Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 30 ตอนที่ 13
ตอนที่ 13 ตงป๋อเสวี่ยอิงในขั้นรวมเป็นหนึ่ง
โดย
Ink Stone_Fantasy
“เฮ้อ” จักรพรรดิสิงหั่วที่นั่งอยู่ภายในลานแห่งนั้นถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง “หากตอนนั้นมิได้มอบศิลาตรึงโลกาให้สวินอีจะดีสักเพียงใดกัน”
บุตรชายของเขาคนนี้แทบจะเสียคนไปแล้ว
เขาเคยคิดหาหลายวิธี ทว่าวิธีใดก็ไร้ประโยชน์ เพราะอาการบาดเจ็บทางจิตใจนั้นซึมลึกเข้าไปถึงแก่นวิญญาณ ต่อให้ผนึกความทรงจำ ‘สิงหั่วสวินอี’ บุตรชายเขาเกิดความขยะแขยงการบำเพ็ญจากวิญญาณเลยทีเดียว ส่วนลึกในใจรู้สึกขยะแขยง ไม่อยากบำเพ็ญอีกต่อไปแล้ว เขาถึงขั้นเคยเชิญยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนซึ่งเชี่ยวชาญทางด้านเขตลวงให้ช่วยสร้างเขตลวงขึ้นมา! คิดจะชักนำด้วยเขตลวงแต่ก็ยังคงไร้ประโยชน์อยู่ดี คิดจะ ‘ป่วยใจใช้หมอยาใจ’ โดยการสร้างโลกเขตลวงแบบเดียวกันขึ้นมา แต่ผู้แกร่งกล้าคนอื่นๆ ล้วนไร้หนทางสร้างสำเนาของโลกเขตลวงให้เหมือนกับที่ศิลาตรึงโลกาสร้างขึ้นมาในตอนนั้นอย่างสิ้นเชิงได้
เขาถึงขั้นเคยขอคำชี้แนะจากเทพจักรวาลหลายท่าน คำตอบที่ได้รับล้วนเหมือนกัน อาการบาดเจ็บทางจิตใจซึมลึกเข้าไปถึงแก่นวิญญาณ จะเยียวยาก็ยากเกินไปแล้ว
เหมือนชีวิตเหนือธรรมดาบางคน ที่พบอุปสรรคบางอย่างเข้าจนล้มแล้วไม่ลุกอีกเลย
ตัวสิงหั่วสวินอีเองนั้นเป็นถึงขั้นรวมเป็นหนึ่งผู้มีพรสวรรค์ พลังของเขาแข็งแกร่งยิ่งนัก ทั้งยังเชี่ยวชาญด้านเขตลวง ดวงจิตของยอดฝีมือพรรค์นี้ไม่มีทางได้รับผลกระทบง่ายๆ ทว่าเมื่อจิตใจบาดเจ็บเข้าจริงๆ แล้ว จะฟื้นฟูกลับยากกว่าเป็นร้อยล้านเท่า ถึงขั้นสามารถกล่าวได้ว่าใช้พลังภายนอกก็ไร้ประโยชน์
จะช่วยเหลือก็มีเพียงวิธีเดียวเท่านั้น…คืออาศัยตัวสิงหั่วสวินอีเอง! แต่การจะดิ้นรนออกมาจากบ่อโคลนเช่นนี้นั้นยากเย็นเพียงใดกัน
“ข้าเก็บเขาไว้ข้างตัวตลอดเวลา อาจจะผิดไปแล้วก็ได้ อาศัยงานชุมนุมใหญ่ดวงดารานี้ให้เขาออกไปท่องโลกดูหน่อยเถิด อาจจะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นก็เป็นได้” จักรพรรดิสิงหั่วพึมพำ เขามีพลังล้นฟ้า แต่เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์ของบุตรชายแล้วกลับไม่มีวิธีอื่นใดอีก
……
เพียงพริบตาเดียวก็มาถึงวันจัดงานชุมนุมใหญ่ดวงดาราแล้ว
สวบ สวบ
ตงป๋อเสวี่ยอิงและประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์แปรเป็นลำแสงแล้วบินอยู่กลางอากาศเหนือเมืองเคียงบ่าเคียงไหล่กัน รอบด้านสามารถมองเห็นเงาร่างสายแล้วสายเล่าซึ่งกำลังมุ่งหน้าไปทางเดียวกัน! ภายในเมืองราชันย์มีด ภายใต้การกดดันของค่ายกลอันไร้รูปร่าง จะต้องบรรลุขั้นรวมเป็นหนึ่งแล้วเท่านั้นจึงจะสามารถเริ่มเหาะเหินได้
“สถานที่จัดงานชุมนุมใหญ่ดวงดารานั้นจัดเตรียมได้ไม่เลวเลยจริงๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเห็นสถานที่จัดงานชุมนุมใหญ่อยู่ลิบๆ ตำแหน่งของสถานที่นั้นอยู่ใกล้เจดีย์ดาว เนื่องจากเจดีย์ดาวนั้นคงที่ เมืองราชันย์มีดจึงทำได้เพียงจัดสถานที่จัดงานขึ้นมาโดยใช้พื้นที่ที่พอจะนับได้ว่าค่อนข้างกว้างขวางในตอนแรกแล้วควบคุมมิติ บริเวณซึ่งกินพื้นที่ราวพันลี้ แต่เมื่อบินเข้าไปใกล้ขึ้น ก็พบว่าถูกดัดแปลงเป็นสถานที่จัดงานขอบเขตถึงล้านลี้
“ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ ผู้อาวุโสตงป๋อ เชิญ” มียอดฝีมือมานำทางด้วยตนเองทันที
หลังจากเข้าใกล้สถานที่จัดงานแล้ว
คนทั่วไปล้วนถูกบังคับให้ร่อนลงอย่างรวดเร็ว และต้องลอดประตูหน้าผ่านเข้าไปเท่านั้น
แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงและประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์กลับถูกนำให้บินตรงเข้าไปบนแท่นสูงตระหง่านไกลออกไป กลางแท่นสูงมีที่นั่งอยู่ทั้งหมดสิบเอ็ดที่ และทั้งสองข้างยังมีที่นั่งอยู่อีกจำนวนมาก
“ผู้อาวุโสตงป๋อ เชิญขอรับ” ที่นั่งของแต่ละคนถูกกำหนดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
ณ ตำแหน่งกลางสุดของที่นั่งทั้งสิบเอ็ดตรงกลางแท่นสูงมีผู้ดำเนินงานของงานชุมนุมใหญ่ดวงดารา ‘เจ้าลัทธิภาพจิต’ นั่งอยู่ ทั้งเมืองราชันย์มีดมีขั้นอลวนระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เก้าอยู่เพียงสองคนเท่านั้น และเจ้าลัทธิภาพจิตก็เป็นหนึ่งในนั้น อันที่จริงด้วยตัวตนและสถานะของเขานั้นยากมากที่จะมาดำเนินงานซึ่งล้านล้านปีจะมีหนึ่งครั้งอย่างงานชุมนุมใหญ่ดวงดาราได้
แต่ก็จนใจ เพราะในบรรดาปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ครั้งนี้มี ‘ประมุขวังเจียงฝู่’ เพียงคนเดียวเท่านั้นที่เป็นระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เก้า
ในเมื่อประมุขวังเจียงฝู่มาแล้ว เมืองราชันย์มีดซึ่งรับหน้าที่จัดงานในครั้งนี้ย่อมก้มหัวให้ผู้อื่นมิได้ ดังนั้นเจ้าลัทธิภาพจิตจึงมาดำเนินงานด้วยตนเอง
ที่นั่งทั้งห้าทางซ้ายมือของเจ้าลัทธิภาพจิตก็คือห้าปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ รองลงไปก็คือประมุขวังเจียงฝู่ ประมุขเกาะจื่อถู บรรพชนงูอู่เจ๋อ แม่ทัพเทียนกวงและตงป๋อเสวี่ยอิง
ที่นั่งทั้งห้าทางด้านขวามือของเขา ก็คือแขกขั้นอลวนผู้ทรงเกียรติของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เช่นประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ ยังมียอดฝีมือเมืองดารารายเป็นต้น…
นอกจากที่นั่งทั้งสิบเอ็ดตรงกลางแล้ว ทั้งสองข้างก็ยังมีที่นั่งอีก ซึ่งมีไว้ให้สำหรับยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนที่มิใช่ขุมอำนาจจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์! แต่กลับมีถึงสิบกว่าท่านที่มาร่วมชม ต่อให้เป็นผู้ที่แข็งแกร่งอย่าง ‘จักรพรรดิสิงหั่ว’เนื่องจากเขามิใช่คนของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ จึงทำได้เพียงนั่งอยู่ตรงตำแหน่งด้านข้างเท่านั้น! นี่คือกฎของงานชุมนุมใหญ่ดวงดาราที่สืบทอดมาในแต่ละครั้ง มีเพียงผู้แกร่งกล้าจากหกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นจึงจะสามารถนั่งตรงกลางได้
“เจียงฝู่ คิดไม่ถึงว่าครั้งนี้เจ้าจะมารับหน้าที่เป็นปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ด้วย” เจ้าลัทธิภาพจิตพูดยิ้มๆ เจ้าลัทธิภาพจิตมีรูปโฉมแปลกประหลาด ใบหน้าผอมยาว เครื่องหน้าทั้งห้าค่อนข้างอัปลักษณ์ แต่กลิ่นอายของเขากลับนุ่มนวลนัก ต่อให้เป็นคนจุกจิกเรื่องรูปโฉมกว่านี้เห็นเขาเข้าก็ล้วนต้องรู้สึกปีติยินดีจากหัวใจ
“ควรออกไปเดินเล่นเสียหน่อยแล้ว เก็บตัวบำเพ็ญมาตลอด ก็ยังไม่พบโอกาสบรรลุเลย” เจียงฝู่กล่าว
“ก้าวสุดท้ายนี้ ช่างยากจะข้ามผ่านได้จริงๆ” เจ้าลัทธิภาพจิตส่ายหน้า เขาก็เคยเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ไร้เทียมทานมาก่อน เป็นผู้บำเพ็ญที่โดดเด่นมากในยุคหนึ่ง และเป็นหนึ่งในสองผู้ที่เคยบุกฝ่าเจดีย์ดาวชั้นที่เจ็ดได้ในประวัติศาสตร์ของหกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เมื่อเขาอยู่ในขั้นอลวนก็พัฒนาอย่างก้าวกระโดด และถึงขั้นสร้างสำนักขึ้นมาเองด้วยความมั่นใจในตนเองเป็นอย่างยิ่ง แล้วเผยแพร่คำสอนอย่างเปิดเผย
ผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนคารวะเข้าอยู่ในสำนักเขาและทำตามบัญชาของเขา
แต่หลังจากบรรลุขีดสุดของขั้นอลวน…เจดีย์ดาวชั้นที่เก้าแล้ว เขาก็ชะงักค้างอยู่ตรงนี้ แม้เขาจะถามตนเองว่าผลสำเร็จในหลายด้านมิได้ย่อหย่อนไปกว่าเทพจักรวาลเลย แต่หากก้าวพ้นจากขั้นนั้นมิได้ ถึงอย่างไรก็ยังแตกต่างกับเทพจักรวาลจากแก่นแท้อยู่ดี
……
บนแท่นสูงของงานชุมนุมใหญ่ดวงดารา บรรดายักษ์ใหญ่ขั้นอลวนพูดคุยกันอยู่ประปราย พวกเขาส่วนใหญ่ล้วนรู้จักกันอยู่แล้ว
ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงกลับนั่งอยู่ริมสุดจากที่นั่งหลักตรงกลางอย่างเงียบงัน เพราะด้านข้างของเขาคือ ‘แม่ทัพเทียนกวง’ ร่างกายของแม่ทัพเทียนกวงมีแสงสีทองหมุนเวียนอยู่รางๆ มีอานุภาพกดดันแผ่กำจายออกมาเล็กน้อย และกดดันตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ด้านข้าง ทำให้สีหน้าของตงป๋อเสวี่ยอิงเปลี่ยนแปรไปเล็กน้อย “ไม่เก็บงำอานุภาพกดดันเลย จงใจกดดันข้าหรือนี่”
แม่ทัพเทียนกวงนั้นเป็นระดับเจดีย์ดาวชั้นที่แปด อานุภาพกดดันของเขาก็เหิมเกริมเป็นอันมาก ตงป๋อเสวี่ยอิงถือโอกาสนี้ควบคุมบริเวณกฎเกณฑ์ ฝืนเข้าสกัดกั้นอานุภาพกดดันของอีกฝ่าย
คนหนึ่งกดดัน คนหนึ่งสกัดกั้น
ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองฝ่ายก็ยิ่งแข็งทื่อเข้าไปใหญ่
“เจ้าหนุ่มขั้นรวมเป็นหนึ่งคนหนึ่ง ยังมีหน้ามาเทียบชั้นกับพวกข้าด้วยหรือนี่” หางตาของแม่ทัพเทียนกวงเหลือบมองตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วก็คร้านจะมองต่อไปอีก และยิ่งคร้านจะสนทนาด้วยเข้าไปใหญ่ เขาเป็นผู้ที่ขึ้นชื่อเรื่องความเหิมเกริมในบรรดายักษ์ใหญ่ขั้นอลวน เขาดุด่าและกดดันขั้นอลวนที่อ่อนแออยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงขั้นรวมเป็นหนึ่งเลย
ในสายตาของเขา ขั้นรวมเป็นหนึ่งก็แค่มดปลวกเท่านั้น! ต่อให้เป็นเหล่าศิษย์ของเมืองราชันย์มีดเอง เมื่อเผชิญหน้ากับแม่ทัพเทียนกวงก็ล้วนแต่ต้องหวาดหวั่นครั่นคร้าม
ใครจะไปคิดเล่าว่าครั้งนี้จะให้ขั้นรวมเป็นหนึ่งคนหนึ่งมาทัดเทียมกับเขา แม่ทัพเทียนกวงรู้สึกอึดอัดใจอยู่บ้าง น่าเสียดายว่านี่เป็นสิ่งที่เหล่าเทพจักรวาลกำหนดขึ้นมา เขาก็ทำอะไรไม่ได้ แต่จะให้เขายิ้มร่ารับหน้าตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างนั้นหรือ เป็นไปไม่ได้เลย!
“ทุกท่าน”
น้ำเสียงนุ่มนวลสายหนึ่งแพร่ไปทั่วสถานที่จัดงาน ราวกับดังก้องขึ้นในดวงจิตของคนทุกผู้
เจ้าลัทธิภาพจิตยิ้มพลางเริ่มสาธยายถึงความเป็นมาของงานชุมนุมใหญ่ดวงดาราและกฎของงานชุมนุมใหญ่ดวงดารา
ขั้นตอนของงานชุมนุมใหญ่ดวงดารานั้นเรียบง่ายมาก
เป็นการคัดเลือกเบื้องต้นก่อน!
ผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์ที่เข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่ดวงดาราทั้งหนึ่งหมื่นหกพันคนล้วนต้องไปบุกฝ่าเจดีย์ดาว แล้ววิญญาณอาวุธเจดีย์ดาวจะเป็นผู้ตัดสินเลือกหนึ่งร้อยคนแรกที่แข็งแกร่งที่สุดออกมาตามผลงานในการบุกฝ่าเจดีย์ดาว! วิญญาณอาวุธนั้นยุติธรรมอย่างแน่นอน มันสามารถจัดอันดับพลังได้
ส่วนปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่จะมีเวลาพันปีในการสอดส่องผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์เหล่านี้ ผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์ก็สามารถมาขอคำชี้แนะจากปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ได้ ระหว่างเวลาพันปี ปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่จะสอดส่องโดยละเอียด ท้ายที่สุดก็จะเลือกสรรผู้บำเพ็ญที่แม้พลังจะอ่อนแอหน่อย แต่เต็มไปด้วยความสามารถที่ซ่อนอยู่ออกมาท่านละยี่สิบคน! รวมทั้งหมดหนึ่งร้อยคน
อาศัยการบุกฝ่าเจดีย์ดาวและการคัดเลือกของปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ รวมทั้งสิ้นสองร้อยคน!
สองร้อยคนนี้ล้วนมีสิทธิ์ได้เข้าไปในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ทว่าการเข้าไปในสถานการณ์เช่นนี้ก็เป็นเพียงศิษย์ธรรมดาทั่วไปเท่านั้น
หลังจากการคัดเลือกเบื้องต้นแล้ว สองร้อยคนนี้ก็จะได้รับทรัพยากร คัมภีร์ศาสตร์ลับและการชี้แนะจากผู้แกร่งกล้าต่างๆ ที่หกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์มอบให้ และบำเพ็ญเป็นเวลาหมื่นปี แน่นอนว่าพวกเขาบำเพ็ญภายใต้สถานที่ที่มีการเร่งเวลา อันที่จริงนั้น พวกเขาบำเพ็ญเป็นเวลาถึงล้านปี แม้เวลาจะค่อนข้างสั้น แต่หากที่ผ่านมาไม่มีทรัพยากรและคำชี้แนะที่ดีพอ เมื่อสั่งสมอะไรได้มากพอ โดยทั่วไปหนึ่งล้านปีนี้ก็เพียงพอให้ยกระดับขึ้นมาได้แล้ว!
สามารถยกระดับได้หรือไม่นั้น ก็จะเห็นความสามารถที่ซ่อนอยู่ได้แล้ว
……
หลังจากการคัดเลือกเบื้องต้นแล้ว ก็ บำเพ็ญเป็นเวลาหมื่นปี
หลังจากบำเพ็ญแล้ว ทั้งสองร้อยคนนี้ก็ต้องต่อสู้กันแล้วอาศัยการต่อสู้ตัดสินห้าอันดับแรกออกมา!
นอกจากนี้ หลังจากการต่อสู้ยุติลงแล้ว พวกเขาก็ยังต้องเข้าไปบุกฝ่าเจดีย์ดาวอีกครั้ง จากผลงานในการบุกฝ่าเจดีย์ดาวและการต่อสู้ครั้งสุดท้าย ครั้งนี้ ปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ก็จะมีเวลาถึงหมื่นปีในการสอดส่องโดยละเอียด หรือถึงขั้นมาชี้แนะด้วยตนเอง หมื่นปีให้หลังก็จะมาตัดสินขั้นสุดท้ายแล้วเลือกห้าอ้นดับออกมาอีกครั้ง
ทั้งหมดสิบคน! ทั้งสิบคนนี้จึงจะเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในงานชุมนุมใหญ่อย่างแท้จริงและได้รับมอบทรัพยากรไป และจะได้รับการอบรมบ่มเพาะจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อย่างเต็มที่ นอกจากนี้พวกเขายังสามารถเลือกเข้าร่วมสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ใดก็ได้ตามใจปรารถนา
ท้ายที่สุด…
ห้าปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่จะสั่งสอนผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนอย่างเปิดเผย
เพราะถึงอย่างไร ในงานชุมนุมอันสูงส่งยิ่งของผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์ก็ย่อมมีผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนมาร่วมขมการต่อสู้อยู่แล้ว การสั่งสอนอย่างเปิดเผยเช่นนี้ก็นับว่าเป็นการช่วยเหลือผู้บำเพ็ญไร้สังกัดเหล่านั้นในรูปแบบหนึ่ง!
หลังจากการสั่งสอนอย่างเปิดเผยแล้ว งานชุมนุมใหญ่ก็จะปิดฉากยุติลง
……
สถานที่จัดงานของงานชุมนุมใหญ่ดวงดารา ด้านล่างก็คือผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์หนึ่งหมื่นหกพันคน พวกเขารอนแรมมาจากโลกทิพย์และอากาศอันสับสนอลหม่านต่างๆ เพื่อเข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่ดวงดาราในครั้งนี้
นอกจากพวกเขาแล้ว
ยังมีผู้บำเพ็ญที่มาร่วมชมงานเป็นจำนวนมหาศาล ลำพังแค่ชาวเมืองราชันย์มีดเองก็ไม่รู้ตั้งกี่ร้อยล้านคนแล้ว ยังมีผู้ที่ตั้งใจมาเป็นพิเศษด้วยความยากลำบาก ฝูงชนแน่นขนัดราวกับมหาสมุทรก็มิปาน พวกเขาครองพื้นที่ราวเก้าส่วนของสถานที่จัดงานไปแล้ว
“ดูสิ ข้างบนมีขั้นรวมเป็นหนึ่งอยู่คนหนึ่งด้วย”
“น่าแปลกชะมัด”
“ควรเป็นยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนทั้งหมดจึงจะถูกต้อง เหตุใดจึงมีขั้นรวมเป็นหนึ่งคนหนึ่งได้เล่า” ผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนซึ่งชมงานอยู่พากันมองออกไปยังแท่นสูงอันไกลลิบ บนแท่นสูง ตำแหน่งของตงป๋อเสวี่ยอิงยังสะดุดตามากด้วย!
“ข้าได้ยินมาว่าในบรรดาปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ดวงดาราครั้งนี้มีขั้นรวมเป็นหนึ่งอยู่ผู้หนึ่ง” ทันใดนั้นก็มีผู้ที่รู้ข่าวสารฉับไวกล่าวขึ้นมา
…………………………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น