Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 30 ตอนที่ 25-28

 ตอนที่ 25 ศึกตัดสิน

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ข้าแปลกใจนัก” ประมุขวังเจียงฝู่หันหน้ามาพลางพูดยิ้มๆ “ที่ผ่านมาสิงหั่วสวินอีบำเพ็ญมาห้าแสนล้านปีก็มีพลังเช่นนั้นเอง บัดนี้เพิ่งจะผ่านไปนานสักเท่าใดกันเชียว เขตลวงก็ร้ายกาจถึงเพียงนี้แล้ว หรือว่าตลอดระยะเวลาอันยาวนานที่ผ่านมา สิงหั่วไม่สามารถหาอาจารย์ดีๆ ให้เขาได้สักคน ในเวลาสั้นๆ กลับยกระดับขึ้นมามากมายถึงเพียงนี้ การรับรู้ต้องสูงส่งอย่างมากแน่นอน แม้จะไม่มีอาจารย์ชั้นดี บำเพ็ญด้วยตนเองเพียงลำพังก็ไม่ควรอ่อนแอเหมือนตอนเริ่มต้น…ผู้อาวุโสตงป๋อ ช่วยคลายความสงสัยให้ข้าหน่อยได้หรือไม่เล่า”


“ฮ่าฮ่า”


จักรพรรดิสิงหั่วที่อยู่เยื้องไปกลับหัวเราะขึ้นมา “เจียงฝู่ พูดได้เพียงว่าไม่เสียทีที่ผู้อาวุโสตงป๋อเป็นผู้บำเพ็ญที่มีผลสำเร็จด้านวิถีโลกเทียมร้ายกาจที่สุดของระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์! เขาเข้าใจเขตลวงได้ดียิ่งนัก ด้วยการชี้แนะจากเขา บุตรชายข้าก็เข้าใจเขตลวงได้ทะลุปรุโปร่งอย่างพรวดพราด! ข้าเองก็ซาบซึ้งในตัวผู้อาวุโสตงป๋อมาก ที่สามารถขุดค้นเอาความสามารถที่ซ่อนอยู่ทางด้านเขตลวงของบุตรชายออกมาจนได้ ฮ่าฮ่า งานชุมนุมใหญ่ดวงดาราครั้งนี้ มาได้ถูกต้องแล้ว!”


เห็นกันอยู่ว่าประมุขวังเจียงฝู่กำลังถามตงป๋อเสวี่ยอิง แต่จักรพรรดิสิงหั่วกลับแทรกเข้ามาเอง


ทว่ายักษ์ใหญ่ขั้นอลวนอื่นๆ ในที่นั้นล้วนพากันผสมโรง


ล้อเล่นแล้ว


เจ้าลัทธิภาพจิต ประมุขวังเจียงฝู่และจักรพรรดิสิงหั่ว…เป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดสามคนในที่นั้น พวกเขาล้วนอยู่ในระดับสูงสุดของขั้นอลวน พวกเขาสามารถสังหารระดับเจดีย์ดาวเจ็ดชั้นและเข่นฆ่าได้ในชั่วพริบตา! สังหารระดับเจดีย์ดาวชั้นที่แปด…นั่นก็เป็นการกดดันอย่างสิ้นเชิง โดยทั่วไปสำแดงอีกไม่กี่กระบวนท่าก็สามารถทำลายไปได้แล้ว สถานะของพวกเขาก็เท่ากับสถานะของยอดฝีมือระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เจ็ดเมื่ออยู่ในขั้นรวมเป็นหนึ่งนั่นเอง


ดังนั้นต่อให้หยิ่งทระนงเช่นแม่ทัพเทียนกวง แม้พวกเขาจะไม่เอ่ยปากผสมโรง แต่ก็เผยรอยยิ้มออกมา


“เจ้าหนุ่มขั้นรวมเป็นหนึ่งคนนี้กลับทำให้จักรพรรดิสิงหั่วปกป้องและซาบซึ้งในตัวเขาได้” แม่ทัพเทียนกวงนั่งอยู่ข้างกายตงป๋อเสวี่ยอิง ในใจกลับมีความคิดมากมายผุดขึ้นมา เขาสามารถสัมผัสได้ว่าจักรพรรดิสิงหั่วซาบซึ้งในตัวตงป๋อเสวี่ยอิงมากจริงๆ และยังสัมผัสได้ถึงความยินดีปรีดาอันไร้ที่สิ้นสุดของจักรพรรดิสิงหั่วด้วย!


“หรือความสามารถที่ซ่อนอยู่ของสิงหั่วสวินอีจะถูกตงป๋อเสวี่ยอิงขุดค้นออกมาจริงๆ หนอ” แม่ทัพเทียนกวงกลับไม่อยากจะเชื่ออยู่บ้าง


จักรพรรดิสิงหั่วพูดขนาดนี้แล้ว แม่ทัพเทียนกวงไม่เชื่อจะทำอย่างไรได้อีกเล่า


……


ในโลกของผู้บำเพ็ญ ผู้แกร่งกล้าก็เป็นที่ยอมรับนับถือจนซึมลึกเข้ากระดูกดำแล้ว


ผู้ที่มานั่งชมการต่อสู้อยู่บนแท่นสูง นอกจากขั้นรวมเป็นหนึ่งอย่างตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว คนอื่นๆ ก็เป็นขั้นอลวนทั้งสิ้น! เช่นนี้ก็จะเห็นได้ว่าธรรมดาทั่วไปแล้ว อันที่จริงก็เป็นเรื่องปกตินัก ขอเพียงบรรดายักษ์ใหญ่ขั้นอลวนสั่งสมอะไรมากหน่อยก็สามารถบรรลุระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เจ็ดได้ ส่วนโลกทิพย์ทั้งห้าและอากาศอันสับสนอลหม่าน ยุคนี้ก็ไม่มีขั้นรวมเป็นหนึ่งซึ่งมีพลังระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เจ็ดเลย!


เมื่อขั้นอลวนเผชิญหน้ากับขั้นรวมเป็นหนึ่ง ก็จะเหลือบมองลงมาอย่างเหนือกว่าเป็นธรรมดา  พวกเขาส่งร่างแปรมาร่างหนึ่งตามอำเภอใจ ก็มีพลังระดับเจดีย์ดาวชั้นที่ห้าไปจนถึงชั้นที่หกได้แล้ว ซึ่งสามารถล้างสังหารขั้นรวมเป็นหนึ่งกลุ่มใหญ่ได้เลยทีเดียว


เดิมทีในใจของพวกเขาดูแคลนตงป๋อเสวี่ยอิงในเรื่องพลัง ต่อมาตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังเลือก ‘สิงหั่วสวินอี’ โดยไม่สนใจรักษาหน้าตนเอง ทำให้พวกเขายิ่งดูแคลนขึ้นไปอีก! เพียงแต่ตอนนี้…กลับพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือแล้ว!


ข้อแรก พลังของสิงหั่วสวินอีน่าหวาดหวั่นถึงเพียงนี้ ที่สำคัญที่สุดก็คือ ในการคัดเลือกเบื้องต้นกลับอ่อนแอนัก เห็นได้ชัดว่าสามารถยกระดับได้อย่างมากมายในระยะเวลาสั้นๆ แต่ปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่อีกสี่คนล้วนไม่ได้เลือกเขา เห็นได้ชัดว่าปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่อีกสี่คนล้วนไม่ทราบว่าสิงหั่วสวินอีก้าวหน้าอย่างน่าตกใจเพียงใด ถ้าหากรู้ก่อน พวกประมุขวังเจียงฝู่ก็จะต้องเลือกเขาอย่างแน่นอน


มีเพียงตงป๋อเสวี่ยอิงเท่านั้นที่ล่วงรู้และคัดเลือกเขา! นอกจากนี้ยังเป็นด้านเขตลวงอีกด้วย แม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงทำให้สิงหั่วสวินอีเก่งกาจถึงเพียงนี้ได้อย่างไรก็ตาม แต่กลับทำให้พวกเขายิ่งนับถือปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ขั้นรวมเป็นหนึ่งผู้นี้มากขึ้นไปอีก


ข้อสอง ซึ่งสำคัญที่สุด


ก็คือพวกเขาล้วนรู้สึกว่าจักรพรรดิสิงหั่วซาบซึ้งและปกป้องตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นอย่างมาก ลำพังแค่ข้อนี้ พวกเขาก็มิอาจดูแคลนตงป๋อเสวี่ยอิงได้


……


การคัดเลือกทั้งห้ากลุ่มยุติลงอย่างรวดเร็ว แต่ละกลุ่มล้วนคัดผู้บำเพ็ญออกมาสองคน รวมทั้งหมดสิบคน!


ผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์ทั้งสิบคนนี้เริ่มต่อสู้กันตัวต่อตัว การต่อสู้ยกแล้วยกเล่าดำเนินไป พวกเขาแต่ละคนล้วนต้องต่อสู้ทั้งหมดเก้ายก เพื่อตัดสินห้าอันดับแรกออกมาจากผลการต่อสู้ในท้ายที่สุด!


ถึงยามนี้แล้ว…


การต่อสู้ก็สำคัญมากทีเดียว!


สองร้อยคนจากการคัดเลือกเบื้องต้นของงานชุมนุมใหญ่ดวงดารา ต่อให้เข้าร่วมหกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ก็มิอาจนับได้ว่าเป็นหัวใจสำคัญ อย่างมากก็ได้รับทรัพยากรพื้นฐานที่สุดเท่านั้น แต่เมื่อสิบคนสุดท้ายเข้าร่วมหกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ก็จะกลายเป็นบุคคลสำคัญซึ่งจะได้รับการบ่มเพาะอย่างสุดความสามารถ


“ตู้ม…”


ลูกหลงจากการต่อสู้สะท้อนไปมาบนเวทีซึ่งมีบริเวณกว่าแสนลี้


“ชางฉงเทียนอวิ๋นชนะ!”


……


แต่ละคนต่อสู้เก้ายก รวมทั้งหมดสี่สิบห้ายก เมื่อเทียบกันแล้วการต่อสู้นี้ก็ยอดเยี่ยมกว่ามากทีเดียว พวกเขาล้วนแต่เป็นผู้ที่มีพรสวรรค์และการรับรู้สูงส่งอย่างยิ่ง วิธีการต่างๆ ล้วนแต่วิจิตรพิสดาร ทำให้ผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนที่ชมการต่อสู้อยู่ด้านล่างดูแล้วตื่นเต้นนัก


“สิงหั่วสวินอีชนะ”


สิงหั่วสวินอียืนอยู่บนเวทีโดยไม่ขยับเขยื้อน ตัวเขาเองต่อสู้ไปห้ายกแล้ว


การต่อสู้ของเขาโดดเด่นสะดุดตาที่สุดบนเวที เนื่องจากการต่อสู้แต่ละครั้ง เขาก็ยืนอยู่ที่เดิมโดยไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย โดยทั่วไปก็จะสำแดงเขตลวงออกมาก่อน! แต่ให้สามารถสกัดกั้นเขตลวงได้ พลังของคู่ต่อสู้ก็ต้องลดลงเป็นอย่างมาก ข้อสองก็คือสำแดง ‘คุกโลกา’ ออกมา โดยทั่วไปจะใช้คุกโลกาถึงหกชั้นร่อนลงมา คุกโลกาที่ทับซ้อนกันชั้นแล้วชั้นเล่าเข้าโอบล้อมคู่ต่อสู้เอาไว้ โดยทั่วไปคู่ต่อสู้ก็จะถูกพันธนาการจนดิ้นไม่หลุด จากนั้นก็จะถูกพันธนาการและถูกขับออกไปจากเวที


เขาคว้าชัยชนะอย่างง่ายดายเช่นนี้ห้ายกต่อเนื่องกัน


“เขตลวงช่างน่าหวาดหวั่นนัก”


“เคล็ดการพันธนาการของเขาสิจึงจะน่าหวาดหวั่น เมื่อถูกพันธนาการแล้ว พลังระดับเจดีย์ดาวชั้นที่สามยังดิ้นไม่หลุดเลย” ผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์ที่ตกรอบซึ่งชมการต่อสู้อยู่เบื้องล่างกว่าหมื่นคนล้วนตกตะลึงเหลือแสน


“หมื่นกว่าปีก่อนเขาเพิ่งจะอยู่ในระดับเจดีย์ดาวชั้นที่สองเท่านั้น เพียงพริบตาเดียวก็ร้ายกาจถึงเพียงนี้แล้ว”


“ผู้อาวุโสตงป๋อชี้แนะศิษย์ได้เยี่ยมยอดถึงเพียงนี้เชียวหรือ”


ก่อนหน้านี้เหล่าผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์ที่ตกรอบยังรู้สึกว่าตงป๋อเสวี่ยอิงไม่ยุติธรรม ตอนนี้กลับรู้สึกว่าอีกฝ่ายชี้แนะศิษย์ได้เยี่ยมยอดเกินไปเสียแล้ว


“ข้าก็เคยไปขอคำชี้แนะมาก่อน ไยจึงมิได้ยกระดับขึ้นสักเท่าไหร่เลยเล่า”


“ใครใช้ให้เจ้าไม่ฝึกฝนเขตลวงล่ะ”


“ถูกต้อง ผู้อาวุโสตงป๋ออาจจะเชี่ยวชาญเขตลวงมากที่สุดกระมัง พวกเราก็มิใช่ยอดฝีมือด้านเขตลวง”


“พวกเจ้าก็มิใช่บุตรชายของจักรพรรดิสิงหั่ว ผู้อาวุโสตงป๋อชี้แนะพวกเจ้า จะทุ่มเทสุดกำลังได้อย่างไรกัน”


ผู้บำเพ็ญจำนวนมากวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา


อิจฉา ริษยา แต่ไม่ว่าอย่างไรในใจของพวกเขาก็ยอมรับในสายตาและความสามารถในการชี้แนะศิษย์ของผู้อาวุโสตงป๋ออยู่ดี


……


ในที่สุดสิงหั่วสวินอีก็เคลื่อนไหวแล้ว


เขาเผชิญหน้ากับผู้แกร่งกล้าซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศตนหนึ่งนาม ‘คั่งหย่ง’ และได้สำแดงศาสตร์ลับโลกเทียมกระบวนที่สอง ‘ฟองแตกสลาย’ ซึ่งตงป๋อเสวี่ยอิงคิดค้นขึ้นมา และถูกบีบให้ต้องสำแดงฟองแตกสลายสามกระบวนออกมาพร้อมกัน จึงทำให้คั่งหย่งบาดเจ็บสาหัส บีบบังคับให้คั่งหย่งต้องยอมแพ้


……


การต่อสู้สี่สิบห้ายกจัดขึ้นอย่างต่อเนื่อง


ในที่สุดก็ดำเนินมาถึงยกสุดท้าย ผู้ที่รับผิดชอบจัดลำดับการต่อสู้ของงานชุมนุมใหญ่ดวงดาราจงใจจัดให้การต่อสู้ระหว่าง ‘ชางฉงเทียนอวิ๋น’ และ ‘สิงหั่วสวินอี’ อยู่ในยกสุดท้าย พวกเขาทั้งสองล้วนคว้าชัยมาทั้งแปดยกก่อนหน้านี้ ยกนี้ผู้ใดชนะ…ก็จะเท่ากับชนะเก้ายกรวด และเป็นผู้แกร่งกล้าอันดับหนึ่งแห่งศึกตัดสินของงานชุมนุมใหญ่ดวงดาราในครั้งนี้อย่างไร้ข้อกังขา


อันที่จริงตอนนี้พวกเขาทั้งสองก็อยู่ในห้าอันดับแรกอย่างแน่นอนแล้ว และจะเป็นคนสำคัญซึ่งได้รับการบ่มเพาะอย่างแน่นอน แต่พวกเขาทั้งสองก็มีความปรารถนาที่จะต่อสู้ล้นฟ้า


“ตู้มมม…” ชางฉงเทียนอวิ๋นยืนอยู่ตรงนั้น ร่างกายแข็งแกร่งบึกบึน เมฆดำม้วนตัวแล้วแผ่กำจายไปรอบผิวกาย เห็นได้ชัดว่าร่างกายของเขาแข็งแกร่งจนถึงขีดสุด


ส่วนสิงหั่วสวินอีในรูปร่างหนุ่มน้อยยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่งของเวทีการต่อสู้ กลิ่นอายของเขาถูกเก็บงำเอาไว้ เหมือนจะเป็นหนุ่มน้อยธรรมดาสามัญคนหนึ่งซึ่งไม่มีภัยคุกคามแม้แต่น้อย แต่จู่ๆ ร่างกายของเขาก็พลันปะทุแสงสีขาวอันเรืองรองออกมา ซึ่งแสงสีขาวอันเรืองรองนี้ปกคลุมทั่วทั้งเวทีในพริบตา


“เริ่มแล้ว”


เจ้าลัทธิภาพจิต ประมุขวังเจียงฝู่ จักรพรรดิสิงหั่ว เจ้าลัทธิเทียนกวง บรรพชนงูอู่เจ๋อ ตงป๋อเสวี่ยอิงและคนอื่นๆ ที่อยู่บนแท่นสูงพากันจับตามองการต่อสู้เบื้องล่างครั้งนี้โดยละเอียด การต่อสู้ก่อนหน้านี้พวกเขาอาจจะมิได้สนใจมากนัก แต่การต่อสู้ครั้งนี้กลับเป็นยกที่สำคัญที่สุดของงานชุมนุมใหญ่ดวงดาราในครั้งนี้เลยทีเดียว


 ………………………………….


ตอนที่ 26 จอมเทพศักดิ์สิทธิ์และกู่ฉี

โดย

Ink Stone_Fantasy

การต่อสู้ครั้งนี้ ชางฉงเทียนอวิ๋นและสิงหั่วสวินอีต่างก็ตกอยู่ในการต่อสู้อันยากลำบาก การต่อสู้แปดยกก่อนหน้านี้ พวกเขาล้วนมิได้เปลืองแรงเช่นนี้มาก่อน


ร่างกายของชางฉงเทียนอวิ๋นแข็งแกร่ง ในระดับเดียวกันก็จัดว่าหาได้ยากยิ่งนัก การโจมตีต่อสู้ประชิดตัวของเขาก็โหดร้ายรุนแรงอย่างยิ่งเช่นเดียวกัน หลังได้รับการชี้แนะจากปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่เช่น ประมุขวังเจียงฝู่และคนอื่นๆ แล้ว ร่างกายของเขาและการต่อสู้ประชิดตัวก็ล้วนเพียงพอจะเทียบกับระดับเจดีย์ดาวชั้นที่ห้าได้แล้ว แต่เขาก็มีข้อบกพร่องที่เห็นได้ชัดมาก…นั่นก็คือวิถีการเคลื่อนไหวค่อนข้างอ่อนแอในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ของเขา ความเร็วด้านวิถีกายของผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์หลายคนล้วนสามารถเหนือกว่าเขาได้ เนื่องจากข้อบกพร่องชัดเจนเกินไป พลังโดยรวมของเขานับได้ว่าเป็นระดับเจดีย์ดาวชั้นที่สี่ระดับยอด


ขณะที่รับมือคู่ต่อสู้คนอื่นๆ ตอนนั้นชางฉงเทียนอวิ๋นก็ทำอย่างง่ายๆ โดยการโจมตีในระยะไกลเสียเลย


เมื่อกระแทกออกไปหมัดหนึ่ง แม้จะเป็นการโจมตีในระยะไกล ก็เพียงพอจะเอาชนะคู่ต่อสู้ได้แล้ว


น่าเสียดายที่กลับไม่มีประโยชน์ต่อสิงหั่วสวินอีเลย


ศาสตร์โบราณเขตลวงของสิงหั่วสวินอีนั้นไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง แม้ชางฉงเทียนอวิ๋นจะสามารถฝืนต้านทานเอาไว้ได้ แต่กลับมักจะแบ่งสมาธิไปเป็นประจำ เมื่อพลังได้รับผลกระทบ ที่สำคัญที่สุดก็คือ อานุภาพการทำลายล้างของ ‘ฟองแตกสลาย’ แข็งแกร่งยิ่งนัก สามฟองที่ทับซ้อนต่อเนื่องกันเพียงพอจะทำร้ายพลังชีวิตของชางฉงเทียนอวิ๋นให้เสียหายได้อย่างแท้จริง ฟองแต่ละฟองปกคลุมชางฉงเทียนอวิ๋นเอาไว้ เขากระแทกออกไปอย่างโมโหครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ขณะที่กระแทกออกไป ฟองก็จะทำร้ายเขาจนได้รับบาดเจ็บเช่นกัน


ที่สำคัญที่สุดก็คือ แต่ละฟองล้วนมีผลในการพันธนาการทั้งสิ้น


การโจมตีระยะไกลของเขาล้วนมิอาจทำให้ ‘ฟอง’ แตกสลายไปได้ การต่อสู้ประชิดตัวของเขาก็มิอาจเข้าใกล้สิงหั่วสวินอีได้ จึงทำได้เพียง ‘เผาผลาญ’ อย่างต่อเนื่องเท่านั้น


“แตกสิ แตกสิ” ชางฉงเทียนอวิ๋นคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว เขาโจมตีฟองที่เข้ามาพันธนาการไม่หยุดอย่างบ้าคลั่ง ฟองโลกาเข้ามาไม่ขาดสาย ทำให้ชางฉงเทียนอวิ๋นรู้สึกทนรับได้ยากยิ่งนัก เขาบุกสังหารออกไปเป็นครั้งคราว แขนขยายออกไปโจมตีสิงหั่วสวินอี ฟองใหม่ก็ร่อนลงมาอีก


สิงหั่วสวินอีก็ระมัดระวังมาก


เพราะหากปะทุออกมา การโจมตีของชางฉงเทียนอวิ๋นรุนแรงเกินไป เกรงว่าเพียงกระบวนท่าหนึ่ง เขาก็อาจจะต้องกระตุ้นสมบัติล้ำค่าคุ้มกายขึ้นมาใช้ เช่นนั้นก็เท่ากับพ่ายแพ้แล้ว


“ร่างกายของเขาก็แข็งแกร่งเกินไปแล้ว” สิงหั่วสวินอีก็รู้สึกว่ากินแรงนัก ‘ฟองแตกสลาย’ เป็นกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา ต้องทุ่มเทอย่างสุดกำลังจึงจะสามารถสำแดงฟองโลกาสามฟองออกมาพร้อมกันได้ ทว่าระดับนี้ก็แค่ทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บได้อย่างพอถูไถเท่านั้น! ความแข็งแกร่งของร่างกายระดับนี้ช่างเย้ยฟ้ายิ่งนัก


การต่อสู้ยกนี้ สิงหั่วสวินอีระมัดระวังมาโดยตลอด มิให้ชางฉงเทียนอวิ๋นเข้าประชิดตัวได้


ส่วนชางฉงเทียนอวิ๋นนั้นราวกับสัตว์ร้ายที่ไร้เทียมทาน เขาก็มิกล้าทำให้ร่างกายใหญ่โตเกินไป เพราะยิ่งร่างกายใหญ่ขึ้น การป้องกันของร่างกายก็จะลดลง ต้องคงร่างกายให้มีขนาดปกติจึงจะมีการป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุด บางครั้งแขนของเขาก็ขยายออกไปหมายจะโจมตีอย่างกะทันหัน


ผ่านไปถึงชั่วจอกชาหนึ่ง


พลังชีวิตของชางฉงเทียนอวิ๋นก็ถูกเผาผลาญไปไม่หยุด ในที่สุดก็ยอมแพ้ไปเอง


“แพ้แล้ว” ชางฉงเทียนอวิ๋นพึมพำ “จากนี้ไปจะต้องคิดหาวิธีทำให้วิถีกายของข้ายกระดับขึ้นอย่างรวดเร็วแล้ว”


ที่ผ่านมาเขาทุ่มเทจิตใจไปกับศาสตร์ลับร่างจักรวาลสิบสองกัลป์ที่เขาได้มาด้วยความบังเอิญ นี่คือศาสตร์ลับของระบบการบำเพ็ญพลรบซึ่งแกร่งที่สุด เป้าหมายของศาสตร์ลับนี้ก็คือใฝ่หาร่างกายที่มีการป้องกันแข็งแกร่งอย่างยิ่งชนิดที่หมื่นกัลป์ไม่แตกสลาย ยิ่งใฝ่หาร่างกายขั้นสุดมากเท่าใด การป้องกันก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น การโจมตีแต่ละกระบวนท่าก็ล้วนแต่แข็งแกร่งมาก เพียงแต่ความเร็วของร่างกายกลับกลายเป็นอ่อนแอมาก นี่ก็คือจุดอ่อนของศาสตร์ลับนี้


“พวกประมุขวังเจียงฝู่ แม่ทัพเทียนกวงและผู้อาวุโสตงป๋อล้วนเคยพูดว่า บำเพ็ญระบบอื่นควบคู่กัน ก็จะสามารถเสริมข้อบกพร่องนี้ได้” ชางฉงเทียนอวิ๋นพึมพำ เวลาหมื่นปีนั้นสั้นเกินไป เขาต้องการเวลาบำเพ็ญที่ยาวนานยิ่งกว่านี้ เชื่อว่าขอเพียงเสริมข้อด้อยนี้ได้ ก็จะนับว่ามีพลังระดับเจดีย์ดาวชั้นที่ห้าทันที


“ชางฉงเทียนอวิ๋น คิดไม่ถึงว่าร่างกายของเจ้าจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ นับถือๆ” สิงหั่วสวินอีรู้สึกนับถือจริงๆ ‘จักรพรรดิสิงหั่ว’ บิดาเขา นอกจากมีชื่อเสียงด้านเปลวเพลิงเป็นที่สุดแล้ว ความแข็งแกร่งของร่างกายระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เก้าก็มีชื่อเสียงมากเช่นกัน ดังนั้นสิงหั่วสวินอีซึ่งบำเพ็ญตามระบบสายโลหิต จึงนับว่ามีร่างกายที่ค่อนข้างแข็งแกร่งเช่นเดียวกัน


แต่เมื่อเทียบกับชางฉงเทียนอวิ๋นแล้ว ก็ด้อยกว่ามากนัก


เขารู้ว่าชางฉงเทียนอวิ๋นจะต้องมีศาสตร์ลับที่ร้ายกาจอย่างแน่นอน แต่ศาสตร์ลับจะนับเป็นอะไรได้เล่า เขา สิงหั่วสวินอีสามารถได้ศาสตร์ลับมากมายมาได้อย่างง่ายดาย บุคคลสำคัญของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ล้วนสามารถได้รับศาสตร์ลับระดับจักรวาล แต่สุดท้ายแล้วผลสำเร็จจะเป็นเช่นไรนั้น ท้ายที่สุดก็ต้องอาศัยตัวผู้บำเพ็ญไปบำเพ็ญเองอยู่ดี


“ข้านับถือเจ้ามากกว่า ในระยะเวลาสั้นๆ เพียงหมื่นปีกลับสามารถยกระดับขึ้นได้มากมายถึงเพียงนี้ ข้ายอมแพ้ทั้งปากทั้งใจ” ชางฉงเทียนอวิ๋นกล่าว


……


แม้สิงหั่วสวินอีและชางฉงเทียนอวิ๋น ผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์สองคนซึ่งโดดเด่นที่สุดในงานชุมนุมใหญ่ดวงดาราครั้งนี้จะกำลังสนทนากันและเดินลงจากเวทีพร้อมกัน


แต่บนแท่นสูง บรรดายักษ์ใหญ่ขั้นอลวนก็อดมองไปทางชายหนุ่มอาภรณ์ขาวซึ่งนั่งอยู่ริมสุดของห้าปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่แวบหนึ่งมิได้ พวกเขาต่างก็รู้ว่างานชุมนุมใหญ่ดวงดาราครั้งนี้ ชื่อของตงป๋อเสวี่ยอิงจะต้องแพร่สะพัดไปในหมู่ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนอย่างแน่นอน เพราะผลงานของเขาโดดเด่นมากจริงๆ


นอกจากนี้ยังมีปริศนามากมาย


สิงหั่วสวินอีมีเบื้องหลังเช่นนั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับสามารถทำให้เขาก้าวหน้าได้มากมายถึงเพียงนั้นในเวลาสั้นๆ เพียงหมื่นปีเลยหรือ จากอันดับที่สามพันหกร้อยกว่าในการคัดเลือกเบื้องต้นของเจดีย์ดาว จนกลายเป็นอันดับหนึ่งของศึกตัดสินในท้ายที่สุด! ช่างน่าเหลือเชื่อนัก!


“ตงป๋อเสวี่ยอิง” น้ำเสียงเฉียบคมลอยมาจากด้านข้าง


ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไป


บรรพชนงูอู่เจ๋อที่อยู่ไกลออกไปด้านข้างยังคงมีสีหน้าเย็นชา เพียงแต่ว่าสายตาของเขาที่มองตงป๋อเสวี่ยอิงกลับเปลี่ยนแปลงไป “ยินดีด้วย สิงหั่วสวินอีที่เจ้าเลือกกลายเป็นอันดับหนึ่งของครั้งนี้จนได้”


“เป็นเพราะตัวเขาเองมีการรับรู้ที่สูงส่งน่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ ทันที เขาก็เข้าใจว่า ด้วยนิสัยของบรรพชนงูอู่เจ๋อแล้ว สามารถเข้ามา ‘แสดงความยินดี’ ด้วยตนเองได้สักประโยคหนึ่งก็หาได้ยากมากแล้ว


บรรพชนงูอู่เจ๋อพูดจบก็หันไปมองเบื้องล่างต่อไป


ผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์สองร้อยคนด้านล่างกำลังได้พลังกลับคืนมา บางคนที่อาการสาหัสก็ยังมียอดฝีมือของงานชุมนุมใหญ่แห่งเจดีย์ดาวเตรียมการรักษาให้


ไม่นานนัก


พวกเขาแต่ละคนก็มุ่งหน้าไปยังเจดีย์ดาวตามลำดับ เพื่อบุกฝ่าเจดีย์ดาว


ผลงานจาก ‘ศึกตัดสิน’ และผลงานจากการบุกฝ่าเจดีย์ดาวสองครั้ง รวมทั้งผลงานจากการขอคำชี้แนะจากปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ในหมื่นปีถัดไป ห้าปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่จะเลือกอีกห้าคนออกมาจากปัจจัยต่างๆ เมื่อรวมกับห้าอันดับแรกจากศึกตัดสิน เป็นทั้งหมดสิบคน พวกเขาสามารถเลือกเข้าร่วมสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งใดก็ได้ในหกแห่งตามใจ และจะกลายเป็นคนสำคัญที่ได้รับการบ่มเพาะอย่างสุดกำลัง


เพียงสองร้อยคน จึงบุกฝ่าเจดีย์ดาวได้รวดเร็วมาก


ระดับเจดีย์ดาวชั้นที่สี่ในครั้งนี้มีถึงสามคน ได้แก่ สิงหั่วสวินอี ชางฉงเทียนอวิ๋นและคั่งหย่ง


ระดับเจดีย์ดาวชั้นที่สามมีหนึ่งร้อยหกสิบเก้าคน ที่เหลืออีกยี่สิบแปดคนล้วนเป็นระดับเจดีย์ดาวชั้นที่สอง


“ตงป๋อ เตรียมตัวให้ดี อีกหมื่นปีให้หลังพวกเจ้ายังต้องสอนวิชาอย่างเปิดเผยอีก” คนทั้งหมดเริ่มลุกขึ้นแล้วจากไป จักรพรรดิสิงหั่ว ตงป๋อเสวี่ยอิงและประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์บินไปเคียงข้างกัน


“ขอรับ”


ตงป๋อเสวี่ยอิงก็รู้สึกผ่อนคลายเป็นอย่างมาก


หมื่นปีถัดไปค่อยเลือกอีกคนก็เป็นอันใช้ได้ แม้อันดับนี้จะสำคัญมาก แต่ความยากกลับไม่มากนัก ถึงตอนนั้น เขาและปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่อีกสี่คนก็จะสอนวิชาให้เหล่าผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนอย่างเปิดเผย  ก็นับว่าเป็นโอกาสอันงามของผู้บำเพ็ญที่อ่อนแอจำนวนนับไม่ถ้วน หลังจากสอนเสร็จแล้ว งานชุมนุมใหญ่ก็จะยุติลงอย่างเป็นทางการ


“อย่างน้อยในงานชุมนุมใหญ่ครั้งนี้ก็มิได้ทำให้วังทวีสูญของข้าเสียหน้า” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ บนใบหน้าก็มีรอยยิ้มประดับเอาไว้


……


งานชุมนุมใหญ่ดวงดาราดำเนินมาถึงช่วงท้ายแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงแห่งวังทวีสูญก็ถูกพูดถึงในหมู่ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนทั้งหลาย และในเวลานี้เอง โลกทิพย์นิจนิรันดร์กลับมีเรื่องที่ทำให้โลกทิพย์ทั้งห้าและอากาศอันสับสนอลหม่านสะท้านสะเทือนเกิดขึ้น


ณ โลกทิพย์นิจนิรันดร์ ภายในภูเขาลึกแห่งหนึ่งมีลานแห่งหนึ่งอยู่


“วิ้ง…”


คลื่นทุ้มต่ำระลอกหนึ่งแพร่ออกไปจากในลาน ดูเหมือนจะไม่สะดุดตานัก


แต่ทั้งลานกลับกลายเป็นซากปรักหักพังไปอย่างไร้สุ้มเสียง ก้อนหินและต้นไม้ใบหญ้ารอบด้านก็เหี่ยวเฉาและพังทลายลงเช่นกัน แต่นี่ก็แค่แสดงให้เห็นถึงความซ่อนคมอย่างสุดขีดของอานุภาพนี้เท่านั้น


บุรุษผมเงินผู้มีเขาสีทอง‘กู่ฉี’ ยืนอยู่กลางลานที่กลายเป็นซากปรักหักพัง ร่างกายของเขาเหมือนจะแตกออกเป็นร้อยๆ เสี้ยว เศษเสี้ยวเหล่านี้ประสานเข้าด้วยกันแล้วกลายเป็นร่างมนุษย์ เพียงแต่บริเวณที่ร่างกายแตกออกกลับมีแสงสีดำขึ้นมา ซึ่งแสงสีดำเหล่านี้ได้แพร่สะพัดออกไปด้านนอกอย่างไม่ขาดสาย นอกจากนี้บนแผ่นอกของเขายังมีรูที่เห็นได้ชัดปรากฏขึ้นด้วย


กู่ฉีกุมรูบนแผ่นอกเอาไว้ แล้วจ้องไปเบื้องหน้าเขม็ง


เบื้องหน้ามีเงาร่างสายหนึ่งยืนอยู่


เขายืนอยู่ตรงนั้น มิติรอบด้านกลายเป็นเงียบสงบและนุ่มนวล โลกรอบด้านล้วนศิโรราบอยู่ตรงหน้าเขา แม้จะกล่าวว่าบรรพชนทิพย์และบรรพชนโลการ่วมกันสร้างโลกทิพย์นิจนิรันดร์สร้างขึ้น แต่เขาอยู่ตรงนี้ โลกรอบด้านกลับศิโรราบต่อเขา


ผิวหนังของเขาขาวซีด เส้นสายบนใบหน้าอ่อนโยน แม้รูปโฉมจะมิได้งดงาม แต่ไม่ว่าบุรุษผู้หล่อเหลาหรือสตรีโฉมงามคนใดอยู่ตรงหน้าเขาก็จะถูกเปรียบเทียบ…รูปโฉมของเขาเหมือนจะแฝงไว้ด้วยกฎเกณฑ์อันสูงส่งส่วนหนึ่งของอากาศอันสับสนอลหม่าน เมื่อเห็นรูปโฉมของเขา ก็เหมือนกับเชยชมกฎเกณฑ์อันสูงส่ง ต่อให้เป็นบรรดาเทพจักรวาลก็อดที่จะรู้สึกเหมือนบุตรได้มองเห็นบิดาอย่างมิอาจควบคุมได้


บนใบหน้าของเขามีรอยยิ้มนุ่มนวล สายตาก็จริงใจนัก เกรงว่าสายตาของสามีที่ผูกสัมพันธ์เป็นสหายร่วมวิถีร่วมเป็นร่วมตายมองดูภรรยา อย่างมากที่สุดก็คงจะจริงใจได้เพียงเท่านี้เอง


“จอมเทพศักดิ์สิทธิ์!” กู่ฉีปริปากอย่างยากลำบาก น้ำเสียงแหบแห้ง ในลำคอมีแสงสีดำแผ่ซ่านไปทั่ว “เพื่อจะสังหารข้า เจ้าช่างสิ้นเปลืองความคิดจิตใจจริงๆ”


“ข้าเพียงแค่ให้เจ้ากลับคืนสู่ความอลหม่านเท่านั้น” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์นุ่มนวลและจริงใจ “ผู้ที่ขัดขวางข้าล้วนต้องกลับสู่ความอลหม่านทั้งสิ้น ส่วนผู้ที่โอนอ่อนตามข้าแล้วศิโรราบต่อข้า ในภายหน้าเมื่อข้าปกครองทั้งอากาศอันสับสนอลหม่านแล้ว ก็จะเรียกตัวเจ้ากลับมาใหม่เจ้าก็จะจงรักภักดีต่อข้าหาใดเปรียบ ถึงตอนนั้นสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนทั่วทั้งอากาศอันสับสนอลหม่านก็จะสนิทสนมกันราวกับครอบครัวเดียวกัน ทุกหนแห่งเต็มไปด้วยความสงบสุขจะดีสักเพียงใดกัน”


จอมเทพศักดิ์สิทธิ์เดินเข้ามาแล้วยื่นมือออกมา ฝ่ามือขาวผ่องนุ่มนวลลูบใบหน้าของกู่ฉี “ข้ามิได้มีจิตคิดสังหารเจ้า และมิได้เกลียดชังแต่อย่างใด เพียงแต่เจ้าขัดขวางข้า ข้าก็ทำได้เพียงให้เจ้ากลับคืนสู่ความอลหม่านชั่วคราวเท่านั้น ไปเถิด ก็เหมือนกับการหลับใหลนั่นแหละ ตอนที่ข้าเรียกเจ้า เจ้าก็จะตื่นขึ้นมาแล้ว”


กู่ฉีคิดจะถอยหนี แต่แสงสีดำได้แผ่ซ่านไปทั่วร่างแล้ว ร่างกายเริ่มค่อยๆ จับตัวแข็ง เขามิอาจเคลื่อนไหวได้เลย แม้แต่ปากก็มิอาจขยับได้


“เรียกข้าหรือ อาศัยแค่เจ้าก็คิดจะควบคุมทั้งอากาศอันสับสนอลหม่านอย่างนั้นหรือ” กู่ฉีควบคุมอากาศแล้วเปล่งเสียงออกมา ผิวหนังทั่วร่างของเขาเริ่มค่อยๆ กลายเป็นก้อนหินสีนิล นัยน์ตาทั้งคู่จับจ้องจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ตรงหน้า


“ไม่มีผู้ใดสามารถขัดขวางข้าได้หรอก เจ้าจะได้เห็นวันนั้นแน่ ถึงตอนนั้น เจ้าก็จะกลายเป็นบุตรชายของข้าแล้ว” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์หันมองไกลออกไป


ไกลออกไปมีเงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้น


บรรพชนทิพย์ยืนอยู่ตรงนั้น  โซ่สีดำเส้นแล้วเส้นเล่ารายล้อมอยู่รอบกายเขา เห็นได้ชัดว่าเตรียมการขั้นสุดเอาไว้แล้ว เขาจ้องมองจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ไกลออกไป


“เรื่องที่ข้าจะทำ มิมีผู้ใดสามารถขัดขวางได้ เจ้าเองก็มิอาจขัดขวางได้เช่นเดียวกัน” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์มองบรรพชนทิพย์ “ผู้ที่ขัดขวาง แม้ข้าจะไม่อดทน แต่กลับทำได้เพียงให้เขากลับสู่ความสับสนอลหม่านไปก่อนชั่วคราวเท่านั้น”


จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ยิ้ม


แล้วก็หายวับไปในโลกทิพย์นิจนิรันดร์เช่นนี้เอง ราวกับไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน


สีหน้าของบรรพชนทิพย์ไม่น่ามองเอาเสียเลย เขาหันไปมองกู่ฉีซึ่งกลายเป็นรูปหยกสลักไป พลางทอดถอนใจเสียงต่ำว่า “กู่ฉี ข้าไม่สามารถรักษาท่านเอาไว้ได้”


กู่ฉีกลายเป็นรูปหยกสลัก วิญญาณก็แข็งค้างไปด้วย ความคิดก็เชื่องช้าลงอย่างรวดเร็ว


“ยังดีที่ข้ามีศิษย์แล้ว”


“เพียงแต่ศิษย์ของข้ายังมิทันได้มาพบท่านเลย”


ความคิดของกู่ฉีช้าลงเรื่อยๆ


ในที่สุดก็หยุดลงอย่างสิ้นเชิง


รูปหยกสลักสีดำไม่มีระลอกคลื่นใดอีกต่อไป ราวกับวัตถุที่ตายไปแล้วอย่างสมบูรณ์ซึ่งยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบเชียบ  สายตาทอดมองไกลออกไป


……


ในที่สุดกู่ฉีก็ถูกจอมเทพศักดิ์สิทธิ์สังหารไป


บรรพชนทิพย์แจ้งข่าวนี้ให้ ‘บรรพชนห้วงอากาศ’ อาจารย์ของกู่ฉีทราบก่อน เมื่อบรรพชนห้วงอากาศทราบข่าวก็ตะลึงงันไปอย่างสิ้นเชิง เขานั่งอยู่คนเดียวลำพังนานแสนนาน เขามีเพียงความรู้สึกเจ็บปวดใจและตำหนิตนเอง ที่เจ็บปวดใจก็เพราะมิอาจลืมวันคืนที่ชี้แนะกู่ฉีลงได้ ศิษย์ผู้รักอิสรเสรี ซึ่งเป็นศิษย์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเขา คนนั้น ที่ตำหนิตนเองก็เพราะอ่อนแอเกินไปจนมิอาจปกป้องศิษย์ได้ หลังจากนั้นติดๆ ข่าวก็ย่อมแพร่ออกไปในหมู่สิ่งมีชีวิตระดับยอดสุดทั้งหลายอย่างรวดเร็ว สิ่งมีชีวิตระดับยอดสุดทั้งหมดต่างก็ล่วงรู้


แม้จะมีบรรพชนทิพย์ขัดขวาง แต่จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ยังคงสังหารเทพจักรวาลไปคนหนึ่งอยู่นั้นเอง ครั้งนี้เทพจักรวาลที่โดนดีมีนามว่า ‘กู่ฉี’


ตอนที่ 27 การตายของกู่ฉี

โดย

Ink Stone_Fantasy

ภายในเมืองราชันย์มีด ตงป๋อเสวี่ยอิงยังคงกำลังชี้แนะผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์ที่มาขอให้ช่วยสอน


“ขั้นรวมเป็นหนึ่งมีความหมายตรงตัว ทั้งหมดรวมกันเป็นหนึ่งเดียว กลายเป็น ‘หนึ่ง’ ‘หนึ่ง’ นี้ก็คือที่สุด ก็เหมือนกับจุดสูงที่สุดและแหล่งที่มา! เรื่องที่เจ้าจำเป็นต้องทำในตอนนี้ พูดให้ง่ายหน่อยก็คือเดินไปให้ถึงขีดสุด!” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปทางผู้บำเพ็ญหญิงที่มีหางเป็นเกล็ดตรงหน้าพลางพูดยิ้มๆ “ไม่ต้องไปคิดถึง ‘เหนือกว่าจุดสูงสุด’ อะไรนั่นเลย ระดับขั้นของเจ้าในตอนนี้ยังต่ำนัก อย่าได้วาดฝันเกินเอื้อม”


“ไขว่คว้าจุดสูงสุดมาให้ได้ก่อน อย่างน้อยก็ไปให้ถึงพลังยุทธ์ระดับชั้นที่ห้าของเจดีย์ดาวจึงจะมีสิทธิ์ไปสำรวจเหนือกว่าจุดสูงสุด” ตงป๋อเสวี่ยอิงบรรยายไปพลาง ใช้มือแสดงไปพลาง “เจ้าดูสิ เคล็ดวิชาของเจ้าสามารถสำแดงได้อย่างสุดยอดขึ้นไปอีก อย่างเช่นแบบนี้…”


ผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์หญิงผู้นี้มองด้วยสายตาเป็นประกาย


ในตอนที่คัดเลือกเบื้องต้นจัดอยู่ในร้อยอันดับแรก นางก็ไม่เคยขอให้ตงป๋อเสวี่ยอิงช่วยสอน ด้วยรู้สึกว่าขั้นรวมเป็นหนึ่งคนหนึ่งไม่คู่ควรให้ขอให้ช่วยสอน แต่การแสดงของสิงหั่วสวินอีทำให้นางมาขอให้ช่วยสอนในตอนนี้ แต่นางกลับค้นพบว่าการชี้แนะของตงป๋อเสวี่ยอิงในด้าน ‘ค่ายสังหาร’ ถึงแม้ว่าจะเรียบง่าย แต่กลับชี้ตรงถึงแก่นแท้ การชี้แนะจึงได้กระชับและตรงจุดยิ่ง


“ตงป๋อ รีบออกมาเร็วเข้า” เสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหูตงป๋อเสวี่ยอิง


ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้งคราหนึ่ง


ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์หรือ


“พูดถึงแค่ตรงนี้ชั่วคราวก่อน ข้ายังมีธุระต้องทำ เจ้ากลับไปก่อนเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงยืดกายลุกขึ้น


“เจ้าค่ะ” ผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์หญิงมิกล้ามากความ รับคำอย่างเชื่อฟัง


ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เดินออกไปจากคูหาในทันที


ด้านนอกประตูคูหา


ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเห็นประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ก็ถ่ายเสียงพูดว่า


“ไป ท่านบรรพชนให้ข้ามาพาเจ้ากลับวังทวีสูญโดยด่วน ข้าก็เลยมาพาเจ้ากลับไป”


“เร่งร้อนถึงเพียงนี้เชียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึง


นี่ยังอยู่ในงานชุมนุมใหญ่ดวงดาราอยู่เลย!


“ไปกันเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังตามไปอย่างเชื่อฟัง ช่วงเวลาชี้แนะผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์เหล่านั้นผ่อนคลายอย่างยิ่ง ถึงอย่างไรผู้ที่ผ่านการคัดเลือกเบื้องต้นทั้งหมดก็มีอยู่เพียงสองร้อยคนเท่านั้น เกรงว่านานๆ ทีจึงจะมีคนมาขอให้ตนสอนสักคนหนึ่ง


……


พวกเขาสองคนไปจากเมืองราชันย์มีด พร้อมกันนั้นประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ก็ทำการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้น ไปถึงยังวังทวีสูญโดยตรง


ณ วังทวีสูญ


ที่พำนักของบรรพชนเทียนอวี๋ เขาเรียกตงป๋อเสวี่ยอิงมาพบตามลำพัง


“ช่างแปลกเสียจริง งานชุมนุมใหญ่ดวงดารายังไม่สิ้นสุดก็เรียกข้ากลับมาแล้วหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเกิดความสงสัยขึ้นในใต เดินอยู่ภายในลานบ้านของที่พักของบรรพชนเทียนอวี๋ เหล่าผู้ดูแลก็มิได้ขัดขวางเลยตลอดทาง เพียงไม่นานก็มาถึงด้านข้างของต้นไม้ใหญ่สูงตระหง่านต้นหนึ่ง ‘บรรพชนเทียนอวี๋’ ชายชราหลังค่อมกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่นั้น


“ท่านบรรพชน” ตงป๋อเสวี่ยอิงทักทายด้วยความเคารพ


บรรพชนเทียนอวี๋มองตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วนิ่งเงียบอยู่ชั่วครู่จึงเอ่ยว่า “มีเรื่องหนึ่งที่จำเป็นต้องบอกเจ้า ปรมาจารย์กู่ฉีของเจ้า เขาสิ้นลมแล้วล่ะ”


ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้งคราหนึ่ง ยืนอยู่ที่เดิมอย่างตกตะลึง


ทว่าในห้วงสมองกลับเต็มไปด้วยเสียงคำรามกึกก้อง


ปรมาจารย์กู่ฉีตายแล้วหรือ


“ทำไม ทำไม…” ตงป๋อเสวี่ยอิงอยากจะพูดขึ้นมาอย่างอดมิได้


“เขาถูกจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ปลิดชีพ เชื่อว่าอีกไม่นานบุคคลระดับสูงของขุมอำนาจดินแดนศักดิ์สิทธิ์แต่ละแห่งก็จะต้องแพร่ข่าวนี้แน่” บรรพชนเทียนอวี๋พูด


ขณะนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงมีความคิดฟุ้งซ่านจำนวนนับไม่ถ้วนพรั่งพรู


พูดถึงความรู้สึก ตอนนั้นยามที่ท่านพ่อท่านแม่ น้องชาย ท่านอาจง ท่านอาถงจากไป นั่นจึงจะเรียกว่าทุกข์ระทมขมขื่น ตอนนั้นจิ้งชิวผู้เป็นภรรยาหมิ่นเหม่จะแตกสลายกระจัดกระจาย เขารู้สึกว่าทั้งโลกล้วนไร้ซึ่งสีสัน…ในหัวใจ อาจารย์ที่ตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่เคยพบหน้ากัน พูดคุยกันตัวเป็นๆ เลยสักครั้งผู้นี้ สำหรับความรู้สึกของตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นก็อ่อนกว่ามากนัก


แต่เขาก็ยังเคารพนับถืออาจารย์ผู้นี้เป็นอย่างมาก


พูดกันอย่างจริงจังแล้ว นับได้ว่าการได้พูดคุยกับปรมาจารย์กู่ฉีจริงๆ ก็มีเพียงแค่ตอนรับถ่ายทอดวิชาที่จักรวาลภูมิลำเนาในครั้งนั้นเท่านั้น อาจารย์ได้ทิ้งร่างแปรเอาไว้ที่นั่นในตอนนั้น


ตอนนั้นร่างแปรเทพจักรวาลอันใหญ่มหึมาหาใดเปรียบกลับพูดจาตั้งมากมายก่ายกอง


“คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่ากู่ฉีของข้าก็จะมีลูกศิษย์กับเขาด้วย”


“ความรู้สึกที่มีลูกศิษย์ช่างน่าอัศจรรย์จริงๆ”


“ข้าเองก็รับศิษย์เป็นครั้งแรก ไม่รู้ว่าควรจะสอนลูกศิษย์อย่างไรดี”


“จนถึงตอนนี้ แม้กระทั่งคำเรียกหาว่าอาจารย์สักคำหนึ่งเจ้าก็ยังมิเคยเรียกเลยกระมัง ถึงแม้ว่าจะมิได้สอนวิชาลับผู้ท่องให้กับเจ้าแต่อย่างใด และข้าก็มิได้เป็นผู้สร้างมันขึ้นมา แต่ดีร้ายอย่างไรข้าก็มีบุญคุณที่ถ่ายทอดให้เจ้า ทั้งยังส่งมอบสมบัติพิทักษ์วิถีให้แก่เจ้าอีกด้วย”


ร่างแปรเทพจักรวาลขนาดมหึมาในตอนนั้นมองดูลูกศิษย์ของตน


“ศิษย์ตงป๋อเสวี่ยอิง คารวะท่านอาจารย์” ตงป๋อเสวี่ยอิงกราบเขาเป็นอาจารย์


ร่างแปรเทพจักรวาลขนาดมหึมาแย้มยิ้มขึ้นมาในขณะนั้น


จากนั้น…


ท่ามกลางอาจารย์จำนวนมากมายบนเส้นทางการบำเพ็ญ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีอาจารย์เพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่งชื่อว่ากู่ฉี ผู้ที่แม้แต่ร่างจริงก็ยังไม่เคยพบเห็นมาก่อน


ส่วนกู่ฉี ในที่สุดก็มีลูกศิษย์กับเขาคนหนึ่ง ทั้งยังเป็นลูกศิษย์เพียงหนึ่งเดียวของเขาอีกด้วย


คราวก่อนที่ตนประมือกับเหลยเหยียน ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วมหาโลกทิพย์ทั้งห้า ปรมาจารย์กู่ฉีเองก็รู้ ถึงขนาดที่รู้ผ่านภาพการต่อสู้ว่าตนได้บำเพ็ญเคล็ดวิชาสืบทอดมังกรปาหลงและเคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดไปควบคู่กันด้วย ทั้งยังส่งวัตถุภายนอกที่จำเป็นในการบำเพ็ญเคล็ดวิชาสืบทอดทั้งสองศาสตร์นี้มาให้อีกด้วย


ตอนนั้นก็เหลือเพียงแค่ภาพมายาท่อนหนึ่งทิ้งเอาไว้เท่านั้น


“ฮ่าฮ่า ศิษย์เพียงคนเดียวของข้า กู่ฉีผู้นี้ช่างร้ายกาจอะไรเช่นนี้ อยากจะโอ้อวดกับผู้เฒ่าคนอื่นๆ สักหน่อยจริงๆ น่าเสียดายที่เรื่องที่เจ้าเป็นศิษย์ของข้านี้ตอนนี้ยังต้องปิดเป็นความลับ ข้าเองก็ยังไม่เหมาะที่จะมาพบเจ้า รอให้เรื่องวุ่นวายนี้ผ่านไปแล้วพวกเราศิษย์อาจารย์ค่อยมานั่งดื่มกันให้ดีๆ สักหลายจอก มาบำเพ็ญกัน อย่าได้เฉื่อยชา! เอาล่ะ ไม่พูดมากความแล้ว”


ภาพมายาในตอนนั้นช่างเรียบง่าย


ตอนนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงยังเคยคิดว่ารอให้ตนแกร่งกล้าขึ้นกว่านี้ก่อน รอสักวันที่ไม่จำเป็นต้องเก็บเรื่องที่ตนคือลูกศิษย์ของกู่ฉีเป็นความลับแล้วว จะต้องไปกราบคารวะท่านอาจารย์ พูดคุยสนทนากับท่านอาจารย์ แล้วดื่มด้วยกันสักหลายจอก


……


ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่ที่นั่น ในใจยากเกินทนรับ เขาสามารถรู้สึกได้ว่าปรมาจารย์กู่ฉีมีความรักใคร่ทะนุถนอมผูกพันกับเขาเป็นอย่างยิ่งจริงๆ ถึงขนาดกลัวว่าตงป๋อเสวี่ยอิงจะติดร่างแหไปด้วย จึงได้เก็บความสัมพันธ์ศิษย์อาจารย์เอาไว้เป็นความลับมาโดยตลอด


ในโลกอันไพศาลแห่งนี้ กว้างใหญ่ไร้ขอบเขต


แต่ผู้ที่รักใคร่ทะนุถนอมตนจากก้นบึ้งของหัวใจอย่างแท้จริง เห็นตนเป็นดังญาติใกล้ชิด จะมีสักกี่คนกันเล่า


แต่ทว่าตอนนี้ คนผู้นั้นไม่มีอีกแล้ว!


“เฮ้อ”


บรรพชนเทียนอวี๋เองก็ทอดถอนใจเสียงหนึ่ง


เทพจักรวาล ตั้งแต่โลกทิพย์โบราณดั้งเดิมจนถึงตอนนี้มีเทพจักรวาลถือกำเนิดขึ้นมาแค่เพียงเท่านั้น ถึงแม้ว่าจะตายไปจำนวนหนึ่งแล้ว แต่การตกต่ำของเทพจักรวาลทุกคนต่างก็เป็นเรื่องใหญ่ที่สนั่นฟ้าสะเทือนดิน ถึงแม้ว่าเขา บรรพชนเทียนอวี๋จะมีพลังยุทธ์แข็งแกร่งกว่ากู่ฉีอยู่บ้าง แต่ก็เป็นเพียงแค่ระดับขั้นที่สามเท่านั้น ตลอดระยะเวลาอันยาวนานคนทั้งสองก็เป็นสหายที่ดีต่อกัน ตอนนี้กู่ฉีตายไปแล้ว เขาก็รู้สึกโศกเศร้านัก“พรึ่บ” บรรพชนเทียนอวี๋พลิกมือคราหนึ่ง ในมือก็มีตราประทับสีทองอันหนึ่งปรากฏขึ้น


“ตงป๋อเสวี่ยอิง” บรรพชนเทียนอวี๋เอ่ยปาก “ท่านอาจารย์ของเจ้าก็รู้ว่าเขาทำให้จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ไม่พอใจอย่างร้ายกาจจริงๆ ด้วยอุปนิสัยของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์แล้วย่อมไม่มีทางวางเฉยอย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าเขาจะคิดหาวิถีทางรักษาชีวิตรอด แต่ภายใต้ความบ้าคลั่งของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็เกรงว่าคงยากที่จะรักษาชีวิตเอาไว้ได้ ดังนั้นเขาจึงได้เก็บสะสมสมบัติล้ำค่าของเขาเอาไว้กับปรมาจารย์บรรพชนห้วงอากาศ ถึงแม้ว่าตัวตายก็มิอาจประมาทจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ได้”


“หลังจากที่เขามีเจ้าเป็นลูกศิษย์เพียงหนึ่งเดียวแล้ว ก็ได้ฝากฝังเอาไว้ว่าถ้าหากตัวตายก็ให้ยกสมบัติล้ำค่าของเขาให้เจ้าสืบทอดต่อไป”


“บรรพชนห้วงอากาศส่งมันมาให้แล้ว”


“ตอนนี้มันก็เป็นของเจ้าแล้วล่ะนะ” บรรพชนเทียนอวี๋พูด


ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูตราประทับสีทองในมือของบรรพชนเทียนอวี๋ชิ้นนั้น แต่ในใจกลับยิ่งยากจะทนรับได้ ทิ้งสมบัติล้ำค่าเอาไว้ให้ตน เห็นได้ชัดว่าปรมาจารย์กู่ฉีเห็นเขาเป็นคนในครอบครัว


“ไม่สมควรเลย”


ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะ “ไม่สมควรเลย ตอนนั้นท่านอาจารย์หนีเอาชีวิตรอดมาได้ตลอด เตร็ดเตร่ไปทั่วอากาศอันสับสนอลหม่าน ตอนนั้นก็มิได้มีบรรพชนทิพย์คุ้มครอง เขาตัวคนเดียวก็สามารถหนีมาได้เป็นเวลาเนิ่นนาน จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่สามารถสังหารเขาได้! เขามีบรรพชนทิพย์ช่วยเหลือ เหตุใดจึงกลับกลายเป็นสิ้นชีพไปเสียได้เล่า”


……………………………………


ตอนที่ 28 ร่างแปรทิพย์โบราณ

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลบหนีตามลำพังก็สามารถมีชีวิตอยู่มาได้เนิ่นนานถึงเพียงนั้น พอมีบรรพชนทิพย์คุ้มครองกลับกลายเป็นสิ้นชีพไปเสียได้


“เรื่องนี้ก็จริงอยู่” บรรพชนเทียนอวี๋ส่ายศีรษะเบาๆ “เฮ้อ ตอนนั้นท่านอาจารย์ของเจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้วหลบหนีไป จอมเทพศักดิ์สิทธิ์เองก็เคยไล่ล่าสังหารท่านอาจารย์ของเจ้ามาหลายครั้ง แต่ทุกครั้งล้วนล้มเหลวทั้งสิ้น จอมเทพศักดิ์สิทธิ์คิดว่า…ท่านอาจารย์ของเจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนั้น คาดว่าคงจะทนไม่ไหวแล้วตายไป ทั้งยังไม่อยากทุ่มเทมากเกินไปนัก แต่ว่าท่านอาจารย์ของเจ้าเป็นถึงผู้ท่องอากาศ พลังชีวิตแข็งแกร่งเป็นที่สุด ระหว่างวันเวลาที่หลบหนีก็ค่อยๆ ฟื้นฟูขึ้นมาได้”


“ถึงแม้ว่าสองสำนักใหญ่จะมีเทพจักรวาลอยู่ด้วยกันทั้งหมดสามท่าน แต่มีเพียงแค่จอมเทพศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่จะสามารถคุกคามชีวิตของท่านอาจารย์ของเจ้าได้จริงๆ ท่านอาจารย์ของเจ้าเองก็ไม่อยากระแวดระวังอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นจึงได้มาขอให้บรรพชนทิพย์ช่วยเหลือในท้ายที่สุด”


ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังอย่างตั้งใจ


สองสำนักใหญ่ ลัทธิจอมมารดามีเทพจักรวาล ‘จอมมารดา’ อยู่เพียงคนเดียว แต่นั่นก็คือบุคคลที่เป็นรองเพียงแค่จอมเทพศักดิ์สิทธิ์เพียงคนเดียวเท่านั้น สามารถต่อกรกับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ซึ่งๆ หน้าได้


สำนักทิพย์โบราณ นอกจากจอมเทพศักดิ์สิทธิ์แล้วยังมีเทพจักรวาลอีกท่านหนึ่งก็คือ ‘เทพอสนีบาต’ เทพอสนีบาตเป็นเพียงคนเดียวในบรรดาผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนที่สวามิภักดิ์ต่อจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ที่สำเร็จเป็นเทพจักรวาล แน่นอนว่าเป็นเพียงแค่ระดับขั้นที่สามเท่านั้น เป้นภัยต่อเหล่าเทพจักรวาลจำนวนมากมายนั้นเพียงน้อยนิดเท่านั้น


“ยามที่ท่านอาจารย์ของเจ้าหลบหนีก็ระแวดระวังอยู่ตลอดเวลา”


“พอรับสัมผัสได้ถึงการจู่โจมก็กระตุ้นวัตถุคุ้มกันชีพในทันที นอกจากนี้ก็ยังทำการเคลื่อนที่ผ่านอากาศไปยังสถานที่อันห่างไกลในทันทีอีกด้วย” บรรพชนเทียนอวี๋พูด “ถึงแม้ว่าพลังยุทธ์ของเขาจะห่างชั้นกับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์อยู่มากโข แต่เหล่าเทพจักรวาลต่างก็มีวัตถุคุ้มกันชีพกันคนละชิ้นสองชิ้น หากไม่มีก็สามารถขอให้บรรพชนทิพย์ช่วยหลอมให้ได้ โดยทั่วไปต่างก็สามารถต้านทานได้หลายอึดใจเลยทีเดียว”


“เขาสำเร็จเป็นเทพจักรวาลในด้านวิถีผู้ท่องอากาศ ทางด้านอากาศ บรรพชนห้วงอากาศเป็นที่หนึ่ง เขาเป็นที่สอง ก็ย่อมต้องเหนือกว่าจอมเทพศักดิ์สิทธิ์อยู่แล้ว”


“ดังนั้นการลอบโจมตีหลายต่อหลายครั้งของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ต่างก็ถูกท่านอาจารย์ของเจ้าต้านทานเอาไว้ได้ในทันที แล้วหลังจากนั้นก็เคลื่อนที่ผ่านอากาศหลบหนีไปยังสถานที่อันห่างไกล พูดถึงการหนีเอาชีวิตรอด เขาก็ยังร้ายกาจยิ่งนัก”


“เพียงแต่ความที่มิกล้าปล่อยวางเลยตลอดเวลานั้นช่างเหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน” บรรพชนเทียนอวี๋เอ่ยอย่างทอดถอนใจ


“ในที่สุดบรรพชนทิพย์ก็ช่วยเหลือ” บรรพชนเทียนอวี๋พูด “บรรพชนทิพย์เชี่ยวชาญทางด้านค่ายกลเป็นที่สุด เขาติดตั้งค่ายกลขึ้นเพื่อท่านอาจารย์ของเจ้า ต่อให้จอมเทพศักดิ์สิทธิ์อยากจะทำลายก็เกรงว่าจำเป็นต้องใช้เวลาอย่างน้อยก็หลายอึดใจ ส่วนโลกทิพย์นิจนิรันดร์นั้นเป็นสิ่งที่บรรพชนทิพย์และบรรพชนโลกาสร้างขึ้น ขอเพียงแค่ค่ายกลประสบกับการโจมตี บรรพชนทิพย์ก็สามารถไปถึงได้ในทันที มีบรรพชนทิพย์ขัดขวาง จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่มีหวังที่จะสังหารท่านอาจารย์ของเจ้าได้เลย”


“ตามสามัญสำนึกแล้วท่านอาจารย์ของเจ้าก็ปลอดภัยเป็นอย่างยิ่ง”


“น่าเสียดาย…”


“ท่านอาจารย์ของเจ้าล่วงเกินจอมเทพศักดิ์สิทธิ์อย่างสาหัสนัก จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ลงทุนใช้พลังต้นกำเนิดจักรวาลของ ‘ร่างแปรทิพย์โบราณ’ อย่างไม่เสียดาย หลอมเป็น ‘หอกหยกทะมึน’ ออกมา หอกหยกทะมึนผ่านทะลุทะลวงค่ายกลของบรรพชนทิพย์ได้ในทันที แล้วทิ่มแทงเข้าสู่ร่างกายของท่านอาจารย์ของเจ้า” บรรพชนเทียนอวี๋ส่ายศีรษะ “ทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นในชั่วพริบตาเท่านั้น ท่านอาจารย์ของเจ้ากระตุ้นวัตถุคุ้มกันชีพก็ยังถูกแทงทะลุเช่นกัน จนเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ”


“ร่างแปรทิพย์โบราณ หอกหยกทะมึนอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยถาม


“สิ่งเหล่านี้แฝงไว้ด้วยความลับบางอย่าง ขั้นอลวนก็ล่วงรู้เพียงบางส่วนเท่านั้น” บรรพชนเทียนอวี๋พูด “เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าจอมเทพศักดิ์สิทธิ์นั้นเคยก่อสงครามขึ้นหลายครั้ง แต่ ‘โลกทิพย์โบราณ’ ที่มั่นของเขากลับต้องการการรักษาการณ์ พลังยุทธ์ของเทพอสนีบาตนั้นรักษาการณ์ไม่ไหว เจ้าเดาสิว่าร่างจริงของเขาทำสงครามอยู่ข้างนอก แล้วใครเล่าที่อยู่รักษาการณ์โลกทิพย์โบราณ”


ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้งคราหนึ่ง


ใช่แล้ว


ด้วยความแค้นระหว่างโลกทิพย์ทั้งสามและสองสำนักใหญ่ ถ้าหากโลกทิพย์โบราณไม่มีผู้แกร่งกล้าขั้นสูงสุดรักษาการณ์ก็คงจะถูกผลาญทำลายไปนานแล้ว


“นี่ก็ต้องพูดถึงเคล็ดวิชาศาสตร์โบราณของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์แล้ว” บรรพชนเทียนอวี๋พูด “พรสวรรค์ของศาสตร์โบราณมีทั้งแข็งแกร่งและอ่อนแอ พรสวรรค์ของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์นั้นสามารถทำให้ร่างแปรร่างหนึ่งของเขากลายเป็นศูนย์กลางแห่งศรัทธาของทั้งสำนักได้ สามารถทำให้แรงศรัทธาจำนวนนับไม่ถ้วนเปลี่ยนแปรเป็นพลังต้นกำเนิดจักรวาลของอากาศอันสับสนอลหม่าน พลังต้นกำเนิดจักรวาลคือพลังที่น่าหวาดหวั่นยิ่งกว่าพลังเทพจักรวาลเสียอีก ระยะเวลายาวนาน แรงศรัทธาจำนวนนับไม่ถ้วนก็ถูกเปลี่ยนแปรอย่างไม่หยุดหย่อน เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับร่างแปรร่างนั้นอย่างต่อเนื่อง ร่างจริงของเขาก็สามารถยกระดับขึ้นได้ด้วยเหตุนี้เช่นเดียวกัน อ้างอิงจากการประเมินการต่อสู้ของพวกเรา ร่างแปรร่างนั้นกับเขามีพลังยุทธ์สูสีกับร่างจริงเลยทีเดียว”


“ร่างแปรร่างนี้รวบรวมพลังต้นกำเนิดจักรวาลเอาไว้จำนวนนับไม่ถ้วน เป็นศูนย์กลางแห่งศรัทธาของทั้งสำนักทิพย์โบราณ แล้วถูกพวกเราเรียกว่าเป็นร่างแปรทิพย์โบราณ”


“ร่างแปรทิพย์โบราณเปล่งรัศมีทุกค่ำคืน ระยิบระยับไปทั่วทั้งโลกทิพย์โบราณ สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนศรัทธากันอย่างสุดใจ ถึงขนาดที่เขาดูเหมือนจะเป็นหนึ่งเดียวกันกับทั้งโลกทิพย์โบราณ เขาอยู่ในโลกทิพย์โบราณพลังยุทธ์ก็ยิ่งแข็งแกร่ง พวกเราก็ไม่มีทางทำลายโลกทิพย์โบราณได้เลย”


ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า


“และจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็มีเคล็ดวิชาอันร้ายกาจเป็นที่สุดอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือใช้พลังต้นกำเนิดจักรวาลที่ร่างแปรทิพย์โบราณสะสมไว้มาหลอมเป็นอาวุธล้ำค่า แน่นอนว่าอาวุธล้ำค่านั้นเป็นแบบใช้ครั้งเดียว พอพลังต้นกำเนิดจักรวาลที่อยู่ข้างในถูกใช้หมดไปก็ไม่มีอีกแล้ว” บรรพชนเทียนอวี๋พูด “หอกหยกทะมึน เป็นอาวุธลับที่มีชื่อเสียงเลื่องลือ หอกหยกทะมึนเล่มหนึ่ง เกรงว่าคงจะสูบพลังต้นกำเนิดจักรวาลของร่างแปรทิพย์โบราณไปส่วนสองส่วนเลยทีเดียว ต้องรู้ไว้ว่าร่างแปรทิพย์โบราณจะต้องคงพลังต้นกำเนิดจักรวาลเอาไว้อย่างน้อยครึ่งหนึ่ง มิฉะนั้นพลังยุทธ์ก็จะลดต่ำลงได้”


“พลังต้นกำเนิดจักรวาลส่วนสองส่วนนี้ จอมเทพศักดิ์สิทธิ์สะสมมาไม่รู้เนิ่นนานเท่าใดแล้ว”


“เขาไม่มีวิธีการอื่น ทั้งยังชิงชังท่านอาจารย์ของเจ้าเป็นที่สุด ดังนั้นจึงได้ทำเช่นนี้” บรรพชนเทียนอวี๋ส่ายศีรษะ


“เหตุใดจึงได้ชิงชังถึงเพียงนี้เล่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยถามอย่างอดมิได้


บรรพชนเทียนอวี๋ลังเลอยู่ชั่วครู่ เพราะมีความลับมากมายเหลือเกินที่อยู่เบื้องหลังสิ่งนี้ เขาเอ่ยอย่างคลุมเครือประโยคหนึ่ง “มีเรื่องที่เกี่ยวพันมากมายเหลือเกิน เจ้ารู้ไว้เพียงว่าเขาทำให้แผนการของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์กลายเป็นความว่างเปล่า ในอดีตจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ใช้พลังต้นกำเนิดจักรวาลอย่างเสียมิได้ แต่แผนการกลายเป็นอากาศธาตุ ก็ได้แต่ทำให้เขาเกิดเพลิงโทสะ จึงได้ใช้หอกหยกทะมึนทำลายค่ายกลของบรรพชนทิพย์สังหารกู่ฉี เห็นได้ชัดว่าจอมเทพศักดิ์สิทธิ์มิได้มีความอดทนอดกลั้นดังเช่นในอดีตอีกต่อไปแล้ว”


“เอาล่ะ ไม่พูดแล้ว สิ่งที่ท่านอาจารย์ของเจ้าผู้นี้เหลือทิ้งเอาไว้ให้เจ้า เจ้าก็เก็บไว้ให้ดีเถิด” บรรพชนเทียนอวี๋จิตใจวูบไหว ตราประทับทองอันนั้นก็ลอยไปยังเบื้องหน้าของตงป๋อเสวี่ยอิง


ตงป๋อเสวี่ยอิงมองตราประทับทองอันนี้ หลังจากยื่นมือไปรับมาแล้วก็เริ่มต้นหลอมรวม


ขณะที่หลอมรวม น้ำเสียงสายหนึ่งก็ลอยเข้าสู่โสตประสาท


“ศิษย์เอ๋ย ตอนนี้กลัวว่าข้าจะตายไปเรียบร้อยแล้ว เจ้าก็อย่าได้น้อยใจไป ข้าซ่อนตัวอยู่ภายในค่ายกลของบรรพชนทิพย์มาโดยตลอด จอมเทพศักดิ์สิทธิ์อยากจะสังหารข้าก็ต้องสูญเสียเป็นมูลค่ามหาศาลนัก”


“ยังมีสิ่งที่เจ้าต้องจำเอาไว้ให้ดี เจ้าอย่าได้คิดจะจะแก้แค้นอะไรให้ข้า พลังยุทธ์เพียงแค่นี้ของเจ้า จอมเทพศักดิ์สิทธิ์สูดลมหายใจเฮือกหนึ่งก็สามารถผลาญทำลายเจ้าได้แล้ว”


“ข้ากู่ฉีก็มีเจ้าเป็นลูกศิษย์อยู่เพียงคนเดียว บำเพ็ญให้ดีๆ เป็นหน้าเป็นตาให้ข้าสักหน่อย รอให้ถึงเวลาที่เจ้ากลายเป็นเทพจักรวาล ทั้งยังเป็นระดับขั้นที่สอง เจ้าก็สามารถประกาศกับโลกภายนอกได้ว่าเจ้าเป็นลูกศิษย์ของข้า กู่ฉี!”


“ก่อนจะไปถึงจุดนั้น จำเป็นจะต้องเก็บเรื่องที่เจ้าเป็นลูกศิษย์ของข้าเป็นความลับตลอดไป”


เสียงนั้นเลือนหายไป


ตงป๋อเสวี่ยอิงกุมตราประทับทองเอาไว้อย่างเงียบงันเป็นเวลาเนิ่นนาน


“จะต้องมีวันนั้นแน่ ผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนแห่งมหาโลกทิพย์ทั้งห้าและอากาศอันสับสนอลหม่านจะต้องได้รู้ว่าข้า ตงป๋อเสวี่ยอิง เป็นลูกศิษย์ของผู้ท่องอากาศกู่ฉี!” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบเอ่ยพึมพำในใจ “ยังมีอีก ข้าจะต้องล้างแค้นให้ท่านอย่างแน่นอน ข้ารู้ตัวว่าพลังยุทธ์อ่อนแอ แต่จะต้องมีสักวันที่ข้าแกร่งกล้า มีวันที่ข้ามีคุณสมบัติพอที่จะต่อกรกับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์แน่”


ตรวจดูตราประทับทองคราหนึ่ง


ตราประทับทอง เดิมทีตัวมันก็คือสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ชั้นจักรวาล ภายในก็มีวัตถุวิเศษที่ใช้สร้างวิญญาณขึ้นมาใหม่อยู่เป็นจำนวนมาก ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นสมบัติล้ำค่าทั้งหมดที่เทพจักรวาลคนหนึ่งเหลือทิ้งเอาไว้ ถึงแม้ว่ากู่ฉีจะเป็นเพียงแค่เทพจักรวาลระดับขั้นที่สาม พูดถึงพื้นฐานพลังยุทธ์ก็อ่อนแอกว่าพวกบรรพชนเทียนอวี๋และบรรพชนห้วงอากาศอยู่พอสมควร แต่สิ่งล้ำค่าจำนวนมากมายรวมกันขึ้นมา ตงป๋อเสวี่ยอิงก็สามารถประเมินได้ว่ามีมูลค่าราวๆ สามแสนหกหมื่นศิลาปฐมโลกา


ช่างน่าพรั่นพรึงอย่างแท้จริง


“ท่านบรรพชน” ตงป๋อเสวี่ยอิงโบกมือคราหนึ่ง ก้อนหินสีดำขลับก้อนหนึ่งและเกราะสีแดงเพลิงชุดหนึ่งก็ถูกเขาหยิบออกมา พอมันปรากฏขึ้น ห้วงมิติโดยรอบก็พังทลายลงในทันที ถึงขนาดที่การพังทลายขยายไปยังพื้นที่โดยรอบด้วย ตงป๋อเสวี่ยอิงควบคุมอาณาเขตกฎเกณฑ์ของตนกดดันก้อนหินก้อนนี้ในทันที ก็ย่อมก่อให้เกิดพลานุภาพขึ้นมา


และหลังจากที่เกราะสีแดงเพลิงปรากฏขึ้นมา ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยื่นมือไปคว้าเอาไว้ ชุดเกราะชุดนี้ดูเหมือนจะธรรมดา แต่พละกำลังกลับยิ่งใหญ่จนถึงขั้นอุกอาจ ด้วยตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นผู้ท่องอากาศ ทั้งยังมีกำลังกายจากการบำเพ็ญเคล็ดวิชาสืบทอดมังกรปาหลง พอมือคว้าเอาไว้แล้วก็ยังรู้สึกว่าแขนมีความสั่นสะท้านอยู่บ้าง ถ้าหากแรงกว่านี้ก็เกรงว่าจะคว้าเอาไว้ไม่อยู่แล้ว


“สองชิ้นนี้ล้ำค่าเป็นที่สุด ยังขอให้ท่านบรรพชนได้โปรดช่วยข้าเก็บเอาไว้ด้วย ถ้าหากข้า ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่ระวังแล้วเอาชีวิตไปทิ้ง ก็มิอาจเอาเปรียบคู่ต่อสู้ได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด นี่ล้วนเป็นสิ่งที่เทพจักรวาลเท่านั้นจึงจะสามารถใช้ได้ ตนเองพกไปก็ไม่มีประโยชน์อันใด


“ได้สิ”


บรรพชนเทียนอวี๋พยักหน้า “เอาอย่างนี้ ข้าช่วยเก็บเอาไว้ให้เจ้าแล้วกัน สองชิ้นนี้คิดให้เจ้าสามแสนศิลาปฐมโลกา ในภายหน้าหากต้องการซื้อสมบัติล้ำค่าราคาแพง ไม่เหมาะสมที่เจ้าจะออกหน้า  แต่ให้มาหาข้าให้ช่วยเจ้าซื้อโดยตรง ก็จะหักออกจากสามแสนศิลาปฐมโลกานี้”


“ขอบคุณท่านบรรพชนขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยขึ้นในทันใด


……


ในวันนั้นเอง


ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ก็พาตงป๋อเสวี่ยอิงกลับไปยังเมืองราชันย์มีด ไปเป็นปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ เขายังมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่อยู่


ภายในเมืองราชันย์มีด


เรือนพักแต่ละแห่งที่ตั้งเรียงรายกันก็คือสถานที่ที่เมืองราชันย์มีดให้แขกเหรื่อพักอาศัยโดยเฉพาะ เหล่ายักษ์ใหญ่ขั้นอลวนก็พักอยู่ในเรือนพักเหล่านี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็อาศัยอยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน


ยามที่ตงป๋อเสวี่ยอิงและประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์เคียงไหล่กันกลับมา


“ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ ผู้อาวุโสตงป๋อ รีบมานี่เร็วเข้า”


มีขั้นอลวนสามคนกำลังดื่มสุราสนทนากันอยู่ที่ยอดเนินเขาแห่งหนึ่ง เมื่อเห็นตงป๋อเสวี่ยอิงและประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ที่เหินทะยานอยู่กลางเวหาก็เรียกเอาไว้ในทันที ตงป๋อเสวี่ยอิงและประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ก็ย่อมมิอาจเพิกเฉยแล้วร่อนลงไปในทันที


“ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ ท่านได้ยินมาแล้วหรือไม่ เพิ่งจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นเรื่องหนึ่ง ผู้ท่องอากาศผู้อาวุโสกู่ฉีตายแล้ว ถูกจอมเทพศักดิ์สิทธิ์สังหาร”


“อะไรนะ ผู้อาวุโสกู่ฉีตายแล้วอย่างนั้นหรือ” ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์เอ่ยอย่างตกตะลึง ถึงแม้ว่าเขาจะพาตงป๋อเสวี่ยอิงกลับไป แต่เขากลับมิได้ล่วงรู้เรื่องนี้เลยจริงๆ


“ผู้อาวุโสกู่ฉีอยู่ที่โลกทิพย์นิจนิรันดร์ มีบรรพชนทิพย์คุ้มครองอยู่แล้วสิ้นชีพได้อย่างไรกัน”


“ตอนนี้ยังรู้อะไรไม่มากนัก ข้าเองก็เพิ่งได้ยินมาว่าผู้อาวุโสกู่ฉีตายแล้ว จอมเทพศักดิ์สิทธิ์สังหารเขาได้อย่างไรนั้นก็ยังไม่กระจ่างชัด คาดว่าคงลงทุนไปไม่น้อยเลยกระมัง”


ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์และเหล่ายักษ์ใหญ่ขั้นอลวนทั้งสามต่างก็วิพากษ์วิจารณ์กันในทันที


ต่างก็คาดเดากันไปต่างๆ นานา


ตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ด้านข้างก็มิได้พูดสอดแทรกแต่อย่างใด เพียงแค่ฟังอย่างเงียบๆ พวกเขายักษ์ใหญ่ขั้นอลวนทั้งสี่คนก็มิได้ใส่ใจมากมายสักเท่าใดนัก สำหรับพวกเขาแล้วตงป๋อเสวี่ยอิงผู้ที่มีระยะเวลาในการบำเพ็ญแสนสั้น ทั้งยังเป็นเพียงขั้นรวมเป็นหนึ่งเท่านั้น ความเข้าใจเกี่ยวกับการต่อสู้ของบรรดาสิ่งมีชีวิตขั้นสุดยอดก็คงจะน้อยนัก


แต่พวกเขากลับไม่รู้เลยว่า…


ตงป๋อเสวี่ยอิงที่ยืนอยู่ข้างกายพวกเขาก็คือลูกศิษย์เพียงหนึ่งเดียวของกู่ฉี


…………………………………………….

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)