Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 30 ตอนที่ 23-24
ตอนที่ 23 สายตา
โดย
Ink Stone_Fantasy
ตงป๋อเสวี่ยอิงออกจากที่พำนักของเจ้าลัทธิภาพจิตกลับมายังคูหาของตน เพิ่งจะนั่งลงแล้วหยิบสุราสะสมชั้นเลิศอันล้ำค่าออกมาไหหนึ่ง ยังไม่ทันได้รินสุรา ทหารรักษาการณ์ก็เข้ามาในลานแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ผู้อาวุโส ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ขอพบขอรับ”
“ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์หรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้งแล้วรีบยืดกายขึ้นทันที เพิ่งก้าวออกไปได้ไม่กี่ก้าว ก็มาถึงนอกประตูจวนแล้ว
“ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์จะมาพบข้า แค่ส่งสารมา ข้าก็ต้องรีบไปทันทีแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเพิ่งพูดออกไปได้ไม่กี่คำ กลับสังเกตเห็นว่าบนใบหน้าสีคล้ำของประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ซึ่งยืนอยู่หน้าประตู ยามนี้ไม่มีรอยยิ้มอยู่เลยสักนิดเดียว เขามองตงป๋อเสวี่ยอิงแวบหนึ่งอย่างสงบด้วยสายตาเย็นชา จากนั้นก็เดินเข้าไปข้างใน “พวกเราเข้ามาสนทนากันเถิด”
ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้งเล็กน้อย ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์เหมือนจะมีอะไรไม่ชอบมาพากล
จากนั้นประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ก็เดินเข้าไปข้างในพร้อมกัน ตงป๋อเสวี่ยอิงยังพูดอย่างกระตือรือร้นว่า “การคัดเลือกผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์ในงานชุมนุมใหญ่ดวงดารา แม้ภารกิจจะเรียบง่าย แต่ข้ากลับมิกล้ารอช้า เพราะถึงอย่างไรก็ต้องเปิดเผยสู่ภายนอก จะทำอะไรก็ต้องให้งดงามสักหน่อย บัดนี้รายนามถูกกำหนดออกมาแล้ว ข้าก็สบายใจแล้วเพิ่งจะหยิบสุราสะสมชั้นเลิศอันล้ำค่าซึ่งหมักจาก ‘ใบม่ายเฟิง’ ในยุคโลกทิพย์โบราณดั้งเดิมออกมาไหหนึ่ง ยังไม่ทันได้ดื่ม ท่านประมุขตำหนักก็มาแล้ว ท่านต้องดื่มเป็นเพื่อนข้าสักหลายจอกนะขอรับ”
“ทำเรื่องได้งดงามนักนี่ เจ้าสบายใจหรือยังล่ะ” ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์หยุดลงแล้วหันไปมองตงป๋อเสวี่ยอิง
ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้ง
“เจ้ารู้สึกว่างดงามนักหรือ” ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ถามซ้ำอีก
“เนื่องจากปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่อีกสี่ท่านส่งรายนามไปก่อน ข้าจะเลือกซ้ำกับพวกเขามิได้ ดังนั้นจึงได้แก้ไขอยู่หลายครั้ง ทว่าผู้ที่เลือกมาก็ใช้ได้มากทีเดียวทั้งนั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว
“ใช้ได้มากทีเดียวทั้งนั้นหรอื”
ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์พยักหน้าน้อยๆ “สิงหั่วสวินอีผู้นั้น เจ้ามองเขาอย่างไร”
“เขาดีมาก ดีมากๆ เลยทีเดียว เป็นคนที่ดีที่สุดคนหนึ่งที่ข้าเลือกในรายนามครั้งนี้เลยทีเดียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเห็นสีหน้าของประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ก็กระจ่างแจ้งขึ้นมาทันที เขาพูดพลางหัวเราะว่า “ฮ่าฮ่า ท่านประมุขตำหนักโมโหเพราะข้าเลือกสิงหั่วสวินอีหรือ กังวลว่าข้าจะประจบประแจงจักรพรรดิสิงหั่วโดยไม่รักษาหน้าเลยใช่หรือไม่ ข้าจะเป็นคนพรรค์นั้นได้อย่างไรกัน ประมุขตำหนักวางใจให้เต็มที่เถิด ท่านมิใช่ปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ คงจะไม่ทราบว่าความก้าวหน้าของสิงหั่วสวินอีในพันปีนี้น่าตกใจเพียงใด”
“น่าตกใจหรือ” ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์สะดุ้ง เขาพอฟังออกว่าตงป๋อเสวี่ยอิงมั่นอกมั่นใจพอตัว เพลิงโทสะที่มีอยู่แต่เดิมกลับกลายเป็นความสงสัย “เขาจะมีความก้าวหน้าอะไรได้ที่ผ่านมาบำเพ็ญมาห้าแสนกว่าล้านปีก็มีผลสำเร็จเพียงเท่านี้ เขาอยากมีสมบัติล้ำค่ามากเท่าไหร่ก็ได้ อยากมีผู้แกร่งกล้าชี้แนะก็ไม่ขาดคำชี้แนะ ตอนนี้เพียงแค่พันปี จะก้าวหน้าได้สักเท่าใดกันเชียว”
นี่มิใช่แค่ความคิดของประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์เท่านั้น แต่เป็นความคิดของยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนหลายคนหลังจากได้เห็นรายนาม
การบำเพ็ญนั้นต้องค่อยๆ สั่งสม ต่อให้ตงป๋อเสวี่ยอิงมีพรสวรรค์ไร้เทียมทาน หลังจากบรรลุเจดีย์ดาวชั้นที่ห้าแล้ว ก็ต้องค่อยๆ สั่งสมเป็นเวลายาวนาน หลังจากดวงจิตบรรลุถึงระดับขั้น ‘จิตข้าคือจิตฟ้า’ แล้วจึงบรรลุถึงระดับเจดีย์ดาวชั้นที่หก!
ผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์เหล่านี้ บำเพ็ญมาอย่างน้อยที่สุดก็หลายหมื่นล้านปี ไปจนถึงหลายล้านล้านปี
วันคืนยาวนานถึงเพียงนี้…เพียงแค่หนึ่งพันปี ช่างไม่ควรค่าแก่การพูดถึงเลยจริงๆ!
อย่างสิงหั่วสวินอีและบางคนที่มีผู้หนุนหลัง พวกเขามีคุณสมบัติได้รับการชี้แนะ สำหรับพวกเขาแล้ว เวลาพันปีนี้ก็ไม่มีความก้าวหน้าที่ชัดเจนสักเท่าใดนัก
จะมีก็แต่ผู้บำเพ็ญไร้สังกัดเหล่านั้น ที่ตลอดคืนวันอันยาวนานคลำทางบำเพ็ญด้วยตนเอง มีความฉงนสงสัยมากมายทับถมกัน บัดนี้มีโอกาสได้รับคำแนะนำ และถึงขั้นได้รับคำแนะนำจากสิ่งมีชีวิตผู้สูงส่งเหนือใครทั้งหลายอย่างประมุขวังเจียงฝู่ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เป็นขั้นรวมเป็นหนึ่งของโลกทิพย์ทั้งสอง คำชี้แนะของเขาก็ล้ำค่ามากเช่นเดียวกัน การชี้แนะนี้ทำให้ความสงสัยต่างๆ ของเหล่าผู้บำเพ็ญไร้สังกัดมลายหายไป พลังก็จะก้าวหน้าขึ้นอย่างพรวดพราด!
เวลาพันปี
มีเพียงผู้บำเพ็ญไร้สังกัดเท่านั้นที่โดยทั่วไปอาจจะก้าวหน้ามาก
ประมุขวังเจียงฝู่ ประมุขเกาะจื่อถู แม่ทัพเทียนกวงและบรรพชนงูอู่เจ๋อล้วนไม่เชื่อว่าสิงหั่วสวินอีจะก้าวหน้าได้ จะก้าวหน้าต้องมีการสั่งสมจึงจะ ‘เตรียมการแล้วปะทุ’ ออกมาได้ หรือว่าที่ผ่านมาสิงหั่วสวินอีมีข้อสงสัยอยู่จำนวนนับไม่ถ้วนแล้วไม่มีผู้แกร่งกล้าระดับยอดชี้แนะอย่างนั้นหรือ น่าเสียดายที่บิดาของสิงหั่วสวินอีก็คือสิ่งมีชีวิตระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เก้า อาศัยสายสัมพันธ์ของบิดาก็สามารถเชิญยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนมากมายให้มาสั่งสอนได้อย่างง่ายดาย เกรงว่าคงจะดีกว่าเชิญห้าปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่มาสั่งสอนเสียอีก
“เขาก้าวหน้าไปมากนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ “ปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่อีกสี่ท่านคงจะทราบกระมัง”
“แม่ทัพเทียนกวงยังได้ส่งสารให้ข้าด้วย พูดเสียน่าฟัง แต่กลับกำลังเสียดสี” ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ส่ายหน้า “หากสิงหั่วสวินอีมีความก้าวหน้าอย่างมหาศาลมากจริงๆ แล้ว เกรงว่าคงจะไม่เคยขอเชิญแม่ทัพเทียนกวงมาสอนอย่างแน่นอน”
ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้งเล็กน้อย
“รอประเดี๋ยว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงรีบส่งสารให้จักรพรรดิสิงหั่วทันที จักรพรรดิสิงหั่วตั้งใจจะผูกสัมพันธ์ด้วย ทั้งสองก็ย่อมทิ้งรอยประทับของกันและกันเอาไว้
“สิงหั่วสวินอีไม่เคยขอให้ปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ท่านอื่นมาสอนเลยหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงถาม
“ฮ่าฮ่า ผู้อาวุโสตงป๋อ ข้าเห็นรายนามที่ท่านเลือกแล้ว ปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ล้วนมิมีผู้ใดเลือกบุตรชายข้าเลย มีแต่ท่านเท่านั้นที่เลือก ข้ายังถามเจ้าหนุ่มนี่อยู่ เขาก็บอกว่าอีกสี่ท่านล้วนไม่เข้าใจวิถีโลกเทียม ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาด้วย” จักรพรรดิสิงหั่วส่งสารมา สิงหั่วสวินอีมิใช่ผู้บำเพ็ญไร้สังกัดพวกนั้น สายตาของเขาสูงส่งนัก นอกจากนี้เขาก็มิได้รู้สึกว่าการขอเชิญให้ปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่อีกสี่ท่านมาสอนจะเป็นโอกาสอันหาได้ยากมากมายอะไรนัก เขาจึงคร้านที่จะไป
เขามุ่งมั่นให้กับด้านวิถีโลกเทียม! แต่ระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ของโลกทิพย์ทั้งห้า ผู้ที่ประสบผลสำเร็จสูงสุดด้านวิถีโลกเทียมก็คือตงป๋อเสวี่ยอิง! เมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงอาศัยวิถีโลกเทียมจนสำเร็จเป็นขั้นอลวน ก็จะกลายเป็นขั้นอลวนด้านวิถีโลกเทียมคนแรกในประวัติศาสตร์
ก็ไม่น่าแปลกใจ
เพราะถึงอย่างไรระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ ผู้ที่สำเร็จความเร้นลับของกฎเกณฑ์เป็นขั้นอลวนในประวัติศาสตร์ก็มีทั้งหมดเพียงยี่สิบกว่าคนเท่านั้น วิถีโลกเทียมจัดเป็นแขนงหนึ่งซึ่งหาได้ยาก วิชาจำพวกวิถีเข่นฆ่าต่างหากจึงจะพบเห็นได้บ่อยที่สุด
“ท่านช่วยบุตรชายข้า บุญคุณใหญ่หลวงในครั้งนี้…ฮ่าฮ่า บุญคุณใหญ่หลวงทั้งหมดจะจารึกไว้ในใจ” จักรพรรดิสิงหั่วถ่ายเสียงพูดประโยคหนึ่งแล้วมิได้พูดโดยละเอียดให้มากความอีกต่อไป
เขาพูดถึงขนาดนี้แล้ว เห็นได้ชัดว่าซาบซึ้งในตัวตงป๋อเสวี่ยอิงมากนัก
เพื่อจะช่วยเหลือบุตรชายคนเล็ก เขาเคยขอเชิญให้เทพจักรวาลหลายท่านมาช่วยเหลือ บัดนี้บุตรชายทะยานขึ้นมาอีกครั้ง จักรพรรดิสิงหั่วก็ย่อมเบิกบานใจมากเป็นธรรมดา นอกจากนี้บุตรชายยังพูดแล้วว่าจะคารวะตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นอาจารย์ ในภายหน้าความสัมพันธ์กับตงป๋อเสวี่ยอิงก็ย่อมแน่นแฟ้นขึ้นเป็นธรรมดา
……
เมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงและจักรพรรดิสิงหั่วส่งสารกันจบแล้ว ก็ถามประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ว่า “ข้ากับจักรพรรดิสิงหั่วถ่ายเสียงถามกันดูแล้ว ที่แท้แล้วเจ้าหนุ่มสิงหั่วสวินอีผู้นี้ เพียงแค่เคยขอเชิญให้ข้าไปสอนบ้างเท่านั้นและไม่เคยขอเชิญปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ท่านอื่นให้ไปสอนมาก่อนเลย”
“เขาก้าวหน้ามากจริงๆ หรือ” ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ถามขึ้นอย่างอดมิได้
“จริงขอรับ หรือว่าข้าจะต้องโกหกแม้แต่เรื่องพวกนี้ด้วยเล่า รอจนหมื่นปีให้หลัง ตอนที่ศึกตัดสินเปิดฉาก สิงหั่วสวินอีก็ต้องออกศึก หากข้าโกหก มิใช่ต้องถูกจ้วงแทงตายหรอกหรือไร” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ
“แต่ว่า แต่ว่าเขาเป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร ห้าแสนล้านปีไม่มีความก้าวหน้าอย่างใหญ่หลวงเลย ไยเพียงครู่เดียวจึงก้าวหน้าอย่างมากมายเช่นที่เจ้าบอกได้เล่า” ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ก็อึดอัดใจ
ตงป๋อเสวี่ยอิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
เรื่องเศร้าโศกเสียใจ…
ก็นับว่าเป็นเรื่องขายหน้า ก่อนหน้านี้จักรพรรดิสิงหั่วขอให้ตนช่วยเหลือ ก็ให้ตนเก็บความลับ มิอาจเผยแพร่ออกไปภายนอกได้
เพราะถึงอย่างไรการผูกสัมพันธ์กับสตรีนางหนึ่งในโลกเขตลวงจนกลายเป็นสหายร่วมวิถี ท้ายที่สุดยังต้องเจ็บปวดใจก็ช่างทำให้เสียหน้าโดยแท้! ก่อนหน้านี้ในรายงานที่ตนได้รับมา ก็มิได้มีบันทึกว่าสิงหั่วสวินอี ‘เจ็บปวดใจ’ แต่อย่างใด
ไม่ต้องสงสัยเลย
แม้จักรพรรดิสิงหั่วจะเคยเชิญยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนและเทพจักรวาลที่เชี่ยวชาญทางด้านเขตลวงหลายท่านให้ช่วยเหลือมาก่อน แต่ก็น่าจะขอให้พวกเขาช่วยเก็บเป็นความลับด้วย! แต่ละท่านมีสถานะระดับใดกัน คงจะไม่ถึงกับแพร่เรื่องนี้ออกไปสู่โลกภายนอก
“มีเหตุผลเล็กน้อยน่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้พูดให้ละเอียด เขาพูดยิ้มๆ ว่า “ทว่าตอนนี้เขาก้าวหน้าอย่างยิ่งจริงๆ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์สามารถตรวจดูภาพที่เขามาขอให้ข้าสอนเมื่อหลายสิบปีก่อนหน้านี้ดูได้”
“อ้อ”
ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์พยักหน้าน้อยๆ
แม้ตงป๋อเสวี่ยอิงจะพูดอย่างจริงใจ ทั้งยังดูแล้วน่าจะไม่ใช่เรื่องเท็จ เพราะถึงระดับนี้แล้วก็ไม่จำเป็นต้องโกหกอีกต่อไป แต่ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ก็ยังคงไม่อยากจะเชื่ออยู่ดี สิงหั่วสวินอีมีสถานะและเบื้องหลังระดับนี้ ห้าแสนล้านปีก็ยังมีพลังน้อยนิดเท่านั้น เหตุใดจึงก้าวหน้ามหาศาลในระยะเวลาพันปีได้เล่า
ดวงตาทั้งสองของประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์มองไปเบื้องหน้า นัยน์ตาปล่อยลำแสงออกมา ภาพตรงหน้าบิดเบี้ยวไป
สวบ
ไม่นานนักก็หมุนไปถึงหลายสิบปีก่อนหน้านี้ เป็นภาพขณะที่สิงหั่วสวินอีขอให้ตงป๋อเสวี่ยอิงสอนครั้งล่าสุด
เมื่อประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ได้เห็นภาพนั้นก็เผยสีหน้าตกตะลึงออกมาด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
“วิถีโลกเทียมหรือ” ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์พูดอย่างตกใจ “เขา เขายกระดับวิถีโลกเทียมขึ้นไปจนถึงขั้นรวมเป็นหนึ่งแล้วหรือ นอกจากนี้พลังของเขายังบรรลุถึงเจดีย์ดาวชั้นที่สี่ด้วยอย่างนั้นหรือ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าน้อยๆ
เก้าร้อยกว่าปี ภายใต้ความช่วยเหลืออย่างสุดกำลังของจักรพรรดิสิงหั่ว ภายในเมืองราชันย์มีด ด้านใน ‘เจดีย์กาลเวลา ซึ่งเร่งเวลาหมื่นเท่า แม้ขั้นรวมเป็นหนึ่งจะไปฝึกฝน หากร้อยล้านปีก็ต้องใช้ศิลาปฐมโลกาถึงสองแสนก้อน เทพจักรวาลก็ยังมิอาจฟุ่มเฟือยถึงเพียงนี้ได้ แต่เนื่องจากต้องการระยะเวลาสั้นๆ เพียงพันปี ภายใต้การเร่งเวลาหมื่นเท่า ก็ต้องการศิลาปฐมโลกาเพียงสองก้อนเท่านั้นเอง
บำเพ็ญเก้าล้านกว่าปี ภายใต้เงื่อนไขการบำเพ็ญที่ดีที่สุด ทั้งสมบัติล้ำค่าที่ช่วยในการบำเพ็ญ บวกกับการสั่งสมของตนเอง ก็สามารถมาขอให้ตงป๋อเสวี่ยอิงสอนได้ สิงหั่วสวินอีทำให้วิถีโลกเทียมบรรลุถึงขั้นรวมเป็นหนึ่งได้จริงๆ
ตอนนั้นหลังจากตงป๋อเสวี่ยอิงบรรลุขั้นรวมเป็นหนึ่งแล้ว ไม่นานนักก็เข้าถึง ‘ฟองอากาศอนธการ’ และพลังก็บรรลุถึงระดับเจดีย์ดาวชั้นที่ห้าทันที!
แต่ทว่า…
แม้สิงหั่วสวินอีจะร้ายกาจ แต่เห็นได้ชัดว่าพรสวรรค์และการรับรู้ด้านวิถีโลกเทียมยังคงด้อยกว่าตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่บ้าง ทว่าก็เข้าถึง ‘ฟองแตกสลาย’ กระบวนท่าที่สองของศาสตร์ลับโลกเทียมที่ตงป๋อเสวี่ยอิงคิดค้นขึ้นได้
ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์มองดูภาพตรงหน้าที่สิงหั่วสวินอีขอให้ตงป๋อเสวี่ยอิงสอน ยิ่งดูก็ยิ่งเบิกบานใจ
“หากข้าจำไม่ผิด ผู้ที่ผ่านการคัดเลือกรอบแรกของเจดีย์ดาวที่บุกฝ่าเจดีย์ดาวชั้นที่สี่ได้มีเพียงคนเดียวเท่านั้น” ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์กล่าว “ตอนนี้สิงหั่วสวินอีก็มีพลังเช่นนี้ หรือกล่าวได้ว่า พลังของเขาน่าจะจัดอยู่ในสามอันดับแรกได้”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าพลางพูดยิ้มๆ “ข้าบอกแล้วว่า เขาคือหนึ่งในคนที่ดีที่สุดในรายนามของข้าครั้งนี้ ในเมื่อเขาไม่เคยขอให้ปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่อีกสี่ท่านชี้แนะมาก่อน เช่นนั้นคาดว่าโลกภายนอกก็คงจะค่อยๆ มีข่าวลือที่ไม่น่าฟังสักเท่าใดนัก หรือว่าจะบอกปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่คนอื่นๆ เสียหน่อยเล่า”
“อย่าได้บอกพวกเขาเด็ดขาด”
ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ส่ายหน้า สีหน้าฉายแววได้ใจเล็กน้อย “แม่ทัพเทียนกวงผู้นั้นจงใจส่งสารซึ่งแฝงแววถากถางเอาไว้มาหาข้า เฮอะๆ จะลือก็ลือกันไปเถิด ปล่อยให้พวกเขาแพร่ข่าวออกไป! เพียงแค่หมื่นปีให้หลัง ก็จะมีศึกตัดสินที่เปิดเผยต่อโลกภายนอกแล้ว ถึงตอนนั้นสิงหั่วสวินอีก็จะโดดเด่นหาใดเปรียบ! ข้ารอคอยจะได้เห็นสีหน้าตะลึงลานของพวกเขาแต่ละคนนัก นอกจากนี้ ถึงตอนนั้นเหล่าผู้บำเพ็ญที่จับตามองงานชุมนุมใหญ่ดวงดาราก็จะล่วงรู้กันหมดว่าปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ที่ส่งออกไปจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ‘วังทวีสูญ’ ทางสายความเร้นลับของกฎเกณฑ์ของเรา มีสายตาในการคัดเลือกผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์ที่สูงส่งที่สุด!”
…………………………
ตอนที่ 24 โดดเด่นจนน่าตกใจ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ไม่อยากแจ้งให้ปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่อีกสี่ท่านทราบ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ย่อมไม่คัดค้าน
แม้จะมีข่าวลือบ้าง แต่ข้อแรกคือระยะเวลาสั้นนัก ข้อสองคือผู้ที่เชื่อว่าตงป๋อเสวี่ยอิงเลือกสิงหั่วสวินอีเป็นการไม่ยุติธรรมนั้นเป็นเพียงแค่ส่วนน้อย!
เหล่าผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์ที่เข้าร่วมงานชุมนุมที่สนใจมากก็จะไปเก็บรวบรวมข้อมูล พวกเขาก็จะเข้าใจว่าสิงหั่วสวินอีเป็นบุตรชายของ ‘จักรพรรดิสิงหั่ว’ บำเพ็ญมาห้าแสนล้านปี อันดับของเจดีย์ดาวก็แค่อันดับสามพันหกร้อยกว่าเท่านั้น พวกเขาก็จะคิดว่าไม่ยุติธรรม…และยังมีบรรดาบุคคลระดับสูงของหกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สนใจเรื่องนี้ก็จะรู้ข้อมูลนี้
แต่เหล่าผู้บำเพ็ญทั่วไปจำนวนนับไม่ถ้วนก็ไม่มีข้อมูลโดยละเอียดของสิงหั่วสวินอี พวกเขาอาจจะยังคิดว่า ‘สิงหั่วสวินอี’ เป็นผู้บำเพ็ญไร้สังกัดเสียด้วยซ้ำ!
ดังนั้นจึงรู้สึกว่าตงป๋อเสวี่ยอิงทำได้ย่ำแย่นัก
หลักๆ ก็คือผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์หนึ่งหมื่นหกพันกว่าคนที่เข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่ และคนส่วนหนึ่งของหกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์
……
หนึ่งร้อยคนจากการคัดเลือกเบื้องต้นของเจดีย์ดาวและหนึ่งร้อยคนที่ปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่เลือกตัวมา หลังจากทั้งสองร้อยคนนี้ถูกกำหนดออกมาแล้ว ก็จะมีคุณสมบัติเข้าไปใน ‘เจดีย์กาลเวลา’ แห่งเมืองราชันย์มีดแล้วบำเพ็ญโดยเร่งเวลาร้อยเท่า อันที่จริงแล้วก็เป็นการบำเพ็ญถึงล้านปีเต็ม นอกจากนี้พวกเขายังสามารถพลิกอ่านคัมภีร์จำนวนมากได้ตามใจ ซึ่งล้วนแต่เป็นคัมภีร์ค่อนข้างพื้นฐานที่หกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์มอบให้
เนื่องจากสองร้อยคนนี้ ท้ายที่สุดก็ต้องเข้าร่วมหกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ คัมภีร์พื้นฐานของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหกนั้นสามารถเชื่อมถึงกันได้หมด
นอกจากนี้แล้วยังจะมอบสมบัติล้ำค่าจำนวนหนึ่งให้ด้วย
เวลาล้านปี คัมภีร์จำนวนนับไม่ถ้วนและสามารถเชิญปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ให้มาชี้แนะได้…เวลาล้านปีนี้ สำหรับผู้บำเพ็ญไร้สังกัดทั้งหลายแล้วช่างเหมือนฝันที่เป็นจริง บรรดาผู้บำเพ็ญไร้สังกัดคิดจะได้ศาสตร์ลับที่ร้ายกาจมาสักวิชาก็ต้องสู้สุดชีวิตหรือถึงขั้นต้องอาศัยโชค จึงจะได้มาโดยปาฏิหาริย์! ตอนนี้กลับกลายเป็นว่ามีคัมภีร์ศาสตร์ลับจำนวนมากมาวางตรงหน้าให้เลือกสรรได้ตามอำเภอใจ
สิงหั่วสวินอีก็ต้องทำตามกฎแต่โดยดี ด้วยการเตรียมการของงานชุมนุมใหญ่ เขาก็บำเพ็ญโดยเร่งเวลาร้อยเท่าเช่นเดียวกันกับเหล่าผู้บำเพ็ญคนอื่นๆ
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูดวงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้า “ผ่านไปหมื่นปีแล้ว วันนี้ก็คือวันที่พวกเขาเหล่านี้จะทำการต่อสู้แล้ว” สำหรับเขา เวลาหมื่นปีช่างสั้นมากจริงๆ หากมิได้มีผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์ที่ถูกคัดเลือกมาขอคำชี้แนะ แล้วตั้งใจสงบจิตใจบำเพ็ญจริงๆ และรับรู้สักเล็กน้อยแล้วล่ะก็ เวลาหมื่นปีก็จะรู้สึกเหมือนเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น
สวบ
ตงป๋อเสวี่ยอิงออกจากคูหาแล้วทะยานข้ามท้องฟ้าไป ห่างออกไป ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ก็กำลังบินเหินมาเช่นกัน
“ตงป๋อ” ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์บินเคียงข้างตงป๋อเสวี่ยอิงไป “แม้ระยะเวลาหมื่นปีนี้จะสั้น แต่ก็มีบางคนที่ลอบวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีนามว่าประมุขวังปาอวิ่นผู้นั้น ข้าได้ยินมาว่าตอนที่เขาและยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนเหล่านั้นสนทนากันก็ได้พูดถึงเรื่องนี้ ทั้งยังกล่าวว่ารอให้ถึงตอนการต่อสู้ตัดสินอันดับ จะคอยหัวเราะเยาะเจ้าอีกต่างหาก”
“ปาอวิ่นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า
คนผู้นี้จิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตและเห็นแก่ตัวเป็นอันมาก
ทว่าในบรรดาผู้บำเพ็ญ ไม่ว่าคนแบบไหนก็มีทั้งนั้น ผู้ที่เห็นแก่ตัวเป็นอย่างยิ่งก็ย่อมมีเป็นธรรมดา ทำตามข้าก็รอด ขัดขวางข้าก็ตายก็มีอยู่มากมาย ประมุขวังปาอวิ่นจะเกลียดตนด้วยเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องปกตินัก
“จะคอยหัวเราะเยาะข้าอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ “เกรงว่าเขาคงจะไม่มีโอกาสหรอก”
“ถูกต้อง” ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ก็เผยรอยยิ้มออกมา
สวบๆ
พวกเขาทั้งสองบินไปถึงสถานที่จัดงานชุมนุมใหญ่ดวงดารา ที่นั่งถูกจัดเตรียมเอาไว้เหมือนกับตอนเปิดงานชุมนุมใหญ่ดวงดารา ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งอยู่ริมสุดของที่นั่งห้าที่ทางซ้ายมือของเจ้าลัทธิภาพจิต
ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนทยอยกันมาถึงทีละคนๆ ส่วนบรรดาผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์แต่ละคนที่เข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่กลับมาถึงพร้อมหน้ากันตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว แม้พวกเขาหลายคนจะมิได้ถูกเลือก แต่กลับอยากชมการต่อสู้ครั้งนี้ เพื่อที่จะดูความแตกต่างของพลังระหว่างกัน! ยังมีเหล่าผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนภายในเมืองราชันย์มีด บางคนยังคงเป็นเด็ก พวกเขาพากันตั้งตารอคอยชมการต่อสู้
“ในบรรดาหนึ่งร้อยคนที่ห้าปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่เลือก อีกเก้าสิบเก้าคนก็แล้วไปเถิด แต่สิงหั่วสวินอีผู้นั้นกลับอาศัยคนหนุนหลังอย่างแน่นอนไร้ข้อกังขา เป็นผู้ที่ไม่มีคุณสมบัติมากที่สุดคนหนึ่ง” บรรดาผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์จำนวนนับไม่ถ้วนที่ชมการต่อสู้อยู่ด้านล่างได้รู้ข้อมูล และพวกเขาคือผู้ที่มิได้รับเลือก ดังนั้นจึงยิ่งรู้สึกจิตใจไม่สงบเข้าไปใหญ่
“ข้าเคยพูดมาก่อนแล้วว่า เขาไม่สมควรจะได้รับตำแหน่งปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ เห็นได้ชัดว่าสายตาสู้ปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่อีกสี่ท่านมิได้เลย”
“มิใช่ว่าสายตาสู้ไม่ได้ แต่ถูกซื้อได้ง่ายกว่าต่างหากเล่า”
ผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์หลายคนลอบถ่ายเสียงวิพากษ์วิจารณ์กัน พวกเขาหลายคนเต็มไปด้วยความเคทองแค้น
หากสิงหั่วสวินอีมิได้ถูกเลือก อันดับที่ว่างนี้ก็อาจจะเป็นพวกเขาคนใดคนหนึ่งก็เป็นได้
“ดูเอาเถิด”
“ในการคัดเลือกเบื้องต้นของเจดีย์ดาว สิงหั่วสวินอีผู้นั้นเป็นเพียงแค่อันดับที่สามพันหกร้อย อีกประเดี๋ยวตอนที่เขาต่อสู้ก็จะเห็นข้อบกพร่องแล้ว”
……
เสียงของเจ้าลัทธิภาพจิตดังกังวาน สะท้อนก้องอยู่ข้างหูของผู้บำเพ็ญทั่วงานชุมนุมใหญ่ดวงดาราหรือแม้กระทั่งดวงจิต “ผู้บำเพ็ญสองร้อยคนที่ผ่านการคัดเลือกเบื้องต้นในครั้งนี้แบ่งเป็นห้ากลุ้ม แต่ละกลุ่มจะเฟ้นหาผู้ชนะสองคน ผู้ชนะสิบคนสุดท้ายจะมาตัดสินกันตัวต่อตัว…และจะมีการจัดห้าอันดับแรกออกมาตามผลงานทั้งหมด ห้าคนแรกนี้ สามารถเลือกเข้าร่วมสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ใดในหกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ก็ได้ตามใจ แน่นอนว่าจะกลายเป็นคนสำคัญของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และได้รับการบ่มเพาะอย่างเต็มที่ บัดนี้ กลุ่มแรกเริ่มได้”
เสียงของเจ้าลัทธิภาพจิตนุ่มนวล แต่กลับทำให้ผู้ชมทั้งหมดเงียบลงอย่างไม่รู้ตัว
สายตาของแต่ละคนล้วนจับจ้องไปที่เวทีการต่อสู้กว้างยาวถึงแสนลี้ซึ่งอยู่ไกลออกไป ยามนี้เงาร่างสายแล้วสายเล่าทะยานมาถึงบนเวทีการต่อสู้เสียงดังสวบๆๆ ซึ่งนี่ก็คือสี่สิบคนของกลุ่มแรก
ขณะเตรียมการต่อสู้…
เจ้าลัทธิภาพจิตผู้รับผิดชอบการจัดเตรียมก็ได้แบ่งผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์ที่เยี่ยมยอดอย่างยิ่งออกจากกัน แล้วกระจายเข้าไปทั้งห้ากลุ่ม ต่อให้เป็นเช่นนี้ ในแต่ละกลุ่มก็จะคัดออกมาสองคน
นอกจากนี้หากกลุ่มใดมีผู้ที่พรสวรรค์สูงยิ่งเกาะกลุ่มกันอยู่ สองร้อยคนทางด้านหลังล้วนต้องบุกฝ่าเจดีย์ดาว เหล่าปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ก็จะเลือกอีกห้าคนมาเพิ่มเติม!
โดยสรุปแล้ว งานชุมนุมใหญ่ดวงดาราต้องพยายามคัดเลือกผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์ที่ดีที่สุดออกมาสิบคน
“ตู้ม”
“ฟิ้ว”
ผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์สี่สิบคนต่อสู้กันอย่างสับสนอลหม่านอยู่บนเวที บางคนถูกกระแทกออกจากเวที บ้างก็กระตุ้นสมบัติล้ำค่าคุ้มกายขึ้นมา
พวกเขาแต่ละคนล้วนได้รับสมบัติล้ำค่าคุ้มกายชิ้นหนึ่งซึ่งสามารถกระตุ้นขึ้นมาใช้ได้ชั่วคราว แต่ทันทีที่ใช้งาน ก็แสดงว่าพ่ายแพ้ในการต่อสู้แล้ว! ต้องออกจากเวทีการต่อสู้ไปเองแต่โดยดี หากถูกกระแทกออกจากเวทีก็แสดงว่าพ่ายแพ้แล้วเช่นกัน ท้ายที่สุดบนเวทีเหลือเพียงสองคน ก็คือผู้ชนะนั่นเอง
แทบจะแค่ชั่วลมหายใจเดียวก็เหลือผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์เพียงแปดคนที่กำลังต่อสู้กันอยู่ คนอื่นๆ ล้วนถูกคัดออกไปทั้งสิ้น
อีกสองชั่วลมหายใจถัดมา ก็เหลือผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์เพียงสามคน
“ตู้ม”
เมฆดำม้วนตัวมาแล้วกระแทกเข้ากับร่างของผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์คนหนึ่ง จนทำให้อีกฝ่ายกระอักเลือดแล้วกระเด็นออกจากเวทีการต่อสู้ไป หลังกระเด็นออกจากเสทีไปแล้ว เขาก็จ้องมองชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่บนเวทีพลางลอบพึมพำว่า “ชางฉงเทียนอวิ๋น นับว่าเจ้าโหดร้ายนัก”
กลุ่มแรกนี้มีชางฉงเทียนอวิ๋นอยู่ เขาเป็นยอดฝีมือระดับเจดีย์ดาวชั้นที่สี่เพียงคนเดียวในการคัดเลือกเบื้องต้นของเจดีย์ดาว สำหรับคนอื่นแล้ว นับว่าเขาได้เปรียบเรื่องพลัง
เมื่อครู่เหลือเพียงสามคนสุดท้าย พลังของชางฉงเทียนอวิ๋นแข็งแกร่งที่สุด อีกสองคนแตกต่างกันไม่มากนัก คนที่ถูกกระแทกออกไปได้ลอยถ่ายเสียงให้ชางฉงเทียนอวิ๋น ขอให้เขาช่วยเหลือ หลังจบเรื่องแล้วจะมอบศิลาปฐมโลกาสิบก้อนให้เป็นการตอบแทน
ไหนเลยจะไปคิดว่า…
ชางฉงเทียนอวิ๋นจะกระแทกเขาออกไปทันที
“ชางฉงเทียนอวิ๋นช่างร้ายกาจเสียจริง”
“ได้เปรียบมากจริงๆ”
“เป็นคนที่ร้ายกาจที่สุดของกลุ่มที่หนึ่งเลยทีเดียว” แม้การต่อสู้จะรวดเร็วยิ่งนัก แต่เหล่าผู้ชมล้วนเห็นได้ถึงพลังของชางฉงเทียนอวิ๋น
……
“กลุ่มที่สอง”
……
“กลุ่มที่สาม”
การคัดเลือกโดยวิธีแบ่งกลุ่มการต่อสู้นั้นรวดเร็วนัก ไม่นานก็มาถึงกลุ่มที่สามแล้ว ผู้บำเพ็ญสี่สิบคนในกลุ่มที่สามพากันทะยานขึ้นไปบนเวที ในจำนวนนั้นก็มี ‘สิงหั่วสวินอี’ ชายหนุ่มอาภรณ์สีทองซึ่งดูจากรูปโฉมและกลิ่นอายภายนอกแล้ว สิงหั่วสวินอีก็เป็นผู้ที่โดดเด่นที่สุดในจำนวนนั้น
“สิงหั่วสวินอีขึ้นมาแล้ว”
“ดูสิ อีกประเดี๋ยวเขาก็จะเผยจุดอ่อนออกมาแล้ว” บรรดาผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์ที่ไม่ผ่านการคัดเลือกไม่สงบเอาเสียเลย พวกเขาคิดอยากให้ ‘ตงป๋อเสวี่ยอิง’ ปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ซึ่งไม่ค่อยจะเที่ยงธรรมเท่าใดผู้นั้นเสียหน้า หากสิงหั่วสวินอีที่เขาเลือกพ่ายแพ้อย่างน่าอนาถแล้ว ก็จะสามารถพิสูจน์ได้ว่าเขาตาไร้แวว และไม่ยุติธรรม
มิใช่เพียงผู้ที่ชมการต่อสู้อยู่เบื้องล่างเท่านั้น
แม้แต่บรรดายักษ์ใหญ่ขั้นอลวนบนแท่นสูงหลายคนก็พากันจับตามอง พวกเขามาชมการต่อสู้ จึงย่อมได้ยินข่าวลือต่างๆ มาก่อนล่วงหน้าแล้ว พวกเขาหลายคนอดเหลือบมอง ‘ตงป๋อเสวี่ยอิง’ ซึ่งนั่งอยู่ตรงตำแหน่งริมสุดของห้าปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่มิได้
ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างสงบ พลางมองดูการต่อสู้ที่กำลังจะเกิดขึ้นบนเวทีขนาดมหึมาด้านล่าง
หางตาของแม่ทัพเทียนกวงเหลือบมองตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ด้านข้างแวบหนึ่งแล้วก็ลมการต่อสู้ที่กำลังจะเกิดขึ้นเบื้องล่างต่อไป
“ตู้มมมม…”
การต่อสู้พลันปะทุขึ้น
สิงหั่วสวินอีหนุ่มน้อยอาภรณ์ทองพลันมีแสงสีขาวชั้นหนึ่งปะทุขึ้นมา ภาพลวงแสงสีขาวปกคลุมผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์อีกสามสิบเก้าคนบนเวทีแห่งนี้ นี่ก็คือศาสตร์โบราณเขตลวงของสิงหั่วสวินอี! วิถีโลกเทียมบรรลุถึงระดับขั้นเช่นนี้ ทั้งยังเข้าถึง ‘ฟองแตกสลาย’ ที่ตงป๋อเสวี่ยอิงคิดค้นขึ้นมาอีกด้วย ศาสตร์โบราณเขตลวงซึ่งมีอยู่แต่เดิมของเขาจึงย่อมยกระดับขึ้นมาถึงระดับขั้นใหม่ล่าสุดได้ อานุภาพของเขตลวงอันน่าหวาดหวั่น ผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์กว่าครึ่งในที่นั้นล้วนแต่ตกรอบ ยังมีจำนวนน้อยนิดที่ดิ้นรนกระเสือกกระสนครั้งแล้วครั้งเล่าพยายามที่จะครองสติเอาไว้ให้ได้ มีเพียงจำนวนน้อยนิดเท่านั้นที่ยังมีสติสมบูรณ์อยู่
ขณะเดียวกับที่สำแดงเขตลวงออกมา สิงหั่วสวินอีกลับโบกมือคราหนึ่ง
ตู้มมม…
รัศมีของเปลวเพลิงโจมตีลงบนร่างของผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์ทั้งหลายอย่างกะทันหัน วิถีโลกเทียมมีพลังระดับเจดีย์ดาวสี่ชั้น แต่การบำเพ็ญสายโลหิตของเขาทำให้พลังเพิ่มพูนขึ้นไม่มากนัก คือมีพลังชั้นที่สาม บัดนี้ภายใต้การล้อมโจมตี ผู้ที่ตกหลุมพรางและดิ้นรนครองสติไว้ได้อย่างพอถูไถล้วนยากที่จะต้านทานเอาไว้ได้
ภายใต้การโจมตีของเปลวเพลิงที่หอบม้วนเข้ามา ผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์หลายคนก็ถูกกระแทกจนกระเด็นออกจากเวทีการต่อสู้ เหลือเพียงแปดคนเท่านั้นที่สามารถต้านทานได้ พวกเขาล้วนแต่เป็นผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งมากและบำเพ็ญจิตมาอย่างยอดเยี่ยม แต่พวกเขาทั้งแปดก็พากันมองสิงหั่วสวินอีด้วยสายตาตกตะลึงและไม่อยากจะเชื่อ
ไม่เพียงแต่พวกเขาเท่านั้น
คนที่อยู่ด้านล่างเวทีซึ่งคิดจะให้สิงหั่วสวินอีพลาดพลั้ง คิดจะพิสูจน์ว่าปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ ‘ตงป๋อเสวี่ยอิง’ ไม่เที่ยงธรรม และผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์ที่ตกรอบเหล่านั้น ต่างก็พากันอ้าปากค้าง
นี่ นี่ นี่…
นี่คือพลังของอันดับที่สามพันหกร้อยกว่าๆ ของการคัดเลือกเบื้องต้นของเจดีย์ดาวหรือ เหตุใดจึงรู้สึกว่าเหิมเกริมกว่าชางฉงเทียนอวิ๋นซึ่งจัดอยู่ในอันดับที่หนึ่งเสียอีกเล่า
……
บนแท่นสูง ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนจำนวนมากล้วนสั่นสะท้านไปถึงวิญญาณ คนจำนวนไม่น้อยพากันตกอกตกใจ บางคนอดมองไปทางชายหนุ่มอาภรณ์ขาวผู้นั้นมิได้
“ยินดีด้วยๆ จักรพรรดิสิงหั่ว ยินดีด้วย” ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนบางคนกลับเริ่มสนทนาปราศรัยกับจักรพรรดิสิงหั่ว พวกเขาล้วนแต่มีตา การควบคุมเขตลวงย่อมต้องเป็นพลังของตน ไม่มีทางเป็นพลังภายนอกได้อย่างแน่นอน
ส่วนทางห้าปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่
ประมุขวังเจียงฝู่เหลือบมองตงป๋อเสวี่ยอิงทางด้านซ้ายอย่างสนอกสนใจ ใบหน้าเผยรอยยิ้มสายหนึ่งออกมาพลางพึมพำว่า “น่าสนใจ เวลาหมื่นกว่าปี สิงหั่วสวินอีกลับยกระดับขึ้นมาได้มากมายถึงเพียงนี้ ทั้งยังเป็นเขตลวงด้วยหรือ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีชื่อเสียงทางด้านเขตลวงมากที่สุดนี่นา”
“ผู้อาวุโสตงป๋อ”
ประมุขเกาะจื่อถูยิ้มงดงาม แฝงไว้ด้วยแรงเย้ายวนอันชวนตะลึงลาน “ช่างเก่งกาจเหลือเกิน มิน่าเล่าท่านจึงเลือกสิงหั่วสวินอี ในสายตาของข้า พลังของเขาอาจจะร้ายกาจกว่าชางฉงเทียนอวิ๋นเสียอีก”
ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับเอ่ยปากพูดว่า “เขตลวงเชี่ยวชาญด้านการล้อมโจมตี เมื่อเทียบกับชางฉงเทียนอวิ๋นแล้ว พลังของเจ้าหนุ่มสวินอีผู้นี้ใครจะแข็งแกร่งกว่ากัน ก็ต้องรอให้ถึงศึกตัดสินชี้ขาดเสียก่อนจึงจะรู้”
…………………………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น