Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 31 ตอนที่ 1-2
ภาคที่ 31 ขั้นอลวน ตอนที่ 1 ความอดทน
โดย
Ink Stone_Fantasy
กลางท้องฟ้านอกเมืองราชันย์มีด
“สวินอี เจ้าสามารถคารวะเข้าสู่สำนักของผู้อาวุโสตงป๋อได้ก็เป็นเคราะห์ดีของเจ้า จากนี้ไปก็ต้องบำเพ็ญให้ดีๆ หากในอนาคตเจ้าสามารถเหยียบย่างเข้าสู่ขั้นอลวนได้เช่นกัน พวกเราสองคนพ่อลูกล้วนเป็นขั้นอลวนก็ถือได้ว่าเป็นเรื่องราวดีๆ” จักรพรรดิสิงหั่วยืนอยู่ที่นั่น กลิ่นอายอันไร้รูปร่างรั่วไหลไปเล็กน้อยอย่างเป็นธรรมชาติ กลิ่นอายเย่อหยิ่งเย็นชานั้นทำให้ผู้บำเพ็ญคนอื่นๆ ทุกคนในที่นั้นต่างก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดัน อย่ามองว่าเพราะบุตรชายปฏิบัติต่อตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างเกรงอกเกรงใจ แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยืนอยู่ที่จุดสูงสุดของขั้นอลวน เป็นบุคคลที่มีพลังรบระดับเทพจักรวาล
“ขอรับ ท่านพ่อ” ชายหนุ่มอาภรณ์ทองสิงหั่วสวินอีรับคำอย่างเคารพ ในตอนนี้เขาก็เต็มไปด้วยจิตวิญญาณการต่อสู้
“ไปเถิด” จักรพรรดิสิงหั่วพยักหน้า
ฟิ้ว
สิงหั่วสวินอีบินทะยานไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ และลูกศิษย์หลายสิบคนของเขาที่อยู่ด้านข้างห่างออกไปไม่ไกลในทันที งานชุมนุมใหญ่ดวงดาราคราวนี้นอกจากแกนหลักสิบคนแล้ว ยังมีอีกหนึ่งร้อยเก้าสิบคนที่ผ่านการคัดเลือก พวกเขาต่างก็กระจายกันเลือกดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหก มีไม่น้อยที่เลือกวังทวีสูญ แต่ระดับการบ่มเพาะที่พวกเขาได้รับก็อยู่ในระดับทั่วไปเท่านั้น
“จักรพรรดิ พวกเราขอตัวก่อน” ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์และตงป๋อเสวี่ยอิงต่างก็ส่งเสียงเรียก ทันใดนั้นด้านข้างก็มีทางเดินห้วงมิติอันบิดเบี้ยวปรากฏขึ้น
ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์นำทางตงป๋อเสวี่ยอิงและคนกลุ่มหนึ่งบินตรงเข้าไปในนั้น
จักรพรรดิสิงหั่วยืนมองอยู่ที่นั่นจนกระทั่งทุกคนหายลับตาไป
“เจ้าเด็กผู้นี้สามารถจุดประกายขึ้นมาใหม่ได้ก็ดีมากแล้ว หวังว่าภายใต้การชี้แนะของผู้อาวุโสตงป๋อผู้นั้นจะยังมีปาฏิหาริย์บางอย่างเกิดขึ้นมาใหม่ได้” จักรพรรดิสิงหั่วเอ่ยพึมพำ ประสบกับความเสื่อมถอยกับบุตรชายคนโตมามากมายเหลือเกิน ยามที่สวินอีบุตรชายคนเล็กถือกำเนิด เขา จักรพรรดิสิงหั่วก็เป็นระดับชั้นที่เก้าของเจดีย์ดาวแล้ว เมื่อเทียบกันแล้วสวินอีบุตรชายคนเล็กประสบกับความเสื่อมถอยน้อยกว่า ทั้งยังเยาว์วัยไร้เดียงสากว่า ค่อยๆ เจริญเติบโตขึ้นมาจากเด็กแบเบาะคนหนึ่งอยู่ภายใต้สายตาของเขา…
จักรพรรดิสิงหั่วปัดแขนเสื้อคราหนึ่ง
แคว่ก…
ทางเชื่อมมิติดำขลับปรากฏขึ้นตรงหน้า จักรพรรดิสิงหั่วก้าวยาวๆ ก้าวหนึ่งแล้วก็เข้าไปในนั้น หายลับไปไม่เห็นอีก
……
“นี่ก็คือวังทวีสูญหรือ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงและประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ พวกเขาสองคนมองดูเหล่าศิษย์ที่อยู่ด้านข้าง พวกเขาเหล่านี้เข้ามายังวังทวีสูญเป็นครั้งแรก ต่างก็ตื่นตาตื่นใจกับห้วงมิติอันกว้างใหญ่ไพศาลเบื้องหน้า
บนแผ่นดินขนาดมหึมาที่ลอยอยู่ไกลๆ ‘ตำหนักทวีสูญ’ อันสูงตระหง่านแห่งนั้นแผ่รัศมีออกมาหลายร้อยล้านจั้ง รัศมีนั้นส่องประกายไปทั่วทุกหนแห่งในห้วงมิติ ทำให้บนอาคารจำนวนนับไม่ถ้วนซึ่งอยู่บนเกาะที่ล่องลอยอยู่รอบๆ ต่างก็ถูกห่อหุ้มเอาไว้ด้วยรัศมีชั้นหนึ่ง
“สวบ”
เงาร่างสายหนึ่งทะยานมาจากที่ไกลๆ ซึ่งก็คือบุรุษอาภรณ์เขียวคนหนึ่ง เขาเอ่ยทักทายอย่างเคารพว่า “คารวะประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์และผู้อาวุโสตงป๋อ”
“อ้อ ศิษย์ที่เข้ามาใหม่เหล่านี้ เจ้าก็ไปจัดการให้ทีนะ” ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ออกคำสั่ง
“ขอรับ” บุรุษอาภรณ์เขียวรับคำอย่างเคารพ พร้อมกันนั้นก็มองไปทางสิงหั่วสวินอีและคนกลุ่มหนึ่ง “ศิษย์น้องทุกท่านโปรดตามข้ามา”
จากนั้นพวกสิงหั่วสวินอีก็ได้แต่จากไปอย่างว่าง่าย รับการจัดการ นับจากนี้เป็นต้นไปชึวิตการบำเพ็ญในวังทวีสูญก็ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
“ไปๆๆ ประมุขตำหนักวารีสวรรค์ได้เตรียมงานเลี้ยงเอาไว้แล้ว ก็รอเพียงเจ้าเท่านั้น” ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์เอ่ยเร่งเร้า
“หืม” ตงป๋อเสวี่ยอิงตื่นตะลึง
“ฮ่าฮ่า มีจำนวนมากที่เป็นร่างจริงเข้าร่วมงานเลี้ยง แม้กระทั่งประมุขตำหนักวารีสวรรค์ที่ต้านทานฝูงมารผลาญทำลายอยู่ที่ชายขอบของห้วงอากาศ ก็ยังมีมาด้วยถึงสองคน” ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์พูดยิ้มๆ “เจ้านี่ช่างมีหน้ามีตาเสียเหลือเกิน”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยว่า “เร็วเข้าๆ อย่าให้พวกเขาต้องคอยนาน”
“ไปกันเถิด”
ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์และตงป๋อเสวี่ยอิงแปลงร่างกลายเป็นลำแสงในทันทีแล้วทะยานไปยังแผ่นดินขนาดมหึมาที่อยู่ตรงจุดศูนย์กลางอันเป็นที่ตั้งของ ‘ตำหนักอลหม่าน’
ตำหนักอลหม่านกินพื้นที่กว้างขวาง ตอนนี้ภายในโถงตำหนักอันเลิศหรูแห่งหนึ่งได้จัดเตรียมงานเลี้ยงเอาไว้แล้ว
พรึ่บ! พรึ่บ!
ตงป๋อเสวี่ยอิงและประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ร่อนลงตรงด้านนอกประตูตำหนักแล้วเหยียบย่างเข้าไปภายในประตูในทันใด ที่นั่งภายในตำหนักจำนวนมากมายจัดวางอย่างสะเปะสะปะไร้ซึ่งแบบแผน มีผู้ที่กำลังหยิบไหสุราพลางแหงนหน้าดื่มสุรา ทั้งยังมีผู้ที่กำลังสนทนากับผู้อื่นที่อยู่ข้างๆ
“ตงป๋อมาแล้ว เร็วเข้าๆๆ”
“ก็ขาดเพียงเจ้าคนเดียวเท่านั้น”
บรรดาประมุขตำหนักวารีสวรรค์เหล่านี้สังเกตได้ถึงการมาของตงป๋อเสวี่ยอิงจึงเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้ม
ตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็ค้นพบว่าเหลือที่นั่งว่างอยู่เพียงที่เดียวเท่านั้น สำหรับประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์นั้นเล่า ร่างจริงของเขาก็มาถึงที่นี่ก่อนแล้ว ร่างแปรก็สลายหายไปราวกับฟองอากาศ
“ตงป๋อ คราวนี้ช่างทำให้วังทวีสูญของข้าได้หน้าอย่างมากมายจริงๆ ขั้นรวมเป็นหนึ่งระดับชั้นที่เจ็ด…ฮ่าฮ่า ในที่สุดวังทวีสูญของข้าก็มีผู้ล้ำเลิศร้ายกาจขั้นรวมเป็นหนึ่งระดับชั้นที่เจ็ดกับเขาคนหนึ่งแล้ว” ประมุขตำหนักวารีสวรรค์หัวเราะอยู่ที่นั่น
“ตงป๋อ นั่งลงเร็วเข้า” จอมมารก็พูดขึ้นเช่นกัน “ประมุขตำหนักวารีสวรรค์ที่สามารถมาได้ก็พยายามเอาร่างจริงมา ร่างแปรอื่นๆ ผู้ที่มาต่างก็มีธุระสำคัญติดตัว ส่วนใหญ่ยังอยู่ที่ชายขอบของห้วงอากาศ ต้านทานกับฝูงมารผลาญทำลาย มิอาจปลีกตัวออกมาได้”
จอมมารเองก็ค่อนข้างทอดถอนใจ
จักรวาลภูมิลำเนาของเขา ในยุคนั้นของเขา เขาได้พบเข้ากับผู้ล้ำเลิศร้ายกาจอย่างจอมกระบี่ ถึงแม้ว่าเขาจะมีจิตต่อสู้แต่กลับเข้าใจในความยิ่งใหญ่ของความห่างชั้นระหว่างกันดี! ตอนนั้นเขาก็เป็นผู้ปกครองที่เลิศล้ำอยู่แล้ว จอมกระบี่จึงค่อยๆ รุ่งโรจน์ขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ความเร็วในการบำเพ็ญของจอมกระบี่นั้นรวดเร็วเป็นที่สุด หลังจากที่นำหน้าจอมมารแล้ว จอมมารก็รู้สึกว่าความห่างชั้นซึ่งกันและกันนั้นห่างมากขึ้นเรื่อยๆ…จอมกระบี่มาถึงวังทวีสูญก็เป็นเทพจักรวาลมาก่อนแล้ว ทั้งยังปลีกวิเวกอยู่บ่อยๆ เช่นเดียวกัน เกรงว่าความห่างชั้นจะยิ่งมากขึ้นไปอีก
จอมกระบี่ก็แล้วไปเถิด ตอนนี้ยุคต่อมาของจักรวาลภูมิลำเนาถึงกับมีตงป๋อเสวี่ยอิงโผล่ขึ้นมาคนหนึ่ง
ขั้นรวมเป็นหนึ่งก็สามารถเป็นชั้นที่เจ็ดได้! ไม่ต้องสงสัยเลยแม้แต่น้อยว่าบำเพ็ญไปเป็นระยะเวลาอีกเพียงเล็กน้อยก็จะสามารถไปถึงชั้นที่แปดขั้นสุดยอดได้ เพียงพอที่จะบดขยี้เขาได้แล้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งลงแล้วเอ่ยอย่างพรั่นพรึงว่า “ต้านทานฝูงมารผลาญทำลายอย่างนั้นหรือ สถานการณ์รุนแรงถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
“ตั้งแต่โลกทิพย์โบราณดั้งเดิมแตกสลาย ชายขอบของห้วงอากาศก็มีฝูงมารผลาญทำลายปรากฏขึ้น นอกจากนี้ฝูงมารผลาญทำลายก็ค่อยๆ เพิ่มจำนวนมากขึ้นตามกาลเวลา วังทวีสูญของข้าก็รับผิดชอบอาณาเขตส่วนหนึ่งในนั้น โชคดีที่มีท่านบรรพชนประจำการอยู่ที่นั่น ข้ายังสามารถให้ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ช่วยตอบสนองได้อยู่บ่อยๆ” ประมุขตำหนักวารีสวรรค์เชียนอี้กระพือปีกคราหนึ่งพลางส่ายศีรษะน้อยๆ
“ท่านบรรพชนประจำการหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้งคราหนึ่ง
“ใช่แล้ว ท่านบรรพชนที่อยู่ในวังทวีสูญเป็นเพียงร่างแปรเท่านั้นเอง ฮ่าฮ่า ท่านบรรพชนระดับขั้นสูงส่งเป็นที่สุด เจ้าคงดูไม่ออกกระมัง”
……
ในงานเลี้ยงคราวนี้ บรรดาประมุขตำหนักของวังทวีสูญต่างก็พูดคุยกับตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างคนรุ่นเดียวกันอย่างแท้จริง พวกเขาต่างก็รู้ดีว่าอีกไม่นานสักเท่าใด ตงป๋อเสวี่ยอิงก็จะเป็นประมุขตำหนักวารีสวรรค์คนที่สิบสามของวังทวีสูญแล้ว
บนยอดเขาหลิงอวิ๋น
ภายในห้องเงียบในคูหาของตงป๋อเสวี่ยอิง
รอหลังจากที่งานเลี้ยงสิ้นสุดลงแล้วตงป๋อเสวี่ยอิงก็กลับไปที่ภายในห้องเงียบ เขาจุดกำยานก่อนแล้วจึงนั่งขัดสมาธิลงบนเบาะรองนั่งดิ้นเงินแล้วเริ่มต้นสงบจิตใจ
“ควรจะบำเพ็ญให้ดีๆ ได้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็รู้สึกว่าควรจะสงบจิตใจให้บรรลุไปถึงขั้นอลวนได้แล้ว
ทันใดนั้นเขาก็หลับตาลง
ไม่สนใจสิ่งรบกวนจากโลกภายนอก ความคิดจิตใจทั้งหมดต่างก็อยู่กับวิถีโลกเทียม หยั่งรู้ความเร้นลับต่างๆ นานาของวิถีโลกเทียม แม้กระทั่งหลังจากที่คิดค้น ‘เคล็ดวิชาบุปผาผลาญทำลาย’ แล้ว เขาก็ยังมิได้สัมผัสประสบการณ์การเหนี่ยวนำวิถีโลกเทียมโดยละเอียดเลย ยามนี้หยั่งรู้ขึ้นมา การตระหนักรู้จำนวนไม่น้อยก็พรั่งพรูขึ้นมาในใจ…
……
“ตงป๋อเสวี่ยอิงปลีกวิเวกไปแล้ว รอให้ออกจาการปลีกวิเวก เกรงว่าคงจะได้เป็นขั้นอลวนแล้วล่ะ”
ณ สถานที่อีกแห่งหนึ่งในวังทวีสูญ ‘บรรพชนเทียนอวี๋’ ชายชราหลังค่อมเอ่ยกลั้วหัวเราะ “วังทวีสูญของข้าก็จะมีขั้นอลวนเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่ง เขาเชี่ยวชาญเขตลวง ถึงเวลานั้นก็สามารถบอกเรื่องบางอย่างกับเขาได้ ก็จำเป็นจะต้องให้เขาเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงให้กับวังทวีสูญแล้ว”
จอมกระบี่พยักหน้า
อย่างเช่นขั้นรวมเป็นหนึ่ง โดยทั่วไปต่างก็วิ่งวุ่นรับภารกิจต่างๆ ไปทั่วสารทิศ ให้ตนเองได้ฝึกฝนขัดเกลาเป็นสำคัญ! ไปถึงชั้นที่ห้าของเจดีย์ดาวจนได้ชื่อว่าเป็นผู้อาวุโสตำหนักในแล้วจึงอนุญาตให้มุ่งหน้าไปต่อสู้ที่ชายขอบของห้วงอากาศได้ อันที่จริงแล้วสงครามที่ชายขอบของห้วงอากาศก็ยังอาศัยบรรพชนเทียนอวี๋และเหล่ายักษ์ใหญ่ขั้นอลวนเป็นหลัก ผู้อาวุโสตำหนักในไป หนึ่งก็เพื่อทรัพยากร สองก็เพื่อการขัดเกลา
ขั้นอลวน จึงจะเป็นกำลังรบที่สำคัญ จึงจะมีสิทธิ์ได้ล่วงรู้ความลับมากยิ่งขึ้น
“ตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ประสบความสำเร็จเช่นนี้ก็ยังไม่ป่าวประกาศเลยแม้แต่น้อย” จอมกระบี่เอ่ยอย่างชื่นชม
“บางทีเจ้าเด็กผู้นี้อาจจะนึกอยากจัดการจอมเทพศักดิ์สิทธิ์กระมัง” บรรพชนเทียนอวี๋พูดยิ้มๆ
“ฮ่าฮ่า ผู้ไม่รู้ย่อมไม่เกรงกลัวอยู่แล้ว นี่เป็นเรื่องดีนะ” จอมกระบี่ส่ายศีรษะ “ข้าเองก็เตรียมตัวจะปลีกวิเวกอีกครั้งเช่นกัน”
“อืม เรื่องอื่นๆ เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องใส่ใจหรอก ข้าสามารถจัดการให้เรียบร้อยได้อยู่แล้ว เจ้าแค่ตั้งใจบำเพ็ญอย่างเดียวก็พอ รอให้มีความมั่นใจเต็มร้อยก็ถึงเวลาเริ่มต้นได้แล้ว” นัยน์ตาของบรรพชนเทียนอวี๋มีแววเยียบเย็น “ถึงเวลานั้นโลกทิพย์อื่นๆ อีกห้าแห่งก็จะสนับสนุนวังทวีสูญของข้าอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย แม้กระทั่งทำลายโลกทิพย์ทะเลสัตตดาราก็คุ้มค่า อย่างมากที่สุดก็เริ่มสร้างโลกทิพย์อีกแห่งหนึ่งขึ้นใหม่เท่านั้นเอง”
จอมกระบี่พยักหน้า “ข้าย่อมไม่มีทางทำให้ทุกท่านผิดหวังอย่างแน่นอน”
……………………………………
ตอนที่ 2 เป็นขั้นอลวนในที่สุด
โดย
Ink Stone_Fantasy
ภายในห้องเงียบในเรือนพัก บนยอดเขาหลิงอวิ๋นแห่งวังทวีสูญ
ตงป๋อเสวี่ยอิงบำเพ็ญอย่างเงียบๆ ตามลำพัง เขาสั่งสมอย่างหนักแน่นเหลือเกิน ตอนที่ยังมิได้คิดค้นเคล็ดวิชาบุปผาผลาญทำลายออกมาก็มีความมั่นใจอย่างเต็มที่ว่าจะเหยียบย่างเข้าสู่ขั้นอลวนได้อย่างแน่นอนแล้ว ตอนนี้ยังคิดค้นเคล็ดวิชาบุปผาผลาญทำลายออกมาได้อีก… นี่เพิ่งจะตั้งใจบำเพ็ญก็มีการตระหนักรู้พรั่งพรูขึ้นมาอย่างไม่หยุดหย่อนแล้ว ความเข้าใจในวิถีโลกเทียมก็ล้ำลึกยิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“หืม”
เพิ่งปลีกวิเวกไปเพียงแค่เดือนกว่าๆ เท่านั้นเอง
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ลืมตาขึ้นด้วยความตกใจเล็กน้อย “คิดไม่ถึงว่าศาสตร์โบราณของข้าจะเหยียบย่างเข้าสู่ขั้นอลวนก่อน”
ใช่แล้ว
ถึงแม้ว่าจะตั้งใจหยั่งรู้วิถีโลกเทียมเพียงอย่างเดียว ถึงแม้จะยังไม่มีความมั่นใจว่าจะสำเร็จวิถีโลกเทียมขั้นอลวนได้อย่างสมบูรณ์ แต่วิชาสืบทอดศาสตร์โบราณ เคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาด การแปรที่เจ็ดนั้น เขาก็เข้าใจมันได้เองโดยธรรมชาติ เพราะเดิมทีเคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดก็เป็นประเภทเขตลวง การแปรที่เจ็ดก็หมายถึงพลังคุกคามขั้นต่ำสุดของเคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดขั้นอลวน สำเร็จเพียงแค่ชั้นที่หกของเจดีย์ดาวเท่านั้น!
การแปรที่หกคือพลังยุทธ์ชั้นที่ห้า การแปรที่เจ็ดก็คือ ‘ชั้นที่หก’ อันเป็นระดับต่ำสุดของขั้นอลวน การแปรที่แปดก็คือพลังยุทธ์ชั้นที่เจ็ด และขั้นสุดยอดของปีศาจชาดเก้าแปรก็คือ ‘พลังยุทธ์ชั้นที่แปดของเจดีย์ดาว’
พลังยุทธ์ชั้นที่แปดของเจดีย์ดาวก็เป็นระดับที่สูงมาก คิดอยากจะไปถึงชั้นที่เก้าในตำนานน่ะหรือ ลำพังแค่เคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดก็ไม่เพียงพออยู่แล้ว จักรพรรดิดำก็บำเพ็ญสี่เคล็ดวิชาสืบทอดไปพร้อมกัน สามเคล็ดวิชาสืบทอดในนั้นล้วนสมบูรณ์แบบทั้งสิ้น
“บรรลุเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะอย่างเงียบๆ
ความเร้นลับที่แฝงอยู่ในการแปรที่เจ็ดของปีศาจชาดนั้นตื้นเขินโดยแท้ ถึงอย่างไรพลังคุกคามของเคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดที่ตนดัดแปลงแล้วก็เทียบเคียงกับมันแล้ว ถึงขนาดที่ไม่จำเป็นต้องสำเร็จวิถีโลกเทียมระดับขั้นอลวนอย่างสมบูรณ์ ระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์มีมาตรฐานสูง จำเป็นต้องสำเร็จอย่างยอดเยี่ยม แต่ระบบศาสตร์โบราณ…นั้นสามารถสำแดงได้ เห็นได้ชัดว่าตอนนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงก็สามารถสำแดงได้แล้ว
“บรรลุแล้ว วิญญาณของข้าก็สามารถแข็งแกร่งยิ่งขึ้นได้ ก็สามารถบำเพ็ญได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้นอีก” ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่ลังเลอีกต่อไป เขาโบกมือคราหนึ่งในทันทีแล้วหยิบเอาทรัพยากรล้ำค่าจำนวนหนึ่งที่เตรียมเอาไว้แล้วออกมา การเหยียบย่างเข้าสู่ขั้นอลวนนั้นจำเป็นต้องอาศัยทรัพยากร
……
การบรรลุนั้นเป็นไปตามธรรมชาติ เคล็ดวิชาสืบทอดการแปรที่เจ็ดของปีศาจชาดนั้นสงบกว่าแต่กลับมีผลช่วยส่งเสริมวิญญาณที่ชัดเจนกว่า วิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ย่อมเปลี่ยนเป็นแกร่งกล้าขึ้นตามธรรมชาติอยู่แล้ว แต่ทันใดนั้นเอง…
“ครืน…”
การเปลี่ยนแปลงเชิงปริมาณก็ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงคุณภาพ
วิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงเกิดความเปลี่ยนแปลงในเนื้อแท้ขึ้นมาในทันที นี่เป็นความเปลี่ยนแปลงซึ่งขั้นรวมเป็นหนึ่งที่เหยียบย่างเข้าสู่ขั้นอลวนทุกคนล้วนมีกันทั้งสิ้น ที่โลกทิพย์ ร่างแปรของผู้แกร่งกล้าขั้นรวมเป็นหนึ่งต่างก็ไม่สามารถไปจากร่างจริงได้ไกลนัก แต่เหล่ายักษ์ใหญ่ขั้นอลวนนนั้นเพียงแค่ความนึกคิดเดียวก็สามารถไปจากร่างแปรได้ไกลหลายร้อยล้านลี้แล้ว ถึงขนาดที่ร่างแปรสามารถจากไปล่องลอยในอากาศอันสับสนอลหม่าน หรือแม้กระทั่งมุ่งหน้าไปยังโลกทิพย์อื่นๆ ได้!
เช่นประมุขตำหนักวารีสวรรค์จำนวนมากมายของวังทวีสูญ ยามที่มาแสดงความยินดีกับตงป๋อเสวี่ยอิง ร่างจริงของพวกเขาจำนวนมากต่างก็ยังอยู่ที่ชายขอบของห้วงอากาศอันไกลโพ้น แต่ร่างแปรกลับสามารถกลับมาได้!
ขั้นรวมเป็นหนึ่งสามารถทำได้หรือไร
ขั้นรวมเป็นหนึ่งนั้น กระทั่งแยกห่างกันล้านล้านลี้ก็ยังไม่สามารถทำได้
พลังวิญญาณของพวกเขาแตกต่างกันอย่างใหญ่หลวงเช่นนั้นจริงๆ หรือ เห็นได้ชัดว่ามิใช่!
ว่ากันอย่างจริงจังแล้ว
ยังคงเป็นปัญหาที่ ‘คุณภาพ’ น้ำที่หนักหนึ่งจิน กับเหล็กกล้าที่หนักหนึ่งจินนั้นมีน้ำหนักเท่ากัน แต่หากพูดถึงพลังคุกคามในการปะทะแล้ว ภายใต้สถานการณ์ปกติเหล็กกล้าก็ย่อมชนะอยู่แล้ว นอกจากนี้ยังชนะในด้านการบดขยี้ด้วย แน่นอนว่า ‘น้ำที่หนักหนึ่งจิน’ นั้นถ้าหากก่อร่างเป็นกระบอกฉีดน้ำแรงดันสูงก็อาจสามารถตัดเหล็กกล้าให้ขาดได้! ผู้ล้ำเลิศร้ายกาจในบรรดาขั้นรวมเป็นหนึ่งอาจมีความหวังที่จะเอาชนะขั้นอลวนได้ แต่ถ้าหากขั้นอลวนก็ร้ายกาจขึ้นมาด้วยเช่นกัน นำเหล็กกล้ามาสร้างเป็นอาวุธชนิดต่างๆ พลังคุกคามก็ย่อมต้องน่าหวั่นเกรงมากขึ้นเป็นธรรมดาอยู่แล้ว
“ความรู้สึกเช่นนี้ช่างวิเศษเหลือเกิน” ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกได้ถึงการรับสัมผัสของวิญญาณต่อโลกภายนอก เพียงแค่ความนึกคิดเดียว สัมผัสรับรู้ของเขาก็แผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งมิติทวีสูญอย่างรวดเร็ว ถึงขนาดที่ผ่านทะลุออกไปนอกมิติทวีสูญด้วย
ฟิ้ว…
สัมผัสรับรู้ของเขาแทรกซึมผ่านไปในทันใด นี่รวดเร็วยิ่งกว่าการเคลื่อนที่ในพริบตาใดๆ เสียอีก นี่เป็นเพียงแค่เวลา ‘นึกคิด’ เท่านั้น เขาสัมผัสรับรู้ได้เป็นอาณาบริเวณกว่าครึ่งโลกทิพย์แล้ว!
ใช่แล้ว กว่าครึ่งโลกทิพย์ แม้กระทั่ง ‘เกาะปฐมบรรพชน’ เขาก็ยังสามารถสัมผัสรับรู้ได้อย่างรางๆ แต่สัมผัสรับรู้ชนิดนี้ช่างเลือนรางอย่างยิ่ง ก็เหมือนกับมนุษย์ธรรมดามองลงมาจากฟากฟ้าเบื้องบน ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนรางเลือน สามารถสัมผัสรับรู้ได้ถึงรูปร่างของทิวเขาและโครงร่างภูมิประเทศอย่างคร่าวๆ เท่านั้น…ในการสัมผัสรับรู้อาณาบริเวณนี้ เขาก็สามารถส่งร่างแปรมาได้ในความนึกคิดเดียว!
ในยามที่เขาจงใจปลดปล่อยสัมผัสรับรู้ เพราะสัมผัสรับรู้ชนิดนี้เลือนรางเป็นอย่างยิ่ง ก็เหมือนกับมนุษย์ธรรมดามองมาจากที่ไกลๆ มนุษย์ธรรมดาคนอื่นๆ โดยทั่วไปย่อมมิอาจสังเกตเห็นได้อยู่แล้ว
เหตุผลเดียวกัน
แม้กระทั่งยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนจำนวนมากต่างก็มิอาจรู้สึกถึงสัมผัสรับรู้จากที่ไกลๆ อันเลือนรางชนิดนี้ได้ มีน้อยรายนักที่สามารถสังเกตได้ แต่เหล่าเทพจักรวาลนั้นไม่เหมือนกัน! อาณาเขตกฎเกณฑ์ของเหล่าเทพจักรวาลเป็นระบบจักรวาลที่มีอยู่ในตัวเอง มีความเฉียบแหลมกับสัมผัสรับรู้ใดๆ เป็นอย่างยิ่ง
“หืม” ภายในวังทวีสูญ บรรพชนเทียนอวี๋ที่อยู่ในลานบ้านของตนเองสามารถสัมผัสรับรู้ได้แล้ว เขาเผยสีหน้าตกตะลึงแล้วมองไปยังทิศทางของยอดเขาหลิงอวิ๋นพร้อมรอยยิ้มร่าในทันที “ตงป๋อ ยินดีด้วยที่เจ้าเหยียบย่างเข้าสู่ขั้นอลวนได้แล้ว”
“ท่านบรรพชน” ตงป๋อเสวี่ยอิงตอบกลับในทันที
“ฮ่าฮ่า นี่เพิ่งปลีกวิเวกมาเพียงเดือนกว่าเท่านั้นก็บรรลุแล้ว ช่างรวดเร็วเสียจริง วางแผนจะเปิดตำหนักที่สิบสามของวังทวีสูญของข้าเมื่อใดกันหรือ” บรรพชนเทียนอวี๋เอ่ยถาม
“อย่ารีบร้อนไป รอหลังจากที่ข้ารวบรวมทุกสิ่งทุกอย่างเสร็จสิ้นก่อนเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงพูด
“ได้สิ” บรรพชนเทียนอวี๋ก็เข้าใจ ตามปกติแล้วหลังจากที่บรรลุ ล้วนต้องมีระยะรวบรวมการยกระดับพลังยุทธ์ ระยะนี้ผู้บำเพ็ญต่างก็ไม่อยากให้โลกภายนอกรบกวนสักเท่าใดนัก
……
เกาะปฐมบรรพชน ร่างจริงของท่านบรรพชนคีรีมาร นั่นคือยอดเขาสีดำอย่างแท้จริง
เขาลืมตาทั้งสองขึ้นบนกำแพงภูเขา
“ฮ่าฮ่า ตงป๋อเสวี่ยอิง ยินดีด้วยที่เหยียบย่างเข้าสู่ขั้นอลวนแล้ว” ท่านบรรพชนคีรีมารถ่ายเสียงพูดโดยตรง ระยะการสัมผัสรับรู้ของตงป๋อเสวี่ยอิงห่อหุ้มเกาะปฐมบรรพชนเอาไว้ ถึงแม้ว่าสัมผัสรับรู้นี้จะละเอียดอ่อนเป็นอย่างมาก แม้กระทั่งตัวตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็ยังแยกแยะรูปลักษณ์ภายนอกของเกาะปฐมบรรพชนได้อย่างรางๆ เท่านั้น แต่ท่านบรรพชนคีรีมารก็ยังสังเกตพบเขาได้อย่างง่ายดายอยู่ดี
……
“หืม”
โลกทิพย์ทะเลสัตตดารามีหอหมื่นโลกาอยู่มากพอสมควร
ภายในหอหมื่นโลกาทุกแห่งต่างก็มีประมุขอยู่คนหนึ่ง พวกเขาต่างก็เป็นร่างแยกของประมุขหอหมื่นโลกา พวกเขาคล้ายจะเงยหน้าขึ้นมองไปยังทิศทางของวังทวีสูญพร้อมกัน
“มีขั้นอลวนเพิ่มขึ้นมาคนหนึ่งอย่างนั้นหรือ” ประมุขหอหมื่นโลกายิ้มน้อยๆ “ตงป๋อเสวี่ยอิงหรือ มหาโลกทิพย์ทั้งห้านี้มีเด็กที่ร้ายกาจเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่งแล้วสินะ”
……
“ตงป๋อ ยินดีด้วย บำเพ็ญให้ดีๆ ในอนาคตวังทวีสูญของข้าอาจมีชั้นที่เก้าของเจดีย์ดาวเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่งก็เป็นได้” ประมุขตำหนักอลหม่านเองก็สัมผัสรับรู้ได้แล้วเช่นกัน เป็นระดับชั้นที่เก้าของเจดีย์ดาวเช่นเดียวกัน สิ่งที่ประมุขวังเจียงฝู่เชี่ยวชาญก็คือระบบการบำเพ็ญพลรบซึ่งแกร่งที่สุดก็ย่อมมิอาจสัมผัสรับรู้ได้ ส่วนการควบคุมอาณาบริเวณโดยรอบตนเองของประมุขตำหนักอลหม่านนั้นกลับเฉียบคมมากกว่าไม่รู้กี่เท่า นั่นเพียงพอที่จะเทียบเคียงกับเทพจักรวาลได้แล้ว
“ชั้นที่เก้าของเจดีย์ดาวหรือ ตอนนี้ยังห่างไกลกับข้าอยู่พอสมควรทีเดียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ
ยิ่งเข้าใจมากก็ยิ่งนับถือชั้นที่เก้าของเจดีย์ดาวมากขึ้น ระดับความยากของการเป็นชั้นที่เก้าของเจดีย์ดาวนั้นพอๆ กับการมีชั้นที่เจ็ดคนหนึ่งเกิดขึ้นมาในขั้นรวมเป็นหนึ่งเลยทีเดียว
แต่เมื่อเทียบกันแล้วชั้นที่เก้าของเจดีย์ดาวนั้นมีจำนวนมากกว่าอยู่พอสมควร เพราะเหตุใดน่ะหรือ
ก็เพราะยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนจำนวนมากมาย ตอนแรกต่างก็เป็นเพียงแค่พลังยุทธ์ระดับชั้นที่ห้าของเจดีย์ดาว หลังจากนั้นค่อยบรรลุไปถึงขั้นอลวน มีบางส่วนที่พลังยุทธ์ชั้นที่หกก็บรรลุแล้ว อย่างไรก็ตาม ผู้ที่จ้องจะเป็นขั้นรวมเป็นหนึ่งเหยียบย่างเข้าสู่ชั้นที่เจ็ดแล้วค่อยบรรลุนั้นมีอยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น ต่อให้คิดอยากจะทำเช่นนี้ แต่ล้วนค้นพบว่าการไปถึงชั้นที่เจ็ดนั้นช่างยากเย็นยิ่งนัก สุดท้ายต่างก็ยอมแพ้แล้วกลายเป็นขั้นอลวนก่อน!
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็สั่งสมมามากเพียงพอ บวกกับยามที่ท่านอาจารย์สิ้นชีพนั้นมีผลกระทบต่อระดับจิตใจของเขา จึงทำให้เขาสามารถสำเร็จได้ในรวดเดียว
แต่ขั้นอลวนนั้นเไม่เหมือนกันเสียแล้ว พวกเขาต้องการเหยียบย่างกลายเป็นเทพจักรวาล นี่ก็คือการติดค้างท้ายที่สุดที่ยากเย็นที่สุดในบรรดาระดับขั้นการบำเพ็ญที่มีอยู่ทั้งหมดแล้ว! ในท้ายที่สุดแล้วผู้บำเพ็ญที่เลิศล้ำยุคแล้วยุคเล่าจำนวนนับไม่ถ้วนต่างก็ติดค้างกันอยู่ที่นี่ทั้งสิ้น ได้แต่ขัดเกลาตนเอง ไล่ตามขีดจำกัดอย่างไม่หยุดหย่อน จึงจะมีขั้นอลวนระดับชั้นที่เก้าของเจดีย์ดาวถือกำเนิดขึ้นมาได้บ้าง มนุษย์น้ำแข็งและจำนวนของขั้นอลวนชั้นที่เก้ายังน้อยกว่าจำนวนเทพจักรวาลเสียอีก
……
ศาสตร์โบราณ ‘เคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาด’ บรรลุเหยียบย่างเข้าสู่ขั้นอลวน วิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงแกร่งกล้าขึ้น อีกทั้งยังมีการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพ ความเร็วในการวิวัฒน์บำเพ็ญยกระดับขึ้นอย่างมหาศาลอย่างเห็นได้ชัด
คราวนี้ไม่มีการพลิกผันแต่อย่างใด เพียงแค่หลังจากที่ปลีกวิเวกมาสามร้อยกว่าปีแล้ว ‘วิถีโลกเทียม’ ก็เหยียบย่างเข้าสู่ระดับขั้นอลวนอย่างธรรมดายิ่ง
“ปัง”
ในที่สุด ‘รากฐานโลกเทียม’ ภายในร่างกายก็ระเบิดปะทุออกมา วิวัฒน์ออกมาจากจักรวาลอลหม่าน…นี่จึงจะเป็นระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ก้าวข้ามขั้นอลวน
…………………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น