Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 30 ตอนที่ 14-16

 ตอนที่ 14 อันดับการคัดเลือกเบื้องต้น

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ขั้นรวมเป็นหนึ่งหรือ เจ้าอย่าพูดมั่วซั่วสิ ข้าอยู่ในเมืองราชันย์มีด ได้ชมงานชุมนุมใหญ่ดวงดารามาตั้งไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ในแต่ละครั้งล้วนเป็นยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนทั้งสิ้น ขั้นรวมเป็นหนึ่งจะมาเป็นปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ได้ตั้งแต่เมื่อใดกันเล่า ต้องรู้ไว้ว่าผู้ที่เข้าร่วมงานแต่ละคนก็ต้องเป็นขั้นรวมเป็นหนึ่งแล้ว ทั้งยังเป็นผู้มีพรสวรรค์ขั้นรวมเป็นหนึ่งด้วย จะให้ขั้นรวมเป็นหนึ่งคนหนึ่งมาเป็นปรมาจารย์หรือไร”


“ใช่ๆ ข้าก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนเช่นกัน”


“หอสุราของข้านั้นมีแขกประจำท่านหนึ่งซึ่งเป็นศิษย์ของเมืองราชันย์มีด เขาเป็นคนบอกข้าเอง ว่าปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ในครั้งนี้มีขั้นรวมเป็นหนึ่งอยู่คนหนึ่งนามว่าตงป๋อเสวี่ยอิง เป็นคนของวังทวีสูญ”


“ตงป๋อเสวี่ยอิงแห่งวังทวีสูญหรือ”


……


บริเวณต่างๆ เริ่มมีการวิพากษ์วิจารณ์กัน


เพราะถึงอย่างไรก็เป็นเพียงผู้บำเพ็ญธรรมดาทั่วไป ข่าวสารของพวกเขาจึงค่อนข้างจำกัด มีเพียงพวกเขาบางคนที่บำเพ็ญมาเป็นเวลานานพอและมีชื่อเสียงโด่งดังพอเท่านั้นจึงจะล่วงรู้ อย่างตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นรุ่งโรจน์ขึ้นมาอย่างรวดเร็วยิ่งนัก ผู้บำเพ็ญระดับรากทั่วไปเหล่านี้มีผู้ล่วงรู้น้อยอย่างยิ่ง จะมีก็แต่ในเมืองราชันย์มีดเท่านั้น สหายบางคนเป็นศิษย์ของเมืองราชันย์มีดจึงได้รู้ข่าวนี้


เมื่อพวกเขาพากันวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา คนหนึ่งพูดไปสิบคน สิบคนพูดไปร้อยคน พวกเขาจึงค่อยๆ รู้กันจนทั่ว


“ได้ยินมาว่า ผู้อาวุโสตงป๋อท่านนี้นับได้ว่าเป็นขั้นรวมเป็นหนึ่งที่ร้ายกาจที่สุดคนหนึ่งของหกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในยุคปัจจุบันนี้ จึงมีคุณสมบัติพอที่จะรับตำแหน่งปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่”


“ขั้นรวมเป็นหนึ่งที่ร้ายกาจที่สุดคนหนึ่งของหกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์หรือ แล้วอย่างไรเล่า ปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่โดยทั่วไปล้วนต้องเป็นยักษ์ใหญ่ขั้นอลวน นอกจากนี้ว่ากันว่าเป็นขั้นอลวนทั่วไปก็ไม่ได้ จะต้องเป็นผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งอย่างยิ่งเท่านั้นจึงมีคุณสมบัติพอจะรับตำแหน่งได้! ขั้นรวมเป็นหนึ่งเช่นเขาคนหนึ่งไปรับหน้าที่ มิใช่เรื่องน่าขันหรือไร สายตาของเขาจะสู้ปรมาจารย์อีกสี่ท่านได้หรือ”


“ก็จะด้อยกว่าอยู่บ้าง”


“พวกเรามาพูดอยู่ตรงนี้จะไปมีประโยชน์อะไรกันเล่า”


ผู้บำเพ็ญทั่วไปเหล่านี้พากันวิพากษ์วิจารณ์ หากกล่าวว่าพวกเขาคร้ามเกรงยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนมากโดยสัญชาตญาณ เช่นนั้นก็ไม่คร้ามเกรงอะไรต่อขั้นรวมเป็นหนึ่งอยู่แล้ว เพราะถึงอย่างไรขั้นรวมเป็นหนึ่งก็พบเห็นได้ทั่วไป เมื่อให้ขั้นรวมเป็นหนึ่งคนหนึ่งรับตำแหน่งเป็นปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ ผู้บำเพ็ญทั่วไปเหล่านี้ล้วนรู้สึกว่าไม่ค่อยนับถือสักเท่าใดนัก


……


ไม่นานนัก ‘การคัดเลือกเบื้องต้น’ ของงานชุมนุมใหญ่ดวงดาราก็เริ่มต้นขึ้นแล้ว


พวกตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งอยู่บนแท่นสูง มีอาหารและสุราชั้นเลิศวางอยู่ ส่วนผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์หนึ่งหมื่นหกพันคนเบื้องล่างกลับนั่งตามลำดับ แต่ละคนทยอยกันเข้าไปบุกฝ่าเจดีย์ดาวซึ่งตั้งอยู่ข้างสถานที่จัดงานตามลำดับ


เจดีย์ดาวจะมีการควบคุมการเคลื่อนของเวลา เพื่อให้การต่อสู้ดำเนินไปได้รวดเร็วขึ้นบ้าง ทว่าแม้จะเร่งเวลาร้อยเท่า ในหนึ่งวันก็มีผู้บำเพ็ญเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถบุกฝ่าผ่านไปได้ เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็ล้วนแต่คิดหาวิธีสังหารและทำลายล้างเผ่ามารอย่างสุดกำลัง เพื่อให้ผลงานในเจดีย์ดาวดียิ่งขึ้นและทำให้อันดับของตนสูงยิ่งขึ้น


“อันดับหนึ่ง หั่วเจี่ยวคูมู่


อันดับสอง ข่าเซิน


…”


กลางอากาศข้างสถานที่จัดงานใกล้กับเจดีย์ดาว มีชื่อแล้วชื่อเล่าปรากฏขึ้นมา รายนามเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง และรายนามก็เปลี่ยนแปลงไปไม่หยุดเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าวิญญาณอาวุธเจดีย์ดาวได้จัดอันดับใหม่ขึ้นตามผู้บำเพ็ญคนใหม่แต่ละคนที่เพิ่งบุกฝ่าเจดีย์ดาวมา อันดับถูกเปิดเผยออกมาทั้งหมด! ข้อแรก เพื่อความยุติธรรม ข้อสอง เพื่อกระตุ้นผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์เหล่านั้น ข้อสาม ผู้ที่อันดับค่อนไปทางด้านหลังก็สามารถอาศัยมันเพื่อให้รู้ว่าตนล้าหลังเพียงใดได้! เพราะถึงอย่างไรผู้ที่มีคุณสมบัติเข้าร่วมก็ล้วนแต่เป็นผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์ ที่ผ่านมาพบเห็นผู้มีพรสวรรค์น้อย ก็คิดว่าตนเก่งกาจ งานชุมนุมใหญ่ดวงดาราครั้งนี้ จะเป็นการกระตุ้นพวกเขาอย่างใหญ่หลวง


เวลาห้าวัน


การคัดเลือกเบื้องต้นของเจดีย์ดาวยุติลง! รายนามโดยละเอียดถูกจัดอันดับออกมา


“เอ๊ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงแหงนมองรายนามอันแน่นขนัดกลางอากาศข้างเจดีย์ดาวสูงเสียดฟ้าซึ่งอยู่ไกลออกไป “เด็กสามคนที่ได้เห็นในครั้งก่อน เฮ้อ บุตรชายของจักรพรรดิสิงหั่วมีอันดับธรรมดาทั่วไปมากทีเดียว”


ผู้ที่มีนามว่า ‘ฟู่จวิน’ นั้น อันดับค่อนข้างสูง คืออันดับหนึ่งร้อยยี่สิบหก! ทว่าเหมือนจะขาดโชคไปหน่อย หากสามารถบุกเข้าไปอยู่ในร้อยอันดับแรกได้ ไม่จำเป็นต้องให้ปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่คัดเลือกก็สามารถผ่านการคัดเลือกเบื้องต้นได้แล้ว


หนีเยี่ยน อันดับหนึ่งพันเก้าร้อยสามสิบสอง


สิงหั่วสวินอี อันดับสามพันหกร้อยหกสิบสาม


“อยู่ในอันดับสามพันกว่าเชียวหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบส่ายหน้า ในบรรดาขั้นรวมเป็นหนึ่งสามคนที่เขาบังเอิญได้พบในตอนแรกนั้น เขาสนใจนายน้อยสิงหั่วคนนี้ที่สุด เพียงแต่ว่าอันดับของเขาธรรมดาทั่วไปมากจริงๆ “อันดับต่ำเช่นนี้ การคัดเลือกเบื้องต้นนั้นเป็นการคัดเลือกเพียงแค่สองร้อยอันดับเท่านั้น โอกาสที่จะผ่านการคัดเลือกเบื้องต้นนั้นสามารถมองข้ามไปได้เลย”


เจดีย์ดาวเลือกหนึ่งร้อยคน ห้าปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่เลือกหนึ่งร้อยคน ทั้งหมดก็แค่สองร้อยคนเท่านั้น


“สามพันหกร้อยหกสิบสามหรือ” จักรพรรดิสิงหั่วที่เข้าร่วมชมอยู่บนแท่นสูงด้วยเช่นกันขมวดคิ้วมุ่น เขาลอบทอดถอนใจ อันดับนี่ช่างต่ำเสียจริง! ต้องรู้ไว้ว่าผู้ที่เข้าร่วมล้วนมิใช่ศิษย์ของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ มีอยู่จำนวนมากที่เป็นผู้บำเพ็ญไร้สังกัดร่อนเร่อยู่ภายนอก ผู้ที่มีเบื้องหลังยิ่งใหญ่อย่างแท้จริงนั้นมีน้อยนัก บุตรชายเขาคนนี้นับว่ามีทรัพยากรในการบำเพ็ญที่ดีอย่างยิ่งแล้ว แต่กลับมีอันดับเพียงเท่านี้


ในการคัดเลือกของปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ สถานะบุตรชายของจักรพรรดิสิงหั่วนี้กลับจะลดการประเมินค่าลงไป


การคัดเลือกเบื้องต้นของเจดีย์ดาวยุติลง


ผู้บำเพ็ญทั่วไปจำนวนนับไม่ถ้วนที่มาเข้าร่วมชมการต่อสู้ต่างพากันทยอยจากไปเป็นจำนวนมาก เพราะถึงอย่างไรการคัดเลือกเบื้องต้นของปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ต่อจากนี้ก็ต้องใช้เวลาถึงพันปี และต้องบำเพ็ญอีกหมื่นปี หรือกล่าวได้ว่าการต่อสู้ในครั้งต่อไปจะจัดขึ้นในหนึ่งหมื่นหนึ่งพันปีให้หลัง


……


แต่ละคนบนแท่นสูงยืดกายขึ้นแล้วเริ่มจากไป


“ทั้งห้าท่าน”


เจ้าลัทธิภาพจิตพูดกับห้าปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ที่กำลังลุกขึ้น “การคัดเลือกเบื้องต้นของเจดีย์ดาวยุติลงแล้ว และจัดอันดับเรียบร้อยแล้ว อีกสักครู่จะมีการมอบภาพการต่อสู้ของพวกเขาให้พวกท่าน พวกท่านต้องคัดเลือกให้ดี การเลือกของพวกท่านจะตัดสินชะตาชีวิตของผู้มีพรสวรรค์เหล่านี้”


“พี่ใหญ่ภาพจิตวางใจเถิด ข้าและคนอื่นๆ จะรอบคอบมากแน่นอน เพื่อเลือกผู้ที่มีความสามารถที่ซ่อนอยู่มากที่สุดออกมา” แม่ทัพเทียนกวงกล่าว


“ผู้อาวุโสตงป๋อ อย่าทำให้วังทวีสูญของพวกท่านเสียหน้าล่ะ” บรรพชนงูอู่เจ๋อพูดด้วยเสียงเย็นชาดุจน้ำแข็ง บรรพชนงูอู่เจ๋อมีอาภรณ์สีดำหุ้มห่อเอาไว้ กลิ่นอายเย็นเยียบแผ่ซ่านออกมา น้ำเสียงก็เย็นชานัก


ประมุขวังเจียงฝู่ด้านข้างสะดุ้งไปเล็กน้อย ประมุขเกาะจื่อถูผู้มีรูปโฉมงดงามก็ตกตะลึงไปเช่นกัน วาจานี้ออกจะเกินไปบ้างจริงๆ


ตงป๋อเสวี่ยอิงได้ฟังแล้วสีหน้าก็เปลี่ยนแปรไปเล็กน้อย ว่ากันตามจริงแล้ว เดิมทีเขารู้สึกดีต่อบรรพชนงูอู่เจ๋อ เพราะอีกฝ่ายเป็นคนของตำหนักเทพอากาศ บรรพชนห้วงอากาศเป็นถึงท่านอาจารย์ของตน! แต่แม่ทัพเทียนกวงทำไม่ดีกับตนก็แล้วไปเถิด บรรพชนงูอู่เจ๋อผู้นี้กลับพูดจาไม่น่าฟังเช่นนี้ รอบด้านมียักษ์ใหญ่ขั้นอลวนอยู่ตั้งกลุ่มใหญ่เชียวนะ!


หากตนป่าวประกาศสถานะผู้ท่องอากาศออกไป ท่าทีของบรรพชนงูอู่เจ๋ออาจจะเปลี่ยนแปลงไปก็เป็นได้


แต่เนื่องจากจอมเทพศักดิ์สิทธิ์อยากจะไล่สังหารท่านอาจารย์ ‘กู่ฉี’ มาโดยตลอด ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงมิอาจตั้งใจป่าวประกาศสถานะผู้ท่องอากาศออกไปได้


“ไม่ต้องรบกวนให้บรรพชนงูอู่เจ๋อมาเหนื่อยใจหรอกขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “ในเมื่อเทพจักรวาลทั้งหลายเลือกข้า พวกเขาก็ต้องใช้ประโยชน์ข้าได้อย่างแน่นอน”


“เฮอะ” บรรพชนงูอู่เจ๋อแค่นเสียงเฮอะอย่างเย็นชาคราหนึ่งก่อนจะหมุนกายจากไป


อันที่จริงชื่อเสียงของบรรพชนงูอู่เจ๋อที่อยู่ภายนอกนั้นไม่เลวเลย เขาได้ชื่อว่า ‘รังเกียจความชั่วร้ายดุจคู่แค้น’ แต่ก็ค่อนข้างเย็นชา ทว่าในฐานะสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศ ตั้งแต่เกิดมาเขาก็เคยชินกับการยกย่องผู้ที่แข็งแกร่ง และเหยียดหยามผู้ที่อ่อนแอ ในสายตาของเขา เดิมทีตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งเป็นขั้นรวมเป็นหนึ่งก็มิใช่ระดับเดียวกับขั้นอลวนอย่างพวกเขาอยู่แล้ว เขาจึงย่อมไม่ชอบ และคร้านจะปั้นสีหน้าใส่ด้วย


“เทพจักรวาลทุกท่านเลือกเจ้า เจ้าก็อย่าทำให้พวกเขาผิดหวังก็แล้วกัน” แม่ทัพเทียนกวงก็มองหน้าตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง จากนั้นเขาก็ผละจากไปทันที


ตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้พูดอะไร


ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่ามีมือข้างหนึ่งวางลงบนบ่าของตน ทำเอาตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้ง เขารีบหันไปมอง ประมุขวังเจียงฝู่ผอมซูบขาวซีด แม้จะมีเขี้ยวคมสองข้างโผล่ออกมาภายนอก แต่กลับทำให้คนรู้สึกว่าร่างกายเหมือนจะอ่อนแอมาก เขายิ้มพลางเอ่ยว่า “ในบรรดาผู้บำเพ็ญ นิสัยแบบไหนก็มีทั้งนั้น ไม่ต้องไปสนใจพวกเขาสองคนนักหรอก”


“ประมุขวังเจียงฝู่” ตงป๋อเสวี่ยอิงรีบคำนับทันที เขากับประมุขวังเจียงฝู่มิได้พบกันเป็นครั้งแรก อีกฝ่ายนั้นอยู่ในระดับเดียวกับพวกจักรพรรดิดำและประมุขตำหนักอลหม่าน


“เจ้าหนุ่มตงป๋อ ข้าก็ยืนอยู่ข้างเจ้านะ” ‘ประมุขเกาะจื่อถู’ ในอาภรณ์สีม่วงผู้มีรูปโฉมงามล้ำกลับพูดยิ้มๆ ด้วยน้ำเสียงไพเราะเสนาะหู “ข้าก็ไม่ชอบเทียนกวงผู้นั้น หากในภายหน้าเจ้ามีพลังแข็งแกร่งกว่าเขา ต้องสั่งสอนเขาให้หนักๆ ช่วยข้าระบายอารมณ์เสียหน่อย”


เจ้าลัทธิภาพจิตด้านข้างยังคงอยู่ เขาได้ฟังแล้วก็รู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง เพราะแม่ทัพเทียนกวงเป็นคนของเมืองราชันย์มีดของพวกเขา


“ทุกท่าน พวกเราไปกันเถิด” เจ้าลัทธิภาพจิตพูดยิ้มๆ ขณะเดียวกันก็ยิ้มให้ตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างใจดี


 …………………………………


ตอนที่ 15 เยี่ยมเยียน

โดย

Ink Stone_Fantasy

ยามราตรี


ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งอยู่ในลานเพียงลำพัง ภาพกลางอากาศเบื้องหน้ามีภาพของการต่อสู้ปรากฏขึ้น ซึ่งก็คือภาพการต่อสู้ของผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์ที่บุกฝ่าเจดีย์ดาว ส่วนด้านข้างก็มีสาวใช้คอยปรนนิบัติต้มสุราและรินสุราให้


เขาฉวยจอกสุราขึ้นมาแล้วจิบเบาๆ คำหนึ่ง


“ร่างกายยังแข็งแกร่งนัก น่าจะเป็นระบบพลรบที่แข็งแกร่งที่สุด” ตงป๋อเสวี่ยอิงสำรวจดู ในใจก็ประเมินออกมาอย่างรวดเร็ว “เป็นปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่นี่มิใช่เรื่องง่ายเลย”


ลำพังแค่ต้องดูภาพเงาของการต่อสู้ของผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์หมื่นกว่าคนและทำการวิเคราะห์พลังของพวกเขาออกมาก็มิใช่เรื่องง่ายแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ายังต้องคำนึงถึงเบื้องหลังความเป็นมาและอายุของพวกเขาด้วยอีกต่างหาก แม้ส่วนมากจะถูกเขี่ยทิ้งออกไปในพริบตา แต่ก็ยังมีผู้ที่ต้องใคร่ครวญโดยละเอียดอยู่อีกกว่าพันคน พวกเขามีขั้นตอนการบำเพ็ญของแต่ละคน มีพลังและด้านที่แต่ละคนถนัดแตกต่างกันไป


“คนผู้นี้บุกฝ่าได้แค่เจดีย์ดาวชั้นที่หนึ่งเท่านั้นเองรึ อ่อนแอเกินไปแล้ว!” ตงป๋อเสวี่ยอิงคัดออกไปทันที ต่อให้มีสภาพการบำเพ็ญที่ย่ำแย่กว่านี้ หรือถึงขั้นไม่มีวิชาศาสตร์ลับ แต่ขอเพียงมีการรับรู้ที่สูงส่งพอ จะบรรลุขั้นรวมเป็นหนึ่งทั้งที ก็ไม่ควรมีพลังระดับชั้นที่หนึ่งซึ่งต่ำที่สุดเลย


ผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์หมื่นกว่าคนในครั้งนี้


ผู้ที่บุกฝ่าเจดีย์ดาวชั้นที่สี่ได้มีเพียงคนเดียว! มีนามว่า ‘ชางฉงเทียนอวิ๋น’ บำเพ็ญมาหนึ่งล้านสองแสนล้านปี เป็นผู้บำเพ็ญไร้สังกัดคนหนึ่งโดยแท้ ไม่เคยได้รับการชี้แนะจากผู้แกร่งกล้าที่ร้ายกาจมาก่อน! เขาดึงดูดความสนใจจากหกสถานที่ศัจดิ์สิทธิ์ได้ตั้งนานแล้ว เพราะหากไม่มีคัมภีร์และทรัพยากรจำนวนนับไม่ถ้วนของวังทวีสูญ ตงป๋อเสวี่ยอิงบำเพ็ญเป็นล้านล้านปีก็ไม่แน่ว่าจะประสบความสำเร็จเช่นนี้! แต่แน่นอนว่าอาจจะประสบความสำเร็จมากกว่าชางฉงเทียนอวิ๋นก็เป็นได้!


ผู้ที่บุกฝ่าเจดีย์ดาวชั้นที่สามได้มีถึงสามร้อยเก้าสิบสองคน!


ผู้ที่บุกฝ่าเจดีย์ดาวชั้นที่สองได้มีถึงสี่พันสิบแปดคน


ที่เหลือล้วนบุกฝ่าเจดีย์ดาวชั้นที่หนึ่งได้ทั้งสิ้น เพราะดีร้ายอย่างไรก็เป็นขั้นรวมเป็นหนึ่ง คงไม่ถึงกับบุกฝ่าเจดีย์ดาวชั้นที่หนึ่งก็ยังไม่ได้


“ผู้อาวุโส” ทหารรักษาการณ์คนหนึ่งเดินเข้ามาจากนอกประตูลานแล้วพูดด้วยความเคารพนบนอบว่า “จ้าวหลงฉางกำลังขอเข้าพบอยู่นอกจวนขอรับ”


“รีบเชิญเข้ามาเร็ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว


จากนั้นเขาก็มีปฏิกิริยาโต้ตอบกลับมาด้วยการยืดกายขึ้นทันทีแล้วเดินออกไปข้างนอก ในใจก็คิดว่า  “นี่สิจึงจะเป็นเรื่องยุ่งยากของผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์!”


หกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ล้วนรับศิษย์อย่างรอบคอบและมีจำนวนน้อยนัก ‘งานชุมนุมใหญ่ดวงดารา’ นั้นเป็นโอกาสอันหาได้ยากที่จะได้เข้าร่วมหกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เมื่อเข้าไปต่อให้ไม่ได้ทรัพยากรมา ก็เป็นยันต์รักษาชีวิตอันไร้รูปร่าง! เพราะถึงอย่างไรเมื่อศัตรูได้ยินว่าเป็นศิษย์ของหกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ก็จะเกิดความหวั่นเกรงในใจขึ้นมา หากสถานะสูงส่งพอ ต่อให้เป็นเทพจักรวาลก็มิอาจลงมือสังหารได้โดยง่าย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงขั้นอลวนเลย


ส่วนห้าปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่


ประมุขวังเจียงฝู่มีสถานะเช่นใดน่ะหรือ แม่ทัพเทียนกวง บรรพชนงูอู่เจ๋อและประมุขเกาะจื่อถู ทั้งสามคนล้วนแต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งในหมู่ขั้นอลวนระดับเจดีย์ดาวชั้นที่แปด คิดจะเชิญพวกเขาให้มาช่วยเหลือนั้นยากยิ่งนัก


เห็นได้ชัดว่าเมื่อมองโดยผิวเผินแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งเป็นเพียงขั้นรวมเป็นหนึ่งนั้นสามารถ ‘จัดการ’ ได้ง่ายดายที่สุด


“ข้าออกคำสั่งไปก่อนแล้วว่า จะไม่พบขั้นรวมเป็นหนึ่งหน้าไหนทั้งนั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ “แต่ขั้นอลวนจะไม่แม้แต่พบหน้าก็มิได้”


ตนนับว่าเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาขั้นรวมเป็นหนึ่งของหกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์! ขั้นรวมเป็นหนึ่งคนอื่นๆ เขาจะไม่พบหน้าทั้งหมด โดยมิได้พุ่งเป้าไปที่รายบุคคล หากแต่จะไม่พบขั้นรวมเป็นหนึ่งทั้งหมด ยอดฝีมือขั้นรวมเป็นหนึ่งที่คิดจะขอพบเหล่านั้นก็คงไม่โกรธสักเท่าใดนัก


แต่ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนนั้นไม่เหมือนกัน! พวกเขามาเยี่ยมเยียนขั้นรวมเป็นหนึ่งคนหนึ่งด้วยตนเองก็นับว่าไว้หน้ามากแล้ว หากปฏิเสธก็เกินไปหน่อยแล้ว


“เคราะห์ดี! ผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์ที่มีเบื้องหลังใหญ่โตเป็นยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนซึ่งมาเข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่ดวงดารานี้มีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย ผู้ที่มาเยี่ยมเยียนข้าก็ยิ่งน้อยเข้าไปใหญ่ เกรงว่าคงจะน้อยเสียจนยกนิ้วนับได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ ยิ่งมีจำนวนน้อยก็ยิ่งรับมือได้ดี


ณ ประตูจวน


มีบุรุษท่าทางดูเหมือนจะเยียบเย็นคนหนึ่งยืนอยู่ เขาดูเหมือนจะธรรมดาสามัญ กลิ่นอายก็เก็บงำเอาไว้ภายในอย่างสิ้นเชิง หากไม่รู้จักก็เกรงว่าคงจะคิดไม่ถึงว่าเขาคือจ้าวหลงฉางผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือระบือไกล!  แม้จ้าวหลงฉางจะมิได้สวามิภักดิ์ต่อขุมอำนาจสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ใด แต่กลับมุ่งหน้าไปยังชายขอบของห้วงอากาศด้วยตนเอง เขาแกร่งกล้านัก เผ่ามารทำลายล้างที่เขาสังหารก็มีจำนวนมากมายยิ่งนัก ได้รับการยอมรับนับถือจากยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนเป็นจำนวนมาก


เขา องอาจ มีความเที่ยงธรรม ไม่เสียดายชีวิต ตงป๋อเสวี่ยอิงก็นับถือเขาเป็นอันมาก


“จ้าวหลงฉาง” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว


“เดิมทีที่ข้าก็รบกวนผู้อาวุโสอยู่แล้ว คิดไม่ถึงว่าผู้อาวุโสจะยังมารับข้าด้วยตนเองอีก” จ้าวหลงฉางยิ้ม


“จ้าวท่านมาพบข้าก็นับเป็นเกียรติของข้า ข้าจะกล้าเชื่องช้าได้อย่างไร เชิญจ้าวท่านขอรับ” อีกฝ่ายปฏิบัติตนอย่างมีมารยาท ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ย่อมไม่ออกนอกลู่นอกทาง


เขาต้อนรับจ้าวหลงฉางเข้าไปในคูหา


พวกเขานั่งอยู่ในลานกันสองคน ด้านหนึ่งมีสาวใช้คอยรินสุราให้เขาและจ้าวหลงฉาง


“เจ้าถอยออกไปก่อน” ตงป๋อเสวี่ยอิงกำชับ


“เจ้าค่ะ” สาวใช้ถอยออกไป


จ้าวหลงฉางพูดยิ้มๆ ว่า “ข้ารู้ว่าบัดนี้ผู้อาวุโสงานยุ่งมาก ข้าก็จะไม่ถ่วงเวลามากนัก ที่ข้ามาก็ด้วยหวังว่าผู้อาวุโสจะช่วยข้าสักเรื่องหนึ่งน่ะ”


“เอาแล้วสิ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบลำบากใจ


“เชิญพูดมาเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว ผู้ที่เข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่ดวงดาราในครั้งนี้มีศิษย์ของจ้าวหลงฉางอยู่คนหนึ่งจริงๆ อันดับอยู่ที่ราวหกร้อยกว่า เพียงแต่บำเพ็ญมาเป็นเวลายาวนานมากถึงหนึ่งล้านแปดแสนล้านปี ทั้งยังมีจ้าวหลงฉางคอยชี้แนะด้วยตนเองยังอยู่ในอันดับที่หกร้อยกว่า ผู้ที่อันดับมาก่อนเขาย่อมมีคุณสมบัติที่จะถูกเลือกมากกว่าเขาอยู่แล้ว


“เขามีนามว่า ‘เฉินฉง’ น่ะ” จ้าวหลงฉางกล่าว


“อา” ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้ง


เฉินฉงหรือ


คนผู้นี้มิใช่ศิษย์ของจ้าวหลงฉาง หากแต่เป็นผู้บำเพ็ญไร้สังกัดอีกคนหนึ่งที่ไร้เบื้องหลัง


“เขาเป็นศิษย์ถ่ายทอดเองของสหายเก่าของข้าคนหนึ่งน่ะ” จ้าวหลงฉางทอดถอนใจ “สหายเก่าข้าก็เป็นเพียงแค่ขั้นรวมเป็นหนึ่งเท่านั้น ครั้งนี้ข้าพาศิษย์มาด้วย เมื่อได้พบเจ้าหนุ่มเฉินฉงคนนี้…เพียงแวบเดียวก็จำความสัมพันธ์ระหว่างเขากับสหายสนิทได้แล้ว น่าเสียดายที่สหายข้าได้สิ้นใจไปแล้ว นี่เป็นศิษย์ที่เขารับไว้ก่อนจากไป ตอนเขาสิ้นใจ เจ้าหนุ่มคนนี้ก็เพิ่งจะสำเร็จเป็นเทพแท้เท่านั้น จากนั้นเขาก็พึ่งพาตนเองในการบำเพ็ญมาตลอดจนบัดนี้ ข้าเคยทดสอบเขามาก่อน ความสามารถที่ซ่อนอยู่และการรับรู้ของเขาเหนือกว่าศิษย์คนนั้นของข้ามากนัก ดังนั้นข้าจึงได้บากหน้ามาที่นี่ หวังว่าจะสามารถให้โอกาสเจ้าหนุ่มคนนี้สักครั้ง”


“เฉินฉงหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงย่อมจำเจ้าหนุ่มผู้นี้ได้อยู่แล้ว


อันดับของเขาต่ำมาก จัดอยู่ที่อันดับสองพันเอ็ด แต่เวลาในการบำเพ็ญกลับสั้นยิ่งนัก เพียงแค่แปดหมื่นกว่าล้านปีเท่านั้น! ในฐานะผู้บำเพ็ญไร้สังกัดคนหนึ่ง เวลาในการบำเพ็ญยังไม่ถึงแสนล้านปีเสียด้วยซ้ำ จึงนับว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว


“เวลาในการบำเพ็ญของเขาสั้นมาก ในบรรดาผู้ที่เข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่ดวงดาราครั้งนี้ หากพูดถึงระยะเวลาในการบำเพ็ญแล้ว เขาจัดเป็นอันดับที่สอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “แม้อันดับจะค่อนข้างต่ำ แต่ความสามารถที่ซ่อนอยู่กลับสูงยิ่งนัก ต่อให้จ้าวหลงฉางมิได้มาพบข้า เขาก็มีโอกาสสูงยิ่งนักที่จะถูกปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่เลือก”


“ข้ารู้ดี หากความสามารถที่ซ่อนอยู่ของเขาใช้ไม่ได้ ข้าก็คงไม่มาหรอก” จ้าวหลงฉางกล่าว “ข้าแค่กลัวว่าจะเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น เพราะถึงอย่างไรครั้งนี้ก็มีผู้มีพรสวรรค์มากมายนัก”


“ข้าจะค้นคว้าดูอย่างละเอียดและพยายามช่วยเหลืออย่างเต็มความสามารถ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้พูดฟันธงไป เพราะถึงอย่างไรเขาก็ยังมิได้ดูภาพเงาการต่อสู้ของผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์ส่วนใหญ่เลย


“ดี”


จ้าวหลงฉางยืดกายขึ้นพลางพูดยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นข้าก็ไม่รบกวนแล้ว”


ตงป๋อเสวี่ยอิงส่งจ้าวหลงฉางจากไปทันที


“ฟิ้ว จ้าวหลงฉางผู้นี้ช่างพูดได้ดีเสียจริง” หลังอีกฝ่ายจากไปแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ชมดูภาพเงาอยู่ในลานต่อไป “ยังคิดว่าเขาจะมาพูดแทนศิษย์เสียอีก แต่กลับมาพูดแทนศิษย์ของสหายเก่าเสียอย่างนั้น นอกจากนี้ยังเป็นผู้มีความสามารถที่ซ่อนอยู่สูงยิ่งคนหนึ่งอีกด้วย”


……


เนื่องจากเป็นเวลาถึงพันปี


บางคนที่คิดจะพูดเกลี้ยกล่อมก็มิได้รีบร้อน แต่จ้าวหลงฉางกลับไปเยี่ยมเยียนปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ทั้งห้าทีละคนตั้งแต่วันแรก แล้วขอให้พวกเขาช่วยจับตามอง ‘เฉินฉง’ และปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ที่ไปเยี่ยมเยียนเป็นคนสุดท้ายคือ ‘ประมุขวังเจียงฝู่’ ก็ได้โพล่งออกไปทันทีว่า “ฮ่าฮ่าฮ่า พี่หลงฉาง วางใจให้เต็มที่เถิด เจ้าหนุ่มเฉินฉงคนนี้ข้าจะเลือกให้เอง ครั้งนี้ข้าขอรับหน้าที่ปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่เองด้วยคิดจะรับศิษย์สักคนสองคน ข้าชอบเจ้าหนุ่มเฉินฉงผู้นี้มาก หากมีวาสนา เขาอาจจะกลายเป็นศิษย์ถ่ายทอดเองของข้าก็เป็นได้”


จ้าวหลงฉางยินดีอย่างมากขึ้นมาทันที “ฮ่าฮ่า หากรู้ว่าเป็นเช่นนี้ตั้งแต่เนิ่นๆ ข้าก็ไม่จำเป็นต้องไปหาปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่อีกสี่ท่านแล้ว”


ทว่าเมื่อคิดดูโดยละเอียด เขาก็พบว่ารูปแบบการต่อสู้ของเฉินฉงนั้นคล้ายกับประมุขวังเจียงฝู่มากจริงๆ


“เฉินฉงน่ะ เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลใจไปหรอก แต่ศิษย์ของเจ้าเองต่างหากที่ความสามารถที่ซ่อนอยู่ดูเหมือนจะธรรมดาสามัญ” ประมุขวังเจียงฝู่ส่ายหน้า


“ไหนเลยจะเก่งกาจไปทุกคนได้เล่า” จ้าวหลงฉางกลับไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย


……


และวันคืนต่อจากนั้น ก็มียักษ์ใหญ่ขั้นอลวนสองท่านมาเยี่ยมเยียนตงป๋อเสวี่ยอิงต่อเนื่องกัน เพียงแต่ว่าผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์ที่พวกเขาคิดจะให้ช่วยเหลือนั้น หากพูดถึงความสามารถที่ซ่อนอยู่แล้วก็ห่างไกลจาก ‘เฉินฉง’ ลิบลับ ถึงขั้นที่ว่าตามการวิเคราะห์ของตงป๋อเสวี่ยอิง น่าจะเข้าสู่สามร้อยอันดับแรกมิได้เสียด้วยซ้ำไป! แม้ในใจจะตัดสินแล้วว่าจะเขี่ยทิ้งไป ทว่าฉากหน้าก็มิได้พูดตัดรอน และก็มิได้รับปาก


หนึ่งเดือนหลังจากการจัดงานชุมนุมใหญ่ดวงดารา


“ผู้อาวุโส จักรพรรดิสิงหั่วมาเยี่ยมเยียนขอรับ” แม้แต่ทหารรักษาการณ์ก็มิกล้าพูดว่า ‘ขอพบ’ สองคำนี้ออกมา


“จักรพรรดิสิงหั่วหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกใจใหญ่ นี่คือสิ่งมีชีวิตระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เก้าเชียวนะ เทพจักรวาลก็ยังต้องปฏิบัติต่อเขาอย่างมีมารยาทเลย


“ขมขื่นใจนัก! ระยะเวลาในการบำเพ็ญของศิษย์เขาคนนั้นค่อนข้างยาวนาน อันดับก็ต่ำเกินไปแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกขมขื่นใจ เขามีความรู้สึกดีต่อสิงหั่วสวินอีตั้งแต่ก่อนเข้าร่วมงานต่อสู้แล้ว เพียงแต่อีกฝ่ายแสดงผลงานออกมาได้ธรรมดาเกินไป หากพูดถึงความสามารถที่ซ่อนอยู่ หากเอามาจัดอันดับก็คงเกินหนึ่งพันอันดับแล้ว!


 ……………………………


ตอนที่ 16 คำขอร้องของจักรพรรดิสิงหั่ว

โดย

Ink Stone_Fantasy

ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกขมขื่นใจ ทว่ายังคงรีบตรงไปต้อนรับที่หน้าประตูคูหาทันที


“คารวะจักรพรรดิ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว ทว่าเขาก็เข้าใจดีมากว่า อย่าว่าแต่เขาเลย ต่อให้เป็นเจ้าสำนักสวรรค์กันแสง พวกเขาเผชิญหน้ากับจักรพรรดิสิงหั่วก็ยังต้องเคารพนบนอบ ต่อให้ตนสามารถเข่นฆ่าขั้นรวมเป็นหนึ่งจำนวนนับไม่ถ้วนอย่างง่ายดายก็ตามที แม้ความแตกต่างระหว่างขั้นอลวนจะมิได้มากมายจนเกินจริงอย่าง ‘ขั้นรวมเป็นหนึ่ง’ แต่มาถึงระดับอย่างจักรพรรดิสิงหั่วหรือประมุขตำหนักอลหม่านแล้ว ก็สามารถสังหารขั้นอลวนทั่วไปคนหนึ่งได้ในกระบวนท่าเดียว


“ผู้อาวุโสตงป๋อ ไม่จำเป็นต้องมากพิธี” หากได้ยากนักที่จักรพรรดิสิงหั่วจะเกรงอกเกรงใจมาก เพราะถึงอย่างไรในยามปกติเขาก็ได้ชื่อว่าเหิมเกริมและเยียบเย็น


“จักรพรรดิ เชิญขอรับ”


ทั้งสองมาถึงในลานแล้วแยกกันนั่งลง


จักรพรรดิสิงหั่วขมวดคิ้วพลางกล่าวว่า “ครั้งนี้ข้ามีเรื่องที่ต้องรบกวนผู้อาวุโสตงป๋อจริงๆ”


ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบร่ำร้องในใจ


ท่าน จักรพรรดิสิงหั่วมีสถานะระดับใดกัน


หากอยากทำจริงๆ แล้ว จะยัดเยียดศิษย์เข้าไปในขุมอำนาจสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สักแห่ง ไม่ว่าจะเป็นวังทวีสูญ เกาะปฐมบรรพชน เมืองราชันย์มีดหรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ ก็ล้วนอยากจะผูกไมตรีอันดีกับจักรพรรดิสิงหั่วทั้งสิ้น ไยจึงต้องเข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่ดวงดาราแล้วให้ตนช่วยเหลือด้วยเล่า งานชุมนุมใหญ่ดวงดาราเป็นงานใหญ่ที่จัดขึ้นโดยเปิดเผย รายนามที่ตนเลือกมาก็ต้องเปิดเผยออกไปเช่นเดียวกัน


สิงหั่วสวินอี,วันคืนในการบำเพ็ญก็เกินห้าแสนล้านปีแล้ว! อยู่ที่อันดับสามพันหกร้อยกว่า นอกจากนี้ยังเป็นศิษย์ของจักรพรรดิสิงหั่ว หากพูดถึงความสามารถที่ซ่อนอยู่ ต้องอยู่เกินกว่าอันดับหนึ่งพันอย่างไม่ต้องสงสัย หากตัดสินอย่างเคร่งครัดแล้วล่ะก็ เกรงว่าคงจะต้องจัดอยู่นอกเหนือ ‘ห้าพันอันดับ’ แรกเสียแล้ว! หากความสามารถที่ซ่อนอยู่สามารถจัดอยู่ในร้อยอันดับแรกได้ ฝืนเลือกไปก็ใช้ได้แล้ว


แต่อย่างผู้ที่จัดอยู่นอกห้าพันอันดับแรกเช่นนี้ หากเลือกเขา ก็จะต้องถูกหัวเราะเยาะอย่างไร้ข้อกังขา ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่อยากทำเช่นนี้เลย


“เพราะข้าเป็นผู้ที่สามารถเกลี้ยกล่อมได้ง่ายที่สุดในบรรดาปรมาจารย์ทั้งห้าหรือไร” ตงป๋อเสวี่ยอิงจนใจนัก แต่ฉากหน้าก็มิอาจเสียมารยาทได้


“หวังว่าเรื่องนี้ผู้อาวุโสตงป๋อจะช่วยไม่เผยแพร่ออกไปภายนอก เพราะถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องน่าอับอายขายหน้านัก” จักรพรรดิสิงหั่วกล่าว


ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ


ท่านก็รู้จักคำว่าอับอาย คำว่าเสียหน้าด้วยหรือ แล้วยังบอกให้ตนอย่าเผยแพร่ออกไปภายนอกอีกด้วย  เกรงว่าคนจะรู้กันทั่วกระมัง


“และฟังข้าให้ดีด้วย” เสียงของจักรพรรดิสิงหั่วค่อนข้างทุ้มต่ำ “สวินอีบุตรชายข้า นอกจากระบบการบำเพ็ญสายโลหิตแล้ว ก็ยังบำเพ็ญศาสตร์โบราณไปควบคู่กันด้วย! เพราะถึงอย่างไรข้าก็เป็นเพียงขั้นอลวนเท่านั้น หากบำเพ็ญระบบการบำเพ็ญสายโลหิตจนถึงขั้นสุดแล้ว อย่างมากก็เป็นได้เพียงขั้นรวมเป็นหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงตั้งใจกับด้านศาสตร์โบราณเป็นอันมาก เพียงแค่สามร้อยล้านปี ในด้านศาสตร์โบราณก็บรรลุถึงระดับเทพอากาศแล้ว”


“อะไรนะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึง


สามร้อยล้านปีหรือ


ต่อให้มีอาจารย์ที่ยอดเยี่ยมคอยชี้แนะ ความเร็วเช่นนี้ก็ยังน่าหวาดหวั่นเกินไปอยู่ดี! ศิษย์อาภรณ์ทองของวังทวีสูญเหล่านั้นล้วนค้างเติ่งอยู่ที่ระดับผู้ปกครองเทพแท้มานานแสนนานแล้ว! แม้จะกล่าวว่าเมื่อเทียบกันแล้วระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์จะยากกว่าอยู่บ้าง แต่สามร้อยล้านปี ยกระดับศาสตร์โบราณให้ไปถึงระดับเทพอากาศได้ก็ยอดเยี่ยมเกินไปแล้ว


“ตอนนั้นข้าตื่นเต้นหาใดเปรียบ คิดว่าบุตรชายข้ามีหวังจะสำเร็จเป็นขั้นอลวนในภายภาคหน้าอย่างแน่นอน ฮ่าฮ่า สองพ่อลูกล้วนแต่เป็นขั้นอลวน นั่นก็เป็นคำพูดสวยหรูแล้ว” จักรพรรดิสิงหั่วหัวเราะแห้งๆ ครั้งหนึ่ง “ตอนนั้นข้านำสมบัติล้ำค่าไปแลกเอา ‘ศิลาตรึงโลกา’ มาโดยไม่เสียดายอะไรทั้งสิ้น”


“ศิลาตรึงโลกาหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงใจกระตุกขึ้นมา


นี่คือสมบัติล้ำค่าที่ใช้ในการบำเพ็ญเขตลวง เขาเองก็อยากได้ แต่ข้อแรกคือวัตถุพรรค์นี้มีมูลค่าสูงเสียจนเกินจริง ข้อสองก็คือมีเพียงหนึ่งไม่มีสอง


“ข้าลืมพูดไปว่า ระบบศาสตร์โบราณที่บุตรชายของข้าเชี่ยวชาญก็คือเขตลวง” จักรพรรดิสิงหั่วเริ่มอธิบายโดยละเอียด “เขาอาศัยศิลาตรึงโลกา การบำเพ็ญนั้นพุ่งทะยานพรวดพราดอย่างแท้จริง ระยะเวลาสั้นๆ เพียงแค่สองพันหกร้อยล้านปี ทางสายศาสตร์โบราณก็ก้าวเข้าสู่ขั้นรวมเป็นหนึ่งแล้ว แต่ทว่า…”


ตงป๋อเสวี่ยอิงตั้งใจฟังโดยละเอียด


ฟังไปฟังมาก็อ้าปากค้าง


นี่เขา…


นี่เขาชอบสตรีนางหนึ่งจากโลกเขตลวงหรือนี่ ทั้งยังดิ่งลึกลงไป ผูกสัมพันธ์เป็นสหายร่วมวิถีอีกด้วย


เมื่อได้ฟังคำอธิบายของจักรพรรดิสิงหั่วแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็สามารถจินตนาการได้ว่า สตรีนางนั้นรู้ว่าตนเป็นส่วนหนึ่งของโลกเขตลวงและต้องเผชิญหน้ากับความตายด้วยใจหวาดหวั่น ทางด้าน ‘สิงหั่วสวินอี’ ก็ต้องทุกข์ทรมานเพียงใดกัน รอจนโลกเขตลวงถล่มทลายลง ทั้งหมดก็พังทลายลงตาม นางผู้เป็นที่รักก็พังทลายตามไปด้วย สิงหั่วสวินอีจะคลุ้มคลั่งเพียงใดกัน


“ข้าเคยถามเทพจักรวาลมาก่อนแล้ว พวกเขาต่างก็บอกว่าบุตรชายข้าเศร้าโศกจนซึมลึกไปถึงวิญญาณ พลังภายนอกยากที่จะช่วยได้ ต้องอาศัยตัวเขาเองเท่านั้น” จักรพรรดิสิงหั่วกล่าว “ข้ามาตามหาผู้อาวุโสตงป๋อเพราะรู้ว่าท่านได้ชื่อว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ทางด้านเขตลวงที่แข็งแกร่งที่สุดตั้งแต่โลกทิพย์โบราณดั้งเดิมจวบจนบัดนี้ ดังนั้นข้าจึงคิดจะถามผู้อาวุโสตงป๋อว่าพอจะมีวิธีช่วยเหลือบุตรชายข้าบ้างหรือไม่”


ผู้มีพรสวรรค์ทางด้านเขตลวงที่แข็งแกร่งที่สุดตั้งแต่โลกทิพย์โบราณดั้งเดิมจวบจนบัดนี้


จักรพรรดิสิงหั่วมีสถานะเช่นไร เอ่ยวาจานี้ออกมาย่อมต้องมีเหตุผล


จนถึงบัดนี้ ระดับขั้นรวมเป็นหนึ่งซึ่งมีเขตลวงที่สามารถเทียบเคียงกับตงป๋อเสวี่ยอิงได้นั้นมีน้อยเสียจนยกนิ้วนับได้ แต่อีกหลายคนที่เหลือนั้นล้วนแต่เป็นระบบศาสตร์โบราณซึ่งอาศัยพรสวรรค์มากกว่าทั้งสิ้น! ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงนั้น ก่อนที่จะได้ ‘เคล็ดวิชาสืบทอดของปีศาจชาด’ มากลับเป็นแค่ระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์เท่านั้น เขาได้ยกระดับวิถีโลกเทียมขึ้นมาจนถึงขั้นนี้ได้ หลังจากได้รับเคล็ดวิชาสืบทอดของปีศาจชาดแล้วก็ยังปรับปรุงแก้ไขเคล็ดวิชาสืบทอดของปีศาจชาดอย่างง่ายดายด้วย!


ปรับปรุงแก้ไขนั้นเป็นเรื่องง่ายหรือไร


ไม่ง่ายเลย!


เหตุใดตงป๋อเสวี่ยอิงจึงสามารถทำได้น่ะหรือ ก็เพราะศาสตร์โบราณที่อาศัยพรสวรรค์บรรลุถึงระดับเจดีย์ดาวชั้นที่หกและวิถีโลกเทียมบรรลุถึงชั้นที่หกนั้นมีความยากที่แตกต่างกัน! ระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์นั้นต้องค้นคว้าแก่นแท้ของมันและมองการหมุนเวียนความเร้นลับของกฎเกณฑ์ให้ทะลุปรุโปร่งเสียก่อน เมื่อเข้าถึงได้อย่างเต็มที่แล้ว อาศัยวิถีโลกเทียมที่เข้าถึงก็สามารถคิดค้นศาสตร์ลับต่างๆ แล้วใช้สำแดงออกมาได้


แต่ศาสตร์โบราณนั้นแตกต่างกัน


ศาสตร์โบราณนั้นไม่ต้องรู้ทะลุปรุโปร่งจนหมด ขอเพียงสามารถสำแดงออกมาได้ก็สำเร็จแล้ว! ไม่จำเป็นต้องไปค้นคว้าความเร้นลับทั้งหมดเบื้องหลังแต่อย่างใด


ดังนั้นระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์และการบำเพ็ญระบบทิพย์ จึงขึ้นชื่อว่าเป็นสองระบบที่ยากมาก แต่ก็ได้ชื่อว่าแข็งแกร่งมากเช่นเดียวกัน โดยทั่วไปขั้นรวมเป็นหนึ่งของทั้งสองระบบนี้ ระดับเจดีย์ดาวชั้นที่สามก็นับว่าเป็นระดับธรรมดามากแล้ว


ศาสตร์โบราณอาศัยพรสวรรค์และสมบัติสืบทอดมากกว่า! ผู้ที่เยี่ยมยอดก็เยี่ยมยอดมาก ผู้ที่อ่อนแอก็อ่อนแอมาก


ดังนั้น…


ในประวัติศาสตร์ ตงป๋อเสวี่ยอิงคือขั้นรวมเป็นหนึ่งเพียงคนเดียวที่เขตลวงสามารถทำได้ถึงขั้นค้นคว้าความเร้นลับของกฎเกณฑ์ของเขตลวงจนทะลุปรุโปร่ง นอกจากนี้วันคืนในการบำเพ็ญของเขายังสั้นมาก เพียงแค่ไม่กี่หมื่นล้านปีเท่านั้น! จักรพรรดิสิงหั่วกล่าวว่าเขาเป็นผู้มีพรสวรรค์ทางด้านเขตลวงที่แข็งแกร่งที่สุดตั้งแต่โลกทิพย์โบราณดั้งเดิมเป็นต้นมาก็นับว่าพอมีเหตุผลอยู่บ้าง หากเขารู้ว่าบัดนี้วิถีโลกเทียมของตงป๋อเสวี่ยอิงจวนจะถึงขั้นอลวนแล้ว เกรงว่าคงจะตื่นเต้นยิ่งกว่านี้ ความสำเร็จของตงป๋อเสวี่ยอิงทางด้านวิถีโลกเทียมสูงกว่าที่จักรพรรดิสิงหั่วล่วงรู้เสียอีก


“ท่านเป็นผู้บำเพ็ญระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ทั้งยังเชี่ยวชาญทางด้านเขตลวงเป็นอย่างยิ่ง” จักรพรรดิสิงหั่วมองดูตงป๋อเสวี่ยอิง “ข้าก็เหมือนคนไข้หนักที่ต้องการแพทย์อย่างเร่งด่วน ไม่มีหนทางอีกต่อไปแล้ว จึงได้ถามผู้อาวุโสตงป๋อดูว่าพอจะมีวิธีหรือไม่”


“ศิลาตรึงโลกา”


ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้าเบาๆ “จะใช้งานมั่วซั่วเช่นนี้ได้อย่างไรกัน แม้จะสามารถค้นคว้าโลกเขตลวงที่แตกต่างกันได้ และตนก็เป็นเจ้าของโลกเขตลวง สามารถตรวจสอบการหมุนเวียนทั้งหมดได้ จึงมีส่วนช่วยในการบำเพ็ญเป็นอย่างมาก แต่ทว่า…! ยิ่งเป็นโลกเขตลวงที่แข็งแกร่งมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเหมือนจริงมากเท่านั้น และการสั่งสมทางด้านเขตลวงของสิงหั่วสวินอีก็ไม่เพียงพอ แม้ในฐานะเจ้าของเขตลวงจะสามารถดิ้นรนออกจากเขตลวงได้อย่างง่ายดาย แต่ผ่านไปหลายครั้งเข้า สักครั้งหนึ่งตกเข้าไปก็แย่แล้ว”


หากเป็นศัตรูตกเข้าไปในเขตลวง เช่นนั้นก็จะดำดิ่งลงไปตลอดกาล จะเป็นหรือตายก็ขึ้นอยู่กับการควบคุมของเขา


แต่ต่อให้เป็นเจ้าของเขตลวง หากตกเข้าไป ก็จะส่งผลกระทบต่อดวงจิตเป็นอย่างมาก พละกำลังของดวงจิต…พิสดารนัก เมื่อถึงระดับผู้แกร่งกล้า หากในใจเชื่อว่าตนตายไปแล้ว เช่นนั้นวิญญาณก็อาจจะแหลกสลายและตายไปจริงๆ ความรู้สึกก็พูดได้ไม่ชัดเจน หากตกเข้าไปจริงๆ แล้วในช่วงแรกมีใครล่วงรู้แล้วบังคับให้เขาออกมาตั้งแต่เนิ่นๆ ก็อาจจะยังดีหน่อย


แต่หากไม่มีคนขัดขวาง สิงหั่วสวินอียิ่งดำดิ่งลึกลงไปเรื่อยๆ ถึงขั้นอยู่กับภรรยาเขามาตลอดจนกระทั่งทั้งโลกเขตลวงเข้าสู่การทำลายล้างครั้งใหญ่


“ข้าก็มั่นใจในตัวบุตรชายข้ามากเกินไป” จักรพรรดิสิงหั่วสำนึกเสียใจ


เขาฝึกฝนด้านเขตลวงมาน้อยและรู้น้อยเกินไป อีกด้านหนึ่งก็คือเขาโหดร้ายกับตนเองมากพอตัว เขารู้สึกว่า จะประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ได้ บุตรชายของตนก็ต้องโหดร้ายกับตนเองมากพอ!


“พอจะมีวิธีหรือไม่” จักรพรรดิสิงหั่วถาม


“ไม่มีเลย ข้าไม่เคยพบสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า เขาเองก็มีสหายร่วมวิถี จึงพอจะจินตนาการได้ว่า อาการบาดเจ็บทางใจของสิงหั่วสวินอีรุนแรงเพียงใด มิได้วิปลาสไปก็นับว่าไม่เลวแล้ว


“ลองดูเถิด” จักรพรรดิสิงหั่วกล่าว


เขาเป็นคนไข้หนักที่ต้องการแพทย์อย่างเร่งด่วน เขาได้ลองเชิญสิ่งมีชีวิตที่เยี่ยมยอดอย่างยิ่งมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว ในสายตาของเขา ตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นผู้มีพรสวรรค์ทางด้านเขตลวงที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ หากวิถีโลกเทียมสำเร็จเป็นขั้นอลวน ก็จะเป็นยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนทางด้านวิถีโลกเทียมของระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์เพียงคนเดียว เขาเข้าใจเขตลวงได้อย่างลึกซึ้งกว่า


“ลองดูเถิด ไม่ว่าอย่างไร ท่านลองไปพบกับเขาดู แล้วดูสิว่าพอจะมีหนทางบ้างหรือไม่” จักรพรรดิสิงหั่วกล่าว


ตงป๋อเสวี่ยอิงทำได้เพียงพยักหน้า


จักรพรรดิสิงหั่วผู้องอาจขอร้องเพื่อบุตรชายเช่นนี้ แล้วเขาจะทำเช่นไรได้อีกเล่า


“เอาล่ะ ให้สิงหั่วสวินอีรีบมาเร็วเข้า ข้าจะพูดคุยกับเขาให้ดีๆ ข้าไม่มั่นใจนัก ทว่าข้าจะทำเต็มที่อย่างแน่นอน” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย


“ต้องรบกวนแล้ว” จักรพรรดิสิงหั่วเกรงอกเกรงใจนัก


เขาเตรีมการเอาไว้ก่อนแล้ว ต่อให้ครั้งนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงมิอาจช่วยได้ รอภายหน้าเมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงประสบความสำเร็จทางด้านวิถีโลกเทียมมากกว่านี้ เขาก็ยังต้องขอให้ช่วยเหลือ จึงต้องรักษาความสัมพันธ์อันดีเอาไว้เสียก่อน


ส่วนการเข้าร่วมสถานที่ศักดิ์สิทธิ์น่ะหรือ


จักรพรรดิสิงหั่วไม่สนใจเลยจริงๆ สิ่งที่เขาคาดหวังมากที่สุดก็คือการได้เห็นอาการบาดเจ็บทางใจของบุตรชายฟื้นฟูกลับมาวิวัฒน์แล้วทะยานขึ้นสู่ฟ้า! ต่อให้เขาฝันก็ยังอยากเห็นวันนั้น


 …………………………..

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)