Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 30 ตอนที่ 31-32
ตอนที่ 31 ออกจากการปลีกวิเวก
โดย
Ink Stone_Fantasy
เจ้าลัทธิภาพจิตนั้นชมชอบสิงหั่วสวินอีอย่างแท้จริง มิใช่เพราะว่าภูมิหลังของเขา แต่เป็นเพราะห้าแสนล้านปีก่อนหน้านี้สิงหั่วสวินอียังเป็นเพียงแค่เจดีย์ดาวชั้นที่สอง แต่ในระหว่างงานชุมนุมใหญ่ดวงดาราพลังยุทธ์กลับพุ่งทะยาน สิ่งนี้ทำให้เจ้าลัทธิภาพจิตเกิดความอัศจรรย์ใจ เขาก็มิได้เชื่อถือเรื่อง ‘การขุดค้นศักยภาพ’ อะไรนั่น เขาเชื่อว่าในบรรดาเหล่านั้นจะต้องมีเหตุผลพิเศษอยู่บ้างมากกว่า
เหตุผลอย่างเช่น ‘มารจิต’ หรือ ‘ภัยจิต’ เป็นต้น
พรสวรรค์ในการหยั่งรู้และภูมิหลังเช่นนั้นของสิงหั่วสวินอี ภายใต้สถานการณ์ปกติย่อมไม่มีทางตกต่ำอยู่อย่างเนิ่นนานถึงเพียงนี้ เจ้าลัทธิภาพจิตแน่ใจว่าจะต้องมีเหตุผลพิเศษอยู่อย่างแน่นอน! มารจิตและภัยจิตนั้นมีความเป็นไปได้มากที่สุด
“ไปถึงขั้นรวมเป็นหนึ่งแล้ว ระดับจิตใจก็พบกับการเสื่อมถอยอย่างนั้นหรือ” เจ้าลัทธิภาพจิตค่อนข้างคาดหวัง “บางทีเขาอาจจะเหมาะสมกับเคล็ดวิชาภาพจิตที่ข้าคิดค้นขึ้นก็ได้”
ในตอนแรกเขาก็ล้ำเลิศร้ายกาจอยู่แล้ว ในประวัติศาสตร์ของโลกทิพย์ทั้งสองก็มีขั้นรวมเป็นหนึ่งเพียงสองคนที่ไปถึงชั้นที่เจ็ดของเจดีย์ดาวได้ เขา เจ้าลัทธิภาพจิตก็เป็นหนึ่งในนั้น เคล็ดวิชาที่เขาคิดค้นขึ้นชี้นำวิญญาณโดยตรง ดังนั้น ‘จิตใจ’ก็ต้องการการเสื่อมถอยเพื่อขัดเกลา ทุกครั้งที่เสื่อมถอยก็ลุกกลับขึ้นมาใหม่ จิตใจก็จะแกร่งกล้ายิ่งขึ้น ดังนั้นเขาจึงได้ต้องตาสิงหั่วสวินอี!
“ฮ่าฮ่า เจ้าไปคิดดูให้ดีๆ อีกคราหนึ่งเถิด ก่อนงานชุมนุมใหญ่ดวงดาราสิ้นสุด เจ้าก็สามารถมากราบเข้าสำนักข้าได้” เจ้าลัทธิภาพจิตยืดกายลุกขึ้นในทันที แม่ทัพเทียนกวงที่อยู่ด้านข้างก็ลุกขึ้นเช่นกัน
จักรพรรดิสิงหั่วก็ลุกขึ้นพลางเอ่ยว่า “พี่ภาพจิต เจ้าเด็กสวินอีผู้นี้ออกจะหมกมุ่นอยู่บ้าง ได้โปรดอย่าใส่ใจเลย”
“การบำเพ็ญก็คือการบำเพ็ญจิตใจ หมกมุ่นสักหน่อยก็ถือเป็นเรื่องดี” เจ้าลัทธิภาพจิตฝพูดยิ้มๆ เขามองออกเป็นอย่างยิ่ง เขารู้สึกว่านี่คือต้นกล้าชั้นดี แต่ถ้าหากอีกฝ่ายไม่อยากกราบเขาเป็นอาจารย์ เขาก็มิอาจบีบบังคับได้เลยแม้แต่น้อย! ถึงอย่างไรในสายตาของผู้แกร่งกล้าที่ล้ำเลิศระดับนี้ ลูกศิษย์เป็นเพียงแค่ผู้สืบทอดศาสตร์ลับของตนเท่านั้น สามารถรับวิชาสืบทอดของตนไปได้ก็เป็นโชคดีของลูกศิษย์แล้ว
มิอาจได้ไปก็เป็นเพราะเด็กรุ่นหลังไม่มีโชคเอง!
“สิงหั่วสวินอี” แต่แม่ทัพเทียนกวงกลับเอ่ยเสียงเย็นว่า “ไปคิดดูเสียให้กระจ่างก่อนเถิด การที่เจ้าลัทธิภาพจิตจะรับศิษย์นั้นเป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่ง เจ้าไม่กราบเจ้าลัทธิภาพจิต แต่จะไปกราบตงป๋อเสวี่ยอิงอะไรนั่นเป็นอาจารย์ รอให้เขาค้างอยู่ที่ขั้นรวมเป็นหนึ่งไปตลอด เจ้าจะมานึกเสียใจภายหลังก็สายเกินไปเสียแล้ว”
สิงหั่วสวินอีเงียบงัน
“เฮอะ”
แม่ทัพเทียนกวงเดินตามหลังเจ้าลัทธิภาพจิตตรงออกไปด้านนอก
เพียงไม่นาน
ภายในลานกว้าง จักรพรรดิสิงหั่วและสิงหั่วสวินอีผู้เป็นบุตรชายก็เดินกลับมา
“เจ้านั่งลงสิ” จักรพรรดิสิงหั่วนั่งลงตรงนั้นแล้วก็รินสุราให้ตนเอง แต่บนใบหน้ากลับมีรอยยิ้มอันหาได้ยากยิ่ง
“ท่านพ่อ” สิงหั่วสวินอีนั่งลงข้างๆ อย่างเชื่อฟัง
“คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าจะมีวันที่บุตรชายข้าสามารถทำให้เจ้าลัทธิภาพจิตทำการรับศิษย์ได้ด้วย” จักรพรรดิสิงหั่วพูด “เจ้าสามารถยึดมั่นอยู่กับการตัดสินใจของตัวเองได้ ข้าพึงพอใจยิ่งนัก แต่ข้าต้องบอกเจ้าเอาไว้ว่า… ภาพจิตผู้นี้มีพรสวรรค์ร้ายกาจอย่างแท้จริง ‘วิถีภาพจิต’ ที่คิดค้นขึ้นก็จัดอยู่ในระบบการบำเพ็ญพิเศษ”
“ระบบการบำเพ็ญพิเศษอย่างนั้นหรือ” สิงหั่วสวินอีสงสัย
นอกจากระบบศาสตร์โบราณ ระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ ระบบการบำเพ็ญพลรบซึ่งแกร่งที่สุด ระบบทิพย์ ระบบการบำเพ็ญจอมมารดา และระบบเหล่ากลืนกิน ซึ่งเป็นระบบที่พบได้บ่อยเหล่านี้แล้ว ยังมีผู้บำเพ็ญจำนวนน้อยบางส่วน อย่างเช่นระบบผู้ท่องอากาศที่มีจำนวนน้อยนิดเป็นที่สุด ยังมีระบบบางอย่างที่อาจจะมีจำนวนผู้บำเพ็ญน้อยยิ่งกว่า ทั่วทั้งอากาศอันสับสนอลหม่านก็มีน้อยจนสามารถนับนิ้วได้
ยิ่งเป็นระบบพิเศษ การเข้าสู่สำนักก็ยิ่งยาก
“อ้อ วิถีภาพจิตของเขาก็เป็นระบบพิเศษ เท่าที่ข้ารู้ อากาศอันสับสนอลหม่านมีผู้บำเพ็ญระบบนี้อยู่เพียงสองคนเท่านั้น ก็คือเขากับ ‘จักรพรรดิเก้ามังกร’ ลูกศิษย์ของเขา” จักรพรรดิสิงหั่วพูด
สิงหั่วสวินอีฟังอย่างตกตะลึง
จักรพรรดิเก้ามังกรหรือ นั่นก็คือผู้แกร่งกล้าชื่อเสียงเลื่องลือของเมืองราชันย์มีด เป็นบุคคลระดับชั้นที่แปดของเจดีย์ดาวขั้นสุดยอด!
“วิถีนี้เป็นการบำเพ็ญวิญญาณโดยตรง” จักรพรรดิสิงหั่วพูด “ดังนั้นการเข้าสู่สำนักจึงยากเย็นเป็นที่สุด โดยทั่วไปเมื่อเข้าสู่สำนักได้สำเร็จก็สามารถเหยียบย่างเข้าสู่ขั้นอลวนได้แล้ว เช่นภายในสำนักของเจ้าลัทธิภาพจิตและจักรพรรดิเก้ามังกรต่างก็มีลูกศิษย์อยู่กลุ่มหนึ่ง น่าเสียดายที่ต่างก็มิได้เข้าสู่สำนัก เจ้าลัทธิภาพจิตมารับเจ้าเป็นศิษย์ คงจะรู้สึกว่าเจ้ามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเข้าสู่สำนักได้”
“เท่าที่ข้าดู เจ้ากราบเข้าสู่สำนักของเขา ทดลองบำเพ็ญวิถีภาพจิต ในขณะเดียวกันก็บำเพ็ญวิถีโลกเทียมควบคู่ไปด้วย บางทีอาจจะดีกับเจ้ามากกว่า” จักรพรรดิสิงหั่วมองบุตรชาย ถึงอย่างไรเมืองราชันย์มีดก็เป็นผู้นำของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหก หากเกิดสงครามขึ้นเมืองราชันย์มีดก็ปลอดภัยกว่าวังทวีสูญ
“ข้าก็ยังจะเลือกเข้าสู่สำนักของผู้อาวุโสตงป๋ออยู่ดี” สิงหั่วสวินอีพูด
“เพราะอะไรกัน” จักรพรรดิสิงหั่วสงสัย
“ชาตินี้ข้า สิงหั่วสวินอี เชื่อมั่นในเส้นทางวิถีโลกเทียมสายนี้แล้ว! จะกราบใครเป็นอาจารย์บนเส้นทางสายนี้ ผู้อาวุโสตงป๋อก็เป็นอาจารย์ที่ดีที่สุดแล้ว” สิงหั่วสวินอีพูด
……
ไม่เพียงแค่เมืองราชันย์มีดเท่านั้นที่มาเชื้อเชิญ แดนทิพย์เหยากวงและเกาะปฐมบรรพชนต่างก็มาเชื้อเชิญ แต่ก็ย่อมถูกปฏิเสธไปด้วยกันทั้งสิ้น
“อะไรนะ เจ้าลัทธิภาพจิตรับศิษย์ด้วยตนเอง แต่เขากลับปฏิเสธอย่างนั้นหรือ”
“เพื่อกราบตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นอาจารย์อย่างนั้นหรือ”
ผู้ที่มารับศิษย์ต่างก็ถูกปฏิเสธ ข่าวลือก็ย่อมค่อยๆ แพร่กระจายไปในหมู่ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนที่มาเข้าร่วมงานชุมนุมอยู่แล้ว ยามที่แม่ทัพเทียนกวงและขั้นอลวนคนอื่นๆ อยู่ด้วยกันก็ยังพูดว่า “เฮอะ เจ้าเด็กผู้นั้นไม่คารวะเจ้าลัทธิภาพจิต แต่จะไปคารวะขั้นรวมเป็นหนึ่งคนหนึ่งเป็นอาจารย์ นี่มิใช่เรื่องน่าขันหรืออย่างไร”
สำหรับยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนแล้ว… มีบางส่วนที่คิดว่าสิงหั่วสวินอีนั้นมีอุปนิสัยค่อนข้างแน่วแน่ แต่ส่วนใหญ่กลับรู้สึกว่าน่าขันอยู่บ้าง
นั่นคือเจ้าลัทธิภาพจิตเชียวนะ!
มีเพียงกลายเป็นขั้นอลวนเท่านั้นจึงจะสามารถเข้าใจถึงความน่าหวาดหวั่นของเจ้าลัทธิภาพจิต นั่นคือระบบการบำเพ็ญที่เกิดขึ้นมาใหม่ ถึงขนาดที่สามารถต่อสู้กับเทพจักรวาลซึ่งๆ หน้าได้ หลังจากนั้นก็จากไปอย่างงดงาม
ถึงขนาดที่บางคนยามพบหน้าจักรพรรดิสิงหั่วก็ทำการโน้มน้าว จักรพรรดิสิงหั่วก็ได้แต่ส่ายหน้าพูดยิ้มๆ กับเรื่องนี้ “เขาตัดสินใจแน่วแน่แล้ว โน้มน้าวไปก็เท่านั้น ตามใจเขาไปเถิด”
……
ภายในห้องเงียบ
ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิ อาณาเขตกฎเกณฑ์แผ่ปกคลุมทั่วทั้งห้องเงียบ ตอนนี้เขาคิดค้นเคล็ดวิชาใหม่ ‘เคล็ดวิชาบุปผาผลาญทำลาย’ ขึ้นมาโดยอ้างอิงจากอาณาเขตกฎเกณฑ์ รังสรรค์ขึ้นมาใหม่ พลานุภาพก็ย่อมไม่ธรรมดา อาณาเขตกฎเกณฑ์ของยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนบางคนก็ยังไม่แน่ว่าจะเทียบกับตงป๋อเสวี่ยอิงได้ กฎเกณฑ์โลกทิพย์ล้วนถูกกดดันออกจากห้องเงียบไปโดยสมบูรณ์
“พรึ่บ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ
วิชาโลกเทียม กระบวนท่าที่สี่ ‘อเวจีน้ำแข็งยะเยือก’ ได้คิดค้นขึ้นมาแล้ว เพราะอีกไม่นานก็จะสิ้นสุดงานชุมนุมใหญ่ดวงดาราแล้ว เขาจึงมิได้รีบร้อนบรรลุ ถึงแม้เขาจะรู้สึกว่าอาจจะเจาะลึกอีกเป็นระยะเวลาเพียงเล็กน้อยเท่านั้นก็จะสามารถบรรลุไปถึงขั้นอลวนได้แล้ว แต่เมื่อใดที่บรรลุ เขาก็ต้องอาศัยโอกาสทำให้มั่นคง วิชาสืบทอดศาสตร์โบราณและในด้านศาสตร์ลับต่างๆ ล้วนต้องสมบูรณ์แบบ ในภายหน้าเวลาเพียงเล็กน้อยเท่านี้จะต้องไม่เพียงพออย่างแน่นอน
เขากลับใช้เวลาไปกับการเจาะลึก ‘ระบบผู้ท่องอากาศ’ และแผนภาพคลื่นจานแทน
“อีกสามร้อยปีก็จะสิ้นสุดงานชุมนุมใหญ่ดวงดารา ควรออกไปได้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงลุกขึ้น “รอให้สิ้นสุดงานชุมนุมใหญ่แล้วก็จะกลับไปปลีกวิเวกอย่างจริงจังที่วังทวีสูญ ให้บรรลุขั้นอลวน”
เอี๊ยด…
ประตูห้องเงียบเปิดออก ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เดินออกจากห้องเงียบ
“ผู้อาวุโส” ด้านนอกห้องเงียบมีสาวใช้คอยท่าอยู่นานแล้ว
“ถ้าหากมีผู้บำเพ็ญมาขอพบ ก็พามาพบข้าได้เลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด อีกสามร้อยปีที่เหลือก็เตรียมไว้ให้ผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์เหล่านั้น
“เจ้าค่ะ” สาวใช้เอ่ยอย่างเคารพ
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ส่งสารไปแจ้งประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ว่าตนออกจากการปลีกวิเวกแล้ว
“ในที่สุดเจ้าก็ออกจากการปลีกวิเวกแล้วหรือ เจ้ารู้หรือไม่ว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์มากมายต่างก็ทำการเชื้อเชิญสิงหั่วสวินอีผู้นั้น แม้กระทั่งเจ้าลัทธิภาพจิตก็ไปทำการรับศิษย์ด้วยเช่นกัน ต่างก็ไร้ประโยชน์!”
ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์บอกข้อมูล “เป็นตายอย่างไรเขาก็ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะกราบเจ้าเป็นอาจารย์ให้ได้ ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนส่วนหนึ่งที่ไปเยี่ยมคารวะจักรพรรดิสิงหั่วโน้มน้าวเจ้าเด็กผู้นั้น แต่ใครโน้มน้าวไปต่างก็ไม่มีประโยชน์ทั้งสิ้น ก็แน่วแน่ว่าต้องเป็นเจ้าเท่านั้น”
“หา”
ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึง
ผู้ที่อยากจะเข้าสู่สำนักของเจ้าลัทธิภาพจิตมีตั้งมากมายไม่รู้เท่าไหร่จริงๆ
“เจ้าเด็กผู้นี้ แน่วแน่กับวิถีโลกเทียมอย่างบ้าคลั่ง ทั้งยังมีพรสวรรค์อีกด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงแย้มยิ้ม
“ต้องเป็นศิษย์ที่ดีคนหนึ่งแน่”
ทันใดนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็ออกจากเรือนพักของตนเอง มุ่งหน้าไปยังเรือนพักของจักรพรรดิสิงหั่ว
……
ภายในลานบ้านของเรือนพักของจักรพรรดิสิงหั่ว
“ผู้อาวุโสตงป๋อ ยากนักที่จะมาพบข้าที่นี่” จักรพรรดิสิงหั่วยิ้มพลางนั่งลง สิงหั่วสวินอีที่อยู่ด้านข้างมองตงป๋อเสวี่ยอิง แต่ดวงตากลับเปล่งประกาย
“ก่อนหน้านี้ปลีกวิเวกมาโดยตลอด หลังออกจากการปลีกวิเวกแล้วจึงได้รู้ว่าเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงเงยหน้ามองไปทางสิงหั่วสวินอีที่อยู่ด้านข้าง “สิงหั่วสวินอีก็มีพรสวรรค์ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ ต่างก็มาทำการเชื้อเชิญทั้งสิ้น ข้ามาที่นี่ก็เพื่อมาทำการเชื้อเชิญเช่นกัน ขอเชิญสิงหั่วสวินอีเข้าสู่สำนักวังทวีสูญของข้า ถ้าหากต้องการก็สามารถคารวะข้าเป็นอาจารย์ได้”
ทว่าสิงหั่วสวินอีกลับก้าวออกมาข้างหน้าแล้วคุกเข่าลงอย่างเคารพ “ศิษย์คารวะท่านอาจารย์” หลังจากนั้นก็โขกศีรษะอย่างแรงสามครั้ง
“เอาล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ
…………………………………………
ตอนที่ 32 สอนวิถีอย่างเปิดเผย
โดย
Ink Stone_Fantasy
หากหลังออกจากการเก็บตัวแล้วมิได้มารับศิษย์ทันที แล้วรออีกสักหลายวัน เมื่อข่าวเรื่องออกจากการเก็บตัวแพร่ออกไป เกรงว่าสิงหั่วสวินอีอาจจะมาคารวะเขาเป็นอาจารย์ด้วยตนเอง! เช่นนั้นก็จะไม่ค่อยดีแล้ว เพราะถึงอย่างไรสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ ก็ล้วนแต่เป็นฝ่ายมาเชื้อเชิญด้วยตนเอง แม้แต่เจ้าลัทธิภาพจิตก็มารับศิษย์เอง หากเขา ตงป๋อเสวี่ยอิงปล่อยปละละเลย รอให้สิงหั่วสวินอีวิ่งโร่มาคารวะเป็นอาจารย์เอง จะไม่เท่ากับตบหน้าพวกเจ้าลัทธิภาพจิตหรอกหรือ
เขาต้องเป็นฝ่ายมาเชื้อเชิญด้วยตนเองเหมือนกับสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ เมื่อสิงหั่วสวินอีเลือกวังทวีสูญ หนึ่งในหกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ผู้อื่นก็มิอาจพูดอะไรได้
“เจ้าหนุ่มสวินอีคนนี้บ้าบิ่นเกินไป จนทำให้ผู้อาวุโสตงป๋อทำตัวยากแล้ว” จักรพรรดิสิงหั่วกล่าว
“แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงทำตัวตามสบาย จากนั้นก็เริ่มสอบถามสิงหั่วสวินอีถึงเรื่องสิ่งที่ได้รับจากการบำเพ็ญในหลายปีนี้ ศิษย์และอาจารย์เริ่มสนทนากันเรื่องวิถีโลกเทียม
จักรพรรดิสิงหั่วที่อยู่ด้านข้างเห็นเข้าก็ลอบตกตะลึง
หากเป็นขั้นรวมเป็นหนึ่งคนอื่น เจ้าลัทธิภาพจิตจะรับศิษย์ก็ถูกปฏิเสธ เกรงว่าขั้นรวมเป็นหนึ่งคนหนึ่งคงจะมิกล้ารับสิงหั่วสวินอีเป็นศิษย์แล้ว แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับรับมาได้อย่างสงบนัก โดยไร้ความตื่นเต้น ตึงเครียด กระวนกระวายหรืออารมณ์อื่นใด หากแต่ทำเหมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดาเรื่องหนึ่งเท่านั้น
สามารถสงบถึงเพียงนี้ได้ หากไม่ใช่เพราะมีจิตใจที่ทะเยอทะยาน ก็เพราะมั่นอกมั่นใจมากจริงๆ!
“ผู้อาวุโสตงป๋อคนนี้ไม่เหมือนคนที่ทะเยอทะยานเลย เช่นนั้นก็คงเป็นเพราะมั่นอกมั่นใจมากจริงๆ หรือว่าเขามั่นใจว่าจะสามารถก้าวเข้าสู่ขั้นอลวนได้แล้ว” จักรพรรดิสิงหั่วลอบคาดเดา “หากสามารถก้าวเข้าสู่ขั้นอลวนได้ในระยะเวลาสั้นๆ จริง ก็เยี่ยมยอดเกินไปแล้ว เขาเพิ่งจะบำเพ็ญมานานสักเท่าใดกันเชียว”
เขากลับไม่รู้ว่า
ตอนที่ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ในขั้นรวมเป็นหนึ่ง พลังก็บรรลุถึงระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เจ็ดแล้ว จะเป็นขั้นอลวนย่อมไม่ยากแต่อย่างใด อีกไม่นานเท่าใดนัก ก็จะสามารถยืนอยู่ในระดับยอดสุดของขั้นอลวนได้แล้ว แม้จะมิอาจสู้จักรพรรดิสิงหั่วได้ แต่ก็จะไม่แตกต่างมากนัก
……
ข่าวที่ตงป๋อเสวี่ยอิงไปรับศิษย์ด้วยตนเอง แล้วสิงหั่วสวินอีคารวะเข้าอยู่ในวังทวีสูญ คารวะตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นอาจารย์แพร่สะพัดออกไป
“คารวะเจ้าหนุ่มขั้นรวมเป็นหนึ่งผู้นั้นจริงๆ เสียด้วย”
“สิงหั่วสวินอีผู้นี้ ไม่รู้จริงๆ ว่าเขาคิดอย่างไร ไม่คารวะเข้าอยู่ในสำนักของเจ้าลัทธิภาพจิต แต่กลับยินดีจะคารวะขั้นรวมเป็นหนึ่งผู้หนึ่งเป็นอาจารย์เสียอย่างนั้น”
ชางฉงเทียนอวิ๋นและผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์คนอื่นๆ ซึ่งจัดอยู่ในห้าอันดับแรกเช่นเดียวกันต่างก็อิจฉาริษยา เพราะเจ้าลัทธิภาพจิตมิได้มาขอรับพวกเขาเป็นศิษย์ ในเมื่อคารวะเข้าสู่หกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ แต่คิดจะเป็นศิษย์ของเจ้าลัทธิภาพจิต ก่อนอื่นก็ต้องให้ ‘เจ้าลัทธิภาพจิต’ ยินยอมเสียก่อน!
พริบตาเดียว
งานชุมนุมใหญ่ดวงดารามาถึงช่วงสุดท้ายแล้ว ผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนเดินทางมาจากบริเวณต่างๆ จำนวนของผู้บำเพ็ญที่มาในครั้งนี้มากกว่าตอนเริ่มงานมากมายนัก! เพราะวันนี้จะมีการ ‘สอนวิถีอย่างเปิดเผย’ ซึ่งจัดเตรียมขึ้นมาเพื่อพวกเขาโดยเฉพาะ เกรงว่าชั่วชีวิตของผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนคงยากที่จะมีโอกาสให้ผู้อาวุโสระดับอย่างปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่มาชี้แนะ
สามารถได้ฟังพวกเขาสอนวิถีอย่างเปิดเผย ก็ถือเป็นโอกาสครั้งใหญ่แล้ว อาจจะกระตุ้นขึ้นมาในครั้งเดียวจนทำให้ผู้ปกครองเทพแท้สำเร็จเป็นเทพอากาศ และทำให้ขั้นกำเนิดก้าวเข้าสู่ขั้นรวมเป็นหนึ่งก็เป็นได้!
“ตู้มมมมม…”
กลางอากาศข้างเจดีย์ดาวมีชื่อขนาดมหึมาอยู่สิบชื่อ ซึ่งก็คือสิบคนสุดท้ายที่ผ่านการคัดเลือกของงานชุมนุมใหญ่ดวงดารา พวกเขาสามารถเลือกเข้าร่วมสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ใดก็ได้ตามใจ และจะกลายเป็นคนสำคัญที่ได้รับการบ่มเพาะอย่างสุดกำลัง
บนเวทีการต่อสู้ขนาดมหึมาที่กินพื้นที่กว่าแสนลี้ พวกสิงหั่วสวินอีทั้งสิบคนยืนอยู่เคียงข้างกัน
“พวกเจ้าทั้งสิบสามารถเลือกได้ว่าจะคารวะเข้าไปอยู่ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งใด” เจ้าลัทธิภาพจิตบนแท่นสูงกล่าวขึ้น
“ข้าอยากคารวะเข้าอยู่ในวังทวีสูญ”
“ข้าอยากคารวะเข้าอยู่ในเมืองราชันย์มีด”
“ข้าอยากคารวะเข้าอยู่ในตำหนักเทพอากาศ”
“ข้าอยากคารวะเข้าอยู่ในเมืองราชันย์มีด”
……
ภายใต้สายตาที่จ้องมองอยู่ห่างๆ ของผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วน และสายตาริษยาของผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์คนอื่นๆ พวกสิงหั่วสวินอีทั้งสิบคนก็ทยอยประกาศชื่อออกมาทีละคนๆ อันที่จริงในบรรดาพวกเขามีอยู่สามคนที่ได้รับการเชื้อเชิญมาก่อนแล้ว แต่การประกาศออกมาอย่างเป็นทางการว่าจะเข้าร่วมกับฝ่ายใดนั้นเป็นขั้นตอนของงานชุมนุมใหญ่ดวงดารา
สวบๆๆ…พวกเขาทั้งสิบแต่ละคนกลายเป็นลำแสงทะยานไปทางแท่นสูงด้านบน แล้วยืนอยู่ด้านหลังของปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ตามการเลือกของตน
ด้านหลังของตงป๋อเสวี่ยอิงมีสิงหั่วสวินอีเพียงคนเดียวเท่านั้น
ด้านหลังแม่ทัพเทียนกวงมีถึงสามคนด้วยกัน รวมทั้งชางฉงเทียนอวิ๋นด้วย ในฐานะผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุดของหกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ โดยทั่วไปในงานชุมนุมใหญ่ดวงดาราจึงมีผู้เข้าร่วมกับพวกเขามากที่สุด ในสิบคนมีผู้เข้าร่วมสามคนก็นับว่าปกติมากแล้ว บางครั้งหากมากหน่อย อาจมีถึงห้าหกคนที่คารวะเข้าอยู่ในเมืองราชันย์มีด
ด้านหลังประมุขวังเจียงฝู่มีอยู่สามคน เห็นได้ชัดว่าประมุขวังเจียงฝู่ออกหน้าในครั้งนี้ ส่งผลกระบอย่างไม่ธรรมดาเลยทีเดียว
ด้านหลังประมุขเกาะจื่อถูมีอยู่หนึ่งคน
ด้านหลังบรรพชนงูอู่เจ๋อมีอยู่สองคน ทั้งสองล้วนแต่เป็นสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศ โดยทั่วไปสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศล้วนแต่เลือกเข้าอยู่ในตำหนักเทพอากาศทั้งสิ้น!
ส่วนเมืองดารารายกลับมิมีผู้ใดเลือกเลย! เมืองดารารายเป็นสถานที่ที่พิเศษที่สุดของหกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ โดยทั่วไปพวกเขาล้วนไม่ส่งปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่เข้าร่วม ดังนั้นปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่จึงมีเพียงห้าท่านเท่านั้น! ต่อให้มีผู้ใดเลือกเมืองดารารายก็ต้องสำนึกเสียใจภายหลัง เพราะยอดฝีมือเมืองดารารายมีน้อยยิ่งนัก จึงยากที่จะได้รับการชี้แนะอย่างดี คิดจะได้รับการชี้แนะจากเจ้าเมืองหลัวในตำนานก็แทบจะเป็นการเพ้อฝัน
“ทั้งห้าท่าน”
เจ้าลัทธิภาพจิตมองไปทางประมุขวังเจียงฝู่และคนอื่นๆ ทั้งห้าที่อยู่ด้านข้าง “ต่อไป ควรแก่เวลาที่แต่ละท่านจะสอนวิถีอย่างเปิดเผยแล้ว หลังจากสอนวิถีเสร็จ งานชุมนุมก็จะยุติลง การประลองในงานชุมนุมใหญ่ก่อนหน้านี้ ล้วนแต่เป็นเหล่าผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์ประลองกัน! ส่วนการสอนวิถีอย่างเปิดเผย…กลับเป็นสิ่งที่ผู้บำเพ็ญทั่วไปจำนวนนับไม่ถ้วนปรารถนา ทุกท่านต้องสอนให้ดีๆ ตามหลักทั่วไปแล้ว แต่ละครั้งที่สอนวิถี อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ต่ำกว่าสามวัน”
“อืม” ประมุขวังเจียงฝู่พยักหน้า
“นี่เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว” แม่ทัพเทียนกวงก็พยักหน้า
ประมุขเกาะจื่อถู บรรพชนงูอู่เจ๋อและตงป๋อเสวี่ยอิงต่างก็เตรียมการเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว
“เช่นนั้นก็ให้ผู้อาวุโสตงป๋อสอนวิถีก่อนเป็นอย่างไรเล่า” เจ้าลัทธิภาพจิตกล่าว
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยิ้มก่อนจะผุดลุกขึ้น
เป็นเรื่องปกตินัก
ลำดับการสอนวิถีของปรมาจารย์ทั้งห้าแห่งงานชุมนุมใหญ่นั้นกำหนดขึ้นตามพลัง ผู้ที่มีพลังสูงส่งที่สุดก็คือประมุขวังเจียงฝู่ย่อมต้องเป็นผู้ปิดฉาก! สิ่งมีชีวิตระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เก้ามาสอนวิถี ผลสำเร็จของประมุขวังเจียงฝู่ในบางด้านนั้นบรรลุถึงระดับเทพจักรวาล ตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งเป็นขั้นรวมเป็นหนึ่งเพียงคนเดียวในห้าคนย่อมมาสอนวิถีเป็นคนแรกเป็นธรรมดา
ฟิ้ว หลังจากตงป๋อเสวี่ยอิงยืดกายขึ้น เงาร่างกะพริบวาบคราหนึ่งก็ไปอยู่กลางอากาศแล้ว จากนั้นเมื่อเดินไปก้าวแล้วก้าวเล่า ก็ไปถึงบนเวที
ยามนี้
สายตาของผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนล้วนจับจ้องอยู่ที่ร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงบนเวที
“ข้าจะดูสิว่าที่แท้แล้วตงป๋อเสวี่ยอิงจะมีความสามารถสักเท่าใดกันเชียว”
“สิงหั่วสวินอีไม่ยอมคารวะเจ้าลัทธิภาพจิต เพื่อจะคารวะเขาเป็นอาจารย์เช่นนั้นหรือ”
บรรดายักษ์ใหญ่ขั้นอลวนล้วนเตรียมตัวฟังเป็นอย่างดี ผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนเบื้องล่างต่างพากันกั้นหายใจ แล้วตั้งใจฟังโดยละเอียด
ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์สีขาวทั้งร่างนั่งขัดสมาธิลง สายตากวาดมองลงไปยังผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนเบื้องล่างแล้วเอ่ยปากพูดว่า “การสอนวิถีของข้าในครั้งนี้ คือเรื่องเขตลวงและการเข่นฆ่าเป็นหลัก”
วิถีโลกเทียมและวิถีเข่นฆ่าของเขามิใช่เพียงบรรลุถึงระดับเจดีย์ดาวชั้นที่หกเท่านั้น แต่ยังหลอมรวมเอาการเข่นฆ่าเข้าไปในโลกเทียมได้อย่างสมบูรณ์แล้วคิดค้นกระบวนท่าเจดีย์ดาวชั้นที่เจ็ดขึ้นมา! ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงมั่นใจว่าเข้าใจสองสิ่งนี้ดีที่สุด แม้หากพูดอย่างเคร่งครัดแล้ว เขาภูมิใจในวิถีโลกเทียมของตนมากที่สุด และในบรรดาผู้บำเพ็ญ ผู้ที่เชี่ยวชาญด้านเขตลวงก็มีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย ส่วนการ ‘เข่นฆ่า’ กลับเป็นสิ่งที่ผู้บำเพ็ญหลายคนค้นคว้า
เพราะถึงอย่างไรเมื่อบุกฝ่าอยู่ภายนอก การต่อสู้และเข่นฆ่าก็ยากจะหลีกเลี่ยงได้
“เขตลวงและการเข่นฆ่าหรือ”
ผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์จำนวนนับไม่ถ้วนเบื้องล่างต่างก็ตื่นเต้นนัก พวกเขาสนใจการ ‘เข่นฆ่า’ มากทีเดียว! และคิดอยากฟัง ‘เขตลวง’ ที่ทำให้พวกเขาปวดหัวดูหน่อยเช่นกัน ในเมื่อมิอาจศึกษาได้ ดีร้ายอย่างไรพอเข้าใจบ้างก็ยังดี
‘ประมุขวังปาอวิ่น’ ผู้ผอมซูบในบรรดายักษ์ใหญ่ขั้นอลวนด้านบนยิ้มเย็นชา “เข่นฆ่ารึ ยังกล้าพูดเรื่องการเข่นฆ่าอีกรึ ดีมาก ถึงตอนนั้นก็อย่าหาว่าข้าตบหน้าก็แล้วกัน”
สอนวิถี มิใช่แค่การสอนวิถีเพียงลำพังอย่างเดียว
ระหว่างนั้นก็จะมีผู้บำเพ็ญหลายคนมาขอคำชี้แนะ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็จะเลือกบางส่วนมาชี้แนะทีละอันๆ
ผู้แกร่งกล้าบางคนถึงขั้นฉงนสงสัย
“ข้าฝึกฝนเคล็ดวิชาสืบทอดมังกรปาหลง ที่เชี่ยวชาญที่สุดก็คือการเข่นฆ่า” สายตาของประมุขวังปาอวิ่นแฝงแววเยียบเย็น ครั้งก่อนถูกตงป๋อเสวี่ยอิงปฏิเสธและผลักไสออกไป ประมุขวังปาอวิ่นก็มิใช่คนที่อารมณ์ดีอะไร อีกทั้งตลอดคืนวันเหล่านี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็โดดเด่นสะดุดตามากมาโดยตลอด โดยเลือกสิงหั่วสวินอีให้เป็นที่หนึ่ง คนอื่นๆ จะมารับศิษย์ด้วยตนเอง สิงหั่วสวินอีก็ปฏิเสธแล้วคารวะเข้าไปอยู่ในสำนักของตงป๋อเสวี่ยอิง
ประมุขวังปาอวิ่นเห็นตงป๋อเสวี่ยอิงโดดเด่นเช่นนี้ ก็ยิ่งขัดหูขัดตามากขึ้นเป็นธรรมดา
ตงป๋อเสวี่ยอิงสอนวิถีในครั้งนี้กลับพูดเรื่อง ‘การเข่นฆ่า’ อย่างนั้นหรือ
เขาบำเพ็ญเคล็ดวิชาสืบทอดมังกรปาหลงซึ่งเน้นด้านการเข่นฆ่าจนสำเร็จเป็นยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนเชียวนะ!
“เฮอะๆๆ” ประมุขวังปาอวิ่นตั้งใจฟังโดยละเอียดหาใดเปรียบทันที
……………………………..
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น