Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 31 ตอนที่ 12-14
ตอนที่ 12 ทางเดินโลกาพิศวง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ภายในปราการอากาศมีคูหาขนาดเล็กอยู่หลายแห่ง ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ถูกจัดสรรให้แห่งหนึ่ง ซึ่งกินอาณาบริเวณเพียงราวๆ หนึ่งลี้ สำหรับขั้นอลวนแล้วคูหาขนาดเล็กเช่นนี้นับว่าพบได้ยากยิ่งแล้ว แต่ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นด่านหน้าสุดที่ต้านทานฝูงมารผลาญทำลาย อย่างเช่นบรรดาขั้นรวมเป็นหนึ่งเหล่านั้นก็ยิ่งถูกจัดสรรให้เพียงแค่ลานเล็กๆ สำหรับอยู่อาศัยชั่วคราวเท่านั้นเอง
ภายในห้องเงียบในคูหาขนาดเล็ก
ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์สีขาวเนื้อหนานั่งขัดสมาธิแล้วหลับตาลงเริ่มต้นสอดแนมผ่านโพรง ‘ทรงกลมหมอกดำ’ ที่เล็กที่สุดในห้วงอากาศ ในขณะเดียวกันกับที่สอดแนมโลกระดับขั้นที่สูงขึ้นอีกแห่งนั้น ทันใดนั้นก็เห็นโพรงอื่นๆ อีกจำนวนนับไม่ถ้วนที่เชื่อมต่อกับที่นี่ ตงป๋อเสวี่ยอิงเห็นอาณาเขตจำนวนนับไม่ถ้วนผ่านโพรงเหล่านั้น ยิ่งเป็นอาณาเขตที่อยู่ห่างจากตนมาก โพรงก็ยิ่งอยู่ห่างจากตนมาก ก็ยิ่งมองเห็นได้อย่างเลือนรางยิ่งขึ้น
“ทางเดินโลกาพิศวง” ภายใต้การสอดแนมของตงป๋อเสวี่ยอิง มองดู ‘ป้อมปราการอากาศแห่งสุดท้าย’ ด้านหน้าปราการอากาศ ทั้งยังมองเห็นอาณาบริเวณภายใน มองเห็นอาณาบริเวณภายนอก และ ‘ทางเดินโลกาพิศวง’ ที่ฟูมฟักฝูงมารผลาญทำลายจำนวนนับไม่ถ้วน
“แปลกประหลาดนัก”
ในอดีตตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ห่างจากชายขอบของห้วงอากาศมากเกินไป ก็ย่อมมองเห็นทางเดินโลกาพิศวงไม่ชัดเจนอยู่แล้ว
ต้องรู้ไว้ว่ายิ่งระยะทางห่างไกล แม้กระทั่งข้อผิดพลาดในการส่งผ่านก็จะยิ่งใหญ่มากขึ้น อย่างเช่นบรรพชนทรายส่งตัวพวกตงป๋อเสวี่ยอิงจากโลกทิพย์กิเลนบูรพาไปยังโลกทิพย์ทะเลสัตตดารา ความเบี่ยงเบนไปจาก ‘วังทวีสูญ’ นั้น จอมมารใช้ทางเชื่อมมิติก็ยังต้องเดินทางเป็นระยะเวลาครึ่งวัน จะเห็นได้ถึงความเบี่ยงเบนอันมากเกินจริง! เหตุผลที่มากเกินจริงถึงเพียงนี้ก็เพราะรับสัมผัสได้อย่างรางเลือนเกินไป
“ปราการอากาศห่างจากทางเดินโลกาพิศวง เมื่อเปรียบเทียบกันก็นับว่าใกล้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถเห็นสายใยบางส่วนได้อย่างรางๆ แล้ว
ทั่วทั้งทางเดินโลกาพิศวง
ภายใต้การสำรวจของเขาก็คล้ายกับซึมซับเข้าสู่ ‘รังผึ้ง’ ขนาดใหญ่มหึมาในขอบเขตของทั้งอากาศอันสับสนอลหม่าน ภายในรังผึ้งมีสายใยจำนวนนับไม่ถ้วนแน่นขนัด สายใยเหล่านี้ซับซ้อนยุ่งเหยิงเหลือเกิน ที่ตนเองสามารถสังเกตได้ก็คือสายใยขนาดใหญ่ ทั้งยังมีสายใยขนาดเล็กจำนวนนับไม่ถ้วน… หากไม่ระวังก็อาจหลงทางอยู่ภายในนั้นได้
“ทางเดินโลกาพิศวงคงจะนับได้ว่าเป็นสถานที่ที่แปลกประหลาดที่สุดในห้วงอากาศแล้ว เทพจักรวาลก็ยังต้องหลงทางเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงค่อนข้างทอดถอนใจอยู่บ้าง
“ออกเดินทาง”
จิตใจวูบไหว ด้านข้างเริ่มรวมตัวกันขึ้นมาเป็นคนชุดดำผู้หนึ่ง ตลอดร่างห่อหุ้มเอาไว้ภายใต้อาภรณ์สีดำ ใบหน้าก็เลือนรางเป็นอย่างยิ่ง ถึงขนาดที่บนหน้าผากก็มีเขาเดี่ยวงอกออกมาอันหนึ่ง! มุ่งหน้าไปสู่ ‘ทางเดินโลกาพิศวง’ เข้าสู่การสำรวจ เขาก็จำเป็นต้องระวัง เรื่องที่ร่างแปรของตนสามารถสำแดงการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นได้นั้นต้องเป็นความลับ แน่นอนว่าต่อให้มีใครสังเกตการณ์ดูแล้วเห็นว่าบริเวณรอบกายเขามีห้วงมิติอันบิดเบี้ยวปรากฏอยู่ เขาเข้าไปในนั้นแล้วหายลับไป
เกรงว่าอาจจะคิดว่าเป็นร่างจริงเป็นเส้นทางส่งถ่ายเส้นหนึ่งเชื่อมต่อกับร่างแปร
แต่ว่า…
ตนเองก็ซ่อนเร้นเก่ง สิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นกังวลก็คือฝูงมารผลาญทำลาย! ถ้าหากตนถูกฝูงมารผลาญทำลายค้นพบหลายครั้ง ภายในฝูงมารผลาญทำลายแลกเปลี่ยนกันแล้วพบว่า ‘ตงป๋อเสวี่ยอิง’ ผู้นี้ ไปปรากฏตัวยังสถานที่สำคัญหลายแห่ง เกรงว่าคงจะมีความวุ่นวายอยู่บ้าง
แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับไม่กล้าดูเบาสติปัญญาของฝูงมารผลาญทำลายเลยแม้แต่น้อย จะต้องระวังแล้วระวังอีก เส้นทางการบำเพ็ญควรจะต้องระมัดระวัง ดังนั้นเมื่อเขาเข้าสู่ทางเดินโลกาพิศวง ก็ต้องไม่ใช้รูปลักษณ์ของตนเอง แม้กระทั่งกลิ่นอายก็ยังต้องเปลี่ยนแปลง เป็นถึงผู้ที่มีระดับขั้นวิถีโลกเทียมสูงส่งที่สุด การเปลี่ยนแปลงกลิ่นอายเพียงเล็กน้อยช่างเป็นเรื่องที่ง่ายดายเหลือเกิน สำหรับเขาแล้ว ‘มายาแปรเปลี่ยนเป็นความจริง’ นั้นช่างง่ายดายเป็นอย่างยิ่ง
พรึ่บ
ห้วงอากาศด้านข้างบิดเบี้ยว ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ดำก้าวยาวๆ เข้าไปข้างในแล้วหายลับไปไม่เห็นอีก
……
ทางเดินโลกาพิศวง
สถานที่ที่แปลกประหลาดที่สุดในห้วงอากาศ สถานที่ที่ฟูมฟักฝูงมารผลาญทำลายออกมาในพื้นที่เดียว
“พรึ่บ” ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ดำเดินออกมาจากตรงกลางห้วงมิติอันบิดเบี้ยว
“หืม”
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปรอบๆ แล้วก็มีความตะลึงงันอยู่บ้าง “ที่นี่…”
นี่คือห้วงมิติที่มีพื้นที่โดยประมาณหลายพันล้านลี้ ห้วงมิติราวกับผลผลิตอันบิดเบี้ยว มีผนังชั้นแล้วชั้นเล่า แม้กระทั่งสถานที่มากมายในมิติภายในต่างก็มีการม้วนพับและบิดเบี้ยว แปลกประหลาดยากคาดเดาเป็นอย่างยิ่ง ยามที่เดินทาง หากไม่ระวังก็จะข้ามไปหลายหมื่นลี้ แน่นอนว่าก็มีสถานที่ที่สามารถทำลายสิ่งมีชีวิตได้โดยตรง
“ถึงกับเป็นห้วงมิติที่ปิดผนึกสนิทโดยสมบูรณ์เลยทีเดียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะ หากเป็นผู้อื่น การส่งถ่ายในครั้งนี้ก็คือความล้มเหลวแล้ว! เพราะมิติปิดผนึกนั้นย่อมไม่สามารถออกไปได้ ผู้อื่นโดยทั่วไปต่างก็ให้ร่างจริงไปส่งถ่ายใหม่อีกครั้ง
“มิติปิดผนึกนี้ดูเหมือนว่าจะยังอยู่ระหว่างการเจริญและเปลี่ยนแปลง” ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของห้วงมิติอย่างรางๆ “นอกจากนี้การบิดเบี้ยวม้วนพับของที่แห่งนี้ยังเสถียรอย่างแท้จริงอีกด้วย”
เปิดโลกทัศน์กว้าง
ถึงแม้ว่าจะเป็นผู้ท่องอากาศขั้นอลวน ทั้งยังศึกษาศาสตร์ลับสี่ภาพวาดของจักรพรรดิเก้าเมฆาไปควบคู่กัน แต่ ‘ทางเดินโลกาพิศวง’ ภายใต้การสัญจรของกฎเกณฑ์สูงสุด ก็ยังทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึง ลำพังแค่การเป็นห้วงมิติปิดผนึกที่ยังพัฒนาอยู่ก็แปลกประหลาดมากแล้ว ทำให้ความเข้าใจต่อห้วงอากาศของตงป๋อเสวี่ยอิงกว้างไกลขึ้นหลายส่วน นี่ก็คือการ ‘เปิดโลกทัศน์กว้าง’
ไม่เห็นกับตาตนเอง เขาก็ไม่กล้าคิดถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างมากมายของห้วงอากาศเลย
“รีบหาทางเดินสักแห่งหนึ่งให้พบโดยเร็วที่สุดดีกว่า” ร่างแปรของตงป๋อเสวี่ยอิงเริ่มต้นสอดแนมผ่านโพรง ‘ทรงกลมหมอกดำ’ ที่เป็นแก่นสำคัญที่สุดของห้วงอากาศในทันที จากนั้นเขาก็ทะลุผ่านโพรงภายในทางเดินโลกาพิศวง สามารถทำได้เพียงดูอาณาบริเวณเล็กๆ โดยรอบได้อย่างแจ่มชัดเท่านั้น ระยะทางยิ่งห่างไกล เขาก็ยิ่ง ‘สอดแนม’ ได้อย่างรางเลือนยิ่งขึ้น
ทางเดินโลกาพิศวง แรงกดดันของกฎเกณฑ์ยังเหนือกว่าโลกทิพย์เสียอีก!
อาณาบริเวณที่สามารถสอดแนมอย่างแจ่มชัดก็เล็กมาก แต่ว่านี่เป็นเพียงห้วงมิติที่มีอาณาบริเวณขนาดไม่กี่พันล้านลี้เท่านั้น เป็นเพียงมุมเล็กๆ มุมหนึ่งที่เขาสามารถสอดแนมได้อย่างแจ่มชัดเท่านั้น
“ตรงนั้นมีทางเดินอยู่แห่งหนึ่ง” ตงป๋อเสวี่ยอิงค้นพบสิ่งที่เขาต้องการตามหาอย่างรวดเร็วขึ้น
ห้วงอากาศบิดเบี้ยว
ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ดำก้าวยาวๆ เข้าไปในนั้น พร้อมกันกับที่ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ก็เป็นบริเวณอีกแห่งหนึ่งที่ค่อนข้างห่างไกล ที่นั่นมีทางเดินมิติหลากสีอันงดงามตระการตาอยู่เส้นหนึ่ง
“ทางเดิน” ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ดำยืนอยู่บนทางเดินมิติแห่งนี้ ความกว้างของทางเดินมิตินั้นไม่เหมือนกัน มีบริเวณที่กว้างหน่อย มีบางบริเวณที่แคบหน่อย โดยทั่วไปก็กว้างหลายร้อยลี้! มันคดเคี้ยวตลอดแนวราวกับทางเดินเส้นหนึ่งตัดผ่านบริเวณจำนวนมากของทางเดินโลกาพิศวง
ผ่านทางเดินโลกาพิศวง จึงสามารถไปข้างหน้าได้อย่างผ่อนคลายมากขึ้น
ร่างแปรสามารถสำแดงการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้น ร้ายกาจสักเพียงใด นี่ก็เพราะภายในของ ‘ทางเดินโลกาพิศวง’ สามารถสอดแนมบริเวณโดยรอบได้อย่างง่ายดาย ความยากของการหารังของฝูงมารผลาญทำลายให้พบนั้นง่ายดายกว่าการเสาะหาร่างแปรเหล่าเทพจักรวาลตามทางเดินไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า ดังนั้นตอนนั้นเหล่าเทพจักรวาลจึงเต็มใจจ่ายในราคาสูงเพื่อเชื้อเชิญจ้าวภูเขาฉื้อเหมย
สวบ…
ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินบนทางเดินมิติ ทุกฝีก้าวต่างก็เคลื่อนที่ในพริบตาเป็นระยะทางสั้นๆ
“ช่างลึกลับเสียจริง โครงสร้างของระเบียงอากาศก็ยิ่งลึกลับเข้าไปอีก” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยชม เปรียบเทียบกับมิติปิดผนึกที่ยังพัฒนาอยู่แห่งนั้น เป็นทางเดินห้วงมิติที่สำคัญที่สุดของทางเดินโลกาพิศวง โครงสร้างซับซ้อนกว่าเป็นพันเท่าหมื่นเท่า
มันมิใช่ทางเดินที่สร้างขึ้นมาภายในระยะเวลาอันสั้น
หากแต่เป็นทางเดินที่กำหนดเอาไว้แล้วเส้นหนึ่ง
“ทางแยก” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเห็นว่าทางเดินเบื้องหน้าแยกออกเป็นทางแยกเก้าเส้น นี่เป็นเรื่องธรรมดาอย่างยิ่ง บนถนนก็ต้องมีทางแยกอยู่แล้ว
“อากาศก็คล้ายกับก้อนอิฐที่ถูกควบคุม สร้างเป็นเส้นทางที่แน่นอน” ตงป๋อเสวี่ยอิงมีแสงทิพย์วิญญาณ์ปรากฏวาบขึ้นอย่างต่อเนื่อง เขารู้สึกว่าเป็น ‘ทางเดินโลกาพิศวง’ ที่พิเศษที่สุดในห้วงมิติ ก็จะต้องเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่หยั่งรู้อากาศ!
เขาบำเพ็ญมาจนกระทั่งถึงตอนนี้ เคยเห็นทิวทัศน์ในห้วงอากาศนานาชนิด ก็ไม่เคยมีความพิเศษเท่าทางเดินโลกาพิศวงเลย
“หืม”
ตงป๋อเสวี่ยอิงดูตามปกติไปพลาง ในขณะเดียวกันก็สอดแนมผ่านโพรงของทรงกลมหมอกดำ นึกอยากจะอาศัยสิ่งนี้สอดแนมห้วงอากาศภายในทางเดินโลกาพิศวงอย่างพิเศษมากยิ่งขึ้น แน่นอนว่าก็ต้องอาศัยสิ่งนี้เสาะหารังของฝูงมารผลาญทำลาย
“รังหรือ นั่น คงจะเป็นรังกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงเพียงแค่เดินอย่างระมัดระวังอยู่ภายในทางเดินโลกาพิศวงอยู่ครึ่งชั่วยามกว่าๆ ก็สอดแนมไปถึงบริเวณที่ตนสามารถแยกแยะได้อย่างรางๆ ที่นั่น ในมุมเล็กๆ นั้นมีกลิ่นอายทำลายล้างอันร้ายกาจจางๆ
“ไปดูเสียหน่อยดีกว่า”
เป็นเพียงแค่ร่างแปร เขาก็ย่อมต้องบ้าบิ่นกว่าอยู่แล้ว เขาสำแดงการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้น เข้าสู่ภายในบริเวณมุมเล็กๆ ที่มีกลิ่นอายทำลายล้างนั้นโดยตรง
…………………………………………….
ตอนที่ 13 การบำเพ็ญห้วงอากาศ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าไปในบริเวณที่ปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายทำลายล้างอันร้ายกาจแห่งนี้ เพิ่งเดินออกมาจากกลางห้วงอากาศอันบิดเบี้ยว ก็เห็นรูปลักษณ์ของพื้นที่แห่งนี้
“รัง!”
นี่คือพื้นที่อันแปลกประหลาดแห่งหนึ่ง ห้วงอากาศภายในถูกบิดจนกลายเป็นรูปร่างของต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง บนต้นไม้ใหญ่ที่มาจากห้วงอากาศอันบิดเบี้ยวนี้มี ‘ไข่’ หลายฟองปรากฏอยู่ เปลือกไข่ล้วนเป็นสีเทา ไข่เหล่านี้มีทั้งใหญ่ทั้งเล็ก มองไปปราดหนึ่งก็มีไข่อยู่หลายร้อยฟอง ไข่ฟองใหญ่ที่สุดในบรรดานั้นก็ฟักออกมาแล้ว เผยให้เห็นตัวอ่อนของฝูงมารผลาญทำลายที่ตลอดร่างยังเต็มไปด้วยเมือก ตัวอ่อนของฝูงมารผลาญทำลายนี้กำลังกินเปลือกไข่อยู่
“หืม”
ที่รังแห่งนี้ก็มีนักรบฝูงมารผลาญทำลายเกราะสีเทาที่เจริญวัยเต็มที่แล้วเฝ้ายามอยู่สองตน พวกเขาทั้งสองสัมผัสได้ถึงระลอกคลื่นมิติ จึงหันหน้าไปมองในทันใด แต่บริเวณไกลออกไปกลับเต็มไปด้วยความว่างเปล่า ไม่มีเงาร่างใดๆ อยู่เลย
“มีผู้บำเพ็ญ” ถึงแม้ว่าจะมองไม่เห็น ทั้งยังมิอาจหยั่งรู้ได้ แต่พวกเขากลับแน่ใจเป็นอย่างยิ่งว่ามีผู้บำเพ็ญบุกรุกเข้ามาแล้วอย่างแน่นอน
เพราะแต่ละบริเวณภายในรังแห่งนี้ต่างก็มีพลังทำลายล้างอันร้ายกาจ พลังของตงป๋อเสวี่ยอิงไม่เข้ากันกับพลังทำลายล้างอันร้ายกาจนี้เลย
“ถูกพบเข้าเสียแล้วสิ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูมิติของต้นไม้ใหญ่แห่งนั้น “มิติถึงกับก่อร่างเป็นต้นไม้ใหญ่ ทั้งยังสามารถเจริญออกมาเป็นไข่ ฟูมฟักฝูงมารผลาญทำลายออกมาได้อย่างนั้นหรือ ช่างน่าอัศจรรย์เหลือเกิน” ถ้าหากมีเวลาดูอย่างละเอียดถี่ถ้วน เขาก็คงจะยิ่งพึงพอใจ แต่ว่าข้อมูลที่เขาได้รู้บอกเขาว่าไม่สามารถผัดผ่อนเวลาได้อีกต่อไปแล้ว
ปัง…
ระลอกคลื่นจำนวนนับไม่ถ้วนเคลื่อนเข้ามา ร่างกายของฝูงมารผลาญทำลายเกราะสีเทาสองตนนั้นก็แตกสลายกลายเป็นความว่างเปล่าในทันใด ต้นไม้ใหญ่ขนาดมหึมาในห้วงอากาศอันบิดเบี้ยวนั้นก็ถูกฝืนบีบให้บิดเบี้ยวจนแหลกละเอียด ไข่หลายร้อยฟองนั้นรวมทั้งฝูงมารผลาญทำลายที่ฟักตัวออกมาแล้วจำนวนหนึ่งแหลกสลายจนหมดสิ้นในทันใด
ถึงแม้ว่าร่างแปรนี้ของเขาจะอ่อนแอ ระยะทางห่างไกล วิญญาณควบคุมร่างแปรจากระยะทางไกล การสำแดงเคล็ดวิชาจึงกินแรงเป็นอย่างยิ่ง แม้กระทั่งการสำแดงเคล็ดวิชาบุปผาผลาญทำลายกระบวนท่าที่หนึ่ง ก็สามารถสำแดงได้เพียงสามดอกพร้อมกันเท่านั้น พลังยุทธ์เช่นนี้จัดอยู่แค่เพียงชั้นที่เจ็ดของเจดีย์ดาวเท่านั้น! แต่ลำพังแค่ร่างแปรร่างหนึ่งก็มีพลังยุทธ์ถึงเพียงนี้ก็ล้ำเลิศเหลือเกินแล้ว
แผนภาพคลื่นจานอาณาเขตใหญ่โตที่เขาสำแดงเมื่อครู่สังหารฝูงมารผลาญทำลายเหล่านี้ ถึงอย่างไรก็เป็นระดับเกราะสีเทากลุ่มหนึ่ง ก็ย่อมถูกกำจัดได้โดยง่ายอยู่แล้ว
“สวบ” ตงป๋อเสวี่ยอิงย่างเท้าก้าวหนึ่งก็มาถึงประตูมิติแล้วพุ่งตัวเข้าไปอย่างรวดเร็ว
ด้านนอกประตูมิติ ก็คือทางเดินมิติหลากสีสันอันตระการตาเส้นหนึ่ง
“ฆ่ามันเสีย”
“ไปตามจับเขาสิ” ฝูงมารผลาญทำลายเกราะทองตนหนึ่งเป็นหัวหน้า ยังมีฝูงมารผลาญทำลายเกราะโลหิตอีกฝูงหนึ่งคอยติดตาม พวกมันแปลงร่างเป็นลำแสงแล้วเคลื่อนผ่านทางเดินมิติอย่างรวดเร็ว ทว่าทางเดินมิติแสนอันตรายที่หลงทางได้โดยง่ายนี้ กลับเป็นบ้านของฝูงมารผลาญทำลาย พวกเขาจึงย่อมผ่อนคลายเป็นอย่างยิ่ง ไม่ต้องกังวลว่าจะหลงทางเลยแม้แต่น้อย
“มากันเร็วเหลือเกิน” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึงอยู่บ้าง ทำให้พุ่งไปด้วยความเร็วสูงขึ้น
สวบๆๆ…
เคลื่อนที่หลบหนีด้วยความเร็วสูงตลอดทาง ถึงแม้ว่าจะถูกไล่ตาม อย่างแย่ที่สุดก็คือต้องละทิ้งร่างแปร สามารถรักษาได้ก็พยายามรักษาเอาไว้ก่อนดีกว่า
เดิมทีทางเดินมิติก็ค่อนข้างอันตรายอยู่แล้ว ดูเหมือนว่าจะงดงามตระการตา แต่ความจริงแล้วแฝงไว้ด้วยกับดักจำนวนมาก หากเหยียบลงไปก้าวหนึ่งก็อาจถูกเคลื่อนย้ายเข้าไปยังสถานที่แสนอันตรายสักแห่งของทางเดินโลกาพิศวง ตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นถึงยอดฝีมือในด้านการควบคุมอากาศ ถ้าหากเดินหน้าไปอย่างระมัดระวัง ก็จะสามารถพบกับดักแต่ละแห่งได้ แต่เมื่อถูกไล่ตามก็ไม่มีทางแยกแยะอย่างละเอียดภายใต้การเหินทะยานด้วยความเร็วสูงได้แล้ว
ทางเดินอันงดงามตระการตา ทุกหนแห่งล้วนเป็นระลอกคลื่นหลากสีสัน ดูเหมือนกันไปหมด
ฟิ้ว
ในขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงจะเคลื่อนที่ในพริบตาปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้งนั้น แสงสีกลับสั่นไหวคราหนึ่ง ตงป๋อเสวี่ยอิงก็หายวับไปเสียแล้ว
“พรึ่บ…” ประกายด้านหลังสว่างวาบ ฝูงมารผลาญทำลายเกราะทองตนหนึ่งนำทางฝูงมารผลาญทำลายเกราะโลหิตให้หยุดลงแล้วมองไปไกลๆ ยังเบื้องหน้า “ผู้บำเพ็ญผู้นั้นหลงทางแล้ว ทำให้เขาโชคดีค้นพบรังแห่งหนึ่งเข้า”
“ก็แค่รังระดับต่ำรังหนึ่งเท่านั้น” ฝูงมารผลาญทำลายเกราะโลหิตตนอื่นก็พูดขึ้น
……
เป็นที่รู้กันว่ารังแบ่งออกเป็นสามระดับ แบ่งเป็นที่ฟูมฟักระดับเกราะสีเทา ระดับเกราะโลหิต และระดับเกราะทอง! เห็นได้ชัดว่า ‘รังของฝูงมารผลาญทำลายระดับเกราะทอง’ นั้นมีมูลค่าสูงที่สุด เพราะฝูงมารผลาญทำลายเกราะทองตนใดๆ ก็ตามตนหนึ่ง พลังยุทธ์ต่ำที่สุดก็เป็นระดับชั้นที่เจ็ดของเจดีย์ดาว ระดับสูงในบรรดานั้นก็เป็นถึงระดับชั้นที่เก้าของเจดีย์ดาว
ดังนั้นหากสามารถทำลายได้แห่งหนึ่ง นั่นก็จะเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งเลยทีเดียว ตอนนั้นจ้าวภูเขาฉื้อเหมยยื่นข้อเสนอที่สูงเช่นนั้น หากไม่ได้อะไรเลยก็ต้องมอบหนึ่งหมื่นศิลาปฐมโลกาให้กับเขาทุกหนึ่งร้อยล้านปี หากค้นพบรังระดับเกราะดำก็ต้องจ่ายหนึ่งหมื่นศิลาปฐมโลกา หากเป็นรังระดับเกราะทองก็ต้องจ่ายถึงสองแสนศิลาปฐมโลกาเต็มๆ
อันที่จริงแล้วรังระดับเกราะสีเทานั้นไม่ควรค่าแก่การพูดถึง สำหรับเทพจักรวาลแล้วฝูงมารผลาญทำลายระดับต่ำที่สุด อย่างมากก็เป็นเพียงแค่เขม่าปืนเท่านั้น ส่งร่างแปรร่างหนึ่งไปอย่างลวกๆ ก็สามารถกำจัดได้อย่างง่ายดายแล้ว!
ถึงแม้ว่าระดับเกราะดำจะควรค่ากับการให้ความสนใจ แต่ในสายตาของเทพจักรวาลก็ยังคงมีมูลค่าไม่สูงเช่นกัน
พวกเขาเชื้อเชิญจ้าวภูเขาฉื้อเหมย…ที่ปรารถนาที่สุดก็คือการจัดการกับรังระดับเกราะทอง! สองแสนศิลาปฐมโลกานี้พวกเขาเต็มอกเต็มใจจ่ายอยู่แล้ว แต่น่าเสียดายที่จ้าวภูเขาฉื้อเหมยหาไม่พบ หาพบเพียงแค่รังระดับเกราะดำห้าแห่งเท่านั้น… ก็ทำให้พวกเขาจ่ายไปหนึ่งแสนห้าหมื่นศิลาปฐมโลกา เหล่าเทพจักรวาลก็ไม่สามารถสุรุ่ยสุร่ายเช่นนี้ได้
กับฝูงมารผลาญทำลายเหล่านี้ก็เช่นกัน พวกเขามิได้สนใจรังระดับต่ำเหล่านี้เลย
“พรึ่บ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่ามิติตรงหน้าบิดเบี้ยว ก็มาถึงกลางมิติอลวนแห่งหนึ่ง มิติโดยรอบเรียงตัวกันชั้นแล้วชั้นเล่า ทั้งยังมีชิ้นส่วนที่แตกกระจายจำนวนมาก สีสันต่างๆ นานา โลกที่มีสีสันลวงตาช่างงดงามตระการตาหาใดเปรียบ
“หลงทางแล้วหรือนี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเห็นเหตุการณ์นี้ก็เข้าใจได้แล้ว นึกอยากจะเดินออกไป เทพจักรวาลก็ยังทำมิได้
นอกเสียจากอาศัยการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้น!
“พรึ่บ”
หลังจากสังเกตอยู่ชั่วครู่ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เหยียบย่างเข้าสู่ห้วงมิติอันบิดเบี้ยวที่ปรากฏขึ้นด้านข้างแล้วหายลับไป
บนทางเดินมิติที่กำหนดเอาไว้แน่นอน ตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ คราวนี้เขาก้าวไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง ห้าวันให้หลัง เขาก็ค้นพบรังแห่งหนึ่ง คราวนี้เขามิได้ผลีผลามเข้าไปในรัง หากแต่มาที่ภายในมิติอันแห้งแล้งแห่งหนึ่งบริเวณใกล้ๆ รัง
ภายในมิติอันแห้งแล้ง มิติแห่งนี้ก็กำลังเจริญอย่างช้าๆ เช่นกัน ภายในไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ อยู่เลย
ตงป๋อเสวี่ยอิงมาถึงตรงกลาง
“หืม” ตงป๋อเสวี่ยอิงสอดแนมผ่านโพรงทรงกลมหมอกดำ เพราะรังอยู่ที่ประตูถัดไป เขาจึงสอดแนมได้อย่างแจ่มชัดยิ่งนัก
“เป็นรังระดับเกราะสีเทาอีกแห่งหนึ่ง” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะ รังประเภทนี้มีมูลค่าการต่อสู้ไม่สูงนัก
……
กาลเวลาเคลื่อนผ่าน ร่างแปรของตงป๋อเสวี่ยอิงเดินทางอยู่ภายในทางเดินโลกาพิศวงอย่างเงียบเชียบ นอกจากครั้งแรกที่เข้าไปในรังโดยตรงภายด้วยความประหลาดใจแล้ว ครั้งอื่นๆ ล้วนเป็นการเข้าไปในมิติข้างๆ รังจำนวนหนึ่ง แล้วทำการ ‘สอดแนม’ ระยะใกล้ แต่ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าท้ายที่สุดแล้วทางเดินโลกาพิศวงก็มีขนาดประมาณครึ่งโลกทิพย์ การค้นหารังระดับต่ำก็ต้องใช้ระยะเวลาหลายวัน การหารังเกราะดำก็ยากเย็นยิ่งกว่า ฝีมือระดับจ้าวภูเขาฉื้อเหมยก็ยังหารังเกราะดำพบแค่เพียงห้าแห่งเท่านั้น
นึกอยากจะหาให้พบนั้นช่างยากเย็นเป็นอย่างยิ่ง
ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับทุ่มเทความคิดจิตใจไปกับการบำเพ็ญมากกว่า การค้นพบรังเป็นเพียงแค่ผลพลอยได้เท่านั้น เดินทางไป ก็ชมดูอากาศอันแสนพิเศษนานาชนิดของ ‘ทางเดินโลกาพิศวง’ ไปด้วย ก็ยิ่งมีความเข้าใจในอากาศอย่างลึกล้ำมากยิ่งขึ้น วิชาลับผู้ท่องก็เริ่มยกระดับขึ้นอีกครั้ง
……
การสำรวจภายในทางเดินโลกาพิศวงถูกกำหนดให้เนิ่นนานเป็นอย่างยิ่ง
และที่ปราการอากาศ ภายในโถงตำหนักขนาดมหึมา บรรดาขั้นอลวนจำนวนมากนั่งเรียงรายกัน ดูเหมือนว่าต่างก็เป็นร่างแปรกันทั้งสิ้น
ตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็แบ่งร่างแปรร่างหนึ่งเอาไว้ที่นี่ด้วย ขอเพียงแค่ร่างแปรไม่ต่อสู้ การรักษาสภาพร่างแปรก็สิ้นเปลืองพลังจิตเพียงน้อยนิดเท่านั้น
“ฝูงมารผลาญทำลายเหล่านี้ช่างระแวดระวังนัก โดยปกติแล้วต่างก็เคลื่อนไหวอยู่ข้างนอก ต่างก็ไม่กล้าเข้ามายังบริเวณด้านใน”
“พวกเขาก็มิได้โง่งม ที่บริเวณด้านในนั้นพวกเขาก็ได้แต่บินอย่างช้าๆ ย่อมมิกล้าบุกเข้ามาง่ายๆ อยู่แล้ว”
กลางอากาศบริเวณมุมของโถงตำหนักมีทิวทัศน์ภาพวาดอยู่
ทิวทัศน์ภาพวาดปรากฏขึ้นทั่วทั้งบริเวณภายในและภายนอก ที่บริเวณภายนอกมีฝูงมารผลาญทำลายจำนวนมากกำลังเคลื่อนไหวอยู่ ฝูงมารผลาญทำลายที่เข้าสู่บริเวณภายในนั้นมีอยู่น้อยนิด มีเพียงกลุ่มไม่กี่สิบตนเท่านั้น อีกทั้งต่างก็มาถึงแค่รอบนอกของบริเวณภายนอกเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าวันดีคืนดีต่างก็สามารถหนีเข้ามาในบริเวณภายนอกได้อย่างรวดเร็ว
สวบๆๆ…
ราวกับได้รับคำสั่งอันไร้รูปร่าง มีกลุ่มฝูงมารผลาญทำลายที่บริเวณภายนอกสิบสองกลุ่มเข้ามายังบริเวณภายในพร้อมกัน แล้วต่างก็ยังอยู่ที่ชายขอบเช่นเดียวกัน
“ยังมีสิบสองกลุ่มที่เข้ามาสู่บริเวณภายใน คราวนี้ใครจะไป” ทันใดนั้นก็มีขั้นอลวนเอ่ยปาก
“ข้า”
“ข้าคนหนึ่ง”
“ข้าเอง”
ทันใดนั้นขั้นอลวนคนแล้วคนเล่าก็ยืดกายลุกขึ้น ทำการติดต่อสื่อสารกับปราการอากาศผ่านป้ายคำสั่งส่งสาร
“ข้ามาที่ปราการอากาศก็เป็นเวลาพอสมควรแล้ว ควรจะออกไปรับมือกับฝูงมารผลาญทำลายเหล่านี้ได้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยืดกายลุกขึ้น พวกเขาทำการรับมือกับฝูงมารผลาญทำลาย แต่ฝูงมารผลาญทำลายจงใจอยู่ที่ชายแดน เห็นได้ชัดว่าก็คิดจะรับมือกับพวกเขาเช่นเดียวกัน อ้างอิงจากที่ผู้บำเพ็ญสังเกต…การที่ฝูงมารผลาญทำลายสังหารผู้บำเพ็ญ ก็มีส่วนช่วยเหลือในการยกระดับพลังยุทธ์ของฝูงมารผลาญทำลายเช่นเดียวกัน
เพียงไม่นาน ปราการอากาศก็ตระเตรียมการ ขั้นอลวนสิบสองคน แบ่งกันไปต่อกรกับสิบสองกลุ่ม ร่างแปรนั้นสำหรับการตรวจสอบพลังยุทธ์เท่านั้น สุดท้ายแล้วการจะกำจัดอีกฝ่ายก็ยังต้องอาศัยร่างจริง ไม่ใช้ร่างจริงอย่างนั้นหรือ ฝูงมารผลาญทำลายเกราะทองที่แกร่งกล้าจำนวนหนึ่ง ร่างแปรเทพจักรวาลก็ยังมิอาจจัดการได้
……………………………………..
ตอนที่ 14 ระดับพื้นฐานชั้นที่เก้า
โดย
Ink Stone_Fantasy
บริเวณภายในชายขอบของห้วงอากาศ ห้วงอากาศอันเวิ้งว้าง เต็มไปด้วยความว่างเปล่าไร้ซึ่งสรรพสิ่ง
สวบ
ฝูงมารผลาญทำลายที่สวมชุดเกราะสีดำตลอดร่างกลุ่มหนึ่งเหินทะยานด้วยความเร็วสูง พวกมันต่างก็มองดูบริเวณโดยรอบอย่างระแวดระวัง
“ระวังด้วย มีผู้บำเพ็ญคนหนึ่งกำลังเข้ามาใกล้” ฝูงมารผลาญทำลายร่างผอมเล็กที่ดูคล้ายไม่สะดุดตาตนหนึ่งในกลุ่มของฝูงมารผลาญทำลายฝูงนี้ถ่ายเสียงพูด
“ขอรับ ท่านแม่ทัพ” ฝูงมารผลาญทำลายตนอื่นๆ ต่างก็หัวใจบีบรัดในทันใด พวกมันไม่มีความคลางแคลงใจในตัวท่านแม่ทัพเลยแม้แต่น้อย หากมิใช่ความต้องการของเหล่า ‘อ๋อง’ สิ่งมีชีวิตระดับท่านแม่ทัพย่อมไม่สนใจจะมานำทัพพวกมันในการต่อสู้อยู่แล้ว
ห่างออกไปไม่ไกล ร่างแปรของตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังสังเกตฝูงมารผลาญทำลายกลุ่มนี้ผ่านการควบคุมห้วงอากาศ “ฝูงมารผลาญทำลายเกราะดำหนึ่งร้อยตนอย่างนั้นหรือ หึ ฝูงมารผลาญทำลายฝูงนี้ก็มิได้โง่งมเสียหน่อย จะสามารถส่งฝูงมารผลาญทำลายเกราะดำหนึ่งร้อยตนมาตายได้อย่างไรกัน”
พลังยุทธ์ของฝูงมารผลาญทำลายเกราะดำอยู่ที่ระดับชั้นที่สี่ถึงชั้นที่หกของเจดีย์ดาว ถ้าหากมีฝูงมารผลาญทำลายเกราะดำเพียงแค่หนึ่งร้อยตนจริงๆ… ร่างจริงของตงป๋อเสวี่ยอิงก็คงจะสามารถกำจัดพวกเขาทั้งหมดจนราบคาบได้อย่างง่ายดาย! อ้างอิงจากการสนทนาระหว่างตงป๋อเสวี่ยอิงกับเหล่าขั้นอลวนคนอื่นๆ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานี้ ก็ได้รับข้อมูลมามากมาย ได้ล่วงรู้ว่าฝูงมารผลาญทำลายเจ้าเล่ห์สักเพียงใด
เชาวน์ปัญญาของพวกมันไม่ด้อยไปกว่าผู้บำเพ็ญเลย นึกอยากจะสังหากพวกมันช่างเป็นเรื่องที่ยากเย็นอย่างแท้จริง
“เข้าไป” ร่างแปรของตงป๋อเสวี่ยอิงเคลื่อนเข้าไปใกล้อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็สำแดงเคล็ดวิชาบุปผาผลาญทำลายโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว
ทันใดนั้นก็มีเคล็ดวิชาบุปผาผลาญทำลายสามดอกปรากฏขึ้น ดอกตูมสีดำสามดอก ดอกหนึ่งห่อหุ้มอีกดอก เพิ่งมาถึงก็ห่อหุ้มฝูงมารผลาญทำลายเกราะดำตนหนึ่งที่อยู่ด้านหน้าสุดเอาไว้ ทว่าฝูงมารผลาญทำลายร่างเล็กผอมที่ดูไม่สะดุดตาที่อยู่กลางฝูงมารผลาญทำลายกลับลอบแค่นหัวเราะ “มาแล้ว ผู้บำเพ็ญ ให้เจ้าได้อาละวาดสักยกหนึ่งก่อนก็ได้”
……
ตั้งแต่ร่างแปรของตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าร่วมสงคราม ต่อมาเมื่อร่างจริงของขั้นอลวนปรากฏตัว การต่อสู้ครั้งนี้ก็สิ้นสุดลงภายในระยะเวลาชั่วจิบชาเดียวแล้ว
ปราการอากาศ ภายในโถงตำหนักขนาดมหึมา
ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินออกมาจากห้วงอากาศอันบิดเบี้ยวพร้อมกับประมุขตำหนักอลหม่าน ตงป๋อเสวี่ยอิงยังมีสีหน้าไม่ยอมจำนน
“ฝูงมารผลาญทำลายนี่ช่างเจ้าเล่ห์เสียจริง พอท่านประมุขตำหนักอลหม่านลงมือ พวกมันก็หลบหนีไปอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะ มีความไม่ยอมจำนนอยู่บ้าง ตนเองเตรียมการอย่างระมัดระวัง ถึงขนาดที่สำแดงพลังยุทธ์ต่างๆ ออกมาจนหมดสิ้น เพื่อเหวี่ยงตาข่ายล้อมจับให้หมดในคราวเดียว ก็ถึงกับตั้งใจเชิญประมุขตำหนักอลหม่านให้มาลงมือพร้อมกัน ประมุขตำหนักอลหม่านก็เห็นด้วยอย่างกระตือรือร้น ตามแผนการ ยามที่ลงมือ ประมุขตำหนักอลหม่านก็จะเร้นกายอยู่ภายในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ แล้วค่อยโจมตีอย่างฉับพลันในช่วงเวลาวิกฤติ
จนใจ…
แผนการไม่ทันรับกับความเปลี่ยนแปลง ฝูงมารผลาญทำลายเริ่มเคลื่อนไหวก่อน บีบให้ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ประมุขตำหนักอลหม่านก็ถูกบีบให้ปรากฏตัว
“เมื่อครู่ข้าสังหารฝูงมารผลาญทำลายเกราะดำไปสองตน พวกเขาก็คลั่งแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยอย่างทอดถอนใจ “ข้าก็รู้ว่าในบรรดาพวกเขาต้องมีผู้ที่ร้ายกาจอย่างที่สุดอยู่ คิดไม่ถึงว่าจะซ่อนเร้นฝูงมารผลาญทำลายเกราะทองเอาไว้ถึงสามตน”
ฝูงมารผลาญทำลายเกราะทองสามตน แต่ละตนร้ายกาจไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันเลย
ฝูงมารผลาญทำลายเกราะทองที่ร้ายกาจที่สุดตนหนึ่ง ซึ่งคงจะเป็นระดับชั้นที่เก้าของเจดีย์ดาว ที่บนหน้าผากของมันมีเขาเดี่ยวงอกขึ้นมา ได้แปลงร่างเป็นดาวเคราะห์เพลิงที่มีสีดำเป็นระลอกคลื่น แล้วสังหารผ่านอากาศในทันใด ตอนนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงทุ่มเทกำลังทั้งหมดสำแดงเคล็ดวิชาบุปผาผลาญทำลาย ‘ขั้นหกกลีบ’ ถึงยี่สิบห้าดอก ดอกตูมสีดำชั้นแล้วชั้นเล่าปิดผนึกคุมขัง แต่ภายใต้ดวงดาวสีดำที่เขาเดี่ยวผู้นั้นแปลงกาย กลับแหลกสลายไปในทันที แน่นอนว่าเป็นเพราะร่างของเขาเร้นกายอยู่ภายในโลกลวง
อิทธิพลที่ดวงดาวสีดำกดดันเข้าไปต่างก็ได้รับผลกระทบ และหลังจากนั้นผิวกายของตงป๋อเสวี่ยอิงก็เปล่งรัศมีสีทอง ทั้งยังมีรัศมีสีฟ้าคุ้มกาย อานุภาพของสมบัติลับ ‘เมฆซ้อนสามสี’ นั้นไม่ธรรมดาเลย
ภายใต้การกดดันของรัศมีสีทอง และการหมุนบิดของอาณาบริเวณของรัศมีสีฟ้า ในท้ายที่สุดตงป๋อเสวี่ยอิงก็สามารถสกัดพลังคุกคามของดาวเคราะห์เพลิงสีดำให้ลดลงไปได้อย่างง่ายดายด้วยฝ่ามือเดียว ดวงดาวสีดำนั้นก็ร่นถอยไปอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องโจมตีแม้แต่ครั้งเดียว
นี่ก็ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงได้มีประสบการณ์สัมผัสกับพลังรบของฝูงมารผลาญทำลายระดับชั้นที่เก้า เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วเคล็ดวิชาบุปผาผลาญทำลายของตนก็อ่อนแอเกินไปเสียแล้ว
ถ้าหากเป็นเพียงแค่ฝูงมารผลาญทำลายเกราะทองฝูงหนึ่ง ตนก็คงจะไม่ตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก! จนใจที่อีกสองตนนั้นต่างก็อยู่ประมาณระดับชั้นที่แปดขั้นสุดยอด ทั้งยังพอดีกับที่ฝูงมารผลาญทำลายเกราะทองสามตนร่วมมือกันอย่างสมบูรณ์แบบ พวกเขาทั้งสามร่วมมือกันขึ้นมาก็ให้ผลลัพธ์เช่นเดียวกันกับชั้นที่เก้าของเจดีย์ดาวสามคน ภายใต้ความร่วมมือ เพิ่งจะกระบวนท่าแรกก็ดูเหมือนว่าจะทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าสู่สภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแล้ว ดูเหมือนจะได้แต่อาศัยการต้านทานอย่างแข็งขันในการป้องกันเท่านั้น
ในขณะนี้ประมุขตำหนักอลหม่านที่เร้นกายอยู่ภายในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ที่ตงป๋อเสวี่ยอิงนำมาก็ลงมือแล้ว
การลงมือในครานี้…
สนั่นฟ้าสะเทือนดิน!
ประมุขตำหนักอลหม่านมีชื่อเสียงเลื่องลือ ในบรรดาระดับชั้นที่เก้าของเจดีย์ดาวก็ยังนับได้ว่าเขามีชีวิตอยู่มาเนิ่นนานเป็นที่สุด ได้รับความเคารพนับถือเป็นอย่างมาก พลังรบของเขาน่าหวาดหวั่นไม่ธรรมดา ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้อยู่แล้วว่า ประมุขตำหนักอลหม่านเป็นที่สุดในบรรดาขั้นอลวนที่ตนรู้จัก คาดว่าน่าจะเทียบเคียงได้กับจักรพรรดิดำเขามีสมญา ‘อลวน’ ผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนต่างก็มีความเชื่อมั่น คราวนี้จึงนับว่าได้สัมผัสถึงพลังยุทธ์ของเขาอย่างแท้จริง
นี่จึงจะเป็นพลังยุทธ์ที่รับมือกับเทพจักรวาลแล้วยังสามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้โดยแท้
หากพูดว่า ‘ดวงดาวสีดำ’ ที่ฝูงมารผลาญทำลายเกราะทองสำแดงเป็นพลังคุกคามระดับชั้นที่เก้าแล้ว ฝ่ามือขนาดยักษ์คู่นั้นของประมุขตำหนักอลหม่านในตอนนั้น เมื่อมือทั้งคู่พลิกหมุน อากาศก็ถูกฉีกทึ้งกลายเป็นความอลวน ดวงดาวสีดำนั้นก็ยังแหลกสลายไปในการฉีกทึ้งนั้น ปรากฏร่างเขาเดี่ยวออกมาอย่างแจ่มชัด แน่นอนว่าเขาเดี่ยวแปลงเป็นลำแสงสีทองหนีไปได้อย่างทุลักทุเล
“อลวน!” ฝูงมารผลาญทำลายเกราะทองสามตนเห็นแล้วก็ตกตะลึง จึงหลบหนีไปอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยในทันที
ภายในโถงตำหนักอันใหญ่โต
ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินเคียงบ่าประมุขตำหนักอลหม่าน ประมุขตำหนักอลหม่านพูดยิ้มๆ ว่า “ฝูงนี้นับว่าร้ายกาจเป็นอย่างยิ่งแล้ว ฝูงมารผลาญทำลายเกราะทองสามตน ระดับชั้นที่เก้าหนึ่งตน ชั้นที่แปดขั้นสุดยอดสองตน พอร่วมมือกันแล้วก็ยิ่งล้ำเลิศ ถ้าหากพวกเขาเคราะห์ดีสักหน่อยก็มีความเป็นไปได้ว่าจะสังหารขั้นอลวนสักคนหนึ่งได้จริงๆ”
“อืม” ตงป๋อเสวี่ยอิงเห็นด้วย
นึกอยากจะสังหารยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนสักคนหนึ่งนั้นเป็นเรื่องยากเย็นอย่างยิ่ง
ตงป๋อเสวี่ยอิงมีความมั่นใจในตนเองเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังมีประมุขตำหนักอลหม่านช่วยเหลือ ดังนั้นพวกเขาสองคนก็เพียงพอแล้ว
หากเป็นขั้นอลวนที่อ่อนแอสักหน่อย โดยทั่วไปเจ็ดแปดตนร่วมมือกัน หรือแม้กระทั่งมีค่ายกลร่วมด้วย อีกทั้งยังมีวัตถุคุ้มกันชีพ… แม้กระทั่งตกอยู่ในอันตราย รอคอยเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ปราการอากาศก็จะส่งผู้ที่แกร่งกล้ายิ่งกว่าออกไปสนับสนุน
ดังนั้นถึงแม้ตงป๋อเสวี่ยอิงจะพานพบเข้ากับฝูงที่นับได้ว่าค่อนข้างแข็งแกร่งนี้ก็ยังต้องโชคดี จึงจะสามารถสังหารขั้นอลวนสักคนหนึ่งได้
“พอท่านปรากฏตัว พวกเขาก็หนีไปในทันทีเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ ได้เดินไปถึงสถานที่รวมตัวสนทนากันของผู้แกร่งกล้าของวังทวีสูญกลุ่มหนึ่งพร้อมกับประมุขตำหนักอลหม่านแล้ว
“ฮ่าฮ่า ตงป๋อ” ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ที่นั่งอยู่ที่นั่นพูด “ประมุขตำหนักอลหม่านอยู่มาเนิ่นนานจนถึงบัดนี้ ฝูงมารผลาญทำลายเหล่านั้นก็ถูกโจมตีจนกลัวหัวหดแล้ว! แค่เห็นเขาก็หนีเสียแล้ว ถึงแม้ว่าฝูงมารผลาญทำลายเกราะทองเหล่านั้นจะมีระดับชั้นที่เก้าเช่นกัน แต่ว่ายังไม่มีแม้แต่ตนเดียวที่สามารถเอาชนะประมุขตำหนักอลหม่านได้เลย ต่อให้เทพจักรวาลของพวกเขาปรากฏตัว ประมุขตำหนักอลหม่านก็ยังสามารถต้านทานเอาไว้ได้ชั่วระยะเวลาหนึ่งอยู่ดี”
“เห็นข้าก็หนีแล้ว พวกเขาก็ยังหนีเอาชีวิตรอดได้อย่างร้ายกาจ คิดจะสังหารฝูงมารผลาญทำลายเกราะทองสักคนหนึ่งก็เป็นเรื่องยากนัก”ประมุขตำหนักอลหม่านส่ายศีรษะ
“อืม คราวนี้ข้าก็เพิ่งจะสังหารฝูงมารผลาญทำลายเกราะดำไปสองตนเท่านั้นเอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าเห็นด้วย
“สังหารไปสองตนอย่างนั้นหรือ ทั้งยังเป็นระดับเกราะดำอีกด้วย”
“ช่างร้ายกาจเหลือเกิน”
บรรดาขั้นอลวนหลายท่านนี้ของวังทวีสูญ รวมถึงคนอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ ที่ได้ยินต่างก็ตกตะลึง
สองฝ่ายต่อกรกัน น้อยนักที่ปรากฏว่าทางฝั่งผู้บำเพ็ญจะพ่ายแพ้ ถึงอย่างไร ‘บริเวณภายใน’ ก็นนับว่าเป็นที่มั่นของพวกเขา แต่ทางฝั่งฝูงมารผลาญทำลายก็ได้เรียนรู้ประสบการณ์เช่นเดียวกัน เมื่อเทียบกันแล้วระดับเกราะสีเทาก็นับว่าง่ายหน่อย อาศัยร่างแปรไปยัง ‘บริเวณภายนอก’ ก็ยังมีโอกาสพบ แต่ระดับเกราะดำนั้นสังหารได้ยากเย็นยิ่ง หากฝูงร่วมมือกัน ร่างแปรก็ไม่สามารถทำลายพวกเขาได้เลย
“พวกเขาฝูงมารผลาญทำลายเกราะทองสามตน นำฝูงมารเกราะดำมาด้วยฝูงหนึ่ง อันที่จริงแล้วก็เพื่อขัดเกลาฝูงมารเกราะดำฝูงนั้น” ประมุขตำหนักอลหม่านพูด “การต่อสู้เพื่อขัดเกลา และการเผชิญอันตรายบางอย่างเพื่อขัดเกลา ต่างก็มีส่วนช่วยเหลือฝูงมารผลาญทำลาย ถ้าหากสังหารพวกเราผู้บำเพ็ญได้ก็จะยิ่งมีส่วนช่วยเหลือพวกมันเป็นอย่างมาก พลังยุทธ์ของพวกมันก็จะค่อยๆ ยกระดับขึ้น”
“ตงป๋อ เขตลวงของเจ้าร้ายกาจนัก ทำให้ระดับเกราะทองตนหนึ่งของพวกมันติดกับได้ ทำให้พวกมันเกิดข้อบกพร่องในยามที่ช่วยเหลือระดับเกราะดำ เจ้ายังสามารถสังหารระดับเกราะดำได้ถึงสองตนอีกด้วย” ประมุขตำหนักอลหม่านพูด “ผ่านคราวนี้ไป เกรงว่าพวกมันคงจะระแวดระวังในตัวเจ้ามากขึ้นเสียแล้ว นึกอยากจะสังหารฝูงมารเกราะดำอีกสองตนก็เป็นเรื่องยากแล้วล่ะ”
“อืม” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
ยามที่สังหาร มีพลังพิเศษอันไร้รูปร่างถูกวิญญาณของตนดูดกลืน ให้ความรู้สึกคล้ายคลึงกับการดูดกลืนศิลาปฐมโลกาเป็นอย่างยิ่ง เพียงแต่ให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า ประมาณเดียวกับการดูดกลืนศิลาปฐมโลการ้อยก้อนเลยทีเดียว
……
สวบ
ฝูงมารผลาญทำลายเกราะทองสามตนตรงมาจนถึงทางเดินโลกาพิศวง ย่างบนทางเดินห้วงมิติแห่งหนึ่งในนั้นด้วยความคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาทั้งสามเดินเคียงไหล่กัน ผู้ที่นำหน้าก็คือมารเขาเดี่ยวนัยน์ตาสีเงินตนหนึ่ง เขาเอ่ยเสียงต่ำว่า “ที่พานพบในคราวนี้จะต้องเป็นตงป๋อเสวี่ยอิง ขั้นรวมเป็นหนึ่งก็มีพลังยุทธ์ระดับชั้นที่เจ็ด ผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์ที่ข้อมูลบันทึกเอาไว้ผู้นั้นแน่ เขาเป็นประมุขตำหนักโลกเทียมแห่งวังทวีสูญ พลังยุทธ์ของเขาในตอนนี้ก็แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่งแล้ว โดยเฉพาะเคล็ดวิชาเขตลวงของเขา ผู้ที่พลังยุทธ์อ่อนแอสักหน่อยก็สามารถติดกับได้โดยง่าย ฉือหยา คราวนี้เจ้าก็ติดกับเสียแล้ว”
“อืม เป็นข้าเองที่ช้าไปก้าวหนึ่ง มีข้อบกพร่อง” มารเกราะทองที่ค่อนข้างอัปลักษณ์ผู้มีศีรษะขนาดใหญ่อันประกอบด้วยปากกว้าง มีฟันหลายแถวเรียงตัวกันแน่นขนัดซึ่งอยู่ด้านข้างเอ่ยเสียงต่ำ
“พลังโจมตีของเขาธรรมดาๆ พลังคุกคามมิได้สูง หากแต่มีเคล็ดวิชาเขตลวงนี้… ระดับการคุกคามของเขาสามารถประเมินได้เป็น ‘ระดับพื้นฐานชั้นที่เก้า’ เลยทีเดียว” มารเขาเดี่ยวนัยน์ตาสีเงินพูด ถ้าหากมิใช่เคล็ดวิชาเขตลวง ภายใต้การประเมินของพวกเขา เกรงว่าระดับการคุกคามของตงป๋อเสวี่ยอิงคงจะมิอาจจัดอยู่ในชั้นที่เก้าได้เลย
“ถ้าหากมิใช่เพราะขั้นอลวนผู้นั้นปรากฏตัว พวกเราร่วมมือกันก็มีหวังที่จะกำจัดประมุขตำหนักตงป๋อผู้นั้นแล้ว”
“ใช่แล้ว อลวน ระดับการคุกคาม ‘เหนือกว่าชั้นที่เก้า’ ช่างน่าหวาดหวั่นเหลือเกิน นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่พบกับเขา”
“ทางฝั่งผู้บำเพ็ญ เหนือกว่าชั้นที่เก้าก็มีอยู่ทั้งหมดเพียงห้าคน นี่ยังนับได้ว่าเป็นเทพจักรวาลสองคน คราวนี้ก็พบเข้าคนหนึ่งแล้ว”
ตลอดทางที่พวกเขาสามคนเดินอยู่ภายในทางเดินโลกาพิศวง ใจคอก็ไม่ดีเสียแล้ว
ทางด้านฝูงมารผลาญทำลายก็มีเกณฑ์การประเมินผู้บำเพ็ญของพวกเขาเอง ในบรรดาเทพจักรวาลก็มีอยู่สองคนที่ถูกพวกเขาจัดเป็น ‘เหนือกว่าชั้นที่เก้า’
…………………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น