรรดิเก้าเมฆา วิชาลับผู้ท่องและโครงสร้างของต้นไม้โบราณแห่งห้วงอากาศ ทั้งสามสิ่งนี้ล้วนใช้ประโยชน์จากอากาศในด้านที่แตกต่างกัน ทว่าแม้จะต่างทิศทางกัน แต่กลับสามารถอ้างอิงซึ่งกันและกันได้
“เรื่องการรายงานขึ้นไปนั้นไม่ต้องรีบร้อน รอให้ต้นไม้โบราณแห่งห้วงอากาศมีส่วนช่วยข้าไม่มากสักเท่าใดนักแล้วค่อยรายงาน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ แม้ต้นไม้โบราณแห่งห้วงอากาศจะกำลังบ่มเพาะฝูงมารอยู่ แต่ฝูงมารระดับเกราะทองนั้นถือกำเนิดขึ้นมาได้ช้ามาก ชุดหนึ่งเก้าฟอง หลังจากการบ่มเพาะชุดหนึ่งได้สิ้นสุดลงแล้ว ลำพังแค่ชุดต่อไปจะก่อตัวขึ้นเป็นไข่สีทองได้ อย่างสั้นที่สุดก็ต้องหลายหมื่นล้านปี อย่างนานก็ต้องเป็นล้านล้านปี ยิ่งพรสวรรค์สูงเท่าไหร่ก็ต้องใช้เวลานานขึ้นเท่านั้น
******
เวลาล่วงเลยไป
เพียงพริบตาเดียว
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มาถึงปราการอากาศได้สองหมื่นหนึ่งพันล้านปีแล้ว ภายในโถงตำหนักของปราการอากาศขนาดมหึมา
“เอ๊ะ”
“อะไรนะ!”
บรรดาร่างแปรของผู้แกร่งกล้าขั้นอลวนหลายร้อยคนซึ่งเดิมทีกำลังสนทนากันหรือไม่ก็อยู่เพียงลำพัง ต่างก็ผุดลุกขึ้น แล้วมองดูภาพขนาดมหึมาที่ปรากฏขึ้นกลางอากาศตรงขอบโถงตำหนักด้วยความตกตะลึง ตรงนั้นจะแสดงภาพความเคลื่อนไหวของฝูงมารผลาญทำลายที่ตรวจพบในแดนนอกและแดนในตลอดเวลา แต่ยามนี้…
จุดแสงจำนวนมากปรากฏขึ้นที่ชายแดนพร้อมกันอย่างแน่นขนัดจากนั้นก็เข้าไปในแดนในพร้อมกัน ทั้งยังลอยมุ่งหน้าไปทาง ‘ป้อมปราการอากาศ’ ด้วยความเร็วสูงยิ่งอีกด้วย
พวกตงป๋อเสวี่ยอิงมีสายตาระดับใด เพียงมองปราดเดียวพวกเขาก็สามารถวิเคราะห์ได้แล้วว่าจุดแสงแน่นขนัดเหล่านั้นมีถึงสามพันจุดด้วยกัน
“จะโจมตีป้อมปราการอากาศอีกครั้งแล้วหรือ”
บรรดาขั้นอลวนทั้งหมดหัวใจบีบแน่นขึ้นมา การท้าทายและเข่นฆ่าทั่วไปก็ล้วนแต่อยู่นอกชายแดนทั้งสิ้น ที่เข้าไปลึกเช่นนี้เห็นได้ชัดว่าเพื่อ ‘ป้อมปราการอากาศสุดท้าย’ ของแดนใน
…
ภายในโถงตำหนักมหึมา มีเงาร่างสายแล้วสายเล่าปรากฏขึ้นต่อเนื่องกัน มิติโดยรอบถึงขั้นบิดเบี้ยวและยุบตัวลงไป สิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดหวั่นตนแล้วตนเล่าเดินออกมาจากในนั้น ความแข็งแกร่งของอานุภาพทำให้พวกตงป๋อเสวี่ยอิงต้องสะพรึง
นอกจากปราการอากาศแล้ว คิดจะพบเทพจักรวาลจำนวนมากมายถึงเพียงนั้น และจะพบร่างจริงด้วยก็ยากเกินไปแล้วจริงๆ!
เพียงชั่วลมหายใจเดียว
เทพจักรวาลถึงสิบสองคนก็มาถึง พวกเขาเร่งมาจากที่พำนักของตน ต้องรู้ไว้ว่าพวกเขาส่วนใหญ่ล้วนไม่เข้าใจการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้น จึงต้องให้ผู้ใต้บังคับบัญชาสร้างทางเชื่อมการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นขึ้นมา ต่อให้เป็นเช่นนี้ ก็ยังมาถึงได้ภายในชั่วลมหายใจเดียว
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูโดยละเอียด มีเทพจักรวาลหลายคนที่เขาไม่เคยพบมาก่อน
ท่านอาจารย์ ‘บรรพชนห้วงอากาศ’ ของตนเป็นบุรุษผมเขียวสวมอาภรณ์สีดำ สายตาของเขานุ่มนวล รักใคร่ทุกชีวิต เขามองตงป๋อเสวี่ยอิงก่อนจะมองไปทางเทพจักรวาลคนอื่นๆ
“พวกเขาจะโจมตีป้อมปราการอากาศอีกครั้งแล้ว” ที่นี่รวมเอาสิ่งมีชีวิตระดับยอดของอากาศอันสับสนอลหม่านและโลกทิพย์ทั้งห้าเอาไว้กว่าครึ่ง กลิ่นอายของแต่ละคนล้วนยิ่งใหญ่ลึกล้ำเกินหยั่ง ในจำนวนนั้นมี ‘บรรพชนทิพย์’ บุรุษซึ่งเหนือผิวกายมีโซ่สายแล้วสายเล่ารายล้อมอยู่ด้วย ยามนี้บรรพชนทิพย์กำลังเอ่ยปากอย่างเคร่งขรึมว่า “แม้ก่อนหน้านี้พวกเขาจะพ่ายแพ้มาหลายครั้ง แต่ทุกครั้งพวกเราก็ล้วนไม่สามารถประมาทได้ หากพ่ายแพ้แค่ครั้งเดียว ป้อมปราการอากาศถูกทำลายขึ้นมา เช่นนั้นก็แย่แล้ว”
“อื้ม เช่นนั้นก็รับมือด้วยวิธีเดิมดีหรือไม่เล่า” ยักษ์ร่างกายใหญ่โตราวกับร่างกายก่อตัวขึ้นจากก้อนศิลาสีดำยืนอยู่ตรงนั้นพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
ทุกคนในที่นั้นมิมีผู้ใดคัดค้าน
“เช่นนั้นก็เคลื่อนไหวเถิด” บรรพชนโลกาผู้มีร่างผอมเล็กสวมอาภรณ์สีเขียวพูดต่อทันที
……
ณ โลกทิพย์โบราณ
ภายในสระอาบน้ำขนาดมหึมา ไอร้อนพวยพุ่ง
ร่างของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์แช่อยู่ในสระ เขานั่งอยู่ริมน้ำ ทันใดนั้นเขาก็มองไปทาง ‘ทางเดินโลกาพิศวง’ ไกลออกไปราวกับรู้สึกบางอย่างขึ้นมา แม้โลกทิพย์โบราณจะห่างจากทางเดินโลกาพิศวงลิบลับเป็นระยะทางนับไม่ถ้วน ทว่าเมื่อจอมเทพศักดิ์สิทธิ์มองดูอยู่ห่างๆ บนใบหน้ากลับมีรอยยิ้มพิกลสายหนึ่งผุดขึ้นมา “ฝูงมาเหล่านี้จะลอบแทรกซึมเข้าไปในโลกทิพย์ทั้งห้าอีกแล้วหรือนี่”
“พวกเขากำลังเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ อ๋องที่ถือกำเนิดขึ้นก็กำลังเพิ่มจำนวนขึ้น เวลาที่มีให้ข้าก็น้อยลงทุกทีแล้ว และยังมีตาเฒ่าเหล่านั้นที่คอยสร้างความวุ่นวายให้ข้าอีกด้วย” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ส่ายหน้าเบาๆ จากนั้นก็หลับตาลงแล้วแช่อยู่ในสระอาบน้ำต่อไป…
ณ โลกฟ้ากระจ่าง ในอากาศอันสับสนอลหม่าน
โลกฟ้ากระจ่างเป็นเศษเสี้ยวหนึ่งที่หลงเหลืออยู่หลังจากโลกทิพย์โบราณดั้งเดิมแตกออกเป็นเสี่ยงๆ มันกว้างใหญ่สู้ดินแดนเก้าเมฆาไม่ได้เลย เกรงว่าคงจะเป็นเพียงหนึ่งในร้อยส่วนของดินแดนเก้าเมฆาเท่านั้น
ส่วนบัดนี้โลกฟ้ากระจ่างกลับถูก ‘จ้าวภูเขาฉื้อเหมย’ อาจหาญยึดครองอีกครา
“เฮอะๆๆ เริ่มโจมตีป้อมปราการอากาศอีกแล้วหรือนี่”
จ้าวภูเขาฉื้อเหมยยืนอยู่บนยอดเขาสูงแห่งหนึ่ง ขนคิ้วของเขาเป็นสีแดงชาด แววตาเย็นชาเฉียบคม
ในบรรดาผู้แกร่งกล้าระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เก้า ก็นับว่าเขาเป็นผู้ที่หยิ่งผยองที่สุดคนหนึ่ง เขาถึงขั้นไม่ค่อยเห็นเทพจักรวาลบางคนอยู่ในสายตาเสียด้วยซ้ำไป เนื่องจากขณะที่บรรดาเทพจักรวาลผู้สูงส่งกำลังเผชิญหน้ากับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์นั้นก็มีความเสี่ยงที่จะสิ้นชีพ แต่เขานั้นไม่เหมือนกัน เขาฝึกร่างแยกออกมาทั้งยังสามารถส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นได้ด้วย ร่างแยกของเขาแอบซ่อนมาจนถึงวันนี้ก็ยังมิมีผู้ใดพบตัวได้เลย
ต่อให้เป็นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ ก็ไม่อยากจะเป็นอริกับทางสายประมุขหอหมื่นโลกาเลย
ศัตรูที่ข้าไม่ตายนั้นยากรับมือเป็นที่สุด
“ดีมาก ฝูงมารผลาญทำลายโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่า เทพจักรวาลเหล่านั้นก็จะสัมผัสได้ถึงภัยคุกคามเอง” จ้าวภูเขาฉื้อเหมยพึมพำเบาๆ “พวกเขาจะร้อนใจมากขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดก็จะมีสักวันหนึ่งที่ยอมรับข้อเรียกร้องของข้า”
บรรดาเทพจักรวาลขอให้เขาช่วยเหลือ
แต่จ้าวภูเขาฉื้อเหมยกลับมีข้อเรียกร้องอันสูงลิ่ว ทั้งสองฝ่ายจึงมิได้เจรจาตกลงกันให้แน่นอนมาโดยตลอด!
“นี่คือโอกาสอันหาได้ยากของข้า ที่จะได้ศิลาปฐมโลกาจำนวนมหาศาลมา” จ้าวภูเขาฉื้อเหมยมิได้ร้อนใจแต่อย่างใด เขาเชื่อว่าบรรดาเทพจักรวาลจะตกลงรับข้อเรียกร้องของเขาในท้ายที่สุด ส่วนจะเป็นการล่วงเกินเทพจักรวาลเหล่านั้นด้วยเหตุนี้หรือไม่น่ะหรือ เขาไม่แยแสเอาเสียเลย!
……………………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น