Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 30 ตอนที่ 29-30
ตอนที่ 29 ดอกตูมสีดำ
โดย
Ink Stone_Fantasy
กู่ฉีผู้เป็นเทพจักรวาลผู้สูงส่งแห่งอากาศอันสับสนอลหม่านและมหาโลกทิพย์ทั้งห้า การตกต่ำของเขาก็ทำให้บรรดาขั้นอลวนเหล่านี้พรั่นพรึง
พวกเขาถึงขนาดได้กลิ่น ‘สงคราม’ ขึ้นมารางๆ
“ผู้อาวุโสกู่ฉีเป็นถึงผู้ท่องอากาศ เชี่ยวชาญการหนีเอาชีวิตรอดเป็นที่สุด เขาก็ยังถูกสังหารได้ จอมเทพศักดิ์สิทธิ์บ้าคลั่งถึงเพียงนี้ หรือว่าจะก่อให้เกิดสงครามขึ้นอีกครั้งเล่า”
“ชายขอบของห้วงอากาศก็มีฝูงมารผลาญทำลายถือกำเนิดขึ้นมาไม่หยุดหย่อน ต่างก็พูดกันว่าอากาศอันสับสนอลหม่านแห่งนี้ของพวกเราใกล้จะถึงคราวสูญสลายมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว จอมเทพศักดิ์สิทธิ์กำลังหมดความอดทนลงเรื่อยๆ แล้วใช่หรือไม่”
“เจ้าบ้านี่ ล้วนเป็นเขาที่ทำให้เกิดคลื่นลมต่างหากเล่า!”
รวมประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์เข้าไปด้วย ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนสี่คนกำลังวิพากษ์วิจารณ์กัน เมื่อเอ่ยถึงจอมเทพศักดิ์สิทธิ์แล้วต่างก็เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันกันอยู่บ้าง
ถึงแม้ว่านอกจากจอมเทพศักดิ์สิทธิ์แล้วก็ยังมีพญามารคนอื่นๆ อยู่อีกจำนวนหนึ่ง อย่างเช่นจอมมารดา! แต่ว่าการคุกคามของมารตนอื่นๆ นั้นมีขีดจำกัด มีเพียง ‘จอมเทพศักดิ์สิทธิ์’ คนเดียวเท่านั้นที่ถูกระบุได้ว่าเป็นเทพจักรวาลระดับชั้นที่หนึ่ง! เขาเหนือกว่าเทพจักรวาลคนอื่นๆ ทั้งหมด ถ้าหากโลกทิพย์ทั้งสามไม่ร่วมมือกันต่อต้านก็เกรงว่าทั้งอากาศอันสับสนอลหม่านคงจะถูกจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ยึดครองไปหมดแล้ว
ก่อนหน้านี้เนิ่นนาน
ในยุคสมัยโลกทิพย์โบราณดั้งเดิม จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ก่อให้เกิดสงครามขึ้นหลายครั้ง ถึงขนาดที่เกือบจะยึดครองโลกทิพย์โบราณดั้งเดิม แต่ในท้ายที่สุดก็ต่อตีจนโลกทิพย์โบราณดั้งเดิมแตกสลายไป…
ถึงแม้ว่าเทพจักรวาลจะตายตกกันไปไม่น้อย แต่จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ยังคงยืนอยู่ที่จุดสูงสุดเช่นเดิม
“ไม่ว่าจะเป็นยุคโลกทิพย์โบราณดั้งเดิม หรือยุคของอากาศอันสับสนอลหม่าน ถึงแม้ว่าเขา จอมเทพศักดิ์สิทธิ์จะเคยก่อให้เกิดสงคราม แต่ก็พ่ายแพ้หมดทุกครั้ง เห็นได้ชัดว่าพลังยุทธ์ในภาพรวมของพวกเรานั้นเหนือกว่า”
ในระหว่างการวิพากษ์วิจารณ์
ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์มองตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ด้านข้าง “ตงป๋อ เจ้ากลับไปก่อนเถิด คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าเพิ่งกลับมาถึงเมืองราชันย์มีดก็ต้องมารู้ข่าวร้ายนี้เข้า”
ระดับขั้นอลวนคนอื่นๆ อีกสามคนต่างก็พูดว่า
“ผู้อาวุโสตงป๋อ ท่านกลับไปพักผ่อนก่อนดีกว่า”
“ท่านก็ไม่ต้องเป็นกังวลหรอกนะ เทพจักรวาลคนใดๆ ต่างก็ ไปถึงขั้นสุดยอดในด้านใดด้านหนึ่ง ถึงแม้ว่าจอมเทพศักดิ์สิทธิ์อยากจะสังหารพวกเขาคนใดสักคนก็ล้วนมิใช่เรื่องง่ายเลย”
“ฟ้าถล่มลงมา มีเทพจักรวาลอยู่ เหล่าเทพจักรวาลก็ย่อมสามารถจัดการทุกสิ่งทุกอย่างได้อยู่แล้ว”
ในสายตาของพวกเขา
ท้ายที่สุดแล้วตงป๋อเสวี่ยอิงก็เป็นเพียงแค่ขั้นรวมเป็นหนึ่งคนหนึ่งเท่านั้น นอกจากนี้ระยะเวลาในการบำเพ็ญก็ยังสั้นนัก เกรงว่าคงจะเข้าใจในเรื่องการรบราฆ่าฟันของระดับขั้นสูงสุดน้อยนิดยิ่งนัก ดังนั้นจึงได้ปลอบประโลมหลายประโยค ทว่าพวกเขาขั้นอลวนนั้นไม่เหมือนกัน พวกเขาเป็นกลุ่มบุคคลที่เข้าใกล้เทพจักรวาลมากที่สุด ล่วงรู้ความลับของระดับขั้นสูงสุดอยู่ไม่น้อย
“ทุกท่าน เช่นนั้นข้ากลับก่อนล่ะนะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงจากไปในทันที ปล่อยให้ขั้นอลวนสี่คนนั้นสนทนากันต่อไป
สวบ
เคลื่อนที่ข้ามเวหา ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เหินทะยานมาถึงหน้าเรือนพักของตนอย่างรวดเร็วแล้วร่อนลงไป
ยามรักษาการณ์สองคนที่หน้าเรือนพักมองเห็นตงป๋อเสวี่ยอิงร่อนลงมาแล้วต่างก็เอ่ยทักทาย “ผู้อาวุโส”
“อืม”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าไปในเรือนพักด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
“ผู้อาวุโสดูคล้ายจะไม่เหมือนในอดีตสักเท่าใดนัก อารมณ์ไม่ดีหรือไร” ยามรักษาการณ์สองคนประสานสายตากันคราหนึ่งพลางลอบกระซิบกระซาบ
ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินเข้าไปภายในเรือนพัก บรรดาสาวใช้และเด็กรับใช้ต่างก็พากันทักทายตลอดทาง
“ผู้อาวุโส” สาวใช้คนหนึ่งเห็นตงป๋อเสวี่ยอิงจากที่ไกลๆ แล้วก็หยุดลงเอ่ยทักทายด้วยความเคารพ
“ข้าจำเป็นต้องปลีกวิเวกสักระยะหนึ่ง หากไม่มีเรื่องสำคัญก็ห้ามรบกวนเด็ดขาด” ตงป๋อเสวี่ยอิงออกคำสั่งเสียงเย็น
“เจ้าค่ะ” สาวใช้รับคำสั่ง
ตงป๋อเสวี่ยอิงหันหน้าไปแล้วเข้าไปภายในห้องเงียบด้านข้าง
……
ตึง…ประตูห้องเงียบปิดสนิท กำยานเผาไหม้ กลิ่นหอมจางๆ อบอวลอยู่ภายในห้องเงียบ
ตงป๋อเสวี่ยอิงโบกมือคราหนึ่ง ด้านข้างก็มีเบาะรองนั่งดิ้นเงินอันหนึ่งปรากฏขึ้น เขานั่งลงขัดสมาธิในทันใด ความเย็นของเบาะรองนั่งดิ้นเงินอันไร้รูปร่างแผ่ไปรอบกายในทันที และกลิ่นกำยานภายในห้องเงียบก็ทำให้จิตใจของตนสงบลงเป็นอย่างมาก
“เฮ้อ…” ตงป๋อเสวี่ยอิงผ่อนลมหายใจยาวออกมาคราหนึ่ง
เขายื่นมือซ้ายออกมา กลางฝ่ามือซ้ายก็มีตราประทับทองอันหนึ่งปรากฏขึ้น มองดูตราประทับทองอันนี้แล้วหว่างคิ้วของตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีแววอาฆาตปรากฏชัดเป็นอย่างยิ่ง
“น่าขันนัก”
“เดือดดาลกว่านี้แล้วอย่างไร ข้าอยู่ต่อหน้าจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ ตอนนี้ก็เป็นเพียงแค่มดปลวกตัวหนึ่งเท่านั้นเอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงเก็บเอาตราประทับทองขึ้นมา พยายามทำให้ระดับจิตใจระดับจิตใจของตนค่อยๆ สงบลง ด้วยการบำเพ็ญระดับขั้นจิตใจของเขา ถึงแม้ว่าจะสามารถทำให้ตนเองค่อยๆฟื้นฟูความสงบเย็นได้ แต่ความเดือดดาลและแววอาฆาตอันเต็มเปี่ยมนั้นก็ย่อมไม่มีทางเลือนหายไปได้ในคราวเดียวอยู่แล้ว ได้แต่ฝืนกดดันเอาไว้เท่านั้น
เก็บกดเอาไว้ เก็บกดเอาไว้อีก! เก็บกดเอาไว้ในส่วนลึกของจิตใจ เพราะการคิดอยากจะแก้แค้นให้ท่านอาจารย์นั้นยังเป็นเรื่องที่ห่างไกลยิ่งนัก
“ท่านอาจารย์ ข้าคือลูกศิษย์เพียงหนึ่งเดียวของท่าน ความแค้นของท่าน หากข้าไม่ล้างแค้นให้แล้วผู้ใดจะทำให้เล่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ
ท่านบรรพชน ‘บรรพชนห้วงอากาศ’ นั้นก็เกรงว่าคงจะเดือดดาลมากเช่นเดียวกัน แต่ถึงอย่างไรบรรพชนห้วงอากาศก็เป็นเพียงแค่เทพจักรวาลระดับขั้นที่สามเท่านั้น ปกป้องตนเองได้อย่างทุลักทุเล! ไม่มีพลังยุทธ์ระดับขั้นที่สอง… ก็ย่อมไม่มีทางเป็นอริกับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ซึ่งๆ หน้าได้เลย
“แม้หนทางจะยาวไกล ก็ค่อยๆ เดินไปทีละย่างก้าว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงสงบลงเรื่อยๆ
และหลังจากนั้นพอเริ่มต้นบำเพ็ญขึ้นมา การตายของกู่ฉีก็ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจว่าจะมัวเกียจคร้านมิได้ ถึงแม้ว่าจะห่างจากการสิ้นสุดของงานชุมนุมใหญ่ดวงดาราอีกเป็นระยะเวลาเพียงแค่หมื่นปีเท่านั้น เขาก็เตรียมตัวจะเหลือเวลาหลายร้อยปีสุดท้ายเอาไว้สำหรับชี้แนะผู้บำเพ็ญรุ่นหลังเหล่านั้น เวลาอื่นๆ ตนเองก็ยังหยั่งรู้บำเพ็ญอย่างสุดกำลัง! เขาทุ่มเทจิตใจทั้งหมดไปกับการหยั่งรู้เคล็ดวิชาที่หลอมรวมระหว่าง ‘วิถีโลกเทียม’ และ ‘วิถีเข่นฆ่า’ อย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย จะต้องเหยียบย่างเข้าสู่ชั้นที่เจ็ดของเจดีย์ดาวให้ได้
คิดอยากจะประมือกับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ คุกคามจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ เช่นนั้นก็จำเป็นต้องโหดร้ายกับตัวเองเสียบ้าง
ถึงแม้ว่าวิถีโลกเทียมของตนใกล้จะไปถึง ‘ขั้นอลวน’ เป็นอย่างมากแล้ว หยั่งรู้อีกระยะเวลาหนึ่ง เกรงว่าก็จะทำได้สำเร็จแล้ว! แต่ก็จะเหยียบย่างเข้าสู่ชั้นที่เจ็ดตอนยังเป็นขั้นรวมเป็นหนึ่ง แล้วค่อยไปถึงขั้นอลวน การขัดเกลาเช่นนี้มีส่วนช่วยเหลือการหยั่งรู้ในด้านต่างๆ ของตน ความหวังที่จะบรรลุไปถึงระดับขั้นเทพจักรวาลในอนาคตก็คาดว่าจะสามารถเพิ่มขึ้นได้ไม่น้อยเลยทีเดียว!
จุดประสงค์ของตนนั้นมิใช่ขั้นอลวน หากแต่เป็นเทพจักรวาลที่สุดยอดที่สุด! เพียงพอที่จะคุกคามบุคคลอย่างจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ได้ แน่นอนว่า ‘การสำเร็จกฎเกณฑ์สูงสุด’ ก็คือจุดหมายสุดท้ายของระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ได้แต่จำภาพอันเลือนรางว่างเปล่านั้นเอาไว้ภายในใจเท่านั้น มิกล้าคิดอะไรมากเป็นการชั่วคราว
เพียงแค่เดินมุ่งหน้าไปตามเส้นทางใต้ฝ่าเท้า บางทีอาจต้องไปถึงระดับขั้นเทพจักรวาล จึงจะสามารถเข้าใจกฎเกณฑ์สูงสุดได้มากยิ่งขึ้น
“ปัง…”
ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิ ความคิดจิตใจทั้งหมดล้วนอยู่กับเคล็ดวิชาการสำรวจของตน
ลำพังแค่วิถีโลกเทียมหรือวิถีเข่นฆ่าเพียงอย่างเดียว ยกระดับไปถึงชั้นที่หกของเจดีย์ดาว ก็คือจุดสูงสุดของตนแล้ว มีเพียงการหลอมรวมทั้งสองวิถีเข้าด้วยกันเท่านั้นจึงจะสามารถทำให้พลานุภาพยกระดับขึ้นได้อีก
“อืม เส้นทางของประมุขโลกอนธการใช้ไม่ได้”
“ควรจะอ้างอิงจากวิธีการที่ข้าตระหนักรู้ในคราวก่อน ควรจะแยกหนึ่งค่ายสังหารผลาญทำลายออกเป็นสาม”
ในห้วงสมองของตงป๋อเสวี่ยอิงมีความคิดต่างๆ นานาพรั่งพรู
การค้นคว้าของเขาในเคล็ดวิชานี้ไปถึงระดับขั้นสูงสุดอยู่ก่อนแล้ว เพียงแต่ยังบกพร่องอยู่เล็กน้อยมาโดยตลอด มิได้สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริงเลย! ก็เหมือนกับ ‘ใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์’ ในตอนนั้น ถ้าหากไม่มีระดับจิตใจ ‘จิตข้าคือจิตฟ้า’ ก็ย่อมไม่มีทางสำแดงเคล็ดวิชานี้ออกมาได้เลย เฉกเช่นเดียวกัน อยากจะคิดค้นเคล็ดวิชาชั้นที่เจ็ดของเจดีย์ดาวอันล้ำเลิศในขั้นรวมเป็นหนึ่ง ถึงแม้ว่าในอดีตจะค้นคว้าและสั่งสมมาอย่างเพียงพอ แต่ก็จำเป็นต้องไปถึงก้าวที่สมบูรณ์แบบจึงจะสามารถสำแดงออกมาได้ บกพร่องแม้เพียงเล็กน้อยก็ไม่ได้เลย!
“บางทีควรจะต้องเป็นเช่นนี้”
ยามที่ตงป๋อเสวี่ยอิงทดลองดูอีกครั้ง ขณะนี้ความอาฆาตที่เก็บกดเอาไว้ในส่วนลึกของจิตใจ ทำให้เขาปรับแก้กระบวนท่านี้ไปเล็กน้อย ทำให้ค่ายสังหารกระบวนท่านี้ดียิ่งขึ้น แต่ก็เพิ่มความอดทนอดกลั้นมากยิ่งขึ้นด้วย
ก็เหมือนกับจิตรกรผู้ล้ำเลิศคนหนึ่งที่วาดผลงานชิ้นเอกสักชิ้นออกมาให้เป็นที่ประจักษ์แก่โลกในสภาวะจิตใจหนึ่ง
สภาวะจิตใจของตงป๋อเสวี่ยอิงในตอนนี้ทำให้เขาปรับแก้กระบวนท่านี้เล็กน้อยโดยสัญชาตญาณ ก็เป็นความเล็กน้อยนี้เองที่ทำให้กระบวนท่านี้ไปถึงก้าวที่สมบูรณ์แบบอีกอย่างหนึ่งในทันที การคิดค้นเคล็ดวิชาอันล้ำเลิศเช่นนี้ นอกจากการหยั่งรู้สั่งสมแล้วก็ยังจำเป็นต้องอาศัยโอกาสส่วนหนึ่งด้วยเช่นกัน! เห็นได้ชัดว่าสภาวะจิตใจของตงป๋อเสวี่ยอิงในขณะนี้ ถึงแม้ว่าจะมีความอาฆาตเต็มเปี่ยมแต่กลับกดเอาไว้ในจิตใจ ยามบำเพ็ญก็ยังสงบเย็นอย่างที่สุด…
สภาวะจิตใจเช่นนี้ทำให้เขารังสรรค์กระบวนท่านี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
พรึ่บ!
โลกมายาที่ดูคล้ายมีคล้ายไม่มี ตรงกลางของโลกมายาแห่งนี้มีดอกตูมสีดำอยู่ดอกหนึ่ง มันดูเหมือนจะยังอ่อนวัยอย่างยิ่ง ยังมีใบไม้อยู่สามใบ บนใบไม้ยังมีหยาดน้ำเกาะอยู่ ยามที่ตงป๋อเสวี่ยอิงใช้ความคิดรังสรรค์โลกมายาแล้วบ่มเพาะดอกตูมสีดำออกมานั้น ดอกตูมดอกนี้ก็มิได้พังทลาย หากแต่แผ่ความคิดที่เป็นนามธรรมอันไร้ชื่อเรียกออกมาโดยธรรมชาติ…
ถึงแม้ว่ามันจะยังมิได้เปลี่ยนจากภาพลวงออกมาเป็นความจริง เพียงแค่ถือกำเนิดขึ้นมาในโลกมายา กฎเกณฑ์อันไร้รูปร่างก็เริ่มแผ่ออกมาโดยธรรมชาติ แผ่มาจนถึงโลกความจริง
ภายในห้องเงียบ การหมุนเวียนของกฎเกณฑ์โลกทิพย์แต่เดิมเมื่ออยู่ต่อหน้ามันก็ถูกกดดันให้ร่นถอยไป
เหมือนเคล็ดวิชาของเหล่าเทพจักรวาลซึ่งถึงขนาดที่สามารถทำให้โลกทิพย์แตกสลาย ระดับขั้นของเคล็ดวิชาของเหล่ายักษ์ใหญ่ขั้นอลวนนั้นถึงแม้ว่าจะไม่สามารถทำได้ถึงขั้นนี้ แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้กฎเกณฑ์โลกทิพย์ในวงแคบๆ โดยรอบถอยร่นไปได้! ที่นี่ ข้าคือเจ้าของ กฎเกณฑ์โลกทิพย์ต่างก็ต้องถอยร่นไป และเห็นได้ชัดเจนถึงความน่าหวาดหวั่นของ ‘ดอกตูมสีดำ’ ดอกนี้ที่สามารถทำถึงขนาดนี้ได้
“กลายเป็นความจริง” สายตาตงป๋อเสวี่ยอิงทอประกายวูบหนึ่ง
ดอกตูมสีดำเปลี่ยนจากมายากลายเป็นความจริง นอกจากนี้ภายใต้การควบคุมของตงป๋อเสวี่ยอิง ก็ยังดูดกลืนพลังฟ้าดินอย่างช้าๆ ถึงอย่างไรเขาก็กำลังทดลองเคล็ดวิชาอีกทั้งยังไม่ต้องต่อสู้ ถ้าหากต่อสู้แล้วดูดกลืนพลังฟ้าดินอย่างฉับพลันก็อาจทำให้บริเวณโดยรอบเรือนพักของตนเกิดพายุหมุนอันบ้าคลั่งขึ้นมาได้ เช่นนั้น ความเคลื่อนไหวก็จะใหญ่โตเกินไปแล้ว
มันค่อยๆ กลายเป็นความจริงตามการดูดกลืนพลังฟ้าดินอย่างช้าๆ ของมัน ใบทั้งสามของมัน หยาดน้ำที่กลิ้งอยู่บนพื้นผิวของดอกตูมและใบไม้ก็ดูเป็นความจริงอย่างยิ่ง นนอกจากนี้อุณหภูมิโดยรอบก็ยังลดต่ำลงอย่างฉับพลัน อุณหภูมิภายในห้องเงียบก็ลดต่ำลงในทันทีจนถึงขนาดที่ทำให้ใจคนสั่นสะท้าน ความหนาวเหน็บเช่นนี้เกรงว่าขั้นรวมเป็นหนึ่งสามัญธรรมดาก็อาจจะถูกแช่แข็งตายได้ หนาว หนาวเหน็บอย่างแท้จริง…
นี่ยังเป็นเพียงแค่การเปลี่ยนเป็นความจริงของมันเท่านั้น พลานุภาพอันแท้จริงยังมิได้ระเบิดออกมาเลยแม้แต่น้อย
……………………………………….
ตอนที่ 30 กราบเป็นอาจารย์หรือ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ระยะเวลาหลายสิบอึดใจ ดอกตูมสีดำก็ก่อร่างขึ้นอย่างสมบูรณ์ในที่สุด
อุณหภูมิภายในห้องเงียบลดต่ำลงจนถึงระดับที่เหนือจินตนาการ แต่ว่าก็เพียงแค่นี้เท่านั้น! ดอกตูมสีดำลอยคว้างอยู่กลางอากาศ นอกจากความหนาวเหน็บแล้วก็มิได้มีพลานุภาพอื่นใดอีก แต่ยอดฝีมือขั้นรวมเป็นหนึ่งคนใดๆ ที่ได้เผชิญกับดอกตูมสีดำนี้ ถึงแม้ว่าจะสามารถต้านทานความหนาวเหน็บได้ก็อาจจะหัวใจสั่นสะท้านด้วยความหวาดหวั่นโดยไม่รู้ตัว หวั่นกลัวพลานุภาพที่มีอยู่ในดอกตูม!
“ในที่สุดก็สำเร็จเสียที” ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินมาถึงตรงหน้าดอกตูมสีดำที่ลอยอยู่ มองดูใบทั้งสาม หยาดน้ำค้างบนใบไม้และดอกตูมล้วนทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกได้ถึง ‘ความงดงาม’ ของความเร้นลับของกฎเกณฑ์
“ทำให้ค่ายสังหารดูดซับเข้าสู่โลกเทียมอย่างสมบูรณ์ รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยเสียงต่ำ
“เบ่งบานเถิด! เคล็ดวิชาบุปผาผลาญทำลาย!”
นัยน์ตาของตงป๋อเสวี่ยอิงมีความคาดหวัง จ้องมองดอกตูมสีดำที่ลอยอยู่ตรงหน้าดอกนี้
ในที่สุด
ดอกตูมก็เบ่งบานแล้ว ยามที่ดอกไม้บานนั้นงดงามอย่างที่สุด ดอกไม้บานสามกลีบ ในชั่วขณะที่ดอกไม้บานนั้น ใบไม้ทั้งสามใบและกลีบดอกไม้สีดำทั้งสามกลีบก็เริ่มสลายกลายเป็นไอหมอกสีดำหมุนอย่างบ้าคลั่งเข้าไปรวมตัวกันที่จุดศูนย์กลาง ใบไม้และกลีบดอกไม้ทุกกลีบต่างก็มารวมกันกลายเป็นไอหมอกสีดำสายหนึ่ง ไอหมอกสีดำทั้งหมดสามสายหมุนวนและตัดทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง ผลาญทำลายทุกอย่าง ห้วงอากาศสูญสลาย ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนสูญสลาย
ดูเหมือนจะเรียบง่าย แต่พลานุภาพขั้นสูงสุดถูกยับยั้งเอาไว้ ถ้าหากเป็นแก่นแห่งการทำลายล้างก็จะสามารถรู้สึกได้ถึงความพรั่นพรึงอย่างใหญ่หลวง
“มหาทำลายล้าง” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูทุกสิ่งทุกอย่าง นัยน์ตามีความคลั่งไคล้ มีเพียงการหยั่งรู้เข้าใจอย่างแท้จริงเท่านั้นจึงจะได้รู้ว่ามันงดงามเพียงใด!
“ในที่สุดข้าก็คิดค้นเคล็ดวิชาเช่นนี้ออกมาได้เสียที”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำเสียงต่ำ
ตัวเองสรรสร้าง ยิ่งมีประสบการณ์มากก็ยิ่งพรั่นพรึง ช่างงดงามเหลือเกิน! วิถีโลกเทียมและวิถีเข่นฆ่าล้วนสำแดงออกมาได้อย่างถึงขีดสุดแล้ว การหลอมรวมก็สมบูรณ์แบบอย่างที่สุด ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป ไม่ว่าจะเป็นด้านแนวคิด องค์ประกอบ หรือการรวมกันของความเร้นลับ ต่างก็สมบูรณ์แบบในทุกๆ ด้าน ตงป๋อเสวี่ยอิงคิดว่าแม้แต่เทพจักรวาลคิดอยากสรรสร้างเคล็ดวิชาเช่นนี้ออกมาก็ยังมิใช่เรื่องง่าย
เช่นสิบสามกระบี่ผลาญโลกา จุดสูงสุดของระดับขั้นรวมเป็นหนึ่งก็คือชั้นที่หกของเจดีย์ดาว! แน่นอนว่านี่คือบรรพชนเทียนอวี๋เพียงแค่ใช้สมมติฐานของความเร้นลับของวิถีเข่นฆ่าเท่านั้น ทว่าต่อให้เป็นบรรพชนเทียนอวี๋ อยากจะใช้ความเร้นลับของกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันของขั้นรวมเป็นหนึ่ง คิดค้นเคล็ดวิชาชั้นที่เจ็ดของเจดีย์ดาวก็ยังยากเย็นเป็นอย่างยิ่ง เห็นได้ชัดว่าบรรพชนเทียนอวี๋ก็มิปรารถนาจะทุ่มเทแรงใจกับสิ่งนี้มากจนเกินไปนัก
แต่ในด้านการวิวัฒน์ระดับความแข็งแกร่งของวิญญาณของผู้แกร่งกล้าขั้นรวมเป็นหนึ่งนั้นยังห่างชั้นกับเทพจักรวาล อยากจะคิดค้นเคล็ดวิชาชั้นที่เจ็ดของเจดีย์ดาว สุดท้ายก็ยังต้องอาศัยโชคช่วยอีกพอสมควร
ใช่แล้ว
โชค ที่ตนเองคิดค้นขึ้นมาได้ก็เพราะโชคดีด้วยเช่นกัน
เพราะได้รับวัตถุวิเศษ ‘กระจกศิลา’ กระจกศิลานั้นวิวัฒน์เคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดและเคล็ดวิชาสืบทอดมังกรปาหลงเองโดยอัตโนมัติ วิวัฒน์เป็นดอกไม้อันร้ายกาจที่หลอมรวมกันออกมา ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงมีทิศทาง มีแนวทางในตอนแรก! และผลกระทบของการตายของปรมาจารย์กู่ฉีต่อสภาวะจิตใจของตนก็เป็นแรงจูงใจในการคิดค้นกระบวนท่านี้ของตน เพียงแต่เปรียบกับการคิดค้นเคล็ดวิชานี้ออกมาแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็หวังอยากให้ปรมาจารย์กู่ฉีมีชีวิตอยู่ต่อไปมากกว่า หวังว่าจะมีสักวันที่ตนสามารถไปกราบคารว่าท่านอาจารย์ ดื่มสักหลายจอกไปพร้อมกับสนทนากับท่านอาจารย์
“ชั้นที่เจ็ดของเจดีย์ดาว ในประวัติศาสตร์ของสองโลกทิพย์บันทึกเอาไว้ว่าผู้ที่สามารถทำขั้นนี้ได้สำเร็จมีอยู่เพียงสองคนเท่านั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงรำพึง
ถึงแม้ว่าจะโชคดี
แต่ก็ยังจำเป็นต้องสั่งสมมากยิ่งกว่า!
ระดับขั้นจำเป็นต้องไปถึงขั้นสุดยอดของชั้นที่หกของเจดีย์ดา ถึงแม้ว่าจะสั่งสมอย่างหนักแน่นหาใดเปรียบ ก็ยังต้องอาศัยการเผชิญโชคอย่างเช่นประสบโอกาสบางอย่างจึงจะสามารถมาถึงจุดนี้ได้
ตอนที่มาถึงจุดนี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงมีความรู้สึกประสบความสำเร็จและ ‘ความรู้สึกงดงาม’ ในการชื่นชมความเร้นลับของกฎเกณฑ์อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน การยกระดับการหยั่งรู้ก็เป็นเช่นนี้ คิดค้นเคล็ดวิชาเช่นนี้ออกมาก็เป็นความเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิงอย่างหนึ่ง ในอนาคตคิดค้นเคล็ดวิชาก็ย่อมแสวงหาความรู้สึกงดงามเช่นนี้โดยสัญชาตญาณ ‘ความรู้สึกงดงาม’ ชนิดนี้จะมีได้ก็ต่อเมื่อไปถึงความสมบูรณ์แบบอย่างหนึ่งเท่านั้น
เพราะเคยรู้สึกมาก่อนแล้ว ดังนั้นจึงสามารถแสวงหาได้อย่างกระจ่างแจ้งยิ่งขึ้น! ดังนั้นขั้นรวมเป็นหนึ่งไปถึงชั้นที่เจ็ดของเจดีย์ดาว ไปถึงขั้นอลวนย่อมเป็นเรื่องง่ายดายยิ่ง ชั้นที่แปดของเจดีย์ดาวก็ไม่ไกลเกินเอื้อม โดยทั่วไปใช้เวลาสักระยะหนึ่งก็เป็นขั้นสุดยอดของชั้นที่แปดได้แล้ว! สั่งสมเพียงพอแล้วก็มีความหวังในการโจมตีชั้นที่เก้าอย่างยิ่งใหญ่เหลือเกินแล้ว
“ดอกไม้ดอกนี้ก็เรียกว่าเคล็ดวิชาบุปผาผลาญทำลายก็แล้วกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ
ศาสตร์ลับที่ตนคิดค้นขึ้น
หนึ่งคือศาสตร์ลับวิถีโลกเทียมอันบริสุทธิ์ วิชาโลกเทียม ส่วนอีกหนึ่งอย่างก็คือศาสตร์ลับเคล็ดวิชาบุปผาผลาญทำลายที่เป็นการหลอมรวมระหว่างวิถีโลกเทียมและวิถีเข่นฆ่า เชื่อว่ารอให้ตนเหยียบย่างเข้าสู่ขั้นอลวน หลังจากที่วิถีโลกเทียมและวิถีเข่นฆ่ายกระดับแล้ว ‘เคล็ดวิชาบุปผาผลาญทำลาย’ ก็ต้องการเพียงแค่ความก้าวหน้าอีกเล็กน้อยก็จะกลายเป็นชั้นที่แปดได้อย่างง่ายดายยิ่ง
นี่คือความห่างชั้น
แม้ว่าจะเป็นจอมมาร หลังจากที่เขากลายเป็นขั้นอลวนมาเนิ่นนานแล้ว ถึงกับต้องอาศัยร่างแปรทั้งหกจึงสามารถฝืนผ่านชั้นที่แปดได้อย่างทุลักทุเล หรืออย่างเช่นเจ้าสำนักสวรรค์กันแสงก็ยังเป็นเพียงแค่ขั้นสุดยอดของชั้นที่เจ็ดเท่านั้น
ขอเพียงแค่ตงป๋อเสวี่ยอิงบรรลุก็จะกลายเป็นชั้นที่แปดอย่างรวดเร็วแล้ว หรือแม้กระทั่งชั้นที่แปดขั้นสุดยอด! นี่ก็คือเหตุผลที่ตงป๋อเสวี่ยอิงพยายามจะไปถึงชั้นที่เจ็ดให้ได้ตอนยังเป็นขั้นรวมเป็นหนึ่ง
“ใช้เวลาอีกเล็กน้อย วิวัฒน์กระบวนท่าที่สี่ของวิชาโลกเทียมออกมาให้ได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงแอบคิดเงียบๆ โลกเทียมกระบวนท่าที่สี่เป็นเคล็ดวิชาระดับชั้นที่หกของเจดีย์ดาว เปรียบกับใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์แล้ว แต่ก็มีผลของการพันธนาการด้วย! สำหรับวิถีอื่นๆ นั้นการจะมีผลของการพันธนาการนั้นค่อนข้างยาก แต่สำหรับโลกเทียมแล้ว เดิมทีก็เป็นโลกใบหนึ่งอยู่แล้ว จึงค่อนข้างจะเชี่ยวชาญในเรื่องการพันธนาการ
ด้วยเหตุนี้จึงมิได้คิดค้นออกมามาโดยตลอด อีกทั้งก่อนหน้านี้จิตใจของตงป๋อเสวี่ยอิงจดจ่ออยู่กับเคล็ดวิชาหลอมรวมวิถีเข่นฆ่าและวิถีโลกเทียม ตอนนี้คิดค้น ‘เคล็ดวิชาบุปผาผลาญทำลาย’ ออกมา
นอกจากนี้ยังมีผลของการพันธนาการ จะมาวิวัฒน์เคล็ดวิชาที่เป็นเพียงแค่ระดับชั้นที่หกของเจดีย์ดาวอันเป็นวิถีโลกเทียมอันบริสุทธิ์นั้นก็ง่ายดายเป็นอย่างยิ่งแล้ว
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงปลีกวิเวกเป็นการชั่วคราว
บรรดาผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์เหล่านั้นมาเชิญสอนต่างก็ถูกห้ามมิให้เข้าไป
“คิดไม่ถึงว่าการจะมาเชิญให้ผู้อาวุโสตงป๋อสอนจะยากเย็นถึงเพียงนี้เสียแล้ว” ผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์เหล่านี้ลอบทอดถอนใจ
เช่นประมุขวังเจียงฝู่ ประมุขเกาะจื่อถู แม่ทัพเทียนกวง และบรรพชนงูอู่เจ๋อ พวกเขาสี่คนนึกอยากจะมาเยี่ยมเยียนสหายก็มาเยี่ยม อยากจะปิดประตูไม่พบแขกก็ไม่พบ มีอารมณือยากจะออกมาชี้แนะสักคราหนึ่งก็ถือว่าไม่เลวแล้ว ในอดีตตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นมีความกระตือรือร้นเป็นอย่างยิ่ง ตอนนี้หลังจากเผชิญกับเรื่องของปรมาจารย์กู่ฉี ตงป๋อเสวี่ยอิงก็วางความคิดจิตใจเอาไว้กับตัวเองมากยิ่งขึ้น ตนเองมีพลังยุทธ์กล้าแกร่งจึงจะเป็นสิ่งสำคัญ การชี้แนะน่ะหรือ แค่นี้ก็ใช้ได้แล้ว
ในขณะนี้
ผู้ใดก็มิอาจล่วงรู้ว่าในที่สุดตอนนี้มหาโลกทิพย์ทั้งห้าแห่งอากาศอันสับสนอลหม่าน ขั้นรวมเป็นหนึ่งของยุคนี้ก็มีสิ่งมีชีวิตชั้นที่เจ็ดของเจดีย์ดาวคนหนึ่งถือกำเนิดขึ้นแล้ว
……
เมืองราชันย์มีด เรือนพักที่พำนักของจักรพรรดิสิงหั่ว
สิงหั่วสวินอีก็พำนักอยู่ที่นี่เช่นเดียวกัน
“คารวะผู้อาวุโสภาพจิต ผู้อาวุโสเทียนกวง” สิงหั่วสวินอีเอ่ยทักทายอย่างนอบน้อม
“ไม่ต้องเกรงใจหรอก” เจ้าลัทธิภาพจิตพูดพลางยิ้มน้อยๆ
สิงหั่วสวินอีติดตามอยู่ด้านหลังบิดา ยืนอย่างนอบน้อมอยู่ตรงนั้น
จักรพรรดิสิงหั่ว เจ้าลัทธิภาพจิต และแม่ทัพเทียนกวงแยกย้ายกันนั่งลง เบื้องหน้าของแต่ละคนต่างก็มีโต๊ะเล็กวางอยู่ จักรพรรดิสิงหั่วลงมือส่งสุราชั้นเลิศกาแล้วกาเล่าให้ด้วยตนเอง ส่วนเหล่าสาวใช้ก็ตระเตรียมอาหารเลิศรสจำนวนหนึ่ง มีจำนวนมากที่ซื้อมาจากหอสุราชื่อดังภายในเมืองราชันย์มีด
ทั้งสองฝ่ายดื่มสุราสนทนากัน พูดคุยกันมากมายหลายเรื่อง รวมทั้งพูดกันถึงเรื่องที่กู่ฉีถูกจอมเทพศักดิ์สิทธิ์สังหารด้วย
รอจนดื่มสุราใกล้หมดแล้ว ท้องฟ้าก็มืดมิดแล้ว เจ้าลัทธิภาพจิตจึงเอ่ยว่า “น้องสิงหั่ว วันนี้ข้ากับเทียนกวงมาด้วยกันก็เพราะเมืองราชันย์มีดของข้ารู้สึกว่าสิงหั่วสวินอีบุตรชายเจ้ามีพรสวรรค์ในการบำเพ็ญสูงส่งยิ่ง ในชั่วระยะเวลาสั้นๆ ของงานชุมนุมใหญ่ดวงดารานี้ พลังยุทธ์ก็ก้าวหน้าอย่างพุ่งทะยานเช่นนี้ เหมาะสมที่จะเข้าสู่สำนักเมืองราชันย์มีดของข้า”
สิบคนสุดท้ายที่งานชุมนุมใหญ่ดวงดาราคัดเลือกมาต่างก็สามารถเลือกเข้าสู่สำนักใดก็ได้ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหก
แต่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหกก็ไม่มีทางรอพวกเขามาเลือกเฉยๆ อยู่แล้ว สำหรับผู้ที่มีศักยภาพเปล่งประกายจับตาในนั้น พวกเขาก็จะทำการเชื้อเชิญ งานชุมนุมใหญ่ดวงดาราคราวนี้ เท่าที่พวกเขาดูในตอนนี้ผู้ที่มีศักยภาพสูงสุดก็ต้องเป็นสิงหั่วสวินอีอย่างแน่นอน! จัดเป็นอันดับที่หนึ่งในศึกตัดสิน ทั้งยังยกระดับอย่างฉับพลันในระยะเวลาอันสั้น เชื่อว่าเมื่อเวลาผ่านไปยังอาจมีวันที่ระเบิดขึ้นมาได้อีก ถึงแม้ว่า ‘ชางฉงเทียนอวิ๋น’ จะมีพลังยุทธ์พอๆ กัน แต่ตอนที่เขามาเข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่ดวงดาราก็เป็นชั้นที่สี่ของเจดีย์ดาวแล้ว เมื่อเทียบกันแล้วความก้าวหน้าก็ช้ากว่ามากนัก
แน่นอนว่าแม่ทัพเทียนกวงก็จะไปเชิญชางฉงเทียนอวิ๋นเช่นกัน
แต่เจ้าลัทธิภาพจิตก็คงจะไม่ออกหน้าแล้ว
มีเพียงสิงหั่วสวินอีคนเดียวเท่านั้นที่เจ้าลัทธิภาพจิตออกหน้าด้วยตนเอง!
“สวินอี เจ้าดูเอาเองเถิด” จักรพรรดิสิงหั่วหันหน้ามองไปทางสิงหั่วสวินอี
“ข้าไม่คิดจะเข้าร่วมสำนักเมืองราชันย์มีด” สิงหั่วสวินอีพูดตรงๆ
จักรพรรดิสิงหั่วหัวเราะอย่างโง่งม
บุตรชายของเขาผู้นี้นี่…
ถ้าหากเป็นผู้บำเพ็ญไร้สังกัดคนหนึ่ง ถึงแม้อยากจะปฏิเสธ เกรงว่าก็คงจะพูดในทำนอง ‘ข้ายังต้องคิดดูให้ละเอียดสักหน่อยแล้วค่อยตัดสินใจ’ ไม่มีทางปฏิเสธโดยตรง ถึงอย่างไรเจ้าลัทธิภาพจิตและแม่ทัพเทียนกวงผู้เป็นหนึ่งในปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ก็ออกหน้าด้วยตนเอง ปฏิเสธโดยตรงก็ออกจะไม่น่าดูอยู่สักหน่อย มีชั้นเชิงในการพูดสักหน่อย พวกเจ้าลัทธิภาพจิตก็คงจะเข้าใจได้
แต่สิงหั่วสวินอีกลับยืนอย่างนอบน้อมอยู่ด้านข้าง พูดจบก็ไม่ส่งเสียงอีกต่อไปแล้ว เขามีจักรพรรดิสิงหั่วผู้นี้เป็นบิดา ก็เคยชินกับการ ‘ตรงไปตรงมา’ เสียแล้ว
“ฮ่าฮ่า” เจ้าลัทธิภาพจิตส่ายศีรษะเบาๆ พลางพูดยิ้มๆ “ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหก พูดถึงพลังยุทธ์และพื้นฐาน เมืองราชันย์มีดของข้าก็แกร่งเป็นที่สุด เจ้าไม่เข้าสู่เมืองราชันย์มีด แล้วเตรียมจะเข้าสู่สำนักใดกันเล่า”
“วังทวีสูญ!” สิงหั่วสวินอีไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
แม่ทัพเทียนกวงที่อยู่ด้านข้างพูดด้วยรอยยิ้มหยัน “วังทวีสูญหรือ เจ้าเด็กน้อย เจ้ายังเยาว์วัยเกินไปนัก เกาะปฐมบรรพชนและแดนทิพย์เหยากวงนั้นต่างก็มีบุคคลที่เป็นเทพจักรวาลระดับชั้นที่สองอยู่ เมืองราชันย์มีดของข้าจึงจะมีพื้นฐานอันลึกล้ำที่สุด ราชันย์มีดก็เป็นผู้แกร่งกล้าที่สุดในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหก ส่วนวังทวีสูญนั้นพูดถึงพลังยุทธ์แล้วก็คงนับได้ว่าเป็นลำดับที่สี่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหกอย่างพอถูไถกระมัง ถ้าหากเจ้าเมืองหลัวแห่งเมืองดารารายปรารถนาจะรับศิษย์ อยากจะขยายฐานอำนาจ วังทวีสูญก็นับได้เป็นเพียงแค่ลำดับที่ห้าเท่านั้นเอง”
เจ้าเมืองหลัวเป็นตำนานของขั้นอลวน น่าเสียดายที่เขามิได้รับศิษย์แต่อย่างใด ยอดฝีมือของเมืองดารารายก็น้อยที่สุดในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหก เข้าสำนักไปไม่มีเจ้าเมืองหลัวคอยชี้แนะด้วยตนเอง ก็มิสู้เข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์อื่นเสียดีกว่า
“ข้าวางแผนจะกราบผู้อาวุโสตงป๋อแห่งวังทวีสูญเป็นอาจารย์ขอรับ” สิงหั่วสวินอีพูด
“ตงป๋อเสวี่ยอิงหรือ” เจ้าลัทธิภาพจิตกระจ่างขึ้นมาบ้าง “เพราะวิถีโลกเทียมอย่างนั้นหรือ”
“ใช่ขอรับ”
สิงหั่วสวินอีพยักหน้า “ข้าอยากจะศีกษาวิถีโลกเทียมและเขตลวง”
“ฮ่าฮ่า” แม่ทัพเทียนกวงกลับพูดยิ้มๆ “นั่นก็ยิ่งไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมกับพวกเขาเลย ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหกแต่ละแห่งต่างก็มีตำราพื้นฐานด้วยกันทั้งนั้น! จนกระทั่งตอนนี้พวกเขาวังทวีสูญก็ยังไม่มีวิถีโลกเทียมแม้แต่คนเดียวที่ไปถึงขั้นอลวน ตำราวิถีโลกเทียมที่มีอยู่ต่างก็ค่อนข้างธรรมดาสามัญ พวกเราทางนี้ต่างก็มีทั้งสิ้น! เจ้าก็สามารถพลิกอ่านได้ตามใจปรารถนาเลย ตัวเจ้าเองตอนนี้ก็เป็นเจดีย์ดาวชั้นที่สี่แล้ว สั่งสมอีกเล็กน้อยก็จะเป็นเจดีย์ดาวชั้นที่ห้า เมื่อเทียบกันแล้วก็มิได้ต่างจากตงป๋อเสวี่ยอิงมากสักเท่าใดเลย จำเป็นจะต้องกราบเขาเป็นอาจารย์ด้วยหรือ ไม่แน่ว่าในอนาคตเจ้ากลายเป็นขั้นอลวน เขาก็อาจยังค้างอยู่ที่ชั้นที่หกของเจดีย์ดาวไปตลอดก็ได้นะ!”
“เพื่อตงป๋อเสวี่ยอิงเพียงคนเดียวก็ไม่จำเป็นต้องคารวะเข้าสำนักวังทวีสูญหรอก” เจ้าลัทธิภาพจิตก็พูดขึ้น “เส้นทางการบำเพ็ญต้องอาศัยตนเอง! เดิมทีความแตกต่างระหว่างเจ้ากับเขาก็ไม่ได้มากนักอยู่แล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็มิสู้ศึกษาด้วยตนเอง อาศัยตนเองตลอดทาง คาดว่าอาจจะสามารถเดินไปได้ไกลกว่าเสียอีก”
“สำหรับตงป๋อเสวี่ยอิง…ตอนนี้เขามีพรสวรรค์ล้ำเสิศน่าอัศจรรย์ก็จริงอยู่ แต่สิ่งที่เทียนกวงพูดก็มีเหตุผล เขาค้างอยู่ที่ชั้นที่หกของเจดีย์ดาวมิอาจบรรลุได้ นี่ก็เป็นเรื่องปกติอย่างยิ่ง เจ้าไม่จำเป็นต้องกราบเขาเป็นอาจารย์เลย ถ้าหากเจ้าต้องการ ข้าก็สามารถรับเจ้าเป็นศิษย์ได้นะ” เจ้าลัทธิภาพจิตพูดยิ้มๆ
จักรพรรดิสิงหั่วฟังแล้วก็ตกตะลึง
เจ้าลัทธิภาพจิตน่ะหรือ
นี่อาจเป็นขั้นรวมเป็นหนึ่งบุกผ่านชั้นที่เจ็ดของเจดีย์ดาวในตอนนั้น ตอนนี้ก็ยังเป็นบุคคลระดับชั้นที่เก้าของเจดีย์ดาว ถึงแม้ว่าจะมิใช่ผู้ที่บำเพ็ญวิถีโลกเทียม แต่ประสบการณ์ของเขาก็เพียงพอที่จะชี้แนะได้ส่วนหนึ่ง“ว่าอย่างไรเล่า” เจ้าลัทธิภาพจิตมองสิงหั่วสวินอี นี่ก็เป็นเหตุผลที่แท้จริงที่เขามาด้วยตนเอง
“ขอบคุณผู้อาวุโสที่มีเจตนาดี แต่ข้าตัดสินใจแน่นอนแล้วว่าจะกราบผู้อาวุโสตงป๋อเป็นอาจารย์” สิงหั่วสวินอีส่ายศีรษะ สายตาแน่วแน่เป็นอย่างยิ่ง
เจ้าลัทธิภาพจิตสะดุ้งคราหนึ่ง
………………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น