Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 30 ตอนที่ 19-22
ตอนที่ 19 ผู้มีพรสวรรค์โดดเด่น
โดย
Ink Stone_Fantasy
ผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนทั่วทั้งเมืองราชันย์มีดต่างก็จับตาดูงานชุมนุมใหญ่ดวงดารา ผู้เป็นปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่อย่างตงป๋อเสวี่ยอิงก็ค่อนข้างยุ่ง ถึงแม้ว่ายักษ์ใหญ่ขั้นอลวนที่มาเยี่ยมเยียนจะมีน้อยจนสามารถนับนิ้วได้ แต่ ‘ผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์’ นั้นมีมากมายเหลือเกิน
“ยังขอเชิญตงป๋อผู้อาวุโสโปรดช่วยชี้แนะด้วยขอรับ” ผู้เฒ่าชุดดำคนหนึ่งเอ่ยอย่างเคารพนบนอบ บริเวณโดยรอบยังมีระลอกคลื่นอันอำมหิตห้อมล้อม
ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งอยู่ที่นั่น เขาวางจอกสุราในมือลง สาวใช้ด้านข้างช่วยรินสุราส่งให้อย่างเงียบงันไร้สุ้มเสียง ไอหอมของสุราแผ่กำจายออกมา
“ถึงแม้จะเป็นยามต่อสู้ สิ่งสำคัญที่ตัดสินความเป็นความตายก็คือจุดอ่อน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ “เจ้าอยากจะชดเชยจุดอ่อนของตนเอง นี่ก็ถูกต้อง แต่ตอนนี้เจ้ายังเป็นเพียงแค่ระดับชั้นที่สองของเจดีย์ดาวเท่านั้น ยังค่อนข้างอ่อนแอ เจ้าควรจะสิ้นเปลืองพลังงานของเจ้าไปกับเคล็ดวิชาที่เจ้าเชี่ยวชาญ ทำให้สิ่งที่ตนเองเชี่ยวชาญร้ายกาจยิ่งขึ้น”
“เมื่อด้านใดด้านหนึ่งมีจุดเด่นอันแข็งแกร่งเป็นที่สุดแล้วก็สามารถบดขยี้ศัตรูได้เฉกเช่นเดียวกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
“ขอรับ ผู้น้อยเข้าใจ” ผู้เฒ่าชุดดำพูด
อายุของผู้บำเพ็ญมิอาจตัดสินจากรูปลักษณ์ได้ ก็เหมือนกับตอนที่เป็นขั้นเหนือธรรมดา ความเร็วในการบำเพ็ญค่อนข้างช้า รูปลักษณ์ก็จะค่อนข้างแก่ชรา แต่ผู้ยิ่งใหญ่ประสบความสำเร็จในบั้นปลาย
หลังจากเป็นเทพ เป็นเทพโลกาแล้ว ต่อจากนั้นก็ยกระดับขึ้นไปตลอด นี่ก็เป็นเรื่องที่พบเห็นได้อยู่บ่อยครั้ง
ชายชราตรงหน้าผู้นี้ก็เป็นหนึ่งในผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์ของงานชุมนุมใหญ่คราวนี้อย่างแท้จริง
ระยะเวลาในการบำเพ็ญก็เพียงแค่สองร้อยล้านปีเศษเท่านั้น นับได้ว่าเป็นผู้เยาว์วัยผู้หนึ่งเลยทีเดียว
“เช่นนั้นผู้น้อยมีหวังที่จะถูกผู้อาวุโสเลือกหรือไม่ขอรับ” ผู้เฒ่าชุดดำเอ่ยถามอย่างอดมิได้
“ระยะเวลาในการบำเพ็ญของเจ้าค่อนข้างสั้น ทั้งยังเป็นผู้บำเพ็ญไร้สังกัด ไม่มีอาจารย์ที่ดีคอยชี้แนะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ “ข้อบกพร่องเพียงอย่างเดียวก็คือการจัดอันดับในคราวนี้ค่อนข้างต่ำ จัดอยู่ในอันดับที่สามพันเลยทีเดียว ถ้าหากสามารถจัดอยู่ในหนึ่งพันคนแรกได้ โอกาสในการถูกเลือกก็จะเพิ่มขึ้นมากทีเดียว บำเพ็ญให้ดีๆ รีบบรรลุให้เร็วที่สุดภายในหนึ่งพันปีนี้ ต่อให้ข้าไม่เลือกเจ้า เชื่อว่าปรมาจารย์ท่านอื่นๆ ก็น่าจะเลือกเจ้า เอาล่ะ ไปได้แล้ว”
“ขอรับ”
ผู้เฒ่าชุดดำทำความเคารพอย่างเชื่อฟัง ไม่กล้าไม่เคารพเลยแม้แต่น้อย แล้วจากไปในทันที
“ผู้อาวุโส บรรดาผู้บำเพ็ญเหล่านี้มาขอความช่วยเหลืออยู่บ่อยครั้ง ผู้อาวุโสก็ไม่จำเป็นต้องพบพวกเขาในทันทีหรอกนะเจ้าคะ” สาวใช้ที่อยู่ด้านข้างพูด “ให้พวกเขารอไปสักครึ่งวันก็ไม่เป็นไร ข้าได้ยินว่าทางปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ท่านอื่นๆ นั้น นึกอยากจะไปขอคำชี้แนะ ก็ต้องรออยู่นอกประตูตั้งหลายวันอยู่บ่อยๆ เลยเจ้าค่ะ”
“ระยะเวลาพันปีนี้มีความสำคัญกับพวกเขาเป็นอย่างมาก ส่วนใหญ่พวกเขามีพรสวรรค์ไม่เลวเลย เพียงแต่ขาดแคลนการชี้นำเท่านั้น ได้รับการชี้นำแล้วก็อาจมีการเปลี่ยนแปลงภายในพันปี ถ้าหากพลังยุทธ์ยกระดับอย่างชัดเจนก็อาจมีโอกาสถูกเลือกได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องสิ้นเปลืองเวลาของพวกเขาเลยนี่”
ไม่มีโลกทัศน์เพียงพอ ก็ยากที่จะมองทะลุผ่านความเป็นจริงของอีกฝ่ายได้ และยิ่งยากที่จะให้คำชี้แนะที่ดีได้
ความเข้าใจของตงป๋อเสวี่ยอิงที่มีต่อขั้นรวมเป็นหนึ่งนั้นเป็นสิ่งที่พวกแม่ทัพเทียนกวง บรรพชนงูอู่เจ๋อ และประมุขเกาะจื่อถู แต่ละคนก็ยังไม่แน่ว่าจะสามารถเทียบได้
……
เวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่า
เดิมทีในใจของผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์เหล่านั้นก็ยังไม่เคารพตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่บ้าง “พวกเราก็เป็นขั้นรวมเป็นหนึ่งเช่นกัน ถึงแม้ว่าเขาจะแข็งแกร่งกว่าพวกเรา แต่เขาก็เป็นขั้นรวมเป็นหนึ่งเช่นกัน เขาก็มาเป็นปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ได้ด้วยหรือ”
แต่หลังจากที่คนจำนวนมากไปเยี่ยมคารวะและขอคำชี้แนะแล้วก็พบว่าตงป๋อเสวี่ยอิงมีทัศนคติที่ดีอย่างเห็นได้ชัด ทำให้คนจำนวนมากในหมู่พวกเขาต่างก็เกิดความรู้สึกอันดี แต่ก็ยังมีเหล่าผู้บำเพ็ญที่มาเข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่ลอบกระซิบกระซาบกันว่า “เฮอะ ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงแค่ขั้นรวมเป็นหนึ่งเท่านั้น ปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ท่านอื่นๆ อีกสี่ท่านต่างก็เป็นยักษ์ใหญ่ขั้นอลวน สถานะแตกต่างกัน เขามีทัศนคติที่ดีกว่าก็เป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้วนี่”
ผู้บำเพ็ญมีลักษณะนิสัยที่แตกต่างกัน
มีทั้งผู้ที่มีนิสัยโหดร้าย อุปนิสัยเบี่ยงเบน เห็นแก่ตัวเป็นที่สุด
……
เพียงพริบตาเวลาสามร้อยปีก็ผ่านพ้นไป ตงป๋อเสวี่ยอิงตัดสินศักยภาพของผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์เหล่านี้อย่างค่อนข้างละเอียด แต่จะเลือกใครนั้น ต้องถึงนาทีสุดท้ายก่อนจึงจะสามารถตัดสินใจได้! เพราะเมื่อถึงเวลา ปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ห้าท่านก็จะเสนอรายชื่อที่ตนเลือกเอาไว้ตามลำดับ ถ้าหากรายชื่อของผู้อื่นมีการซ้อนทับกันกับของตน ตนเองก็ต้องเลือกคนอื่นอย่างแน่นอน
วันนี้ ดวงตะวันลับขอบฟ้า
ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิอยู่ริมทะเลสาบภายในเรือนพักตามลำพัง ทำสมาธิอย่างเงียบๆ ในห้วงสมองวิวัฒน์เคล็ดวิชาที่หลอมรวมวิถีโลกเทียมและวิถีเข่นฆ่าเข้าด้วยกัน ด้วยความทระนงของเขา ก็ยังอยากจะไปถึงพลังยุทธ์ชั้นที่เจ็ดด้วยขั้นรวมเป็นหนึ่ง การท้าทายขีดจำกัดสูงสุดในทุกๆ ระดับขั้น มีส่วนช่วยเหลือในการสั่งสมพื้นฐานของตนเป็นอย่างมาก การหยั่งรู้มิใช่ว่าจะคงที่ไปตลอดชีวิต หากแต่ค่อยๆ แปรเปลี่ยนไปทีละน้อยตลอดระยะเวลาอันยาวนาน ถ้าหากสามารถบุกผ่านชั้นที่เจ็ดได้ในขั้นรวมเป็นหนึ่ง ทำถึงขั้นนี้ได้ เช่นนั้นการเป็นขั้นอลวนเหยียบย่างเข้าสู่ชั้นที่แปดก็ย่อมผ่อนคลายอย่างยิ่ง ชั้นที่เก้าก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้ว
นี่ก็คือการยกระดับการหยั่งรู้
อย่างเช่นจอมกระบี่ เหตุใดจึงล้ำเลิศเช่นนั้นได้ ก็ด้วยไม่ได้รับการชี้แนะที่ดีในจักรวาลภูมิลำเนา หยั่งรู้ด้วยตนเองอย่างสมบูรณ์ นี่ก็คือการฝืนบังคับหล่อหลอมตนเอง หลังจากที่ฝืนบำเพ็ญไปจนถึงขั้นอลวนแล้ว พื้นฐานของเขาก็ทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง ไปถึงวังทวีสูญแล้วอ่านตำราจำนวนนับไม่ถ้วน ซึมซับภูมิปัญญาของผู้อาวุโส ก็ย่อมบรรลุไปถึงขั้นเทพจักรวาลได้ในรวดเดียวอยู่แล้ว
ตอนนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงมีการชี้แนะที่ดี มีศาสตร์ลับมากมาย ทั้งยังมีสมบัติล้ำค่าอย่างกระจกศิลา ก็ต้องเรียกร้องกับตนเองมากขึ้นเป็นธรรมดาอยู่แล้ว!
ปล่อยให้ผ่านไป ก็มีแต่จะบดบังทุกคนเท่านั้น
“ผู้อาวุโส สิงหั่วสวินอีมาขอความช่วยเหลือขอรับ” ยามรักษาการณ์เดินเข้ามารายงานด้วยความนอบน้อม
“ให้เขาเข้ามาสิ” ตงป๋อเสวี่ยอิงออกคำสั่ง
ไม่นานนัก
ชายหนุ่มอาภรณ์ทองคนหนึ่งเดินเข้ามา เขาเต็มไปด้วยพลัง แตกต่างกับตอนที่พบกันคราวก่อนอย่างสิ้นเชิง
“คารวะผู้อาวุโส” สิงหั่วสวินอีทำความเคารพอย่างมีพิธีรีตอง เขานับถือและซาบซึ้งจากใจจริง
“ข้ายังนึกว่าหลังจากที่เจ้าจากไปคราวก่อนแล้วจะมาขอให้ข้าช่วยชี้แนะอย่างรวดเร็ว คิดไม่ถึงว่าการไปมาครั้งนี้จะนานถึงสามร้อยปีทีเดียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ
“ท่านพ่อของข้าเคยบอกว่าในการบำเพ็ญนั้น ถ้าหากเอาแต่ถามอาจารย์หมดทุกเรื่อง เช่นนั้นในอนาคตเมื่อถึงตอนที่ปรมาจารย์มิอาจชี้แนะได้แล้ว ต้องพึ่งพาตนเองอย่างสมบูรณ์ เกรงว่าคงยากที่จะบรรลุอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นถึงแม้ว่าจะพบข้อสงสัยอยู่บ้าง โดยทั่วไปต่างก็ต้องทำความเข้าใจด้วยตัวเองขอรับ” สิงหั่วสวินอีพูด
ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยรอยยิ้ม
เหมือนกับที่วังทวีสูญสั่งสอนศิษย์ ต่างก็เป็นการที่เหล่าผู้อาวุโสเขียนการตระหนักรู้ของตนเองเป็นตำราแล้ววางเอาไว้ในตำหนักหมื่นรูป ให้บรรดาคนรุ่นหลังไปอ่านกันเอง ทำความเข้าใจด้วยตนเอง การเดินบนวิถีจะเป็นเช่นไรก็ให้ศิษย์เป็นผู้ฟันฝ่าด้วยตนเอง หากพบเจอปัญหาเพียงเล็กน้อยก็ถามอาจารย์หมด ก็คงจะไม่มีอนาคตอันยิ่งใหญ่แต่อย่างใดเลยจริงๆ
“ผู้น้อยบำเพ็ญวิถีโลกเทียม ได้อะไรมาพอสมควร ขอเชิญผู้อาวุโสช่วยชี้แนะด้วย” สิงหั่วสวินอีขยับนิ้วมือเล็กน้อย
กลางอากาศด้านข้างมีโลกมายาใบหนึ่งปรากฏขึ้น หลังจากนั้นโลกก็เปลี่ยนจากมายากลายเป็นความจริง ดึงดูดพลังฟ้าดินโดยรอบให้พรั่งพรู แล้วมันก็หดเล็กลงราวกับลูกทรงกลมอย่างฉับพลัน
ตงป๋อเสวี่ยอิงม่านตาหดเล็กลงแล้วเอ่ยอย่างอดมิได้ว่า “คุกโลกาหรือ”
“เจ้าสำเร็จกระบวนท่าคุกโลกาแล้วหรือ วิถีโลกเทียมของเจ้าไปถึงขั้นกำเนิดแล้วหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึง
นี่เพิ่งจะนานเท่าไหร่กันเชียว!
สามร้อยปีเท่านั้นเอง
สิงหั่วสวินอีเผยรอยยิ้ม เขาพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “หลังจากผู้น้อยกลับไปแล้วก็เริ่มเจาะลึกระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ ‘วิถีโลกเทียม’ มีศาสตร์ลับที่ผู้อาวุโสมอบให้ บวกกับการสั่งสมอย่างลึกซึ้งเป็นที่สุดทางด้านเขตลวงของข้าตลอดระยะเวลาอันยาวนาน ข้าไปถึงขั้นรวมเป็นหนึ่งทางศาสตร์โบราณแล้ว นอกจากนี้ยังมีวัตถุที่ช่วยส่งเสริมการบำเพ็ญที่ท่านพ่อมอบให้อีกด้วย ดังนั้นจึงสามารถบำเพ็ญมาถึงระดับขั้นนี้ได้ขอรับ”
“แต่สามร้อยปี…” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังคงไม่กล้าเชื่อเช่นเดิม
“อ้อ ข้าบำเพ็ญภายในเจดีย์กาลเวลาของเมืองราชันย์มีด ความจริงบำเพ็ญมาสามล้านปีแล้วขอรับ” สิงหั่วสวินอีพูด
ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงได้กระจ่าง
นี่ก็ไม่เท่าไหร่นัก
ผู้ที่แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยบำเพ็ญวิถีโลกเทียมมาก่อนเลย ต่อให้มีการสั่งสมทางด้านเขตลวงของศาสตร์โบราณอย่างลึกซึ้ง แต่ว่าระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์มีความสมบูรณ์ของโลกเทียมมากกว่า ถึงขนาดไปถึง ‘ขั้นกำเนิดอากาศ’ ภายในสามร้อยปีอันแสนสั้น เช่นนั้นก็เป็นเรื่องที่เหนือจินตนาการแล้ว
ถ้าหากเป็นสามล้านปีก็ยังไม่เท่าไหร่นัก
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าหากแพร่ไปถึงโลกภายนอกก็ต้องทำให้ผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนตกตะลึงอยู่ดี เพราะว่าการศึกษาวิถีโลกเทียมไปควบคู่กับ ‘เขตลวงของศาสตร์โบราณ’ ย่อมง่ายดายอย่างยิ่ง เพราะตัวเขตลวงของศาสตร์โบราณเอง เดิมทีก็ไม่จำเป็นต้องเข้าใจเขตลวงอย่างลึกซึ้งนักอยู่แล้ว
ในทางกลับกัน… หากบำเพ็ญเขตลวงของศาสตร์โบราณให้ได้ก่อนแล้วค่อยบำเพ็ญวิถีโลกเทียมไปควบคู่กัน อยากจะบรรลุวิถีโลกเทียมอย่างยิ่งใหญ่นั้นกลับยากเย็นเป็นอย่างยิ่ง
สามล้านปี ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง ก็เพราะตัวเขาเองบำเพ็ญได้อย่างรวดเร็วเหลือเกิน เทียบกับตัวตงป๋อเสวี่ยอิงเองแล้ว สิงหั่วสวินอีมีวัตถุที่ช่วยส่งเสริมการบำเพ็ญ มีการสั่งสมศาสตร์โบราณ มาถึงขั้นนี้ในสามล้านปี เขารู้สึกว่าพอใช้ได้
แต่เมื่อเปรียบเทียบกับผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนในโลกภายนอกแล้วกลับชวนให้ผู้อื่นตกตะลึงยิ่งนัก
ถึงอย่างไรก็เพียงแค่ไม่กี่ล้านปีเท่านั้น…
พลังยุทธ์ก็เหยียบย่างจากชั้นที่สองของเจดีย์ดาวเข้าสู่ชั้นที่สามของเจดีย์ดาวแล้ว!
“ด้วยวิถีโลกเทียมขั้นกำเนิด การสำเร็จ ‘คุกโลกา’ นั้นยากเย็นยิ่ง” สิงหั่วสวินอีพูด “ในอดีตข้าเคยหยั่งรู้ส่วนประกอบมากมายของโลกเขตลวงภายในศิลาตรึงโลกา มีการสั่งสมอยู่บ้างจึงฝืนทำจนสำเร็จได้ แต่ว่ากระบวนท่าที่สอง ‘ฟองแตกสลาย’ กลับจำเป็นต้องไปถึงวิถีโลกเทียมขั้นรวมเป็นหนึ่ง ข้ารู้สึกว่าช่างยากเย็นเหลือเกิน มีข้อสงสัยอยู่มากพอสมควร ทำอย่างไรก็มิอาจเข้าใจทะลุปรุโปร่งได้”
ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวเราะ
ยังคิดว่าเจ้าเด็กผู้นี้อาศัยการสั่งสมศาสตร์โบราณนั้น สามารถทำให้วิถีโลกเทียมไปถึงขั้นรวมเป็นหนึ่งได้เสียอีก!
“เจ้าว่ามาสิ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
สิงหั่วสวินอีพยักหน้า ทันใดนั้นก็เจาะลึกไปพลาง ถามคำถามไปพลาง โลกลวงแห่งแล้วแห่งเล่าปรากฏขึ้นโดยรอบ
ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังแล้วก็ชี้แนะอย่างผ่อนคลาย ทุกครั้งต่างก็ชี้แนะถึงแก่นโดยตรง ชี้แนะสิ่งที่ตนเองไม่เชี่ยวชาญ ตนเองก็ได้แต่ให้คำชี้แนะบางอย่างโดยอาศัยประสบการณ์และตำราจำนวนนับไม่ถ้วนที่เคยอ่านในตำหนักหมื่นรูป ส่วนวิถีโลกเทียม วิถีเข่นฆ่า วิถีระลอกคลื่น และทางด้านห้วงอากาศที่ตนเชี่ยวชาญนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงกลับพูดได้อย่างสบายๆ
สิงหั่วสวินอีฟังแล้วดวงตาก็เปล่งประกาย ถึงขนาดที่ยามตื่นเต้นก็ยังมีสีหน้าเปี่ยมชีวิตชีวา ถึงอย่างไรข้อสงสัยทั้งหมดที่เขามีมานาน ต่างก็ถูกตงป๋อเสวี่ยอิงพูดอย่างกระจ่างแจ้งโดยอาศัยวิธีการที่ชาญฉลาดอย่างยิ่ง หรือแม้กระทั่งขยายความออกไปในหลายทิศทาง
การชี้แนะในครั้งนี้ยาวต่อเนื่องถึงสิบวันเต็มๆ
ริมทะเลสาบ
ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่นเช่นเดิม รัตติกาลผ่านพ้นไปแล้ว ดวงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้า
“ขอบคุณการชี้แนะของผู้อาวุโสตลอดหลายวันที่ผ่านมานี้ด้วยนะขอรับ” สิงหั่วสวินอีกล่าวขอบคุณอย่างเคารพ
“เจ้าหยั่งรู้ได้ไม่เลวเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ มิน่าเล่าสิงหั่วสวินอีผู้นี้จึงได้ก้าวหน้าในด้านเขตลวงของศาสตร์โบราณได้อย่างรวดเร็วถึงเพียงนั้น เป็นผู้ที่มีการหยั่งรู้สูงส่งที่สุดคนหนึ่งอย่างแท้จริง เป็นผู้ที่หยั่งรู้ได้สูงส่งที่สุดในบรรดาผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์จำนวนมากมายที่ตนชี้แนะมาตลอดหลายวันมานี้เลยทีเดียว
“เช่นนั้นตอนนี้ผู้น้อยสามารถกราบผู้อาวุโสเป็นอาจารย์ได้หรือยังเล่าขอรับ” สิงหั่วสวินอีเอ่ยถามอย่างอดมิได้
“ยังเร็วเกินไป รอให้งานชุมนุมใหญ่ดวงดาราสิ้นสุดลงก่อนค่อยว่ากันเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
สิงหั่วสวินอีมีความผิดหวังอยู่บ้างเล็กน้อยแต่ก็ยังคงพูดอย่างเคารพว่า “ผู้น้อยขอตัวกลับไปบำเพ็ญก่อนนะขอรับ การชี้แนะของผู้อาวุโสตลอดสิบวันมานี้ มีสิ่งที่ผู้น้อยจำเป็นต้องกลับไปบำเพ็ญหยั่งรู้อีกมากมายทีเดียว”
“ไปเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
สิงหั่วสวินอีทำความเคารพแล้วจากไปอย่างเชื่อฟังในทันที
ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงก็มองดูเงาร่างสิงหั่วสวินอีที่จากไปแล้วกลับเอ่ยเบาๆ ว่า “ตอนนี้เขามีพลังยุทธ์ชั้นที่สามของเจดีย์ดาว บำเพ็ญต่อไปเขาก็ต้องมีความก้าวหน้าขึ้นอีก ในบรรดาผู้บำเพ็ญของงานชุมนุมใหญ่ดวงดารา พรสวรรค์ในการหยั่งรู้ก็ต้องนับได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งอันดับสอง ในรายชื่อที่ข้าเลือกจะต้องเหลือที่เอาไว้ให้เขาคนหนึ่ง”
สำหรับสิงหั่วสวินอีนั้นเขาก็ยังค่อนข้างชมชอบ เพราะว่าสิ่งที่อีกฝ่ายเชี่ยวชาญก็คือวิถีโลกเทียมที่ตงป๋อเสวี่ยอิงภูมิใจในตนเองเป็นที่สุดพอดี
ได้พบผู้มีพรสวรรค์โดดเด่นที่เหมาะสมจะสืบทอดศาสตร์ลับของตนต่อไปสักคนหนึ่งก็มิใช่เรื่องง่ายดายสักเท่าใดเลย
………………………………………………
ตอนที่ 20 หน้าตา
โดย
Ink Stone_Fantasy
เข้าใกล้ระยะเวลาหนึ่งพันปีมากขึ้นเรื่อยๆ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ผ่อนคลายมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์ที่อยากจะมาก็ดูเหมือนจะมากันหมดแล้ว ยามที่พลังยุทธ์ยังมิได้ก้าวหน้าอย่างชัดเจน พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องมาพบอีกเป็นครั้งที่สอง
วันนี้บุรุษร่างผอมเกร็งคนหนึ่งเดินมาถึงด้านนอกประตูเรือนพักของตงป๋อเสวี่ยอิง กลิ่นอายที่เขาแผ่ออกมารางๆ ก็ทำให้ยามรักษาการณ์สองคนตกตะลึง ถึงแม้ว่ากลิ่นอายนี้จะแผ่ออกมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่การสัมผัสเพียงเล็กน้อยกลับกลายเป็นกลิ่นอายสังหารอันมืดฟ้ามัวดินเข้าโจมตีจิตวิญญาณ ทำให้เหล่ายามรักษาการณ์จิตใจสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว พวกเขาเคยพบพานขั้นรวมเป็นหนึ่งมามากมายเหลือเกิน เข้าใจว่าคนตรงหน้าแข็งแกร่งกว่าขั้นรวมเป็นหนึ่งมากมายนัก ควรจะเป็นยักษ์ใหญ่ขั้นอลวน ทันใดนั้นแต่ละคนก็ไม่กล้าไม่เคารพเลยแม้แต่น้อย
“ไปเรียนผู้อาวุโสตงป๋อ บอกว่าปาอวิ่นมาคารวะ” บุรุษผอมเกร็งเอ่ยอย่างเย็นชา
“ขอรับ ผู้อาวุโสโปรดรอสักครู่” ยามรักษาการณ์รีบเข้าไปถ่ายทอดคำพูดอย่างรวดเร็วในทันที
“พี่ปาอวิ่นหรือ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงรีบกระวีกระวาดออกมาต้อนรับ
บุรุษผอมเกร็งก็ย่อมไม่เย็นชาอีกต่อไป อีกทั้งยังเผยรอยยิ้มออกมา “ฮ่าฮ่า น้องตงป๋อ รู้ว่าเจ้ายุ่ง ดังนั้นจนถึงตอนนี้จึงค่อยมาเยี่ยมเยียนเจ้า”
“พี่ปาอวิ่นต้องการพบข้า ก็ย่อมได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว มาๆๆ เชิญเข้ามาเร็วเข้า” ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับเกรงอกเกรงใจเป็นอย่างยิ่ง ที่เขาเกรงอกเกรงใจนั้นก็มีเหตุผลอยู่ ถึงแม้ว่าประมุขวังปาอวิ่นผู้นี้จะเป็นยักษ์ใหญ่ขั้นอลวน แต่อ้างอิงจากข้อมูลแล้ว นับว่าเป็นพลังยุทธ์ระดับชั้นที่เจ็ดของเจดีย์ดาวเท่านั้น พลังยุทธ์เท่านี้ก็สูงกว่าตนเองอยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เหตุผลที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเกรงอกเกรงใจเช่นนี้ ก็เพราะประมุขวังปาอวิ่นเป็นศิษย์เพียงหนึ่งเดียวของจักรพรรดิดำ
จักรพรรดิดำมีบุญคุณถ่ายทอดวิชาให้แก่ตน!
คนทั้งสองแยกกันนั่งลง
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็หยิบเอาสุราชั้นเลิศที่สะสมไว้ออกมาแล้วรินสุราให้กับปาอวิ่นด้วยตนเอง
“พี่ปาอวิ่น ท่านมาพบข้าด้วยเหตุใดกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ “หากมีเรื่องอันใดได้โปรดพูดมาตรงๆ เลย”
“ฮ่าฮ่า ที่ข้ามาก็เพราะงานชุมนุมใหญ่ดวงดาราในครั้งนี้” ประมุขวังปาอวิ่นพูด “ข้ามีศิษย์รุ่นหลังคนหนึ่งมาเข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่ดวงดารา พลังยุทธ์ก็ไม่เลวเลย จัดอยู่ในห้าร้อยอันดับแรก แต่ในท้ายที่สุดแล้วจะถูกเลือกหรือไม่ก็มิได้มีหลักประกัน ดังนั้นจึงได้ขอร้องให้ข้าช่วยเหลือ ข้าเองก็ค่อนข้างชมชอบเจ้าเด็กผู้นี้ ดังนั้นจึงได้มาขอให้น้องตงป๋อช่วยเหลือ”
เมื่อได้ยินว่าจัดอยู่ในห้าร้อยอันดับแรก หัวใจของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย
เขาก็มิใช่ผู้ที่ไม่รู้จักยืดหยุ่น ขอเพียงแค่อีกฝ่ายมีศักยภาพสูงพอ ภายใต้สถานการณ์ที่อาจได้รับเลือกหรือไม่ได้รับเลือก ประมุขวังปาอวิ่นถึงกับมาขอร้องด้วยตนเอง ไว้หน้าสักหน่อยก็ไม่เป็นไร
ถึงอย่างไรก็เป็นเด็กรุ่นหลังที่มีศักยภาพ… เดิมทีก็เป็นการตัดสินใจเฉพาะบุคคลของเหล่าปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่อยู่แล้ว พวกเขาแต่ละคนมีประสบการณ์แตกต่างกัน การประเมินศักยภาพของเด็กรุ่นหลังก็มีความแตกต่างกันอยู่บ้าง อย่างเช่นเด็กรุ่นหลังสักคนหนึ่ง ตงป๋อเสวี่ยอิงประเมินศักยภาพที่ประมาณหนึ่งร้อยห้าสิบ ส่วนแม่ทัพเทียนกวงนั้นอาจจะประเมินไว้ประมาณที่หนึ่งร้อย ส่วนประมุขวังเจียงนั้นอาจจะประเมินไว้ประมาณที่สองร้อย
จะต้องมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง ไม่มีทางเหมือนกันอย่างแน่นอน
แต่ว่าพวกเขาต่างก็เป็นยอดฝีมือ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีความเข้าใจต่อขั้นรวมเป็นหนึ่งอย่างสูงส่งยิ่ง สำหรับการประเมินศักยภาพ ก็ไม่มีทางย่ำแย่เกินไปนัก
ดังนั้นขอเพียงแค่ศักยภาพสูงพอ ตงป๋อเสวี่ยอิงคิดว่าภายใต้สถานการณ์ที่อาจได้รับเลือกหรือไม่ได้รับเลือก ก็สามารถเลือกลงไปได้อย่างแน่นอน! ก็ไม่มีทางที่ใครจะคิดว่าเขาสุ่มมั่วมา หากแต่การประเมินศักยภาพอยู่นอกเหนือจากพันอันดับแรก สำหรับประมุขวังเจียงฝู่และแม่ทัพเทียนกวงนั้น ต่อให้การประเมินจะแตกต่างกันอยู่บ้าง ก็เกรงว่าคงจะอยู่นอกเก้าร้อยอันดับ เช่นนั้นก็ไม่มีทางเลือกแน่แล้ว
เลือกไปก็หน้าแตกเปล่าๆ
“อ้อ ถ้าหากศักยภาพไม่เลว ข้าก็ย่อมสามารถช่วยเหลือได้อย่างสุดกำลังแน่นอน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ
“ศักยภาพยังพอได้ เชื่อว่าหลังจากเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แล้วอนาคตก็ย่อมต้องยิ่งไม่ธรรมดาขึ้นไปอีก” ประมุขวังปาอวิ่นพูด
“ไม่ทราบว่าเขาชื่ออะไรหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
“เขาชื่อว่าเที่ยหลี่ว์” ประมุขวังปาอวิ่นพูดยิ้มๆ “จัดอยู่ในลำดับที่สี่ร้อยหกในการคัดเลือกเบื้องต้นของเจดีย์ดาว”
รอยยิ้มที่มีอยู่ของตงป๋อเสวี่ยอิงพลันชะงักค้างไปเสียแล้ว
เที่ยหลี่ว์หรือ
เที่ยหลี่ว์คือผู้บำเพ็ญไร้สังกัดคนหนึ่ง แต่กลับบำเพ็ญมาเกินหนึ่งหมื่นหกแสนล้านปีแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือภาพการต่อสู้ตอนที่เขาบุกเจดีย์ดาวนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็ได้เห็นแล้ว จัดอยู่ในลำดับที่สี่ร้อยหกนั้นฟังดูน่าฟังทีเดียว แต่ในความเป็นจริงแล้วก็ยังมิได้บุกผ่านชั้นที่สาม เพียงแค่จัดอยู่ในระดับบนสุดในบรรดาชั้นที่สองของเจดีย์ดาวเท่านั้น แม้กระทั่งการที่เขาจัดอยู่ในระดับบนสุดก็เป็นเพราะร่างกายของเขาเคยถูกดัดแปลงมาก่อนแล้ว!
ตอนนั้นที่ได้เห็นภาพ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ประเมินว่า “เที่ยหลี่ว์ผู้นี้จะต้องมีสมบัติล้ำค่าล้นเหลืออย่างแน่นอน เห็นได้ชัดว่าระดับขั้นธรรมดาอย่างยิ่ง คาดว่าคงมีพลังยุทธ์ระดับชั้นที่หนึ่งของเจดีย์ดาวเท่านั้นเอง แต่กลับเคยดัดแปลงร่างกายมาก่อน! อาศัยร่างกายอันแข็งแกร่งจนเกือบจะบุกผ่านชั้นที่สามได้แล้ว เขาเป็นเพียงแค่ผู้บำเพ็ญระบบเหล่ากลืนกินคนหนึ่งเท่านั้น แต่กลับดัดแปลงร่างกายเป็นพวกระบบทิพย์ เห็นได้ชัดว่าต้องมีผู้แกร่งกล้าคนอื่นช่วยดัดแปลงแน่”
ในความเป็นจริงก็สามารถเชิญผู้แกร่งกล้าคนอื่นมาช่วยดัดแปลงร่างกายของตนได้
ถึงขนาดที่หากมีศิลาปฐมโลกามากพอ ก็ยังสามารถเชิญ ‘บรรพชนทิพย์’ มาช่วยเหลือได้ ทำให้ร่างกายแกร่งกล้า ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนก็ยังยากที่จะทำลาย! แต่ว่ายิ่งดัดแปลงให้ล้ำเลิศมากเท่าใด ราคาก็ยิ่งเกินจริง มิสู้ซื้อหุ่นเชิดยังจะคุ้มค่ามากกว่า
เห็นได้ชัดว่าเพื่องานชุมนุมใหญ่ดวงดารา เที่ยหลี่ว์ผู้นี้ก็ทำการดัดแปลงร่างกายหมายจะอยู่ในอันดับสูงอย่างสุดกำลัง น่าเสียดายที่ตงป๋อเสวี่ยอิงและประมุขวังเจียงฝู่มิได้มีสายตามืดมัว มองเพียงปราดเดียวก็ประเมินได้แล้วว่าการดัดแปลงร่างกายนี้เป็นความช่วยเหลือของผู้อื่น ถ้าหากไม่ดัดแปลงเกรงว่าคงจัดอยู่ในอันดับเกินหนึ่งหมื่น ถึงแม้ว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญไร้สังกัด แต่ระยะเวลาในการบำเพ็ญก็ยาวนานเหลือเกิน พูดถึงการจัดอันดับศักยภาพก็ต้องถูกจัดอยู่เกินกว่าลำดับที่สามพันอย่างไม่ต้องสงสัยเลยแม้แต่น้อย!
สำหรับผู้ที่จัดอยู่เกินกว่าลำดับที่สามพันอย่างไม่ต้องสงสัยเลยคนหนึ่งนั้น…
ตนเองจะเลือกเขาเข้าไปได้อย่างไรกันเล่า
ตงป๋อเสวี่ยอิงเงยหน้าขึ้นมองประมุขวังปาอวิ่นตรงหน้า ประมุขวังปาอวิ่นมีรอยยิ้มเต็มหน้าเช่นเคย “น้องตงป๋อ ผู้บำเพ็ญไร้สังกัดที่สามารถจัดอยู่ในสี่ร้อยลำดับได้อย่างเขาคนหนึ่ง ศักยภาพก็ไม่เลวเลยทีเดียวนะ”
“เขาได้ขอให้ผู้แกร่งกล้าคนอื่นดัดแปลงร่างกาย จึงสามารถจัดอยู่ในสี่ร้อยลำดับได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะ “พวกเราเลือกกันด้วยการดูจากศักยภาพ ผู้แกร่งกล้าคนอื่นดัดแปลงให้ ก็มิอาจนับได้ว่าเป็นศักยภาพของเขา”
“น้องตงป๋อ เจ้าสามารถเลือกได้ถึงยี่สิบคน นอกจากนี้ ศักยภาพน่ะหรือ ปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่แต่ละคนมีสายตาที่แตกต่างกัน สายตาของเจ้ามองเห็นศักยภาพอันพิเศษของเขาอยู่คนเดียวแล้
เลือกเขาก็เป็นเรื่องธรรมดายิ่งนัก” ประมุขวังปาอวิ่นพูดยิ้มๆ
ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้ว
ลูกศิษย์ของผู้อาวุโสจักรพรรดิดำผู้นี้ ตนเองพูดจนถึงขนาดนี้แล้วเหตุใดจึงยังบีบบังคับตนเช่นนี้อยู่ได้เล่า
“ข้าจะพยายามแล้วกัน ข้ายังมีธุระต้องออกไปจัดการอีก” ตงป๋อเสวี่ยอิงลุกขึ้นยืน
“น้องตงป๋อ เจ้าให้คำตอบที่แน่ชัดกับข้ามาเลยดีกว่า ข้าจะได้วางใจเสียที” ประมุขวังปาอวิ่นพูด
“จะพยายาม” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
“เอาอย่างนี้แล้วกัน หากเจ้าเลือก ข้าก็เต็มใจจะมอบสองพันก้อนศิลาปฐมโลกาให้กับน้องตงป๋อ” ประมุขวังปาอวิ่นอมยิ้ม เที่ยหลี่ว์ผู้นั้นมีสมบัติล้ำค่าล้นเหลือจริงๆ ไม่เพียงแต่ดัดแปลงร่างกายเท่านั้น ยังเข้าใจข้อมูลโดยละเอียดของปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ทั้งห้าท่าน จึงได้หาตัวประมุขวังปาอวิ่นให้มาช่วยขอร้อง ค่ามัดจำก็คือหนึ่งร้อยศิลาปฐมโลกา เมื่อจัดการธุระเสร็จแล้วก็พร้อมจะจ่ายอีกห้าร้อยศิลาปฐมโลกา
หกร้อยศิลาปฐมโลกา ก็คงจะทำให้เขาเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้!
“พี่ปาอวิ่น” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยอย่างจนใจ “ท่านก็ควรจะเข้าใจว่า ด้วยสถานะขั้นรวมเป็นหนึ่งของข้า มารับหน้าที่ปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ เดิมทีก็เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอยู่แล้ว ข้าอยู่ที่นี่ไม่เพียงแค่เป็นตัวแทนของข้าเพียงคนเดียวเท่านั้น ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือเป็นตัวแทนของวังทวีสูญของข้า ข้ามีอาจทำลายหน้าตาของวังทวีสูญของข้าได้ ดังนั้นธุระของท่าน ข้าไม่มีวิธีจริงๆ ศักยภาพของเขานั้นเกรงว่าคงจะจัดอยู่เกินลำดับที่สามพันกระมัง”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดอย่างซื่อสัตย์ชัดเจนแล้วก็หวังว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจ
“เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เท่านั้นเองน่ะหรือ จะไปเกี่ยวข้องถึงหน้าตาวังทวีสูญได้อย่างไรกัน” ประมุขวังปาอวิ่นขมวดคิ้วพูด “เอาล่ะ พวกเราสองคนพบหน้ากันเป็นครั้งแรกในวันนี้ก็อย่าทำให้น่าเกลียดเกินไปนักเลย ไว้หน้าข้าบ้าง ก็แค่เก้าอี้เดียวเท่านั้น ตกลงกันเช่นนี้แหละ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงสีหน้าเปลี่ยนแปรเล็กน้อยแล้วยืดกายขึ้นในทันใด “พี่ปาอวิ่น ข้ายังมีธุระต้องทำ มิอาจอยู่เป็นเพื่อนได้แล้ว เชิญท่านกลับเถิด”
สีหน้าของประมุขวังปาอวิ่นเยียบเย็นลงมาในทันใด “ไม่รับปากจริงๆ น่ะหรือ”
“หมดหนทาง” ตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็พูดตรงๆ
“หึๆ”
ประมุขวังปาอวิ่นแสยะยิ้ม “ขั้นรวมเป็นหนึ่งตัวเล็กๆ อย่างเจ้า ได้รับเคล็ดวิชาสืบทอดของอาจารย์ข้า ไม่รู้จักบุญคุณก็แล้วไปเถิด ข้ามาขอให้เจ้าช่วยเหลือด้วยตนเอง แต่เจ้าถึงกับไม่ไว้หน้ากันเลยเช่นนี้ ยังมีอีก เจ้าอย่าได้เรียกข้าว่าพี่ปาอวิ่น เจ้ามันก็แค่ขั้นรวมเป็นหนึ่งคนหนึ่ง ยังไม่มีสิทธิ์มาเรียกหาเป็นพี่น้องกับข้าหรอกนะ”
เขาโมโหแล้วจริงๆ
เขาเป็นยักษ์ใหญ่ขั้นอลวน ทั้งยังเป็นศิษย์เพียงหนึ่งเดียวของจักรพรรดิดำอีกด้วย ปกติแล้วข้างนอกมีใครบ้างที่ไม่เห็นแก่หน้าเขา เขามีความรู้สึกดูแคลนขั้นรวมเป็นหนึ่ง ในใจก็มิได้เห็นตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ในสายตาเลย ชั้นที่หกของเจดีย์ดาวแล้วอย่างไรหรือ ในประวัติศาสตร์มีผู้ที่ค้างอยู่ที่ชั้นที่หกของเจดีย์ดาวเป็นระยะเวลาเนิ่นนานก็ยังไม่สามารถเข้าสู่ขั้นอลวนได้ก็มีอยู่ไม่น้อย เช่นประมุขเจดีย์เหลยเหยียนก็ค้างอยู่ที่นั่นมาโดยตลอด หรืออย่างเช่นประมุขโลกอนธการก็ยิ่งตกต่ำลงไปนานแล้ว
ในใจของประมุขวังปาอวิ่นมิได้เห็นตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ในสายตาเลยจริงๆ แม้กระทั่งการเรียกหาเป็นพี่น้อง เขาก็ยังรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง เพียงแต่ว่ามาขอร้องคน จึงได้รักษารอยยิ้มคุยธุระอย่างกระตือรือร้น ไหนเลยจะคิดว่าเขาอุตส่าห์ไว้หน้าแล้ว แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงผู้เป็นเพียงขั้นรวมเป็นหนึ่งคนหนึ่งจะไม่ไว้หน้าเช่นนี้ ให้เขาสองร้อยศิลาปฐมโลกาก็ยังไม่รับปากอีก สมบัติล้ำค่าทั้งเนื้อทั้งตัวของตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้รวมกันจะมีมูลค่าสักเท่าใดกัน หนึ่งพันศิลาปฐมโลกาก็สุดๆ แล้วกระมัง สองร้อยศิลาปฐมโลกาก็เป็นเงินก้อนโตแล้ว
“เรียกหาเป็นพี่น้องหรือ ดูท่าจะเป็นข้าที่ล้ำเส้นไปเอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เอ่ยเสียงเย็น
พูดมาจนถึงขนาดนี้ก็ไม่จำเป็นต้องไว้หน้าอีกต่อไปแล้ว
“เด็กๆ ส่งแขกด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่งเสียงออกไป
นอกประตูลานบ้านมีสาวใช้เข้ามาในทันที สาวใช้เดินไปยังข้างกายประมุขวังปาอวิ่น มีความประหม่าเล็กน้อยแต่ก็ยังเอ่ยว่า “เชิญเจ้าค่ะ!”
ต่อให้ประมุขวังปาอวิ่นโอหังกว่านี้ก็ยังไม่กล้าสามหาวภายในที่มั่นของเมืองราชันย์มีด
“หึๆ ช่างกล้านัก” ประมุขวังปาอวิ่นยิ้มเย็น
“ว่าอย่างไร ยังไม่ไปอีกหรือ ต้องให้ข้าผลักท่านออกไปหรืออย่างไรกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยเสียงเย็น
“ดี ดีมาก” ประมุขวังปาอวิ่นหันหน้าเดินออกไปพร้อมรอยยิ้มหยัน สองสามก้าวก็จากไปอย่างรวดเร็ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงแค่นเสียงเฮอะเยียบเย็นคราหนึ่ง
ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนแล้วอย่างไรเล่า เป็นเพียงพลังยุทธ์ชั้นที่เจ็ดสูงกว่าตนเพียงแค่ขั้นเดียวเท่านั้น ต่อให้ขับเคี่ยวกับตน ตนก็ไม่กลัวเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าตนเองก็ใกล้จะไปถึงขั้นอลวนแล้ว พอเหยียบย่างเข้าสู่ขั้นอลวนแล้วก็จะเหนือกว่าเขาได้อย่างง่ายดาย ตนเองเกรงอกเกรงใจถึงเพียงนี้ก็รักษามารยาทเพียงใดแล้ว ทั้งหมดก็เพราะเห็นแก่หน้าจักรพรรดิดำ
แต่ตนเองเคารพจักรพรรดิดำก็มิได้หมายความว่าจะเคารพลูกศิษย์ของเขาด้วย
ในเมื่อไว้หน้าแล้วไม่รักษาหน้า เช่นนั้นก็ได้แต่ผลักเขาออกไปเช่นนี้แล้ว
…………………………………………
ตอนที่ 21 รายชื่อ
โดย
Ink Stone_Fantasy
เดินออกจากเรือนพัก ประมุขวังปาอวิ่นก็หันกลับไปมองด้วยสีหน้าอึมครึมปราดหนึ่ง นี่ทำให้ยามรักษาการณ์สองคนตรงประตูเรือนพักไม่กล้าแม้แต่จะสูดลมหายใจ
“ขั้นรวมเป็นหนึ่งตัวเล็กๆ ช่างจองหองโง่เขลานัก!” ประมุขวังปาอวิ่นพูดเสียงเยียบเย็นประโยคหนึ่งแล้วจากไปในทันที
นี่ทำให้ยามรักษาการณ์สองคนตรงประตูมองหน้ากันไปมา
“เขากำลังพูดว่าผู้อาวุโสตงป๋อจองหองโง่เขลาอย่างนั้นหรือ”
“ดูท่าทางเขากับผู้อาวุโสตงป๋อคงจะแตกคอกันเสียแล้ว ผู้อาวุโสตงป๋อนี่ก็จริงๆ เลย ต่อให้ปฏิเสธขั้นอลวน ก็ไม่ควรจะทำเสียไม่น่าดูเช่นนี้เลย” ยามรักษาการณ์สองคนนี้ถ่ายเสียงพูดคุยกัน ถึงขนาดที่พวกเขาถ่ายทอดเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่นี่ไปให้สหายจำนวนหนึ่งวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างรวดเร็ว
พวกเขายามรักษาการณ์และผู้ดูแลเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ที่เมืองราชันย์มีดจัดหามา เป็นชนชั้นล่างของเมืองราชันย์มีด มารับใช้ตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นการชั่วคราวในช่วงที่จัดงานชุมนุมใหญ่ดวงดารา พองานชุมนุมใหญ่ดวงดาราสิ้นสุดลงแล้ว พวกเขาก็คร้านจะสนใจผู้อาวุโสตำหนักในแห่งวังทวีสูญอะไรนั่นแล้ว ดังนั้นความลับของ ‘บุคคลผู้ยิ่งใหญ่’ เหล่านี้ พวกเขาก็วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างสนุกปาก
เพียงไม่นาน
ข่าวลือสะพัดออกไป คนจำนวนไม่น้อยต่างก็รู้ว่าประมุขวังปาอวิ่นพูดว่าตงป๋อเสวี่ยอิง ‘จองหองโง่เขลา’ และผู้ที่ล่วงรู้เรื่องนี้ส่วนใหญ่ก็ยังยืนอยู่ฝั่งประมุขวังปาอวิ่น
เพราะอากาศอันสับสนอลหม่านและมหาโลกทิพย์ทั้งห้านั้นคุ้นชินกับสถานะอันสูงส่งของยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนเสียแล้ว ขั้นรวมเป็นหนึ่งเผชิญกับขั้นอลวนก็ควรจะเคารพนบนอบ!
……
ทว่าตงป๋อเสวี่ยอิงกลับคร้านจะไปสนใจเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากโลกภายนอก มีเพียงผู้อ่อนแอเท่านั้นจึงจะสนใจทุกความเคลื่อนไหวของเหล่าผู้แกร่งกล้า ผู้แกร่งกล้าที่แท้จริงมีหรือที่จะไปสนใจเรื่องหยุมหยิมของ ‘ผู้อ่อนแอ’ ก่อนที่จะมีขั้นอลวนเป็นหลักประกัน เขาก็ย่อมมิอาจล่วงเกินขั้นอลวน ได้แต่อดทนเอาสักหน่อยเท่านั้น แต่ภายใต้หลักฐานอันแน่นอนให้มั่นใจว่าจะบรรลุได้แน่ ถึงแม้ว่าจะเกรงอกเกรงใจรักษามารยาท แต่ก็มิอาจทนยอมให้อีกฝ่ายมาดึงจมูกกลางหน้าได้ ฉีกหน้าแล้วอย่างไรเล่า อีกไม่นานสักเท่าใดตนก็จะสามารถเหนือกว่าเขาได้อย่างง่ายดายแล้ว
“หืม”
วันนี้ ในขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังนั่งสมาธิบำเพ็ญอยู่อย่างเงียบๆ ภายในเรือนพักริมทะเลสาบ
ทันใดนั้นก็ได้รับข้อความส่งสารชิ้นหนึ่ง
เป็นข้อความที่ ‘เจ้าลัทธิภาพจิต’ ผู้ดูแลงานชุมนุมใหญ่ดวงดาราในครั้งนี้ส่งมา
“ยังเหลืออีกตั้งครึ่งปีกว่าจะครบพันปี ประมุขวังเจียงฝู่ก็ส่งรายชื่อให้เจ้าลัทธิภาพจิตแล้วหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึง ข้อความที่เจ้าลัทธิภาพจิตส่งมาก็คือรายชื่อของทั้งยี่สิบคนที่ประมุขวังเจียงฝู่เลือกมาเรียบร้อยแล้ว
“อืม เลือกได้ไม่เลวเลยทีเดียว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงดูรายชื่อที่เจ้าลัทธิภาพจิตส่งมารอบหนึ่ง ในการประเมินของตนต่างก็มีศักยภาพจัดอยู่ในสามร้อยคนแรก
“เฉินฉง” ตงป๋อเสวี่ยอิงแย้มยิ้ม เขาก็ค้นพบชื่อนี้เช่นกัน “จ้าวหลงฉางก็คงจะเคยไปพบประมุขวังเจียงฝู่มาเช่นกัน เดิมทีข้าก็คิดเอาไว้ว่าจะเลือกเขาเหมือนกัน”
เจ้าเด็กที่ชื่อเฉินฉง ระยะเวลาในการบำเพ็ญสั้นนัก หนึ่งพันปีมานี้ก็เคยมาขอให้ตนสอนอยู่สามครั้ง ความก้าวหน้าก็ค่อนข้างเห็นได้ชัด พูดถึงศักยภาพนั้นเกรงว่าจะสามารถจัดอยู่ในยี่สิบอันดับแรกได้เลยทีเดียว
……
เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า
ทั้งงานชุมนุมใหญ่ดวงดาราเริ่มคุกรุ่น ข่าวลือแพร่สะพัดออกไปจนเริ่มรู้กันทั่วว่ารายชื่อของปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ค่อยๆ ทยอยส่งกันแล้ว
ประมุขวังเจียงฝู่มมีสถานะสูงส่งที่สุดส่งรายชื่อเป็นคนแรก
ครึ่งเดือนให้หลัง ประมุขเกาะจื่อถูผู้เป็นอิสตรีเพียงคนเดียว นางส่งรายชื่อเป็นคนที่สอง
ผ่านไปหนึ่งเดือน บรรพชนงูอู่เจ๋อก็ส่งรายชื่อแล้วเช่นกัน
ผ่านไปอีกหนึ่งเดือน เมืองราชันย์มีดที่รับผิดชอบจัดงานชุมนุมใหญ่คราวนี้ ‘แม่ทัพเทียนกวง’ สิ่งมีชีวิตขั้นอลวนที่พวกเขาส่งมาก็ส่งรายชื่อแล้วเช่นกัน
ตงป๋อเสวี่ยอิงผู้เป็นขั้นรวมเป็นหนึ่ง เขาย่อมรู้การควรมิควรเป็นอย่างดี เลือกส่งรายชื่อเป็นคนสุดท้าย
“โปรดถ่ายทอดวาจา ตงป๋อเสวี่ยอิงมาคารวะเจ้าลัทธิภาพจิต” ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่หน้าคฤหาสน์อันใหญ่โตมโหฬารแห่งหนึ่ง สถานที่พำนักของเจ้าลัทธิภาพจิตก็ย่อมเป็นที่พำนักของตนในเมืองราชันย์มีด
“เป็นตงป๋อเสวี่ยอิง”
“ตงป๋อเสวี่ยอิง หนึ่งในห้าปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่”
“เขาก็มาส่งรายชื่อแล้วเช่นกัน”
ด้านนอกประตูคฤหาสน์อันใหญ่โตมโหฬารของเจ้าลัทธิภาพจิตก็มีผู้คนกำลังจับตาดูอยู่ไม่น้อยอยู่แล้ว โดยเฉพาะเหล่าผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์ที่ให้ความสนใจกับรายชื่ออย่างตื่นเต้นเป็นที่สุดจำนวนหนึ่ง พวกเขาได้คิดหาวิธีล่วงรู้รายชื่อที่ปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่สี่ท่านส่งไปก่อนหน้านี้แล้ว ตอนนี้เหลือเพียงตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้เพียงคนเดียวเท่านั้น รายชื่อมิได้เป็นความลับระดับสูงสักเท่าใดนัก เจ้าลัทธิภาพจิตและปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ห้าท่าน ยังมีขั้นอลวนอีกมากมายที่มาดูงาน ต่างก็ได้รับมาส่วนหนึ่ง
ถึงอย่างไรเดิมทีก็ต้องเปิดเผยอยู่แล้ว ย่อมไม่จำเป็นต้องเป็นความลับแต่อย่างใดเลย
“ส่วนสุดท้ายแล้ว”
“ส่วนนี้มีอยู่ยี่สิบรายชื่อ หวังว่าหนึ่งในนั้นจะมีข้าอยู่ด้วย”
“โอกาสสุดท้ายแล้ว”
เหล่าผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์จำนวนหนึ่งที่เฝ้าอยู่รอบๆ ด้านนอกประตูคฤหาสน์ของเจ้าลัทธิภาพจิตต่างก็กระวนกระวายเป็นอย่างยิ่ง แอบคาดหวังอย่างเงียบๆ พันปีก่อนหน้านี้พวกเขาจำนวนมากต่างก็เคยไปเยี่ยมคารวะตงป๋อเสวี่ยอิงมาก่อน เพียงแต่ว่าแต่ไหนแต่ไรตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไม่เคยมีวาจาที่แน่ชัดกับพวกเขามาก่อนเลย
ภายในเรือนพัก
ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินมุ่งหน้าเข้าไปด้านในด้วยการนำทางของเด็กรับใช้ ผ่านทางเดินอันคดเคี้ยว เดินขึ้นไปยังจัตุรัสอันกว้างใหญ่ ในที่สุดก็เดินไปทางตำหนักใหญ่สีดำอันสูงตระหง่านแห่งนั้น ตำหนักใหญ่แห่งนี้องอาจอย่างหาใดเปรียบ คิดเป็นพื้นที่ราวๆ หนึ่งในสิบส่วนของทั้งคฤหาสน์ มีอาณาบริดวณถึงหมื่นลี้ มันก็คืออาคารที่ตระการตาที่สุดในเมืองราชันย์มีด
นี่ก็คือ ‘ตำหนักภาพจิต’ อันเลื่องชื่อ
“ตำหนักภาพจิต” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ เขารู้ว่าปกติแล้วเจ้าลัทธิภาพจิตจะบำเพ็ญอยู่ภายในตำหนักภาพจิตโดยตลอด นี่ก็คือวังอันแสนพิเศษที่สร้างขึ้นมาเพื่อการบำเพ็ญโดยเฉพาะ
“ผู้อาวุโสตงป๋อ เจ้าลัทธิอยู่ที่นี่ขอรับ” ผู้ดูแลหยุดลงที่หน้าตำหนัก
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าแล้วย่างเท้าเข้าไป
ตำหนักภาพจิตอันมโหฬารสูงใหญ่เปิดกว้าง ภายในโถงตำหนักอันใหญ่โตคิดเป็นพื้นที่ราวหมื่นลี้นั้นว่างเปล่า ไม่มีสิ่งของใดๆ มีเพียงเงาร่างสายหนึ่งนั่งขัดสมาธิตามลำพังอยู่บนพื้นภายในโถงตำหนักอันใหญ่มหึมาแห่งนี้ เจ้าลัทธิภาพจิตสวมอาภรณ์ตัวหลวม อาภรณ์ก็ลาดอยู่บนพื้น แผ่นหลังของเขามีความค่อมคดอยู่บ้าง เขามองดูตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยใบหน้าเจือรอยยิ้มสายหนึ่ง
ถึงแม้ว่าจะมิได้ส่งกลิ่นอายใดเลยแม้แต่น้อย ทว่าตงป๋อเสวี่ยอิงกลับรู้สึกว่าตำหนักภาพจิตในความรู้สึกของตนดูคล้ายจะขยายใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้น อย่างไม่หยุดหย่อน…
ไร้ซึ่งขอบเขต ความมืดมนไร้ที่สิ้นสุด ทั่วทั้งตำหนักภาพจิตราวกับจักรวาลอันไพศาลไร้ขอบเขต
ส่วนเจ้าลัทธิภาพจิตก็คือแก่นของจักรวาลแห่งนี้ เขานั่งอยู่ที่นั่นคล้ายกับเป็นเจ้าของจักรวาล
“ต่างก็พูดกันว่ายักษ์ใหญ่ขั้นอลวนผู้เป็นชั้นที่เก้าของเจดีย์ดาว ประสบความสำเร็จในสักด้านหนึ่ง ไม่ด้อยไปกว่าระดับเทพจักรวาล มิได้ผิดไปจากความจริงเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงได้เห็นฉากนี้ ถึงแม้ว่าเจ้าลัทธิภาพจิตจะมิได้ส่งกลิ่นอายใดเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังมิได้สำแดงเคล็ดวิชาใดๆ เพียงแค่เขานั่งอยู่ภายในตำหนักภาพจิต ก็ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจความน่ากลัวของอีกฝ่ายได้แล้ว
อย่างน้อยตอนนี้
หากอีกฝ่ายต้องการสังหารตนก็สามารถทำได้อย่างง่ายดาย
ต่อให้มีสมบัติล้ำค่าคุ้มร่างที่บรรพชนเทียนอวี๋มอบให้ก็เกรงว่าคงจะต้านทานเอาไว้ได้เพียงอึดใจเดียวเท่านั้น
“ผู้อาวุโสตงป๋อ” ใบหน้าอัปลักษณ์ของเจ้าลัทธิภาพจิตมีพลังทำให้คนอบอุ่นใจ น้ำเสียงของเขาก็อ่อนโยนเช่นกัน “รายชื่อของปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่สี่ท่านก่อนหน้าได้ส่งมาเรียบร้อยแล้ว เจ้าส่งรายชื่อมา เช่นนั้นรายชื่อของทั้งหนึ่งร้อยคนที่พวกเจ้าเลือกมาก็สามารถประกาศออกไปได้แล้ว”
“ข้าเลือกได้เรียบร้อยแล้วล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าพลางโบกมือคราหนึ่ง เบื้องหน้าก็มีม้วนสาสน์ผ้าไหมสีทองปรากฏขึ้นแล้วลอยไปทางเจ้าลัทธิภาพจิตผู้นั้น
หลังจากที่เจ้าลัทธิภาพจิตรับมาแล้วก็ถือวิสาสะดูรอบหนึ่ง ทันใดนั้นหัวคิ้วก็ขมวดน้อยๆ สายตาจับอยู่บนรายชื่อหนึ่งในยี่สิบรายชื่อ…สิงหั่วสวินอี!
เจ้าลัทธิภาพจิตเงยหน้าขึ้นมองตงป๋อเสวี่ยอิง
สิงหั่วสวินอีหรือ
เป็นถึงผู้จัดงานชุมนุมใหญ่ดวงดาราในครั้งนี้ เจ้าลัทธิภาพจิตก็ย่อมต้องรู้ข้อมูลของผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์ทั้งหมดเช่นกัน สำหรับสิงหั่วสวินอีนั้นเขาก็ย่อมให้ความสนใจอยู่แล้ว เพราะนั่นคือบุตรชายคนเล็กของ ‘จักรพรรดิสิงหั่ว’ ผู้แกร่งกล้าขั้นสุดยอดในระดับเดียวกันกับเขา มีเบื้องหลังเช่นนี้ ทั้งยังบำเพ็ญมาเกินกว่าห้าแสนล้านปี แต่จัดอยู่เพียงในอันดับที่สามพันหกร้อยกว่าเท่านั้น น่ากลัวว่าศักยภาพคงจะจัดอยู่เกินกว่าอันดับที่ห้าพันของผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์ในครั้งนี้แล้วกระมัง
พูดจากใจจริง เจ้าลัทธิภาพจิตยังค่อนข้างมีความรู้สึกอันดีต่อตงป๋อเสวี่ยอิง ถึงอย่างไรก็เป็นขั้นรวมเป็นหนึ่งที่แข็งแกร่งที่สุดของโลกทิพย์ทั้งสองที่เกิดขึ้นมาในยุคนี้ สามารถเทียบได้กับเหลยเหยียนแห่งโลกทิพย์นิจนิรันดร์
“เจ้าแน่ใจนะว่ารายชื่อจะไม่เปลี่ยนแปลงอีกแล้ว” เจ้าลัทธิภาพจิตมองตงป๋อเสวี่ยอิง “ตอนนี้ข้ายังมิได้ประกาศออกไปอย่างเป็นทางการ เจ้ายังสามารถแก้ไขได้อยู่นะ”
“ไม่จำเป็นต้องแก้ไขหรอก” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า
เจ้าลัทธิภาพจิตลังเลอยู่ชั่วครู่แล้วจึงเอ่ยว่า “ผู้อาวุโสตงป๋อ ข้าได้ยินมาว่าบรรพชนเทียนอวี๋เสนอชื่อเจ้ามาเป็นปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ดวงดาราในคราวนี้ ในบรรดาเทพจักรวาลห้าคน มีสองคนที่คัดค้าน เจ้าผ่านมาได้อย่างทุลักทุเล การเลือกของเจ้าไม่เพียงแต่เจ้าคนเดียวเท่านั้น แต่หมายถึงวังทวีสูญของเจ้าด้วยนะ”
รายชื่อล้วนเปิดเผยเป็นสาธารณะ
ถึงแม้ว่าจะมีผู้แกร่งกล้าบางคนที่อาจจะเห็นแก่ตัวไม่รักษาหน้า แต่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็ยังไม่อยากเสียหน้า ถูกผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนลอบหัวเราะเยาะให้อับอายขายหน้าวังทวีสูญ
“ขอบคุณเจ้าลัทธิภาพจิตที่มีเจตนาดี ข้าเลือกมาเรียบร้อยแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ
เจ้าลัทธิภาพจิตลอบส่ายศีรษะ เขาสามารถแนะนำได้สองประโยคก็หาได้ยากยิ่งแล้ว จากนั้นก็พยักหน้าในทันใด “เอาล่ะ เช่นนั้นรายชื่อก็ตกลงตามนี้แหละ”
รายชื่อเป็นที่แน่นอนแล้ว
พร้อมกันนั้นเจ้าลัทธิภาพจิตก็ประกาศรายชื่อออกไปทุกหนแห่ง ในเวลาเดียวกันก็เริ่มจัดอันดับ เริ่มเปิดเผยรายชื่ออย่างสมบูรณ์!
……………………………………….
ตอนที่ 22 ความแค้นเคืองของประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ผู้อาวุโสตงป๋อ หนึ่งในปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ก็ได้ส่งรายนามมาแล้วเช่นกัน” ข่าวนี้แพร่ไปในหมู่ผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์อย่างรวดเร็ว พวกเขาเร่งมุ่งหน้าไปยังงานชุมนุมใหญ่ดวงดาราทันที เพราะตามกฎของงานชุมนุม เมื่อห้าปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ส่งรายนามมาหมดแล้ว งานชุมนุมใหญ่ดวงดาราก็จะประกาศรายนามนี้ออกมาอย่างเป็นทางการ
“หวังว่าข้าจะอยู่ในรายนามนะ”
“ต้องอยู่ ต้องอยู่แน่นอน”
ผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์จำนวนมากเข้ามายังสถานที่จัดงานชุมนุมใหญ่ดวงดาราแล้วมองไปยังทิศของเจดีย์ดาว พวกเขาล้วนรอคอยให้รายนามสุดท้ายประกาศออกมา หลายคนตื่นเต้นและกระวนกระวาย จะเป็นคนธรรมดาคนหนึ่งภายในโลกทิพย์อันกว้างใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนต่อไป หรือจะถลาขึ้นสู่ฟ้าในก้าวเดียวด้วยการเข้าสู่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์! พวกเขาบางคนที่บำเพ็ญมาไม่ถึงล้านล้านปีก็ยังมีคุณสมบัติจะเข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่ดวงดาราในครั้งต่อไปได้
แต่พวกที่บำเพ็ญมานาน หากพลาดครั้งนี้ไปแล้วก็จะไม่มีโอกาสอีก!
อาศัยตนเองในการเคี่ยวกรำและผจญอันตรายจำนวนนับไม่ถ้วน คิดจะเข้าสู่ขั้นอลวนก็ยากยิ่งนัก ตลอดคืนวันอันยาวนานของโลกทิพย์แห่งหนึ่งจะมียักษ์ใหญ่ขั้นอลวนทั้งหมดสักกี่คนกันเชียว ดังเช่นโลกทิพย์ทั้งสอง ระดับขั้นอลวนเกือบครึ่งล้วนมาจากขุมอำนาจสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ส่วนยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนที่เหลือเหล่านั้น เดิมทีบางคนก็เป็นคนของขุมอำนาจสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เพียงแต่เมื่อเทพจักรวาลตกต่ำลง ขุมอำนาจสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นก็สลายหายไป พวกเขาจึงทำได้เพียงอาศัยตนเองเท่านั้น
หากพูดอย่างเคร่งครัดแล้ว ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนถึงเจ็ดแปดส่วนล้วนบ่มเพาะมาจากขุมอำนาจของเทพจักรวาล โดยทั่วไปที่เหลืออยู่สองสามส่วนล้วนมาจากปาฏิหาริย์ต่างๆ
หากไม่มีปาฏิหาริย์มากพอ จะอาศัยตนเองสำเร็จเป็นขั้นอลวนก็ยากเกินไปแล้ว
ต่อให้ผจญอันตรายอยู่ข้างนอก เมื่อพบศิษย์ของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ โดยทั่วไปก็ไม่กล้าสังหาร ส่วนผู้ที่ไม่มีเบื้องหลัง กลับต้องตายไปไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่
“ต้องเข้าไปให้ได้”
“ในรายนามต้องมีชื่อข้าอยู่แน่ ต้องมีแน่นอน” ผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์เหล่านี้ต่างพากันเงยหน้ามองอย่างรอคอยด้วยความกระวนกระวายใจ
“ตู้ม!”
หลังจากกลิ่นอายอันยิ่งใหญ่ระลอกหนึ่ง
กลางท้องฟ้าข้างเจดีย์ดาวเริ่มมีรายนามปรากฏขึ้นห้าแถว
ด้านหน้าสุดของรายนามแต่ละแถว ยังมีชื่อของปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่อยู่ด้วย
เช่นรายนามที่ตงป๋อเสวี่ยอิงส่งไปนั้นก็อยู่ในแถวที่ห้า…“ผู้อาวุโสตงป๋อ:มือกระบี่อวิ่นเฉิน สิงหั่วสวินอีและโหมวเจีย…”
“ชื่อข้า ชื่อข้า” ผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์เหล่านี้พากันเงยหน้ามองดูโดยละเอียด
กลางฟากฟ้า ชื่อของห้าปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่และผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์ทั้งร้อยคนปรากฏขึ้นมา ปรมาจารย์แต่ละคนมีรายชื่อที่เกี่ยวข้องทั้งหมดยี่สิบชื่อ
“ไม่มี…” ผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์บางคนก็มองดูอย่างตกตะลึง แล้วมองดูอย่างละเอียดรอบแล้วรอบเล่าเพราะไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเอง
“เป็นข้า!” และก็มีบางคนที่ถูกเลือก พวกเขาเผยสีหน้าตื่นเต้นออกมา ผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์บางคนก็ถูกเลือกเช่นกัน เมื่อเห็นชื่อของตนอยู่กลางอากาศก็ยังคงยืนมาดขรึมอยู่ เพียงแต่มุมปากที่กระดกขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นอารมณ์ในใจของพวกเขา
ผู้ที่ตื่นเต้นยินดีอย่างแท้จริงมีเพียงจำนวนน้อยนิดยิ่งนัก
หนึ่งร้อยคนที่ปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่เลือก บวกกับร้อยคนแรกที่ผ่านเจดีย์ดาวในรอบแรก รวมทั้งหมดก็แค่สองร้อยคนเท่านั้น! ผู้ที่เข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่ดวงดารานั้นมีถึงหนึ่งหมื่นหกพันกว่าคน คนอื่นๆ ล้วนแต่ตกรอบทั้งสิ้น
“ข้าถูกประมุขวังเจียงฝู่เลือกแล้ว” ฟู่จวินในอาภรณ์อันเรียบง่ายแหงนหน้ามอง นัยน์ตาเปล่งประกายวิบวับ เขาหันไปมองสตรีอาภรณ์สีแดงไกลออกไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า นั่นก็คืออดีตสหายร่วมวิถีของเขา “คิดไม่ถึงว่าสิงหั่วสวินอีก็จะถูกเลือกด้วย ด้วยพลังของเขา และการมีจักรพรรดิสิงหั่วชี้แนะตั้งแต่เนิ่นๆ เกรงว่าผู้บำเพ็ญไร้สังกัดหลายคนคงจะมีความสามารถที่ซ่อนอยู่เหนือกว่าเขา แต่เขากลับถูกเลือกอย่างนั้นหรือ”
ฟู่จวินมองเห็นว่าท่ามกลางรายนามขนาดมหึมากลางอากาศนั้นมีชื่อของสิงหั่วสวินอีอยู่ เขาอดลอบรำพึงออกมามิได้
สิงหั่วสวินอีจับได้ว่าภรรยาของเขาปลอมตัวมาหลอกลวงเขา ฟู่จวินกลับมิได้ซาบซึ้งใจต่อสิงหั่วสวินอีเลย แต่ก็มิได้เคียดแค้น เขาเพียงแค่ไม่อยากพบสิงหั่วสวินอีอีก! แต่ขณะที่ได้เห็นรายนามนั้น ฟู่จวินกลับรู้สึกรังเกียจอยู่บ้าง เขาเชื่อว่าอีกฝ่ายจะต้องอาศัยบิดาเป็นเบื้องหลังทำให้เข้ามาอยู่ในรายนามได้อย่างแน่นอน
“ไม่มีประโยชน์หรอก เส้นทางการบำเพ็ญต้องพึ่งตนเอง ต่อให้เข้าไปในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ก็ยังคงไม่มีอนาคตอยู่ดี” ฟู่จวินมองดูชายหนุ่มอาภรณ์ทองที่อยู่ไกลออกไปแวบหนึ่งแล้วก็คร้านที่จะมองต่อไปอีก
เขาไม่อยากพบหนีเยี่ยนผู้เป็นภรรยาอีกต่อ และไม่อยากพบสิงหั่วสวินอีอีกเช่นกัน
……
สิงหั่วสวินอีเงยหน้ามองรายนามกลางอากาศ มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นผู้เลือกเขา
“ผู้อาวุโสตงป๋อยอมรับความสามารถที่ซ่อนอยู่ของข้าแล้วหรือ” สิงหั่วสวินอีออกจะตื่นเต้นอยู่บ้าง “อย่าเพิ่งร้อนรนไปเขาบอกว่าจะดูความสามารถที่ซ่อนอยู่ที่สำแดงออกมาตลอดทั้งงานชุมนุมใหญ่ดวงดารา รอให้งานชุมนุมใหญ่ดวงดารายุติลงเสียก่อน ก็อาจจะสามารถคารวะอาจารย์สำเร็จก็เป็นได้”
……
หนีเยี่ยนในอาภรณ์สีแดงทั้งร่างเงยหน้ามองดู ไม่ต้องสงสัยเลยว่าผู้ที่อันดับธรรมดาทั่วไปและระยะเวลาในการบำเพ็ญก็นานแสนนานเช่นนางย่อมไม่อยู่บนรายนาม ทว่า ‘ฟู่จวิน’ และ ‘สิงหั่วสวินอี’ ที่สนิทสนมกับนางมากก่อนหน้านี้ล้วนอยู่ในรายนามทั้งสิ้น
“ความสามารถที่ซ่อนอยู่ของฟู่จวินไม่ธรรมดาจริงๆ เบื้องหลังของสิงหั่วสวินอีก็ใช้ได้เลยทีเดียว ผู้ที่มีอันดับต่ำกว่านางอย่างเขายังได้รับเลือก เสียดายก็แต่ว่าข้าสะดุดด้วยเงื้อมมือของเขาเสียนี่หนีเยี่ยนพูดเสียงเย็นเยียบแล้วหมุนกายผละจากสถานที่จัดงานของงานชุมนุมใหญ่ดวงดารา ครั้งนี้นางแพ้อย่างน่าอนาถนัก
……
กลางท้องฟ้าข้างเจดีย์ดาวอันสูงตระหง่านมีชื่อขนาดมหึมาชื่อแล้วชื่อเล่าปรากฏขึ้นเรื่อยๆ ต่อให้อยู่ห่างออกไปก็สามารถมองเห็นได้
ประมุขวังเจียงฝู่ซึ่งอยู่ในคูหากำลังดื่มสุราสีแดงก่ำเพียงลำพัง ประมุขวังเจียงฝู่ซึ่งดูเหมือนจะผอมซูบขาวซีดแหงนหน้ามองไป ก็มองเห็นรายนามกลางอากาศข้างเจดีย์ดาวที่อยู่ห่างออกไป สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่รายชื่อแถวหนึ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงส่งไป
“น่าแปลก ตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้ไม่เหมือนกับคนโง่งม ไยจึงเลือกบุตรชายอย่างสิงหั่วเล่า เพื่อที่จะเอาใจสิงหั่วหรือไร” ประมุขวังเจียงฝู่ส่ายหน้าน้อยๆ
……
“เลือกสิงหั่วสวินอีรึ” ประมุขเกาะจื่อถูก็เดินออกมาจากโถงตำหนักแล้วเลยหน้ามองดูชื่อต่างๆ ที่ปรากฏขึ้นกลางฟากฟ้าไกลออกไปเช่นกัน ใบหน้าของนางก็เผยสีหน้าแตกตื่นออกมา “จักรพรรดิสิงหั่วคงจะมิได้บีบบังคับหรอกกระมัง หากเขาจะให้บุตรชายเข้าสู่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์แล้ว ก็มีวิธีอื่นอีก ไม่จำเป็นต้องทำให้ไม่น่ามองเช่นนี้เลย หรือว่าจะเป็นตงป๋อเสวี่ยอิงที่ตั้งใจสร้างสัมพันธ์ต่อจักรพรรดิสิงหั่วเองกันแน่”
แม้จักรพรรดิสิงหั่วจะมีวิธีอื่นที่ทำให้บุตรชายเข้าไปในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ได้ แต่เช่นนั้นก็ต้องใช้ความสัมพันธ์เช่นเดียวกัน
ตงป๋อเสวี่ยอิงทำเช่นนี้แล้วจักรพรรดิสิงหั่วจะต้องรับน้ำใจอย่างแน่นอน
“ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงขั้นรวมเป็นหนึ่งเท่านั้น” ประมุขเกาะจื่อถูส่ายหน้าพลางแสยะยิ้ม คร้านที่จะไปยุ่มย่ามอีก
……
แม่ทัพเทียนกวงยังคงนั่งขัดสมาธิบำเพ็ญอย่างเงียบเชียบ หลังจากเขารู้รายนามแล้วก็ยิ้มหยันพลางพูดออกมาประโยคหนึ่งว่า “น่าขัน”
……
“ตอนแรกข้าก็คาดเอาไว้อยู่แล้วว่าเขาจะทำให้วังทวีสูญเสียหน้า” บรรพชนงูอู่เจ๋อผู้รังเกียจความชั่วร้ายดุจคู่แค้นเงยหน้ามองชื่อกลางท้องฟ้าไกลออกไปอย่างเย็นชา จากนั้นก็ก้มหน้าดื่มสุราชั้นเลิศเงียบๆ ต่อไป
……
เนื่องจากความคิดจิตใจของสิงหั่วสวินอีอยู่กับวิถีโลกเทียมอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นนอกจากขอคำชี้แนะจากตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว ก็มิได้ขอคำชี้แนะจากปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่อีกสี่คนเลย ประมุขวังเจียงฝู่และปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่คนอื่นๆ จึงย่อมตัดสินว่าความสามารถที่ซ่อนอยู่ของสิงหั่วสวินอีอยู่เกินอันดับที่ห้าพันเป็นธรรมดา และคิดว่าตงป๋อเสวี่ยอิงทำเรื่องไม่งามเกินไปแล้ว
“ฮ่าฮ่า เมื่ออยู่ต่อหน้าข้าหยิ่งผยองถึงเพียงนั้น ที่แท้แล้วเพราะรังเกียจว่าข้าให้น้อยเกินไปนี่เอง” ประมุขวังปาอวิ่นอาศัยอยู่ในคูหาแห่งหนึ่งที่ทางเมืองราชันย์มีดจัดเตรียมเอาไว้ให้ ซึ่งอยู่ใกล้กับเจดีย์ดาวมาก เมื่อเงยหน้ามองดูชื่อนั้นเขาก็ยิ้มหยัน “สถานะอย่างจักรพรรดิสิงหั่วน่าจะรังเกียจที่จะทำเรื่องพรรค์นี้ คาดว่าสิงหั่วสวินอีบุตรชายของเขาคนนี้คงจะใช้สมบัติล้ำค่าซื้อตงป๋อเสวี่ยอิงไป”
เช่นใช้ศิลาปฐมโลกาหนึ่งหรือสองพันก้อน ก็เพียงพอให้ขั้นอลวนทั่วไปคนหนึ่งใจสั่นได้แล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ย่อมต้องใจสั่นอย่างแน่นอน
ด้วยสถานะของสิงหั่วสวินอี ถึงจะต้องกัดฟันก็ยังสามารถหามาได้!
สถานะอย่างจักรพรรดิสิงหั่วซึ่งอยู่เหนือขั้นอลวนทั่วไป สามารถปลิดชีพได้ในชั่วอึดใจ ทรัพย์สมบัติที่มีก็ย่อมเหนือกว่าพวกประมุขวังปาอวิ่นไปไกลโข
……
อันที่จริงเมื่อได้เห็นรายนามชุดนี้ คนอื่นๆ ยังดีอยู่ อย่างมากก็แค่รู้สึกว่าตงป๋อเสวี่ยอิงทำ ‘งามหน้า’ ไปหน่อย ทำให้วังทวีสูญเสียหน้าก็เท่านั้น
แต่คนอีกผู้หนึ่งของวังทวีสูญซึ่งมาที่นี่ก็คือ ‘ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์’ กลับเดือดดาลขึ้นมาแล้วจริงๆ!
“ตงป๋อเสวี่ยอิง เขา ทำไมเขา…” ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ได้รายนามมาแล้วก็รู้สึกไม่อยากจะเชื่ออยู่บ้าง เมื่อได้เห็นชื่อที่ปรากฏขึ้นมากลางอากาศข้างเจดีย์ดาวแล้วเขาก็มองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ภายในยี่สิบรายชื่อที่ต่อท้ายชื่อของ ‘ผู้อาวุโสตงป๋อ’ มีสิงหั่วสวินอีอยู่จริงๆ!
“ไยเขาถึงทำเช่นนี้ได้ ท่านบรรพชนเชื่อเขา กูแลเขาอย่างดี ให้เขาได้เป็นปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ในครั้งนี้ด้วยฐานะตัวแทนของวังทวีสูญแท้ๆ” ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์สีหน้าไม่น่ามองเอาเสียเลย แม้เขาจะไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ในตอนคัดเลือกสักเท่าใดนัก แต่จะให้ขั้นรวมเป็นหนึ่งผู้หนึ่งรับตำแหน่งเป็นปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ ทายก็สามารถทายได้ว่าตอนนั้นบรรพชนเทียนอวี๋จะต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจไปไม่น้อยเลยทีเดียว
“แต่เขากลับตอบแทนท่านบรรพชนเช่นนี้เองน่ะหรือ เขาไม่อยากรักษาหน้าตนเองไว้ก็แล้วไปเถิด วังทวีสูญเรายังอยากมีหน้ามีตาอยู่นะ!” สีหน้าของประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ไม่น่ามองมากยิ่งขึ้น
เดิมทีเขารู้สึกดีต่อตงป๋อเสวี่ยอิงมากทีเดียว
นี่คือชนรุ่นหลังผู้แกร่งกล้าที่สุดของวังทวีสูญที่โจนทะยานขึ้นมา พวกประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์แต่ละคนล้วนรอคอยเป็นอย่างสูง ถึงขั้นคิดหาวิธีปกป้องเขาเอาไว้ให้ดี ด้วยรู้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ในอันตราย เขาจึงได้ส่งร่างแปรเป็นระยะทางอันไกลลิบมาด้วยตนเอง พวกประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ล้วนตั้งตารอคอยเป็นอันมาก ว่าสักวันหนึ่งตงป๋อเสวี่ยอิงจะสามารถบรรลุได้เช่นกัน แล้วมาเป็นประมุขตำหนักเทียบเท่ากับพวกเขา
แต่ครั้งนี้ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์กลับโมโหตงป๋อเสวี่ยอิงขึ้นมาเสียแล้ว
หลักประกันเบื้องหลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของตงป๋อเสวี่ยอิงก็คือวังทวีสูญของข้า! ไยจึงต้องไปประจบจักรพรรดิสิงหั่วด้วยเล่า วังทวีสูญมิได้แข็งแกร่งกว่าจักรพรรดิสิงหั่วเป็นสิบเป็นร้อยเท่าหรือไร
………………………..
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น