Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 30 ตอนที่ 6-8
ตอนที่ 6 กู่ฉี
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังจากยักษ์ทั้งสี่ตนแหงนหน้าคำรามแล้ว ก็จ้องมองตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ไกลออกไปเขม็ง หลังจากเสียงดังสวบ พวกเขาก็กลายเป็นเงาราง
แม้จะกล่าวว่าความเร็วด้อยกว่าร่างจริง แต่ก็เร็วเสียจนทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงอ้าปากค้าง “ไม่เสียทีที่กายหยาบของอสนีโรจน์ผู้นี้แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาขั้นรวมเป็นหนึ่งของโลกทิพย์ทั้งห้า แม้แต่ร่างยักษ์ที่แบ่งออกมาก็ยังรวดเร็วถึงเพียงนี้”
“ตู้มมมม…”
ยักษ์ทั้งสี่ตนก่อให้เกิดเส้นโค้งสายแล้วสายเล่าล้อมโจมตีไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง ฝ่ามือของพวกเขาราวกับสลักเสลาขึ้นจากหิน บ้างก็ตะปบเข้ามา บ้างก็คว้าเข้ามาในรูปแบบของกรงเล็บ บ้างก็ฟาดฟันเข้ามาอย่างดุเดือด…แม้การโจมตีจะยังไม่กระทบถูกร่าง แต่อานุภาพก็ทำให้มิติรอบด้านเริ่มแตกออกเสียงดังเปรี๊ยะๆๆ ราวกับกระจก รอยแยกจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น
นี่คือพละกำลังที่ปะทุออกมาอย่างเต็มที่! พวกมันล้วนถูกประมุขเจดีย์อสนีควบคุมโดยมองข้ามเขตลวงไป
“เฮอะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกำหนดจิตคราหนึ่ง เส้นสายของระลอกคลื่นจำนวนนับไม่ถ้วนแผ่คลุมไปทั่วฟ้าแล้วพันธนาการยักษ์ทั้งสี่ตนเอาไว้อย่างรวดเร็ว ทำให้ความเร็วของพวกเขาลดลงเล็กน้อย ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบส่ายหน้า อานุภาพของแผนภาพคลื่นจานก็ยังไม่เพียงพอ หากสามารถก้าวไปอีกขั้นหนึ่ง จนถึงระดับเจดีย์ดาวชั้นที่หกได้ ก็จะมีประโยชน์มากทีเดียว
ทว่าบริเวณระลอกคลื่นเป็นเพียงส่วนเสริมเท่านั้น ท่าไม้ตายของตงป๋อเสวี่ยอิงก็คือใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์
ทันใดนั้นโลกลวงสิบสองแห่งก็ก่อให้เกิดประกายอันสว่างเรืองรองระลอกหนึ่งขึ้นมา
ฟิ้วๆๆ…ใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์สิบสองสายร่อนลงมาจากความเลือนราง ตอนที่พวกมันปรากฏขึ้นมาก็ขวางอยู่ที่หน้ายักษ์สี่ตนพอดี และใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์ทุกสามสายก็ล้อมโจมตีไปทางยักษ์หนึ่งตน
“ใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์สิบสองสายหรือ” ประมุขเจดีย์อสนีซึ่งยืนอยู่ห่างออกไปด้วยความมั่นใจในตนเองเป็นอย่างมากมาตลอด เมื่อเห็นเข้าสีหน้าก็เปลี่ยนแปรไป
“ตู้มๆๆ…”
ใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์สิบสองสายปะทะเข้ากับยักษ์สี่ตน ยักษ์แต่ละตนเปล่งเสียงคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยวออกมาพลางกวัดแกว่งฝ่ามือเข้าไปรับเอาไว้
ด้านหนึ่งคือร่างยักษ์ทั้งสี่ที่ประมุขเจดีย์อสนีฝึกขึ้นมา ซึ่งมีความสามารถในการต่อสู้ประชิดตัวขั้นสุด
ด้านหนึ่งคือใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์ซึ่งรุกโจมตีเข้ามาถึงสิบสองสายด้วยกัน!
สิ้นเสียงร้องสั่นสะเทือนทั่วฟ้า
ลูกหลงจากการต่อสู้ของใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์สายหนึ่งก็กวาดออกไปกว่าหมื่นลี้แล้ว ลูกหลงจากฝ่ามือของเหล่ายักษ์ที่กวัดแกว่งออกมายิ่งกวาดออกไปเป็นวงกว้างหลายหมื่นลี้ ไปจนกระทั่งหลายแสนลี้! นี่มิใช่ฝ่ามือของยักษ์ที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น หากแต่เป็นพละกำลังของใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์ที่เก็บงำและรวมตัวกันต่างหาก การโจมตีของเหล่ายักษ์ปะทุรุนแรงบ้าคลั่งและเปิดเผยมากกว่า
รอจนใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์สลายหายไป ยักษ์สี่ตนยืนอยู่บนผืนดินอันเวิ้งว้าง พวกเขาแต่ละตนล้วนมีบาดแผลฉกรรจ์อยู่ บาดแผลบางส่วนแทบจะทำให้ร่างกายฉีกขาดไปกว่าครึ่ง ทว่าพวกเขาก็ฟื้นฟูขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
ส่วนผืนดินแห่งนี้…
บริเวณหลายแสนลี้รอบด้านกลายเป็นซากปรักหักพังไปหมด พื้นที่เขียวชอุ่มซึ่งเดิมทีเต็มไปด้วยชีวิตชีวาถูกทำลายไปกว่าครึ่ง
นี่คือโลกทิพย์ ลูกหลงจากการต่อสู้ก็ทำลายพื้นที่ไปหลายแสนลี้ นี่จะต้องเป็นการประมือของระดับยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนเป็นแน่ แต่แน่นอนว่าเป็นยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนที่ค่อนข้างจะอ่อนแอ! หากเป็นผู้ที่อาวุโสหน่อย ลูกหลงจากการต่อสู้ภายในโลกทิพย์จะแผ่ออกไปกว่าล้านลี้ก็เป็นเรื่องปกตินัก
“สามารถต้านทานรูปยักษ์ทั้งสี่ของข้าได้ ก็ควรค่าแก่การให้ข้าทุ่มเทสุดกำลังจริงๆ” ในที่สุดประมุขเจดีย์อสนีซึ่งอยู่ห่างออกไปก็ขยับแล้ว
สวบ!
เขามิได้สำแดงเคล็ดบริเวณที่ค่อนข้างลือชื่อของเขาออกมา หากแต่เข้าใจว่า ตงป๋อเสวี่ยอิงคือขั้นรวมเป็นหนึ่งที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งเขาเคยพบเจอมาอย่างแน่นอน วิธีการตามปกติก็เป็นการสิ้นเปลืองเวลาอย่างสิ้นเชิง
“นี่จึงจะเป็นท่าไม้ตายที่แข็งแกร่งที่สุด รับกระบวนท่าเสียเถอะ”
เสียงแทรกเข้าไปในหูของตงป๋อเสวี่ยอิง
ประมุขเจดีย์อสนีกลับแปรเป็นลำแสงสายหนึ่งมาถึงข้างกายตงป๋อเสวี่ยอิง รวดเร็วเกินไปแล้ว ระยะห่างระหว่างทั้งสองฝ่ายก็ไม่นับว่าไกลนัก ความเร็วอันน่าหวาดหวั่นของประมุขเจดีย์อสนี แทบจะไม่แพ้ผลของการเคลื่อนที่ในพริบตาเลย หากกล่าวว่าความเร็วของร่างยักษ์เหนือกว่าตนเอง เช่นนั้นความเร็วในการสำแดงของประมุขเจดีย์อสนีก็ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึงไปแล้ว ความเร็วแตกต่างกันมากยิ่งนัก
ในฐานะขั้นรวมเป็นหนึ่งผู้มีร่างกายแข็งแกร่งที่สุด เพื่อจะรักษาชีวิต ร่างจริงของประมุขเจดีย์อสนีมีความเร็วและการป้องกันที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง!
“ฟิ้ว” “ฟิ้ว”
ฝ่ามืออันขาวซีดทั้งสองของประมุขเจดีย์อสนีตะปบมาทางตงป๋อเสวี่ยอิงพร้อมกันแบบธรรมดาทั่วไป แต่ฝ่ามือของเขาข้างหนึ่งมีสายฟ้ารายล้อมอยู่ อีกข้างหนึ่งก็มีเปลวเพลิงลุกโชน ดูเหมือนจะธรรมดามาก เมื่อพูดถึงท่าทีแล้วก็อ่อนแอกว่าร่างยักษ์มาก แต่นี่ต่างหากจึงจะเป็นกระบวนท่าที่น่าหวาดหวั่นที่สุดของประมุขเจดีย์อสนีอย่างแท้จริง
ศาสตร์ลับอสนีโรจน์เป็นสมญาของเขาที่เรียกขานกันภายนอก
ว่ากันว่าตอนที่เขายังอ่อนแอก็ได้ค้นคว้าสายฟ้าและเปลวเพลิงอย่างหลงใหล ไม่เหมือนกับการบำเพ็ญระบบทิพย์ที่ค้นคว้ามากมายหลายสิ่ง ในช่วงแรกประมุขเจดีย์อสนีก็ได้ค้นคว้าสายฟ้าและเปลวเพลิงเพียงสองด้าน ภายหลังจึงค่อยๆ ค้นคว้ากายหยาบ เขาผนวกกำลังของสายฟ้าและเปลวเพลิงเข้าด้วยกันและคิดค้นศาสตร์ลับอสนีโรจน์ขึ้นมาเอง อานุภาพสั่นสะท้านไปทั่วทุกทิศอย่างแท้จริง
ขณะร่างจริงเข้าโจมตี ร่างยักษ์อีกสี่ร่างยังคงคำรามพลางรุกโจมตีเข้ามาอีกครั้ง
“ตู้มๆๆ…” ตงป๋อเสวี่ยอิงแบ่งสมาธิไปสำแดงใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์สิบสองสายขัดขวางยักษ์ทั้งสี่ตนอีกครา ขณะเดียวกันเหนือฝ่ามือทั้งคู่ของตงป๋อเสวี่ยอิงก็พลันมีเกล็ดสีดำปรากฏขึ้นมา มือทั้งสองข้างดุจดั่งสัตว์ร้านอันไร้เทียมทาน กลิ่นอายเข่นฆ่าแผ่กลิ่นอายออกมา จากนั้นฝ่ามือทั้งสองของตงป๋อเสวี่ยอิงก็พุ่งตรงออกไปข้างหน้าราวกับกระบี่สองเล่ม
แคว่กกก…
ฝ่ามือที่มีเกราะเกล็ดสีดำปกคุลมคู่หนึ่งตรงเข้าไปรับฝ่ามือของประมุขเจดีย์อสนีซึ่งหน้า มุมปากของประมุขเจดีย์อสนีกระดกขึ้นเล็กน้อย แล้วจงใจเข้าไปรับเช่นเดียวกัน เขาก็เป็นคนที่หยิ่งทระนงคนหนึ่ง แล้วจะหลบเลี่ยงไปได้อย่างไรกัน
ชั่วขณะที่ปะทะกันนั่นเอง ฝ่ามือทั้งคู่ของประมุขเจดีย์อสนี สายฟ้าที่มือซ้ายพลันกลายเป็นเปลวเพลิง ส่วนเปลวเพลิงที่มือขวากลับกลายเป็นสายฟ้า การเปลี่ยนแปลงในชั่วขณะเช่นนี้ทำให้อานุภาพอันน่าหวาดหวั่นปะทุออกมา
ส่วนฝ่ามือของตงป๋อเสวี่ยอิงกลับอาจหาญเหิมเกริม เงารางของกรงเล็บหน้าขนาดมหึมาคู่หนึ่งปรากฏขึ้น แล้วแทงออกไปอย่างดุเดือดพร้อมกับฝ่ามือของตงป๋อเสวี่ยอิง
ปังงง…
ทั้งสองฝ่ายปะทะกัน
ทั้งร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงโซซัดโซเซถอยหลังไปหกก้าวอย่างควบคุมตนเองมิได้ แต่ละก้าวล้วนทำให้ผืนดินสั่นสะเทือน ส่วนประมุขเจดีย์อสนีก็ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง เขามองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยความตกตะลึง “เขาสามารถต้านทานท่าไม้ตายอสนีโรจน์ของข้าได้ด้วยหรือนี่
ตอนนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่ตรงนั้น ฝ่ามือเกราะเกล็ดสีดำทั้งสองมีเงารางของกรงเล็บหน้าขนาดมหึมาปกคลุมอยู่ แววอาฆาตอันน่าหวาดหวั่นแผ่กำจายอออกมา
“ข้าใช้กรงเล็บปาหลงสำแดงกระบี่ที่หกผลาญโลกาออกมา ก็ยังตกเป็นรองอยู่ดี” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบทอดถอนใจ
เคล็ดวิชาสืบทอดมังกรปาหลง ที่น่าหวาดหวั่นที่สุดก็คือฝ่ามือคู่หนึ่ง!
หากกล่าวว่าระดับความแข็งแกร่งของเกราะเกล็ดทั่วร่างเพียงพอจะเทียบได้กับอาวุธเทพอากาศชั้นกลาง เช่นนั้นฝ่ามือที่ใช้เป็นอาวุธก็เพียงพอจะเทียบได้กับอาวุธเทพอากาศชั้นบนแล้ว นอกจากนี้มันยังมีความแปลกพิสดารอยู่หลายอย่าง เมื่อใช้มันสำแดงกระบี่ที่หกผลาญโลกาออกมา อานุภาพยังยิ่งใหญ่กว่าใช้อาวุธสำแดงออกมาเสียอีก สามารถกล่าวได้ว่า…ในด้านการต่อสู้ประชิดตัว บัดนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงนับว่าเป็นฝ่ายได้เปรียบ แทงออกไปครั้งหนึ่งก็สามารถฉีกทึ้งยักษ์ตนหนึ่งออกมาได้ น่าเสียดายที่เมื่อเผชิญหน้ากับกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของประมุขเจดีย์อสนีก็ยังตกเป็นรองอยู่ดี
ทว่าตงป๋อเสวี่ยอิงกลับไม่มีอาการบาดเจ็บใดๆ!
“เข้ามาอีกสิ” ประมุขเจดีย์อสนีคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
ตู้ม!
ร่างจริงของเขาบุกสังหารเข้ามาอีกครา ยักษ์สี่ตนก็คำรามพลางบุกเข้ามา ร่างจริงที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งบวกกับยักษ์สี่ตน ในการบำเพ็ญระบบทิพย์ก็นับว่ากระบวนท่าน้อยแล้ว แต่กลับเพียงพอให้กดดันขั้นรวมเป็นหนึ่งคนอื่นๆ ได้ เพราะถึงอย่างไรบัดนี้โลกทิพย์ทั้งสามก็ยังไม่มียอดฝีมือขั้นรวมเป็นหนึ่งระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เจ็ดถือกำเนิดขึ้นมา! ตงป๋อเสวี่ยอิงเชื่อว่าตนสามารถปะทะได้ แต่อย่างน้อยเขาก็มิได้เข้าไปบุกฝ่าเจดีย์ดาวชั้นที่เจ็ดอย่างแท้จริง
“ทำได้ดีนี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ปะทุขึ้นมาแล้ว
ฝ่ามือเกราะเกล็ดสีดำซึ่งแฝงไว้ด้วยกลิ่นอายทำลายล้างและเข่นฆ่าเข้ารับการโจมตีซึ่งหน้า ใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์สายแล้วสายเล่าร่อนลงมาจากความว่างเปล่า ตงป๋อเสวี่ยอิงถึงขั้นแบ่งใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์สี่ห้าสายร่วมกับตนเองเข้าล้อมโจมตีประมุขเจดีย์อสนี! เพราะถึงอย่างไรใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์แค่แปดสาย…ก็เพียงพอที่จะสกัดกั้นยักษ์สี่ตนเอาไว้ได้แล้ว
การห้ำหั่นประชิดตัวของร่างจริงบวกกับใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ค่อยๆ เป็นฝ่ายได้เปรียบขึ้นมา
“อะไรน่ะ”
ประมุขเจดีย์อสนีโกรธเกรี้ยวหาใดเปรียบ
แม้ร่างกายของเขาจะแข็งแกร่งเสียจนสามารถฝืนต้านทานใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์ได้ แต่อานุภาพของใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์ยิ่งใหญ่เกินไป เมื่อฝืนต้านทานก็ทำให้เขาถูกกระแทกจนกระเด็นถอยหลังไปจนความเคลื่อนไหวในการต่อสู้ได้รับผลกระทบ หากพูดถึงเคล็ดลับแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงแห่งระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ยังตกเป็นรอง ฝ่ามือทั้งสองกลับกระทบเข้ากับร่างของประมุขเจดีย์อสนีอยู่บ่อยครั้ง
ปังๆๆ…
แม้ประมุขเจดีย์อสนีจะมิหวั่นเกรง แต่กลับถูกกระบวนท่าเข้าไปครั้งแล้วครั้งเล่า
“เฮอะ” ทันใดนั้นประมุขเจดีย์อสนีก็พลันถอยกรูดจนถึงที่ไกลออกไป ร่างยักษ์ทั้งสี่ก็พลันกลายเป็นเลือดเนื้อแล้วลอยไปทางเขาก่อนจะหลอมรวมเข้าไปในกายเขา เขามองตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยสายตาเยียบเย็นดุจน้ำแข็งแวบหนึ่ง คร้านที่จะพูดให้มากความ เขากวัดแกว่งฝ่ามือออกไป สายฟ้าและเปลวเพลิงในมือกะพริบวาบขึ้นมา แล้วแหวกทางเชื่อมมิติขึ้นมาสายหนึ่ง เขาสาวเท้าเข้าไปในนั้นแล้วจากไปทันที
ประมุขเจดีย์อสนีรู้สึกอดสูใจนัก
การรุกโจมตีของเขาดุเดือดมาก ยักษ์ทั้งสี่ล้วนแต่มีการรุกโจมตีที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง บวกกับร่างจริงที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า เมื่อประมือกับขั้นรวมเป็นหนึ่งเขาล้วนเป็นฝ่ายกดดันโจมตีผู้อื่น!
แต่ครั้งนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับโจมตีอย่างบ้าคลั่ง เขาก็ทำได้เพียงอาศัยร่างกายฝืนต้านทานเท่านั้น!
“จากไปเช่นนี้เองน่ะหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงนับถือฝ่ายตรงข้ามเป็นอันมาก ตนนับมิได้ว่าชนะ เพียงแค่ได้เปรียบด้านการรุกโจมตี ร่างกายของฝ่ายตรงข้ามช่างน่าหวาดหวั่นพอตัวเลยทีเดียว
“เห็นทีพลังของข้าในตอนนี้ยังไม่มีหวังจะบุกฝ่าชั้นที่เจ็ดได้หรอก” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ “หรือจะเหมือนที่ข้าคิดไว้ ท่าไม้ตายสุดท้ายที่คิดค้นขึ้นมานั้นเพียงพอที่จะไปบุกฝ่าได้แล้ว”
เคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดและเคล็ดวิชาสืบทอดมังกรปาหลงล้วนมีผลสำเร็จเช่นทุกวันนี้แล้ว
ขณะที่เหนี่ยวนำ ‘กระจกศิลา’ ก็ได้เหนี่ยวนำเคล็ดวิชาสืบทอดทั้งสองนี้แล้วผสานเข้าด้วยกัน ถึงขั้นก่อให้เกิดดอกไม้สีดำอันชั่วร้ายดอกหนึ่งขึ้นมาได้
ตงป๋อเสวี่ยอิงได้เฝ้าดูความเร้นลับที่เป็นการหลอมรวมกันของ ‘วิถีโลกเทียม’ และ ‘วิถีเข่นฆ่า’ ในดอกไม้สีดำอันชั่วร้ายนี้…หากนำวิถีทั้งสองสายนี้หลอมรวมเข้าด้วยกันก็อาจจะสามารถคิดค้นกระบวนท่าที่แข็งแกร่งกว่ากระบี่ที่หกผลาญโลกาและใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์ขึ้นมาได้ก็เป็นได้!
……
ตอนนั้นศึกนี้มิได้มีผู้ชม
ทว่าถึงอย่างไรประมุขวังเนตรทมิฬก็ถูกจับไปทั้งเป็น ในสำนักของบรรพชนทิพย์ก็เริ่มตรวจสอบอย่างรวดเร็ว และย่อมตรวจพบภาพการต่อสู้ในตอนนั้นเป็นธรรมดา เมื่อได้เห็น พวกเขาก็พากันแตกตื่น
“อะไรนะ”
“ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่แพ้อสนีโรจน์แม้แต่น้อยเลยหรือ”
“เคล็ดภาพลวงอันน่าหวาดหวั่น ใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์ การต่อสู้ประชิดตัวอย่างนั้นหรือ”
“อสนีโรจน์เผชิญหน้ากับเขาก็ได้แต่ถกบังคับให้ใช้ร่างกายฝืนต้านรับเท่านั้น นี่ ยี่มันเป็นไปได้อย่างไรกัน”
เมื่อมีผู้ล่วงรู้มากเข้า ข่าวก็ยิ่งแพร่ออกไปได้รวดเร็วขึ้น
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ได้รายงานข่าวขึ้นไป เพราะถึงอย่างไรเขาก็ได้จับตัวยอดฝีมือในสำนักของบรรพชนทิพย์มาทั้งเป็น วังทวีสูญตรวจสอบดูก็ตกใจใหญ่
……
ก่อนหน้านี้เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าอสนีโรจน์คือขั้นรวมเป็นหนึ่งที่แข็งแกร่งที่สุดของโลกทิพย์ทั้งสามในยุคนี้ แต่เพราะศึกนี้ อสนีโรจน์จึงนับมิได้ว่าแข็งแกร่งที่สุดอีกต่อไปแล้ว! แน่นอนว่าตงป๋อเสวี่ยอิงก็นับมิได้ว่าแข็งแกร่งที่สุดเช่นเดียวกัน ไม่ว่าพวกเขาคนไหนก็มิได้มีข้อได้เปรียบที่เห็นได้ชัด
“ฮ่าฮ่าฮ่า…” ณ ภูเขาลึกแห่งหนึ่งในโลกทิพย์นิจนิรันดร์มีลานเล็กอยู่แห่งหนึ่ง ภายในลานมีต้นไม้ใบหญ้าน้อยๆ อยู่มากมาย
ภายในลาน
บุรุษผมสีเงินผู้มีเขาเดี่ยวนั่งอยู่บนม้าหินคิ้วสีเงินดุจกระบี่ของเขาเลิกขึ้นมา เขาอดหัวเราะขึ้นมาด้วยความลิงโลดใจมิได้ เสียงหัวเราะสะท้อนก้องไปทั่วลาน กลางอากาศตรงหน้าเขามีภาพหนึ่งปรากฏขึ้น ซึ่งก็คือภาพการโรมรันกันระหว่างตงป๋อเสวี่ยอิงและประมุขเจดีย์อสนี
“ไม่เสียทีที่เป็นศิษย์ของข้ากู่ฉี แม้ข้าจะรับศิษย์แค่เพียงคนเดียว แต่กลับเป็นผู้ที่ร้ายกาจที่สุดในบรรดาขั้นรวมเป็นหนึ่งของโลกทิพย์ทั้งสามแล้ว สายตาในการรับศิษย์ของข้าช่างดีจริงๆ” บุรุษผมสีเงินผู้มีเขาเดี่ยวรู้สึกลิงโลดใจนัก
…………………………
ตอนที่ 7 ของกำนัลจากท่านอาจารย์
โดย
Ink Stone_Fantasy
ผู้ที่สามารถบำเพ็ญไปจนถึงขั้นสุดท้ายอย่าง ‘เทพจักรวาล’ มีน้อยยิ่งกว่าน้อย เทพจักรวาลภายในโลกทิพย์ใดๆ สักแห่งหนึ่งก็น้อยจนสามารถนับนิ้วได้ เช่นที่โลกจอมมารดาก็มีแค่จอมมารดาเพียงคนเดียว
มนุษย์ผมสีเงินเขาสีทองก็คือ ‘กู่ฉี’ หนึ่งในสองเทพจักรวาลของวิถีผู้ท่องอากาศ ส่วนอีกคนหนึ่งก็คือ ‘บรรพชนห้วงอากาศ’ ผู้ก่อตั้งวิถีผู้ท่องอากาศ
ตอนนั้นกู่ฉีได้ทิ้งเคล็ดวิชาสืบทอดเอาไว้ที่จักรวาลภูมิลำเนาของตงป๋อเสวี่ยอิง และตงป๋อเสวี่ยอิงก็ได้รับประสบการณ์การทดสอบ แล้วบำเพ็ญวิถีผู้ท่องอากาศควบคู่ไปด้วย
ก็เป็นเพราะความสำเร็จในด้านผู้ท่องอากาศ ทำให้เขามีพื้นฐานเพียงพอที่จะไปศึกษาหยั่งรู้ภาพวาดทั้งสี่ที่จักรพรรดิเก้าเมฆาทิ้งเอาไว้ ทั้งยังค้นพบโลกระดับที่สูงกว่าที่มีอยู่อย่างรางเลือนนั้นอีกด้วย นอกจากนี้ยังสำเร็จวิชาการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นด้วย!
“ระยะเวลาในการบำเพ็ญของเขาค่อนข้างสั้น แต่สามารถบีบคั้นเหลยเหยียนได้ ฮ่าฮ่า…” มนุษย์ผมสีเงินเขาสีทองตื่นเต้นยินดี แต่ชั่วขณะนี้กลับไม่มีผู้ใดให้พูดคุยด้วยได้
“ท่านอาจารย์”
มนุษย์ผมสีเงินเขาสีทองถ่ายเสียงพูดโดยตรง
พรึ่บ
เงาร่างสายหนึ่งรวมตัวก่อร่างขึ้นกลายเป็นบุรุษผมสีเขียวในอาภรณ์สีดำคนหนึ่ง บุรุษผมสีเขียวมีนัยน์ตาสีเขียวอันงดงามคู่หนึ่ง ตลอดร่างราวกับความว่างเปล่า เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับโลก เขาเดินตรงไปที่ม้านั่งหินที่อยู่ด้านข้างแล้วนั่งลง “กู่ฉี มีเรื่องอันใดกันหรือ”
บุรุษผมสีเขียวผู้นี้ก็คือบรรพชนห้วงอากาศ ผู้มีความรักและเมตตาต่อสรรพชีวิตอย่างแท้จริง ไม่ชมชอบมารเหล่านั้นเป็นที่สุด
“ท่านคงรู้แล้วกระมัง ลูกศิษย์ของข้า ก็คือตงป๋อเสวี่ยอิง…” มนุษย์ผมสีเงินเขาสีทองเอื้อนเอ่ย
“เจ้ามาหาข้าด้วยเรื่องนี้เองหรือ” บรรพชนห้วงอากาศตะลึงงันอยู่บ้าง
“นี่ก็เป็นเรื่องใหญ่ ลูกศิษย์เพียงคนเดียวของข้าเชียวนะ!” กู่ฉีถลึงตา
บรรพชนห้วงอากาศจนใจอยู่บ้าง “กู่ฉี ตอนนี้จอมเทพศักดิ์สิทธิ์พยายามทุกวิถีทางที่จะสังหารเจ้า โชคดีที่มีบรรพชนทิพย์ช่วยเหลือปกป้องอย่างสุดกำลัง มิฉะนั้นก็คงยังหนีเอาชีวิตรอดอยู่ข้างนอกนั่นแหละ”
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์เพลิงโทสะล้นฟ้า สาบานจะสังหารกู่ฉี!
ด้วยความไม่เสียดายสิ่งใดของเขา โลกทิพย์กิเลนบูรพาและโลกทิพย์ทะเลสัตตดาราต่างก็ปกป้องไม่ไหว ถึงแม้ว่าบรรพชนโลกาจะแข็งแกร่ง แต่กู่ฉีก็มิได้ติดตามบรรพชนโลกาอยู่ตลอดเวลา! ดังนั้นในท้ายที่สุดก็มีเพียง ‘บรรพชนทิพย์’ ที่สามารถช่วยเหลือได้ ความสำเร็จของบรรพชนทิพย์ในด้านค่ายกลเป็นอันดับหนึ่งในบรรดาสิ่งมีชีวิตขั้นสุดยอด ภายใต้การทุ่มเทอย่างสุดกำลังของเขา ทำให้กู่ฉีก็สามารถมีวันเวลาอันสงบสุขได้
แน่นอนว่ากู่ฉีก็มีราคาที่ต้องจ่าย ต้องร่วมมือกับบรรพชนทิพย์ ทำการทดลองบางอย่างเกี่ยวกับห้วงอากาศ
“เขาอยากจะสังหารข้าแล้วข้าจะไปทำอะไรได้เล่า” กู่ฉีมอบสุราให้ตนเองและท่านอาจารย์อย่างสบายๆ “อย่างมากก็แค่ชดใช้ด้วยชีวิตเท่านั้นเอง ชั่วชีวิตนี้ข้าเดินทางไปยังที่ต่างๆ จำนวนนับไม่ถ้วน เคยเห็นทิวทัศน์มาจำนวนนับไม่ถ้วน พบเจอผู้แกร่งกล้าจำนวนนับไม่ถ้วน แม้กระทั่งจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ยังต้องมาสะดุดเพราะข้าเลย ฮ่าฮ่า ตอนนี้ข้ายังมีลูกศิษย์ที่ร้ายกาจที่สุดในบรรดาขั้นรวมเป็นหนึ่งในโลกทิพย์ทั้งสาม จุ๊ๆ ชีวิตนี้คุ้มค่าแล้วจริงๆ”
“ลูกศิษย์ของเจ้ากับเหลยเหยียนก็คู่คี่สูสีกัน เขาโจมตีได้แข็งแกร่งกว่าเล็กน้อย ส่วนเหลยเหยียนมีข้อได้เปรียบทางด้านร่างกายเหนือกว่า ตอนนี้เขายังมิอาจนับได้ว่าเป็นผู้ที่ร้ายกาจที่สุดในบนนดาขั้นรวมเป็นหนึ่งของโลกทิพย์ทั้งสาม” บรรพชนห้วงอากาศพูดอย่างสบายใจ
“เขาเพิ่งจะบำเพ็ญมานานสักเท่าไหร่กันเชียว ดูเอาเถิด อีกไม่นานเขาก็จะเป็นอันดับหนึ่งแล้วล่ะ” กู่ฉีเอ่ยอย่างลำพองใจ
บรรพชนห้วงอากาศมองดูท่าทางค่อนข้างลำพองใจเช่นเดิมของกู่ฉีแล้วก็อดที่จะลอบทอดถอนใจมิได้ ศิษย์ผู้นี้เผชิญกับความเดือดดาลของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ยังไม่ใส่ใจถึงเพียงนี้ได้
“ถ้าหากข้าสามารถก้าวเข้าไปใกล้อีกก้าวหนึ่งได้ กู่ฉีก็ไม่จำเป็นต้องหนีเอาชีวิตรอดแล้ว พูดกันจริงๆ แล้วก็ยังเป็นข้า อาจารย์ผู้นี้ที่ไม่แกร่งกล้าพอ” บรรพชนห้วงอากาศเอ่ยพึมพำ เขามีความสำเร็จทางด้านห้วงอากาศอย่างสูงที่สุด หลังจากจักรพรรดิเก้าเมฆาตายแล้ว เขาก็คือผู้ที่ประสบความสำเร็จทางด้านห้วงอากาศสูงที่สุด ถ้าหากก้าวเข้าไปใกล้อีกก้าวหนึ่ง ไปถึงระดับชั้นที่สอง อาศัยการชี้นำของอากาศก็สามารถปะทะกับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ซึ่งๆ หน้าได้แล้ว
เช่นตอนนั้นที่จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ทุ่มเทเลือดเนื้อจิตใจไปเป็นจำนวนนับไม่ถ้วนเพื่อสังหารจักรพรรดิเก้าเมฆา จนกระทั่งในที่สุดโลกทิพย์โบราณดั้งเดิมแหลกสลาย จึงทำให้จักรพรรดิเก้าเมฆาบาดเจ็บสาหัสจนตกต่ำลงไปในที่สุด
จนกระทั่งถึงตอนนี้ จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็เดาได้อย่างชัดเจนว่าขุมทรัพย์ของจักรพรรดิเก้าเมฆาก็ซ่อนเร้นอยู่ในมิติเวลาสักแห่งหนึ่งในบริเวณรอบๆ ‘ดินแดนเก้าเมฆา’ แต่ก็หาไม่พบ!
“ถ้าหากไม่มีเรื่องอันใด ข้าก็จะไปแล้ว” บรรพชนห้วงอากาศพูด
“ท่านอาจารย์ ดื่มเหล้าเป็นเพื่อนข้าสักหน่อยสิ” กู่ฉีเอ่ยอย่างจนใจ “ลูกศิษย์เพียงหนึ่งเดียวของข้าร้ายกาจได้ถึงเพียงนี้ เป็นเรื่องที่ข้ายากจะเบิกบานใจได้ตอนที่หนีเอาชีวิตรอด น่าเสียดายที่ข้าไม่กล้าพูดมากกับคนอื่น ด้วยกลัวว่าเสวี่ยอิงเป็นศิษย์เพียงคนเดียวของข้า ทำให้จอมเทพศักดิ์สิทธิ์โกรธแค้นไปถึงเขา ดังนั้นข้าก็ได้แต่มาหาท่านอาจารย์แล้ว”
“ดีๆๆ เจ้าเบิกบานใจ ข้าก็จะดื่มเป็นเพื่อนเจ้าหลายจอกหน่อย” บรรพชนห้วงอากาศส่ายหน้า
……
ณ วังทวีสูญแห่งโลกทิพย์ทะเลสัตตดารา
ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับมาถึงยังวังทวีสูญแล้วก็มอบ ‘ประมุขวังเนตรทมิฬ’ ผู้นั้นให้จอมมารจัดการลงโทษ สำหรับการเจรจาต่อรองกับสำนักของบรรพชนทิพย์ในภายหลัง ก็เป็นเรื่องของบุคคลระดับสูงของวังทวีสูญแล้ว
เพราะความคับข้องใจต่างๆ ก็ให้เกิดการโต้แย้ง การทรมานและการลงโทษต่างๆก็เคยเกิดขึ้นมามากมายหลายครั้ง เพราะโลกทิพย์ทั้งสามต้องการจะเผชิญหน้ากับสองสำนักใหญ่ ดังนั้นจึงยังยืนอยู่ฝั่งหนึ่ง ทั้งยังมีมาตรฐานอยู่ด้วย อย่างเช่นบรรพชนห้วงอากาศและประมุขเหยากวงที่ชิงชังความชั่วร้ายราวกับศัตรู ก็ได้แต่ทนต่อเหล่ามารร้ายจำนวนหนึ่งภายใต้สำนักของบรรพชนโลกาและบรรพชนทิพย์ อย่างมากที่สุดก็ลงโทษอย่างหนัก ทรมานอย่างหนัก ทำให้พวกเขาทุกข์ทนสักหน่อย
“ปัง…”
ตงป๋อเสวี่ยอิงบินทะยานออกไป ปะทะเข้ากับยอดเขาแห่งแล้วแห่งเล่า ทิวเขายาวต่อเนื่องก็ระเบิดและพังทลาย
เห็นเพียงเงาร่างของฝูงมารผลาญทำลายที่สวมชุดเกราะสีแดงโลหิตแปดสายยืนตระหง่านอยู่กลางเวหา
“ได้ยินว่ายามที่เหลยเหยียนกำลังบุกชั้นที่เจ็ด ได้สังหารฝูงมารผลาญทำลายไปฝูงใหญ่ ข้าเพิ่งฆ่าไปเพียงแค่สองตัวเท่านั้นก็ต้านรับไม่ไหวอยู่บ้างแล้ว” บนร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงมีพลังงานสีแดงโลหิตจำนวนมากแทรกซึมทะลุผ่าน เกล็ดเกราะสีดำบนผิวกายของเขาต่างก็ถูกทะลุทะลวง เขาจ้องมองฝูงมารผลาญทำลายแปดตัวที่อยู่ไกลออกไป “อย่างน้อยในการบุกเจดีย์ดาว ข้าก็ยังสู้เหลยเหยียนมิได้”
“ก็ใช่”
“เหลยเหยียนมีร่างกายแข็งแกร่งเป็นที่สุด ในยามที่ตอบสนองต่อฝูงมารผลาญทำลายที่มี ‘พลังทำลายล้าง’ เช่นนี้ก็สามารถทานทนได้มากกว่าข้า! เขาสามารถต้านทานได้เป็นเวลายาวนานกว่าและสังหารฝูงมารผลาญทำลายได้มากกว่าอย่างสิ้นเชิง”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจในจุดนี้ดี
อันที่จริงสำหรับการต้อสู้ พูดถึงความสำเร็จทางด้านใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์ของตนก็อ่อนกว่าศาสตร์ลับเคล็ดวิชาเปลวอัคคีอสนีบาตของประมุขเจดีย์อสนีอยู่บ้างเล็กน้อย แต่เพราะบำเพ็ญ ‘เคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาด’ ไปควบคู่กัน วิญญาณจึงแกร่งกล้าเป็นที่สุด ดังนั้นจึงสามารถสำแดงใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์ได้สิบกว่าสาย ปริมาณชดเชยข้อบกพร่องทางด้านคุณภาพได้! ทำให้ตนเองโจมตีได้เหนือกว่าอยู่เล็กน้อย
หากมิได้เป็นเพราะวิญญาณแกร่งกล้ากว่าคู่ต่อสู้อยู่มาก เกรงว่าไม่เพียงแต่จะอ่อนแอกว่าอีกฝ่ายทางด้านร่างกายเท่านั้น แม้กระทั่งการโจมตีก็จะอ่อนแอกว่าอีกด้วย
“ต้องการบุกผ่านชั้นที่เจ็ด ข้ายังต้องแกร่งขึ้นกว่านี้อีก” ตงป๋อเสวี่ยอิงประหลาดใจอยู่บ้าง ในประวัติศาสตร์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหกเคยมีผู้ที่บุกผ่านชั้นที่เจ็ดได้ปรากฏอยู่สองคน และจากคำพูดของจักรพรรดิดำ ยามที่เขาเป็นขั้นรวมเป็นหนึ่ง ภายใต้การส่งเสริมซึ่งกันและกันของสี่เคล็ดวิชาสืบทอดก็มีพลังยุทธ์ชั้นที่เจ็ด ผู้ที่สามารถบุกผ่านชั้นที่เจ็ดของเจดีย์ดาวได้ตอนยังเป็นขั้นรวมเป็นหนึ่งต่างก็ร้ายกาจกันเหลือเกิน
ต้องรู้ไว้ว่า
ชั้นที่เจ็ดของเจดีย์ดาวในบรรดายักษ์ใหญ่ขั้นอลวนก็นับได้ว่าไม่เลวแล้ว เช่นเจ้าสำนักสวรรค์กันแสงก็เป็นระดับขั้นนี้
“ตงป๋อเสวี่ยอิง ออกมาเร็วเข้า” เสียงของบรรพชนเทียนอวี๋ก้องสะท้อนอยู่ในกาลมิติของชั้นที่เจ็ดของเจดีย์ดาว
“ขอรับ ท่านบรรพชน” ตงป๋อเสวี่ยอิงรับคำ
……
ภายใต้ความช่วยเหลือของวิญญาณอาวุธของเจดีย์ดาว ตงป๋อเสวี่ยอิงขับไล่พลังทำลายล้างภายในร่างกายเหล่านั้นออกไปอย่างรวดเร็วที่สุด แล้วมุ่งหน้าไปยังที่พำนักปกติของบรรพชนเทียนอวี๋ในทันที ซึ่งก็คือลานกว้างอันค่อนข้างธรรมดาแห่งหนึ่ง
“ท่านบรรพชน” ตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้ถูกขัดขวางแต่อย่างใดตลอดเส้นทาง ก็มาถึงตรงหน้าท่านบรรพชนแล้ว
บรรพชนเทียนอวี๋กำลังตกปลาตามสบาย ทะเลสาบภายในลานบ้านมีพื้นที่เพียงแค่ไม่กี่สิบจั้งเท่านั้น แต่ก็สามารถมองเห็นปลาจำนวนไม่น้อยกำลังว่ายน้ำไปมาด้วยตาเปล่า
“สามารถสังหารฝูงมารผลาญทำลายบางส่วนตั้งแต่เป็นชั้นที่เจ็ดของเจดีย์ดาวก็ไม่เลวแล้วล่ะ” บรรพชนเทียนอวี๋เอ่ยชมด้วยรอยยิ้ม
“ขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
เขาเข้าใจความหมายของท่านบรรพชน
เดิมทีชั้นที่เจ็ดมีฝูงมารผลาญทำลายสิบตนร่วมมือกันราวกับเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน โจมตีด้วยร่างเดียว การป้องกันก็เป็นการร่วมมือกัน พลังรบแข็งกล้าเป็นที่สุด ถ้าหากการโจมตีอ่อนแอสักหน่อยก็ย่อมไม่มีทางทำลายปราการป้องกันซึ่งเป็นการร่วมมือของฝูงมารผลาญทำลายสิบตนได้ ตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถบังคับทลายเปิด สังหารฝูงมารผลาญทำลายไปได้สองตน… ก็เท่ากับว่าเขาเอื้อมถึงพลังยุทธ์ชั้นที่เจ็ดของเจดีย์ดาวได้แล้ว ก้าวหน้าอีกสักหน่อย บางทีก็อาจสามารถสังหารเหล่าฝูงมารผลาญทำลายจนหมดเกลี้ยงได้
“ไม่หยิ่งไม่ผยอง ค่อยๆ มาเถิด” บรรพชนเทียนอวี๋ยังค่อนข้างมีความคาดหวังกับตงป๋อเสวี่ยอิง เขาเอ่ยขึ้นในทันที “ใช่แล้ว ที่เรียกเจ้ามาก็เพราะอาจารย์ผู้นั้นของเจ้าได้เตรียมของกำนัลชิ้นหนึ่งเอาไว้ให้เจ้าแล้ว”
“หา” ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้งคราหนึ่ง “ท่านอาจารย์หรือขอรับ”
“กู่ฉีอย่างไรเล่า” บรรพชนเทียนอวี๋พูด
………………………………………………….
ตอนที่ 8 งานรวมตัว
โดย
Ink Stone_Fantasy
บรรพชนเทียนอวี๋พูดแล้วก็โบกมือคราหนึ่ง เบื้องหน้าก็มีวงแหวนสีเงินอันหนึ่งปรากฏขึ้นมาแล้วลอยไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง ขณะนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงมีความรู้สึกอันซับซ้อนอยู่บ้าง
ตั้งแต่ได้เคล็ดวิชาสืบทอดผู้ท่องอากาศมา และหลังจากที่คารวะกู่ฉีเป็นอาจารย์แล้ว แม้ว่าตนเองจะมาถึงโลกทิพย์ทะเลสัตตดารา…ทว่าแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยได้พบปรมาจารย์กู่ฉีอีกเลย แม้กระทั่งบรรพชนเทียนอวี๋ก็ยังไม่อยากให้ตนข้องแวะกับกู่ฉีมากเกินไป เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้จอมเทพศักดิ์สิทธิ์มาพาลโกรธตน
“พรึ่บ” หลังจากที่ตงป๋อเสวี่ยอิงคว้าวงแหวนเอาไว้และหลอมรวมในทันทีแล้ว ก็กระตุ้นค่ายกลที่รวมอยู่ภายในขึ้นมา
ด้านข้างของวงแหวนนี้มีภาพมายาปรากฏขึ้นมา
ซึ่งก็คือมนุษย์ผมสีเงินเขาสีทอง
“ฮ่าฮ่า ศิษย์เพียงคนเดียวของข้า กู่ฉีผู้นี้ช่างร้ายกาจอะไรเช่นนี้ อยากจะโอ้อวดกับผู้เฒ่าคนอื่นๆ สักหน่อยจริงๆ น่าเสียดายที่เรื่องที่เจ้าเป็นศิษย์ของข้านี้ตอนนี้ยังต้องปิดเป็นความลับ ข้าเองก็ยังไม่เหมาะที่จะมาพบเจ้า รอให้เรื่องวุ่นวายนี้ผ่านไปแล้วพวกเราศิษย์อาจารย์ค่อยมานั่งดื่มกันให้ดีๆ สักหลายจอก มาบำเพ็ญกัน อย่าได้เฉื่อยชา! เอาล่ะ ไม่พูดมากความแล้ว” มนุษย์ผมสีเงินเขาสีทองกู่ฉีพูดไปพลางหัวเราะไปพลางแล้วเลือนหายไปตามภาพมายากลางอากาศนี้
ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้ว่านี่คือภาพมายาที่บันทึกเอาไว้ พอเล่นครั้งหนึ่งแล้วก็เลือนหายไปไม่เหลือร่องรอย เห็นได้ชัดว่ากู่ฉีก็ยังระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง
เขาตรวจดูด้านในวงแหวน
“นี่คืออะไรหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึง ภายในมิติเก็บวัตถุของวงแหวนมีวัตถุวิเศษที่ใช้สร้างวิญญาณขึ้นมาใหม่จำนวนมากกองเป็นภูเขาเลากา ตงป๋อเสวี่ยอิงต่างก็สามารถ… จำแนกออกมาได้ประเมินมูลค่าอย่างคร่าวๆ ได้ราวๆ กว่าหกพันศิลาปฐมโลกา
“กู่ฉีดูภาพเหตุการณ์การต่อสู้ของเจ้าและเหลยเหยียนแล้วก็สามารถตัดสินได้ว่าเจ้าบำเพ็ญเคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดและเคล็ดวิชาสืบทอดมังกรปาหลงของจักรพรรดิดำ ดังนั้นจึงช่วยซื้อหาวัตถุภายนอกที่เคล็ดวิชาสืบทอดขั้นอลวนสองศาสตร์นี้จำเป็นต้องใช้มาให้เจ้าแล้ว”
บรรพชนเทียนอวี๋พูด “พูดให้ถูกต้องก็คือเขามอบศิลาปฐมโลกาให้ หลังจากนั้นข้าก็ไปซื้อหาวัตถุวิเศษที่ใช้สร้างวิญญาณขึ้นมาใหม่เหล่านี้มาจากภายนอก ถึงอย่างไรก็ต้องระวัง เขาทำการซื้อหามา หากไม่ระวังแล้วเปิดเผย จอมเทพศักดิ์สิทธิ์อาจจะสงสัยเจ้าเพราะสิ่งนี้ได้ ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นผู้ท่องอากาศ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
เขาประเมินได้ว่าวัตถุวิเศษที่ใช้สร้างวิญญาณขึ้นมาใหม่เหล่านี้ สำหรับให้ตนบำเพ็ญไปถึงปีศาจชาดแปดแปรและมังกรปาหลงแปดโคจร
คาดว่าตัวของปรมาจารย์กู่ฉีเองคงจะเคยเห็นเคล็ดวิชาสืบทอดสองศาสตร์นี้ผ่านตามาก่อนแล้ว ดังนั้นจึงรู้ว่าจำเป็นต้องใช้ทรัพยากรประเภทใด แต่จักรพรรดิดำกลับยังมี ‘ปีศาจชาดเก้าแปร’ ‘มังกรปาหลงเก้าโคจร’ ที่มิได้แพร่หลายออกไปภายนอก มีเพียงผู้ที่บำเพ็ญเคล็ดวิชาสืบทอดที่แท้จริงเท่านั้น ทั้งยังต้องได้รับการยอมรับจากจักรพรรดิดำ จึงจะได้รับถ่ายทอดส่วนสุดท้ายมาได้ ไม่ว่าจะเป็นกู่ฉีหรือว่าบรรพชนเทียนอวี๋ ต่างก็มีโอกาสแค่เพียงได้เห็นเท่านั้น ทว่าต่างก็ไม่มีพรสวรรค์จะไปบำเพ็ญ
ศาสตร์โบราณ ต้องการผู้มีพรสวรรค์
เลือกเคล็ดวิชาสืบทอดที่เหมาะสมโดยอ้างอิงจากพรสวรรค์
“มากมายถึงเพียงนี้เชียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงถือวงแหวนเอาไว้ด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง เพียงชั่วครู่ก็ได้รับสมบัติล้ำค่ามูลค่าหกพันกว่าศิลาปฐมโลกามา
“ที่วังทวีสูญของข้าก็ยังไม่สามารถมอบสมบัติล้ำค่าจำนวนมหาศาลเช่นนี้ให้ได้เลย อยากจะได้มาก็ยังต้องไปดิ้นรนเอาเอง” บรรพชนเทียนอวี๋ส่ายศีรษะ “กู่ฉีมีเจ้าเป็นศิษย์อยู่เพียงคนเดียวก็ไม่รู้จักสั่งสอนศิษย์ ในเมื่อเขาอยากจะให้เจ้า ข้าก็ได้แต่ส่งต่อให้! เจ้าต้องรักถนอมทรัพยากรเหล่านี้ทุกอณู ถ้าหากให้เจ้าไปดิ้นรนเอาเอง นึกอยากจะได้มานั้นก็ไม่ง่ายเลย”
“เข้าใจขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “ท่านบรรพชน ข้าอยากถามดูสักหน่อยว่าตอนนี้ปรมาจารย์ของข้าเขาอยู่ที่ใดกันหรือขอรับ”
อยากจะไปพบสักหน่อยจริงๆ
“อยู่ที่โลกทิพย์นิจนิรันดร์” บรรพชนเทียนอวี๋พูด
“โลกทิพย์นิจนิรันดร์หรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงประหลาดใจ ตนเองรั้งอยู่ที่โลกทิพย์นิจนิรันดร์เป็นเวลาเนิ่นนานพอดู แต่ไม่รู้เลยว่าปรมาจารย์กู่ฉีก็อยู่ที่โลกทิพย์แห่งนั้นด้วยเช่นกัน
“เขายุ่งยากไม่น้อยเลย ยังเป็นบรรพชนทิพย์ที่เต็มใจปกป้องเขา” บรรพชนเทียนอวี๋พูด “เจ้าก็อย่าไปพบเขาเลยนะ เจ้าอยากพบ เขาก็ไม่สามารถมาพบเจ้าได้หรอก กลัวว่าการปรากฏตัวจะยุ่งยาก ถึงอย่างไรจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็คิดหาวิธีจัดการกู่ฉีอยู่ตลอดเวลา ถ้าหากเจ้าไปก็ไม่แน่ว่าอาจถูกตรวจพบเข้าก็ได้”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
ถึงแม้อยากจะพบ สถานการณ์ก็ไม่เอื้ออำนวย
……
วันต่อมาตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไปบำเพ็ญที่ตำหนักกาลเวลาเช่นเดิม คงความเร็วของการเร่งเวลาไว้ที่หนึ่งร้อยเท่า ถึงอย่างไรขั้นรวมเป็นหนึ่งบำเพ็ญในนั้นก็ไม่นับว่าแพงเกินไปนัก หากไปถึงขั้นอลวนแล้ว… ไม่มีความจำเป็นที่เขาจะต้องเข้าสู่ตำหนักกาลเวลาอีกต่อไปแล้ว
ในเวลาเดียวกันก็ซื้อวัตถุที่ช่วยส่งเสริมการบำเพ็ญบางอย่างไปด้วย
ในอนาคตเมื่อพลังยุทธ์ยิ่งสูงขึ้น ผลของวัตถุที่ช่วยส่งเสริมการบำเพ็ญก็จะแย่ลง ขณะนี้ขั้นรวมเป็นหนึ่งยังนับว่าเหมาะสมในการใช้ เขาก็อยากจะอาศัยดอกไม้อันร้ายกาจที่ ‘กระจกศิลา’ ก่อร่างขึ้นดอกนั้นสร้างและหลอมรวมเคล็ดวิชาของวิถีโลกเทียมและวิถีเข่นฆ่า แน่นอนว่าถ้าหากสร้างออกมามิได้ก็ไม่เป็นไร ไม่แน่ว่าอาจจะสามารถเหยียบย่างเข้าสู่ขั้นอลวนได้ภายในคราวเดียว
กาลเวลาเคลื่อนผ่าน
……
“แค่กๆๆ”
กลางท้องฟ้าเหนือทิวเขาอันรกร้าง ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่ที่นั่นด้วยสีหน้าซีดเผือด พลังชั่วร้ายสีแดงโลหิตจำนวนมากผ่านทะลุเข้าไปในร่างกายของเขา เบื้องหน้ายังมีฝูงมารผลาญทำลายในชุดเกราะสีแดงโลหิตสองตนยืนอยู่ตรงที่ไกลๆ ดูเหมือนว่าต่างก็มองตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยความหวาดกลัว
“เก่งแต่หลบหนีจริงๆ หากมีความสามารถก็มาสังหารข้าซึ่งๆ หน้าสิ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
“ฮ่าฮ่า เจ้าโดนพลังทำลายล้างกัดกร่อน ยิ่งเวลาผ่านไปนานอาการบาดเจ็บก็จะยิ่งสาหัส เหตุใดข้ากับคนอื่นๆ จึงต้องตายไปกับเจ้าด้วยเล่า” ฝูงมารผลาญทำลายในชุดเกราะสีแดงโลหิตสองตนนั้นต่างก็เจ้าเล่ห์เป็นอย่างยิ่ง ตนหนึ่งร่างกายเลือนราง ส่วนอีกตนหนึ่งก็หลบซ่อนอยู่ในที่ไกลออกไป พวกเขาต่างก็มีความสามารถในการรักษาชีวิต หนีเอาชีวิตรอดอันแข็งแกร่งเป็นที่สุด จึงสามารถหนีอย่างตลอดรอดฝั่งมาได้จนถึงตอนนี้
ที่เหลืออีกแปดตนล้วนถูกตงป๋อเสวี่ยอิงสังหารไปหมดแล้ว
“ข้าได้ยกระดับแผนภาพคลื่นจานไปจนถึงระดับชั้นที่หกของเจดีย์ดาวแล้ว คิดไม่ถึงว่ายังไม่สามารถบุกผ่านไปได้เลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกได้ถึงอาการบาดเจ็บของตน เขาลอบส่ายศีรษะ จำเป็นต้องอาศัยเจดีย์ดาวช่วยกดดันและขับไล่พลังอันชั่วร้ายเสียแล้ว อาศัยตนเองก็ไม่สามารถต้านทานได้นานสักเท่าใด
การบรรลุของแผนภาพคลื่นจานมีส่วนช่วยเหลือพลังยุทธ์ในภาพรวมได้อย่างค่อนข้างชัดเจน ถ้าหากประมือกับประมุขเจดีย์อสนีอีกครั้งหนึ่ง ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าตนเองก็จะมีข้อได้เปรียบมากกว่าอย่างชัดเจน
แผนภาพคลื่นจานก็คืออาณาเขต!
หลังจากยกระดับแล้วอาณาเขตก็กดดัน ทำให้พลังยุทธ์ของเหล่าฝูงมารผลาญทำลายต่างก็ได้รับผลกระทบ การหนีเอาชีวิตรอดต่างก็ได้รับผลกระทบ พลังรบโดยรวมก็ลดต่ำลง ดังนั้นฝูงมารผลาญทำลายแปดตนจึงถูกตงป๋อเสวี่ยอิงกำจัดทิ้งไป น่าเสียดายที่ยังเหลือสองตนสุดท้ายที่เจ้าเล่ห์ที่สุด
******
มหาโลกทิพย์ทั้งห้าและอากาศอันสับสนอลหม่านต่างก็สงบเงียบเช่นที่เคยเป็นมา ถึงแม้ว่าแต่ละแห่งต่างก็มีค่ายสังหารโจมตี แต่อย่างน้อยตรงหน้าบุคคลขั้นสูงสุดก็ยังสงบเงียบอยู่
เหล่าสิ่งมีชีวิตขั้นสุดยอดต่างก็กำลังกบดาน
และภายในโถงตำหนักที่ค่อนข้างลึกลับแห่งหนึ่ง
โถงตำหนักแห่งนี้ยังเป็นความลับยิ่งกว่าขุมทรัพย์ของจักรพรรดิเก้าเมฆาเสียอีก แต่ตอนนี้กลับมีเงาร่างหลายสายอยู่ที่นี่
โต๊ะหินรูปร่างกลมสีดำขนาดมหึมา
รอบๆ มีเงาร่างหลายสายนั่งอยู่ มีบรรพชนห้วงอากาศ ราชันย์มีด ยังมีบรรพชนเทียนอวี๋ และท่านบรรพชนคีรีมารกับบุรุษที่มีงูใหญ่ตัวหนึ่งเกี่ยวรัดอยู่บนร่างอีกด้วย
บุรุษที่มีงูใหญ่เกี่ยวรัดอยู่บนร่างเปลือยทรวงอก มีรูปโฉมหล่อเหลาเป็นที่สุด เขาพูดยิ้มๆ ว่า “พี่สาวของข้านางกำลังปลีกวิเวกอยู่ ดังนั้นจึงให้ข้าเข้าร่วมในครั้งนี้” ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เหยากวงมีเทพจักรวาลอยู่ทั้งสิ้นสองคน คนหนึ่งคือประมุขเหยากวง ส่วนอีกคนหนึ่งก็คือ ‘จักรพรรดิงูเมฆา’ น้องชายของนาง
“เจ้าเมืองหลัวไม่ชมชอบเรื่องหยุมหยิม ดังนั้นคราวนี้จึงมิได้เข้าร่วมเช่นกัน” ราชันย์มีดคือบุรุษอาภรณ์สีทองคนหนึ่ง ยืนอยู่ที่นั่นก็ยังชวนให้คนรู้สึกได้ถึงแรงกดดันคมกริบอันไร้รูปร่าง เขาก็เป็นผู้แกร่งกล้าที่สุดคนหนึ่งในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหก “งานรวมตัวของตำหนักดวงดาราในครั้งนี้ก็ให้ข้ามาจัดการ”
อีกสี่คนในที่นั้นต่างก็รับฟัง
โลกทิพย์ทั้งสอง นอกจากบรรพชนกู่แล้วก็มีดินแดนศักดิ์สิทธิ์อยู่ทั้งหมดหกแห่ง ว่ากันตามเหตุผลแล้วก็ควรจะมีเทพจักรวาลหกคนเข้าร่วม เพียงแต่ตามปกติแล้วเจ้าเมืองหลัวจะไม่มาปรากฏตัว
…………………………………………..
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น