Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 31 ตอนที่ 15-16
ตอนที่ 15 พรสวรรค์
โดย
Ink Stone_Fantasy
ส่วนลึกของทางเดินโลกาพิศวง ภายในมิติที่ซ่อนเร้นเอาไว้แห่งหนึ่ง
โถงตำหนักหิมะน้ำแข็งอันเงียบเชียบแห่งหนึ่ง ภายในมีเงาร่างหกสายนั่งอยู่ พวกเขาต่างก็เก็บงำกลิ่นอายกันเป็นอย่างยิ่ง มีทั้งที่เป็นเกราะสีดำ มีทั้งที่เป็นเกราะสีม่วง หรือแม้กระทั่งมีบางส่วนที่สวมอาภรณ์ปกติของผู้บำเพ็ญ ถึงขนาดที่มีอยู่สองตนที่มีรูปลักษณ์เป็นมนุษย์
“น้องเสวี่ยหย่ง มีเรื่องอันใดกันจึงได้เรียกตัวพวกเรามา”
“เจ้าพวกโง่งมพวกนั้นต่างก็ให้น้องเสวี่ยหย่งเป็นผู้บัญชาการ เรื่องบางอย่างเจ้าก็สามารถตัดสินใจเองได้ ก็ไม่จำเป็นต้องมาหาพวกเราแล้ว” เงาร่างอื่นๆ อีกห้าร่างนั้นดูสบาย ๆ เป็นอย่างยิ่ง พวกเขาไม่มีกลิ่นอายร้ายกาจของฝูงมารผลาญทำลายตามปกติ หรือแม้แต่เพียงแค่เปลี่ยนแปลงรูปโฉม ปะปนไปกับบรรดาผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วน ก็ยากที่จะตระหนักถึงความพิเศษของพวกเขาได้แล้ว
หญิงสาวในชุดเกราะสีขาวราวหิมะตลอดร่างผู้หนึ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้มน้อยๆ “น้องสาวรู้ว่าพี่ชายทุกท่านทุ่มเทจิตใจให้กับการบำเพ็ญ ไม่มีจิตใจจะมาแยแสเรื่องโง่เง่าพรรค์นั้น แต่อันที่จริงแล้วมีเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งจะบอกกับพี่ชายทุกท่านเจ้าค่ะ”
“หา”
อีกห้าคนต่างก็มองดูหญิงสาวในชุดเกราะขาวราวหิมะผู้นี้
“พี่ชายทุกท่านต่างก็ทราบว่ารังเกราะทองที่แปดของพวกเราเป็นรังที่พัฒนาสมบูรณ์ขึ้นมาใหม่ ตอนนี้กำลังฟูมฟัก ‘ฝูงมารผลาญทำลายเกราะทอง’ กลุ่มแรกอยู่ในนั้น” หญิงสาวในชุดเกราะขาวราวหิมะพูด
“อืม ไม่สามารถกำจัดการควบคุมของกฎเกณฑ์สูงสุดได้ สื่งโง่เง่าที่ถูกค่ายสังหารกระหายจะควบคุมอยู่เป็นประจำนั้นมีอะไรให้น่าพูดถึงกัน” ชายหนุ่มอาภรณ์ดำผู้หนึ่งหยิบพัดขึ้นมาแล้วโบกพัดตามสบายพลางแค่นเสียงหัวเราะเยาะเสียงหนึ่ง
“รังเกราะทองที่แปด ในบรรดาฝูงมารผลาญทำลายเกราะทองชุดแรกที่ฟูมฟัก… มีอยู่ตนหนึ่งที่พิเศษยิ่งนัก สามารถตัดสินได้ว่ามีพรสวรรค์ ‘ไร้เงา’” หญิงสาวในชุดเกราะขาวราวหิมะพูดพลางอมยิ้มแล้วกวาดสายตามองทั้งห้าคนรอบๆ อย่างสบายใจ ดังเช่นที่นางคาดไว้ ฝูงมารผลาญทำลายที่ไปถึงระดับเทพจักรวาลแล้วทั้งห้าคนต่างก็เงียบกริบ
“พรสวรรค์ไร้เงาหรือ”
พวกเขาต่างก็มองหญิงสาวในชุดเกราะขาวราวหิมะ
“เร็วๆๆ ไปเร็วเข้า”
“ที่แท้ก็เป็นพรสวรรค์ไร้เงา เร็วเข้า”
“น้องเสวี่ยหย่ง อย่าหลอกพวกเรานะ”
พวกเขาพากันตื่นเต้นยินดี
“เรื่องใหญ่โตเช่นนี้ ข้าจะโกหกได้อย่างไรกันเล่า ไปๆๆ พี่ชายทุกท่าน ไปดูพร้อมกันเถิด” หญิงสาวในชุดเกราะขาวราวหิมะแย้มยิ้ม
เงาร่างหกสายของพวกเขาแปรเป็นลำแสงขมุกขมัวเสียงดังสวบแล้วไปจากมิติแห่งนี้อย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเดินทางอยู่บนทางเดินห้วงมิติเช่นกัน แต่ก็อาศัยระลอกคลื่นบางแห่งของทางเดินห้วงมิติหายตัวไปกลางอากาศเป็นครั้งคราว ถึงแม้ว่า ‘ทางเดินห้วงมิติ’ จะหลงทางได้โดยง่าย หากไม่ระวังก็จะถูกเคลื่อนย้ายไปยังบริเวณที่ทำให้หลงทางได้…
แต่ว่าท่ามกลางภยันตรายจำนวนนับไม่ถ้วนกลับมีระลอกคลื่นจำนวนหนึ่งที่สามารถทำการส่งถ่ายผ่านห้วงมิติได้
พวกฝูงมารผลาญทำลายนั้นคุ้นเคยกับ ‘ทางเดินโลกาพิศวง’ เหลือเกิน นี่คือบ้านของพวกเขา พวกเขาจึงสามารถส่งถ่ายผ่านห้วงมิติได้อย่างง่ายดาย
ระยะเวลาเพียงแค่ครึ่งวันเท่านั้น
ฝูงมารผลาญทำลายระดับเทพจักรวาลหกตนนี้ก็มาถึงรังแห่งหนึ่ง สถานที่หลายแห่งบริเวณรอบๆ รังแห่งนี้ต่างก็มีฝูงมารผลาญทำลายเกราะโลหิตลาดตระเวนอยู่ ทั้งยังมีฝูงมารผลาญทำลายเกราะทองที่ซ่อนเร้นพลังยุทธ์เอาไว้หลายตนที่เร้นกายลาดตระเวนอยู่ด้วย ถึงแม้ร่างแปรเทพจักรวาลเข้าใกล้บริเวณนี้ก็ยากยิ่งที่จะเข้าใกล้ ‘รังระดับเกราะทอง’ โดยไม่ถูกพบตัว! ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าทางเข้ารังเกราะทองก็ถูกอำพรางเป็นสถานะปิดผนึก ก็ยิ่งยากที่จะหาได้พบ
คิดอยากจะค้นพบรังระดับเกราะทองสักแห่ง หนึ่ง ต้องเคราะห์ดีมาถึงบริเวณที่ตั้งของหนึ่งในรังระดับเกราะทองที่มีน้อยจนสามารถนับนิ้วได้ภายในทางเดินโลกาพิศวงอันกว้างใหญ่ไพศาลได้ สอง ต้องมีพลังยุทธ์ สามารถหลีกเลี่ยงการลาดตระเวนของฝูงมารผลาญทำลายเกราะโลหิตและฝูงมารผลาญทำลายเกราะทองได้ สาม ต้องสามารถเชื่อมั่นได้ว่ามิติแห่งนั้นมีความน่าอัศจรรย์ สามารถบุกผ่านทะลุการอำพรางของปากทางเข้ารังเข้าไปได้
ทำได้ทั้งสามด้าน จึงจะมีหวังที่จะค้นพบรังระดับเกราะทองสักแห่งหนึ่ง
แน่นอนว่านี่คือสถานการณ์ปกติ ถ้าหากเป็นประมุขหอหมื่นโลกา จ้าวภูเขาฉื้อเหมย และตงป๋อเสวี่ยอิง ร่างแปรต่างก็สามารถทำการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้น ถึงแม้จะไม่เข้าไป ทว่าต่างก็สามารถสอดแนมผ่านโพรงทรงกลมหมอกดำได้
“พรึ่บ”
‘อ๋อง’ ทั้งหกเข้าไปในนั้น
ภายในพื้นที่รัง
ก็มีฝูงมารผลาญทำลายเกราะทองตนหนึ่งประจำการอยู่ มันยืนนิ่งเงียบราวกับรูปปั้นอยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่ง ทันใดนั้นเขาก็ลืมตาขึ้นมองไปยังบริเวณไกลออกไป ก็เห็น ‘อ๋อง’ ทั้งหกที่มาถึง
“ท่านอ๋องขอรับ” ฝูงมารผลาญทำลายเกราะทองผู้นี้ทะยานไปในทันใดแล้วเอ่ยทักทายอย่างเคารพ
พวกมันมีชีวิตขึ้นมาก็เพื่อการทำลายล้าง
ไม่ว่าจะเป็นระดับเกราะสีเทาที่เป็นระดับต่ำที่สุด หรือว่าแกร่งกล้าอย่างระดับเกราะทอง ต่างก็มีความกระหายในการสังหารอย่างแข็งแกร่งเป็นที่สุด พูดได้เพียงว่าเมื่อเทียบกันแล้ว ‘ระดับเกราะทอง’ มีพลังควบคุมที่ดีกว่าอยู่พอสมควร แต่ก็ยังอาจทำการสังหารครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างห้ามไม่อยู่
มีเพียง…การบรรลุจุดคอขวดแห่งชีวิตที่มีมาแต่กำเนิดได้อย่างแท้จริง ทลายกรงขังไปถึงระดับเทพจักรวาลได้ จึงจะสามารถกำจัดการควบคุมความกระหายอยากได้ และที่ระดับขั้นนี้ก็ถูกฝูงมารผลาญทำลายจำนวนนับไม่ถ้วนขนานนามว่า…อ๋อง!
“อืม”
แต่เหล่า ‘อ๋อง’ ทั้งหกกลับมาถึงเบื้องหน้าต้นไม้โบราณแห่งห้วงอากาศ
ภายในรังทั้งหมดรวมตัวกันเป็นต้นไม้โบราณแห่งห้วงอากาศต้นหนึ่ง เป็นถึงรังของฝูงมารผลาญทำลายระดับสูงที่สุด ‘ต้นไม้โบราณแห่งห้วงอากาศ’ นี้ก็ประณีตงดงามเป็นพิเศษ กิ่งก้านสาขาแต่ละกิ่งล้วนงามระยับจับตา กิ่งก้านทุกกิ่งล้วนประกอบด้วยมิติจำนวนนับไม่ถ้วน ระดับความลึกลับที่เป็นส่วนประกอบของมิตินั้น ต่อให้เป็นบรรพชนห้วงอากาศและจักรพรรดิเก้าเมฆามา ต่างก็ต้องรู้สึกตกตะลึงด้วยกันทั้งสิ้น
อ๋องทั้งหกล้วนเงยหน้าขึ้นมอง
บนต้นไม้โบราณแห่งห้วงอากาศก็มีไข่สีทองอยู่เก้าฟอง พวกมันมีบางส่วนที่อยู่บนลำต้นของต้นไม้โบราณ มีบางส่วนที่เจริญอยู่บนต้นไม้ มีทั้งเล็กมีทั้งใหญ่ ไข่สีทองทั้งเก้าใบล้วนมีรูปร่างต่างๆ กัน มีไข่สีทองที่พื้นผิวมีเปลวเพลิงกำลังลุกโชนอยู่ มีฟองที่มีไอหมอกสีม่วงปรากฏออกมาเป็นครั้งคราว บางเวลาก็ทะลุผ่านเข้าไปในไข่
และฟองที่เล็กที่สุดก็ตั้งอยู่ที่บริเวณกึ่งกลางลำต้นของต้นไม้โบราณแห่งห้วงอากาศ ‘ไข่สีทอง’ ฟองเล็กที่สุดนี้กลับค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นกึ่งโปร่งแสงอยู่เป็นระยะๆ จนกระทั่งในที่สุดก็หายวับไปอย่างสมบูรณ์
หายไปอย่างไร้ร่องรอย
แม้กระทั่ง ‘อ๋อง’ ทั้งหกที่อยู่ที่นั่น ฝีมือของแต่ละคนต่างก็ร้ายกาจเป็นที่สุด ต่างก็ยังไม่สามารถค้นหาร่องรอยของไข่สีทองได้พบเลย
“นี่…นี่มัน…”
“ไร้เงาหรือ”
“นี่คือพรสวรรค์ไร้เงาอย่างนั้นหรือ”
หญิงสาวในชุดเกราะขาวราวหิมะแย้มยิ้ม ส่วนอีกห้าคนนั้นกลับทั้งตื่นเต้นทั้งดีใจ
ฝูงมารผลาญทำลายกับผู้บำเพ็ญนั้นไม่เหมือนกัน เหล่าผู้บำเพ็ญนั้นจำเป็นต้องเดินอย่างช้าๆ ทีละก้าวจากระดับต่ำที่สุด หรือแม้กระทั่งสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศ สิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศที่แข็งแกร่งที่สุดเพิ่งถือกำเนิดขึ้นมาก็เป็นเพียงเทพอากาศขั้นกำเนิดเท่านั้น
แต่ทว่าฝูงมารผลาญทำลาย ถึงแม้ว่าจะเป็นระดับเกราะสีเทาที่เป็นระดับต่ำที่สุด นั่นก็คือระดับชั้นที่หนึ่งถึงชั้นที่สามของเจดีย์ดาว สามารถเทียบได้กับขั้นรวมเป็นหนึ่ง ระดับเกราะทองที่เป็นระดับสูงที่สุด…ก็คือชั้นที่เจ็ดไปจนถึงระดับชั้นที่เก้าของเจดีย์ดาว นี่ก็ไม่ต้องสงสัยเลยแม้แต่น้อยว่าเป็นระดับยักษ์ใหญ่ขั้นอลวน พอพวกเขาเกิดและเจริญเติบโตขึ้นมาก็มีพลังยุทธ์เช่นนี้แล้ว
พลังยุทธ์ของพวกเขามาจากไหน ก็เป็นพรสวรรค์ล้วนๆ!
พวกเขามีพรสวรรค์หลากหลายชนิด พรสวรรค์แต่ละชนิดนั้นมีบางอย่างที่น่าอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง แต่ก็มีจุดที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง… พวกเขาต่างก็ได้รับผลกระทบจากความกระหายในการสังหาร! ไม่ทำลายระดับขั้นแห่งชีวิต เหยียบย่างเข้าสู่เทพจักรวาล ก็จะถูกความกระหายในการสังหารควบคุมไปตลอดกาล
แต่จนกระทั่งถึงตอนนี้ในบรรดาพรสวรรค์ที่ปรากฏของฝูงมารผลาญทำลาย… ยังไม่มีพรสวรรค์อันล้ำเลิศเป็นที่สุดอย่าง ‘การส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้น’ ทั้งยังไม่มี ‘การพยากรณ์อนาคต’ หรือ ‘การเปลี่ยนแปลงอดีต’ อยู่เลย
แต่มีพรสวรรค์อยู่ชนิดหนึ่งซึ่งยังไม่เคยเกิดกับผู้บำเพ็ญมาก่อน แต่กลับเกิดในฝูงมารผลาญทำลาย
ซึ่งก็คือ ‘พรสวรรค์ไร้เงา’
พรสวรรค์ไร้เงา…คือการที่สามารถเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับอากาศได้อย่างแท้จริง นี่ก็เหมือนกันกับแก่นของ ‘ทรงกลมหมอกดำ’ ในขณะนี้มันก็คือส่วนที่เป็นแก่นสำคัญที่สุดของอากาศอันสับสนอลหม่าน ภายใต้สถานการณ์ปกติแล้วย่อมไม่มีทางผลาญทำลายร่างกายของพวกเขาได้เลย! ถ้าหากพวกเขาซ่อนตัวก็ยากที่จะหาร่องรอยของพวกเขาได้พบ
ถ้าหากตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่
ก็จะเข้าใจว่านี่ก็คือภาพวาดภาพที่สองในสี่ภาพวาดของจักรพรรดิเก้าเมฆา ‘การกลายเป็นอากาศธาตุ’ ที่สุดยอดสมบูรณ์แบบที่สุดตามหลักการ
แต่ในความเป็นจริงแล้วสถานการณ์เช่นนี้ก็มิได้ไร้เทียมทาน
ถ้าหากทำให้ภาพวาดภาพที่สาม ‘การควบคุมอากาศ’ ไปถึงจุดสูงสุด หรือแม้กระทั่งทลายกรงขัง สัมผัสโลกระดับขั้นที่สูงขึ้นอีก ก็จะสามารถทำลาย ‘การกลายเป็นอากาศธาตุ’ ได้
จักรพรรดิเก้าเมฆาในตอนนั้นก็ไปถึงจุดสูงสุดของการกลายเป็นอากาศธาตุ การควบคุมอากาศก็ไปถึงจุดสูงสุดเช่นกัน แม้กระทั่งภาพวาดภาพที่สี่เขายังมิอาจทำได้สำเร็จ จอมเทพศักดิ์สิทธิ์คิดจะสังหารมนุษย์น้ำแข็งครั้งแล้วครั้งเล่าก็ยังล้มเหลว ใช้ ‘พลังต้นกำเนิดจักรวาล’ ก็เคยใช้มาแล้ว ล้วนพ่ายแพ้ทั้งสิ้น หรือในการต่อสู้ครั้งสุดท้าย คราวนั้นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็บ้าคลั่งอย่างแท้จริงแล้ว ต่อตีเสียจนโลกทิพย์โบราณดั้งเดิมแตกสลาย คราวนั้นจักรพรรดิเก้าเมฆาจึงถูกโจมตีอย่างสาหัสจนถึงแก่ชีวิต… อาศัยฝีมือด้านห้วงอากาศอันล้ำเลิศ เขาก็หลบหนีไปเสียแล้ว
แม้กระทั่งขุมทรัพย์ที่ทิ้งเอาไว้ คูหาที่ทิ้งเอาไว้ก็ยังไม่มีผู้ใดสามารถช่วงชิงไปได้เลย
การส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังไม่สามารถเข้าออกได้! จะเห็นได้ถึงความร้ายกาจของจักรพรรดิเก้าเมฆา แต่ภายใต้การโจมตีอันสาหัสของตัวจักรพรรดิเก้าเมฆานั้น ก็ได้แต่สิ้นชีพไปในท้ายที่สุด
แต่ในความเป็นจริงแล้ว…
หากการกลายเป็นอากาศธาตุไปถึงจุดสูงสุดแล้ว การคิดจะทำลายนั้นก็เป็นเรื่องยากเย็นยิ่ง
จักรพรรดิเก้าเมฆาสิ้นชีพไปแล้ว! ‘บรรพชนห้วงอากาศ’ ผู้ซึ่งเดินบนวิถีอากาศที่แตกต่างกัน ถึงแม้ว่าการกลายเป็นอากาศธาตุของร่างกายจะร้ายกาจมากเช่นกัน แต่ทางด้านการควบคุมอากาศนั้นเมื่อเทียบกันแล้วก็อ่อนแอกว่า ‘ทางด้านจุลภาค’ นั้นไม่เพียงพอ แม้กระทั่งการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นก็ยังไม่สามารถทำได้ สิ่งที่พวกเขาทำคือ ‘การเคลื่อนย้ายผ่านมิติระยะทางไกล’ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการหลอมแปรห้วงอากาศหรือการทลายกรงขังเลย
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็อาจจะสามารถทำลายได้ แต่ว่าเขาย่อมไม่เข้าร่วมสงครามอยู่แล้ว
ผ่านไปชั่วครู่…
ไข่สีทองขนาดเล็กจิ๋วนั้นก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้น จากกึ่งโปร่งแสงกลายเป็นแจ่มชัด
“นี่คือไข่ฟองสุดท้ายที่ปรากฏขึ้นในชุดแรก” หญิงสาวในชุดเกราะขาวราวหิมะพูด “เพื่อการฟูมฟักไข่ต้องใช้ระยะเวลายาวนาน ปรากฏว่าไข่ฟองอื่นอีกแปดฟองล้วนต่างก็เจริญอย่างเชื่องช้ายิ่ง แต่ตอนนี้ไข่ก็ก่อร่างขึ้นมาแล้ว นั่นก็รวดเร็วมากแล้ว ประมาณห้าพันล้านปีน่าจะเพียงพอ เมื่อถึงเวลานั้นพวกเราฝูงมารผลาญทำลายก็จะมีผู้ที่มีพรสวรรค์ไร้เงาคนที่สองถือกำเนิดขึ้นแล้ว”
……………………………………..
ตอนที่ 16 ปาหลงกัณฑ์เก้า
โดย
Ink Stone_Fantasy
การเริ่มต้นจากศูนย์นั้นยากที่สุด เมื่อสำเร็จแล้วก็บ่มเพาะเป็นไข่ ตั้งแต่เล็กจนโต ไปจนถึงกะเทาะเปลือกออกมานั้นง่ายกว่ามากทีเดียว
“มีพรสวรรค์ไร้เงาสองคน พวกเราก็สบายขึ้นมากทีเดียว”
“ก่อนหน้านี้ส่ง ‘อ๋อง’ ออกไปสำเร็จหลายครั้งก็ล้วนแต่อาศัยแม่ทัพฝูเชียนทั้งสิ้น ก่อนหน้านี้ผู้ที่มีพรสวรรค์ไร้เงาก็มีแม่ทัพฝูเชียนเพียงคนเดียว หากแม่ทัพฝูเชียนพ่ายแพ้และสิ้นใจไป พวกเราก็แย่แล้ว บัดนี้มีถึงสองคน ฮ่าฮ่า โอกาสที่คนหนึ่งจะสิ้นใจไปก็ต่ำมากอยู่แล้ว สองคนก็ยิ่งไม่จำเป็นต้องกังวลเลย” ‘อ๋อง’ ทั้งหกในที่นั้นล้วนมองดูไข่ฟองเล็กจิ๋วที่ค่อยๆ กลายเป็นโปร่งใสขึ้นมาด้วยความยินดีปรีดา
แม่ทัพฝูเชียนก็มีพรสวรรค์ไร้เงา
การตรวจตราอากาศที่แดนนอกของผู้บำเพ็ญไปจนถึงการตรวจตราแดนใน…สำหรับแม่ทัพฝูเชียนล้วนไร้ผลทั้งสิ้น เขาสามารถไปถึง ‘ป้อมปราการอากาศ’ ชั้นสุดท้ายได้อย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง
‘ป้อมปราการอากาศ’ ชั้นนั้นเป็นการป้องกันชั้นสุดท้าย ทางฝ่ายผู้บำเพ็ญคิดหาวิธีมากมายเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับป้อมปราการอากาศ ต่อให้เหล่าเทพจักรวาลโจมตีอย่างบ้าคลั่ง จะโจมตีให้แตกก็ยังต้องใช้เวลาค่อนข้างนาน แม่ทัพฝูเชียนอาศัยพรสวรรค์ก็สามารถแทรกซึมเข้าไปในป้อมปราการอากาศได้จริงๆ แต่ระหว่างการแทรกซึมเข้าไปก็จะมีระลอกคลื่นเล็กละเอียดอยู่บ้าง
เห็นได้ชัดว่าในบรรดาวิธีการต่างๆ ของป้อมปราการอากาศ ก็ยังคงมีบางส่วนที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อแม่ทัพฝูเชียนอยู่เล็กน้อย
หาก ‘ระลอกคลื่นเล็กละเอียด’ พรรค์นี้ปรากฏขึ้นในยามปกติแล้ว ก็จะทำให้ผู้บำเพ็ญตื่นตระหนกได้อย่างแน่นอน! แม้ ‘พรสวรรค์ไร้เงา’ จะร้ายกาจมาก แต่เหล่าเทพจักรวาลทางฝ่ายผู้บำเพ็ญทั้งหลายสามารถต่อสู้กับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ได้จนถึงบัดนี้ เมื่อพบวิธีการของฝูงมารผลาญทำลายแล้ว จะลงมือกับมารตนหนึ่งซึ่งมีพรสวรรค์แต่มีพลังเพียงแค่ ‘ขั้นอลวน’ ก็คงจะพอมีวิธีอยู่
ทางฝ่ายฝูงมารผลาญทำลายนั้นแพ้ไม่ได้!
ก่อนหน้านี้ทุกครั้งล้วนบุกสังหารไปจนถึงป้อมปราการอากาศโดยไม่เสียดายอะไรทั้งสิ้น ภายใต้ระลอกคลื่นอันบ้าคลั่ง ระลอกคลื่นเล็กละเอียดที่เล็ดรอดออกไปได้ปะปนอยู่ในนั้น จึงย่อมยากจะพบได้
“รอให้เจ้าเด็กน้อยนี่กำเนิดขึ้นมาเสียก่อน หลังจากพลังเติบโตและมั่นคงแล้วก็จะสามารถจุดชนวนสงครามครั้งต่อไปได้” บุรุษเกราะม่วงที่มีปีกกล่าวขึ้นว่า “ในบรรดาอ๋องยุคปัจจุบันนี้ มีแปดท่านที่เคยออกไป ข้าและอีกสามท่านล้วนไม่เคยออกไป ข้าและคนอื่นๆ ก็ต้องออกไปดูโลกผู้บำเพ็ญและซึมซับวิธีการของระบบผู้บำเพ็ญบ้าง บางทีพวกเราอาจจะบรรลุเช่นเดียวกับ ‘จักรพรรดิจวิน’ ก็เป็นได้”
“ขอรับ”
“พวกเราควรออกไปได้แล้ว หากอยู่แต่ในทางเดินโลกาพิศวงตลอดเวลา เคล็ดวิชาบางชนิดที่พวกเขามอบให้ และได้รับเพียงแค่เคล็ดวิชาบางอย่างที่พวกเขาส่งมาเท่านั้น มิได้ไปสอดส่องดูโลกของผู้บำเพ็ญ เมื่อใดจะบรรลุได้กันเล่า”
“มีพรสวรรค์ไร้เงาสองคน เมื่อออกไปก็ง่ายขึ้นมากแล้ว”
จวบจนบัดนี้ ทางฝั่งฝูงมารผลาญทำลายนั้นมี ‘อ๋อง’ ถือกำเนิดขึ้นมาทั้งหมดสิบห้าท่าน ในช่วงแรกนั้น ในภาพรวมพวกเขาค่อนข้างอ่อนแอ ล้มหายตายจากไปอย่างต่อเนื่อง มี ‘อ๋อง’ ที่สู้จนตัวตายไปทั้งหมดสี่ท่านด้วยกัน เมื่อค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้น พวกเขาก็ร่วมมือกันขึ้นมา ทางฝ่ายผู้บำเพ็ญคิดจะสังหาร ‘อ๋อง’ อีกสักท่านก็ยากแล้ว
‘อ๋อง’ สิบเอ็ดท่าน
บัดนี้ห้าท่านอยู่ภายนอก ปลอมแปลงตัวตนท่องไปตามบริเวณต่างๆ ของโลกภายนอก ถึงขั้นไปศึกษาเคล็ดการบำเพ็ญต่างๆ ด้วย
อีกหกท่านเหลือไว้เพื่อรักษาการทางเดินโลกาพิศวง! ซึ่งพวกที่รักษาการทางเดินโลกาพิศวงเหล่านี้ต้องการพละกำลังที่ค่อนข้างจะแข็งแกร่ง
หาก ‘อ๋อง’ สักคนจะออกไป ‘อ๋อง’ ที่อยู่ภายนอกต้องกลับมาเสริมกำลังเสียก่อน หรือไม่ก็ต้องมี ‘อ๋อง’ ใหม่ถือกำเนิดขึ้น เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยของทางเดินโลกาพิศวง และนี่คือสิ่งที่พวกเขาตกลงร่วมกัน แม้พวกเขาจะเชื่อว่าฝูงมารผลาญทำลายที่ถูกความปรารถนาที่จะเข่นฆ่าครอบงำเหล่านั้นเป็นพวกโง่เง่า…แต่ ‘อ๋อง’ ก็ถือกำเนิดขึ้นในหมู่พวกเขา
ในฐานะอ๋อง พวกเขาปรารถนาในสิ่งที่แตกต่างกับพวกโง่เง่าเหล่านั้น
พวกเขาทำลายการควบคุม ปกครองตนเอง ด้วยอยากจะแข็งแกร่งขึ้น! แข็งแกร่งขึ้น! จนกระทั่งเป็นสิ่งมีชีวิตระดับสูงสุดของอากาศอันสับสนอลหม่านนี้! แม้ในฐานะอ๋องจะมีการเข่นฆ่าบ้าง แต่การเข่นฆ่าของพวกเขาก็มิได้ถูก ‘ความปรารถนาที่จะเข่นฆ่า’ ชักจูงแต่อย่างใด หากแต่เพื่อ ‘พลังงานพิเศษ’ ที่ทำให้ตนแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
“นับแต่นี้เป็นต้นไป ข้าและคนอื่นๆ จะประจำการอยู่ที่รังเกราะทองที่แปด ก่อนหน้าที่เจ้าเด็กรุ่นใหม่เหล่านี้จะถือกำเนิดขึ้น จะต้องรับรองความปลอดภัยของรังนี้ให้จงได้”
“ถูกต้อง”
“อย่าได้เหมือนก่อนหน้านี้ที่รังเกราะทั้งสองถูกทำลายไปเป็นอันขาด”
‘อ๋อง’ ทั้งหกต่างก็ตัดสินใจพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
หากมี ‘อ๋อง’ เพียงแค่คนเดียวที่รักษาการอยู่ เมื่อเผชิญหน้ากับร่างจริงของเทพจักรวาลทั้งกลุ่มของทางฝ่ายผู้บำเพ็ญที่บุกสังหารเข้ามาก็จะสกัดกั้นเอาไว้มิได้! แต่เมื่อพวกเขาทั้งหกร่วมมือกัน แม้มิอาจคว้าชัย แต่ก็มั่นใจมากว่าจะสามารถสกัดเอาไว้ได้
……
พวกเขาได้ติดต่อกับอ๋องทั้งห้าซึ่งอยู่ในโลกภายนอกแล้วปรึกษาหารือกัน
ไม่นานนักก็ตกลงกันได้แล้ว
เพราะถึงอย่างไรก็บำเพ็ญอยู่ที่โลกภายนอกมานานแล้ว มีเพียงตอนแรกเท่านั้นที่ได้เก็บเกี่ยวสิ่งต่างๆ มากมายยิ่งนัก ยิ่งนานไปก็ยิ่งยกระดับยากขึ้นเรื่อยๆ จะกลับไปยังทางเดินโลกาพิศวงบ้างเป็นบางครั้ง พวกเขาก็ยินดี
******
เวลาล่วงเลยไป
คนที่สองของฝูงมารผลาญทำลายซึ่งมี ‘พรสวรรค์ไร้เงา’ ค่อยๆ ถูกบ่มเพาะขึ้นโดยมี ‘อ๋อง’ ทั้งหกคอยคุ้มกัน
สงครามเข่นฆ่าระหว่างฝ่ายผู้บำเพ็ญและฝูงมารผลาญทำลายเหมือนที่แล้วมา!
ฝูงมารผลาญทำลายก็มาท้าทายอยู่บ่อยครั้ง แม้จะก่อให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายก็ไม่แยแส เพราะเป้าหมายของพวกเขาก็คือคิดจะยกระดับพลัง ส่วนเป้าหมายสุดท้ายก็คือทำลายการครอบงำของความปรารถนาที่จะเข่นฆ่าแล้วสำเร็จเป็น ‘อ๋อง’ ยิ่งเป็นฝูงมารผลาญทำลายที่แข็งแกร่งมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งรำคาญการครอบงำมากขึ้นเท่านั้น เพียงแต่ความปรารถนานั้นน่าหวาดหวั่นเกินไป ต่อให้เป็นฝูงมารผลาญทำลายเกราะทองระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เก้าซึ่งแข็งแกร่งที่สุด ก็แค่ควบคุมความปรารถนาได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น บางครั้งก็ยังต้องระบายออกมาอยู่ดี
ต่อสู้ เข่นฆ่า…
พวกเขาก่อให้เกิดการบาดเจ็บล้มตาย แต่ส่วนใหญ่ก็ค่อยๆ ยกระดับขึ้น
……
เพียงพริบตาเดียว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มายังปราการอากาศเพื่อทำสงครามได้เกือบหมื่นล้านปีแล้ว
วิธีการเขตลวงของเขานั้นร้ายกาจมากอย่างแท้จริง ภายในชั่วระยะเวลาเกือบหมื่นล้านปีนี้ มี ‘ฝูงมารผลาญทำลายเกราะทอง’ ถึงห้าตนและฝูงมารผลาญทำลายเกราะโลหิตนับร้อยที่ตายไปด้วยน้ำมือของตน เนื่องจากฝูงมารผลาญทำลายที่เข้าไปต่อสู้ ณ แดนใน…ต่อให้เป็นระดับเกราะทองก็ใช่ว่าจะแข็งแกร่งเหมือนที่ตงป๋อเสวี่ยอิงพบในครั้งแรกไปเสียหมด
ฝูงมารผลาญทำลายเกราะทองสามตนที่ตงป๋อเสวี่ยอิงพบในครั้งแรกนั้น ตนแรกเป็นระดับชั้นที่เก้า อีกสองตนเป็นชั้นที่แปดระดับยอด ซึ่งนี่ก็นับว่าเป็นการรวมพลังที่แข็งแกร่งมากแล้ว
ตามปกติแล้วมิได้แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ และอาจจะพบฝูงมารผลาญทำลายเกราะทองระดับชั้นที่เจ็ดหรือชั้นที่แปดบ้าง
เขตลวงของตงป๋อเสวี่ยอิงทำให้ชั้นที่แปดระดับยอดได้รับผลกระทบอยู่บ้าง ดังนั้นจึงได้สังหารฝูงมารผลาญทำลายเกราะทองไปถึงห้าตนต่อเนื่องกัน ขณะเดียวกับที่ฝูงมารผลาญทำลายเกราะทองสิ้นใจไปนั้น ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฝูงมารผลาญทำลายเกราะโลหิตแล้ว แม้ทางฝ่าย ‘ฝูงมารผลาญทำลาย’ จะระมัดระวังวิธีการเขตลวงของตงป๋อเสวี่ยอิงมากยิ่งขึ้น แต่ต่อให้ระวังกว่านี้ พวกเขาก็ยังคงต้องเคี่ยวกรำตนเองอยู่ดี พวกเขาสามารถทนรับการเสียสละเล็กน้อยได้บ้าง อย่างมากก็แค่ระมัดระวังมากขึ้นเท่านั้น โดยทั่วไปก็แค่ร่วมมือกับฝูงมารผลาญทำลายที่ด้านดวงจิตค่อนข้างแข็งแกร่งก็เท่านั้นเอง
เขาสังหารฝูงมารผลาญทำลายไปมากมายถึงเพียงนี้…
ผลของการดูดซับพลังงานพิเศษนั้นเพียงพอจะเทียบได้กับศิลาปฐมโลกาสองหมื่นก้อนเลยทีเดียว
น่าเสียดายที่พลังงานพิเศษนั้นมิอาจขายได้
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังคงพึงพอใจนัก เขารู้สึกว่าหากตนบำเพ็ญให้นานอีกหน่อย ต้องสามารถล่าเหยื่อได้มากกว่านี้อย่างแน่นอน! อีกทั้งเมื่อเวลาผ่านไป ในฐานะผู้แกร่งกล้าทางด้านวิถีโลกเทียมที่สุดเท่าที่เคยมีมา และเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ล้ำเลิศอย่างยิ่งในด้านนี้ ระหว่างที่การรับรู้ ‘วิถีโลกเทียม’ ของตงป๋อเสวี่ยอิงค่อยๆ ยกระดับขึ้นนั้น…ก็ได้แก้ไข ‘โครงสร้างโลกเขตลวง’ ของเคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดชั้นที่เก้าของตนอยู่หลายครั้ง
เนื่องจากเคล็ดวิชาสืบทอดของปีศาจชาดนั้นถูกสร้างขึ้นมา ด้านหนึ่งคือการยกระดับวิญญาณ ส่วนอีกด้านหนึ่งคือเพื่อผสานกับเคล็ดวิชาสืบทอดอีกสามวิชาได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ลำพังแค่โลกเขตลวงของเคล็ดวิชาสืบทอดก็มิได้นับว่าสมบูรณ์แบบแต่อย่างใด เป็นเพียงแค่ ‘พลังระดับเจดีย์ดาวชั้นที่แปด’ เท่านั้น
ต้องรู้ไว้ว่า…‘สิบสามกระบี่ผลาญโลกา’ กระบี่ที่เก้า ก็คือกระบี่สุดท้ายของขั้นอลวน แต่แน่นอนว่าระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เก้า กระบี่นี้ได้แฝงวิถีใหญ่ของจักรวาลเอาไว้
อันที่จริงแล้ว
วิถีโลกเทียมก็ยกระดับขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยพัฒนาไปทาง ‘จักรวาลโลกเทียม’ การยกระดับแต่ละก้าวก็ยากมาก ตงป๋อเสวี่ยอิงแก้ไขโลกเขตลวงของ ‘เคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาด’ อยู่หลายครั้ง อานุภาพของเขตลวงก็ยกระดับขึ้นบ้างจริงๆ แต่ก็มิได้นับว่าเปลี่ยนแปลงจากแก่นแท้แต่อย่างใด
“จะอาศัยวิถีโลกเทียมเพียงอย่างเดียวแล้วเข้าถึงกระบวนท่าระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เก้านั้นยากเกินไปแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจในจุดนี้ดี “เมื่อเทียบกันแล้ว การคิดค้นบุปผาผลาญทำลายกระบวนที่สามขึ้นมานั้นอาจจะง่ายกว่าสักหน่อย”
ภายในห้องเงียบ
ผิวหนังทั่วกายของตงป๋อเสวี่ยอิงมีเกราะสีดำปรากฏขึ้นมา เกราะสีดำที่ปรากฏขึ้นจากฝ่ามือคู่หนึ่งก็มีแสงหลากสีสัน กลิ่นอายเข่นฆ่าทั้งร่างเก็บงำอยู่ในกาย เห็นได้ชัดว่าเมื่อต่อสู้ฟันฝ่าในปราการอากาศมากว่าหมื่นล้านปี ในที่สุดก็ได้ฝึก ‘เคล็ดวิชาสืบทอดปาหลง’ ได้สำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ บรรลุถึงระดับกัณฑ์เก้า
ระดับขั้นวิถีโลกเทียมและวิถีเข่นฆ่าล้วนแต่เพียงพอจะคิดค้น ‘บุปผาผลาญทำลายกระบวนที่สาม’ ขึ้นมาได้
แต่จะคิดค้นให้สำเร็จน่ะหรือ กลับยากเสียยิ่งกว่ายาก
ส่วนกระบวนท่าของวิถีโลกเทียมชั้นที่เก้าและ ‘กระบี่ที่เก้าผลาญโลกา’ ของวิถีเข่นฆ่าก็ยิ่งยากขึ้นไปอีก อันที่จริงเมื่อดูจากแก่นแท้แล้ว ความยากของพวกมันกับบุปผาผลาญทำลายกระบวนที่สามนั้นใกล้เคียงกัน เนื่องจากตงป๋อเสวี่ยอิงมีประสบการณ์คิดค้นบุปผาผลาญทำลายชั้นที่หนึ่งตั้งแต่ตอนที่เป็นขั้นรวมเป็นหนึ่งและได้สัมผัสถึงคำว่า ‘ครบสมบูรณ์อย่างต่อเนื่อง’ บวกกับที่มี ‘กระจกศิลา’ เหนี่ยวนำ ดังนั้นความยากในการคิดค้นบุปผาผลาญทำลายกระบวนที่สามนั้นก็ต่ำกว่ามากทีเดียว
……………………………………..
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น