Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 30 ตอนที่ 33-36

 ตอนที่ 33 อธิบายวิถี

โดย

Ink Stone_Fantasy

บนเวทีการต่อสู้อันสูงตระหง่าน ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิอยู่เพียงลำพัง เผชิญหน้ากับผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนเบื้องล่างแล้วก็เริ่มสอนวิถีทันที


ผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนก็ล้วนรู้มารยาทดี พวกเขาพากันนั่งขัดสมาธิลงเช่นเดียวกัน สัตว์ประหลาดบางตนก็ขดม้วนหรือหมอบอยู่ตรงนั้นแล้วตั้งใจฟังแต่โดยดี ไม่เปล่งเสียงใดออกมาเลย! หากโพล่งอะไรออกมาตามอำเภอใจในตอนนี้ก็อาจทำให้ฝูงชนโกรธเคือง ต่อให้สนทนากันอย่างมากก็ทำได้เพียง ถ่ายเสียงคุยกันเท่านั้น


เขาพูดเรื่อง ‘เข่นฆ่า’ ก่อน เนื่องจากจำนวนของผู้บำเพ็ญที่รับรู้เรื่องการเข่นฆ่านั้นมีมากมายยิ่งนัก ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงเริ่มพูดคร่าวๆ จากระดับเหนือธรรมดา แล้วขยายออกไปเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่องจนไปถึงแขนงต่างๆ ของทางสายการเข่นฆ่า! เมื่ออธิบายแขนงที่แตกต่างกันไปจนถึงตอนสุดท้ายคือขั้นเทพอากาศแล้ว ด้วยระดับขั้นของตงป๋อเสวี่ยอิงในตอนนี้ ก็อธิบายได้อย่างทะลุปรุโปร่ง แขนงที่แตกต่างกันก็สามารถอธิบายจนกระจ่างได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้บำเพ็ญที่อ่อนแอซึ่งชมอยู่ด้านล่างหลายคนฟังอย่างตื่นเต้น แม้แต่ทวยเทพที่อ่อนแอ เทพโลกาและเทพแท้บางคนที่มีโอกาสได้มา ฟังแล้วก็อดหลงใหลไปด้วยมิได้


ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญที่บรรลุถึงระดับเทพอากาศ ก็ล้วนแต่ตกใจทั้งสิ้น พวกเขาถึงขั้นรับรู้อะไรได้มากยิ่งขึ้น


“ร้ายกาจ”


“ข้าสำเร็จเป็นเทพอากาศตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว แต่กลับคิดไม่ถึงว่าในระดับเทพแท้ วิถีเข่นฆ่าจะยังมีวิธีการใช้มากมายเช่นนี้” ผู้ฟังหลายคนได้รู้อะไรใหม่ๆ เกี่ยวกับการบำเพ็ญของตน


ถึงขั้นที่ว่าในบรรดาผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วน มีบางคนที่มีกลิ่นอายและระลอกคลื่นของการบรรลุแผ่ออกมาเลยทีเดียว


นี่ก็เป็นเรื่องปกตินัก ขณะฟังปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่สอนวิถีอย่างเปิดเผยในงานชุมนุมใหญ่ดวงดารา ระดับขั้นบรรลุแล้วรับรู้ในชั่วขณะก็เป็นเรื่องปกติ ที่พบเห็นได้ทั่วไปมาก เพราะถึงอย่างไรผู้บำเพ็ญระดับล่างจำนวนนับไม่ถ้วนเหล่านี้ ตามปกติล้วนไม่ได้รับการชี้แนะจากผู้บำเพ็ญระดับยอดอย่างแท้จริง


เก้าชั่วยามเต็มๆ สิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงบรรยายล้วนแต่เป็นแขนงที่แตกต่างกันของวิถีเข่นฆ่า ตั้งแต่ ‘เหนือธรรมดาจนถึงบรรลุเป็นเทพอากาศ’


หลังจากนั้น


ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เริ่มบรรยายเรื่องเขตลวง


การอธิบายเรื่องเขตลวงก็เริ่มตั้งแต่ขั้นเหนือธรรมดาไปจนบรรลุถึงขั้นเทพอากาศ แล้วเขาก็พูดไปอีกเก้าชั่วยาม


การสอนวิถีอย่างเปิดเผยช่วงแรกยุติลงชั่วคราว ควรให้ผู้บำเพ็ญเหล่านี้ได้ขอคำชี้แนะแล้ว


“หากมีข้อสงสัยตอนนี้ก็สามารถถามข้าได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงหยุดลงแล้วพูดยิ้มๆ เสียงของเขาสะท้อนก้องไปทั่วงาน


“ผู้อาวุโส”


“ผู้อาวุโสตงป๋อ”


ผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนซึ่งเดิมทีนั่งขัดสมาธิอยู่ หมอบอยู่หรือนอนขดอยู่ถึงหลายพันคนพากันลุกขึ้นยืน ตามกฎของงานชุมนุมใหญ่ดวงดารา หากยืนขึ้นระหว่างสอนวิถีก็แสดงว่าต้องการขอคำชี้แนะ


บรรดาผู้ที่ยืนขึ้นมาแทบจะทั้งหมดล้วนเป็นระดับ ‘ต่ำกว่าเทพอากาศ’ มีเทพอากาศเพียงสิบกว่าคนเท่านั้น เพราะถึงอย่างไรการสอนวิถีในช่วงแรกก็เพื่อระดับต่ำเป็นหลัก


“พวกเจ้าขึ้นมาสิ” ตงป๋อเสวี่ยอิงควบคุมอากาศ แล้วควบคุมผู้บำเพ็ญสามร้อยคนจากจำนวนนั้นเอาไว้ในพริบตา ผู้ที่อ่อนแอที่สุดในจำนวนนั้นเป็นเพียงเด็กน้อยระดับเหนือธรรมดา ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดคือขั้นกำเนิดอากาศ ‘การขอคำชี้แนะ’ ไม่มีทางชี้แนะคนทุกผู้ได้ เพราะเวลาในการสอนวิถีนั้นมีจำกัด โดยทั่วไปจึงชี้แนะได้เพียงส่วนเดียวเท่านั้น!


อันที่จริงชี้แนะแค่ส่วนเดียวก็เพียงพอแล้ว คำถามของผู้บำเพ็ญหลายคนล้วนคล้ายคลึงกันมาก


สวบๆๆ…


ผู้บำเพ็ญสามร้อยคนถูกตงป๋อเสวี่ยอิงควบคุมให้ลอยตรงขึ้นไปบนเวที แต่ละคนรู้สึกตื่นเต้นอยู่บ้าง พวกเขาโชคดีที่มีโอกาสขอคำชี้แนะ


“ผู้อาวุโสตงป๋อ” ผู้บำเพ็ญทั้งสามร้อยคนไม่ว่าจะเป็นเผ่าพันธุ์ใด ล้วนเคารพนบนอบเป็นอันมาก


“ว่ามาทีละคนเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ สายตาจับจ้องไปที่เด็กน้อยวัยเยาว์ที่อ่อนแอที่สุดคนนั้น ซึ่งเป็นเด็กหญิงร่างค่อนข้างท้วมคนหนึ่ง


เด็กหญิงคนนี้ออกจะตื่นเต้นอยู่บ้าง บิดาของนางเป็นบ่าวรับใช้ของหอสุราแห่งหนึ่งภายในเมืองราชันย์มีด นางอยู่ในเมืองราชันย์มีดมาตั้งแต่เกิด ครั้งนี้จึงมีโอกาสได้มารับฟังการสอนวิถี ภายในโลกทิพย์ นางเกิดมาก็เป็นเหนือธรรมดาแล้ว ปัญญาก็ย่อมสูงส่งอย่างยิ่งไปด้วย แต่สิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงอธิบายนั้น ในช่วงแรกนางก็เข้าใจได้เพียงส่วนน้อยนิดอย่างยิ่ง ช่วงหลังก็ฟังไม่รู้เรื่องแล้ว


“ผู้อาวุโส” เสียงของเด็กหญิงใสกระจ่างเสนาะโสต นางคารวะอย่างเชื่อฟัง จากนั้นก็เริ่มสอบถาม


……


เวลาล่วงเลยไป


การสอนวิถีช่วงแรกของตงป๋อเสวี่ยอิงกินเวลาไปถึงสิบแปดชั่วยาม ส่วนการชี้แนะผู้บำเพ็ญสามร้อยคนในเวลาต่อมาก็ใช้เวลาเกือบสิบชั่วยาม


จากนั้นเขาจึงเริ่มสอนวิถีช่วงที่สองซึ่งเน้นไปที่ ‘เทพอากาศขั้นกำเนิด’ เป็นหลัก โดยพูดเรื่องเข่นฆ่าก่อนแล้วค่อยพูดเรื่องเขตลวงดังเดิม ทว่าการอธิบายในครั้งนี้ใช้เวลาเพียงสิบสองชั่วยาม จากนั้นเขาก็ชี้แนะผู้บำเพ็ญสามร้อยคนเหมือนเดิม แต่กลับใช้เวลาถึงยี่สิบกว่าชั่วยาม


การสอนวิถีช่วงที่สามก็คือ ‘เทพอากาศขั้นรวมเป็นหนึ่ง’…


ผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนฟังแล้วก็เหมือนลุ่มหลงมัวเมา พวกเขาเคารพนับถือตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่บนเวทีขึ้นมา การสอนวิถีนั้นต้องรู้ลึกรู้จริง ในฐานะที่ผู้อาวุโสตงป๋อคนนี้เป็นขั้นรวมเป็นหนึ่งเพียงคนเดียวในบรรดาปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ทั้งห้าท่าน เขาจึงอธิบายได้กระจ่างแจ้งอย่างแท้จริง ทำให้พวกเขารู้แจ้งอยู่บ่อยครั้ง


ส่วนบรรดายักษ์ใหญ่ขั้นอลวนด้านบนก็รับชมรับฟังอย่างอดทน เพราะนี่คือการสอนวิถีซึ่งหกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ตั้งใจเตรียมไว้สำหรับผู้บำเพ็ญทั่วไปโดยเฉพาะ


“ตงป๋อเสวี่ยอิง ไม่เสียทีที่เป็นขั้นรวมเป็นหนึ่งที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกทิพย์สองแห่งเลย ทั้งยังเป็นคนของระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์อีกด้วย อธิบายละเอียดใช้ได้ และยังตรงประเด็นอีกกด้วย” บรรดายักษ์ใหญ่ขั้นอลวนก็ถ่ายเสียงวิพากษ์วิจารณ์กัน ในด้านการ ‘อธิบายวิถี’ โดยทั่วไปก็มักจะเป็นระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์และระบบทิพย์ที่เชี่ยวชาญที่สุด พวกเขาอธิบายได้กระจ่างแจ้งมากกว่า


“ไม่เลว”


“หากขั้นอลวนมาชี้แนะผู้บำเพ็ญธรรมดาสามัญเหล่านี้ ก็ไม่แน่ว่าจะสู้ตงป๋อเสวี่ยอิงคนนี้ได้”


พวกเขากำลังประเมินกัน


ส่วนประมุขวังปาอวิ่นที่คิดจะหาเรื่องตำหนิอยู่ตลอดเวลาก็มองด้วยสายตาเย็นชา รู้สึกไม่ชอบใจเป็นอันมาก ต่อให้ไม่อยากยอมรับ ในใจเขาก็เข้าใจดีว่า ในการชี้แนะคนระดับล่างทั้งหลาย มีหลายด้านที่ตงป๋อเสวี่ยอิงชี้แนะ ซึ่งประมุขวังปาอวิ่นก็ไม่เคยนึกถึงมาก่อน! เพราะ ‘ศาสตร์โบราณ’ นั้น เขาเพียงแค่ต้องยกระดับเคล็ดวิชาสืบทอดมังกรปาหลงอย่างต่อเนื่องเท่านั้นเอง


“ในที่สุดก็พูดถึงขั้นรวมเป็นหนึ่งแล้ว ยิ่งพูดถึงระดับที่ลึกล้ำมากขึ้นเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งผิดพลาดได้มากขึ้นเท่านั้น” ประมุขวังปาอวิ่นมีนิสัยเห็นแก่ตัว ถือตนเองเป็นหลัก ยิ่งเห็นตงป๋อเสวี่ยอิงแสดงผลงานในงานชุมนุมใหญ่ดวงดาราได้ดีเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งไม่ชอบใจมากขึ้นเท่านั้น


ผู้บำเพ็ญธรรมดาสามัญจำนวนนับไม่ถ้วนเบื้องล่างคร้านที่จะยุ่งเกี่ยวกับความบาดหมางของระดับสูง พวกเขารู้เพียงว่า การสอนวิถีชองอาวุโสตงป๋อคนนี้มีส่วนช่วยพวกเขาเป็นอย่างมาก แต่ละคนล้วนตั้งใจฟังจนจมจ่อมเข้าไป


ต่อให้ฟังไม่เข้าใจ พวกเขาก็จะอาศัยความจำฝืนจดจำทุกสิ่งเอาไว้เสียเลย


เพียงแต่ภาพที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงออกมาขณะสอนวิถีนั้นวิจิตรพิสดารเกินไป พวกเขามิอาจจดจำได้หมด อาจจะพอจำเนื้อหาที่พูดได้บ้าง ในภายหน้าก็สามารถค่อยๆ ย้อนรำลึกได้


ในที่สุด…


เมื่อสอนวิถีค่อยๆ สูงส่งลึกล้ำมากขึ้นเรื่อยๆ การอธิบาย ‘วิถีเข่นฆ่า’ ระดับขั้นรวมเป็นหนึ่งของตงป๋อเสวี่ยอิงก็มาถึงระดับเจดีย์ดาวชั้นที่หกแล้ว และนี่ก็คือการสอนวิถีระดับสูงที่สุดของเขาในครั้งนี้แล้ว


“เอ๊ะ” ทันใดนั้นประมุขวังปาอวิ่นก็นัยน์ตาเป็นประกายขึ้นมา “น่าขันนักๆ ผู้ที่มีพลังสูงส่ง การสอนวิถีให้กระจ่างก็ย่อมผ่อนคลายมากเป็นธรรมดา ตัวเขาเองเพิ่งจะเป็นระดับเจดีย์ดาวชั้นที่หก ก็กล้าพูดเรื่องวิถีของระดับนี้ด้วยหรือนี่ ถูกข้าพบปัญหาเข้าแล้วจริงๆ เสียด้วย”


……


ขั้นรวมเป็นหนึ่งนั้นซับซ้อนกว่ามาก ตงป๋อเสวี่ยอิงอธิบายไปสามสิบกว่าชั่วยามจึงหยุดลง


“ผู้ที่มีข้อข้องใจสามารถถามข้าได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปาก


ผู้บำเพ็ญเผ่าต่างๆ จำนวนนับไม่ถ้วนเบื้องล่างพลันลุกขึ้นมาเสียงดังสวบสาบเป็นจำนวนหลายหมื่นคน ซึ่งล้วนแต่เป็นขั้นรวมเป็นหนึ่งทั้งสิ้น! ต้องรู้ไว้ว่านอกจากคนท้องที่ของเมืองราชันย์มีดเองแล้ว คนต่างแดนจะเดินทางมานั้นก็มิใช่เรื่องง่ายเลย ลำพังแค่ค่าใช้จ่ายของค่ายกลส่งถ่ายมิติก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้ว ดังนั้นผู้ที่สามารถเดินทางมาจากต่างแดนได้ โดยทั่วไปล้วนแต่เป็นระดับขั้นรวมเป็นหนึ่งที่มีพลังแข็งแกร่งอย่างยิ่ง


ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังจะเลือกสามร้อยคนจากจำนวนนั้นมา ขอเพียงชี้แนะทั้งสามร้อยคนนี้จนหมด การสอนวิถีของตนก็นับว่าเสร็จสิ้นลงแล้ว


“ผู้อาวุโสตงป๋อ ข้าก็พอจะรู้ทางสายการเข่นฆ่าอยู่บ้าง ขอเชิญผู้อาวุโสตงป๋อชี้แนะด้วย” เสียงหนึ่งดังก้องขึ้นมา


ตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนเวทีเงยหน้ามอง ก็เห็นบุรุษร่างผอมซูบบนแท่นสูงเหยียบอากาศเข้ามาแล้วร่อนลงบนเวที ทำเอาตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้งไปเล็กน้อย เป็นเขาหรือ ประมุขวังปาอวิ่นหรือ


“เอ๊ะ”


“ขั้นอลวน!”


เหล่าผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนเบื้องล่างตื่นเต้นขึ้นมาแล้ว


ระหว่างการสอนวิถีอย่างเปิดเผยของงานชุมนุมใหญ่ดวงดารา โดยทั่วไปล้วนแต่เป็นยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนที่รับตำแหน่งปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่! ขณะที่พวกเขาสอนวิถี ก็จะอธิบายถึงเนื้อหา ‘การบรรลุขั้นอลวน’ บ้าง โดยทั่วไปแล้วตอนนี้ก็จะทำให้ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนบางคนที่รับฟังอยู่เกิดความสงสัยขึ้นมาได้ ขั้นอลวนสองคนอยู่บนเวที ปะทะคารมอธิบายวิถีกัน หรืออาจถึงขั้นลงมือพิสูจน์


นี่เป็นเรื่องดี! การรับรู้ที่แตกต่างกันของยักษ์ใหญ่ขั้นอลวน การที่พวกเขาปะทะคารมอธิบายวิถี ก็มีส่วนช่วยในการบรรลุขั้นอลวนในภายหน้าของเหล่าขั้นรวมเป็นหนึ่งด้านล่าง


เพียงแต่ว่า…


ตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นเพียงขั้นรวมเป็นหนึ่งคนหนึ่งเท่านั้น เมื่อเขาสอนวิถี ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนด้านบนล้วนเชื่อว่า น่าจะไม่มีผู้ใดลดตัวลงไปตั้งข้อสงสัยกับเขา เพราะถึงอย่างไรยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนจะไปสงสัยขั้นรวมเป็นหนึ่งคนหนึ่ง ด้วยสถานะเองก็ไม่เท่าเทียมกันอยู่แล้ว การ ‘ตั้งข้อสงสัย’ เช่นนี้ก็เหมือนกับการตบหน้าอยู่บ้าง


“ประมุขวังปาอวิ่น” ตงป๋อเสวี่ยอิงยืดกายขึ้นทันที เมื่อเผชิญหน้ากับขั้นอลวน เขาจะนั่งขัดสมาธิต่อไปก็คงไม่งามนัก


“ข้ามิได้มีเจตนาอื่นใด เพียงแต่เพื่อผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนในที่นี้ จึงต้องให้เจ้าปะทะคารมกันสักหน่อย” ประมุขวังปาอวิ่นมีท่าทีว่าทำเพื่อผู้บำเพ็ญทั้งหมดในที่นั้น


“เชิญ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า


“เมื่อครู่เจ้าพูดเรื่องวิถีเข่นฆ่า เชื่อว่าแก่นแท้ของวิถีเข่นฆ่าอยู่ที่ ‘เก็บ’ รองลงมาก็คือ ‘ปล่อย’ ใช่หรือไม่” ประมุขวังปาอวิ่นกล่าว


ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า “ขั้นอลวนข้าไม่กล้าพูด แต่ในขั้นรวมเป็นหนึ่ง ข้าเชื่อว่า ‘เก็บ’ สำคัญกว่า”


“เจ้าแค่ลงมือกับข้าก็พอ ข้าจะสำแดงพลังระดับเจดีย์ดาวชั้นที่หกเพื่อรับมือ” ประมุขวังปาอวิ่นพูดยิ้มๆ “อีกประเดี๋ยวเจ้าก็จะเข้าใจเองว่าที่แท้แล้วสิ่งใดสำคัญกว่ากันแน่”


“ได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า


โดยทั่วไปการปะทะคารมอธิบายวิถี ไม่ว่าฝ่ายใดก็มิอาจพูดให้อีกฝ่ายเชื่อได้ ก็ต้องลงมือเพื่อเป็นการพิสูจน์


“ตู้มมม…” เจ้าลัทธิภาพจิตบนแท่นสูงเข้าควบคุมเวทีการต่อสู้ทันที รอบเวทีมีค่ายกลเข้าครอบเอาไว้ เพื่อป้องกันมิให้ลูกหลงจากการปะทะส่งผลกระทบต่อผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนที่ชมการต่อสู้อยู่


“ผู้อาวุโสตงป๋อกับขั้นอลวนกำลังจะลงมือพิสูจน์วิถีกันแล้ว”


ผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนมองดูด้วยความตื่นเต้น


นี่จึงจะเป็นการประลองของบุคคลระดับสูงที่สุดของงานชุมนุมใหญ่ดวงดาราจนถึงตอนนี้


“ระวังล่ะ”


ตงป๋อเสวี่ยอิงกำหนดจิตคราหนึ่ง ก็มีกระสวยยาวสีดำเล่มแล้วเล่มเล่าลอยขึ้นกลางอากาศรอบด้าน ปลายทั้งสองด้านของมันคมกริบหาใดเปรียบ ที่อีกฟากหนึ่ง ประมุขวังปาอวิ่นกลับยื่นมือขวาออกไปยิ้มๆ มือขวาของเขามิได้มีเกราะเกล็ดปรากฏขึ้นเสียด้วยซ้ำ เห็นได้ชัดว่าเขารังเกียจ


 ……………………………..


ตอนที่ 34 ประจักษ์พยานประวัติศาสตร์!

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ลงมือให้เต็มที่เถิด” ประมุขวังปาอวิ่นวางท่าผู้อาวุโส


ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มน้อยๆ พลางสะบัดแขนเสื้อ


ฟิ้วๆๆ…กระสวยยาวสีดำถึงสิบหกเล่มลอยไปทางประมุขวังปาอวิ่นพร้อมกัน และไปถึงตรงหน้าประมุขวังปาอวิ่นในทันใด ยามนี้กระสวยยาวสีดำแต่ละเล่มเพิ่งจะปะทุอานุภาพอันน่าหวาดหวั่นออกมา แต่ละเล่มล้วนแปรเป็นเงาราง ภายในมีการยุบตัวแล้วกลายเป็นความอลหม่านอยู่รางๆ ต่อให้อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์โลกทิพย์ ก็ทำให้อากาศยุบตัวแล้วกลายเป็นความอลหม่านอยู่ดี จะเห็นได้ถึงอานุภาพของมัน


“เจ้ามิได้พูดว่าแก่นแท้ของวิถีเข่นฆ่าอยู่ที่เก็บหรอกหรือ นี่ควรจะนับได้ว่า ‘ปล่อย’ กระมัง” ประมุขวังปาอวิ่นเพียงแค่ตะปบมือข้างหนึ่งลงมา ฝ่ามือก็แทบจะกลายเป็นเงาลวงไปในพริบตา แล้วสกัดกั้นการลอบโจมตีของกระสวยยาวสีดำสิบหกเล่มต่อเนื่องกัน


ตงป๋อเสวี่ยอิงเห็นเข้าก็ลอบส่ายหน้ากับตนเอง


ประมุขวังปาอวิ่นผู้นี้กล่าวว่าจะสำแดงพลังระดับเจดีย์ดาวชั้นที่หกออกมา แต่ในความเป็นจริงน่าจะนับว่าสำแดงเจดีย์ดาวชั้นที่หกระดับยอดออกมาเสียมากกว่า! เพราะกระสวยยาวสีดำแต่ละเล่มของตนล้วนเป็นอาวุธเทพอากาศระดับยอด ที่สำแดงออกมาก็ล้วนแต่เป็นกระบี่ที่หกผลาญโลกา เมื่อสำแดงสิบหกเล่มออกไปพร้อมกัน ต่อให้ประมุขเจดีย์อสนีโรจน์ผู้นั้นมาสกัดกั้นเองก็ไม่มีทางผ่อนคลายได้ถึงเพียงนี้


สิ่งที่ประมุขวังปาอวิ่นฝึกฝนก็คือ ‘เคล็ดวิชาสืบทอดมังกรปาหลง’ ทำให้ร่างกายแข็งแกร่งอย่างยิ่ง หากร่างกายของเขามีเกราะเกล็ดปรากฏขึ้นมา ความแข็งแกร่งก็เพียงพอจะเทียบได้กับอาวุธเทพอากาศระดับบนแล้ว ฝ่ามือทั้งสองก็ร้ายกาจยิ่งนัก หากมีเกราะเกล็ดปรากฏขึ้นมา ความแข็งแกร่งก็เพียงพอจะเทียบได้กับอาวุธเทพอากาศระดับยอดเลยทีเดียว ฝ่ามือของเขาน่าหวาดหวั่นอย่างยิ่งในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านพละกำลังหรือความเร็ว ต่อให้ยามนี้จะยังไม่มีเกราะเกล็ดปรากฏขึ้นมา ไม่ว่าพละกำลังหรือความเร็วก็ล้วนเหนือกว่าประมุขเจดีย์อสนีโรจน์ได้อย่างง่ายดาย สิ่งที่เขาเชี่ยวชาญที่สุดก็คือฝ่ามืออีกต่างหาก จึงย่อมสามารถสกัดกั้นกระบวนท่าของตงป๋อเสวี่ยอิงได้


“ประมุขวังปาอวิ่น อีกประเดี๋ยวก็จะรู้กันแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว


“เช่นนั้นข้าก็จะดูว่าผู้อาวุโสตงป๋อมีลูกไม้สักกี่มากน้อย” ประมุขวังปาอวิ่นยังคงยิ้มโดยไม่เสียท่าทีแม้แต่น้อย ขณะเดียวกันก็สกัดกั้นกระสวยยาวสีดำที่เข้ามาโจมตีอีกครั้ง


ฟิ้วๆๆ…


กระสวยยาวสีดำสิบหกเล่มรายล้อมประมุขวังปาอวิ่นเอาไว้ แล้วแปรเป็นเงารางเข้าโจมตีอย่างต่อเนื่อง คลื่นอานุภาพกระทบไปทั่วทุกทิศทุกทาง แล้วปะทะเข้ากับที่ครอบซึ่งปรากฏขึ้นมาตรงขอบเวที


“เอ๊ะ” สีหน้าของประมุขวังปาอวิ่นคอยๆ เปลี่ยนแปลงไป “ทำไม…”


“น่าสนใจ” ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนทั้งหลายที่ชมการต่อสู้อยู่บนแท่นสูงทั้งหลาย ทั้งเจ้าลัทธิภาพจิต ประมุขวังเจียงฝู่ จักรพรรดิสิงหั่วและคนอื่นๆทต่างก็พบความพิเศษของกระบวนท่าของตงป๋อเสวี่ยอิง


“เขาก้าวหน้ากว่าตอนต่อสู้กับอสนีโรจน์เสียอีก” เจ้าลัทธิภาพจิตเอ่ยชม


เป็นความจริง


หากเป็นตงป๋อเสวี่ยอิงตอนที่ประมือกับประมุขเจดีย์อสนีโรจน์ ต่อให้สำแดงกระบี่ที่หกผลาญโลกาออกมา ก็เพียงแค่โจมตีอย่างบ้าคลั่งจนปกฟ้าคลุมดินเท่านั้น


แต่เมื่อคิดค้น ‘บุปผาผลาญทำลาย’ ขึ้นมา ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เข้าใจทั้งวิถีโลกเทียมและวิถีเข่นฆ่าได้ลึกซึ้งขึ้น เมื่อสำแดงและใช้งานก็ยิ่งประณีตมากขึ้น ทันใดนั้นกระสวยยาวสีดำสิบหกเล่มก็โจมตีต่อเนื่องกันโดยมีประมุขวังปาอวิ่นเป็นศูนย์กลาง แต่ละครั้งที่ถูกโจมตีกระเด็นไป พวกมันก็จะหยิบยืมพลังแล้วโจมตีเข้ามาอีกครั้ง นอกจากนี้วงล้อมที่เกิดจากกระสวยยาวสีดำสิบหกเล่มก่อตัวขึ้นมาก็ดุจดั่งโลกใบหนึ่ง


ทอดยาวต่อเนื่องกัน อานุภาพก็ต่อเนื่องกัน ไม่เพียงแต่อานุภาพแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น แต่ยังรวมตัวกันได้อย่างวิจิตรพิสดารอีกด้วย ประมุขวังปาอวิ่นถูกมือสองข้างบีบบังคับให้สกัดกั้นพร้อมกันอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว จึงเปลืองแรงเป็นอย่างมาก


“เป็นไปได้อย่างไรกัน” ประมุขวังปาอวิ่นไม่อยากจะเชื่อ “เหตุใดการเข่นฆ่าของขั้นรวมเป็นหนึ่งอย่างเขาจึงสามารถสำแดงออกมาถึงขั้นนี้ได้”


พิสดารเกินไปแล้ว


การเข่นฆ่าซึ่งเดิมโหดเหี้ยม เมื่ออยู่ในมือตงป๋อเสวี่ยอิงก็ราวกับดนตรี แฝงไว้ด้วยความงดงามอันวิจิตรพิสดาร! ความงดงามเช่นนี้พอจะมีความงดงามอันสมบูรณ์แบบของ ‘บุปผาผลาญทำลาย’ ให้เห็นหลายส่วนแล้ว หากโจมตีอย่างบ้าคลั่งมืดฟ้ามัวดิน เกรงว่าเมื่อกระสวยยาวสามสิบเล่มสำแดงกระบี่ที่หกผลาญโลกาออกมาพร้อมกันจึงมีแรงกดดันเช่นนี้


ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม


ระดับขั้นยิ่งสูงเท่าไหร่ ก็จะยิ่งสามารถสำแดงกระบวนท่าระดับต่ำได้ง่ายดายขึ้นเท่านั้น ที่ผ่านมาเขาสำแดงใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์ก็สามารถสำแดงออกมาได้พร้อมกันสิบห้าสาย! บัดนี้สามารถสำแดงออกมาพร้อมกันได้ถึงยี่สิบห้าสายแล้ว! ก็คือเข้าใจวิถีโลกเทียมได้สูงยิ่งขึ้น เมื่อสำแดงใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์เขาใช้พลังจิตน้อยกว่านี้ก็เป็นอันใช้ได้แล้ว! ส่วนวิถีเข่นฆ่าและวิถีโลกเทียม เมื่อเทียบกันแล้วก็ด้อยกว่าอยู่บ้างเล็กน้อย ขีดจำกัดของตนสามารถสำแดงกระสวยยาวกระบี่ที่หกผลาญโลกาออกมาพร้อมกันได้เพียงยี่สิบเล่มเท่านั้น!


ที่สำแดงออกมาสิบหกเล่มนั้น เขาได้เผื่อพลังจิตเอาไว้จำนวนหนึ่ง เพื่อป้องกันมิให้เกิดความเปลี่ยนแปลง


“พิสดารเกินไปแล้ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ข้าอาจต้านทานมิได้ก็เป็นได้!” ประมุขวังปาอวิ่นร้อนใจขึ้นมา ภายใต้การจับจ้องของผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วน ด้านบนยังมียักษ์ใหญ่ขั้นอลวนทั้งหลายอยู่ด้วย หากพ่ายแพ้ให้กับขั้นรวมเป็นหนึ่งคนหนึ่งน่ะหรือ ประมุขวังปาอวิ่นคิดดูแล้วก็มิอาจยอมรับได้


“อาวุธของผู้อาวุโสตงป๋อนี้เป็นอาวุธเทพอากาศระดับยอด ฝ่ามือของข้านี้ออกจะทนไม่ได้ขึ้นมาแล้ว”


ประมุขวังปาอวิ่นพูดพลางหัวเราะเสียงดังกังวาน มือคู่หนึ่งกลับมีแผ่นเกล็ดสีดำปรากฏขึ้นมาก่อนจะตะปบลงไปทันที อานุภาพแต่ละสายน่าหวาดหวั่นผิดธรรมดา ปังๆๆ กระสวยยาวสีดำเล่มแล้วเล่มเล่าถูกกระแทกจนกระเด็นลอยออกไปไกลลิบ เนื่องจากอนุภาคแตกต่างกันมากเกินไป จึงมิอาจหยิบยืมพลังได้อีก ความรู้สึกว่าต่อเนื่องกันก่อนหน้านี้ก็ถูกทำลายลงเสียแล้ว


“เกินไปแล้ว” พวกเจ้าลัทธิภาพจิตและประมุขวังเจียงฝู่ที่ชมการต่อสู้อยู่ด้านบนต่างพากันขมวดคิ้ว “ปาอวิ่นผู้นี้สำแดงพลังระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เจ็ดออกมา”


พวกเขาสามารถวิเคราะห์ได้ ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนส่วนใหญ่ก็สามารถวิเคราะห์ได้เช่นกัน


แต่ผู้บำเพ็ญธรรมดาสามัญจำนวนนับไม่ถ้วนที่ชมการต่อสู้อยู่ด้านล่างระดับขั้นต่ำเกินไปจึงไม่อาจวิเคราะห์ได้ สำหรับประมุขวังปาอวิ่นแล้ว เดิมทีในบรรดาขั้นอลวน ชื่อเสียงของเขาก็ธรรมดามากอยู่แล้ว ยอมถูกบรรดายักษ์ใหญ่ขั้นอลวนหัวเราะเยาะ เขาก็มิอาจยอมได้…ว่าตนถูกขั้นรวมเป็นหนึ่งคนหนึ่งโจมตีจนพ่ายแพ้!


“อื้ม ไม่รักษาหน้าตาถึงเพียงนี้เชียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเห็นเข้าก็หน้าถอดสี


“ฮ่าฮ่า ผู้อาวุโสตงป๋อ ไหนเจ้าว่าวิถีเข่นฆ่าอยู่ที่เก็บอย่างไรเล่า เมื่อฝ่ามือนี้ของเข้าตะปบลงไปคราหนึ่ง กระสวยของเจ้าก็กระเด็นกระจัดกระจายไปทั่วทุกทิศทุกทางแล้ว” ประมุขวังปาอวิ่นพูดยิ้มๆ


“ประมุขวังปาอวิ่น เช่นนั้นฝ่ามือของท่านมาทำลายกระบวนท่านี้ดูหน่อยปะไร” ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวยืนอยู่ตรงนั้น น้ำเสียงก็เย็นชาขึ้นมา


ฟิ้วววว…


โลกลวงคล้ายมีคล้ายไม่มี ตรงกลางโลกลวงนั้นมีดอกไม้สีดำอยู่ดอกหนึ่ง ซึ่งมีใบทั้งหมดสามใบด้วยกัน บนใบไม้ยังมีหยดน้ำม้วนตัวอยู่ ทั้งโลกลวงราวกับคงอยู่เพื่อดอกตูมสีดำดอกนี้ แต่หลังจากนั้นติดๆ ดอกตูมสีดำก็ร่อนลงจากกลางฟ้าและกลายเป็นความจริง ครั้งนี้เปลี่ยนแปลงกลายเป็นความจริงไปในทันใด โครมม…พลังฟ้าดินพลันโหมซัด ทำเอามิติภายในเวทีมีระลอกคลื่นพลังฟ้าดินปรากฏขึ้น ตรงกลางน้ำวนถึงขั้นถล่มยุบลงไปแล้ว หลุมที่ยุบลงไปมีพลังฟ้าดินจำนวนมากถาโถมเข้ามา


ดอกตูมสีดำปรากฏขึ้นแล้ว และรายล้อมประมุขวังปาอวิ่นเอาไว้อย่างสิ้นเชิง


กลีบดอกตูมเป็นสีดำแต่กลับโปร่งใสอยู่รางๆ จนสามารถมองเห็นเงาร่างของประมุขวังปาอวิ่นที่อยู่ด้านในได้เลยทีเดียว


“แค่กระบวนท่านี้น่ะหรือที่จะให้ข้าทำลาย” ประมุขวังปาอวิ่นหัวเราะเสียงดังกังวาน


ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับมองดูด้วยสายตาเย็นชา ในเมื่ออีกฝ่ายไม่อยากรักษาหน้า เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องไว้หน้าเขาแล้ว เรื่องที่บรรลุถึงเจดีย์ดาวชั้นที่เจ็ดเขาก็มิได้คิดจะปิดบังอยู่แล้ว เช่นนี้ก็ถือโอกาสนี้เปิดเผยเลยเถิด


ตู้มๆๆๆ…


ดอกตูมสีดำปรากฏขึ้นทีละดอกๆ ต่อเนื่องกัน ดอกไม้ดอกหนึ่งห่อหุ้มดอกไม้อีกดอกหนึ่งข้างในเอาไว้  มีดอกตูมสีดำทั้งหมดเจ็ดดอก ดอกไม้ดอกใหญ่ห่อหุ้มดอกเล็กเอาไว้ ด้านในสุดก็คือประมุขวังปาอวิ่นซึ่งถูกพันธนาการเอาไว้


“ทำลายให้ข้าเสีย” ประมุขวังปาอวิ่นยังคงมั่นใจผิดธรรมดา เขารับรู้ด้านวิถีโลกเทียมสูงส่งยิ่งจนมิทันได้สังเกตถึงความน่าหวาดหวั่นของ ‘บุปผาผลาญทำลาย’ ในรูปแบบดอกตูมซึ่งเก็บงำอย่างสิ้นเชิงในตอนนี้ บางทีตอนที่บานออกมา เขาจึงจะได้เข้าใจถึงความน่าหวาดหวั่นของกระบวนท่านี้


“ตู้ม!” มือทั้งสองของประมุขวังปาอวิ่นแทงเข้ามาอย่างดุเดือดพร้อมกัน


ดอกตูมสีดำแข็งแกร่งทนทานหาใดเปรียบ ตอนที่ยังไม่บานออกมาก็มีผลในการพันธนาการ ภายใต้การแทงอย่างดุเดือดของเขา ดอกตูมสีดำชั้นในสุดก็พลันเริ่มทำลายล้าง กลีบดอกบานออก อีกทั้งหลังจากนั้นติดๆ ก็แปรเป็นกระแสอากาศสีดำพร้อมกับใบของมัน แล้วเริ่มพังทลายทำลายล้าง มือทั้งสองของประมุขวังปาอวิ่นทำลายดอกตูมสีดำดอกที่หนึ่งลงได้ ยังมิทันได้ดีใจ ก็สามารถสัมผัสได้ว่าการโจมตีอันน่าหวาดหวั่นปะทะมา  ผู้ที่หยิ่งผยองเช่นเขาก็ยังคงไม่มีเกราะเกล็ดปรากฏขึ้นมาเหนือผิวกาย แต่ภายใต้อานุภาพนี้ ร่างกายของเขาก็ถูกฉีกออกทันที โลหิตสดๆ  หลั่งริน จากนั้นก็ได้รับบาดเจ็บ


นี่ยังเป็นเพราะตงป๋อเสวี่ยอิงไว้น้ำใจ จึงแค่ทำให้ดอกตูมสีดำดอกหนึ่งปะทุขึ้นมาเท่านั้น หากสามารถทำให้ปะทุขึ้นได้ทั้งเจ็ดดอก แล้วเขายังลำพองตนไม่ให้เกราะเกล็ดปรากฏขึ้นเหนือผิวกายแล้ว เกรงว่าคงจะได้รับบาดเจ็บสาหัสปางตายเลยทีเดียว


“อะไรกัน” ประมุขวังปาอวิ่นสีหน้าเปลี่ยนแปรไปแล้ว แค่ทำลายดอกตูมสีดำไปดอกเดียวเท่านั้น เขามัวแต่พะวงมิได้แล้ว ร่างกายฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว ผิวกายก็มีเกราะเกล็ดสีดำปรากฏขึ้น


ทุกอณูทั่วร่างล้วนมีเกราะเกล็ดสีดำปกคลุมอยู่ชั้นหนึ่ง การป้องกันและการโจมตีล้วนแข็งแกร่งอย่างยิ่ง นี่จึงจะเป็นอานุภาพของเคล็ดวิชาสืบทอดมังกรปาหลง


“ทำลายให้ข้าเดี๋ยวนี้!!!” ด้านหลังของประมุขวังปาอวิ่นเกิดปรากฏการณ์ขึ้น เงารางของสัตว์ประหลาดเกล็ดสีดำขนาดมหึมาตนหนึ่งสะดุดตาหาใดเปรียบ ถึงขั้นที่ว่าร่างกายบางส่วนของสัตว์ประหลาดนั้นโผล่พ้นจากขอบเขตของดอกตูมสีดำไปแล้ว เนื่องจากตัวสัตว์ประหลาดเองก็เป็นเงารางอยู่แล้ว ดังนั้นดอกตูมสีดำจึงมิได้ขัดขวางแต่อย่างใด


ยามนี้บรรดายักษ์ใหญ่ขั้นอลวนด้านบนทั้งหมดต่างพากันเหลือบมองลงมาเบื้องล่างด้วยความตกตะลึงพรึงเพริด


ประมุขวังปาอวิ่นสู้สุดชีวิตแล้ว!


“แตก!!!” กรงเล็บคู่หน้าของสัตว์ประหลาดเกล็ดสีดำขนาดมหึมาราวกับประสานรวมกับฝ่ามือทั้งสองของประมุขวังปาอวิ่นแล้วตะปบลงบนดอกตูมสีดำอย่างจัง ปังๆๆ ระหว่างที่ปะทะกับดอกตูมสีดำนั้น ดอกตูมสีดำแต่ละดอกก็บานออกมาอย่างต่อเนื่องกัน! แม้การทำลายล้างแต่ละระลอกจะปะทะเข้าลงบนร่าง แต่ประมุขวังปาอวิ่นก็ยังคงฝืนต้านรับด้วยสีหน้าเหี้ยมเกรียม


เขาทำลายดอกตูมสีดำถึงห้าดอกให้แตกไปได้ในรวดเดียว จากนั้นก็ออกแรงทำลายดอกตูมสีดำชั้นนอกสุดอีกครา


ในที่สุดดอกตูมสีดำเจ็ดดอกก็ทยอยกันบานออก


น่าเสียดาย!


ในชั่วขณะที่บานออกนั้นเอง ดอกตูมสีดำอีกเจ็ดดอกก็ร่อนลงมาอีกครั้ง! พลังฟ้าดินรอบด้านกลายเป็นน้ำวนอันบ้าคลั่งไป ศูนย์กลางของน้ำวนถล่มลง รูที่ถล่มยุบลงไปนั้นมีพลังฟ้าดินจำนวนมหาศาลซัดสาดเข้าไป


“ตู้มๆๆๆ…” ประมุขวังปาอวิ่นทำลายอย่างบ้าคลั่ง


แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงเพียงแค่ยืนอยู่ห่างๆ ทำให้ดอกตูมสีดำดอกแล้วดอกเล่าร่อนลงไป ทำเอาประมุขวังปาอวิ่นพุ่งออกมามิได้อยู่ตลอด


หากไม่มีเคล็ดวิชาสืบทอดของปีศาจชาดที่ส่งผลช่วยเรื่องวิญญาณ วิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงก็คงจะสำแดงดอกตูมสีดำออกมาได้เพียงชั้นเดียวเท่านั้น! แต่เนื่องจากวิญญาณของเคล็ดวิชาสืบทอดของปีศาจชาดแข็งแกร่งพอ จึงสามารถสำแดงออกมาถึงเจ็ดชั้นได้! ดอกตูมสีดำเจ็ดดอก…เห็นได้ชัดว่าสามารถทำได้ถึงขั้นกดดันประมุขวังปาอวิ่นแล้ว ทว่าเกราะเกล็ดเหนือผิวกายของประมุขวังปาอวิ่นเทียบได้กับอาวุธเทพอากาศชั้นบน แต่กลับทำได้เพียงต้านทานเท่านั้น


“นี่ นี่ นี่…” หลังสำแดงกระบวนท่าออกไปต่อเนื่องกันหลายครั้ง ประมุขวังปาอวิ่นก็หยุดลงพลางมองดูกลีบดอกไม้สีดำขนาดมหึมาตรงหน้าด้วยความตะลึงงัน


ดอกตูมสีดำเจ็ดดอก ดอกหนึ่งห่อหุ้มอีกดอกหนึ่ง ยังคงพันธนาการเขาเอาไว้


การป้องกันร่างกายของเขาแข็งแกร่งแล้วอย่างไรเล่า ในเมื่อสังหารออกไปมิได้อยู่ดี


ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนเช่นเขา มีพลังระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เจ็ด เมื่อถูกพันธนาการเอาไว้ภายในดอกไม้เจ็ดดอกก็ออกไปมิได้แล้ว! เขาทุ่มเทสุดกำลังไม่เพียงแต่เอาชนะมิได้เท่านั้น ทั้งยังตกเป็นรองด้วยอย่างนั้นหรือ ทำได้เพียงอาศัยเกราะเกล็ดเพื่อรักษาชีวิตเท่านั้น


“เขา หรือว่าเขาบรรลุถึงระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เจ็ดแล้วอย่างนั้นหรือ” ประมุขวังปาอวิ่นมองดูเงาร่างสายหนึ่งซึ่งยืนอยู่บนเวทีการต่อสู้ด้านนอกได้รางๆ ผ่านกลีบดอกไม้สีดำกึ่งโปร่งใสขนาดมหึมา เขายังคงรู้สึกไม่อยากจะเชื่ออยู่ดี


……


บนแท่นสูง


ขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงดอกตูมสีดำ ยามนี้ประมุขวังเจียงฝู่ที่อกสั่นขวัญแขวนก็ผลุนผลันยืนขึ้นมา เขาจ้องมองดอกตูมสีดำเจ็ดดอกเบื้องล่างนั้น


“นั่นมัน…” ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น ยามนี้ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนถึงแปดท่านก็ผุดลุกขึ้นอย่างอดรนทนมิได้ พวกเขาจับจ้องเบื้องล่างด้วยความตระหนก


อย่างเจ้าลัทธิภาพจิตและบางคนนั้น แม้จะมิได้ยืนขึ้นมา แต่ก็มีคลื่นมหึมาสูงเทียมฟ้าก่อกำเนิดขึ้นในใจ


เจดีย์ดาวชั้นที่เจ็ดหรือ


สามารถกดดันประมุขวังปาอวิ่นได้โดยสิ้นเชิง ถึงขั้นเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัดมาก แน่นอนว่าตงป๋อเสวี่ยอิงจะต้องมีพลังระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เจ็ดอย่างไร้ข้อกังขา!


ในประวัติศาสตร์ โลกทิพย์ทั้งสองเคยมียอดฝีมือขั้นรวมเป็นหนึ่งระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เจ็ดถือกำเนิดขึ้นมาเพียงสองท่านเท่านั้น หากนับรวมโลกทิพย์โบราณดั้งเดิมรวมถึงจนถึงบัดนี้ ทั้งประวัติศาสตร์รวมทั้งผู้ที่ตกอับไปด้วยแล้ว ผู้ที่สามารถบรรลุถึงระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เจ็ดได้ตั้งแต่ยังเป็นขั้นรวมเป็นหนึ่งก็มีเพียงแปดท่านเท่านั้น ซึ่งเจ็ดท่านจากจำนวนนั้นได้บรรลุถึงระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เก้าในภายหลัง ส่วนอีกคนเป็นเจดีย์ดาวชั้นที่แปดระดับยอด! แน่นอนว่าสามท่านในจำนวนนั้นก็ได้ตกอับไป


ดังนั้นขั้นรวมเป็นหนึ่ง ชั้นที่เจ็ด ก็แน่นอนว่าจะสามารถบรรลุถึงชั้นที่แปดระดับยอดได้ในระยะเวลาอันสั้น! ความหวังที่จะบรรลุถึงชั้นที่เก้าในภายหน้าก็สูงยิ่งเช่นเดียวกัน


“ขั้นรวมเป็นหนึ่งชั้นที่เจ็ด!” ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนทั้งแปดผุดลุกยืนขึ้นมา ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนคนอื่นๆ ก็จับตามองเวทีการต่อสู้เบื้องล่างด้วยเช่นเดียวกัน


ยามนี้…


พวกเขาล้วนเข้าใจว่า ได้เป็นประจักษ์พยานของประวัติศาสตร์แล้ว ได้เป็นประจักษ์พยานว่ามีขั้นรวมเป็นหนึ่งระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เจ็ดคนใหม่ถือกำเนิดขึ้น เขาคือคนที่สามในประวัติศาสตร์ของโลกทิพย์ทั้งสอง และเป็นคนที่เก้านับจากทั้งโลกทิพย์โบราณดั้งเดิมจนถึงบัดนี้


เขาก็คือตงป๋อเสวี่ยอิงแห่งวังทวีสูญ!


 …………………………….


ตอนที่ 35 จับตามอง

โดย

Ink Stone_Fantasy

บนเวทีการต่อสู้


ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับเก็บบุปผาผลาญทำลายลงไปอย่างกะทันหัน ทำให้ประมุขวังปาอวิ่นที่ถูกพันธนาการอยู่ข้างในมาโดยตลอดมีสีหน้าผ่อนคลายลง โบกภายนอกกลีบดอกไม้สีดำกึ่งโปร่งใสนั้นเลือนราง บัดนี้โลกตรงหน้าเห็นเด่นชัดขึ้นมาแล้ว ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวที่ยืนอยู่ไกลออกไปเอ่ยปากพูดว่า “ประมุขวังปาอวิ่น จะประลองเพื่อพิสูจน์ต่อไปหรือไม่” เสียงนุ่มนวลดังก้องขึ้นข้างหู


ประมุขวังปาอวิ่นมองตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยสีหน้าซับซ้อน จากนั้นเขาก็หันกลับไปแล้วแปรเป็นลำแสงพุ่งตรงไปทางแท่นสูงด้านบน และกลับไปยังที่นั่งของตนก่อนจะนั่งอย่างเงียบเชียบครู่หนึ่งโดยไม่เปล่งเสียงใดออกมาแม้แต่คำเดียว


เขาเข้าใจดีมากว่า…


ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนกระจายตัวกันอยู่ในโลกทิพย์ทั้งห้าและอากาศอันสับสนอลหม่านอันกว้างใหญ่ ดูเหมือนจะน้อยมาก แต่เมื่อนับรวมกันแล้วก็ไม่น้อยเลย วังทวีสูญก็มีสิบสองท่าน เกาะปฐมบรรพชนและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เหยากวงซึ่งมีทรัพยากรมากกว่าก็มีจำนวนไม่แพ้วังทวีสูญเลย ยังมีขั้นอลวนจำนวนมากที่มิได้สวามิภักดิ์ต่อสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ลำพังแค่โลกทิพย์ทะเลสัตตดาราก็มีขั้นอลวนเกือบร้อยคนแล้ว โลกทิพย์ทั้งห้านั้น มีโลกทิพย์โบราณที่กว้างใหญ่และแข็งแกร่งที่สุด รองลงมาคือโลกทิพย์นิจนิรันดร์ โลกจอมมารดา โลกทิพย์กิเลนบูรพาและโลกทิพย์ทะเลสัตตดารา


บวกกับการต่อสู้หลายครั้งที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้ก็มีโลกทิพย์ที่สร้างขึ้นมาแล้วแตกสลายไป เหล่ายักษ์ใหญ่ขั้นอลวนซึ่งหมดอาลัยตายอยากก็กระจัดกระจายกันไปในอากาศอันสับสนอลหม่าน        อันกว้างขวาง แม้แต่เทพจักรวาลก็ยังมีบางส่วนที่กระจายกันไปกลางอากาศอันสับสนอลหม่าน


ดังนั้นสถานะของยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนก็มีแบ่งระดับสูงต่ำเช่นกัน


ขั้นอลวนผู้องอาจ หากมีพลังเพียงระดับเจดีย์ดาวชั้นที่หก ก็จะถูกดูแคลนมากที่สุด เป็นระดับต่ำสุด โดยทั่วไปก็ไม่อยากจะออกมาเพ่นพ่านสักเท่าใดนัก หากไม่เก็บตัวอยู่อย่างสันโดษ ก็จะครอบครองที่ดินอันห่างไกลสักผืนหนึ่งแล้วเป็นผู้ทรงอำนาจในแถบของตน


พลังระดับชั้นที่เจ็ด อย่างประมุขวังปาอวิ่น ประมุขเกาะชิงชวีและคนอื่นๆ นั้นนับว่าพบเห็นได้บ่อยที่สุด ขั้นอลวนกว่าครึ่งล้วนอยู่ในระดับชั้นที่เจ็ด อย่างเจ้าสำนักสวรรค์กันแสงซึ่งมีทรัพยากรค่อนข้างแน่นหนานั้นจัดเป็นชั้นที่เจ็ดระดับยอด หากพูดในภาพรวม ชั้นนี้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว อย่างน้อยเมื่อท่องไปตามทิศต่างๆ ขั้นอลวนคนอื่นๆ ก็จะไว้หน้า เพราะนี่คือระดับพลังที่พบเห็นได้บ่อยที่สุด


ระดับที่แปดก็ยอดเยี่ยมมากโดยแท้จริง เมื่อเทียบกันแล้วจำนวนก็น้อยกว่ามากทีเดียว สถานะก็สูงส่ง  บรรพชนงูอู่เจ๋อ ประมุขเกาะจื่อถู แม่ทัพเทียนกวงและจอมมารก็ล้วนแต่อยู่ในระดับนี้ จำนวนของพวกเขาน้อยกว่ามากทีเดียว อย่างปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ดวงดารา ระดับชั้นของพวกเขาเป็นตัวแทนของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของตน บรรดาเทพจักรวาลก็ล้วนรู้สึกว่าไม่เลวแล้ว


แน่นอนว่าผู้ที่แข็งแกร่งยิ่งในจำนวนนั้น อย่างประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ จักรพรรดิเก้ามังกรและคนอื่นๆ ล้วนแต่เป็นสิ่งมีชีวิตชั้นที่แปดระดับยอด จอมมารเคยท้าทายประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ก็ถูกทำลายให้พ่ายแพ้ไปได้อย่างง่ายดาย


ชั้นที่เก้าหรือ พลังของพวกเขาบรรลุถึงระดับเทพจักรวาลแล้ว เมื่อเผชิญหน้ากับเทพจักรวาล โดยทั่วไปก็สามารถรักษาชีวิตได้ เทพจักรวาลก็จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเท่าเทียม


“ขั้นรวมเป็นหนึ่งระดับชั้นที่เจ็ดเชียวนะ” ในใจของประมุขวังปาอวิ่นเกิดความอิจฉาริษยาขึ้นมา “ตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้ ก้าวเข้าสู่ขั้นอลวนได้ไม่นานเท่าไหร่ก็สามารถบรรลุถึงชั้นที่แปดระดับยอดได้แล้ว ทั้งยังมีโอกาสก้าวเข้าสู่ชั้นที่เก้ามากยิ่งนัก”


ก่อนหน้านี้ในประวัติศาสตร์มีทั้งหมดเพียงแปดคนเท่านั้น มีเจ็ดคนที่สามารถบรรลุถึงระดับชั้นที่เก้าได้ แน่นอนว่าในหมู่พวกเขาก็มีคนที่ตกอับ และมีผู้ที่สำเร็จเป็นเทพจักรวาลด้วย


“ครั้งนี้ นับว่าชื่อเสียงของเขาแพร่ไปทั่วอากาศอันสับสนอลหม่านอย่างแท้จริงแล้ว ผู้แกร่งกล้าจำนวนนับไม่ถ้วนล้วนรู้จักชื่อของเขา ส่วนข้าก็คือหินรองเท้าให้เขาได้มีชื่อเสียงในครั้งนี้” ประมุขวังปาอวิ่นราวกับมีสิ่งใดกำลังกัดกินใจ แต่เขาก็ไม่มีความคิดจะเป็นอริเลยแม้แต่น้อย เพราะแตกต่างกันมากเกินไปแล้ว ชั้นที่แปดระดับยอดลงมือกับชั้นที่เจ็ดก็สามารถสังหารได้อย่างง่ายดาย


……


ตงป๋อเสวี่ยอิงมองประมุขวังปาอวิ่นแล้วจากไปแต่โดยดี เขาไม่เปล่งเสียงออกมาสักคำ ข้างหูกลับมีเสียงมากมายลอยเข้ามา


“ผู้อาวุโสตงป๋อ ยินดีด้วยๆ ขั้นรวมเป็นหนึ่งก็สามารถบรรลุถึงระดับชั้นที่เจ็ดได้แล้ว ในภายหน้ามีโอกาสจะเป็นขั้นอลวนด้วย”


“ผู้อาวุโสตงป๋อช่างเก่งกาจเสียจริง ไม่เพียงแต่ก้าวข้ามระดับชั้นที่เจ็ดเท่านั้น แต่ยังสามารถกดดันประมุขวังปาอวิ่นได้อีกด้วย นับถือๆ”


“เคราะห์ดีที่มีโอกาสได้เห็นการต่อสู้ที่จะได้รับการจารึกในประวัติศาสตร์ ช่างโชคดีเสียจริง”


จากนั้นก็มียักษ์ใหญ่ขั้นอลวนทั้งหลายถ่ายเสียงมา


พวกเขาต่างก็กระตือรือร้นเป็นอันมาก บางคนยังถึงกับผ่อนคลายท่าทีลงมา เหมือนกับยินดีมากที่จะต่ำกว่าตงป๋อเสวี่ยอิงระดับหนึ่ง! เนื่องจากบรรดาขั้นอลวนก็มีความยากลำบากและวิฤตที่แตกต่างกันไป พวกเขาจึงยินดีมากที่จะผูกสัมพันธ์กับตงป๋อเสวี่ยอิง ก่อนหน้านี้ มีพวกเขาบางคนที่ดูแคลนตงป๋อเสวี่ยอิง และคร้านจะพูดด้วยสักหลายประโยค


พวกเขาเชื่อโดยสัญชาตญาณว่ามิใช่คนระดับเดียวกัน พวกเขารู้สึกว่าตงป๋อเสวี่ยอิงอาจจะมีโอกาสติดอยู่ในขั้นรวมเป็นหนึ่งตลอดกาลก็เป็นได้


ตอนนี้ย่อมต่างออกไปแล้ว


ยิ่งไปกว่านั้น ส่วนใหญ่ตัวพวกเขาเองก็เป็นแค่ระดับชั้นที่เจ็ดเท่านั้น มิได้แข็งแกร่งไปกว่าประมุขวังปาอวิ่นสักเท่าใดนัก


“ข้ายังต้องสอนวิถีต่อ ขอทุกท่านโปรดอภัยด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงตอบผู้ที่ถ่ายเสียงมาให้ตน


จากนั้นเขาก็หันมองไปทางเบื้องล่าง


ผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนเบื้องล่างตื่นเต้นไปหมดแล้ว ขั้นรวมเป็นหนึ่งกดดันขั้นอลวนซึ่งหน้าอย่างนั้นหรือ ขั้นรวมเป็นหนึ่งบางคนที่หูตากว้างไกลก็ถ่ายเสียงอธิบายให้สหายรอบด้านฟังแล้ว พวกเขาจำนวนไม่น้อยรู้จักขั้นรวมเป็นหนึ่งชั้นที่เจ็ดซึ่งเป็นตำนานผู้นี้อยู่แล้ว


“บัดนี้ข้าจะสอนวิถีต่อแล้ว” เสียงของตงป๋อเสวี่ยอิงแพร่ไปข้างหูของผู้บำเพ็ญทุกคน ขณะเดียวกันก็เคลื่อนย้ายผู้บำเพ็ญขั้นรวมเป็นหนึ่งสามร้อยคนที่เลือกเอาไว้ก่อนหน้านี้ขึ้นมาบนเวที


ฟิ้วๆๆ…


ผู้บำเพ็ญขั้นรวมเป็นหนึ่งสามร้อยคนร่อนลงบนเวทีการต่อสู้ พวกเขาต่างก็ตื่นเต้นยินดีที่ตนเป็นผู้ที่ถูกเลือก มีโอกาสให้สิ่งมีชีวิตขั้นรวมเป็นหนึ่งชั้นที่เจ็ดชี้แนะ ในความเข้าใจของขั้นรวมเป็นหนึ่ง…ตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นคนของระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ สามารถกล่าวได้ว่ามิมีผู้ใดในที่นั้นอาจหาญพูดว่าเข้าใจกระจ่างแจ้งกว่าตงป๋อเสวี่ยอิงเลย


“ผู้อาวุโสตงป๋อ” ขั้นรวมเป็นหนึ่งสามร้อยคนคารวะด้วยความเคารพ นี่คือความเคารพที่มีต่อผู้อาวุโส


“ว่ามาทีละคน” จากนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็เริ่มชี้แนะพวกเขาทีละคนๆ


……


ไม่ว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนด้านล่าง หรือว่ายักษ์ใหญ่ขั้นอลวนด้านบนก็ล้วนตั้งใจฟังอย่างละเอียดมากขึ้น แม้แต่เจ้าลัทธิภาพจิต จักรพรรดิสิงหั่วและประมุขวังเจียงฝู่ก็พากันฟังอย่างตั้งใจ


เมื่อผ่านไปสิบแปดชั่วโมงเต็มๆ เขาก็ชี้แนะขั้นรวมเป็นหนึ่งสามร้อยคนจนเสร็จสิ้น


ตงป๋อเสวี่ยอิงควบคุมอากาศเพื่อส่งผู้บำเพ็ญสามร้อยคนนี้ลงไป


“การสอนวิถีของข้าครั้งนี้เป็นอันยุติแล้ว ถึงคราวปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ท่านอื่นแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดพลางหัวเราะเสียงดังกังวาน จากนั้นก็แปรเป็นลำแสงทะยานไปทางแท่นสูงด้านบนก่อนจะนั่งประจำที่ของตน


ตามลำดับ


แม่ทัพเทียนกวงยืนขึ้นมา เขามองตงป๋อเสวี่ยอิงด้านข้างซ้ำแล้วซ้ำเล่า ที่ผ่านมาเขามิได้ปั้นสีหน้าแต่อย่างใด และถึงขั้นดูแคลนขั้นรวมเป็นหนึ่งจนเข้ากระดูกดำ รู้สึกว่ากล้าเทียบชั้นกับตนก็เป็นการดูถูกตนเองแล้ว แต่ยามนี้เขากลับมีรอยยิ้มผุดขึ้นมาอย่างหาได้ยากนัก เขายิ้มให้ตงป๋อเสวี่ยอิงก่อน ทำเอาตงป๋อเสวี่ยอิงหัวใจกระตุกวูบขึ้นมา


แม่ทัพเทียนกวงผู้นี้มีศีรษะโล้นเลี่ยน ทั้งร่างเปล่งแสงสีทองเรืองรองออกมา ทันใดนั้นท่าทีก็เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่พลางหัวเราะกับตนเอง ตงป๋อเสวี่ยอิงออกจะไม่เคยชินอยู่บ้าง


แม่ทัพเทียนกวงยิ้มพลางพูดเสียงดังกังวานว่า “ผู้อาวุโสตงป๋อสอนวิถีก่อนหน้าข้า ทำให้ข้ารู้สึกกดดันนัก ไม่แน่ว่าการสอนวิถีของข้าจะสู้ผู้อาวุโสตงป๋อได้ ทว่า ข้าก็จะทำอย่างสุดกำลังเช่นกัน” เสียงของเขาสะท้อนก้องไปทั่วสถานที่จัดงาน


“แม่ทัพเทียนกวงชมเกินไปแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าวขึ้นทันที


“มิได้ชมเกินไปเลย ที่ข้าพูดนั้นเป็นความจริง ตั้งแต่ขั้นอลวนลงไป ผู้ที่กล้าเทียบการสอนวิถีกับผู้อาวุโสตงป๋อนั้นมีไม่กี่คนหรอก” แม่ทัพเทียนกวงพูดยิ้มๆ จากนั้นเขาก็สาวเท้าออกไปก้าวเหนึ่ง เงาร่างหายวับไปก่อนจะปรากฏขึ้นบนเวที เขาในอาภรณ์สีเทาทั้งร่างนั่งอยู่บนแท่นสูง ทั้งร่างเปล่งแสงสีทองเรืองรอง เขาเริ่มสอนวิถีเสียงดังกังวาน


……


ปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ทั้งห้าสอนวิถีกันตามลำดับ ตงป๋อเสวี่ยอิง แม่ทัพเทียนกวง บรรพชนงูอู่เจ๋อ ประมุขเกาะจื่อถู และคนสุดท้ายคือประมุขวังเจียงฝู่


แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงที่สามารถนั่งอยู่บนแท่นสูงพลางฟังผู้อื่นสอนวิถีอย่างสบายๆ ได้กลับมิได้ผ่อนคลายลงแต่อย่างใด


เหล่าขั้นอลวนรอบด้านถ่ายเสียงก็แล้วไปเถิด


ยอดฝีมือฝ่ายต่างๆ ของโลกทิพย์ทั้งสามรวมไปถึงยอดฝีมือของอากาศอันสับสนอลหม่านบางคนถึงขั้นส่งสารให้ตนผ่านทางหอทะเลสัตตดารา อย่างน้อยก็ต้องมาแสดงความยินดีสักหนหนึ่ง! เห็นได้ชัดว่าเมื่อสถานะสูงส่งแล้ว ส่วนมากยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนเหล่านั้นก็จะไม่เสียมารยาท ตงป๋อเสวี่ยอิงเอง ส่วนใหญ่ก็จะแค่ตอบรับกลับไปอย่างง่ายๆ ตามมารยาทเท่านั้น แต่บรรดาประมุขตำหนักแห่งวังทวีสูญรวมทั้งผู้ที่มีสถานะสูงส่งมาก เขาก็จะต้องปฏิบัติด้วยอย่างจริงจัง


ตงป๋อเสวี่ยอิงสอนวิถีอยู่เก้าวัน ขั้นอลวนคนอื่นๆ เมื่อเทียบกันแล้วก็ด้อยกว่าอยู่บ้าง โดยทั่วไปก็จะอยู่ที่ห้าถึงหกวัน ประมุขวังเจียงฝู่นั้นใช้เวลาต่ำสุดคือสามวันเท่านั้น


สาเหตุหลักก็คือด้านการ ‘อธิบายวิถี’ นั้น ระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์นั้นอธิบายเก่งที่สุด! ระบบอื่นๆ ส่วนใหญ่นั้นเก่งด้านการสำแดง แต่จะพูดออกมานั้นก็ด้อยกว่าอยู่บ้าง


“งานชุมนุมใหญ่ดวงดาราครั้งนี้ยุติลงแต่เพียงเท่านี้” เสียงของเจ้าลัทธิภาพจิตสะท้อนก้องไปทั่วทั้งสถานที่จัดงาน


เหล่าผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนยังพอมีการรับรู้จากการไตร่ตรองขณะฟังการ ‘สอนวิถี’ บ้าง บางคนก็สับสนงงงวย ทว่าก็เริ่มทยอยกันกลับไปเป็นขนานใหญ่


ด้านบนแท่นสูง


แต่ละคนพากันยืดกายจากไป


“ผู้อาวุโสตงป๋อ”


“ผู้อาวุโสตงป๋อ” ขั้นอลวนหลายคนพากันเดินมา และเรียนเชิญตงป๋อเสวี่ยอิงให้ไปเข้าร่วมงานสังสรรค์ของพวกเขา


“สายตาของบุตรชายท่านนี่ไม่เลวเลยนะ” ประมุขวังเจียงฝู่เดินเคียงข้างกับจักรพรรดิสิงหั่ว “จะคารวะตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นอาจารย์ ในด้านวิถีโลกเทียม เขาน่าจะเป็นอาจารย์ที่ดีที่สุดแล้ว”


“ฮ่าฮ่าฮ่า” จักรพรรดิสิงหั่วพูดพลางหัวเราะ


เมื่อเห็นตงป๋อเสวี่ยอิงโดดเด่นสะดุดตาเช่นนี้ จักรพรรดิสิงหั่วก็ยินดีจากก้นบึ้งของหัวใจอย่างแท้จริง


และในเวลานี้เอง…


เจ้าลัทธิภาพจิตกลับเดินไปถึงข้างกายตงป๋อเสวี่ยอิง ขั้นอลวนหลายคนด้านข้างที่กำลังเชิญตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่นั้นรีบเลี่ยงไปด้านข้าง เจ้าลัทธิภาพจิตซึ่งเป็นระดับชั้นที่เก้าทำให้พวกเขาสามารถสัมผัสได้ถึงแรงกดดัน


“ตงป๋อ” เจ้าลัทธิภาพจิตยิ้ม จากนั้นก็ถ่ายเสียงพูดว่า “ราชันย์มีดให้ข้าส่งสารเชิญเจ้าให้ไปยังเจดีย์ดาวตอนนี้ เพื่อบุกฝ่าเจดีย์ดาวดูสักตั้ง! ไม่เพียงแค่ราชันย์มีดเท่านั้น ยังมีเทพจักรวาลอีกหลายท่านจะไปดูเจ้าบุกฝ่าเจดีย์ดาว”


“เทพจักรวาลหลายท่านหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้ง เป็นครั้งแรกที่เทพจักรวาลหลายท่านจับตามองเขาพร้อมกันเช่นนี้


ที่ผ่านมาก็มีเพียงบรรพชนเทียนอวี๋และจอมกระบี่แห่งวังทวีสูญของตนเท่านั้นที่พอจะสนใจอยู่บ้างเล็กน้อย เพียงเพราะเชื่อว่าเขามีหวังจะสำเร็จเป็นประมุขตำหนักผู้หนึ่งได้ แต่บัดนี้ ‘ราชันย์มีด’ ผู้แข็งแกร่งที่สุดในหกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และเทพจักรวาลอีกหลายท่านจะมาจับตามองเขาพร้อมกัน เห็นได้ชัดว่าตนได้เข้าไปอยู่ในสายตาของบุคคลระดับสูงสุดของหกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แล้ว ก็เป็นเรื่องปกตินัก จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ความเป็นไปได้ที่ตงป๋อเสวี่ยอิงจะก้าวเข้าสู่เจดีย์ดาวระดับชั้นที่เก้าได้นั้นสูงยิ่งนัก


“ได้ ข้าจะไปเจดีย์ดาวเดี๋ยวนี้แหละ” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงพูด


เจ้าลัทธิภาพจิตพยักหน้าน้อยๆ “ข้าจะส่งเจ้าไป”


 ……………………..


ตอนที่ 36 อาจารย์และศิษย์

โดย

Ink Stone_Fantasy

ณ วังทวีสูญ โลกทิพย์ทะเลสัตตดารา


บรรพชนเทียนอวี๋และจอมกระบี่นั่งเคียงข้างกัน พวกเขาทั้งสองรินสุราให้กันพลางสนทนากัน และมองดูภาพที่ปรากฏขึ้นกลางฟากฟ้าตรงหน้า ซึ่งเป็นภาพที่ตงป๋อเสวี่ยอิงมาถึงทางเข้าเจดีย์ดาวพร้อมกับเจ้าลัทธิภาพจิต เพราะห่างจากวันที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสอนวิถีมากว่าครึ่งค่อนเดือนแล้ว บรรพชนเทียนอวี๋และจอมกระบี่จึงย่อมเตรียมตัวมาดูตงป๋อเสวี่ยอิงบุกฝ่าเจดีย์ดาวเป็นอย่างดีแล้ว


เนื่องจากหกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เสมือนเป็นหนึ่งเดียวกัน เทพจักรวาลคนอื่นๆจึงจับตามองตงป๋อเสวี่ยอิงมากเช่นเดียวกัน


“ตอนแรกข้าก็คิดว่าเจ้าหนุ่มนี่มีความสามารถที่ซ่อนอยู่สูงยิ่งนัก มีหวังจะก้าวเข้าสู่ขั้นอลวนได้” บรรพชนเทียนอวี๋พูดยิ้มๆ “แต่คิดไม่ถึงว่าดูถูกเขามากไปหน่อย เขากลับเข้ามาอยู่ในขั้นรวมเป็นหนึ่งและมีพลังระดับชั้นที่เจ็ดได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ ในภายหน้าวังทวีสูญเราอาจจะมีระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เก้าเพิ่มมาอีกคนก็เป็นได้ ถึงตอนนั้น ในหกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ วังทวีสูญเราก็จะมีระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เก้าสองคนเหมือนกับเมืองราชันย์มีดแล้ว”


บัดนี้หกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ มีเพียงเมืองราชันย์มีดเท่านั้นที่มีผู้แกร่งกล้าระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เก้าถึงสองคน


วังทวีสูญ มีประมุขตำหนักอลหม่านเพียงผู้เดียวเท่านั้น


เกาะปฐมบรรพชนก็มีประมุขวังเจียงฝู่เพียงคนเดียว ดังนั้นเขาจึงรับหน้าที่เป็นปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ด้วยตนเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่หาได้ยากมาก  เมืองราชันย์มีดทำได้เพียงให้ ‘เจ้าลัทธิภาพจิต’ เป็นผู้ดำเนินการ บวกกับจักรพรรดิสิงหั่วผู้นั้น ก็มาเข้าร่วมชมด้วยเพราะบุตรชายเป็นเหตุดังนั้นในงานชุมนุมใหญ่ดวงดาราครั้งนี้…จึงมีระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เก้าถึงสามท่านเข้าร่วม ในประวัติศาสตร์หาได้ยากนัก! นอกจากนี้งานชุมนุมใหญ่ดวงดาราครั้งนี้ยังมีขั้นรวมเป็นหนึ่งชั้นที่เจ็ดปรากฏขึ้นมาอีกคนหนึ่งด้วย เรื่องนี้ยิ่งหาได้ยากเข้าไปใหญ่


“ไม่แน่ เขาอาจจะสำเร็จเป็นเทพจักรวาลก็เป็นได้” จอมกระบี่พูดยิ้มๆ


“เทพจักรวาลหรือ นี่ก็ยากแล้ว” บรรพชนเทียนอวี๋ทอดถอนใจ “การถือกำเนิดของเทพจักรวาลแต่ละคนล้วนมีเส้นทางของตนเอง จะมีก็แต่ท่าน จอมกระบี่เท่านั้นที่เก่งกาจ บำเพ็ญภายในจักรวาลเพียงลำพังก็บรรลุถึงขั้นอลวนได้ มาถึงวังทวีสูญแล้วพลิกอ่านคัมภีร์ก่อนจะเก็บตัว ออกมาก็กลายเป็นเทพจักรวาลแล้ว”


จอมกระบี่ช่างเป็นตำนานโดยแท้


คนอื่นๆ มีผู้ใดบ้างที่มิได้ผ่านการเคี่ยวกรำอันหนักหน่วง ก่อนจอมกระบี่จะสำเร็จเป็นเทพจักรวาล เขาก็มิได้มีชื่อเสียงโด่งดังอันใดในอากาศอันสับสนอลหม่าน รู้เพียงว่าจู่ๆ  ‘วังทวีสูญ’ ก็มีขั้นอลวนโผล่มาอีกคนหนึ่งนามว่าจอมกระบี่ หลังจากนั้นไม่นานสักเท่าใดนัก ขั้นอลวนผู้นี้ก็สำเร็จเป็นเทพจักรวาลแล้ว แน่นอนว่าย่อมก่อให้เกิดความสะท้านสะเทือนมากกว่าตงป๋อเสวี่ยอิงในครั้งนี้มากนัก


ทำให้ผู้แกร่งกล้าจำนวนนับไม่ถ้วนมึนงงไปหมด


……


เทพจักรวาลหลายท่านมองดูอยู่ห่างๆ เนื่องจากเป็นคนของหกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด ดังนั้นเจดีย์ดาวจึงอนุญาตให้พวกเขาสามารถชมดูภาพการต่อสู้ภายในได้


“เทพจักรวาลหลายท่านดูอยู่ ต้องทำให้เต็มที่ล่ะ” เจ้าลัทธิภาพจิตกล่าว


“เรื่องนี้แน่นอนอยู่แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงบินตรงเข้าไปในเจดีย์ดาว แท้นี่จะเป็นเจดีย์ดาวของเมืองราชันย์มีด แต่ก็หลอมขึ้นมาให้เหมือนกับของวังทวีสูญทุกประการ เขาจึงคุ้นเคยดีเป็นอย่างมาก


ฟิ้ว


ชั้นที่เจ็ดของเจดีย์ดาว ลำแสงสีแดงโลหิตพุ่งออกมาจากส่วนลึกของเทือกเขาที่ทอดยาวต่อเนื่องกันแล้วรวมตัวกันก่อนจะ แปรเป็นเงาร่างสิบสาย ซึ่งก็คือฝูงมารผลาญทำลายสวมเกราะสีแดงโลหิตสิบตนซึ่งมีรูปร่างแตกต่างกันไป พวกเขาแตกต่างกับตู่ต่อสู้ในชั้นที่เจ็ดของเจดีย์ดาวแห่งวังทวีสูญอยู่บ้าง ทว่าตงป๋อเสวี่ยอิงก็รู้ว่าความยากคงจะเหมือนกัน


“ไป” ตงป๋อเสวี่ยอิงกำหนดจิตคราหนึ่ง


ดอกตูมสีดำปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า เหนี่ยวนำคลื่นพลังฟ้าดินอันน่าหวาดหวั่น แผ่คลุมฝูงมารผลาญทำลายทั้งสิบตน ภายใต้ชั่วความคิดหนึ่ง ก็ปรากฏขึ้นดอกแล้วดอกเล่า จนมีดอกตูมสีดำถึงเจ็ดดอก ดอกหนึ่งห่อหุ้มอีกดอกหนึ่ง ชั้นในสุดก็คือฝูงมารผลาญทำลายทั้งสิบตนซึ่งออกจะตื่นตระหนกอยู่บ้าง! เพราะถึงอย่างไรกระบวนท่าของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ร่อนลงมาจากฟากฟ้า จะหลบก็หลบไม่พ้น


ระลอกน้ำวนของพลังฟ้าดินรอบด้านยังมิทันสลายไป ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับเอ่ยขึ้นว่า “ทำลาย!”


เขาไม่ไว้น้ำใจเลยแม้แต่น้อย เมื่อมาถึงก็สำแดงบุปผาผลาญทำลายเจ็ดดอกออกไปพร้อมกัน


ตู้มๆๆ…


เมื่อเผชิญหน้ากับประมุขวังปาอวิ่น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิได้โหดร้ายถึงเพียงนี้ ดอกตูมสีดำเจ็ดดอกบานออกพร้อมกัน ขณะที่เบ่งบานออกมาพร้อมกันนั้น ก็เป็นชั่วขณะที่มันทำลายล้าง และเผยให้เห็นอานุภาพอันน่าหวาดหวั่น ฝูงมารผลาญทำลายสิบตนแผดเสียงคำรามบาดหูด้วยความแตกตื่นและกราดเกรี้ยว


เมื่อทั้งหมดสลายหายไป ก็มีฝูงมารผลาญทำลายที่บาดเจ็บสาหัสสองตนอยู่ในนั้น


เพียงแค่กระบวนท่าที่สำแดงออกไปอย่างสุดกำลังครั้งหนึ่ง ฝูงมารผลาญทำลายอีกแปดตนก็ตายเรียบ ส่วนอีกสองตนบาดเจ็บสาหัส ซึ่งทั้งสองตนนี้มีการป้องกันที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง สาเหตุหลักก็เพราะอานุภาพของบุปผาผลาญทำลายทั้งเจ็ดดอกของตงป๋อเสวี่ยอิงกระจายตัวกันอยู่เหนือฝูงมารผลาญทำลาย จึงทำให้พวกเขาสามารถต้านทานได้


ฝูงมารผลาญทำลายสองตนที่หลงเหลืออยู่ตื่นตระหนกเหลือแสน จึงคิดจะรุดหนีไป


แต่ก็ไม่ทันการเสียแล้ว!


“ทำลาย” ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงบุปผาผลาญทำลายสีดำทั้งเจ็ดดอกออกมาอีกครั้ง หลังจากบุปผาผลาญทำลายเบ่งบานแล้ว ฝูงมารผลาญทำลายที่หลงเหลืออยู่สองตนนั้นก็สิ้นใจตายไปเรียบร้อยแล้ว


“ตอนแรกข้าสำแดงทั้งบริเวณและเขตลวง สำแดงใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์ สู้อย่างสุดชีวิต ทั้งยังอาศัยการป้องกันของร่างกายที่แข็งแกร่งพอฝืนต้านทาน…เสียเวลายาวนานมากจึงทำให้ฝูงมารผลาญทำลายสิ้นใจไปได้แปดตน บัดนี้เพียงพริบตาเดียวพวกเขาก็ถูกทำลายเสียแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงรำพึงในใจ เขาเองก็รู้ว่าพลังของเขาในระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เจ็ดก็นับว่าไม่เลวแล้ว


เพราะถึงอย่างไรตามการวิเคราะห์ของตน ลำพังแค่บุปผาผลาญทำลายดอกเดียว ก็เพียงพอจะบรรลุถึงขีดจำกัดเจดีย์ดาวชั้นที่เจ็ดได้แล้ว ตนสามารถสำแดงออกมาได้ถึงเจ็ดดอก ก็ย่อมแข็งแกร่งขึ้นมากมิใช่หรือไร


“ไปลองชั้นที่แปดดูอีกดีกว่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงอยากจะลองสัมผัสอานุภาพของชั้นที่แปดดูสักตั้ง


ฟิ้ว


เขาถลาขึ้นสู่ฟ้า แล้วบินเข้าไปจากทางเชื่อมน้ำวนกลางฟากฟ้า


เจดีย์ดาวชั้นที่แปดเป็นเวทีการต่อสู้ขนาดมหึมาแห่งหนึ่ง บนเวทีมีแสงสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาแล้วรวมตัวกันเป็นผู้แกร่งกล้าต่างเผ่าสวมเกราะทองแนบกายผู้หนึ่ง เกราะสีทองนั้นแนบชิดติดทั้งกายราวกับผิวหนังอย่างไรอย่างนั้น เขามีหางเรียวยาวสามอัน หางนั้นแหลมคมหาใดเปรียบและมีแขนสองข้างซึ่งยาวจนถึงหัวเข่า


“ฝูงมารผลาญทำลายเกราะทอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ เขาเข้าใจข้อมูลของฝูงมารผลาญทำลายอยู่ไม่น้อย


ฝูงมารผลาญทำลายแบ่งเป็นสามระดับหลักคือเกราะสีเทา เกราะสีแดงโลหิตและเกราะสีทอง ฝูงมารผลาญทำลายเกราะสีทองที่อ่อนแอที่สุดก็มีพลังระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เจ็ด ที่แข็งแกร่งที่สุดก็มีพลังระดับชั้นที่เก้าเลยทีเดียว


และเหนือกว่านั้น…


ยังมีฝูงมารผลาญทำลายระดับเทพจักรวาล พวกเขาไม่มีลักษณะเฉพาะที่แน่นอน กลิ่นอายทำลายล้างอันชั่วร้ายยังถึงขั้นเก็บงำเอาไว้ โดยทั่วไปก็ยากมากที่ขั้นอลวนจะสังเกตเห็นพวกเขา


“ขั้นรวมเป็นหนึ่งหรือ” มารผลาญทำลายเกราะทองมองดูตงป๋อเสวี่ยอิงตรงหน้าด้วยความตกตะลึงอยู่บ้าง


“ทำลาย” ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับส่งบุปผาผลาญทำลายเจ็ดดอกให้ร่อนลงไปโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย!


ภายใต้อานุภาพของบุปผาผลาญทำลายเจ็ดดอก แม้ชั้นเกราะเหนือผิวหนังของมารผลาญทำลายเกราะทองผู้นี้จะได้รับความเสียหายไปบ้าง แต่เพียงพริบตาเดียวก็คืนสภาพกลับมา


“ตายเสียเถอะ” เพียงครู่เดียวเขาก็บีบบังคับเข้าไปในขอบเขตพันลี้ของตงป๋อเสวี่ยอิง เนื่องจากขอบเขตพันลี้ก็คือบริเวณกฎเกณฑ์ของตงป๋อเสวี่ยอิง ด้วยบริเวณกฎเกณฑ์ซึ่งก่อโครงสร้างขึ้นมาใหม่จาก ‘บุปผาผลาญทำลาย’…มารผลาญทำลายตนนี้ก็มิอาจเคลื่อนที่ในพริบตาเข้าไปได้ ทำได้เพียงอาศัยความเร็วบุกเข้าไปสังหารเท่านั้น


“รวดเร็วเกินไปแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงบุปผาผลาญทำลายออกมาทันที แต่ความเร็วในการสำแดงก็ยังช้าเกินไปอยู่ดีจนถูกบังคับให้ต้องหลบหลีกด้วยการเคลื่อนที่ในพริบตา แม้จะมีดอกสองดอกที่เข้าปกคลุม อีกฝ่ายก็สามารถฉีกทึ้งแล้วพุ่งออกไปได้ในพริบตา


มารผลาญทำลายรวดเร็วเกินไปแล้ว


ตงป๋อเสวี่ยอิงโจมตีก็ทำอะไรอีกฝ่ายมิได้ พยายามซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายครั้งก็ถูกบีบบังคับให้ล้มเลิก


“เห็นทีข้ายังห่างชั้นจากชั้นที่แปดมากนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงทอดถอนใจ “แม้แต่ด้านการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของข้า ก็ยังห่างชั้นลิบลับ คงต้องสำเร็จเป็นขั้นอลวนก่อนค่อยมาเสียแล้ว”


……


เทพจักรวาลหลายท่านที่ชมการต่อสู้อยู่ห่างๆ ต่างพากันชื่นชมเป็นอันมาก เนื่องจากในประวัติศาสตร์ของเจดีย์ดาว แม้จะมีขั้นรวมเป็นหนึ่งสองคนที่ลองเข้าไปบุกฝ่าชั้นที่แปด แต่คนหนึ่งคือ ‘เจ้าลัทธิภาพจิต’ ที่แทบจะยอมแพ้ในชั่วพริบตา! อีกคนหนึ่งคือผู้ที่มีนามว่า ‘จักรพรรดิจิ้นอี๋’ จากแดนทิพย์เหยากวง ซึ่งอาศัยบริเวณและการป้องกันอันล้ำเลิศจนสามารถต้านทานได้หลายหน


ตงป๋อเสวี่ยอิงอาศัยการโจมตีต้านทานได้หลายหน บุปผาผลาญทำลายเจ็ดดอกยังคงส่งผลกระทบต่อความเร็วของฝูงมารผลาญทำลาย


ในเมืองราชันย์มีด


นอกเรือนเล็กริมทะเลสาบแห่งหนึ่ง เงาร่างสองสายกำลังเดินเคียงข้างกัน คนหนึ่งคือราชันย์มีดอาภรณ์สีมอง อีกคนหนึ่งคือบุรุษอาภรณ์สีเทาอ่อนตัวหลวมโพรก ซึ่งก็คือเจ้าเมืองหลัวนั่นเอง


“อาจารย์ขอรับ ท่านรู้สึกว่าตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้เป็นอย่างไรบ้าง” ราชันย์มีดพูดยิ้มๆ ด้วยท่าทีนอบน้อมเป็นอันมาก


หากประโยคนี้ของเขาแพร่ออกไป เกรงว่าคงจะทำให้ทั้งอากาศอันสับสนอลหม่านสะท้านสะเทือน


เพราะว่า…


ผู้ใดก็ไม่รู้ว่า ‘ราชันย์มีด’ ผู้แกร่งกล้าที่สุดแห่งหกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์จะเป็นศิษย์ของเจ้าเมืองหลัว! ราชันย์มีดผู้องอาจคนหนึ่งจะเป็นศิษย์ของขั้นอลวนคนหนึ่งอย่างนั้นหรือ


“พอจะมีความสามารถที่ซ่อนอยู่บ้าง เก็บไว้เป็นตัวเลือกก็แล้วกัน” เจ้าเมืองหลัวพูดยิ้มๆ “เขายังอ่อนเยาว์นัก ยังเร็วเกินไป”


“ขอรับ” ราชันย์มีดพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง


“อันที่จริงเมื่อเทียบกับพลังของเขาแล้ว ข้าค่อนข้างตกใจกับความสงบนิ่งของเขาอยู่บ้าง” เจ้าเมืองหลัวพูดด้วยความตกตะลึง “เขาสำแดงพลังออกมาในงานชุมนุมใหญ่ดวงดาราจนชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วอากาศอันสับสนอลหม่าน ขั้นอลวนจำนวนมากผูกสัมพันธ์อันดีกับเขา ยามนี้เขาเจิดจรัสอย่างไร้ขีดจำกัด ตามหลักแล้วผู้ที่มีระดับจิตสูงยิ่งยามนี้คงดีใจจนกระโดดโลดเต้นไปแล้ว! แต่เขากลับสงบเป็นอันมาก ข้ามิได้รู้สึกว่าเขาตื่นเต้นสักเท่าใดนัก”


ราชันย์มีดสะดุ้งก่อนจะพยักหน้า “ถูกต้อง เป็นเช่นนี้จริงๆ”


“น่าสนใจ” บนใบหน้าของเจ้าเมืองหลัวมีรอยยิ้มสายหนึ่งผุดขึ้นมา


พวกเขาทั้งสองต่างก็ไม่รู้ว่า


ผู้ที่ภายในใจของตงป๋อเสวี่ยอิงต้องการลงมือด้วยเป็นที่สุดนั้นก็คือ ‘จอมเทพศักดิ์สิทธิ์’ ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในอากาศอันสับสนอลหม่าน แม้แต่กู่ฉีผู้เป็นอาจารย์ก็ยังต้องสิ้นใจด้วยน้ำมือของอีกฝ่าย ตงป๋อเสวี่ยอิงถามตนเองว่าแม้ผลสำเร็จเช่นนี้จะควรค่าให้ยินดีปรีดา แต่ความตื่นเต้นก็ไม่จำเป็นแล้ว ตนยังอยู่ระหว่างทาง ห่างจากจอมเทพศักดิ์สิทธิ์กว่าหนึ่งแสนแปดพันลี้


……


ณ ตำหนักทวีสูญ


บรรพชนห้วงอากาศนั่งเงียบๆ อยู่เพียงลำพัง สาตาของเขาสามารถแผ่คลุมไปทั่วทุกแห่งหนในอากาศอันสับสนอลหม่านได้ แต่แม้อากาศจะกว้างใหญ่ไพศาล มีสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วน แต่กลับไม่มีกู่ฉีศิษย์ของเขาอีกต่อไปแล้ว


เมื่อเห็นศิษย์หลานอย่างตงป๋อเสวี่ยอิงโดดเด่นสะดุดตา เขาก็ยินดี


แต่กู่ฉีกลับมองไม่เห็นเสียแล้ว


เขาลืมไม่ลง หลังจากสงครามระหว่างตงป๋อเสวี่ยอิงและอสนีโรจน์แล้ว กู่ฉีตื่นเต้นยินดีเสียจนไม่ทันได้พูดอะไรออกมา และลากเขา บรรพชนห้วงอากาศไปสนทนาด้วยอยู่นานสองนาน


“กู่ฉี” บรรพชนห้วงอากาศพูดเสียงต่ำ “บัดนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงศิษย์ของเจ้าเป็นขั้นรวมเป็นหนึ่งที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกทิพย์ทั้งห้าแล้ว ทั้งยังเป็นขั้นรวมเป็นหนึ่งชั้นที่เจ็ดอีกด้วย หากเจ้ารู้คาดว่างจะดีใจมากกระมัง”


(จบภาคที่ 30)


………………………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)