Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 30 ตอนที่ 17-18
ตอนที่ 17 สิ่งมีชีวิตที่แท้จริง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ยามเช้าตรู่วันที่สอง พระอาทิตย์ขึ้น แสงอาทิตย์สาดส่องลงบนค่ายกลของเมืองราชันย์มีดให้ทวีความอบอุ่นยิ่งขึ้น อาบไล้บนอาคารจำนวนนับไม่ถ้วนของเมืองราชันย์มีด
“สวินอี”
เพิ่งเตรียมตัวจะออกจากเรือนพักก็เห็นเงาร่างองอาจที่นั่งอยู่ที่นั่น สิงหั่วสวินอีเอ่นเรียกเสียงหนึ่งในทันที “ท่านพ่อ”
จักรพรรดิสิงหั่วพูด “เมื่อวานข้าได้พบกับผู้อาวุโสตงป๋อ การบรรลุผลในด้านวิถีโลกเทียมของเขาเรียกได้ว่าสูงที่สุดคนหนึ่งในบรรดาผู้บำเพ็ญของระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์เท่าที่ประวัติศาสตร์เคยมีมาเลยทีเดียว การบำเพ็ญวิชาโลกอนธการและเคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดต่างก็สามารถยกระดับไปถึงพลังยุทธ์ระดับชั้นที่หกของเจดีย์ดาวได้ เดิมทีเคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดขั้นรวมเป็นหนึ่งก็เป็นเพียงแค่ชั้นที่ห้าเท่านั้น แต่เขากลับสามารถปรับปรุงด้วยตัวเองได้! เหยียบย่างเข้าสู่ชั้นที่เจ็ดของเจดีย์ดาวไปครึ่งก้าวแล้ว อีกทั้งจนบัดนี้เขาก็เพิ่งบำเพ็ญมาไม่กี่พันล้านปีเท่านั้น จากโลกทิพย์โบราณดั้งเดิมจนถึงตอนนี้ เขาก็คือผู้มีพรสวรรค์ล้ำเลิศที่สุดทางด้านเขตลวงอย่างแท้จริง”
“เจ้าไปหาเขา บางทีเขาอาจมีวิธีช่วยเหลือเจ้าก็ได้นะ” จักรพรรดิสิงหั่วพูด
“เขาช่วยเหลือข้าอย่างนั้นหรือ” สิงหั่วสวินอีขมวดคิ้ว “ข้าเคยพบยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนที่เชี่ยวชาญด้านเขตลวงมาหมดแล้ว พวกเขาล้วนไม่มีวิธีกันทั้งสิ้น แล้วตงป๋อเสวี่ยอิงจะมีวิธีหรือ”
“ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนที่เชี่ยวชาญด้านเขตลวงที่เจ้าพบก่อนหน้านี้ล้วนเป็นศาสตร์โบราณกันทั้งนั้น!” จักรพรรดิสิงหั่วเอ่ยอย่างเย็นชา “ระบบศาสตร์โบราณและระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ระบบศาสตร์โบราณ ขอเพียงแค่สามารถสำแดงพลังออกมาได้มากพอก็นับว่าสำเร็จแล้ว ทว่าระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์นั้นกลับต้องศึกษาความเร้นลับที่เคลื่อนไหวอยู่เบื้องหลัง จะต้องสำเร็จความเร้นลับที่เป็นแก่นแท้ที่สุด ความเข้าใจในด้านเขตลวงของพวกเขาก็จะยิ่งเข้าไปล้ำลึกถึงแก่นสาร”
สิงหั่วสวินอีสะดุ้งคราหนึ่งแล้วก็พยักหน้าน้อยๆ
เขาเห็นด้วยในจุดนี้
ระบบแตกต่างกัน ทิศทางก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงจริงๆ
อย่างเช่นระบบเหล่ากลืนกิน ในช่วงแรกก็ไม่ต้องใช้หัวสมองเลย ต้องการเพียงแค่ ‘กิน กิน กิน’ เท่านั้น พลังยุทธ์ก็จะยกระดับขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ส่วนระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ ในขั้นเหนือธรรมดา ก็จำเป็นต้องศึกษาความเร้นลับของฟ้าดิน จำเป็นต้องสำเร็จกฎเกณฑ์ฟ้าดินอย่างสมบูรณ์ จึงจะสามารถบรรลุแล้วเหยียบย่างเข้าสู่ขั้นเทพแท้ได้! จำเป็นต้องสำเร็จ ‘ระบบกฎเกณฑ์’ อย่างสมบูรณ์ จึงจะสามารถกลายเป็นเทพอากาศได้ เป็นเทพอากาศเหมือนกัน แต่ระดับขั้นของระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์นั้นสูงส่งกว่าระบบเหล่ากลืนกินไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า
หรือแม้แต่ระบบทิพย์ที่ยากเย็นเป็นที่สุดเช่นเดียวกัน ระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ก็ยังแบ่งออกเป็นสองทิศทาง
ระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์คือแก่นสารอันแท้จริง! เจาะลึกถึงแก่นแท้ของโลก… ความเร้นลับของกฎเกณฑ์
ระบบทิพย์ ก็คือรู้สึกว่าสามารถหาแก่นแท้ของโลกพบได้จากบน ‘สรรพสิ่ง’ ต่างๆ โลกผันแปร กฎเกณฑ์มากมายต่างก็สะท้อนอยู่บนสรรพสิ่ง พวกเขารู้สึกว่า ‘ระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์’ นั้นกลวงเปล่าเกินไป และการศึกษาสรรพสิ่งต่างหากจึงจะเป็นการเหยียบย่างบนพื้นฐานแห่งความเป็นจริง ศึกษาและสั่งสมไปทีละก้าวๆ หลังจากที่สั่งสมเพียงพอแล้ว พวกเขาก็จะสามารถทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น
วิญญาณทวีความร้ายกาจขึ้น แม้กระทั่งค่ายกลและการหลอมอาวุธ ต่างก็สามารถไปถึงระดับขั้นที่สูงที่สุดได้ทั้งสิ้น
“ได้ ข้าไปก็ได้” สิงหั่วสวินอีรับคำ
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่มีทางลืมเลือนได้ แต่ในใจของเขาก็รู้กระจ่างดีว่าสุดท้ายแล้วนั่นก็เป็นเพียงแค่โลกเขตลวง ตนเองควรจะกระตือรือร้น ควรจะบำเพ็ญให้แข็งแกร่งเสียที
แต่ว่า…
ตอนนี้เขากลับเต็มไปด้วยความรังเกียจการบำเพ็ญโดยสัญชาตญาณ พอทดลองบำเพ็ญแล้วนึกถึงการบำเพ็ญในโลกเขตลวง นึกถึงภรรยาที่สูญสลายไปพร้อมกับการพังทลายของโลกเขตลวงแล้ว ความเจ็บปวดใจเช่นนี้ทำให้เขารังเกียจโลกเขตลวง นี่เป็นสัญชาตญาณไปเสียแล้ว ตัวเขาเองก็มิอาจควบคุมได้เลย “ห้ามละเลยเด็ดขาด” จักรพรรดิสิงหั่วพูด “ต่อให้คราวนี้ช่วยเหลือเจ้ามิได้ ด้วยความที่เป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดคนหนึ่งในด้านวิถีโลกเทียม ในอนาคตเมื่อเขาบำเพ็ญได้สูงส่งลึกซึ้งยิ่งขึ้นแล้วก็จะสามารถช่วยเหลือเจ้าได้อยู่ดี”
“อืม” สิงหั่วสวินอีเดินออกไปด้านนอก
……
ยามที่สิงหั่วสวินอีไปขอความช่วยเหลือ ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับออกไปกินอาหารเลิศรสเสียแล้ว เมืองราชันย์มีดมีหอสุรามากมายเป็นที่สุด ผู้มีพรสวรรค์ศาสตร์โบราณเหล่านั้นเชี่ยวชาญการปรุงอาหาร อาหารเลิศรสแต่ละจานที่ทำต่างก็ทำให้ยอดฝีมืออย่างตงป๋อเสวี่ยอิงนี้ตื่นตาตื่นใจไม่หยุดหย่อน ถึงกับต้องไปลิ้มรสแต่ละจานอยู่เป็นประจำ
“อา” ตงป๋อเสวี่ยอิงปรายตามองก็เห็นชายหนุ่มอาภรณ์ทองที่รอคอยอยู่อย่างเงียบๆ ตรงประตูเรือนพัก
เป็นปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ เหล่าผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์มาขอความช่วยเหลือ ขอคำชี้แนะก็เป็นเรื่องที่พบเห็นได้อยู่บ่อยครั้งนัก โดยทั่วไปแล้วเหล่าปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ก็มักจะไม่ปฏิเสธ และอาศัยการชี้แนะ ก็สามารถดูเหล่าผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์ได้ดียิ่งขึ้นด้วย
เพียงแต่ว่าสิงหั่วสวินอีมาเยี่ยมคารวะอย่างนั้นหรือ
“คารวะผู้อาวุโสขอรับ” ชายหนุ่มอาภรณ์ทองทักทายอย่างเคารพในทันใด
“สิงหั่วสวินอี เข้ามาเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงแย้มยิ้ม
“ขอรับ” ชายหนุ่มอาภรณ์ทองรู้จักรักษามารยาท ดูภายนอกก็มองไม่เห็นปัญหาเลยแม้แต่น้อย
หลังจากที่คนทั้งสองเข้ามาในเรือนพักแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็นั่งลงในลานบ้าน ส่วนสิงหั่วสวินอีก็ยืนอยู่ด้านข้างอย่างเชื่อฟัง
“ท่านพ่อของเจ้าเคยพูดเรื่องของเจ้ากับข้าแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา
“ผู้อาวุโสมีวิธีหรือขอรับ” สิงหั่วสวินอีมองตงป๋อเสวี่ยอิง
“ลองดูก่อนก็แล้วกัน”
ตงป๋อเสวี่ยอิงแย้มยิ้ม
สิงหั่วสวินอีรู้สึกว่ารอยยิ้มของตงป๋อเสวี่ยอิงขยายใหญ่ขึ้นตรงหน้า… พร้อมกันนั้นสติก็เลือนรางไปอย่างสมบูรณ์เสียแล้ว
เขาเข้าไปในโลก ‘ศิลาตรึงโลกา’ ก็เป็นเจ้าของโลกเขตลวง ดังนั้นจึงสามารถคงความตื่นตัวเอาไว้ได้ แต่เขตลวงที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงอยู่ในขณะนี้กลับทำให้สิงหั่วสวินอีสติเลือนรางไปในทันใด
“มาดูกันว่าจะสามารถอาศัยเขตลวงเปลี่ยนแปลงเขาได้หรือไม่” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ “ถึงแม้ว่าจะเคยมียักษ์ใหญ่ขั้นอลวนที่เชี่ยวชาญด้านเขตลวงคนอื่นลงมือมาก่อนแล้ว แต่ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนเหล่านั้นล้วนเป็นศาสตร์โบราณกันทั้งสิ้น เกรงว่าในการควบคุมเขตลวงอาจจะมิได้ละเอียดเท่าข้า”
ตัวเขาเองก็บำเพ็ญศาสตร์โบราณควบคู่ไปด้วย
เช่นโลกเขตลวงใน ‘เคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาด’ ก็ได้ติดตั้งเอาไว้นานแล้ว ดังนั้นจึงสามารถโจมตีได้อย่างต่อเนื่อง แต่ในด้านความละเอียดในการควบคุมนั้นออกจะย่ำแย่ไปสักหน่อย
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งลิ้มรสสุราผลไม้อยู่ที่นั่น สิงหั่วสวินอีที่อยู่ด้านข้างนั่งตัวแข็งเกร็งอยู่ที่นั่นโดยไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย จมดิ่งอยู่ภายในเขตลวงอย่างสมบูรณ์
เพียงพริบตาเวลาหนึ่งชั่วยามก็ผ่านพ้นไป
โลกแห่งความจริงผ่านไปหนึ่งชั่วยาม แต่โลกเขตลวง ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับทำให้เขาได้ประสบกับวัฏจักรถึงพันครั้ง หลายร้อยครั้งในนั้นต่างก็มีทั้งภัยทางด้านอารมณ์ มีความชอบธรรมของประเทศชาติ ยังมีความรู้สึกของสำนัก ความรักผูกพันของบิดามารดาและบุตร… ความรู้สึกที่สั่นสะท้านจิตวิญญาณนานาชนิดมาส่งผลกระทบต่อเขา
แววตาของสิงหั่วสวินอีค่อยๆ ฟื้นฟูสติรับรู้
“ดีขึ้นบ้างหรือไม่” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม
“วิธีการของผู้อาวุโสช่างร้ายกาจจริงๆ” สิงหั่วสวินอีส่ายศีรษะเบาๆ “ภายในเขตลวง ลืมเลือนอดีต นั่นคือประสบการณ์ใหม่เลยทีเดียว ก็เหมือนกับความฝันครั้งแล้วครั้งเล่าเท่านั้น! ฝันไปพันครั้ง พอตื่นมาแล้วความฝันก็ตื่นขึ้นมาเช่นกัน! ข้าพบพานกับภรรยาของข้า นั่นคือทั้งหมดที่ข้าประสบตอนที่ตื่นอย่างเต็มที่ แต่ละฉากแต่ละตอนล้วนราวกับเอามีดมากรีดลงบนดวงวิญญาณของข้า”
ตงป๋อเสวี่ยอิงสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย
ใช่แล้ว
การลืมเลือนอดีตภายในเขตลวง เหมือนกับความฝันจริงๆ พอตื่นมาแล้วความทรงจำในความฝันโจมตีความทรงจำของตน ผลกระทบย่อมห่างชั้นกับสิ่งที่ประสบทั้งหมดในยามตื่นเต็มที่
“ข้ารู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างข้ากับภรรยาล้วนเกิดขึ้นภายในโลกเขตลวงทั้งสิ้น ข้าเองก็รู้สึกว่านี่ช่างน่าขันยิ่งนัก ถึงแม้ว่าจะมีผู้แกร่งกล้าช่วยผนึกความทรงจำให้กับข้า ข้าเองก็ปรารถนาจะให้ความทรงจำนี้ถูกผนึกเอาไว้โดยสมบูรณ์ แต่ก็ไร้ประโยชน์ สามารถผนึกความทรงจำได้ แต่ผลกระทบที่ความรู้สึกส่งผลต่อวิญญาณนี้มิอาจเปลี่ยนแปลงได้เลย ข้าก็ยังคงรังเกียจการบำเพ็ญเช่นเดิมอยู่ดี! เทพจักรวาลต่างก็บอกว่า ฟื้นฟูความทรงจำเสียดีกว่า มีเพียงการเผชิญกับอดีตนี้แล้วตัวข้าเองเปลี่ยนไปจริงๆ เท่านั้น จึงจะนับว่าสำเร็จ” สิงหั่วสวินอีน้ำเสียงอ่อนโยน บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มที่อ่อนโยนยิ่งนัก
“ถึงแม้ว่าคนนอกจะรู้สึกว่าน่าขัน แต่วันเวลาที่ข้ากับภรรยาเคียงข้างกันภายในโลกเขตลวงกลับเป็นวันเวลาอันงดงามที่สุด”
“ข้าลืมไม่ลงหรอก”
“เหตุผลบอกข้าว่าคงจะไม่ได้รับผลกระทบ ข้าก็รับปากภรรยาเอาไว้ว่าจะไม่เป็นกังวลเพราะนาง ข้าอยากจะกระตือรือร้น บำเพ็ญให้ดี” สิงหั่วสวินอีส่ายศีรษะ “ไม่มีประโยชน์ ไม่มีประโยชน์เลย”
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูเด็กหนุ่มตรงหน้าอยู่ข้างๆ
เด็กหนุ่มผู้นี้มีพรสวรรค์สูงส่ง แต่จนใจที่ต้องเผชิญเคราะห์กรรมเช่นนี้
“เดี๋ยวจริงเดี๋ยวเท็จ เดี๋ยวเท็จเดี๋ยวจริง” ตงป๋อเสวี่ยอิงแย้มยิ้มน้อยๆ “พวกเราคิดว่าเรื่องราวทั้งหมดภายในโลกเขตลวงล้วนเป็นความเท็จ แต่ที่แท้แล้วความจริงคือสิ่งใด วิญญาณภายในโลกเขตลวงนั้นพวกเขามีบิดามารดา มีคนใกล้ชิด มีเผ่าพันธุ์มีประเทศชาติ มีความรักความเกลียดชัง แล้วก็บำเพ็ญได้เช่นเดียวกัน… สำหรับตัวพวกเขาเองแล้ว พวกเขาก็คิดว่าตัวพวกเขาเองเป็นความจริง ใช่หรือไม่เล่า”
สิงหั่วสวินอีสะดุ้งคราหนึ่ง
ใช่แล้ว
ในท้ายที่สุดเขาบอกทุกสิ่งทุกอย่างกับภรรยาของเขา ถึงขนาดควบคุมโลกเขตลวงอย่างง่ายดายด้วยสถานะเจ้าของโลกเขตลวง ภรรยาของเขาจึงเชื่อว่าความจริงแล้วโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้คือมายาทั้งสิ้น นางเองก็เป็นส่วนหนึ่งของภาพมายาด้วย และก่อนหน้านี้ วิญญาณทั้งหมดภายในโลกเขตลวงนี้ต่างก็เปลี่ยนแปลงกันอยู่เป็นประจำ ผู้อ่อนแอก็เกิดแก่เจ็บตาย ผู้แกร่งกล้าก็บำเพ็ญไป เกิดการต่อสู้
“พวกเขาคือสิ่งมีชีวิตที่อยู่อย่างอิสระ มีความทรงจำ มีความรู้สึก” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “อันที่จริงแล้วก็สามารถนับได้ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตจริงๆ ที่มีความพิเศษ เพียงแค่เป็นสิ่งมีชีวิตที่ใช้ชีวิตอยู่ภายในโลกเขตลวงเท่านั้นเอง”
“เป็นความจริงหรือ เป็นความจริงหรือ” สิงหั่วสวินอีดวงตาเป็นประกาย ใบหน้ายังแดงระเรื่ออยู่บ้างอีกด้วย “ภรรยาข้าเป็นสิ่งมีชีวิตที่แท้จริง จริงๆ น่ะหรือ”
บิดาของเขารวมถึงยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนที่เชี่ยวชาญด้านเขตลวงคนอื่นๆ อีกหลายคน ต่างก็ไม่เคยพูดถึงจุดนี้มาก่อนเลย สิงหั่วสวินอีก็คิดว่านั่นคือโลกเขตลวง
“สิ่งมีชีวิต สิ่งมีชีวิตที่แท้จริงคืออะไรเล่า มีร่างกายที่เป็นอิสระ มีความทรงจำ มีความรู้สึก และรู้จักบุญคุณความแค้น ยังมิใช่สิ่งมีชีวิตที่แท้จริงอีกหรือไร” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “หรือว่าจะต้องมีดวงวิญญาณอย่างแน่นอน เช่นสิ่งมีชีวิตโลหะ หรือสิ่งมีชีวิตรูปร่างพิเศษบางประเภท พวกเขาก็ไม่มีดวงวิญญาณเสียหน่อย! พวกเขามีแก่นสำคัญอื่นๆ ของสิ่งมีชีวิต ส่วนภรรยาของเจ้า พวกนางสร้างแสงทิพย์วิญญาณ์เล็กน้อยขึ้นมาภายในโลกเขตลวง ก็คือแก่นสำคัญของสิ่งมีชีวิตของพวกเขา”
มีแก่นสำคัญของสิ่งมีชีวิตจึงสามารถมีความทรงจำ ความรู้สึก และสามารถบำเพ็ญได้อย่างอิสระ
เขตลวงธรรมดาทั่วไปย่อมมิได้ร้ายกาจเช่นนี้อยู่แล้ว โลกเขตลวงที่ศิลาตรึงโลกาพัฒนาขึ้นมานี้สูงส่งยิ่งกว่าเคล็ดวิชาของตงป๋อเสวี่ยอิงในตอนนี้เสียอีก การหมุนเวียนของกฎเกณฑ์ภายในของมันล้วนเป็นระดับจักรวาลขนาดย่อม ห่างชั้นกับจักรวาลที่แท้จริงอยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ภายในสังเคราะห์สิ่งมีชีวิตขึ้นมาเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน แต่ละคนล้วนเป็นความจริงอย่างที่สุด
“ใช่แล้ว มีแก่นสำคัญของสิ่งมีชีวิต เป็นอิสระ มีความทรงจำ ความรู้สึก ความขุ่นข้องหมองใจ สามารถบำเพ็ญได้ ใช่แล้ว นี่คือสิ่งมีชีวิตที่แท้จริงโดยสมบูรณ์แบบ” สิงหั่วสวินอีพยักหน้า น้ำเสียงสั่นเครืออยู่บ้าง “ภรรยาของข้าเป็นความจริง มีตัวตนอยู่จริงๆ ด้วย!”
ตอนที่ 18 กฎเกณฑ์สูงสุด
โดย
Ink Stone_Fantasy
ขณะนี้ได้รู้ว่าภรรยาเป็นความจริง สิงหั่วสวินอีก็กระตือรือร้นขึ้นเป็นอย่างมาก
ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยต่อไป “วิถีโลกเทียม โลกเขตลวงที่สำแดงออกมาก็สามารถเทียบเคียงได้กับโลกภายในศิลาตรึงโลกา ไปถึงระดับเทพจักรวาล ถึงขนาดที่สามารถสำแดงจักรวาลมายาออกมาได้! จักรวาลมายาต่างก็สามารถกลายเป็นจักรวาลอันแท้จริงได้ ถ้าหากก้าวเข้าไปใกล้อีกก้าวหนึ่ง จนวิถีโลกเทียมไปถึงระดับขั้นที่สูงขึ้นอีกเล่า”
“ระดับขั้นที่สูงขึ้นอีกอย่างนั้นหรือ” สิงหั่วสวินอีสงสัย เทพจักรวาลก็มิใช่สิ่งมีชีวิตขั้นสุดยอดหรือไร
“ในระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ของข้า จุดหมายสุดท้ายที่ไล่ตามจริงๆ มิใช่การเป็นเทพจักรวาล หากแต่เป็นการหมุนเวียนของกฎเกณฑ์ที่สูงส่งที่สุดต่างหาก” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด นี่ก็คือสิ่งที่เขาค่อยๆ เข้าใจมากขึ้นตามระดับขั้นที่สูงขึ้น
ระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ วัตถุประสงค์ก็คือการค้นหาแก่นแท้ของโลก เข้าใจการหมุนเวียนของกฎเกณฑ์
กฎเกณฑ์อันสูงส่งที่สุด จึงจะเป็นจุดหมายสุดท้าย
กฎเกณฑ์จักรวาล สูงส่งที่สุดอย่างนั้นหรือ มิใช่!
‘กฎเกณฑ์โลกทิพย์โบราณดั้งเดิม’ ต่างหาก จึงจะเป็นกฎเกณฑ์สูงสุด ทั้งยังเป็น ‘กฎเกณฑ์ของอากาศอันสับสนอลหม่าน’ ในตอนนี้อีกด้วย
อากาศอันสับสนอลหม่านประกอบด้วยจักรวาลมากมายนับไม่ถ้วน แผ่นดินอลหม่าน และมหาโลกทิพย์ทั้งห้า! มหาโลกทิพย์ทั้งห้า พูดแล้วดูน่าฟัง ความจริงแล้วนอกจาก ‘โลกทิพย์โบราณ’ จะเป็นชิ้นส่วนประมาณหนึ่งในร้อยส่วนของโลกทิพย์โบราณดั้งเดิมแล้ว มหาโลกทิพย์อื่นๆ อีกสี่แห่งล้วนเป็นเพียงสิ่งที่เหล่าเทพจักรวาลสรรสร้างขึ้นมาเท่านั้น การหมุนเวียนของกฎเกณฑ์มิอาจเทียบกับ ‘กฎเกณฑ์ของอากาศอันสับสนอลหม่าน’ ได้เลย
การเป็นเทพจักรวาล คือขั้นสุดยอดของระบบจำนวนมาก ทั้งยังเป็นสิ่งมีชีวิตขั้นสุดยอดที่เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป
ทว่าระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ กลับมีกฎเกณฑ์สูงสุด… กฎเกณฑ์ของอากาศอันสับสนอลหม่านเป็นเป้าประสงค์หลัก
ดังเช่นระบบทิพย์ ก็คือการศึกษาสรรพสิ่ง ไล่ตามแก่นสำคัญ ขนาดบรรพชนทิพย์ไปถึงระดับขั้นในปัจจุบัน ก็ยังคงศึกษาอยู่เช่นเดิม
“การหมุนเวียนของกฎเกณฑ์ที่สูงส่งที่สุดหรือ” สิงหั่วสวินอีตกตะลึงอยู่บ้าง
“สิ่งที่เหล่าเทพจักรวาลเข้าใจกันก็เป็นเพียงแค่การหมุนเวียนของกฎเกณฑ์จักรวาลเท่านั้น จะไปเทียบกับกฎเกณฑ์ของอากาศอันสับสนอลหม่านได้อย่างไรกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “นี่จึงจะเป็นการหมุนเวียนของกฎเกณฑ์ที่สูงส่งที่สุดที่รวบรวมทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ ถ้าหากการหมุนเวียนของกฎเกณฑ์ของวิถีโลกเทียมไปถึงระดับกฎเกณฑ์สูงสุด เกรงว่าคงจะสามารถเข้าใจทั้งอากาศอันสับสนอลหม่านได้กระมัง!
ถึงเวลานั้นผู้ที่ได้ถือครองกฎเกณฑ์สูงสุดคงจะสามารถสรรสร้างทุกสิ่งทุกอย่างในอากาศอันสับสนอลหม่านได้เลยทีเดียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ “ทำให้มายากลายเป็นความจริง ทำให้ภรรยาในอดีตของเจ้ากลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง ก็มิใช่ว่าจะทำมิได้”
“ใช่ ใช่ ถูกต้อง ถูกต้อง…”
ดวงตาของสิงหั่วสวินอีเป็นประกายไปหมดแล้ว
นั่นคือระดับขั้นเช่นไร
การหมุนเวียนของกฎเกณฑ์ของวิถีโลกเทียม ไปถึงการหมุนเวียนของกฎเกณฑ์ระดับสูงสุด! โลกเทียมเช่นนี้อันที่จริงแล้วนี่ก็คือ อากาศอันสับสนอลหม่าน ระดับขั้นหนึ่งของโลกทิพย์โบราณดั้งเดิมแล้ว เป็นเจ้าของ เกิดความคิดวูบหนึ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นภายในนั้น อันที่จริงแล้วต่างก็เป็นสิ่งที่มีอยู่จริงทั้งสิ้น
“อันที่จริงแล้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงแย้มยิ้มพลางขยับนิ้วมือคราหนึ่ง โลกเขตลวงแห่งหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า ภายในเริ่มมีสิ่งที่พบเห็นได้บ่อยอย่างเช่น เงินทอง กรวดหิน และดินเกิดขึ้น พร้อมกันนั้นวัตถุเหล่านี้ก็เริ่มแปรเปลี่ยนจากมายากลายเป็นความจริง สิ่งต่างๆ อย่างเงินทอง กรวดหิน และดิน ก็ปรากฏขึ้นมา
“มายาแปรเปลี่ยนเป็นความจริง สำหรับระดับขั้นของข้าในตอนนี้แล้วไม่ใช่เรื่องยากเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “เพียงแต่การทำให้สิ่งมีชีวิตถือกำเนิดขึ้นมานั้นยังต้องการระดับขั้นที่สูงยิ่งขึ้นไปอีก ไม่แน่ว่าอาจไม่จำเป็นต้องไปถึงระดับกฎเกณฑ์สูงสุดหรอก ไปถึงระดับ ‘เทพจักรวาล’ ของวิถีโลกเทียมก็สามารถทำได้แล้วล่ะ”
“อืม อืม” สิงหั่วสวินอีพยักหน้า แววตาทอประกาย
เขารู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งตัว วิญญาณกำลังลุกไหม้
ตื่นเต้น พลุ่งพล่าน มีจิตวิญญาณการต่อสู้ล้นฟ้า!
ในอดีตเขาอยากจะเก็บงำความทรงจำอันเจ็บปวดใจนี้เอาไว้ทำให้ตนเองกระตือรือร้น แต่ว่านี่คือความทรงจำอันงดงามตราตรึงใจอันหาใดเปรียบเชียวนะ!
ตอนนี้เขาคิดว่าภรรยาของเขาเป็นความจริง! ไม่ว่าผู้อื่นจะคิดเห็นเช่นไร อย่างน้อยตามหลักการของตงป๋อเสวี่ยอิง สิงหั่วสวินอีก็คิดว่าภรรยาของตนสามารถนับได้ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่แท้จริงโดยสมบูรณ์แบบ!
นอกจากนี้
เขายังมองเห็นความหวังอีกด้วย
บางที ‘วิถีโลกเทียม’ ไปถึงระดับเทพจักรวาล ก็สามารถเปลี่ยนแปรจากมายาให้กลายเป็นความจริง ทำให้ภรรยาของตนเกิดใหม่อีกครั้งได้แล้ว!
“พลั่ก” สิงหั่วสวินอีคุกเข่าลงในทันใด “ขอบคุณผู้อาวุโสตงป๋อที่มีพระคุณช่วยชี้แนะ ยังขอให้ผู้อาวุโสโปรดรับข้าเป็นศิษย์ ถ่ายทอดเคล็ดวิชาบำเพ็ญวิถีโลกเทียมให้แก่ข้าด้วย”
เขาก็เข้าใจว่าศาสตร์โบราณเพียงอย่างเดียวมิได้มีความรู้ความเข้าใจในกฎเกณฑ์เขตลวง เกรงว่าต้องเป็นวิถีโลกเทียมที่เป็นแก่นสารโดยตรง จึงจะมั่นใจว่าจะทำในสิ่งที่เขาต้องการได้ ส่วนวิถีโลกเทียม…แน่นอนว่าตงป๋อเสวี่ยอิงที่เป็นผู้ประสบความสำเร็จทางด้านวิถีโลกเทียมสูงที่สุดเท่าที่ระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์เคยมีมา เป็นผู้เหมาะสมที่สุดที่จะเป็นอาจารย์ของเขา
“อยากจะเป็นศิษย์ของข้า ยังเร็วเกินไป” ตงป๋อเสวี่ยอิงแย้มยิ้มพลางพลิกมือคราหนึ่งแล้วหยิบเอาตำราที่เปล่งรัศมีสีทองกึ่งโปร่งแสงเล่มหนึ่งมอบให้กับสิงหั่วสวินอี “นี่คือศาสตร์โลกเทียม ศาสตร์ลับวิถีโลกเทียมศาสตร์หนึ่งที่ข้าคิดค้นขึ้น แต่ตอนนี้เพิ่งมีเพียงสามกระบวนท่าแรกเท่านั้น เจ้าลองบำเพ็ญดูก่อน ดูศักยภาพของเจ้าก่อนแล้วข้าค่อยตัดสินใจว่าจะรับเจ้าเป็นศิษย์หรือไม่”
ผู้แกร่งกล้าของวังทวีสูญ โดยทั่วไปต่างก็สามารถคิดค้นศาสตร์ลับเองแล้วทิ้งเอาไว้ในตำหนักหมื่นรูป
ยามที่ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังบำเพ็ญก็ค่อยๆ สร้างศาสตร์ลับศาสตร์โลกเทียมที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์นี้ขึ้นมาทีละเล็กละน้อย
ศาสตร์โลกเทียมกระบวนท่าที่หนึ่ง คุกโลกา ขั้นกำเนิดอากาศมีหวังที่จะฝึกสำเร็จได้ แต่ก็ยากเย็นเป็นอย่างยิ่ง มีพลังยุทธ์ชั้นที่สามของเจดีย์ดาว
กระบวนท่าที่สอง ฟองแตกสลาย มีพลังยุทธ์ชั้นที่สี่ของเจดีย์ดาว ขั้นรวมเป็นหนึ่งจึงจะฝึกได้สำเร็จ
กระบวนท่าที่สาม ฟองอากาศอนธการ พลังยุทธ์ชั้นที่ห้าของเจดีย์ดาว ก็คือเคล็ดวิชาที่ประมุขโลกอนธการสรรสร้างขึ้น ตงป๋อเสวี่ยอิงเพียงแค่ดัดแปลงเล็กน้อยเท่านั้น ปรับให้ง่ายขึ้นพอสมควร ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าเคล็ดวิชานี้ไม่เลวเลย แม้กระทั่ง ‘ใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์’ ที่เป็นขั้นสูงกว่า เขากลับไม่ใคร่พอใจนัก เพราะศัตรูสามารถหลบหลีกกระบวนท่านี้ได้ แต่ฟองอากาศอนธการนั้นจะเข้าไปห่อหุ้มศัตรูเอาไว้โดยตรง ศัตรูไม่มีทางหลบหลีกไปได้เลย
ดังนั้นดังนั้นเขาจึงทดลองคิดค้นเคล็ดวิชาที่ไปถึงพลังยุทธ์ชั้นที่หกของเจดีย์ดาว ทั้งยังทำให้ศัตรูมิอาจหลบหนีไปได้ ‘โลกอนธการหลากชั้น’ อาจฝืนทำได้ก็จริง แต่โลกอนธการหลากชั้นนั้นสิ้นเปลืองพลังจิตมากเกินไป ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่ใคร่พึงพอใจสักเท่าใดนัก
“ขอบคุณผู้อาวุโส” หลังจากศึกษาศาสตร์ลับนี้แล้ว สิงหั่วสวินอีก็ซาบซึ้งอย่างเต็มหัวใจ
“ยามที่เจ้าบำเพ็ญวิถีโลกเทียม ก็อย่าได้ละเลยศาสตร์โบราณแต่เดิมของเจ้าเชียวล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “พลานุภาพของศาสตร์โบราณค่อนข้างยิ่งใหญ่ ก็สามารถใช้ศาสตร์โบราณมาทำความเข้าใจในกฎเกณฑ์ได้เช่นเดียวกัน มีผลส่งเสริมซึ่งกันและกัน”
“หากข้าเกิดข้อสงสัย สามารถมาขอผู้อาวุโสให้ช่วยสอนได้หรือไม่ขอรับ” สิงหั่วสวินอีเอ่ยถาม
“ย่อมได้แน่นอน ผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์ทั้งหมดในงานชุมนุมใหญ่ดวงดาราคราวนี้ล้วนทำได้ทั้งสิ้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
สิงหั่วสวินอีจนใจในทันที
เขาเข้าใจดี
เมื่องานชุมนุมใหญ่สิ้นสุดลงแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ย่อมมีธุระของตัวเขาเอง นึกอยากจะหาตัวเขาให้ช่วยชี้แนะก็เป็นเรื่องยุ่งยากเสียแล้ว
“เช่นนั้นศักยภาพของข้าเป็นอย่างไร ผู้อาวุโสจึงจะนับว่าน่าพึงพอใจ อยากจะรับข้าเป็นศิษย์เล่าขอรับ” สิงหั่วสวินอีพูด มีอาจารย์ดี ก็สามารถทำให้ความเร็วในการบำเพ็ญยกระดับขึ้นอย่างมหาศาล
“งานชุมนุมใหญ่ดวงดาราคราวนี้ ก็สามารถเห็นศักยภาพของเจ้าได้แล้วล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงแย้มยิ้ม
สิงหั่วสวินอีเข้าใจแจ่มแจ้ง เขากล่าวอำลาอย่างนอบน้อมในทันที “เช่นนั้นผู้น้อยขอลา”
“ไปเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
หลังจากสิงหั่วสวินอีกล่าวลาแล้วก็จากไป
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูชายหนุ่มอาภรณ์ทองผู้นี้จากไป เขารู้สึกได้ถึงจิตวิญญาณการต่อสู้ล้นฟ้าที่ลุกโชนของสิงหั่วสวินอี ความเจ็บปวดใจสาหัสเพียงใด เช่นนั้นจิตวิญญาณการต่อสู้ในขณะนี้ก็บ้าคลั่งถึงเพียงนั้น!
“หากทำได้ไม่เลว ก็สามารถรับเจ้าเป็นศิษย์ได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงแย้มยิ้ม “คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าคราวนี้จะสามารถทำให้เขาจุดประกายจิตวิญญาณการต่อสู้ขึ้นมาใหม่ได้”
ผู้แกร่งกล้าที่ยืนอยู่ในระดับสูงของระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ต่างก็สามารถเข้าใจได้อย่างรางๆ ว่า ‘การหมุนเวียนของกฎเกณฑ์ที่สูงส่งที่สุด’ จึงจะเป็นจุดหมายสุดท้ายของพวกเขา
สิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเชี่ยวชาญที่สุดก็คือวิถีโลกเทียม แน่นอนว่าก็เคยคิดมาก่อนว่า… ถ้าหากวิถีโลกเทียมไปถึงระดับกฎเกณฑ์สูงสุดจะมีพลานุภาพเพียงใด การทำให้สิ่งมีชีวิตถือกำเนิดขึ้นใหม่ เกรงว่าคงมิใช่เรื่องยากแต่อย่างใดเลย
เพราะเคยคิดมาก่อนแล้ว จึงได้พูดถึงจุดนี้ขึ้นมา
ก่อนหน้านี้ถึงแม้ว่าสิงหั่วสวินอีจะเคยพบกับยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนที่เชี่ยวชาญด้านเขตลวงมาก่อนแล้ว แต่พวกเขาต่างก็เป็นศาสตร์โบราณ ย่อมมิได้มีความคิดนี้เช่นเดียวกับตงป๋อเสวี่ยอิง ก็ย่อมมิได้พูดถึงสิ่งเหล่านี้เลย
……
จักรพรรดิสิงหั่วนั่งอยู่ภายในลานบ้านของเรือนพักตามลำพัง ในใจค่อนข้างหดหู่ เขากำลังรอ รอบุตรชายกลับมาจากตงป๋อเสวี่ยอิง
แต่ว่าเขาก็มิได้มีความหวังมากมายสักเท่าใดนัก! เพราะเขาเข้าใจดียิ่งถึงปัญหานี้ของบุตรชายว่าต้องเปลี่ยนแปลงแก้ไขด้วยตนเอง เปลี่ยนแปลงจากส่วนลึกของจิตใจ คนรอบกายคิดจะช่วยก็ช่างยากเย็นเหลือเกิน
“มาแล้ว” จักรพรรดิสิงหั่วรู้สึกได้ถึงการกลับมาของบุตรชายจึงหันหน้าไปมอง ชายหนุ่มอาภรณ์ทองเดินเข้ามาในลานบ้าน บิดาของเขายังคงนั่งอยู่ตรงตำแหน่งเดิมกับยามเช้า
“หืม” จักรพรรดิสิงหั่วสะดุ้งคราหนึ่ง
เขารู้สึกได้แล้ว
ไม่เหมือนกันแล้ว
แม้ว่าสิงหั่วสวินอีในอดีตจะรักษาความสงบเอาไว้เช่นเดิม ยากจะมองเห็นความเป็นจริงได้จากภายนอก แต่ก็อดกลั้นเหลือเกินแล้ว
และสิงหั่วสวินอีในตอนนี้ แววตาก็เปล่งประกาย ให้ความรู้สึกเฉียบคม จิตวิญญาณการต่อสู้ล้นฟ้านั้นเป็นสิ่งที่ใครต่างก็สามารถรู้สึกได้ทั้งสิ้น
“เจ้า…” จักรพรรดิสิงหั่วก็มีความรู้สึกไม่กล้าเชื่ออยู่บ้าง
“ท่านพ่อ ช่วยข้าหาสถานที่เร่งเวลาบำเพ็ญให้ที” แล้วสิงหั่วสวินอีก็เอ่ยต่อไปว่า “ข้าต้องเร่งรัดเวลาในการบำเพ็ญ” ต้องรวดเร็ว ยกระดับพลังยุทธ์ให้เร็วที่สุด ทำให้ผู้อาวุโสตงป๋อได้เห็นศักยภาพของตน รับตนเป็นศิษย์ ตนเองจะต้องประสบความสำเร็จอย่างสูงในด้านวิถีโลกเทียมอย่างแน่นอน
“สถานที่บำเพ็ญหรือ” จักรพรรดิสิงหั่วอ้าปากค้างไปเสียแล้ว
นานเท่าใดแล้ว
ร้องขอการบำเพ็ญก็แล้วไปเถิด ยังต้องการเร่งเวลาอีกหรือ
“เร็วเข้าเถิด ไม่มีเวลาให้สิ้นเปลืองอีกแล้ว” สิงหั่วสวินอีเอ่ยเร่งเร้า
………………………………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น